ปรัชญากับวิถีชีวิต
ปรัชญากับวิถีชีวิต
ศาสตราจารยปรีชา ชางขวัญยืน
โครงการจัดทําตําราเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ปรัชญากับวิถีชีวิต
ศาสตราจารยปรีชา ชางขวัญยืน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
โครงการจัดทําตําราเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ลิขสิทธิ์ของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
พิมพครั้งที่ 1 กันยายน 2549
จํานวน 800 เลม
จัดพิมพเผยแพร สํานักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
328 ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท 0 2610 5200
โทรสาร 0 2354 5530
www.mua.go.th
แบบปก พบชัย เหมือนแกว
พิมพที่ หจก. อรุณการพิมพ 99/2 ซอยพระศุลี ถนนดินสอ แขวงบวรนิเวศ
เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทร. 0-2282-6033-4 โทรสาร 0-2280-2187-8
ขอมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแหงชาติ
ปรัชญากับวิถีชีวิต. - -
กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2549.
154 หนา.
1. ปรัชญา. I. สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา. I. ชื่อเรื่อง.
100
ISBN 974-8310-26-2
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดตระหนักถึงความจําเปนและภาวะขาดแคลน
ตําราที่ใชประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ซึ่งตําราถือไดวาเปนสื่อหลักสื่อหนึ่ง
ที่สําคัญในการสอนและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตลอดจนใชเปนเอกสารประกอบการคนควา
อางอิงในทางวิชาการ โดยเฉพาะตําราที่มีคุณภาพมาตรฐานทางวิชาการ จึงไดดําเนินการโครงการ
จัดทําตําราเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และจัดพิมพตํารา พรอมทั้งจัดทํา
แผนซีดี เพื่อมอบใหสถาบันอุดมศึกษาใชประโยชนเปนตําราประกอบการเรียนการสอน
ระดับอุดมศึกษา
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงใครขอขอบคุณ ศาสตราจารยปรีชา ชางขวัญยืน
ผูแตง ที่ไดสละเวลาอันมีคาแตงตําราเรื่อง ปรัชญากับวิถีชีวิต เพื่อใชประกอบการเรียนการสอนใน
สถาบันอุดมศึกษาตอไป
(ศาสตราจารยพิเศษภาวิช ทองโรจน)
เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
กันยายน 2549
ปรัชญากับวิถีชีวิต
คํานํา
หนังสือปรัชญากับวิถีชีวิตเลมนี้สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดมอบใหผูเขียนเขียนขึ้น
เพื่อใชเปนหนังสือปรัชญาทั่วไปในระดับอุดมศึกษา เนื้อหาปรัชญาทั่วไปที่ศึกษากันในอุดมศึกษามี
หลายหลาก ในมหาวิทยาลัย เชน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรเนนสวนที่เปน
ปรัชญาตะวันตกมาก ที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยวิชานี้แทบไมพูดถึงปรัชญาตะวันออกเลย สวน
มหาวิทยาลัยอีกหลายแหงรวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ เนนทั้งฝายตะวันตกและตะวันออก ซึ่งหากจะสอนให
เขาถึงวิธีการทางปรัชญาจริง ๆ แลว เนื้อหาดังกลาวก็มากเกินไป
หนังสือเลมนี้พยายามแกปญหาดังกลาว โดยเนื้อหามีทั้งตะวันตกและตะวันออก แตเนนวิธีการ
วิเคราะหทางปรัชญาอยางสากล และเชื่อมโยงกับทฤษฎีปรัชญาของตะวันออก โดยที่ไมไดเนนเนื้อหา
เทาเนนการวิเคราะห โดยเฉพาะไดเนนพุทธปรัชญาเปนพิเศษ วิธีการเชนนี้ทําใหผูเรียนมีความรูทางปรัชญา
อยางสากลและเห็นความเชื่อมโยงทางความคิดที่จะนํามาประยุกตกับปรัชญาตะวันออกและพุทธปรัชญาที่
คนไทยเราคุนเคยไดดีกวาการเรียนหนักไปทางตะวันตกซึ่งเปนเรื่องนานาชาติอยางเดียวโดยไมสามารถ
นํามาพิจารณาสังคมไทยได และดีกวาการเรียนหนักไปในดานเนื้อหาที่มากมายจนเปนเพียงการบอกเลา
เนื้อหามากกวาจะแสดงวิธีวิเคราะหเชิงปรัชญา ซึ่งไมทําใหเขาถึงปรัชญาอยางแทจริง เปนแตเพียงจดจํา
เนื้อหาไปโดยไมสามารถนําไปใชประโยชนได หนังสือเลมนี้จึงใชเปนหนังสือหลักโดยผูสอนเพิ่มเติมบทอาน
งานเขียนของนักปรัชญา หรือใชเสริมหนังสือปรัชญาทั่วไปที่ไดใชสอนกันในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะใน
มหาวิทยาลัยราชภัฏ
ผูเขียนหวังวาหนังสือเลมนี้จะไดสนองความตั้งใจของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่จะ
ใหมีหนังสือสําหรับชั้นอุดมศึกษาใหมากขึ้น และเปนประโยชนแกผูสอนและผูเรียนปรัชญาในมหาวิทยาลัย
รวมทั้งผูสนใจปรัชญาทั่ว ๆ ไป ขอขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่ไดใหความไววางใจให
ผูเขียนไดเขียนหนังสือเลมนี้
ปรีชา ชางขวัญยืน
ปรัชญากับวิถีชีวิต
สารบัญ
หนา
คํานํา
บทที่ 1 ปรัชญาคืออะไร 1
2 ความจริงของจักรวาล 17
3 ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย 39
4 มนุษยเปนอิสระหรือถูกบงการ 61
5 ชีวิตที่ประเสริฐ 73
6 ระบบคุณคาที่แตกตางกัน 89
7 ความดีงามกับประโยชนทางวัตถุ 103
8 ความรูกับความเชื่อ 121
9 ปรัชญาในวิถีชีวิต 133
10 บทสรุป 149
บรรณานุกรม 153
Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบ่งปันเป็ นธรรมทาน
ปรัชญากับวิถีชีวิต
บทที่ 1
ปรัชญา คือ อะไร
1. เหตุผลเปนธรรมชาติที่สําคัญของมนุษย
มนุษยมีธรรมชาติเปนนักปรัชญาทุกคนมนุษยจึงมิไดอยูกับธรรมชาติไปวันหนึ่งๆอยางสัตวเดรัจฉาน
สัตวที่ฉลาดที่สุดไมเคยเปลี่ยนแปลงธรรมชาติมากไปกวาที่บรรพบุรุษของมันเคยเปน ชางซึ่งเปนสัตวฉลาด
ยังคงหากินอยูในปาเหมือนเดิม ชางที่อยูในเมืองทําอะไรตาง ๆ ไดก็เพราะมนุษยฝก ลิงที่วาฉลาดก็ยังพึ่ง
อาหารตามธรรมชาติ ไมเคยคิดเพาะปลูกอยางมนุษย สัตวที่รวมกันลาสัตวอื่นเชน สิงโตก็ยังคงใชวิธีลา
แบบเดิมๆแตมนุษยเปลี่ยนแปลงมาตลอด แตเดิมก็พึ่งธรรมชาติแลวสังเกตธรรมชาติ ในที่สุดก็นําธรรมชาติมา
ใชประโยชนได เริ่มตั้งแตสรางเครื่องมือ อาวุธ เครื่องใชตาง ๆ รูจักเลือกวัสดุและการออกแบบ เชน ใชกระดูก
ทําฉมวก หินทําขวานหิน แลวพัฒนามาใชโลหะ เมื่อเพาะปลูกก็รูจักทดน้ํา ทําการชลประทาน ที่เปนเชนนี้ก็
เพราะมนุษยมีเหตุผล เปนธรรมชาติ
เหตุผลทําใหมนุษยรูจักตั้งคําถาม สัตวสงสัยเมื่อพบสิ่งที่ไมเคยพบ เราเห็นไดจากอาการของมัน
แตสัตวไมตั้งคําถาม การที่มนุษยตั้งคําถามในสิ่งที่ตนสงสัยก็เพื่อจะหาคําตอบ มนุษยไมไดสงสัยเฉย ๆ แต
ตองการทําใหตนหายสงสัยดวย มนุษยจึงพยายามหาคําตอบ คําถามที่ทําใหมนุษยหาเหตุผลของสิ่งและ
ปรากฏการณตาง ๆ ที่ตนสงสัยก็คือคําถามวา “ทําไม”
เราตั้งคําถามวา “ทําไม” กันมาตั้งแตเด็ก ยิ่งเปนเด็กฉลาด ยิ่งถามซอกแซก เพราะเมื่อไดคําตอบ
แลวก็สงสัยตอไปอีก คําถามทําใหเราหาคําตอบ และคําตอบทําใหเราสงสัย การพยายามตอบทําใหคนเรา
ฉลาดขึ้น และมีความสามารถในการถามและตอบมากขึ้น มนุษยจึงมีความรูสะสมมากขึ้น ถายทอดแกกัน
และถายทอดไปสูลูกหลานมากขึ้น
คําถามวา “ทําไม” เปนคําถามที่ทําใหเด็กไดความรูและหายสงสัย เปนคําถามที่ทําใหมนุษยชาติ
ไดความรู สะสมและถายทอดความรู ซึ่งทําใหมนุษยฉลาดกวาสัตวอื่น ๆ คําถามวา “ทําไม” ซึ่งเด็ก ๆ ถามนี้
ก็คือถามเดียวกับที่นักปรัชญาถาม วิชาความรูทางปรัชญาเกิดจากคําถามนี้
ถาเด็กทุกคนที่ตั้งคําถามไดรับคําตอบคนเราคงฉลาดและมีความรูมากกวานี้ แตเด็กจํานวนมาก
อยูในที่ที่คนรอบขางไมมีความรูที่จะตอบคําถาม หรือใหคําตอบผิด ๆ ที่รายกวานั้นบางครั้งนอกจากไมได
รับคําตอบแลวยังถูกดุ ถูกหามไมใหถาม ซึ่งเทากับปดโอกาสที่เด็กจะไดความรู และมีคําถามที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นักปรัชญาคือผูที่ตั้งคําถามและพยายามตอบคําถามจนถึงที่สุด ถามจนกวาจะไมมีทางตอบและ
ถามตอไปได ความรูมากมายที่คนทั่วไปไมถาม นักปรัชญาจะถาม เชนคนทั่วไปอาจเชื่อวาโลกที่เราเห็นอยูนี้
เปนจริงอยางที่เราเห็น แตนักปรัชญาจะถามวาทําไมเราจึงเชื่อเชนนั้น เปนไปไดหรือไมที่ยังมีความจริงที่อยู
พนตาเห็น นักปรัชญากรีกโบราณพยายามตอบคําถามนี้ เชน เดโมคริตุสตอบวาความจริงที่อยูพนตาเห็น
2
คืออะตอม ซึ่งเล็กจนแบงแยกตอไปอีกไมได คนทั่วไปเชื่อวา คนเราควรทําความดีแตนักปรัชญาจะถามวา
เราจะตัดสินไดอยางไรวาการกระทําใดดี หรือไมดี มีเกณฑอะไรเปนเครื่องวัด
2. ความปรารถนาที่จะรูสําคัญกวาความรู
คนเรามีความรูไดเพราะมีความปรารถนาที่จะรู ถาไมปรารถนาจะรูแมมีความรูอยูรอบดาน ก็ไม
เกิดความรูแกผูนั้นได นักปราชญหรือนักวิชาการคือผูมีความปรารถนาจะรูและหาความรูอยูเสมอ นักปราชญ
ในระยะแรก ๆ หาความรูทุกอยางที่อยากรู ทั้งที่เกี่ยวกับการดําเนินชีวิตและไมเกี่ยว นักปราชญรุนแรก ๆ นี้จึง
ไดชื่อวา philosopher คํานี้ ปธาโกรัส (Pythagoras) นักปรัชญากรีกเปนผูใชเปนคนแรก คําภาษากรีก
ซึ่งเปนที่มาของคําวา philosopher คือ philosophos (ภาษาละติน philosophus) philos แปลวารัก
sophos แปลวา ฉลาด (wise) philosophos แปลวารักความรูหรือรักความฉลาด คือเปนผูปรารถนาความรู
หรือความฉลาด นักปรัชญาจึงไมใชผูรูแตเปนผูอยากรู
ในสมัยกรีกโบราณซึ่งเปนระยะเริ่มตนของการแสวงหาความรูในโลกตะวันตกนั้น ความรูที่แสวงหา
เปนความรูในเรื่องใดก็ไดไมมีขอจํากัด และไมมุงการนําไปปฏิบัติ เพราะความรูเพื่อการปฏิบัติ ในสมัยนั้นไม
ตองใชความรูทางทฤษฎีมากมายเหมือนความรูทางเทคโนโลยีชั้นสูงในปจจุบัน ดังนั้นความรูที่ชาวกรีกมุง
แสวงหาจึงเปนความรูภาคทฤษฎี โดยเฉพาะเรื่องที่เปนนามธรรม เชน ความรูทางคณิตศาสตร ความรูเกี่ยวกับ
จักรวาลหรือเอกภพ (universe) ความรูเกี่ยวกับคุณคาทางจริยศาสตรคือเรื่องความดีความชั่ว ความรูเกี่ยวกับ
การเมืองการปกครองเชนทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐที่ดีที่สุด ความรูเหลานี้แมวาในระยะตนดูเหมือนเปนความคิดที่
ไมคอยมีเหตุผล แตก็ไดเปนจุดเริ่มตนใหมีการตรวจสอบและคนหาความจริงตอมา และแมวาความรูนั้นจะดู
เปนเรื่องสามัญแตก็เปนตนกําเนิดใหแกวิชาตาง ๆ เชน คณิตศาสตร วิทยาศาสตร รัฐศาสตร การหาความรู
โดยไมถามถึงการนําไปปฏิบัติจึงเปนสิ่งที่มีคุณคาเพราะหากไมมีความรูทฤษฎีเปนพื้นฐานแลว ความรูทางการ
ปฏิบัติที่ลึกซึ้งซับซอนจนเปนเทคโนโลยีชั้นสูงในปจจุบันจะเกิดขึ้นไมไดเลย ความรูทั้งหลายซึ่งมาจากความ
ปรารถนาที่จะรูนั้นจึงมีคุณคานอยกวาความปรารถนาจะรูของมนุษยและความปรารถนาจะรูนั้นก็คือที่มาของ
ความรูทั้งหมดซึ่งในระยะแรก ๆยังไมแยกเปนสาขาวิชาเฉพาะ แตนับรวมเปนปรัชญาทั้งสิ้น วิชาที่แยกออกเปน
วิชายอย ๆ ถือเปนสวนหนึ่งของปรัชญามากอน ภายหลังเมื่อมนุษยหาความรูไดมากขึ้นและมีวิธีหาความรู
เฉพาะ วิชาบางวิชาจึงแยกออกจากปรัชญา กลายเปนสาขาวิชาเฉพาะเชน เคมี จิตวิทยา สังคมวิทยา เปนตน
3. วิชาปรัชญาเปนสวนหนึ่งของมนุษยศาสตร
3.1 ความจริงทางประสาทสัมผัส (fact) กับคุณคา (value)
เรื่องที่เปนความรูของมนุษยอาจแบงออกไดเปนสองเรื่องใหญ ๆ คือ ความจริงทางประสาทสัมผัส
กับคุณคา ความจริงทางประสาทสัมผัสไดแกความจริงที่เราสามารถรับรูไดทางประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก
ลิ้น กาย คือ โดยการดู การไดยิน การไดกลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัสจับตอง ความจริงชนิดนี้เราเรียกอีก
อยางหนึ่งวา ความจริงทางธรรมชาติ (natural fact) ความจริงทางประสาทสัมผัสอีกอยางหนึ่งที่มนุษย
สนใจศึกษาก็คือความจริงทางสังคม (social fact) คือความจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมและกิจกรรมของมนุษย
3
ที่มาอยูรวมกันเปนสังคม รวมถึงทฤษฎีและระบบตาง ๆ ที่มนุษยสรางและปฏิบัติในสังคม สวนคุณคาคือสิ่ง
ที่มนุษยใชในการประเมินคุณสมบัติของสิ่งตาง ๆ ในธรรมชาติ ของพฤติกรรมมนุษยหรือสิ่งที่มนุษยสรางขึ้น
เชน ความคิด ทฤษฎี ระบบตาง ๆ คุณคาแบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแก คุณคาทางจริยะหรือคุณคา
ทางการประพฤติปฏิบัติ เชน ดี ชั่ว ถูกผิด ยุติธรรม อยุติธรรม กลาหาญ ขี้ขลาด กับคุณคาทางสุนทรียะ เชน
สวย งาม นาเกลียด ไพเราะ กลมกลืน ลงตัว
3.2 วิทยาศาสตร (science) สังคมศาสตร (social science) มนุษยศาสตร (humanities)
เมื่อความรูเกี่ยวกับธรรมชาติที่มนุษยไดศึกษาคนควากันมานานมีมากขึ้น ราวคริสตศตวรรษที่ 15
วิชาวิทยาศาสตรก็เริ่มเปนปกแผนและสามารถแยกศึกษาตางหากจากปรัชญาและศาสนาได ดาราศาสตร
และการแพทยเปนวิชาแรก ๆ ของวิทยาศาสตร
ในระยะเดียวกันนั้น ชาวตะวันตกที่ไดเดินทางมายังตะวันออก ไดพบดินแดนซึ่งมีผูคนที่มีอารยธรรม
แตกตางกับตนก็ไดสนใจศึกษาอารยธรรมในดินแดนเหลานั้นเชน อินเดีย จีน ตลอดจนอารยธรรมในหมูเกาะ
ตาง ๆ ในทะเล ขอมูลเกี่ยวกับสังคม ชีวิตความเปนอยูของคนเหลานั้นเปนความจริงที่สังเกตไดทางประสาท
สัมผัสเชนเดียวกับวิทยาศาสตร และสามารถศึกษาไดดวยวิธีการที่คลายคลึงกัน วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมตาง ๆ
ของมนุษยในสังคม ซึ่งไดใชวิธีการทํานองเดียวกับวิทยาศาสตรนั้น จึงไดชื่อวา วิทยาศาสตรสังคม (social
science) เพื่อลอกับวิทยาศาสตรธรรมชาติ (natural science) ภายหลังจึงเรียกวา สังคมศาสตร
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณคาของความจริงธรรมชาติและความจริงทางสังคม โดยมีการตัดสินถูกผิด
ดีชั่ว งามไมงาม โดยใชวิธีการทางเหตุผลและอารมณ ก็คือวิชามนุษยศาสตร ที่เรียกวาวิชามนุษยศาสตรก็
เพราะการตัดสินดังกลาวมีเฉพาะมนุษย สัตวไมเขาใจเรื่องคุณคาและคุณคาที่มนุษยตัดสินก็เปนมาตรฐาน
สําหรับการดําเนินชีวิตที่ดีหรือที่ไมดีของมนุษย มนุษยศาสตรจึงเปนศาสตรแหงความเปนมนุษยผูสูงสงกวาสัตว
วิชาวิทยาศาสตรและสังคมศาสตรศึกษาความจริงเพื่อจะรูและเขาใจความจริงทางประสาทสัมผัส
วาเปนอยางไร มีความสัมพันธเชื่อมโยงกันอยางไร สวนวิชามนุษยศาสตรตัดสินวา ควรพิจารณาความจริง
นั้น ๆ อยางไร ควรประพฤติปฏิบัติอยางไรเกี่ยวกับความจริงเหลานั้น
วิธีศึกษาทางวิทยาศาสตรกับมนุษยศาสตร
ในปจจุบันเราทราบกันดีวา ความรูทางวิทยาศาสตรนั้นไดมาจากการสังเกตและการทดลอง ซึ่งก็
คือการหาความรูในขอบเขตของประสาทสัมผัสนั่นเอง แสดงวาวิทยาศาสตรไมเชื่อในความจริงที่อยูพนขอบเขต
ของประสาทสัมผัส แตทวาวิทยาศาสตรเอง ก็มิไดเชื่อแตในสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรูไดโดยตรงเทานั้น เพราะ
หากเปนเชนนั้นความรูทางวิทยาศาสตรก็จะไมเกินกวาความรูที่คนทั่วไปสังเกตได ในความเปนจริงวิทยาศาสตร
ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เกินขอบเขตของประสาทสัมผัสโดยปกติ เชนวิทยาศาสตรศึกษาคลื่น และรังสี ซึ่งเรามองไม
เห็นสิ่งที่เล็กมาก ๆ จน ไมอาจรับรูไดมีอยูมากมาย เชน ประจุไฟฟา ไวรัส เหลานี้ลวนแตตองอาศัยเครื่องมือ
หรือบางครั้งอาศัยการคํานวณ บางครั้งก็ยอมรับไดดวยผลของสิ่งนั้น ๆ เชน ยอมรับวาไฟฟามีอยูเพราะมัน
4
ทําใหหลอดสวาง ทําใหขดลวดรอน ทําใหพัดลมหมุน ทําใหเราเกิดอาการกระตุกเมื่อมันวิ่งเขาสูตัวเรา แตไม
วาจะเปนวิธีใดและความรูนั้นยากแกการรับรูทางประสาทสัมผัสโดยตรง การใชเครื่องมือเปนวิธีออมในการ
รับรูทางประสาทสัมผัส และการใชเครื่องมือเปนการขยายขอบเขตความสามารถในการรับรูทางประสาท
สัมผัสของมนุษยซึ่งตรวจสอบไดวาเปนความจริง เชนการใชกลองเล็งยิงเปาในระยะไกลมาก ๆ เราก็เชื่อภาพที่
เห็นในกลองไดเพราะเมื่อกลองชี้จุดเปาเราสามารถยิงเปาถูกจริง ๆ เราจึงสรุปไดวาวิทยาศาสตรยอมรับความรู
เฉพาะในขอบเขตของประสาทสัมผัส และใชประสาทสัมผัสในการพิสูจนและตัดสินวาอะไรจริง อะไรไมจริง
การใชประสาทสัมผัสในการพิสูจนก็คือใชการสังเกตและทดลอง แมวิทยาศาสตรอาจเริ่มตนดวยสมมติฐาน
ซึ่งไมทราบวาจะเปนจริงหรือไม แตจะรับวาสมมติฐานถูกตอง ก็เมื่อพิสูจนดวยวิธีการทางประสาทสัมผัส
แลววาเปนจริง
สังคมศาสตรใชวิธีการทางวิทยาศาสตรในการพิสูจน แตเนื่องจากขอมูลของสังคมศาสตรเปนเรื่อง
เกี่ยวกับพฤติกรรมและความรูสึกนึกคิดของมนุษย ซึ่งเปนขอมูลที่ตางกับวิทยาศาสตรธรรมชาติเพราะขอมูล
ทางสังคมศาสตรเปนขอมูลเกี่ยวกับความคิดความเชื่อของคน ซึ่งมีความผิดแผกแตกตางกันไปแตละคน แต
ละกลุม และคนก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงอยูบอย ๆ ทั้งความคิดและอารมณ ขอมูลจึงไมคงตัว ตางกับวัตถุ
ซึ่งเปนขอมูลของวิทยาศาสตรที่มักจะมีคุณสมบัติคงที่ หรือทําใหคุณสมบัติคงที่ไดในการทดลอง การสังเกต
และทดลองอาจใชไดบางในสังคมศาสตรแตไมใชทั้งหมดและมักตองใชวิธีสอบถาม สัมภาษณ ซึ่งก็มีความ
แปรผันสูงเนื่องจากคนอาจตอบคําถามโดยขาดความเขาใจ โดยไมเต็มใจ แบบสอบถามอาจไมชัดเจน หรือ
ความรูและพื้นฐานความคิดที่ตางกันอาจทําใหผูตอบตีความคําถามตางจากที่ผูถามคิด ความแปรผันของ
ขอมูลเชนนี้ทําใหสังคมศาสตรตองใชสถิติ ซึ่งก็อาจมีขอผิดพลาดไดในทุกขั้นตอน ตั้งแตการออกแบบสอบถาม
ไปจนถึงการแปลผล แมวาขอมูลจะแตกตางกับวิทยาศาสตรธรรมชาติ แตเมื่อพิจารณาโดยแกนแทแลว
สังคมศาสตรใชวิธีการทางวิทยาศาสตรคือ การสังเกต การทดลองมีใชนอย เชน อาจใชบางในวิชาจิตวิทยา
หรือวิชาภาษาศาสตรบางแขนง เครื่องมือสําคัญที่ใชในการสํารวจวิเคราะหและประมวลผลขอมูลคือ สถิติ
ดังนั้นสังคมศาสตรก็คือวิทยาศาสตรอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งใชขอมูลที่เปนความจริงทางสังคม มิใชความจริงทาง
ธรรมชาติอยางวิทยาศาสตร และขอมูลทั้งหมดก็อยูในขอบเขตประสาทสัมผัส
มนุษยศาสตรนั้นศึกษาคุณคาซึ่งมิใชสิ่งที่รับรูไดทางประสาทสัมผัส การสังเกตและการทดลองจึง
ไมอาจใชศึกษาวิชาประเภทนี้ได เชน วิทยาศาสตรอาจสังเกต และอธิบายไดวาการทําแทงมีวิธีการอยางไร
สังคมศาสตรอาจศึกษาขอมูลเกี่ยวกับจํานวนของผูทําแทงในที่หนึ่งในเวลาหนึ่ง และอาจศึกษาสาเหตุที่ทํา
ใหสตรีทําแทงในที่นั้นเวลานั้นได แตทั้งวิทยาศาสตรและสังคมศาสตรไมอาจตัดสินไดวาการทําแทงเปนสิ่งที่
ถูกหรือผิดและมนุษยควรทําหรือไมควรทํา เพราะคําถามหลังนี้ไมเกี่ยวกับความจริงทางประสาทสัมผัส ถูกหรือ
ผิดเปนเรื่องคุณคาที่มนุษยควรยึดถือหรือละเวน และมนุษยควรยึดถือหรือละเวนอะไรขึ้นอยูกับเหตุผลและ
ความรูสึก มนุษยศาสตรมีเกณฑตัดสินดานเหตุผล และดานอารมณความรูสึก เชน เกณฑในการตัดสิน
ศีลธรรม หรือความเปนศิลปะ เปนตน
5
3.3 สาขาวิชาในมนุษยศาสตร
วิชามนุษยศาสตรคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความเปนมนุษยและวัฒนธรรมของมนุษย ในวัฒนธรรม
ตะวันตกสมัยกอนประกอบดวยวิชาสําคัญ ๆ คือ วรรณคดี ปรัชญา ศิลปะ ภาษากรีกและละติน เปนวิชาที่
นิยมศึกษากันในราวคริสตศตวรรษที่ 14 คือในสมัยฟนฟูศิลปวิทยาการ (renaissance) ในประเทศไทยเริ่ม
แบงสาขาวิชาออกเปน วิทยาศาสตร สังคมศาสตร และมนุษยศาสตรอยางชัดเจน ตามแนวทางขององคการ
การศึกษาวิทยาศาสตรและวัฒนธรรม (UNESCO) เมื่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม ซึ่งไดแบงคณะวิชาตาม
แนวทางดังกลาว ศาสตราจารยพระยาอนุมานราชธน ราชบัณฑิต ผูเปนนักปราชญสําคัญของไทยในสมัยนั้น
และเปนอาจารยของผูเขียนไดอธิบายความหมายคําวามนุษยศาสตร วา เหมือนสํารับกับขาวที่มีอาหารอยู
4 อยาง คือ ประวัติศาสตร ภาษา ศาสนาและปรัชญา ศิลปะ ทั้ง 4 กลุมวิชานี้สอนเรื่องเกี่ยวกับมนุษยและ
วัฒนธรรมของมนุษย
วิชาทั้ง 4 กลุมนี้ลวนเกี่ยวของกับมนุษยในเชิงคุณคาทั้งสิ้น ประวัติศาสตรศึกษาความเปนมาของ
มนุษยและกิจกรรมของมนุษยทั้งการสรางสรรค ความสําเร็จ และความลมเหลว ความเจริญขึ้น ความเสื่อม
และความหายนะของมนุษย ซึ่งลวนแตแสดงใหเห็นเหตุผลถูกผิดในการคิดและการกระทําของมนุษยซึ่งทํา
ใหมนุษยไดรับผลดีบางชั่วบาง นาปรารถนาบาง ไมนาปรารถนาบางตามการตัดสินใจและการกระทําของตน
ภาษานอกจากเปนเครื่องมือในการสื่อสารแลวตัวภาษาเองก็เปนวัฒนธรรมของมนุษยที่มนุษยใช
สื่อวัฒนธรรม สรางและถายทอดวัฒนธรรมเปนเครื่องแสดงความมีวัฒนธรรมของมนุษย เพราะภาษา
นอกจากเปนงานสรางสรรคดวยอัจฉริยภาพแลว ยังแสดงถึงความเปนผูมีวัฒนธรรมของเจาของภาษา ระดับสูง
ต่ําในการใชภาษาก็แสดงใหเห็นความหลากหลายซับซอนของวัฒนธรรมของมนุษยแตละสังคมดวย
ศิลปะ คืองานสรางสรรคอันแสดงถึงจินตนาการและความประณีตละเอียดออนทางอารมณและ
จิตใจของมนุษยในเรื่องความเขาใจและความรูสึกตอธรรมชาติ สังคม และจิตใจของมนุษย แสดงถึงอารมณ
ความรูสึกในสวนละเมียดละไมของมนุษย ซึ่งตางกับความอยากกระหายทางประสาทสัมผัสที่เปนอารมณ
ความรูสึกอันหยาบกระดาง ศิลปะจึงเปนเครื่องพัฒนาอารมณและจิตใจของมนุษยใหละเอียดออน
ปรัชญาและศาสนาเปนวิชาที่เกี่ยวกับการสรางสรรคทางความคิด ความเชื่อของมนุษย มุงให
มนุษยมีเหตุผล มีความเขาใจในเรื่องถูก ผิด ดี ชั่ว พนจากความเปนอยูตามอารมณและความตองการทาง
กายโดยไมมีการประเมินคาและเลือกสรรอยางที่สัตวเปน มุงใหมนุษยมีความประพฤติที่สูงสง เชน รูจัก
เมตตา กรุณา ใหอภัย เอื้อเฟอแกผูอื่น มีความกตัญูกตเวที เปนตน
ปรัชญาและศาสนานั้นตางกับวิทยาศาสตรและลูกของวิทยาศาสตรคือสังคมศาสตรตรงที่วิทยาศาสตร
และสังคมศาสตรศึกษาความจริงที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสโดยมิไดประเมินคุณคาวาความจริงนั้น ๆ ดี หรือไม
ดี เหมาะหรือไมเหมาะ ควรหรือไมควรแกมนุษย แตมนุษยศาสตรประเมินคุณคาความจริงเหลานั้นและมีเกณฑ
ในการประเมินคุณคาเชนเดียวกับที่วิทยาศาสตรมีทฤษฎีและกฎเกณฑ
6
ปรัชญากับศาสนาแมจะใกลเคียงกันที่ศึกษาความจริงไมเฉพาะในขอบเขตของประสาทสัมผัส แต
ศึกษาความจริงที่พนขอบเขตของประสาทสัมผัส คือความจริงนามธรรมตาง ๆ โดยเฉพาะ คุณคา แต
ปรัชญากับศาสนาก็ตางกันตรงที่ศาสนาเริ่มตนดวยการมีศรัทธาความเชื่อมั่นในความรูของศาสดาหรือของพระ
ผูเปนเจา ซึ่งก็ทําใหเชื่อมั่นในคัมภีรอันมีที่มาจากศาสดาหรือพระผูเปนเจาดวย ศาสนาจึงเนนไปที่การปฏิบัติ
ตามคําสั่งสอน สวนปรัชญาเริ่มดวยความสงสัย ความไมเชื่อมั่นในความจริง หรือหลักการใด ๆ และตั้ง
คําถามในสิ่งที่เชื่อกันวาเปนความจริงหรือเปนหลักการ และพยายามวิเคราะหหาคําตอบที่จะเปนไปได รวมทั้ง
วิพากษวิจารณ ความคิดเห็นหรือคําตอบทุกคําตอบอยางถึงที่สุด เชน พุทธศาสนิกชนยอมรับวา ศีล 5 เปนขอ
ควรละ พุทธศาสนิกชนที่ดีไมสงสัยในความถูกตองของศีล 5 และปฏิบัติตาม โดยมุงปฏิบัติใหเครงครัดขึ้น
เรื่อย ๆ แตปรัชญาจะตั้งคําถามวาทําไมศีล 5 จึงถูกตองและควรปฏิบัติตาม ความถูกตองนั้นพิจารณาจาก
เหตุผลอะไร จากผลที่เกิดขึ้น จากการลงมือปฏิบัติหรือเปนสิ่งที่ดีในตัว ไมตองคํานึงถึงผล หรือเพราะเปน
ทางละชั่ว เพื่อจะไปสูความจริงสูงสุด เครื่องมือของปรัชญาจึงไมใชศรัทธาและเหตุผลที่จะสนับสนุนศรัทธา
แตเปนเหตุผลที่จะวิพากษวิจารณและซักถามในทุก ๆ เรื่องที่ซักถามไดดวยเหตุผล เครื่องมือสําคัญในการใช
เหตุผลก็คือ ตรรกวิทยา (logic)
กลาวโดยสรุป ขอบเขตของความจริงทางวิทยาศาสตรคือโลกแหงประสาทสัมผัสและวิธีที่ใชศึกษาก็
คือการสังเกตและการทดลอง ขอบเขตของความจริงทางศาสนานั้นรวมถึงความจริงนามธรรมที่อยูพนขอบเขต
ของประสาทสัมผัส วิธีที่ใชศึกษาก็คือตองมีศรัทธากอนแลวปฏิบัติตามคําสอนของศาสนาที่นําไปสูการบรรลุ
ความจริงนั้น สวนขอบเขตความจริงของปรัชญานั้นรวมหมดทั้งโลกของประสาทสัมผัสและโลกที่พนขอบเขต
ของประสาทสัมผัส แตปรัชญามิไดศึกษาโดยเริ่มจากความเชื่อวา โลกใดจริง แตใชเหตุผลซักไซไตถามในสิ่ง
ที่วิทยาศาสตรและศาสนายืนยันวาเปนความจริง และประเมินคาความถูกผิด ความนาเชื่อ ไมนาเชื่อในเชิง
เหตุผล วิทยาศาสตรและศาสนาเริ่มตนดวยการเชื่อความจริงบางอยาง แตปรัชญาเริ่มตนดวยความสงสัย
ในความจริงที่วิทยาศาสตรและศาสนาเชื่อ
ความรูแบบแยกสวนกับความรูแบบบูรณาการ
การแบงความรูเปน 3 สาขา ดังที่กลาวมาแลว ในปจจุบันมักมีผูแยงวาเปนการคิดแบบแยกสวน
ซึ่งไมตรงกับความเปนจริง เพราะในความเปนจริงความรูไมไดแยกกัน ขอนี้จะตองทําความเขาใจใหดีมิฉะนั้น
จะกลายเปนเพียงคนที่คิดและพูดตามสมัยนิยมทางความคิดได เหมือนดังที่คนสมัยนี้ตามสมัยนิยมแบบ
หลังนวยุค (postmodernism) โดยมิไดพิจารณาวา ชื่อขบวนการใหมดังกลาวนั้นโดยเนื้อแทใหมเพียงไรหรือวา
เปนเพียง “เหลาเกาในขวดใหม” ที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ในประวัติปรัชญาที่มีลัทธิวิมตินิยม (skepticism) เกิดขึ้น
ครั้งแลวครั้งเลาเหมือนดาราคนเดิมที่แตงหนาแตงตาเสียใหม
ในสมัยของไพธากอรัส ความรูทั้งหลายเปนปรัชญา หรืออาจกลาวไดวาคําวาปรัชญากับคําวา
ความรูแทบจะแทนกันได เมื่อมองในแงนี้เรื่องยอย ๆ แมจะตางกันก็จัดรวมไวในคําคําเดียวกัน เหมือนเรามี
คําวา สสารคําเดียวเปนที่รวมของสิ่งตาง ๆ ที่เปนสสารมากมาย การไมตั้งชื่อเพื่อเรียกสสารแตละชนิดไมได
7
ทําใหสสารกลายเปนชนิดเดียวกันทั้งหมด และเมื่อเราตองการศึกษาสสารตางชนิดกัน วิธีที่จะแยกชนิดก็
ตองตั้งชื่อตางกัน ชนิดที่ตางกันก็อาจมีวิธีศึกษาตางกัน การที่จะมีความรูลึกได ก็ตองแยกศึกษาเปนเรื่อง ๆ
ถาศึกษารวมทั้งหมดก็ไมไดความรูที่เปนรายละเอียด การขาดความรูเชิงลึกก็อาจทําใหมองภาพความรูรวม
หรือความเชื่อมโยงของความรูผิดพลาดได หรือหากจะมองภาพรวมโดยไมแยกอะไรเลยเพราะเห็นวาการ
พูดวา “ความเชื่อมโยง” ก็ยังแสดงการแยกสวนอยู ก็ตองถามวาการมองรวมเชนนั้นจะไดอะไรมากไปกวา
การเห็นสิ่งทั้งหลายที่กองสุมกันอยางไมเปนระเบียบ เมื่อใดที่เราอธิบายเมื่อนั้นเราแสดงระเบียบที่เราเห็น
และนั่นก็เทากับมีการแยกและการแยกแยะ การมองรวมอยางสุดขั้วดังกลาวจึงเปนแตการพูดเลนลิ้นโดยไม
อาจทําใหเกิดความรูอะไรได หากทําใหเกิดความรูไดจริงคนเราคงใชวิธีนี้มาตั้งแตตนโดยไมตองลําบากที่จะ
หาหลักเกณฑอะไรมาแยกแยะสิ่งทั้งหลายออกจากกันเพื่อจะศึกษา การแยกแยะเปนธรรมชาติของมนุษย
การที่เรามีความรูมากมายในปจจุบันก็เพราะเราแยกแยะและเราศึกษาแบบแยกสวน เราจะศึกษา
เคมีกับดาราศาสตรและชีววิทยาโดยไมแยกสวนเสียกอนไดอยางไร เหมือนการศึกษารางกายรวม ๆ โดยไม
รูหนาที่ของอวัยวะแตละอยางเสียกอนไดอยางไร คนเรามองความรูรวม ๆ มาตั้งแตตนแลวก็มาแยกศึกษา
เปนเรื่อง ๆ ก็เพราะการศึกษารวม ๆ ไมใหความรูเปนชิ้นเปนอันแกมนุษยชาติ การมองรวมจะเปนความรู
และเกิดประโยชนก็ตอเมื่อเปนการเชื่อมความรูยอย ๆ ที่คนหามาไดในเชิงลึกเขาดวยกัน การรวมกันโดยนัย
นี้จึงจะเรียกวาการบูรณาการ (integration) ในขั้นบูรณาการนี้มนุษยก็ตองอาศัยความรูและประสบการณเดิม
แมวานักปรัชญาบางกลุมจะคิดวาสามารถบูรณาการโดยไมมีระบบหลักการหรือกฎเกณฑลวงหนาความคิด
เชนนั้นเปนความปรารถนาของผูคนหาความจริงที่จะใหไดความจริงตามที่เปนในลักษณะที่เปนการพรรณนา
(descriptive) มากกวาเปนความจริงตามที่กําหนดลวงหนา(prescriptive) แตเนื่องจากทุกคนมีอดีตมีประสบการณ
และไดรับการอบรมมา สิ่งเหลานี้ยอมมีอิทธิพลใหเกิดแนวคิดการกําหนดกรอบหรือวิธีเขาใจและพิจารณา
ในเชิงการกําหนดลวงหนาไมได การบูรณาการจึงเปนการประมวลความรูและจัดความสัมพันธกันอยางเปน
ระบบโดยอาศัยทั้งความรูยอย ๆ ที่ไดมาจากทฤษฎีและแนวคิดกับความรูในเชิงระบบที่ไดศึกษาอบรมและมี
ประสบการณมาจากอดีต แมมนุษยจะมีความใฝฝนและความพยายามที่จะศึกษาในเชิงพรรณนามากกวา
การกําหนดลวงหนาก็ตาม
โดยสรุปมนุษยเริ่มจากการมองสิ่งตาง ๆ อยางรวม ๆ ดวยความไมเขาใจ ระยะนี้อาจไมมีจริงเปน
แตเพียงขั้นตอนทางความคิดเชิงตรรกะเทานั้น ในความเปนจริงคือมนุษยรูจักสิ่งเฉพาะและความรูเกี่ยวกับ
สิ่งเฉพาะ มองเห็นความเปนสากลของกลุมของสิ่งเฉพาะ จัดประเภทและระบบได ศึกษาแตละเรื่องในเชิง
ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งใหความสําคัญแกการเชื่อมโยงความรูแตละเรื่องแตละสาขาเขาดวยกันนอยเกินไป
จนขาดความรูเชนนั้นแลวมนุษยก็กลับมาใหความสําคัญแกความรูแบบองครวม(holism)และสนใจการบูรณาการ
ความรูและการขามสาขาวิชาและสหสาขาวิชา(cross discipline and interdiscipline)มากขึ้น และบางพวกไป
ไกลหรือเลยเถิดไปจนถึงกับเห็นวา การแบงความรูเปนสาขาวิชาเปนสิ่งที่ผิด และตองการสลายการแบง
สาขาวิชา ซึ่งก็เปนการคิดแบบสุดขั้วไปอีกดานหนึ่ง
8
ในความเปนจริงมนุษยอาจ “มองรวม” และ “มองทั่วได” “มองเปนหนึ่งในความหลายหลาก” ได
แตอาจจะ “มองเปนเนื้อเดียว” ไมได เพราะไมใชความสามารถของมนุษยธรรมดาจะทําเชนนั้น ความรูใน
ลักษณะดังกลาวนั้น รูดอลฟ ออตโต (Rudolf Otto) ไดกลาวไวในหนังสือ Idea of the Holy วาเปนความรูที่
ศาสดาของศาสนาตาง ๆ ไดบรรยายไวคลายคลึงกัน ซึ่งเปนความรูของผูหลุดพนจากโลกของประสาทสัมผัส
และเหตุผลแลว มิใชความรูของปุถุชนซึ่งก็รวมถึงความรูของนักปรัชญา ที่มิใชผูหลุดพนดวย
4. สาขาของวิชาปรัชญา
ปรัชญาอาจศึกษาไดหลายแนวทาง เชนศึกษาเชิงประวัติ ศึกษาเชิงปญหา ศึกษาความคิดของนัก
ปรัชญาแตละคน การศึกษาแตละแบบก็ทําใหแบงเนื้อหาปรัชญาแตกตางกันไป การแบงสาขาของวิชา
ปรัชญาจึงไมจําเปนตองปรากฏในหนังสือปรัชญาทุกเลม แตการแบงสาขาของวิชาปรัชญาซึ่งเปนการแบง
เนื้อหาอยางกวางที่สุดนั้นมีมานานและชื่อสาขาก็ใชในการอธิบายหรืออางถึงอยูเสมอ ๆ จนกลาวไดวาเปน
การแบงที่เปนสากล แมในการศึกษาปรัชญาตะวันออกก็มักนําการแบงสาขาแบบนี้ไปใชในการอธิบายดวย
จึงเปนเรื่องที่ควรกลาวถึงในที่นี้โดยสังเขป
ปรัชญาแบงออกเปน 4 สาขาใหญดังนี้
4.1 อภิปรัชญาหรือเมตาฟสิกส (Metaphysics) คําวาอภิปรัชญาในตําราปรัชญามักจะแปลวา
ความรูยิ่งหรือความรูอันประเสริฐ ซึ่งอาจถือเอาคําวา meta ที่แปลวา beyond เกิดขึ้นในคริสตศตวรรษที่
16 มาจากภาษากรีกวา ta meta ta physika ซึ่งแปลวาสิ่งที่มาหลังจากฟสิกส (วิทยาศาสตรธรรมชาติ)
ทั้งนี้เพราะศิษยของอริสโตเติลผูรวบรวมงานเขียนทางปรัชญาของอาจารยและจัดหมวดหมูไวไดเรียงลําดับ
วิชาวาดวยสภาวะความเปนจริงซึ่งเรียกกันอีกอยางหนึ่งวา first philosophy ไวหลังวิชาฟสิกส เมื่อพูดถึง
วิชานี้จึงเรียกวา วิชาที่อยูหลังหรืออยูถัดจากฟสิกส คําภาษากรีกที่นํามาสรางเปนคําเรียกวิชานี้ก็คือ
metaphysics ผูสอนและผูเรียนปรัชญาหลายคนนิยมใชคําวา เมตาฟสิกส และไมใชอภิปรัชญา เพราะเกรง
วาจะทําใหเกิดความเขาใจวิชานี้ผิดไป
วิชาเมตาฟสิกสคือปรัชญาสาขาที่วาดวยลักษณะของความมีอยูเปนอยูและหลักการพื้นฐานของ
ความจริง วิชาทั่ว ๆ ไปที่เราศึกษากันมักจะเปนวิชาที่ศึกษาธรรมชาติหรือความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เชน ดาราศาสตรศึกษาความจริงเกี่ยวกับทองฟาหรือเรื่องของดวงดาวและเทหวัตถุในจักรวาล วิชาอื่น ๆ ก็
ศึกษาความจริงเกี่ยวกับสิ่งตาง ๆ อันอยูในขอบเขตของวิชาเหลานั้น แตเมตาฟสิกสจะศึกษาวา ความจริง
คืออะไร อะไรบางที่มีอยูจริง ความมีอยูเปนอยูของสิ่งตาง ๆ ที่เราเห็นอยูนี้คืออะไร มีอะไรที่เปนจริงอยู
นอกเหนือจากโลกที่เราเห็นอยูนี้หรือไม ถามีสิ่งนั้นเปนอยางไร ความจริงมีลักษณะตายตัวหรือไมตายตัว
คงที่หรือเปลี่ยนแปลง
4.2 ญาณวิทยา (Epistemology)หรือทฤษฎีความรู (Theory of Knowledge) คือปรัชญาสาขา
ที่วาดวยความรูของมนุษย โดยปกติเราถือวาความรูเปนสิ่งที่มีอยูจริง และคนเราสามารถแสวงหาความรูได
วิชาตาง ๆ มีอยูก็เพื่อแสวงหาความรูดังกลาวนั้น แตเราก็เห็นไดเชนกันวาความรูเปลี่ยนแปลงอยูบอย ๆ
9
บางครั้งความรูก็เปนเพียงทฤษฎีหรือความเห็นหนึ่ง ยังมีความเห็นอื่น ๆ ที่คัดคานทฤษฎีหรือความเห็นนั้น ๆ
แมแตประสาทสัมผัสที่วาแนนอนนั้นบางครั้งก็รายงานสิ่งที่ไมเปนจริง เชนการเห็นภาพลวงตาตาง ๆ เปนตน
ญาณวิทยาตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ เชน ถามวา ความรูทางประสาทสัมผัสเชื่อถือไดหรือไม เหตุผล
เขาถึงความจริงไดหรือไม ความรูมีอยูหรือไม หากมีอยูมนุษยสามารถแสวงหาความรูไดหรือไม ความรู
แนนอนตายตัวหรือเปลี่ยนแปลง นักปรัชญาที่มีทรรศนะตางกันในเรื่องเหลานี้มีมากมาย ยิ่งความรูเกี่ยวกับ
การรับรูของมนุษยมีมากขึ้นเพียงไรปญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับคําตอบทางวิทยาศาสตรในเรื่องความรูก็ยิ่งลึกซึ้ง
ขึ้นเชนการรูของมนุษยมีลักษณะแบบเดียวกับคอมพิวเตอรหรือไม เปนตน
4.3 อัคฆวิทยา (Axiology) อัคฆวิทยาแปลวาความรูเกี่ยวกับคุณคา คือปรัชญาสาขาที่ศึกษาเรื่อง
คุณคา แบงออกเปนสาขายอยคือ สาขาที่ศึกษาคุณคาทางความประพฤติของมนุษย เรียกวา จริยศาสตร
(ethics) หรือจริยปรัชญา (moral philosophy) สาขานี้ศึกษาปญหาเรื่องความดี ความชั่ว และคุณคาอื่น ๆ
ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย เชน ความกลาหาญ ความซื่อตรง ความยุติธรรม เกณฑในการตัดสินความ
ประพฤติของมนุษย ความมีอยูหรือไมมีอยูของคุณคาทางจริยศาสตร จริยศาสตรมีสาขายอย ๆ ซึ่งเกี่ยวของ
กับความประพฤติในดานตาง ๆ เชน ปรัชญาการเมือง ปรัชญาสังคม ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญา
อัคฆวิทยาอีกสาขาหนึ่งศึกษาคุณคาทางสุนทรียะคือ คุณคาทางดานศิลปะ ไดแกวิชาสุนทรียศาสตร
(Aesthetics) ศึกษาธรรมชาติของศิลปะ ความงาม การแสดงออกทางศิลปะ ประสบการณทางศิลปะ การ
ตัดสินการวิจารณศิลปะ โดยตั้งปญหาเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ และวิพากษวิจารณคําตอบหรือทฤษฎีตาง ๆ
ในเรื่องดังกลาว
4.4 ตรรกวิทยา (logic) ตรรกวิทยาไมใชเนื้อหาของปรัชญา แตเปนเครื่องมือในการศึกษาปรัชญา
ตรรกวิทยาเปนวิชาที่วาดวยการใชเหตุผลของมนุษยพิจารณาเรื่องความถูกตองในการอางเหตุผลการอางเหตุผล
ที่ผิดพลาดและสาเหตุของความผิดพลาด รูปแบบและเนื้อหาของการอางเหตุผลแบบตาง ๆ การพิสูจนความ
ถูกผิดของการใชเหตุผล การนิยามความหมาย ในปจจุบันตรรกวิทยาไดพัฒนาไปมากจนอาจจัดเปนวิชา
ตางหากจากปรัชญา
การแบงปรัชญาออกเปน 4 สาขานี้ ก็เชนเดียวกับการแบงสาขาวิชาที่เกิดตอมาในภายหลังคือไมใช
สิ่งที่เกิดขึ้นกอนการศึกษาปรัชญา แตเกิดขึ้นจากการจัดหมวดหมูความรูที่อริสโตเติลสอนกอน คืออริสโตเติล
สอนวิชาหลายวิชา เชน ฟสิกส (physics) สิ่งมีวิญญาณ (De Amima) เปนตน วิชาเหลานี้สอนกันในฐานะ
เปนปรัชญาหรือความรูทั้งสิ้น เชนเดียวกับชาวจีนโบราณที่สนใจแตเพียงวาอะไรเปนความรู ทําแหอวนก็
เปนความรู ทําปฏิทินก็เปนความรู ทําประทัด ทําไรนา ฯลฯ ลวนเปนความรู ทุกเรื่องสามารถพัฒนาเปน
ความรูชั้นยอดไดทั้งสิ้น เขานับถือความรู ไมไดนับถือการแบงประเภทความรู
การแบงประเภททั้งหลายไมวาจะในปรัชญา วิทยาศาสตร หรือแบงประเภทของวิชาก็ตามเกิดจาก
เนื้อหาที่ศึกษามีปริมาณมากและซับซอนมากขึ้นกับเพื่อความสะดวกในการศึกษาเลาเรียนวิชาเชนมนุษยวิทยา
เกิดขึ้นเพราะชาวตะวันตกเดินทางมายังเอเชียและแอฟริกาแลวไดพบอารยธรรมตางๆที่ไมเหมือนของชาวยุโรป
10
การบันทึกและสังเกตเรื่องเหลานี้มากขึ้นก็ทําใหเกิดวิธีการศึกษาและการจัดเนื้อหาเปนหมวดหมู มีการสราง
ทฤษฎีจนกลายเปนวิชาใหม วิชาสังคมศาสตรอื่น ๆ ก็เกิดขึ้นในทํานองนี้
การแบงปรัชญาออกเปนสาขาก็เปนการแบงเนื้อหาที่เห็นไดวาแตกตางกัน แตมิไดหมายความวา
แบงแยกจากกันไดเด็ดขาด เปนการแบงเพื่อจะไดไมสับสนในการศึกษา เปนการแบงเพื่อความสะดวก แตตาม
ความเปนจริงเนื้อหาในสาขาเหลานี้ยังเชื่อมโยงกันอยู เชน จริยศาสตรมักจะมีอภิปรัชญาเปนพื้นฐาน และมี
ความสัมพันธกับทฤษฎีความรู ตองใชการอางเหตุผลทางตรรกวิทยาในการวิเคราะหวิจารณ วิชาอื่น ๆ เชน
อภิปรัชญาและทฤษฎีความรูก็มีความสัมพันธกันในทํานองนี้ การศึกษาปรัชญาจึงควรศึกษาทุกสาขา
นอกจากนั้นการนําเสนอวิชาทั้งในแตละสาขารวมทุกสาขา หรือเชื่อมโยงระหวางสาขา ก็อาจมีวิธี
เสนอที่แตกตางกันเชน เสนอในเชิงประวัติ ตามลําดับเวลา หรือลําดับการเกิดขึ้นของสํานักคิด หรืออาจ
เสนอในเชิงปญหาแตละปญหาโดยไมคํานึงถึงลําดับเวลา เสนอความคิดของนักปรัชญาแตละคน ๆ ก็ได
ทั้งนี้ไมมีกฎเกณฑวาปรัชญาจะตองเปนแบบใดจึงจะดีที่สุด การแบงสาขาก็ดี แบงเนื้อหาก็ดีเปนความสะดวก
ในการนําเสนอและการเรียนการสอนเทานั้น
การแบงสาขาของปรัชญาออกเปน 4 สาขานั้นแมวาในปจจุบันหนังสือปรัชญาเบื้องตนสวนใหญ
จะไมพูดเรื่องนี้ และแบงหัวขอตามประเด็นปญหาโดยไมระบุวาอยูในสาขาใด แตความรูเรื่องการแบงสาขา
ก็เปนสิ่งจําเปนเพราะมีศัพทปรัชญาที่เชื่อมโยงกับสาขาวิชาอยูมากเชน metaphysical naturalism, ethical
naturalism, logical assumption, metaphysical assumption, axiological ethics, descriptive
metaphysics, epistemological relativism, genetic epistemology คําศัพทเหลานี้เปนคําศัพทที่ระบุถึง
ปญหาตาง ๆ หรือมโนทัศนในดานตาง ๆ และดานเหลานั้นก็คือสาขาของปรัชญา เชน ธรรมชาตินิยมในแง
อภิปรัชญา(metaphysicalnaturalism)ธรรมชาตินิยมในแงจริยศาสตร (ethicalnaturalism)การกลาวระบุเปนแงๆ
หรือเปนดาน ๆ นี้ ชวยใหแยกความหมายที่ซับซอนของคําที่มีความหมายเกี่ยวโยงไปในดานตาง ๆ ของ
ปรัชญาออกเปนความหมายยอย ๆ เพื่อสะดวกแกการอธิบายและการทําความเขาใจ การวิเคราะหปญหา
ปรัชญาก็ชัดเจนขึ้น คําศัพทเหลานี้มักเปนศัพทสําคัญและเปนคําหลัก ๆ ที่จะทําใหเขาใจเรื่องนั้น ๆ ใน
รายละเอียดตอไป
การแบงสาขาปรัชญาดังกลาวเปนการแบงเนื้อหาปรัชญาทั่ว ๆ ไปและใชไดกับการอธิบายปรัชญา
ทั้งประเภทปรัชญาบริสุทธิ์และปรัชญาประยุกตคือปรัชญาที่นําปรัชญาบริสุทธิ์ไปใชในการพิจารณาปญหาเฉพาะ
สาขาเชน ปญหาการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย การศึกษา หรือปญหาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน
เชน ปญหาจริยศาสตรสังคม ปญหาสภาวะแวดลอม ปญหาจรรยาบรรณวิชาชีพ การศึกษาปญหาเหลานี้
ใหลึกซึ้ง มักจะตองกาวขามจากขอเท็จจริงไปสูเรื่องคุณคาซึ่งเปนเรื่องของจริยศาสตรและไปสูเรื่องความ
เปนจริงซึ่งเปนเรื่องของเมตาฟสิกส
11
5. เราจะไดอะไรจากการเรียนปรัชญา
วิทยาศาสตรเปนวิชาที่มีประโยชนทางวัตถุหรือทางกาย เพราะเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู
รอบตัวมนุษยและรางกายมนุษย ศาสนาก็มีประโยชนทางใจคือพัฒนาจิตใจของมนุษย มนุษยประกอบดวย
รางกายและจิตใจ จึงดูเหมือนวาวิทยาศาสตรกับศาสนาก็พอเพียงแกความสุขของมนุษยแลว ปรัชญาจะมี
ประโยชนอะไรอีก
นักวิทยาศาสตรก็ดี นักศาสนาก็ดียอมเชื่อมั่นในความรูของตนวาเปนจริงจึงมักไมสงสัย แตความ
ไมสงสัยนั้นทําใหไมตรวจสอบและไมคิดคัดคานหากไมมีผูใดตั้งขอสงสัยหรือคัดคานความคิดก็ไมเปลี่ยนแปลง
การคัดคานอันเกิดขึ้นในวงการนักวิทยาศาสตร หรือนักศาสนาดวยกันก็มีแตมักเปนการคัดคานในเรื่องการ
ใชหลักการมากกวาจะเปนการคัดคานหลักการ ตองอาศัยผูที่อยูนอกวงการจึงจะเห็นขอคัดคานในเรื่อง
ดังกลาว นักปรัชญาคือผูทําหนาที่เชนนั้น
วิชาตาง ๆ มักจะมีความเชื่อ แตนักปรัชญาจะถามหาเหตุผลเบื้องหลังความเชื่อนั้น เชน ถาศาสนา
หามการฆาสัตว นักปรัชญาจะถามหาเหตุผลของขอหาม และถาผูตอบอางเหตุผลตางกัน นักปรัชญาก็จะถาม
วาเหตุผลใดถูก และมีเกณฑอะไรตัดสินวาเหตุผลนั้นถูกกวาเหตุผลอื่น ๆ นักปรัชญาทําหนาที่ซักถามเพื่อหา
คําตอบในขอบเขตที่เหตุผลจะนําไปได
ดวยเหตุดังกลาวอยางนอยปรัชญาก็ทําใหเราไมเชื่ออะไรงาย ๆ การเชื่องายเปนเรื่องไมดี เพราะ
ถาเชื่องายก็หลงผิดงายไดรับอันตรายงายและถูกหลอกลวงงาย ปรัชญาทําใหเรายอมรับหรือไมยอมรับดวย
เหตุผล เพราะนักปรัชญาอาศัยตรรกวิทยาซึ่งแยกแยะไดวาการอางเหตุผลใดถูก การอางเหตุผลใดผิด การ
ตอบปญหาใดปญหาหนึ่ง อาจมีผูตอบหลายคนและมีคําตอบตางกัน มีเหตุผลสนับสนุนตางกัน นักปรัชญา
ตองเปนผูวินิจฉัยวา เหตุผลขอใดเกี่ยวของ ไมเกี่ยวของ มีน้ําหนักมากหรือนอย จึงทําใหผูเรียนปรัชญารูจัก
วินิจฉัยดวยเหตุผล การที่ไดวินิจฉัยบอย ๆ ก็ทําใหเปนคนใจกวาง เพราะคุนกับเหตุผลที่แตกตางหรือ
บางครั้งตรงกันขาม แมเหตุผลของตนก็เขาใจไดวาเปนเพียงเหตุผลหนึ่งในเหตุผลหลาย ๆ แนว การที่ผูอื่น
คิดตางกับเราจึงเปนเรื่องปกติสําหรับนักปรัชญา การที่ไดเห็นเหตุผลตาง ๆ ทําใหเปนคนมีวิสัยทัศนกวาง
มองเห็นหรือคาดคะเนปญหาที่จะเกิดไดดี และไมยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน การที่ตองคิดหาเหตุผล
หลายแงหลายมุมทําใหพรอมที่จะรับฟงเหตุผลของผูอื่น และการคิดหลายแงหลายมุมซึ่งมักจะมาจากคําตอบ
ที่อยูในศาสตรตาง ๆ ทําใหนักปรัชญาพรอมที่จะศึกษาในเชิงกวาง เชื่อมโยงความคิดและความรูจากศาสตร
ตาง ๆ เปนองครวมหรือเปนบูรณาการ คือสามารถพิจารณาความแตกตางในฐานะเปนสวนที่เชื่อมโยงกัน
ของระบบเดียวกันได ขอสําคัญที่สุดปรัชญาซึ่งถามคําถามเพื่อหาคําตอบที่มีเหตุผลจนถึงที่สุดนั้น หากใคร
ทําไดยอมไดรับความรูความเขาใจในเรื่องตาง ๆ ในสรรพวิชาทั้งมวล และความพยายามที่จะตอบคําถาม
เชนนี้ยอมนําไปสูจินตนาการอันกวางไกล โลกเรามีสิ่งใหม ๆ ทฤษฎีใหม ๆ เทคโนโลยีใหม ๆ ไดดวยเหตุใดถา
มิใชดวยจินตนาการของมนุษย ปรัชญาก็เปนหนึ่งและเปนหนึ่งที่สําคัญในการกอใหเกิดจินตนาการอันหลากหลาย
12
6. ปรัชญากับวิถีชีวิต
ปรัชญาเกิดจากความสงสัยของมนุษย สิ่งใดมนุษยสงสัยสิ่งนั้นเปนสิ่งที่มนุษยสนใจ สิ่งที่มนุษย
สนใจยอมเกี่ยวของกับวิถีชีวิตของมนุษย ไมวาจะเปนเรื่องที่อยูนอกตัวมนุษยหรืออยูในตัวมนุษย เราอาจไม
รูตัววาวิถีชีวิตที่เราดําเนินอยูนี้ ไมวาวิทยาศาสตร ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ปญหาสิ่งแวดลอม ไปจนถึง
ปญหาเฉพาะเชน การทําแทง ลวนมีปรัชญาเขาไปเกี่ยวของทั้งสิ้น
หากเรายอนดูประวัติของปรัชญาตะวันตก ปรัชญาเริ่มตนดวยความอยากรูอยากเห็นของมนุษย
เกี่ยวกับโลกที่อยูรอบตัวมนุษย มนุษยพยายามอธิบายโลกรอบตัวที่เขาไมเขาใจ โดยสังเกตวาในความมากมาย
แตกตางนั้นมีอะไรบางอยางรวมกันอยู เชนตนไมแมมีหลากหลายชนิดแตก็มีใบ มีดอก มีผล เหมือน ๆ กัน บาง
พวกเปนเถา บางพวกเปนพุมเตี้ย บางพวกเปนตนโตสูงใหญและแข็งแรง ในความหลายหลากนั้นมีความ
เปนหนึ่งอยู เชนในสิ่งที่มีอยูอยางมากมายนี้มีความเปนสสารซึ่งสามารถรับรูไดทางประสาทสัมผัส ในความ
ยุงเหยิงที่เราเห็นอยูมีระเบียบกฎเกณฑ เชน สสารขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สิ่งที่มนุษยสังเกตเห็นเหลานี้
ประกอบกับความเชื่อวาเหตุผลสามารถเขาใจระเบียบกฎเกณฑของธรรมชาติได และธรรมชาติมีกฎเกณฑ
ในตัวเองมิไดอยูใตอํานาจการดลบันดาลของใครไดทําใหมนุษยพยายามอธิบายธรรมชาติ ในขอบเขตของ
ธรรมชาติอันเปนแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (naturalism) ที่เขามาแทนที่แนวคิดที่อธิบายสิ่งตาง ๆ ดวย สิ่ง
เหนือธรรมชาติเชน เทพเจาตาง ๆ (supernaturalism) ความคิดเชนนี้ทําใหธรรมชาติเปนสิ่งที่แนนอนพอที่
มนุษยจะศึกษาไดดวยการสังเกตและดวยเหตุผลมิใชเปนสิ่งที่เปลี่ยนไปตามอําเภอใจของเทพเจาที่มีอํานาจ
ดลบันดาล วิชาการจึงเปนสิ่งที่เปนไปได และวิชาที่มุงศึกษาหากฎเกณฑของธรรมชาติซึ่งพัฒนามาจน
ปจจุบันก็คือวิทยาศาสตร
นักปรัชญาอยางโสกราตีสไมสนใจปญหาเกี่ยวกับโลกภายนอกเชนเดียวกับนักปรัชญาจีนเชน ขงจื๊อ
โสกราตีสสนใจปญหาเกี่ยวกับชีวิตที่ดี สนใจคนหาความหมายที่แทจริงของคุณคาตาง ๆ ที่มนุษยยึดถือ เชน
คุณธรรม ความยุติธรรม โดยหวังวาหากเราเขาใจความหมายที่แทไดแลวคนเราก็จะดําเนินชีวิตไปในทางที่ดี
สวนขงจื๊อสนใจคนหาสังคมที่ดี คนหาวาคนที่อยูในสังคม ซึ่งมีฐานะแตกตางกันควรปฏิบัติตอกันอยางไร
ครอบครัวและรัฐจึงจะเปนที่ที่สมาชิกของครอบครัวและประชาชนพลเมืองมีความสุข
ในคริสตศตวรรษที่ 17 เปนตนมานักปรัชญาตะวันตกไดเสนอทฤษฎีตาง ๆ เกี่ยวกับปรัชญาสังคม
การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและเศรษฐกิจ รวมทั้งกิจกรรม
ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศตาง ๆ การปฏิวัติฝรั่งเศส การประกาศอิสรภาพของอเมริกา การปฏิวัติของ
คอมมิวนิสต และเหตุการณทางการเมืองในประเทศตาง ๆ การตอสูกันทางแนวคิดระหวางทุนนิยมกับสังคม
นิยม ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสตซึ่งนําไปสูสงครามเย็นและการแยกตัวของชาติตาง ๆ ที่เคยรวมอยูใน
สหภาพโซเวียต สิ่งเหลานี้ลวนแตเปนผลของความคิดทางปรัชญาทั้งสิ้น ความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ดังกลาว
ขางตนทําใหสังคมและความคิดของมนุษยเปลี่ยนไป สิ่งที่เคยเปนความเชื่อทางศาสนาและประเพณีถูกโตแยง
และถามหาเหตุผลมากขึ้น สังคมและสภาพแวดลอมทําใหสิ่งที่ไมเปนปญหากลับเปนปญหาและผูที่ซักถาม
13
และพยายามหาคําตอบก็มีทั้งผูที่ปฏิบัติงานในดานนั้น ๆ และบรรดานักปรัชญาที่สนใจในปญหาดังกลาว เชน
ปญหาการุณยฆาต (mercy killing) ปญหาเกี่ยวกับความตาย เชน การฆาตัวตาย (suicide) โทษประหารชีวิต
(death penalty) ปญหาการทําแทง ปญหาสิทธิในการเสพยาเสพติด ปญหาสภาวะแวดลอม สิทธิ ความ
ยุติธรรม ฯลฯ
นอกจากนั้น ความรูสาขาตาง ๆ ที่เปนความรูเฉพาะสาขาวิชานั้น ยิ่งมนุษยมีความรูมากยิ่งขึ้นก็
ยิ่งเห็นปญหาลึกลงไปเรื่อย ๆ ปญหาเหลานั้นเปนปญหาที่นักปรัชญาเฉพาะสาขาพยายามตอบเชน ปรัชญา
การเมือง ปรัชญาภาษา ปรัชญาศาสนา ปรัชญากฎหมาย ปรัชญาสังคม ปรัชญาการศึกษา ปรัชญา
สังคมศาสตร ฯลฯ จึงเห็นไดวาไมวามนุษยจะพัฒนาความรูไปสักเพียงไร ปรัชญาก็ยังคงมีบทบาทในการหา
ความรูของมนุษย และอยูในวิถีชีวิตมนุษยเสมอ
ปรัชญาอาจไมไดตอบคําถามและเสนอวิธีปฏิบัติอยางวิทยาศาสตรและศาสนา แตปรัชญาก็เสนอ
คําถามและพยายามใหคําตอบในหลายแนวทาง หลายแงหลายมุมซึ่งทําใหนักวิชาการพยายามตอบปญหา
ความพยายามดังกลาวจะทําใหวิชาการเจริญขึ้นเชนเดียวกับคําถามและคําตอบของนักปรัชญายุคแรก ๆ ไดมี
สวนสรางสรรคความรูใหแกมนุษยชาติมาแลว นักปรัชญาไมเคยหยุดทําหนาที่นี้และความรูของมนุษยก็ดําเนิน
ตอมาจนปจจุบันอยางไมเคยหยุดหยอน
7. มนุษยตองการคําตอบของคําถามวา “ทําไม”
7.1 ความจริงที่เขาใจไดดวยวิทยาศาสตร
เมื่อเกิดคลื่นถลมฝงหรือสึนามิ (Tsunami) ขึ้นที่ภาคใตของประเทศไทย และมีผูคนลมตายเปน
จํานวนมาก แตก็มีรอดชีวิตเปนจํานวนมากดวยเชนกัน บางคนอยูใกลดงไม หนีเขาไปในดงไมและปนขึ้นไป
บนตนไมสูง ๆ บางคนกําลังจะตายแตมีคนควาแขนดึงออกจากหองที่น้ํากําลังจะทวมจมมิด บางคนกําลัง
จะจับมือคนที่คอยชวยแตน้ําก็พัดออกไปทางอื่น บางคนอยูไกลถึงตางประเทศก็มาตายอยูในเมืองไทย
วิทยาศาสตรอาจตอบคําถามวา ทําไม คือบอกสาเหตุของปรากฏการณนี้ เชน อาจอธิบายวา
เปลือกโลกเลื่อนที่ชวาทําใหเกิดแรงสั่นสะเทือนอยางมาก ทําใหน้ํายุบลงแลวกลับดันออกไปโดยรอบ เกิด
เปนคลื่นใตน้ํา เมื่อใกลฝงก็โผนขึ้นสูง เขาถลมฝง แลวกวาดสิ่งที่ขวางหนาลงทะเล คนที่ตายก็เนื่องจากถูก
วัสดุที่มากับน้ํากระแทกบาง จมน้ําตายบาง
การตอบคําถาม “ทําไม” ดังกลาวแมทําใหคนเขาใจสาเหตุของสึนามิและสาเหตุการตายของคน
แตคนก็ยังของใจและยังถาม “ทําไม” ตอไป คําถามหลังนี้ไมไดถามหา “สาเหตุ” แตถามหา”เหตุผล” เชน
ทําไมบางคนจึงโชคดีอยูใกลตนไมใหญ แตบางคนโชครายเห็นน้ําลดกลับวิ่งไปดูเหมือนวิ่งไปหามัจจุราช ทําไม
บางคนที่มีคนชวยเพราะบังเอิญเห็นกลับรอดชีวิต แตบางคนเห็นวามีมือรอชวยอยูหางเพียงฝามือเดียวแตกลับ
ถูกคลื่นคราเอาชีวิตไปตอหนาตอตาคนที่รอชวย ทําไมบางคนอยูตางประเทศเพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรกก็ประสบ
เหตุการณนี้ และมีคนไทยชวยเหลืออยางดียิ่งกวาเปนญาติ จนเกิดรักกัน
14
คําถามวา “ทําไม” เหลานี้ ไมไดถามหาสาเหตุทางวิทยาศาสตรและวิทยาศาสตรก็ไมถามคําถาม
เหลานี้ ถาไมถามก็ไมเกิดอะไรขึ้น แตถาอยากไดคําตอบ ก็ตองถาม คนที่ตอบก็อาจตอบตางกัน มีเหตุผล
ตางกัน บางคนอาจตอบโดยอางพระเจา บางคนอางกรรม บางคนอางดวงชะตา การรูวิทยาศาสตรไมไดทํา
ใหคนไมถามคําถามเหลานี้ หรือถามนอยลง เพราะคําถามประเภทนี้ไมใชคําถามที่วิทยาศาสตรจะตอบได
7.2 ความจริงที่วิทยาศาสตรไมเขาใจ
ความจริงบางเรื่องเปนความจริงที่คนรู ๆ กันอยูและวิทยาศาสตรก็ตอบไมได กลาวคือ แมคําถาม
วา “ทําไม” อาจอยูในขอบเขตของวิทยาศาสตร แตวิทยาศาสตรก็ตอบอยางเปนวิทยาศาสตร คืออธิบาย
สาเหตุแตอธิบายเหตุผลไมได เชน สัตวที่ไมกินเนื้อหลายประเภทมีเขา เชน กวางตาง ๆ และเขาของแตละ
ประเภทก็ไมเหมือนกันเลย สวนสัตวที่กินเนื้อเชน เสือ งู สุนัข มักจะมีเขี้ยวที่ใชจับเหยื่อ ถาเราถามวาทําไม
กวางจึงตองมีเขา และทําไมจึงตองมีเขารูปรางตางกัน ทําไมเสือจึงมีเขี้ยว แตกวางไมมี การตอบวากวางมีเขา
เสือมีเขี้ยวก็เพื่อเปนอาวุธ ไมใชคําตอบที่เปนวิทยาศาสตร เพราะยังไมไดบอกสาเหตุ เปนแตบอกขอเท็จจริงที่
เห็นอยูแลว ถากวางจะมีเขี้ยวดวยโดยไมตองจับเหยื่อจะผิดที่ตรงไหน
คําถามนี้อาจมีผูตอบตาง ๆ กัน เชน “เปนกฎธรรมชาติที่สัตวจะตองมีอวัยวะเฉพาะที่ใชประโยชน
เทานั้น” แตใครตั้งกฎนี้และทําไมจึงตองตั้งกฎเชนนี้ก็ตอบไมไดอีก บางคนอาจอางวา พระเจาทรงสราง
เชนนั้น นี่อาจเปนคําตอบแมอาจถามตอไปไดวา ทําไมพระเจาจึงทรงสรางเชนนั้น
เหตุการณบางเหตุการณก็ไมใชกฎธรรมชาติทั่ว ๆ ไป แตดูเหมือนเปนวงจรชีวิต เชน ปลาแซมมอน
(salmon) วายน้ําจากทะเลไปสูตนน้ําบนภูเขาเปนระยะทางนับรอย ๆ กิโลเมตร เพื่อวางไข แลวก็ตาย ปลา
แซมมอนทําเชนนี้รุนแลวรุนเลา ทําไมจึงเปนเชนนั้น
งูทะเลบางชนิดเดินทางไปที่เกาะแหงหนึ่งโดยตองขึ้นเกาะในเวลากลางคืนผสมพันธุใหเสร็จแลวลง
น้ํากอนสวาง เพราะมีนกเหยี่ยวคอยลา เหตุการณนี้เกิดปละครั้ง งูจํานวนนับรอยนับพันทําไมจึงตองมาที่
เกาะนี้ และทําไมตองใหกิจกรรมทุกอยางจบกอนสวาง และทําไมนกจึงรูวางูมา และคอยดักจับงูที่ลงน้ําไม
ทันกอนรุงสวาง ทั้ง ๆ ที่ปหนึ่งมีวันเดียวที่งูมา
ความลี้ลับมหัศจรรยเหลานี้วิทยาศาสตรตอบไมได เมื่อวิทยาศาสตรตอบไมไดจะใหมนุษยยอม
จํานน เลิกหาคําตอบกระนั้นหรือ มนุษยไมไดยอมจํานนเชนนั้น แตคงตองถามตอไปวาหากวิทยาศาสตร
ตอบไมได เพราะเปนเรื่องลี้ลับเกินไป ถาเชนนั้นมีศาสตรหรือวิชาอะไรหรือไมที่จะชวยใหเห็นคําตอบ
ปรัชญาก็ดี ศาสนาก็ดี อาจมีคําตอบในเรื่องเหลานี้ แมอาจพิสูจนไดไมชัดเจนอยางคําตอบทางวิทยาศาสตร
แตก็อาจมีเหตุผลเชื่อมโยงเปนแนวคิดที่เปนไปได
8. ตั้งคําถามอยางเสรีดวยเสรีภาพในการตั้งคําถาม
ความเปนนักปรัชญามิใชอื่นไกล คือความเปนผูรูในความไมรูของตน จนสงสัยไปทุกสรรพสิ่ง ไม
เปนผูเชี่ยวชาญในศาสตรเฉพาะสาขาใด ๆ ไมอาจสูไดกับผูเชี่ยวชาญในแตละเรื่อง แตตองหาความรูรอบ
15
ดาน เอาความรูของผูเชี่ยวชาญมาประมวล สอบสวนหาความจริง สิ่งที่ยุงยากแกนักปรัชญาอยูที่การหาตัว
ผูเชี่ยวชาญที่แทจริง เพราะหากพึ่งพิงผูเชี่ยวชาญที่ไมจริงแทเมื่อใด ความรูที่ไดก็จะเกิดผิดพลาด นักปรัชญา
จึงตองสงสัยไปในเรื่องที่อางกันวาเปนความรู และสงสัยไปในหมูผูเชี่ยวชาญ
ปรัชญากับเสรีภาพที่จะคิดนั้นไมแยกกัน แตวาประสานเปนหนึ่งเดียว การมีเสรีภาพที่จะคิดก็คือ
สงสัยหรือตั้งคําถามไดอยางเสรี และที่ถามไดอยางเสรีนั้นก็เพราะมีเสรีภาพดังที่โสกราตีสแถลงในศาลประชาชน
แหงนครเอเธนสในศตวรรษที่ 6 กอนคริสตศักราชมีใจความดังนี้
ประชาชนชาวเอเธนสทั้งหลาย ขาพเจารูจักทานและรักทาน แตขาพเจาจักเชื่อฟงเทพเจา
มากกวาจะเชื่อฟงทาน และตราบใดขาพเจายังมีชีวิตแลพละกําลังอยู ขาพเจาจักไมมีวัน
เลิกปฏิบัติในทางปรัชญาและสอนปรัชญา … ขาพเจานั้นเปนตัวเหลือบอันเทพเจาใหมา
เกาะติดอยูกับรัฐ ตลอดทั้งวันในทุกหนทุกแหง ขาพเจาจักบอกแกทานวาหากขาพเจาทํา
ตามทานบอกก็เทากับไมเชื่อฟงเทพเจา ดวยเหตุนั้นขาพเจาจึงมิอาจเลิกพูดได ทุกวันเปน
ประจําจะตองพูดเรื่องคุณธรรม และเรื่องอื่น ๆ ดังที่ทานไดยินขาพเจาสํารวจตัวเองและคน
อื่น ๆ อยูนั่นแลที่เปนสิ่งประเสริฐสุดของมนุษย ชีวิตที่ปราศจากการสํารวจตรวจสอบยอม
ไมมีคุณคาที่จะอยู … ในปรโลกขาพเจาก็จักแสวงหาความรูตอไปวาอะไรเปนความรูที่
แทจริงอะไรเปนความรูที่ผิด ในปรโลกนั้นเขาไมประหารชีวิตคนเพราะตั้งคําถาม… ไมประหาร
แนนอน
(เปลโต, อโปโลยี)
9. ปรัชญาในความหมายที่คนทั่วไปนิยมใช
คําวาปรัชญาตามที่กลาวมาแลวนั้นเปนความหมายทางวิชาการ ในปจจุบันมีผูใชคําวาปรัชญาอยาง
สับสนเพราะขาดความรูทางปรัชญาเชนใชหมายถึงความเชื่อหรือความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่คนเชื่อเชนเรื่องผี
เปนปรัชญาของเขา หมายถึงจุดประสงคเชนปรัชญาของการศึกษาก็คือการทําใหคนมีความรู หมายถึง
หลักการเชนความเมตตาเปนปรัชญาของพยาบาลทุกคน หมายถึงคําคมหรือคําพูดสั้น ๆ ที่มีความหมาย
ลึกซึ้ง เชน ปรัชญาของเขาก็คือจะกินเพื่ออยู อยาอยูเพื่อกิน
ความเขาใจที่สับสนหรือที่จริงคือความไมเขาใจปรัชญาดังกลาวทําใหคนเราไมเขาใจเรื่องตางๆคําวา
ปรัชญาที่ใชกันอยูนั้นสวนมากเปนเรื่องปรัชญาประยุกต และมักเกี่ยวของกับหลักการหรือหลักปฏิบัติบาง
อยางเชน มักจะเขาใจวาจรรยาบรรณ (code) ของพยาบาลคือปรัชญาของพยาบาล ความเขาใจเชนนี้มี
สวนถูกเพียงเล็กนอยคือจรรยาบรรณของพยาบาล มีสวนเกี่ยวของกับปรัชญาและจริยศาสตรของการพยาบาล
ถาใชจรรยาบรรณเปนหลักยึดเพื่อปฏิบัติตามจรรยาบรรณนั้น จรรยาบรรณก็เปนหลักปฏิบัติ ถาอธิบาย
ขอบเขตความหมายของจรรยาบรรณแตละขอก็เปนการทําใหเขาใจวาจะใชจรรยาบรรณอะไรในกรณีใดและใช
อยางไร แตทั้งสองอยางก็มิใชปรัชญา ปรัชญาของพยาบาลเกี่ยวของกับจรรยาบรรณของพยาบาลในแงที่
16
ปรัชญาของการพยาบาลในสวนที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณก็คือเหตุผลที่อยูเบื้องหลังจรรยาบรรณแตละขอๆเหลานั้น
ทําไมพยาบาลจึงตองมีจรรยาบรรณ เหตุผลที่มาอธิบายหลักการคือ ปรัชญา หลักการคือขอกําหนดให
ปฏิบัติ คําอธิบายหลักการสรางความเขาใจ และการปฏิบัติตามหลักการถือเปนการกระทําที่ถูกตองตาม
หลักการนั้น ดังนั้นแมในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจําวันดังกลาวก็ตองแยกแยะใหชัดวาอะไรคือปรัชญาอะไรไมใช
มิฉะนั้นจะวิเคราะหและอธิบายเรื่องเหลานั้นใหแจมแจงและลึกซึ้งไมได
2
1.
(Zeus) (Vishnu) (Horas)
(Venus of Willendorf) (Demeter)
(supernatural) (Theism)
18
ตามธรรมชาติ การตอบคําถามของนักปรัชญาไดนําไปสูแนวคิดธรรมชาตินิยม (naturalism) ซึ่งตรงขามกับ
ลัทธินิยมสิ่งเหนือธรรมชาติ (supernaturalism)
2. จักรวาลที่ไรระเบียบกับจักรวาลที่มีระเบียบ
ถาคําอธิบายจักรวาลเปนเรื่องที่อยูในอํานาจของเทวดาและเปนการกระทําหรือความบันดาลใหเปนไป
ของเทวดาจักรวาลก็ไมมีระเบียบกฎเกณฑตายตัวทํานายอะไรลวงหนามิไดเพราะขึ้นกับความพอใจของเทวดา
ที่จะใหเปนอยางไรก็ได จึงดูเหมือนจักรวาลนี้ยุงเหยิงไรระเบียบ (chaos) เทวดาเปนผูนําสิ่งตาง ๆ ในจักรวาล
มาจัดการเปนคราว ๆ ไป ในสภาวะเชนนี้วิชาการที่สําคัญที่สุดก็คงไดแกคําสวดสรรเสริญออนวอนเทวดา
คาถาอาคมของผูมีฤทธิ์ที่ติดตอกับเทวดาได เชน พอมด หมอผี นักบวชและคนทรง
ในทามกลางการดําเนินชีวิตที่เชื่อมโยงกับเทวดาและอยูในอํานาจของเทวดาของกรีกนั้นไดมีนัก
ปรัชญาคนสําคัญคือ ธาเลส (Thales) ที่ประกาศความคิดใหม อธิบายจักรวาลโดยไมอางถึงเทวดา แต
อธิบายโดยอางความจริงแรกเริ่มที่เรียกวาหลักการแรก (first principle) บางปฐมธาตุ (first element) บาง
วาสิ่งทั้งปวงกําเนิดมาจากปฐมฐาตุน้ํา โลกมีสัณฐานแบนและกลมอยางจานขาวลอยอยูในน้ํา ความเชื่อ
ของธาเลสนั้นคนปจจุบันอาจเห็นวาไมคอยมีเหตุผลแตคําพูดเชนนี้ทามกลางคนทั้งปวงที่เชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ
ยอมนับวาเปนการประกาศความคิดอยางตรงขามกับคนสวนใหญโดยผูประกาศไมมีพรรคพวกเลย การประกาศ
นี้จึงเปนความกลาหาญ และสงผลใหเกิดทาที (altitude) หรือเจตคติที่ตรงขาม ที่แตกตางอยางสิ้นเชิงกับ
แนวคิดที่เปนอยูคือความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ความแตกตางนี้มีความสําคัญแกวิชาการและแกปรัชญา
อยางยิ่ง คือ
2.1 ความเชื่อวาจักรวาลมีระเบียบกฎเกณฑ สิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลไมวาเทวดาบันดาลหรือไมก็
ตาม หากหมุนเวียนไปหรือเปลี่ยนแปลงไปอยางสม่ําเสมอ ก็เทากับมีกฎเกณฑ มีระเบียบแบบแผน เชนการ
เปลี่ยนไปของฤดูกาลในรอบป การเจริญเติบโตของพืชจากเมล็ดจนเปนตน ออกดอกผล แลวตนใหมก็เจริญ
ไปอยางเดียวกัน สัตวที่ออกไข ฟกไข เปนตัวออน เปนสัตวที่โตเต็มวัย ผสมพันธุ แลวออกไข สัตวที่ออกลูก
เปนตัวก็มีวงจรของมัน กอนฝนจะตกตองมีเมฆดําลอยต่ํา มีลมพัด ปรากฏการณตาง ๆ ในธรรมชาตินั้น
สังเกตเห็นระเบียบเหลานี้ได จักรวาลแมมีสิ่งตาง ๆ มากมายหลายหลาก (versify) แตมีกฎมีเกณฑมีระเบียบ
เปนที่รวมความหลายหลากเขาเปนหนึ่งเดียว(uni)จักรวาลจึงเปนความหลายหลากที่มีระบบระเบียบ(universe)1
คือมีความเปนหนึ่งในความหลายหลาก และความถาวรในความเปลี่ยนแปลง
2.2 ระเบียบหรือกฎเกณฑของจักรวาลนี้อยูในวิสัยที่มนุษยจะเขาใจไดดวยเหตุผล ธาเลสเปน
วิศวกรโยธาผูที่สามารถเปลี่ยนทางเดินของแมน้ําในกรีกสมัยโบราณไดจึงเปนผูที่มีความรูทางคณิตศาสตรซึ่ง
เปนวิชาที่มีระเบียบกฎเกณฑละเอียดลออเปนขั้นเปนตอนมากที่สุด จะผิดพลาดไมไดเลย และกฎเกณฑ
เหลานั้นก็เขาใจไดดวยเหตุผล ดังนั้นกฎเกณฑของจักรวาล ถาเราใชเหตุผลพินิจพิจารณาก็นาจะเขาใจได
1
บางคนใชคําวาเอกภพ ไมใชคําวา จักรวาล เพื่อแปล uni ใหตรงกับ เอก
19
เชนกัน อยางนอยการคํานวณวัน เดือน ป ซึ่งมีมาตั้งแตสมัยเมโสโปเตเมีย ก็เปนตัวอยางใหเห็นไดชัดวา
มนุษยสามารถเขาใจความเปนไปของจักรวาลได
2.3 ความคิดดังกลาวขางตนทําใหพนจากความเชื่อที่วาจักรวาลไมมีกฎเกณฑและศึกษาเขาใจไมได
และเกิดมีความมั่นใจวามนุษยสามารถหาความรูเกี่ยวกับจักรวาลได ความรูจึงเปนสิ่งที่มนุษยไมตองพึ่งเทวดา
แตพึ่งตนเองได และการที่จักรวาลมีกฎเกณฑก็ทําใหจักรวาลเปนสิ่งที่ศึกษาได จึงนับวาวิชาการไดเกิดขึ้นจาก
ความคิดของธาเลสดังกลาว พนจากความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ มาเชื่อความจริงตามธรรมชาติ วิทยาศาสตร
และศาสตรเกี่ยวกับธรรมชาติอื่น ๆ จึงเปนสิ่งที่พัฒนาได มนุษยเปนผูไขความลี้ลับของจักรวาลดวยศักยภาพ
ดานเหตุผลของมนุษย
2.4 วีรกรรมทางวิชาการของธาเลสดังกลาวเกิดจากการที่ธาเลสมิไดเชื่อเทาที่ฟงมา เทาที่เชื่อกัน
ตามประเพณีสืบตอกันมาและไมเชื่อเทาที่ตาเห็น แตไดใชเหตุผลคิดใหลึกซึ้งกวาที่ตาเห็น ในความหลายหลาก
ธาเลสจึงเห็นเอกภาพ ในความเปลี่ยนแปลงจึงเห็นแบบแผนและกฎเกณฑ ในความแตกตางจึงเห็นความเปน
หนึ่ง เรื่องความเปนหนึ่งนี้มีผูคิดลึกซึ้งลงไปถึงสสารที่ไมอาจเห็นตัวตนได เชน เดโมคริตุส (Democritus)
เห็นวาสิ่งทั้งหลายที่เราเห็นอยูนี้ลวนแตมาจากสิ่งเบื้องตนเดียวกันคือ อะตอม1
ซึ่งไมมีคุณสมบัติเฉพาะและ
แบงแยกไมได นั่นคือธาเลสไดเปดโลกความจริงใหลึกลงไปกวาประสาทสัมผัสปกติ หรือโลกของสามัญสํานึก
วิชาการของมนุษยเจริญมาไดจนปจจุบันก็ดวยการศึกษาที่สมัยนั้นนับวา พนระดับประสาทสัมผัส และความ
จริงที่อยูพนประสาทสัมผัสนี่เองที่ทําใหความคิดเกี่ยวกับความจริงของจักรวาลพัฒนาไปในแนวทางสองแนวทาง
ที่ตรงกันขามคือจิตนิยม(idealism)กับวัตถุนิยมหรือสสารนิยม(materialism)
3. สสารนิยมหรือวัตถุนิยม (Materialism)
ถาเราถามตัวเราเองวาอะไรบางที่เปนจริง เราอาจดูที่ตัวเรากอน ที่เราถามไดวาอะไรจริงก็เพราะมี
ตัวเรา ตัวเราที่วานั้นที่เห็นไดชัดก็คือรางกาย ทั้งที่เห็นอยูภายนอกและอวัยวะที่อยูภายใน การปฏิเสธความ
มีอยูของรางกายเรานับวาเปนเรื่องแปลกประหลาด แมวาจะมีนักปรัชญาบางคนมีเหตุผลในการปฏิเสธเรื่อง
ดังกลาวก็ตาม โดยทั่วไปแลวคนเรามักยืนยันความมีอยูจริงของรางกาย
นอกจากรางกายเราแลวเรายังเชื่อวา รางกายของผูอื่นก็เปนจริงเชนเดียวกับรางกายของเรา รางกาย
ของสัตว ตนไม และสิ่งไมมีชีวิตเชนกอนหิน แรธาตุก็ลวนเปนจริงทั้งสิ้น จึงกลาวไดวาคนเราโดยทั่วไปเชื่อ
ประสาทสัมผัส และ สิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรูก็คือกายหรือวัตถุที่มีคุณสมบัติตาง ๆ
วัตถุที่เราเห็นนั้นมีการประกอบกันขึ้นจากสวนประกอบยอยๆซับซอนเปนชั้น ๆ เชนรางกายประกอบ
ดวยระบบตางๆเชนระบบการไหลเวียนของโลหิตระบบโครงกระดูกระบบเนื้อเยื่อระบบเหลานี้ก็ประกอบดวยอวัยวะ
ที่ทํางานรวมกันในระบบ เชน หัวใจ ปอด เสนโลหิต อวัยวะเหลานี้ก็มีสวนประกอบยอยเชน หัวใจแบงเปนหอง
มีลิ้นหัวใจ มีเสนเลือด ในเลือดก็มีสวนประกอบยอยลงไปอีก
1
atom มาจาก a tome (to cut) แปลวาแบงไมได, ตัดไมได
20
การพิจารณาเชนนี้ทําใหเกิดปญหาวาเมื่อเราแบงแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งยอยลงไปเรื่อย ๆ จะถึงความ
จริงขั้นพื้นฐาน ซึ่งแบงตอไปอีกไมได ความจริงนี้คืออะไร มีหนึ่ง หรือมากกวาหนึ่ง แมคําตอบเรื่องนี้จะ
ตางกันแตพวกสสารนิยมตางก็ยอมรับวา ความจริงพื้นฐานนี้ยังเปนสสารหรือวัตถุ เชน ธาเลสคิดวา คือ น้ํา
ดังไดกลาวมาแลวในตอนตนเอมพีโดเคลส (Empedocles) คิดวาคือ ธาตุ 4 ดิน น้ํา ไฟ ลม บางคนคิดวา
เปนสสารที่ไมมีคุณสมบัติใด ๆ เลย เชน อแน็กซิแมนเดอร (Anaximander) และคนที่มีอิทธิพลตอความคิด
ของคนรุนหลังมากคือ เดโมคริตุส ซึ่งคิดวาสสารที่เล็กที่สุดนั้นคืออะตอม (Atom) ซึ่งความหมายไมเหมือน
อะตอมของธาตุในวิทยาศาสตรปจจุบัน คําวา อะตอมที่เดโมคริตุส ใชนั้นเปนคําเรียกสิ่งที่เขาก็ไมรูชัดวา เปน
อะไร รูแตวาแบงไมไดและเปนที่มาของทุกสิ่ง คือทุกสิ่งประกอบขึ้นดวยอะตอม คําวา อะตอมดังกลาวก็
เชนเดียวกับคําวา อีเธอร (Ether) ในสมัยตอมาที่นักวิทยาศาสตรใชโดยที่เชื่อวามีอยู แตไมรูวาเปนอยางไร
เดโมคริตุสใชคําวาอะตอมตามความหมายตรงตัวคือ A tome (to cut) แปลวา แบงไมได
แนวทางที่กรีกศึกษาสิ่งตาง ๆ ที่เปนสสารวัตถุคือการแบงหรือการวิเคราะหแยกแยะองคประกอบ
เปนสวนประกอบยอยของมันนั้น เกิดเปนแนวทางที่นักวิทยาศาสตรใชคือ วิธีที่จะเขาใจและวิธีที่จะอธิบายสิ่ง
ใดก็คือการแยกใหเห็นองคประกอบยอยและความสัมพันธระหวางองคประกอบเหลานั้น เชนนักวิทยาศาสตร
นําคําวาอะตอมมาใชกับหนวยเล็กที่สุดที่เปนองคประกอบของธาตุ จนมีการคนควาหาวิธีแบงแยกอะตอมของ
ธาตุได จึงกลาวไดวานักวิทยาศาสตรปจจุบันก็คือผูดําเนินรอยตามสสารนิยมในอดีต แตสามารถใชวิธีทดสอบ
แทนการคาดคะเนเอาดวยการอางเหตุผลอยางนักปรัชญาแตกอน
ความคิดดังกลาวขางตนทําใหเราสามารถสรุปแนวความคิดของสสารนิยมไดเปนขอ ๆ ดังนี้
1. สสารนิยมเชื่อวาสิ่งที่เปนจริงมีชนิดเดียวคือสิ่งที่อยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส ไดแก สสาร
และพลังงานตามความหมายของวิทยาศาสตร ทั้งสสารและพลังงานที่วิทยาศาสตรถือวาเปนความจริงนี้
ปรัชญาเรียกรวมๆวาสสาร
2. สิ่งตาง ๆ ที่เรารับรูดวยประสาทสัมผัสที่ปรากฏอยูรอบตัวเรานี้ประกอบดวยสสาร สวนสสาร
เบื้องตนอันเปนที่มาของสสารอื่น ๆ คือ ธาตุนั้น จะมีเพียงชนิดเดียวหรือมากกวา และคือ ธาตุอะไรนั้น
ปรัชญาแตละสํานักเชื่อตางกันและเชื่อตางกับวิทยาศาสตร
3. ความจริงอื่นใดที่อยูพนขอบเขตของประสาทสัมผัสไมมีอยู ความจริงนามธรรมที่เราเชื่อกันนั้น
เปนเพียงสิ่งที่คนเราสมมติขึ้นตามความคิดและจินตนาการของเราหาไดมีอยูจริงตามที่เราคิดฝนไม
4. ความจริงบางอยางเชน จิต มิใชความจริงอีกประเภทหนึ่ง แตจิตก็คือผลการทํางานของกาย
จิตไมมีอยูจริง
5. คุณคาทั้งหลายที่มนุษยเชื่อถือกัน ก็เปนเพียงสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้นเพื่อประโยชนทางสังคม ไมได
มีอยูจริง และไมตายตัว ขึ้นกับสภาวะของแตละสังคมในแตละยุคสมัย
6. ความสัมพันธของสิ่งตาง ๆ เปนไปตามกฎ สาเหตุและผล (causation, cause and effect
หรือ causality)
21
7. ความเปลี่ยนแปลงของสสารมาจากสาเหตุภายนอกผลักดัน และดําเนินตอ ๆ กันไปเปนระบบ
เชนเดียวกับเครื่องจักร ความเปลี่ยนแปลงแบบนี้เรียกวา ความเปลี่ยนแปลงแบบกลไก (mechanism)
8. ทิศทางของความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยูกับปจจัยหรือสาเหตุภายนอก จึงเปนความเปลี่ยนแปลง
แบบไมรูทิศทางลวงหนา หรือเปนความเปลี่ยนแปลงแบบตาบอด
เรื่องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงนี้จะกลาวในรายละเอียดในบทตอไป
4. ผลของความเชื่อแบบสสารนิยมตอวิถีชีวิต
ความเชื่ออยางใดอยางหนึ่งยอมนําไปสู การตัดสินความจริงในเรื่องตาง ๆ อันนําไปสูความคิดในการ
ดําเนินชีวิตของคนเรา ความเชื่อแบบสสารนิยมยอมทําใหคนมีความคิดเกี่ยวกับหลักความจริงและหลักการ
ดําเนินชีวิต ในที่นี้จะกลาวถึงผลทั่ว ๆ ไป สวนผลที่เปนแนวคิดทางปรัชญาแหงการดําเนินชีวิตในเชิงทฤษฎีจะ
ไดนํามากลาวในบทที่วาดวยจริยศาสตร ความเชื่อแบบสสารนิยมทําใหเกิดความคิดเกี่ยวกับหลักความจริง
และการดําเนินชีวิตดังตอไปนี้
1. ความเชื่อวาสสารและพลังงานเทานั้นที่เปนจริงทําใหเชื่อวา จักรวาลประกอบขึ้นดวยสสารและ
พลังงาน สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิตนั้นโดยเนื้อแทแลวก็ไมตางกัน ชีวิตเปนเพียงปรากฏการณที่เกิดขึ้นจากการ
รวมตัวกันของสสารและพลังงาน ไมมีสิ่งที่เรียกวาจิต หรือนามธรรมที่เกี่ยวกับจิต เชน คุณคา ดี ชั่ว งาม ไมงาม
สิ่งนามธรรมเปนเพียงความคิดที่มนุษยคิดหรือจินตนาการขึ้นเทานั้นมนุษยมิไดประเสริฐกวาสัตวหรือตนไม
2. ธรรมชาติมีกฎเกณฑของมันเอง และดําเนินไปเหมือนเครื่องจักร แมรางกายมนุษยก็เทียบได
กับเครื่องจักร มีการประกอบขึ้นจากสวนยอยแลวก็แยกสลายไปในที่สุด ทุกสิ่งเมื่อสลายก็กลายเปนธาตุตาง ๆ
ดังนั้นมนุษยเมื่อตายแลวก็ไมมีอะไรเหลืออยู ไมมีภพ มีชาตินี้ชาติหนาดังที่ศาสนาตาง ๆ สอน
3. มนุษยเกิดในสภาพแวดลอมธรรมชาติและสังคม สภาพแวดลอมสรางมนุษยแตละคนใหเปนไป
ตามสภาพแวดลอมนั้น ๆ การที่มนุษยสนองตอบสภาพแวดลอมทําใหเกิดการตัดสินใจและพฤติกรรมตาง ๆ
เชนเดียวกับปฏิกิริยาระหวางสสารหรือพลังงาน มนุษยมิไดเปนตัวของมันเอง
4. มนุษยรับสุขและทุกขซึ่งก็คือความพึงพอใจและความเจ็บปวดไดดวยประสาทสัมผัส ความสุข
และทุกขทางประสาทสัมผัสเปนสุขและทุกขชนิดเดียวของมนุษย สุขและทุกขอื่น ๆ ลวนมาจากสุขและทุกขทาง
ประสาทสัมผัสหรือสุขทุกขทางกายทั้งสิ้น มนุษยควรแสวงหาความสุขและเลี่ยงทุกข ความสุขชนิดนี้หาได
ดวยเงินทอง ดังนั้นเงินทองจึงเปนสิ่งที่มีคาที่สุดในการดําเนินชีวิต ความสําเร็จในชีวิตคือการเปนคนมั่งคั่ง
ร่ํารวย
5. เนื่องจากคุณคาไมใชสสารและพลังงาน จึงไมมีอยูจริง เปนสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้น ดังนั้นมนุษย
ไมจําเปนตองยึดถือคุณคาใด ๆ อยางถาวร ถาสถานการณเปลี่ยนคุณคาก็เปลี่ยนได ไมมีอะไรดีหรือชั่ว
อยางแทจริง ขึ้นอยูกับผลประโยชนและความสุขทางวัตถุที่จะไดรับ ทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว มิใชสัจธรรม เปน
วีรบุรุษแลวยากจน สูเปนคนมั่งมีธรรมดา ๆ จะดีกวา
22
6. ความรูที่แทจริงคือความรูทางวิทยาศาสตรเทานั้น การคิด การตัดสินปญหาตาง ๆ ตองอาศัย
ความรูทางวิทยาศาสตร ความรูทางศาสนาหรือความรูอื่น ๆ ที่ไมใชวิทยาศาสตรไมเปนจริงและไมจําเปนใน
การแกปญหา มีแตจะเปนการถอยหลังเขาคลอง
7. กฎการตอสูเพื่อความอยูรอดของดารวินนั้นเปนกฎที่จริงที่สุด ถาจะอยูรอดหรือร่ํารวยแลว หาก
จะตองเอาเปรียบหรือใชผูอื่นเปนเครื่องมือก็ควรทําเพราะโดยธรรมชาติปลาเล็กก็เกิดมาเพื่อเปนเหยื่อปลาใหญ
ถาปลาใหญไมกินปลาเล็กก็อยูรอดไมได
5. จิตนิยม (Idealism)
คําวา จิตนิยมมีความหมายซับซอนเนื่องจากนักปรัชญาจิตนิยมมีความคิดแตกตางกัน ในเบื้องตน
นี้จะไมนําเรื่องที่สลับซับซอนดังกลาวมาอธิบาย เพราะจะทําใหผูที่พึ่งเริ่มศึกษาปรัชญาเกิดความสับสน แต
จะใชวิธีนิยามอยางกวาง ๆ แลวจะแสดงวิธีพิจารณาวาเหตุใดจึงเกิดแนวคิดจิตนิยมขึ้นได ทั้ง ๆ ที่แนวคิดนี้
ตองยืนยัน และพิสูจนสิ่งที่เปนนามธรรมซึ่งมองเห็นไมไดจับตองไมไดวามีอยูจริง ซึ่งเปนเรื่องที่ดูเหมือนจะ
ขัดกับสามัญสํานึกอยางยิ่ง
ในความหมายกวางๆจิตนิยมคือแนวความคิดที่เชื่อวา ความจริงแทมีลักษณะเปนจิตหรือนามธรรม
จิตนิยมจัดเชื่อวาความจริงมีชนิดเดียว ความจริงที่เปนวัตถุหรือสสารนั้นเปนมายาหรือเปนรูปหนึ่งของจิต เชน
ความคิดของนักปรัชญาชื่อ เบอรคลีย (Berkeley) และปรัชญาอินเดียลัทธิเวทานตะของศังกราจารย เปนตน
จิตนิยมโดยทั่วไปมักจะยอมรับความจริงของสสารวัตถุในระดับหนึ่ง แมไมยอมรับวาเปนความจริง
แทเทาจิต ดังที่พวก ทวินิยม (Dualism) ยอมรับ จิตนิยมประเภทนี้ถือวาจิตจริงกวาหรือสําคัญกวาสสารวัตถุ
ศาสนามักจะเปนจิตนิยมประเภทนี้ คริสตศาสนาเชื่อวาพระเจาเปนความจริงแท แตโลกและสสารสิ่งที่
พระเจาสรางก็เปนจริงดวยเชนกัน เพียงแตสําคัญและจริงนอยกวาผูสราง พระพุทธศาสนาก็ยอมรับความ
จริงของกายและจิตเปนองคประกอบของมนุษย แตก็ใหความสําคัญแกจิตมากกวากาย แมยอมรับความ
จริงของโลกวัตถุแตก็เนนการพัฒนาจิตเพื่อไปสูนิพพานเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิต ปญหาที่เราควรคิดใน
ที่นี้ก็คือทําไมคนเราจึงเชื่อวาจิตหรือสิ่งนามธรรมอื่น ๆ มีอยูและสําคัญกวากายหรือวัตถุทั้ง ๆ ที่เรามองไม
เห็นจิต จับตองจิตไมได
5.1 สิ่งที่เห็นจําเปนตองจริงหรือไม
เมื่อเราแหงนมองทองฟา เราเห็นทองฟาที่มีเมฆและดวงอาทิตยในเวลากลางวัน สวนกลางคืน
เราเห็นทองฟาเหมือนผืนกํามะหยี่สีดําที่มีดวงดาวทั้งหลายวางอยูเกลื่อนไปหมด แตที่จริงไมมีทองฟาอยาง
ที่เราเห็นเปนผืนกวางนั้น ทะเลสีครามที่งามลนจนกวีนํามาพรรณนาจะมีสีครามดังวาก็หาไม สิ่งที่เห็นไดไม
จําเปนตองมีจริง ทองฟาในเวลากลางวันที่เราเห็นเปนสีฟาและอยูใกลนั้น เมื่อขึ้นเครื่องบินไปดูจริง ๆ ก็ไมมี
อยู มีแตเมฆกับอากาศที่ไมมีสีปรากฏ ทองฟาเวลากลางคืนที่เห็นเปนสีดํานั้นก็เพราะขาดแสงสวาง หาใช
เปนผืนแผนสีดําไม ดาวทั้งหลายก็มิไดวางอยูบนแผนฟา แตวาลอยอยูในอวกาศอันเวิ้งวาง ยังรางกายของ
23
เรานี้ที่เปนสิ่งใกลตัวที่สุด และเราเห็นวาคงที่ถาวรอยูในขณะนี้ ที่แทก็ไมถาวรไมคงทน แตเปลี่ยนแปลงอยู
ทุกขณะ ประสาทสัมผัสมิไดรายงานความจริงแกเราเสมอไป ทางรถไฟที่แลเห็นเปนจุดบรรจบกันนั้นก็เปน
ตัวอยาง ที่แทวางคูขนานกันไปโดยตลอดสม่ําเสมอ แตสายตาไมอาจเสนอตามความจริง ตองอางอิงจาก
รถไฟที่วิ่งมาไดตามรางนั้น วาไมมีลอที่จะแยกหางจากกันออกไปตามที่สายตาเราเห็น เมื่อเปนเชนนั้นก็ตอง
วาตาของเราหลอกตัวเราเอง
5.2 สิ่งที่จริงจําเปนตองรับรูไดหรือไม
สิ่งที่เห็นอาจไมจริง และสิ่งที่จริงก็อาจมองไมเห็น ทําไมคนเราจึงตองใชแวนขยาย ที่เราตองใชก็
เพราะตองการเห็นความจริงที่มองเห็นไมไดดวยตาเปลา แตแวนขยายก็ชวยใหเราเห็นความจริงเพิ่มขึ้นได
ตามกําลังขยาย ไมอาจเห็นไดทุกสิ่งทุกอยาง ที่เล็กลงไปจนไมอาจเห็นหรือมีธรรมชาติที่ไมอาจรับรูดวยการ
เห็นก็ยังมีอยางอะตอมอยางอีเล็คตรอน รังสี คลื่นเสียงเปนตัวอยาง เพียงสีรุงที่ซอนอยูเบื้องหลังแสงสวางที่
เราเห็น ก็แฝงเรนพนจากการรับรู ถาหากจะดูก็ตองใชปริซึมมาแยกออกเปนเจ็ดสี แตก็ยังมีรังสีเหนือมวง
และใตแดง อันเรานํามาใชก็หาไดปรากฏใหเห็นตอสายตา อันความจริงนานาที่เรายังไมเห็น จะมีอยูอีกมาก
เชนไรไมอาจรู นาโนเทคโนโลยีอาจเปดประตูความจริงใหม ๆ ใหเรารูกันตอไป แตพนจากเทคโนโลยีที่
วิทยาศาสตรใชจะมีอะไรที่วิทยาศาสตรมิอาจจะเขาถึงอยูหรือไม ก็ไมมีใครอาจยืนยันหรือปฏิเสธดวย
เหตุผล เมื่อเราเรียกมันวา “สิ่งที่เราไมรู” ดูเหมือนเราจะยอมรับวามีสิ่งนั้นแตเราไมรู แตถาเราไมรู เราจะรูได
อยางไรวามีสิ่งนั้นที่เราไมรู หากวาเราไมยอมรับวาสิ่งนั้นไมมีเพราะเราไมรู ความไมรูก็ไมอาจเปนหลักฐาน
ยืนยันวาสิ่งใดมีอยูหรือไม ความไมรูไมเห็นนั่นเองที่จํากัดเราไมใหยืนยันหรือปฏิเสธได แตเรายังมี
ความสามารถที่จะถามและคนหาคําตอบดวยเหตุผลซึ่งจะเปดทางใหแกเรา ใหเราไดมีโอกาสที่จะพบหรือ
เชื่อในสิ่งที่เราไมรู ทั้งวิทยาศาสตรและปรัชญาไดอาศัยเหตุผล และเราไดพบ “สิ่งที่เราไมรู” เปน “สิ่งที่จริง”
เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ที่กลาวมาแลวนั้น เราไมอาจเขาถึงความจริง (หากวาความจริงที่พนประสาทสัมผัสมีอยู) เพราะ
ประสาทสัมผัสเชน ตาของเรามีสมรรถภาพจํากัด มีขอบเขตของการรับรูจํากัด หรือไมประสาทสัมผัสก็
หลอกเรา เชนกรณีรางรถไฟบรรจบกัน คุณสมบัติของประสาทสัมผัสเทาที่เรามีอยูนั้นขัดขวางเรามิใหเขาถึง
ความจริงใด ๆ ที่พนประสาทสัมผัส
นอกจากนั้นประสาทสัมผัสยังอาจรับรูความจริงตามคุณสมบัติของตัวมัน มิใชตามความเปนจริง
ของสิ่งนั้น ทํานองเดียวกับที่หลอดไฟฟา เมื่อรับไฟฟาเขามาไดทําใหไฟฟาปรากฏ เปนแสงสวาง หาใชเปน
ไฟฟาในรูปเดิมกอนที่จะเขาสูหลอดไฟฟาไม ความรูที่เรารับเขามาทางประสาทสัมผัสก็อาจถูกบิดเบือนแปร
สภาพไป มิใชความรูในรูปเดิม
เทาที่กลาวมานี้ก็ยังอยูในความเชื่อที่วาความจริงรับรูไดโดยผานประสาทสัมผัส แตเรายังอาจตั้ง
คําถามไปไดไกลกวานี้คือ ความจริงมีแตชนิดที่รูไดดวยประสาทสัมผัสเทานั้น หรือวามีความจริงชนิดอื่นที่
อาจรูไดดวยวิธีอื่นที่มิใชการใชประสาทสัมผัส
24
5.3 คณิตศาสตรและศาสนา
วัฒนธรรมอินเดียและกรีกโบราณอันเปนวัฒนธรรมที่เจริญและมีอิทธิพลตอวัฒนธรรมรุนหลังและเปน
วัฒนธรรมที่เจริญอยูคนละซีกโลกนั้นเปนวัฒนธรรมที่มีกําเนิดจากคนดั้งเดิมกลุมเดียวกันคือ อารยัน ดังนั้น
จึงไมเปนเรื่องแปลกที่จะมีลักษณะที่คลายคลึงกันและเปนวัฒนธรรมของคนที่เปนนักคิด ความคิดที่สําคัญ
และมีอิทธิพลตอชีวิตและความเชื่อของคนอินเดียและกรีกโบราณคือความรูดานคณิตศาสตรและความเชื่อ
ศาสนาแบบเทวนิยมโดยเฉพาะพหุเทวนิยมหรือลัทธิสารพัดเทวดา (polytheism) ทั้งสองเรื่องนี้ลวนนําไปสู
ความคิดปรัชญาแบบนิยมคนหาความจริงนามธรรม คือเปนความคิดแบบจิตนิยม
ความคิดแบบจิตนิยมคือความคิดที่เชื่อวานอกจากความจริงที่เรารับรูไดทางประสาทสัมผัสแลวยังมี
ความจริงอีกชนิดหนึ่งที่อยูพนประสาทสัมผัส ความจริงดังกลาวจริงกวาหรือสําคัญกวาความจริงที่รับรูไดดวย
ประสาทสัมผัส พวกจิตนิยมจัดบางคนถึงกับถือวา ความจริงที่เรารับรูไดทางประสาทสัมผัสนี้ ไมจริงหรือ
เปนมายา (illusion)
5.3.1 คณิตศาสตร
คณิตศาสตรเปนตัวอยางสําคัญตัวอยางหนึ่งของความจริงนามธรรมที่มนุษยไดแสวงหาและไดคนพบ
กฎเกณฑ จํานวน ในเลขคณิตเปนนามธรรม โตะหนึ่งตัวกับแกวหนึ่งใบตางก็มีจํานวนเปนหนึ่ง แตจํานวนหนึ่ง
นี้เราไมอาจรับรูดวยประสาทสัมผัส เราสัมผัสโตะและแกวดวยตาเห็นภาพโตะและเห็นภาพแกว มือสัมผัส
โตะและสัมผัสแกวแตเราไมเคยเห็นและสัมผัสจํานวน “หนึ่ง” ไดเลย แตถึงกระนั้นเราก็ยืนยันวา โตะและ
แกวมีสวนเหมือนกันคือมีจํานวน “หนึ่ง” จํานวนหนึ่งนี้เราอาจแทนดวยสัญลักษณที่ตางกัน เชน 1 ๑ Ι -
สัญลักษณที่ตางกันนั้นแทนจํานวน “หนึ่ง” เหมือน ๆ กัน และไมวาจะใชสัญลักษณระบบใดก็เรียนเลขคณิต
ไดเหมือน ๆ กัน
เรขาคณิตก็ศึกษาสิ่งที่เปนนามธรรม จุดซึ่งตามนิยามคือสิ่งที่ไมมีความกวาง ความยาว คือไมมี
ขนาดนั้นไมมีอยูในโลกของประสาทสัมผัส เราคิดหรือรูไดดวยเหตุผล จุดทั้งหลายในโลกนี้เปนเพียงสัญลักษณ
หรือสิ่งจําลองของ “จุด” ที่เปนนามธรรม สิ่งที่เรขาคณิตพูดถึงซึ่งพัฒนาตอไปจากเรื่องจุด คือ เสน มุม รูปแบน
รูปทรง ลวนแตเปนเรื่องนามธรรมทั้งสิ้น เหตุผลของมนุษยคิดและเขาใจไดแมกระทั่งจํานวนที่ไมมีคาหรือมี
คาเปน “ศูนย” วามีคาทางเลขคณิต จํานวนที่มีคา 1, 2, 3, นับวาเปนนามธรรมอยูแลว การคิดถึงจํานวน 0
ไดยอมเปนนามธรรมยิ่งกวา
ในโลกสมัยโบราณมนุษยคุนกับวิชาคณิตศาสตร พวกเมโสโปเตเมียคิดคํานวณทางดาราศาสตร
ดวยเลขฐาน 6 คํานวณคา π ได ชาวอียิปตเปนตนตํารับเรขาคณิต และมีความรูคณิตศาสตรเพียงพอที่จะ
สรางปรามิดขนาดยักษได ชาวกรีกพัฒนาเรขาคณิตและเลขคณิต อินเดียพัฒนาพีชคณิต คนที่คิดและใช
คณิตศาสตรอยูเสมอ ๆ อยางคนในแหลงอารยธรรมที่รุงเรืองดังกลาวขางตน ถาจะใหยอมรับวามีความจริง
ที่อยูพนประสาทสัมผัสก็คงรับไดไมยาก เพราะคณิตศาสตรก็เปนตัวอยางของความจริงดังกลาวที่เห็นไดชัด
25
ปธาโกรัส (Pythagoras) นักปรัชญา นักศาสนาและนักคณิตศาสตรชาวกรีกโบราณถึงกับเสนอความคิดวา
จํานวนเปนความจริงพื้นฐานหรือรากฐานของความจริงทั้งหลายของจักรวาล กลาวคือทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาล
วัดและเขาใจไดเปนจํานวน เชน แถวที่เปนระเบียบ คือ แถวที่มีชองวางระหวางคนที่เขาแถวเทากัน เสียงที่
กลมกลืนของดนตรีวัดไดเปนจํานวนของความทุมแหลม จํานวนเลขมีความสัมพันธกับความจริงพื้นฐานของ
เรขาคณิต คือ 1 หมายถึง จุด สองหมายถึง เสน เปนตน กฎเกณฑทางคณิตศาสตรที่เราคนพบก็คือกฎเกณฑ
ของจักรวาล แนวคิดของปธาโกรัสดังกลาวก็คือการวาดภาพ นามธรรมของจักรวาลเหมือน 1+1 = 2 เปนภาพ
นามธรรมที่อยูเบื้องหลังสิ่งที่ปรากฏคือ “คนหนึ่งคนเมื่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเปนคนสองคน” สิ่งที่ปรากฏก็คือ คน
ซึ่งเพิ่มขึ้นเปนสองคนซึ่งเราเห็นได แตเราไมเห็นจํานวนหนึ่ง จํานวนสอง และ +
ระบบที่เปนนามธรรมของคณิตศาสตร ซึ่งชาวกรีกคุนเคยนี้เอง ทําใหเห็นวาระเบียบของจักรวาลก็
นาจะเปนแบบแผนอยางเดียวกับคณิตศาสตร ซึ่งมนุษยเขาใจไดดวยเหตุผลเชนเดียวกับคณิตศาสตร แนวคิด
นี้ไดสืบตอมาจนเปนแนวคิดสําคัญในสมัยคริสตศตวรรษที่ 18 หรือสมัยภูมิธรรม คือ แนวความคิดของพวก
เหตุผลนิยม (rationalism)
5.3.2 ศาสนา
ชาวกรีกและชาวอินเดียโบราณตางก็ศรัทธานับถือเทพเจาหลายองค เทพเจาทั้งหลายเหลานั้น
มักจะพรรณนาวามีรูปรางลักษณะอยางมนุษย แตทรงศักดานุภาพและสามารถดลบันดาลใหเกิดสิ่งตาง ๆ ได
ดวยอํานาจของพระองค เทวดาจํานวนมากมายเหลานี้ตางกับมนุษยตรงที่เปนอมตะ เทวดาอยูบนวิมานบน
ยอดเขาสูง หรือวิมานบนฟากฟา ซึ่งมนุษยไมสามารถจะไปถึงได โดยสรุปมนุษยไมเคยพบเห็นเทวดา แตก็
เชื่อวามีอยูและเชื่อวาธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ในโลก เกิดจากอํานาจเทวดา
เทวดาหลายองคนี้ในกาลตอมาไดมีการนับถือบางองควายิ่งใหญเหนือองคอื่น ๆ หรือเปนผูสราง
ทั้งเทวดา โลก รวมทั้งสิ่งตาง ๆ ในโลกขึ้น ในที่สุดก็กลายเปนความเชื่อเรื่องพระเจาสรางโลก หรือพระเจา
กับโลกหรือจักรวาลเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความเชื่อพระเจาซึ่งไมใชสสารวัตถุ แตเปนสภาวะนามธรรมซึ่งเปนผูสรางโลกแหงสสารหรือจักรวาล
ทั้งมวลนี้เทากับเปนการยกพระเจาใหเปนสิ่งจริงแท สวนโลกแหงประสาทสัมผัสรวมทั้งมนุษยเปนสิ่งที่พระเจา
สราง ซึ่งไมอาจจะเปนจริงเทาเทียมกับพระเจาได เรื่องราวตาง ๆ ทางเทววิทยาลวนมิไดอยูในมิติเดียวกับ
จักรวาลและมนุษย มิใชความจริงทางประวัติศาสตร ซึ่งเกิดภายหลังจักรวาล แตเปนความจริงทางเทววิทยา
อันมีมากอนจักรวาล
ศาสนาจึงนําเราไปสูความเชื่อในความจริงนามธรรมวาเปนจริง และสําคัญกวาความจริงรูปธรรม
แมศาสนาที่มิไดนับถือพระเจาอยางศาสนาพุทธก็ใหความสําคัญแกนามธรรมเชน จิต นิพพาน ความดี
ความชั่ว และถือวาโลกวัตถุมิใชโลกเดียวที่มีอยู ความจริงมีแตสิ่งที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสเทานั้นหรือ ยังมี
ความจริงชนิดที่ประสาทสัมผัสรับรูไมไดบางหรือไม แมความจริงที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสก็ยังตองอาศัย
สมรรถภาพอื่นนอกจากประสาทสัมผัส เชน เมื่อเราเห็นทางรถไฟบรรจบกัน และเราบอกวาภาพที่เห็นนั้นไม
26
จริง เราไมไดพิสูจนดวยการมองแตเราใชเหตุผล เหตุผลตัดสินวาภาพที่เห็นดวยตาเปนภาพลวง และเหตุผล
พิสูจนไดวาความจริงทางรถไฟขนานกัน ความจริงประเภทอื่นนอกจากนี้ก็อาจมีวิธีรับรูที่ตางออกไปอีก เชน
จิต พระเจา ความชอบธรรม กรรม ความดี ความชั่ว
5.4 ความจริงเกี่ยวกับคุณคา
มนุษยรูสึกและเขาใจในคุณคาซึ่งเปนความจริงนามธรรมที่สัตวไมรูสึกและไมเขาใจเชน ความซาบซึ้ง
ในความดีงามของผูอื่น ความกตัญูรูคุณและตอบแทนคุณ ความไพเราะของเสียงเพลง ความงามของ
ธรรมชาติ ความใจบุญ ความยุติธรรม ความรูสึกผิดเมื่อทํารายผูบริสุทธิ์โดยไมตั้งใจ ความไมลวงเกินผูอื่น
คุณคาเหลานี้เปนเรื่องเกี่ยวกับความเปนมนุษย ถาไมมีคุณคาเหลานี้มนุษยก็เทากับเปนสัตวเดรัจฉาน เชน
มนุษยรูจักเลี้ยงดูพอแม ตางกับสัตวที่ไมเลี้ยงดูพอแม มนุษยรูจักเห็นอกเห็นใจผูอื่น แมมิใชญาติพี่นองของ
ตน แตสัตวไมเปนเชนนั้น มนุษยสนใจแฟชั่นก็เพราะรูจักความงาม ความพอดี ความลงตัวขององคประกอบ
ทางศิลปะ มนุษยเห็นวาการรังแกผูอื่นเปนความชั่ว สวนการชวยเหลือเกื้อกูลกันเปนความดี มนุษยที่พูดวา
ไมเชื่อศีลธรรมไมเชื่อความดี ก็ยังรูจักรักคนในครอบครัว เสียสละเพื่อครอบครัว ไมคิดวาการเลี้ยงดูคนใน
ครอบครัวเปนความสิ้นเปลือง ลําบาก และไมทําใหไดเงินทอง หาไมเขาคงไมเลี้ยงลูก และคงใชภรรยาอยาง
ทาสเพื่อประโยชนของตน คนเหลานี้ปากวาไมเชื่อคุณคา แตการกระทําของเขาก็แสดงวาเขายังเชื่อคุณคา
เพียงแตจํากัดแคบลงเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวของกับตัวเอง ผูหญิงคนหนึ่งอาจอยูกินเปนภรรยาโจรถาโจรนั้นรัก
เธออยางแทจริง แตอาจไมยินดีอยูกินกับเศรษฐีที่เห็นเธอเปนอุปกรณบําบัดความใครของเขา หากไมจําเปน
จริง ๆ แลวผูหญิงก็เลือกความรักมากกวาการเปนอุปกรณบําบัดความใคร เพราะเธอมีศักดิ์ศรีของมนุษย
ความรักและศักดิ์ศรีของมนุษยเปนนามธรรม ไมใชสสารหรือพลังงาน คนที่คิดวาคุณคาไมมีจะรูสึกเฉย ๆ
หรือไม ถาพนักงานดูแลศพของวัดปฏิบัติตอศพบิดามารดาเขาอยางที่พนักงานเก็บขยะทํากับซากสุนัขที่รถทับ
ตายบนถนน ทั้ง ๆ ที่ก็เปนรางกายที่ไรชีวิตเชนเดียวกัน เขาจะคิดไดไหมวาบิดาของเขาที่ตายแลว ก็เทากับ
หมาตัวหนึ่ง
คนที่อางวาไมเชื่อเรื่องคุณคา มักจะเปนคนที่หลงใหลในเงินทองสิ่งของจนคิดวาเปนสิ่งประเภท
เดียวที่มีคา ความหลงใหลไดบดบังความรูสึกในคุณคาที่เปนธรรมชาติภายในจิตใจของเขา มิใชวาเขาไม
เชื่อหรือรูสึกไมได ชื่อเสียง เกียรติยศ ความเปนที่นับถือ ยกยอง เปนสิ่งที่เขาตองการที่จะใหเงินทองที่เขามี
อยูบันดาลใหใชหรือไม สิ่งเหลานั้นเปนอะไร ถาไมใชนามธรรมและเขาตองการเพราะมันเปนคุณคาที่เขา
ปรารถนาใชหรือไม ชื่อเสียง เกียรติยศ ความเปนที่นับถือยกยองมิใชสสารหรือพลังงาน
การที่คนบางคนอางวาคุณคาไมมีจริง ก็เพราะถูกวิทยาศาสตรสอนวานอกจากสสารและพลังงาน
ซึ่งเปนสิ่งที่มีตัวตนใหรับรูไดแลว ไมมีความจริงอะไรอื่นอีก แตทําไมความจริงจึงจะตองมีแตสสารและ
พลังงานเทานั้น เรารับรูสสารและพลังงานและการเคลื่อนไหวของมันดวยประสาทสัมผัส เรารับรูดวยประสาท
สัมผัสวาเสือมีเล็บ และเราเห็นมันจับสัตว แตเราเชื่อความสามารถในการใชกรงเล็บจับสัตวของมันดวยหรือไม
หรือวาเราเชื่อเฉพาะตอนที่มันจับสัตวจริง ๆ ถาเราเชื่อศักยภาพในการจับสัตวดวยกรงเล็บของเสือ โดยที่
27
เสือนั้นยังไมไดจับสัตวก็เทากับเราเชื่อในสิ่งที่ไมเห็นวาเปนจริงได การกระทําของเรา ที่เกิดจากนามธรรมเรา
ก็รูสึกได เชน เรากระทําดวยความรักมิใชดวยผลประโยชน เหตุใดเราจึงเชื่อไมไดวา ความรักเปนสิ่งที่มีอยู
จริง ถาจะวาเพราะเราไมเห็นความรัก ในเรื่องเสือเราก็ไมเห็นศักยภาพหรือความสามารถของมันเชนกัน
เราปฏิเสธไมไดวาเราอยูกับความจริงนามธรรม ใชความจริงนามธรรมบางทีก็เปนสถาบันหลัก เชน
ความยุติธรรม หรือความเปนชาติ เปนตน เรามิไดใชความจริงนามธรรมเพราะเปนประโยชนเทานั้น แตเรารูสึก
วามีจริงเปนจริง และเราถือวาสําคัญ เราอาจคิดวาความจริงนามธรรมเปนเพียงสิ่งที่คนเราสมมติขึ้น แต
ทําไมคนเกือบทั้งโลกจึงสมมติตรงกัน และเชื่อในความจริงนามธรรมอยางแนนแฟน หากเขาไมสามารถรูสึก
ในความจริงนั้นได ความรูสึกในความจริงนามธรรมก็เปนความรูสึกเชนเดียวกับความรูสึกทางประสาทสัมผัส
เหตุใดเราจึงคิดวาความรูสึกทางประสาทสัมผัสจริงและความรูสึกในความจริงนามธรรมไมจริง เราคิดเชนนั้น
เพราะเหตุผลหรือเพราะอคติ
5.5 โลกกับชีวิตในทัศนะจิตนิยม : ความสัมพันธระหวางรูปธรรมกับนามธรรม
ถาทั้งจักรวาลนี้มีแตดวงดาวตาง ๆ บนดาวแตละดวงไมมีชีวิตใด ๆ เลย จักรวาลก็จะเปนแตกลุม
สสารและพลังงานอันไรความหมาย เพราะไมมีใครใหความสําคัญแกสสารหรือพลังงาน ไมมีใครใช ไมมีใคร
เห็นคุณคา ไมมีใครชื่นชม ดวงอาทิตยจะขึ้นหรือตกก็ไมมีความหมายอะไร ความจริงทางวิทยาศาสตรเปน
เชนนั้น ทุกสิ่งเปนสสารและพลังงานที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปดวย แรงและพลังที่กระทําตอกัน ไมมีอะไร
นาชื่นชม ไมมีความงามของดวงอาทิตยขึ้น ไมมีความเหงาเปลาเปลี่ยวยามอาทิตยอัสดง สสารและพลังงาน
ไมอาจเห็นคุณคาของตัวมันเองและของสสารและพลังงานอื่น ๆ โลกภายนอกหรือจักรวาลที่อยูรอบตัวเราและ
แผไพศาลไปก็มีอยู แตไมวามันจะลุกไหมหรือดับมอดก็ไมมีความหมายอะไร ไมมีความสําคัญอะไร เพราะสิ่ง
เหลานี้จะมีความหมายหรือความสําคัญก็เฉพาะแกชีวิตที่รับรูและใหความสําคัญแกมัน
ถาเรามีแตรางกายที่มีอวัยวะรับโลกภายนอก มีตาที่รับภาพได มีหูที่รับเสียงได มีจมูกที่รับกลิ่นได
มีลิ้นที่รับรสได มีรางกายที่วัตถุสิ่งของมาถูกตองได แตปราศจากความรูสึก เราก็คงเปนเพียงหุนยนต เรามี
ตาแตตานั้นก็ไมตางอะไรกับกลองถายภาพ มีหูแตหูนั้นก็ไมตางกับเครื่องรับวิทยุ ความรูสึกนึก คิด ทําให
รางกายของเรามีความหมาย เพราะทําในสิ่งที่รูและรูในสิ่งที่ทํา ไมเหมือนกับการกระทบกันของกอนหินที่
กอนหินนั้นไมรับรูและไมรู
ความรูสึกในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เปนเรื่องนามธรรม ไมวาความรูสึกนั้นจะตอง
ผานอวัยวะนอยใหญมากมายสักเพียงไรก็ตาม ในที่สุดเมื่อรูสึก ความรูสึกนั้นเปนนามธรรม ความรูสึกเปน
คนละอยางกับอวัยวะรับความรูสึก นามธรรมนี้มีเปนชั้น ๆ ความรูสึกเห็นดอกกุหลาบ เปนความรูสึกอยาง
หนึ่ง ความรูวาเรารูสึกเห็นดอกกุหลาบเปนความรูสึกอีกชั้นหนึ่ง ความรูสึกวาดอกกุหลาบที่เรารูสึกเห็นมัน
สวย มีสีแดง มีกลิ่นหอมก็เปนความรูสึกยอย ๆ ลงไปอีก
ความรูสึกนึกคิดจินตนาการ ตั้งความปรารถนา ดีใจ เสียใจ ฯลฯ คือ สิ่งที่แสดงวารางกายนั้นมี
“ชีวิต” แตชีวิตคืออะไรวิทยาศาสตรไมอาจตอบได วิทยาศาสตรตอบไดวาเซลสประกอบดวยอะไร ซึ่งเมื่อ
28
วิเคราะหแลวก็เปนสสารและพลังงานที่แสดงปรากฏการณของชีวิต แต “ชีวิต” คือ อะไรไมอาจรับรูไดทาง
ประสาทสัมผัส วิทยาศาสตรจึงตอบไมได ชีวิตเปนนามธรรม ไมใชเซลลและไมใชสวนใด ๆ ของเซลล มันแสดง
ปรากฏการณของชีวิต เชน กินอาหารได เติบโตได
ความรูสึก นึก คิด จินตนาการ ฯลฯ ดังกลาว ปรัชญาเรียกรวม ๆ วา “ความคิด” (idea) ถามีแต
สสารและพลังงาน ก็อธิบายเรื่องความคิดไมได เพราะความคิดไมใชทั้งสสารและพลังงาน และเราก็ปฏิเสธ
ไมไดวาความคิดไมมีอยู เพราะสิ่งทั้งหลายที่เราคิดลวนเปนความคิดทั้งสิ้น แมเรื่องสสารและพลังงานเองก็
เปนความคิดของมนุษย กฎวิทยาศาสตร คุณสมบัติทางเคมี กฎคณิตศาสตร เหลานี้คือความคิดของมนุษย
ทั้งสิ้น ความคิดนามธรรมอื่น ๆ เชน ดี ชั่ว ยุติธรรม เสรีภาพ สิทธิ ซื่อสัตย เสมอภาค ประชาธิปไตย ก็เปน
ความคิดนามธรรมที่มนุษยพูดและปฏิบัติกันอยูในสังคม เปนกฎเกณฑเกี่ยวกับสังคม เชนเดียวกับกฎ
คณิตศาสตรเปนกฎเกณฑเกี่ยวกับความจริงทางคณิตศาสตร และกฎวิทยาศาสตรเปนกฎเกณฑเกี่ยวกับ
ความจริงของสสารและพลังงานซึ่งเปนความจริงทางวิทยาศาสตร
ชีวิตทําใหเรารูความจริงนามธรรมเหลานี้ หากเรายอมรับวาโลกเปนจริง ชีวิตเปนจริง เราจะยอมรับ
นามธรรมเหลานี้วาเปนจริงหรือไม และการที่บางคนยอมรับวากฎวิทยาศาสตรเปนจริงแตกฎศีลธรรมไมเปน
จริงนั้นมีเหตุผลหรือไม ในเมื่อทั้งสองอยางตางก็เปนกฎที่เปน “ความคิด” ของมนุษยเชนเดียวกัน และมีผล
ตอระเบียบในการดําเนินชีวิตของมนุษยเชนเดียวกัน มนุษยควรจํากัดขอบเขตความจริงไวเพียงเรื่องสสาร
และพลังงานเทานั้นหรือไม เรามีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธความจริงอื่นนอกจากนี้วาไมมีอยู เรามีเหตุผลที่จะ
ปฏิเสธความจริงนามธรรมอื่น ๆ ที่ไมเกี่ยวกับเรื่องสสารและพลังงานหรือไม เราเชื่อประสาทสัมผัสของเรา
และมีอคติเกี่ยวกับความจริงที่ไดมาดวยวิธีอื่นหรือไม
5.6 โลกของจิตนิยม
โลกของจิตนิยมมิใชโลกที่มีแตสสารและพลังงาน ซึ่งกระทบกระทั่งกันและทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง
ไปแบบไมมีทิศทางหรือจุดหมาย แตเปนโลกที่เต็มไปดวยความคิด ความเขาใจ การสรางสรรค ความเห็นอก
เห็นใจ ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความดี ความงาม จินตนาการ การตัดสินถูกผิด ความรูสึกซาบซึ้งและประทับใจ
ความโกรธเกลียด อิจฉาริษยา การคิดการตัดสิน กลาวคือเปนโลกที่มี “ชีวิต” มนุษยมีชีวิต จิตใจ มิใชเปน
กลุมกอนของสสารและพลังงานเทานั้น โลกนี้มิไดมีแตกฎฟสิกสหรือกฎวิทยาศาสตรอื่น ๆ ยังมีกฎสังคม กฎ
ศีลธรรม กฎศิลปะ ซึ่งหมายความวาระเบียบของชีวิตและของโลกมิไดสิ้นสุดเพียงสสารและพลังงาน เราอาจ
สรุปความคิดสําคัญ ๆ เกี่ยวกับโลกตามทัศนะของจิตนิยมไดดังนี้
1. นอกจากสสารและพลังงานหรือโลกของวัตถุแลวยังมีความจริงอื่นที่เปนความจริงนามธรรม
2. ความจริงนามธรรมนี้ จิตนิยมบางพวกเชื่อวาเปนความจริงชนิดเดียว โลกของวัตถุหรือความ
จริงทางประสาทสัมผัสไมจริงแท
29
3. พวกจิตนิยมที่ยอมรับความจริงทางประสาทสัมผัสเห็นวาความจริงนามธรรมสําคัญกวา เนื่องจาก
ใชอธิบายหรือประเมินคาความจริงทางวัตถุ หากไมกํากับดวยคุณคาที่เปนนามธรรมแลว ความจริงทางวัตถุ
อาจกอผลรายแกมนุษยก็ได
4. ความจริงนามธรรมมีความสําคัญตอชีวิตมนุษย เชน ความจริงทางศาสนา พระเจา กรรม
นิพพาน บุญ บาป ธรรมะ ความจริงดานคุณคาเชน คุณคาทางความประพฤติ ดี ชั่ว เปนธรรม ไมเปนธรรม
กุศล อกุศล เมตตา ทางสายกลาง คุณคาทางสุนทรียศาสตร เชน ความสวย ความงาม ความลงตัว คุณคา
ทางสังคม เชน ความยุติธรรม สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
5. คุณคาเปนสิ่งที่เปนจริงมิใชสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้นมนุษยเปนแตคนพบและสามารถเขาใจคุณคาได
6. ผลของความคิดแบบจิตนิยมตอชีวิต
1. มนุษยประกอบดวยกายและจิต จิตเปนผูใชกายเปนผูรับใช มนุษยไมควรเปนทาสของวัตถุ แต
ตองเปนทั้งนายของตนเองและของวัตถุ
2. ความจริงนามธรรมเชน ความดี ความงาม เปนสิ่งตายตัวไมขึ้นกับกาลเวลา บุคคล สังคม
สภาพแวดลอม ไมวาจะเปนบุคคลที่เกิดในที่ใด ยุคใดสมัยใด ก็เขาถึงความจริงนามธรรมเดียวกันไดทั้งสิ้น
เปนสิ่งที่แนนอนตายตัว เปนนิรันดร และอกาลิโก
3. กฎเกี่ยวกับความจริงนามธรรมเปนกฎสากล เปนเชนนั้นเสมอ เชนเดียวกับกฎธรรมชาติทาง
วัตถุ เชน กฎฟสิกสที่เปนอยูเชนนั้นโดยธรรมชาติ
4. การที่คนเรามีมาตรฐานคุณคาแตกตางกันเปนเพราะยังเขาไมถึงความจริงแท เมื่อเขาถึงแลวก็
จะพบความจริงสากลเดียวกัน เชนความจริงที่ศาสตรทั้งหลายสั่งสอนเปนความจริงอยางเดียวกัน
7. ธรรมชาตินิยม (Naturalism)
7.1 ความหมาย
คําวาธรรมชาตินิยมเปนคําที่มีความหมายกวาง เนื่องจากคําวาธรรมชาติเปนคําที่ใชกันโดยกําหนด
ขอบเขตความหมายตางกันตามนิยามของผูใชแตละคนการกําหนดความหมายของธรรมชาติ และธรรมชาตินิยม
ในวิชาปรัชญาจึงเปนไปตามที่นักปรัชญาไดกําหนดขึ้น หรือผูที่ศึกษาปรัชญาไดกําหนดขึ้นจากการวิเคราะห
ความคิดของนักปรัชญาที่คิดไปในแนวทางที่ถือวาสิ่งที่เปนจริงคือสิ่งที่อยูในขอบเขต “ธรรมชาติ”
ในปรัชญาตะวันตกมักจะเริ่มตนที่ความคิดของธาเลสเรื่องปฐมธาตุ (first principle) ซึ่งเชื่อวาปฐม
ธาตุหรือสิ่งที่เปนจริงแรกสุดอันเปนที่มาของสิ่งทั้งหลายคือ น้ํา การที่ธาเลสเชื่อเชนนี้เปนเรื่องที่ขัดแยงกับ
ความเชื่อของคนกรีกทั่วไปที่เปนแบบนับถือสารพัดเทวดาหรือพหุเทวนิยม ที่อธิบายปรากฏการณธรรมชาติ
โดยอางการบันดาลของเทวดาตาง ๆ คําอธิบายปรากฏการณธรรมชาติจึงเปนแบบอางสิ่งเหนือธรรมชาติที่
นักศึกษาทางปรัชญาเรียกวาเปนการอธิบายดวยสิ่งเหนือธรรมชาติ (supernaturalism) เมื่อเทียบกับความ
เชื่อของคนกรีกโดยทั่วไป คําอธิบายของธาเลสจึงเปนการอธิบายปรากฏการณธรรมชาติในขอบเขตธรรมชาติ
30
หรือธรรมชาตินิยม (naturalism) แนวคิดของธาเลสดังกลาวมิไดปฏิเสธความมีอยูของสิ่งเหนือธรรมชาติ แตชี้
วาเราสามารถอธิบายปรากฏการณธรรมชาติไดในขอบเขตความจริงตามธรรมชาติและดวยเหตุผลของมนุษย
ไมจําเปนตองอางเทวดา และหากเทวดามีจริง เทวดาก็ตองดําเนินการตาง ๆ ไปตามกฎธรรมชาติ ความคิดนี้
เปนที่มีของความเชื่อวาธรรมชาติมีกฎเกณฑในตัวและมนุษยสามารถศึกษาไดดวยเหตุผลนักปรัชญาและ
นักวิทยาศาสตรตางก็ยอมรับความคิดนี้ แตยอมรับความหมายของคําวา ธรรมชาติแตกตางกัน
คําวาธรรมชาตินิยมในความหมายนี้ เปนความหมายทางอภิปรัชญาซึ่งอาจเรียกวา ธรรมชาตินิยม
เชิงอภิปรัชญา (metaphysical naturalism) แตการใชคํานี้ก็มีปญหาเพราะในปจจุบันนักปรัชญาไดใชคํานี้ใน
ความหมายเฉพาะคือมีความหมายแคบลงจนเปนการยอมรับความจริงและวิธีการหาความรูแบบวิทยาศาสตร
แมทางจริยศาสตรก็ไดรับอิทธิพลความคิดนี้ ธรรมชาตินิยมในปจจุบันแบงออกเปน 3 ดานคือ
1. ทุกสิ่งประกอบขึ้นดวยสิ่งธรรมชาติ อันไดแกสิ่งที่ศึกษากันในวิชาวิทยาศาสตรซึ่งคุณสมบัติ
ดังกลาวเปนตัวกําหนดคุณสมบัติของสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย สิ่งนามธรรม เชน ความเปนไปได ความจริง
ทางคณิตศาสตร หากมีอยูจริงก็ตองเปนไปตามวิทยาศาสตรแบบนี้เรียกวา metaphysical หรือ ontological
2. วิธีการที่เปนที่ยอมรับในการตัดสิน อธิบาย และวัดปริมาณซึ่งเทียบไดกับการตัดสิน อธิบาย
และวัดปริมาณทางวิทยาศาสตรแบบนี้ เรียกวา methodological หรือ epistemological
3. Ethical naturalism คุณสมบัติทางศีลธรรมเทากับคุณสมบัติทางธรรมชาติหรือกําหนดไดดวย
คุณสมบัติทางธรรมชาติ คือกําหนดหรือตัดสินไดดวยการตัดสินทางขอเท็จจริง
นักปรัชญาที่เปนบรรพบุรุษทางความคิดของธรรมชาตินิยมไดแก โดโมคริตุส(Democritus) อริสโตเติล
(Aristotle) เอพิคิวรุส (Epicurus) ลูเครติอุส (Lucretius) ฮอบส (Hobbes) สปโนซา (Spinoza)
ธรรมชาตินิยมสมัยใหมเริ่มขึ้นในราวทศวรรษที่ 1850 ความรูทางสรีรวิทยาที่ซับซอนขึ้นทําให
นักปรัชญา เชน ฟอยเออรบัค (Feuerbach) และคนอื่น ๆ เชื่อวาทุกสิ่งเกี่ยวกับมนุษยอธิบายไดวาเปน
สิ่งธรรมชาติ ในปลายคริสตศตวรรษที่ 19 งานของ ดารวิน (Darwin) ไดมีผลกระทบสําคัญตอนักคิดธรรมชาติ
นิยมยิ่งขึ้น เชน สเปนเซอร (Spencer) ทินดอล (Tyndall) ฮักซเลย (Haxley) คลิฟฟอรด (Clifford) แฮคเคิล
(Haeckel) ซานตายานา (Santayana) และนักคิดรุนหลัง เชน เซลลาร (Sellars) และโคเฮน (Cohen)
7.2 ผลของฟสิกสและชีววิทยาตอแนวคิดทางปรัชญา
7.2.1 ฟสิกส
วิทยาศาสตรสาขาฟสิกสสมัยใหมเปนความรูทางวิทยาศาสตรที่เจริญมาตั้งแตคริสตศตวรรษที่ 15
และเปนความรูสําคัญที่ทําใหเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสตศตวรรษที่ 19 แนวคิดสําคัญทางฟสิกสใน
สมัยนี้คือทฤษฎีเรื่องปรมาณูหรืออะตอม ซึ่งเชื่อวาโลกกายภาพประกอบดวยหนวยเล็กที่สุดที่แบงแยกไมได
จํานวนนับไมถวนเคลื่อนที่อยูในที่วางความคิดนี้เกิดขึ้นตั้งแตศตวรรษที่5กอนคริสตศักราชลิวคิปปุส(Leucippus)
31
และเดโมคริตุส(Democritus) เปนผูคิดขึ้นเอปคิวรุส(Epicurus) รับความคิดนี้ตอมาและพวกเอปคิวเรียนในสมัย
ฟนฟูศิลปวิทยาการไดพัฒนาไปจนเปนปรัชญาสําคัญของศตวรรษที่ 17
ความคิดดังกลาวมีอิทธิพลตอปรัชญา ปรมาณูนิยมทางตรรกะ (Logical Atomism) ของเบอรทรันด
รัสเซลล ในชวงป ค.ศ.1911 – 1918 ซึ่งอธิบายวาโลกประกอบขึ้นดวย ปรมาณูทางตรรกะ เชนแถบเล็ก ๆ ของ
สีหรือเสียง สิ่งนี้เกิดในชั่วขณะ รัสเซลลเรียกปรมาณูของเขาวาปรมาณูทางตรรกะก็เพราะเปนสิ่งที่มีอยูใน
เชิงตรรกะมิใชเชิงอภิปรัชญา เปนหนวยเล็กที่สุดของประธานของประโยคตรรกวิทยา แตหนวยดังกลาว
ไมไดอยูในกาลเวลา กระบวนการคนพบอะตอมดังกลาวเรียกวาการวิเคราะหทางตรรกะ (logical analysis)
เทคนิคที่ใชสรางขอเท็จจริงเชิงซอนจากขอเท็จจริงเชิงเดี่ยว อาศัยเทคนิคทางตรรกวิทยา สิ่งที่ซับซอนเปน
ประเภทที่เกิดจาก อะตอม
อะตอมที่เปนขอเท็จจริงของรัสเซลสเรียกวา ขอมูลทางผัสสะ (sense – data) ซึ่งมีอายุสั้นมาก ใน
ป 1918 เขาอธิบายวาอะตอมนี้ไมใชทั้งสิ่งกายภาพและจิตภาพแตเปนกลาง เขาจึงเรียกความคิดของเขาวา
เอกนิยมแบบเปนกลาง (neutral monism) ขอเท็จจริงที่เปนอะตอมนี้แสดงดวยประโยคที่ไมมีตัวเชื่อมทาง
ตรรกะ เชน “สิ่งนี้แดง” ความคิดดังกลาวนี้วิตเกนสไตน (Wittgenstein) ไดพัฒนาตอมาในหนังสือ เรื่อง
Tractatus
ในการศึกษาปรัชญาเบื้องตน จะไมอธิบายเรื่องดังกลาวในรายละเอียดเพราะเปนเรื่องที่ตองอาศัย
ความรูอื่นทางปรัชญาเชนความรูเรื่อง รอยประทับ (impression) ของฮิวม (Hume) ความรูทางตรรกวิทยา
สัญลักษณ (symbolic logic) เปนตน
ความรูเรื่องอะตอมทางฟสิกสมิไดมีอิทธิพลตออภิปรัชญาเทานั้น แตยังมีอิทธิพลตอจิตวิทยาและ
การวิเคราะหทางการเมืองโดยหลักการปรมาณูนิยมทางจิตวิทยา (psychological atomism) คือการมองรัฐ
ในฐานะสิ่งเชิงซอนที่ประกอบดวยปจเจกชนเปนปรมาณูและวิเคราะหที่มาของรัฐจากธรรมชาติของปจเจกชน
เปนปรมาณูและวิเคราะหที่มาของรัฐจากธรรมชาติของปจเจกชนในสภาวะธรรมชาติคือสภาวะที่ยังไมมีรัฐ
ล็อค (Locke) สรางปรัชญาประชาธิปไตย โดยอาศัยการวิเคราะหธรรมชาติของมนุษยในภาวะไรสังคม
ดังกลาว
การพิจารณาความจริงเชิงซอนวาประกอบดวยความจริงยอยที่เปนหนวยเล็กที่สุด ซึ่งแบงแยกไมไดนี้
ทําใหเกิดความคิดที่เรียกวาทฤษฎีการทอนลง (Reductionism)คือสิ่งที่มีองคประกอบทั้งหลายสามารถทอนลง
ไปจนถึงหนวยเล็กที่สุดที่เปนองคประกอบพื้นฐานได การรวมกับการแยกจึงเปนลักษณะการเปลี่ยนแปลงของ
ทุกสิ่ง ไมมีสิ่งใหมเกิดขึ้นในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากภายนอก กลาวคือ
สสารยอมไมเปลี่ยนแปลงเวนแตจะมีสิ่งอื่นมาทําใหเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงก็เปนไปตามกลไก
ที่แนนอนตายตัว การเขาใจสิ่งใดก็คือการวิเคราะหหรือการแยกแยะองคประกอบสิ่งยอย ๆ เขาดวยกัน การ
มีกฎเกณฑที่ตายตัวทําใหสามารถทํานายอนาคตได ลักษณะดังกลาวนั้นก็คือลักษณะของความคิดแบบ
วัตถุนิยม (materialism) แตตามความคิดของรัสเซลลที่กลาวมาแลวจะเห็นไดวามีขอตางกับวัตถุนิยมตรงที่
32
มิไดยืนยันความจริงของหนวยยอยที่สุดวาเปนวัตถุ แมจะใชคําวาปรมาณูหรืออะตอม แตอะตอมดังกลาวก็
ไมใชวัตถุ กลาวคือมิไดยืนยันความมีอยูจริงของวัตถุ เนื่องจากมนุษยรับรูไดเฉพาะที่ประสาทสัมผัสรายงาน
และสิ่งที่ประสาทสัมผัสรายงานก็เปนแตขอมูลทางประสาทสัมผัส มิใชวัตถุโดยตรง จึงยืนยันไมไดวามีความ
จริงที่ประสาทสัมผัสเปนตัวแทน เราไมเคยรับรูอะตอมที่เปนวัตถุ เรารับรูไดแตขอมูลทางประสาทสัมผัส เชน
แข็ง เขียว กลมแตละครั้ง ๆ เทานั้น ดวยเหตุดังกลาวแมในแงอภิปรัชญารัสเซลลจะยืนยันเรื่องปรมาณู แต
ปรมาณูนี้ก็มิไดเปนสิ่งกายภาพหรือจิตภาพคือไมใชความจริงทั้งแบบวัตถุนิยมและจิตนิยม ความคิดของ
รัสเซลลนี้ก็จัดอยูในพวกธรรมชาตินิยมดวย ดังนั้นแมธรรมชาตินิยมแบบนี้จะมีลักษณะคลายคลึงกับวัตถุนิยม
ก็มีขอตางกัน ในแงนี้ธรรมชาตินิยมใชคําวา “ธรรมชาติ” ในความหมายกวางกวาวัตถุนิยม
7.2.2 ชีววิทยา
ความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาแมจะมีกฎเกณฑที่สามารถอธิบายระเบียบและทํานายอนาคตได
แตก็มีลักษณะแตกตางกับการเปลี่ยนแปลงแบบแยกและรวมและแบบกลไกดังที่เปนอยูในวิชาฟสิกส สิ่งมีชีวิต
มีความเปลี่ยนแปลงตามกฎฟสิกสในบางสวน แตก็มีความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา ซึ่งตางกับฟสิกสใน
บางสวน ความเปลี่ยนแปลงในสวนดังกลาวทําใหสิ่งมีชีวิตตางกับสิ่งที่ไมมีชีวิต ทําใหคนตางกับกอนหินหรือ
รูปปน เราอาจใชกฎพันธุกรรมของเมนเดล (Mendel) ทํานายลักษณะของรุนลูกรุนหลานได แตการผาเหลา
(mutation) ก็ทําใหการทํานายผิดได นอกจากนั้นวิวัฒนาการก็มีทฤษฎีที่พัฒนามาตั้งแตกรีกโบราณจน
ปจจุบันตางกันเปนหลายทฤษฎี
7.3 ทฤษฎีของดารวิน (Darwin) : การเลือกสรรโดยธรรมชาติ
เมื่อดารวินตีพิมพหนังสือเรื่อง Origin of Species ในป ค.ศ. 1859 นั้น ทฤษฎีตาง ๆ เกี่ยวกับ
วิวัฒนาการไดหมดความนาเชื่อถือลงเนื่องจากทฤษฎีของดารวินมีคําอธิบายที่ชัดเจนกวาและครอบคลุมสิ่ง
ที่ทฤษฎีอื่น ๆ อธิบายไมได สิ่งที่ดารวินนํามาเปนมโนทัศนสําคัญคือ “การเลือกสรรโดยธรรมชาติ” มโนทัศน
นี้ที่จริงไดมีปรากฏการณทางชีววิทยาใหเห็นอยูบางแลว เชนการเปลี่ยนลักษณะบางอยางที่ทําใหลูกตางกับ
พอแม และลักษณะที่แตกตางนี้สืบทอดไปยังลูกหลาน นอกจากนั้นการคัดพันธุพืชและสัตวก็ไดทํากันมา
เปนเวลานาน เรื่องการดิ้นรนเพื่อความอยูรอดและเรื่องการเลือกสรรโดยธรรมชาติ ก็ไมใชเรื่องใหมแตเปน
ความคิดที่เอมพิโดเคลส (Empedocles c. 450 B.C.) พูดมากอน แตดารวินเปนผูที่นําหลักการเหลานี้มา
อธิบายอยางเปนระบบ และมีขอมูลสนับสนุนอยางเปนวิทยาศาสตร สิ่งที่ดารวินยังอธิบายไมไดก็คือเรื่อง
พันธุกรรมกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงลักษณะ เรื่องแรกนั้นเมนเดลอธิบายไดดวยความคิดเรื่องยีนส (genes)
สวนเรื่องหลัง ปจจุบันอธิบายไดดวยเรื่องรหัสพันธุกรรม (DNA) ทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีการพัฒนามานี้จึงมี
ลักษณะเปนระบบที่ประกอบดวยทฤษฎีตาง ๆ รวมกัน ทฤษฎีวิวัฒนาการไดกอใหเกิดปญหาทางปรัชญาคือ
7.3.1 การไมสามารถยอนกลับ (Irreversibility) การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางฟสิกสและ
เคมีมีลักษณะยอนกลับได คือจากสิ่งยอย ๆ ทําใหเกิดการรวมกันเปนสิ่งรวม และจากสิ่งรวมก็แยกกลับไปสู
สิ่งยอยได แตการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางชีววิทยา เชน กระบวนการวิวัฒนาการนั้นไมอาจยอนกลับได
33
การเปลี่ยนแปลงจากไขนก เปนลูกนก และเปนนกที่โตเต็มที่ ไมอาจยอนกลับจากนกที่โตเต็มที่ไปสูไขนกไดอีก
ไขผีเสื้อเปลี่ยนเปนตัวหนอน ดักแดแลวเปนผีเสื้อก็ไมอาจดําเนินไปในทางกลับกันได สัตวโลกที่วิวัฒนาการ
ตั้งแตเปนสัตวเซลสเดียวมาจนปจจุบันไมอาจยอนกระบวนการกลับไปเปนสัตวเซลสเดียวไดอีก
7.3.2 การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตตางสกุลใหมีลักษณะคลายกัน (Convergence) สิ่งมีชีวิตที่
อยูคนละสกุลเมื่ออยูในสภาพแวดลอมอยางเดียวกันจะเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยูรอดในสภาพแวดลอมนั้น
ซึ่งทําใหสิ่งมีชีวิตตางสกุลมีลักษณะคลายกัน เชนทั้งแมลงและนกที่ตองบินตางก็วิวัฒนาการจนมีปก กบปา
ของโลกเกากับโลกใหมแมวาจะตางตระกูลกัน ก็มีลักษณะคลายกันมากจนกระทั่งตองดูโครงกระดูกจึงจะเห็น
ความแตกตางการเปลี่ยนแปลงนี้มิใชสภาพแวดลอมเปนสาเหตุภายนอกที่มาผลักดันใหเกิดความเปลี่ยนแปลง
ดังเชนการเปลี่ยนแปลงแบบกลไกทางฟสิกส แตเกิดจากการที่สิ่งที่เหมาะกับสภาพแวดลอมเทานั้นที่ดํารง
อยูได สัตวหรือพืชที่ไมเหมาะกับสภาพแวดลอมจะสูญพันธไป สิ่งที่เหลืออยูจึงมีลักษณะคลายคลึงกัน
7.3.3 การชวยเหลือกันและการทําลายกัน (Altruism และ Competition) การดิ้นรนเพื่อการ
อยูรอด ทําใหสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน พึ่งพาอาศัยกันบาง ทําลายกันบาง เชนสัตวตางชนิดกันอยูรอดไดดวย
การกินสัตวอีกชนิดหนึ่งจนกระทั่งนักชีววิทยาเรียกวา“หวงโซอาหาร”แตก็มีความรวมมือเชนกุงทะเลชนิดหนึ่ง
มีความสัมพันธใกลชิดกับสัตวที่มันรักษาโรคให กุงเหลานี้ผลุบ ๆ โผล ๆ อยูตามชองระหวางกลีบดอกไมทะเล
มีหนวดยาวแกวงไปมา เมื่อปลาวายผานมาใกล ๆ และหยุดดูดวยความสนใจ กุงก็จะเขี่ยดวยหนวดและปลาก็
จะเอาหัวและเหงือกมาใหกุงทําความสะอาด กุงจะไตขึ้นไปตามตัวปลาทําความสะอาดแผลและกําจัด
ปาราสิตตาง ๆ ปลาจะอยูนิ่ง ๆ ระหวางที่กุงทําความสะอาด บางครั้งปลาก็อาปากใหกุงเขาไปทําความ
สะอาดในปาก ปลารูถิ่นที่อยูของกุงเหลานี้และมารอใหกุงรักษาให นักวิทยาศาสตรไดทดลองวาหากเอากุง
เหลานี้ออกไปจากพื้นที่อะไรจะเกิดขึ้นผลปรากฏวาปลาลดจํานวนลงจนเหลือแตปลาที่อาศัยอยูในบริเวณนั้น
ปลาที่เหลือมีจุดขาว ๆ เกิดขึ้น เปนแผลตามตัวและครีบลุย การอยูรอดของสิ่งมีชีวิตตาง ๆ จึงอาจเปนไดทั้ง
การชวยเหลือกันและการทําลายกัน
ถาเรายอมรับวาการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาก็เปนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็ตองยอมรับวา
ธรรมชาติในที่นี้มีความหมายกวางกวาวัตถุนิยม เพราะยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปสูสิ่งใหมและไมยอมรับ
แนวคิดเกี่ยวกับการทอนลงแตก็มีขอบเขตคือเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส ดังนั้น
คําอธิบายความหมายของธรรมชาตินิยมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่นักธรรมชาตินิยมแตละคนยึดถือ โดย
ยังอยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส เชน เสือวิวัฒนาการมาจนปจจุบัน เปนสัตวที่เดินไดเงียบและมีกรงเล็บ
แหลมคม ความมีกรงเล็บแหลมคมเปนลักษณะของเผาพันธุที่มีการสืบทอดทางพันธุกรรมตอไป มนุษยเปน
สัตวที่พัฒนามายิ่งกวาเสือคือเปนสัตวที่มีจิต มีเหตุผล มีศีลธรรม ลักษณะเหลานี้เปนผลของวิวัฒนาการ
และสืบทอดทางพันธุกรรมได จึงเปนสิ่งธรรมชาติ หากเปนเชนนี้ธรรมชาตินิยมก็อธิบายมนุษยตางกับ
วัตถุนิยมคือยอมรับเรื่องจิตซึ่งวัตถุนิยมไมยอมรับแตถึงกระนั้นก็มิไดยอมรับวาจิตเปนความจริงอีกชนิดหนึ่ง
ตางหากจากรางกาย
34
7.4 ลัทธิเตา (Taoism) ธรรมชาติและการดําเนินชีวิตตามธรรมชาติ
ลัทธิเตาเปนแนวคิดปรัชญาแบบธรรมชาตินิยมลัทธิหนึ่งซึ่งมิไดเปนวัตถุนิยมคําวา เตาในลัทธิเตา
มีความหมายกวางและมีการตีความแตกตางกัน เนื่องจากเหลาจื้อเจาลัทธิผูเขียนคัมภีรเตาเตอะจิง ไวกอน
หนาที่จะปลีกตัวจากสังคมไปบําเพ็ญพรต คือดําเนินชีวิตตามเตาดังที่ทานไดสอนไว มิไดมีคําอธิบายใด ๆ
นอกจากคัมภีรที่เขียนเปนบทสั้น ๆ 81 บท วาดวยธรรมชาติของเตา สังคม การปกครอง และการดําเนินชีวิต
ที่สอดคลองกับเตา พรอมดวยเหตุผลที่พูดไวสั้น ๆ ซึ่งชวนใหตีความแตกตางกันไป ตามความรูและอัธยาศัย
ของบุคคล กอนที่จะชี้วาลัทธิเตาเปนธรรมชาตินิยมอยางไรและแตกตางกับวัตถุนิยมอยางไร ผูอานควรจะ
ไดอานคัมภีรนี้สักสองสามบทเสียกอน
บทที่1
เตาอันกลาวขานไดใชเตาอันนิรันดร นามอันกําหนดไดใชนามอันมิรูผันแปร อภาวะนั้นแลมากอน
ฟาแลดิน ภาวะแลคือมารดาแหงสิ่งทั้งปวง ดวยอภาวะอันนิรันดรจึ่งเราประจักษอุบัติภาวะอันลึกลับแหง
เอกภาพ ดวยภาวะอันนิรันดร จึ่งเราประจักษนานาวัตถุ สองสิ่งนี้เหมือนกันดวยตนกําเนิด แลตางกันดวย
การปรากฏ ความเหมือนนั้นชื่อวาสภาวะอันลึกล้ํา สภาวะอันลึกล้ําไมมีที่สุดคือทวารอันองคาพยพแหงเอกภพ
ถืออุบัติ
บทที่ 2
ในกาลเมื่อใดสิ่งทั้งปวงในโลกเห็นความงามวา งาม ในกาลเมื่อนั้นความอัปลักษณยอมตั้งอยู ใน
กาลเมื่อใดสิ่งทั้งปวงเห็นความดีวา ดี ในกาลเมื่อนั้นความชั่วยอมตั้งอยู ภาวะนั้นแลยอมบงถึงอภาวะ ความ
งายใหกําเนิดแกความยาก สั้นมาจากยาวโดยเทียบ ต่ําตางกวาสูงโดยฐาน ความสูงต่ําแลสําเนียงทําให
เสียงดนตรีนั้นกลมกลืน หลังยอมตามกอน เหตุดั่งนี้จึงปราชญกระทําโดยมิใชการกระทํา สั่งสอนโดยมิ
อาศัยคําพูด
บทที่ 4
ความกลวงแหงเตานั้นเติมเทาใดก็เหมือนมิรูเต็ม ในความลึกล้ํานั้นเตาเหมือนดังเปนตนกําเนิด
แหงสิ่งทั้งปวง ในความลึกล้ํานั้นเตาดั่งจะคงอยูเสมอ ขาพเจามิแจงวาเตาเปนลูกเตาเหลาใคร แตดูดุจเปนผู
มากอนธรรมชาติ
บทที่ 21
คุณธรรมอันไพศาลที่ปรากฏลวนเปนไปตามเตา เตาเปนทั้งสิ่งที่แลไมเห็นแลจับตองมิได เห็นก็
มิไดแตมีรูปมีรางอยู เห็นมิไดจับตองก็มิได แตมีแกนแทอยู ยุงเหยิงแลคลุมเครือแตมีสารัตถะ สารัตถะนี้เปน
จริงอยางไมผันแปร ความเชื่อในสิ่งนี้มีอยู ตั้งแตโบราณกาลจนเดี๋ยวนี้มันมิเคยสูญชื่อ ตนกําเนิดของสิ่งทั้ง
ปวงสิ้นไปโดยผานทางนี้ ขาพเจาจักรูไดอยางไรวามีสิ่งซึ่งเปนตนกําเนิดของสิ่งทั้งปวง
35
บทที่ 25
มีสิ่งหนึ่งซึ่งเปนอยูโดยตัวเองแลเปนธรรมชาติ เปนสิ่งอันมีอยูกอนฟาแลดิน ไรซึ่งความเคลื่อนไหว
แลความลึก ดํารงอยูอยางโดดเดี่ยวแลมิรูเปลี่ยนแปลง แผซานไปทุกหนแหงแลมิรูหมดสิ้น อาจถือวาสิ่งนี้
เปนมารดรแหงเอกภพก็ได ขาพเจามิรูนามชื่อของสิ่งนั้น หากจักบังคับใหขาพเจาขานนาม ขาพเจาจักขาน
วาเตา แลจักขานวาเปนสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดยอมหมายถึงดําเนินตอไปเรื่อย ๆ ดําเนินตอไปเรื่อย ๆ ดําเนิน
ตอไปเรื่อย ๆ หมายถึงไปไกล ไปไกลหมายถึงหวนกลับ ดังนั้นเตาจึงสูงสุด ฟาสูงสุด ดินสูงสุด แลมนุษย
สูงสุด ในเอกภาพนี้มีอยูสี่สิ่ง ซึ่งสูงสุด แลมนุษยเปนหนึ่งในสี่ มนุษยดําเนินตามกฎของดิน ดินดําเนินตาม
กฎของฟา ฟาดําเนินตามกฎของเตา เตาดําเนินตามกฎอันเปนธรรมชาติภายในตัวเอง
บทที่ 34
เตาอันไพศาลแผไปทุกหนแหงทั้งซายแลขวา เพราะเตาแลสิ่งทั้งปวงจึงอุบัติ แลเตามิไดรังเกียจสิ่ง
เหลานี้ กุศลแมสําเร็จแลวเตาก็มิถือครองไว เตารักแลบํารุงสิ่งทั้งปวง แตมิควบคุมสิ่งใด เตาหาภาวะมิไดจึง
ชื่อวาเล็ก สิ่งทั้งปวงกลับคืนไปสูเตา แลเตาบมิเปนนายควบคุมสิ่งเหลานั้น จึงเตาชื่อวาใหญ เหตุเพราะมิ
ตองทําเปนยิ่งใหญ ก็ยังบรรลุความยิ่งใหญได
บทที่ 41
เมื่อผูทรงความรูอันสูงไดฟงเรื่องเตา เขายอมพยายามปฏิบัติมันอยางยิ่งยวด เมื่อผูทรงความรู
ปานกลางไดฟงเรื่องเตา เหมือนวาบางครั้งเขาก็รักษามันไวได บางครั้งก็สูญเสียมันไป เมื่อผูทรงความรูอัน
นอยไดฟงเรื่องเตา เขายอมหัวรอเยาะเสียงลั่น หากเขามิหัวรอเยาะ มันยอมมิใชเตาอยางแทจริง ดังนั้นจึง
สุภาษิตกลาวไววา เตาในความสวางดูมืดมน เตาในความกาวหนาดูเหมือนถอยหลัง เตาในความตรงของ
มันดูเหมือนยุงยิ่งคุณธรรมอันสูงสุดดูดั่งหุบเหว ความขาวอันบริสุทธิ์ดูเหมือนไรสี คุณธรรมอันยิ่งใหญที่สุดดู
เหมือนไมเพียงพอ คุณธรรมอันแข็งแกรงที่สุดดูเหมือนเปราะ ธรรมชาติอันสามัญที่สุดดูเหมือนเปลี่ยนแปลง
รูปสี่เหลี่ยมอันใหญที่สุดไมมีมุม ภาชนะอันใหญที่สุดไมสมบูรณ เสียงที่ดังที่สุดไดยินยาก รูปที่ใหญที่สุด
มองไมเห็น เตาครั้นเมื่อซอนอยูยอมไรชื่อ กระนั้นเตาแตอยางเดียวที่พึ่งรวมดวยแลยังใหสมบูรณ
บทที่ 66
เตาเปนของโลกดุจเดียวกับกระแสน้ําแลแองลึกเปนของแมน้ําแลทะเล แมน้ําแลทะเลอาจเปนเจา
แหงแองลึก เพราะแมน้ําแลทะเลวางตนอยูในที่อันต่ํากวาแองลึกได ดังนั้นจึงมันเปนเจาแหงแองลึกทั้งปวง
จึ่งปราชญจักอยูจักเหนือประชาชนไดก็ดวยการวางตนอยูใตประชาชน จักนําหนาประชาชนเขาตองทําตน
อยูเบื้องหลังประชาชน ดั่งนั้นเมื่อเขาอยูเบื้องบน ประชาชนจักมิรูสึกวาแบกภาระ เมื่อเขาอยูเบื้องหนา
ประชาชนจักมิรูสึกวามีเขาขวางหนาอยู ดั่งนั้นทั้งโลกจักยินดียกเขาไวเบื้องสูง แลมิไดเบื่อหนายเขาเลย
36
7.4.1 โลกตามทัศนะของธรรมชาตินิยมแบบเตา
ตามขอเขียนของเหลาจื้อที่ยกมานี้เตาเปนนิรันดรคือมีอยูโดยไมมีตนกําเนิดและดํารงอยูตลอดไป
เตาเปนที่มาของทุกสิ่งและเปนที่ที่ทุกสิ่งกลับคืนไป ในแงนี้เตาคลายกลับพรหมันในศาสนาฮินดู แตเตามิใช
พระเจาที่เปน “บุคคล” (person) ลัทธิเตาจึงมิใชเทวนิยม และกลาวไดวาเตาก็คือธรรมชาติอันเปนนิรันดร
และเปนที่มาของฟาและดิน ขอที่คลายกันก็คือเตามีลักษณะเปนนามธรรมแตเปนที่มาของรูปธรรม หรือโดย
แทจริงแลวรูปธรรมที่เรารับรูดวยประสาทสัมผัสนี้มาจากธรรมชาติที่เปนนามธรรมและกลับไปสูธรรมชาติที่
เปนนามธรรมได เตาจึงมิใชความจริงแบบจิตนิยม แตลัทธิเตาก็มิไดถือวาโลกแหงประสาทสัมผัสเปนมายา
และจะบอกวาเตาที่เปนนามธรรมไมมีอยูจริงก็ไมไดเพราะเราอธิบายสิ่งทั้งปวงดวยเตา เหมือนเราพูดไมได
วาวิธีแกโจทยคณิตศาสตร ไมมีอยูแมวาสิ่งที่เรารับรูไดคือตัวเลขตาง ๆ ที่ดําเนินไปตามวิธีนั้น
การที่เตาเปนความจริงเพียงอยางเดียวและสิ่งหลากหลายมาจากเตาเตาจึงเปนทั้งที่เกิดองคประกอบ
ความสัมพันธ วิถีทางและกฎของโลกหรือธรรมชาติ เพราะตองมีความเปลี่ยนแปลงจากเตาไปเปนสิ่งทั้งปวง และ
สิ่งตาง ๆ ที่ประกอบกันเปนโลกของประสาทสัมผัสก็ตองมีความสัมพันธกัน และมีวิถีทางที่จะดําเนินไป เรา
จึงพบการใชคําวาเตาในความหมายตาง ๆ คือเปน ธรรมชาติ เปนสาเหตุของสิ่งธรรมชาติ เปนจุดหมาย
สุดทาย เปนกฎธรรมชาติ และเปนวิถีทางที่จะดําเนินตามกฎธรรมชาติไปสูจุดหมายสุดทาย
สภาวะที่สมดุลของธรรมชาติคือสภาวะที่สมบูรณและดีที่สุด เราอาจพิจารณาจากเรื่องนิเวศวิทยา
ที่เปนความรูในปจจุบันเปนตัวอยาง ระบบนิเวศวิทยาดําเนินไปตามธรรมชาติ มีความสมดุลและสมบูรณในตัว
หากไมมีอะไรไปยุงเกี่ยวแทรกแซงสภาวะแหงธรรมชาตินี้ก็จะดําเนินไปและดํารงอยู มีความดีงามในตัวเอง มีการ
เกิด การดําเนินไป การเสื่อมสลาย การพึ่งพาอาศัยกันอยางเหมาะเจาะตามวิถีทางของมัน ตามทรรศนะของ
เหลาจื๊อสภาวะธรรมชาติจึงดีที่สุด การเขาไปแทรกแซงทําใหเกิดความเสียหายและเลวรายตาง ๆ ตามมา
7.4.2 ผลของทัศนะของธรรมชาตินิยมแบบเตาตอชีวิต
มนุษยเปนสวนหนึ่งของธรรมชาติจึงควรดําเนินชีวิตใหสอดคลองกับธรรมชาติ การพยายามเขาไป
เปลี่ยนแปลงแกไขธรรมชาติจะทําใหเกิดความเสียหาย และสงผลรายมาสูตัวมนุษยเอง นี่เปนแงความสัมพันธ
ของมนุษยกับธรรมชาติภายนอก ตัวมนุษยเองก็มีธรรมชาติของตนที่จะเปนอยูอยางเรียบงายเปนธรรมชาติ
มนุษยตองเขาใจธรรมชาติอันเปนแกนแทของตน ไมดําเนินชีวิตใหผิดธรรมชาติ คือดําเนินชีวิตตามเตาเชน
ไมพยายามควบคุมสิ่งใดใหเปนไปตามใจ ปลอยใหสิ่งตาง ๆ ดําเนินไปตามธรรมชาติของมัน ไมยึดถือสิ่งใด
เปนของตนและเขาไปเปลี่ยนแปลง
ในดานการปกครองผูปกครองที่ปกครองอยางเปนธรรมชาติก็คือผูปกครองที่อยูต่ําวาประชาชนคือรับ
ปญหาของประชาชน ไมกดขี่ประชาชน ประชาชนเปนใหญและจุดหมายของการปกครองก็คือประชาชน
กลมกลืนกับประชาชนจนประชาชนไมรูสึกวาถูกปกครอง ผูปกครองที่ดีตองปกครองโดยไมปกครอง คือไมใช
37
อํานาจเปนใหญ ไมปกครองเพื่อแสดงอํานาจของตน แตใชอํานาจในตนเพื่อความเปนอยูที่ดีของประชาชน รัฐ
ก็จะเปนรัฐที่ปราศจากความกลัว และประชาชนไมเบื่อหนายผูปกครอง ประชาชนมีอิสระอยางแทจริง
38
39
บทที่ 3
ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย
1. มนุษยในทัศนะของวัตถุนิยม
1.1 คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกส
1.1.1 คําอธิบายเรื่ององคประกอบของมนุษย
คําอธิบายมนุษยในแนวทางฟสิกสเริ่มตนตั้งแตความคิดของพวกปรมาณูนิยม (Atomism) คือ
ความคิดของ ลิวคิปปุส (Leucippus) และเดโมคริตุส (Democritus) ในสมัยกรีกโบราณ นักปรัชญาทั้ง
สองเปนนักปรัชญารุนแรกที่เสนอความคิดวา ทุกสิ่งสามารถแบงแยกลงไปสูสิ่งที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถแบงแยก
ไดอีกตอไปเรียกวา อะตอม คําวา อะตอมมาจาก a tome แปลวา ตัดไมได แบงไมได โดยพื้นฐานโลกนี้จึง
ประกอบดวย อะตอมกับที่วาง ๆ ซึ่งเปนที่อยูของอะตอม ทุกสิ่งลวนประกอบขึ้นดวยอะตอมที่ไมมีคุณสมบัติ
เฉพาะใด ๆ คุณสมบัติเปนสิ่งที่มนุษยรูสึกหรือกําหนดขึ้นเทานั้น เชน น้ําตาล ไมไดมีคุณสมบัติ “หวาน”
หวานเปนความรูสึกของเรา เมื่อน้ําตาลกระทบลิ้น น้ําตาลทําใหเรารูสึกหวาน ความหวานไมไดอยูที่น้ําตาล
แตเปนความรูสึกทางประสาทสัมผัสของเรา
ถานําคําอธิบายนี้มาอธิบายมนุษย มนุษยก็ประกอบขึ้นดวยอะตอม ไมมีจิตหรือวิญญาณ หากจะ
มีจิตหรือวิญญาณ จิตหรือวิญญาณก็ตองประกอบขึ้นดวยอะตอมเชนกัน แตปญหาก็คือ อะตอมซึ่งเปนสสาร
นี้สามารถแสดงปรากฏการณที่เรียกวา “ชีวิต” ไดอยางไร แมแตสสารที่แบงแยกไมไดนั้นก็ถามไดวาเกิดขึ้น
ไดอยางไร ถาไมมีผูสรางสสารเกิดเองไดหรือไม
1.1.2 สสาร
นักปรัชญากรีกเปนคนกลุมแรก ๆ ที่สังเกตโลกและรูสึกวาการที่มนุษยเชื่อในโลกของประสาทสัมผัส
ตามที่ปรากฏไมนาจะถูกตอง นาจะมีความจริงที่อยูเบื้องหลังหรือลวงพนประสาทสัมผัส ความจริงดังกลาวนั้น
นักปรัชญากรีกมิไดคิดวาตองเปนสิ่งเหนือธรรมชาติ แตเปนความจริงที่ละเอียดประณีตเกินกวาที่ประสาท
สัมผัสธรรมดาจะสัมผัสได จึงไดตั้งคําถามเกี่ยวกับสสารและการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสสาร เชน
อะไรคือสสารอันเปนที่มาหรือสวนประกอบของทุกสิ่ง สิ่งทั้งหลายมาจากสสารชนิดใดชนิดหนึ่งที่เรารูไดดวย
ประสาทสัมผัสเชน ดิน น้ําหรือวามีสสารซึ่งเราไมรูจักเปนสสารอันเปนที่มาของสสารนั้น ๆ อีกตอหนึ่ง มีพลัง
อะไรที่ทําใหสสารเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง พลังทั้งหลายเชนพายุที่พัดกระหน่ํา ฟาที่ผาทําลายกอนหิน พืชที่
เกิดแลวก็ตาย พลังที่ปรากฏเหลานี้ยังมีพลังอะไรที่อยูเบื้องหลังหรือไม พลังนั้นอยูภายในสิ่งตาง ๆ หรือมาจาก
ภายนอก
คําตอบเกี่ยวกับสสารดูเหมือนจะลึกซึ้งลงไปเปนลําดับ ตั้งแตคําตอบงาย ๆ ในปรัชญากรีกสมัย
ศตวรรษที่ 5 กอนคริสตศักราช เชน คําตอบของธาเลสที่วาสิ่งทั้งปวงมาจากธาตุเบื้องตนหรือปฐมธาตุคือน้ํา
มาสูคําตอบที่ลึกลงไปอีกระดับหนึ่งคือคําตอบของเดโมคริตุสเรื่องอะตอม ในปจจุบันคําตอบลึกลงไปกวา
40
นั้นคืออะตอมยังมีสวนประกอบเปนอนุภาคโปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน คําตอบนี้ทําใหอะตอมซึ่งถือ
กันวาเปนสสาร กลายเปนสิ่งที่มีองคประกอบเปนพลังงาน และฟสิกสที่ถือวาเปนศาสตรเกี่ยวกับสิ่งที่
แนนอนตายตัว กลายเปนศาสตรที่ยังสับสนเมื่อพูดถึงนิวเคลียรฟสิกส ในปจจุบันนักวิทยาศาสตรสามารถ
สรางอิเล็กตรอนจากสุญญากาศได และยังสรางโปรตรอนได ซึ่งแสดงวาในแงวิทยาศาสตร อิเล็คตรอนและ
โปรตรอนเกิดจากความวางเปลา และสสารสามารถเกิดขึ้นจากความวางเปลาได
ในเรื่องพลังที่ทําใหสสารเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงก็ไดมีการพัฒนาคําอธิบายแบบคาดเดาของกรีก
โบราณ เชน รักและเกลียด (love and hate) มาเปนเรื่อง “แรง” ในทฤษฎีของกาลิเลโอ จนในปจจุบันไดพูด
ถึงแรง 4 ประเภท
ประเภทแรกคือ แรงดึงดูด (gravity) ซึ่งเปนแรงที่เราใชอธิบายการยกของขึ้นลง การโคจรของโลก
การดึงดูดระหวางดวงดาว เราก็ยังเขาใจอะไรเกี่ยวกับแรงดังกลาว ไมมากนัก นักฟสิกสสังเกตวาแรงดึงดูดมี
ลักษณะเปนคลื่นซึ่งมาจากศูนยกลางแกแล็กซีของเรา
ประเภทที่สอง แรงแมเหล็กไฟฟา ไดแกแรงที่ทําใหแมเหล็กกับเหล็กดูดกัน ดึงดูดอะตอมใหอยู
รวมกันเปนโมเลกุล สงสัญญาณตามเซลลประสาทไปสูสมอง สงสัญญาณภาพโทรทัศน
อีกสองประเภทอยูในระดับเล็กกวาระดับอะตอม ไดแกแรงที่เรียกวา strong interaction ซึ่งทําให
โปรตรอนกับนิวตรอนที่ควรจะผลักกันอยางรุนแรงอยูรวมกันในอะตอมได กับ weak interaction ซึ่งกระทํา
ตออนุภาคของอะตอมและทําใหอนุภาคแยกจากกัน แตเรายังไมมีความรูเกี่ยวกับแรงชนิดนี้มากนัก
1.1.3 มนุษยหุนยนต
การสืบคนเรื่องสสารลงไปถึงที่สุดดังกลาวทําใหเกิดความเขาใจวา นอกจากสสาร (และพลังงาน)
แลว ไมมีอะไรอื่นอีก สิ่งทั้งหลายเกิดจากสสารประกอบกันขึ้นจากระดับต่ํากวาอะตอม ระดับอะตอม
โมเลกุล ไปจนเปนสารประกอบทางเคมี และรวมกันเปนสิ่งตาง ๆ หากพิจารณาเชนนี้มนุษยก็ประกอบขึ้น
ดวยสสารและพลังงาน (ซึ่งทางปรัชญาเรียกรวม ๆ วา สสาร) สสารประกอบกันขึ้นและแยกจากกันดวยแรง
หรือพลังดังกลาวขางตน รางกายมนุษยก็ประกอบกันขึ้นจากสสารดวยพลังงานเชนนั้น และแยกสลายดวย
พลังงานเชนนั้น มนุษยจึงเปนเพียงสสารที่ยึดโยงกันเปนกลุม เปนรางกาย ไมมีจิตหรือวิญญาณแตอยางใด
การยึดโยงกันนี้เปนไปอยางมีระเบียบและเชื่อมโยงกันเปนระบบ ซึ่งวิชากายวิภาคศาสตรสามารถ
อธิบายระบบและความสัมพันธระหวางระบบตาง ๆ ของรางกายได เชนเดียวกับการทํางานของเครื่องจักร
มนุษยเปนเครื่องจักรชนิดหนึ่งหรือกลาวอีกนัยหนึ่งมนุษยก็คือหุนยนตธรรมชาติ ในแงกายวิภาคศาสตรมนุษย
ประกอบขึ้นดวยหนวยเล็ก ๆ คือ เซลสซึ่งแยกองคประกอบลงไปไดอีก คือประกอบดวยสารเคมีที่สามารถแยก
ลงไปในเชิงนิวเคลียร ฟสิกสอีกชั้นหนึ่ง เซลสประกอบกันเปนอวัยวะยอย ๆ ซึ่งรวมกันเปนระบบกลายเปน
อวัยวะที่ซับซอนขึ้น อวัยวะตาง ๆ ประกอบกันอยางเปนระบบ มีการทํางานเชื่อมโยงกันระหวางระบบตาง ๆ
41
เชน ระบบโครงกระดูก ระบบเนื้อเยื่อ ระบบตอมไรทอ ระบบหายใจ ระบบการไหลเวียนของโลหิต ระบบ
ขับถายเปนตน ซึ่งทําใหคนสามารถแสดงพฤติกรรมตาง ๆ ได
การพิจารณาโดยแยกมนุษยออกเปนสวนประกอบยอย ๆ ดังกลาวเปนการพิจารณาโดยเปรียบเทียบ
กับเครื่องจักร ซึ่งประกอบดวยชิ้นสวนตาง ๆ ที่ทําหนาที่เชื่อมโยงกันเปนระบบ แยกไดเปนสวนหลัก ๆ เชน เสื้อ
เครื่องยนต ลูกสูบ เพลาลูกเบี้ยว เฟองสงกําลัง เพลาขับ แตละสวนเหลานี้ก็ประกอบดวยชิ้นสวนยอย ๆ ลงไป
เมื่อระบบตาง ๆ ของเครื่องยนตทํางานประสานกันอยางถูกตอง เครื่องยนตก็เดินเปนปกติเหมือนคนที่อวัยวะ
ทุกสวนทุกระบบอยูในสภาพปกติ รางกายก็สามารถทํางานได การทํางานของเครื่องยนตเปนไดโดยไมตอง
มีจิตฉันใด การทํางานของรางกายมนุษยที่ปรากฏเปนพฤติกรรมตาง ๆ ก็ไมจําเปนตองมีจิตฉันนั้น แนวคิดนี้
นิยมกันในหมูนักปรัชญาฝายวัตถุนิยมสมัยใหม (modern age)คือ ราวคริสตศตวรรษที่ 18 และ 19
1.1.4 เครื่องจักรที่คิดได
คําตอบดังกลาวขางตนยังไมเปนที่นาพอใจ เพราะเครื่องจักรไมมีอารมณ ความรูสึก ความคิด
จินตนาการ อันเปนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ มันทํางานอยางปราศจากความคิด เปนไปตามความตองการของ
มนุษยผูควบคุม หุนยนตในยุคแรก ๆ ก็ทํางานไดอยางหยาบ ๆ จนยากที่จะเทียบไดกับมนุษย อะไรควบคุม
รางกายใหทําการตาง ๆ ได ถาสิ่งนั้นเปนสสาร เปนวัตถุ วัตถุไมมีชีวิตมันจะกระทําการเองไดอยางไร แมจะ
ยอมรับวาคนเราใชสมองคิด แตสมองที่เปนกอนเนื้อจะคิดไดอยางไร สมองนาจะเปนเพียงอวัยวะที่เปน
เครื่องมือของสิ่งอื่นที่เปนผูคิด และสิ่งนั้นตองไมใชวัตถุ หากแตเปนจิตหรือนามธรรม
คําอธิบายเรื่องเครื่องจักรสามารถคิดไดเริ่มมีน้ําหนักมากขึ้นเมื่อคอมพิวเตอรเจริญขึ้น โดยมีขนาด
เล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทํางานซับซอนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเกิดความคิดวา ถาคอมพิวเตอรคิดได
สมองซึ่งเปนสสารก็คิดไดเชนเดียวกัน ความสามารถในการคิดเราเรียกวา ปญญา ความรูหรือความฉลาด
เมื่อคอมพิวเตอรมีความสามารถในการคิดเทาเทียมกับมนุษยหรือเกงกวามนุษยในบางเรื่อง จึงเกิดคําเรียก
ความฉลาดของคอมพิวเตอรวา ปญญาประดิษฐ (artificial intelligena) เครื่องคอมพิวเตอรเทียบไดกับสมอง
และความสามารถในการทํางานของมันเทียบไดกับสติปญญา หากคอมพิวเตอรกับสมองทํางานแบบเดียวกัน
คนก็คิดไดโดยไมตองมีจิต ขอโตแยงเรื่องจิตในสมัยปจจุบันมักเปนการพิสูจนโดยเปรียบเทียบดังกลาว ถา
รางกายเหมือนเครื่องจักรคอมพิวเตอรที่ควบคุมการทํางานของเครื่องจักรก็เหมือนกับสมองที่ควบคุมการทํางาน
ของรางกาย
1.1.5 เหตุผลสนับสนุนความคิดที่วาเครื่องจักรสามารถคิดได
ในบทความของ คริสโตเฟอร เอแวนส (Christopher Evans)1
เรื่องเครื่องจักรสามารถคิดได
หรือไม เอแวนสไดโตแยงทัศนะที่เชื่อวาการคิดของมนุษยไมใชเรื่องการทํางานของสมองซึ่งเปนสสารแตเพียง
1
บทความนี้ ฉบับภาษาไทย อยูในเอกสารอัดสําเนาของภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
อาจารยโสรัจจ หงศลดารมภ และอาจารยอุกฤษฎ แพทยนอย เปนผูแปล
42
อยางเดียวยังจะตองมีสิ่งอื่นที่มิใชสิ่งกายภาพรวมอยูดวย และสิ่งเหลานั้นอาจปรากฏเปนปรากฏการณทางจิต
เชน อารมณ ความนึกคิด ความคิดสรางสรรค ญาณเหนือผัสสะ เปนตน เอแวนสเชื่อวาสมองทําหนาที่คิดได
โดยไมตองมีสิ่งพิเศษที่ไมใชสสารอันประกอบขึ้นเปนสมอง และสมองทําหนาที่คิดไดดุจเดียวกับคอมพิวเตอร
เปนแตสมองพัฒนามาตามกระบวนการวิวัฒนาการ สวนคอมพิวเตอรพัฒนาโดยกระบวนการทางฟสิกสดวย
ฝมือมนุษย แตถาคอมพิวเตอรกับสมองทํางานไดเหมือน ๆ กันก็ตองถือวาคอมพิวเตอรคิดได เชนเดียวกับที่
สมองคิดได ไมวาการคิดนั้นจะเปนไปโดยกระบวนการทางฟสิกส หรือชีววิทยาก็ตาม เอแวนสพยายาม
พิสูจนวาคอมพิวเตอรคิดไดโดยที่คอมพิวเตอรไมตองมีสิ่งนามธรรม หรือจิต หากเปนเชนนั้นก็อาจสรุปไดวา
สมองสามารถคิดไดโดยไมตองมีจิตคือการคิดทั้งหลายเปนกระบวนการทางกายภาพลวนๆ จิตไมจําเปนตองมี
ประเด็นตางๆที่เอแวนสอางมีดังนี้
1) คอมพิวเตอรในปจจุบันพัฒนามาจากคอมพิวเตอรแบบงาย ๆ ในอดีต และยังคงเปนคอมพิวเตอร
แบบเดิมอยู แตมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถคิดไดอยางซับซอน คิดไดเร็วกวามนุษย มีความถูกตอง
แมนยํากวา และไมรูจักเหน็ดเหนื่อย ในแงนี้ถือไดวาคอมพิวเตอรเปนสมองหรือปญญาประดิษฐ (artificial
intelligence) ที่มีประสิทธิภาพกวาปญญาของมนุษย ดังนั้นมิใชแตเพียงคอมพิวเตอรคิดไดอยางมนุษยแต
คิดไดดียิ่งกวาสมองของมนุษย
2) คอมพิวเตอรสามารถทํางานไดเหมือนการคิดของมนุษยมากจนไมรูวาเปนคอมพิวเตอร ถาไมรู
มากอนหรือไมมีใครบอกใหทราบ เชน กรณีที่นักเลนหมากรุกโลก เลนหมากรุกกับเครื่องคอมพิวเตอร เชส 47
(chess47) และออกปากวาเลนเกงเทานักเลนหมากรุกระดับโลกและถาไมรูมากอนวาเปนคอมพิวเตอรก็จะตอง
นึกวาเปนคน
3) คอมพิวเตอรสามารถโตตอบความคิดกับมนุษยได เชนเดียวกับมนุษยสนทนาโตตอบกัน
คอมพิวเตอรสามารถรับคําสั่งและสนทนาโตตอบ ปฏิเสธ บอกทางเลือก สอบถามความตองการของมนุษย
ได การทํางานเชนนี้เหมือนกับการทํางานโดยใชสมองของมนุษย
4) คอมพิวเตอรมีความคิดสรางสรรคได คือมีความคิดใหมที่ยังไมมีใครคิดมากอน เอแวนส
ยกตัวอยางเรื่องการพิสูจนทางเรขาคณิตเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยม และเรื่องการใชสี่สีในการพิมพดังนี้
ก. กรณีการพิสูจนทางเรขาคณิต
“ตัวอยางของการคิดเชิงสรางสรรคของเครื่องยังมีที่ดีกวานี้ เชนการใหเครื่องพิสูจนทฤษฎีใน
เรขาคณิตของยูคลิค ซึ่งเครื่องไดคิดคนแนวทางการพิสูจน ซึ่งไมเคยมีมนุษยคนใดคิดไดมากอน กลาวคือ
เครื่องสามารถพิสูจนไดวา มุมฐานของสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีขนาดเทากันโดยการพลิกสามเหลี่ยมดังกลาว
ไป 180 องศา แลวบอกวาสามเหลี่ยมทั้งคูนี้ทับกันไดสนิท”1
1
เรื่องเดิม หนา 8
43
ข. กรณี การพิมพสี
“ตัวอยางที่เห็นไดชัดก็คือ “ปญหาสี่สี” ปญหาดังกลาว อยูที่วาจะทาสีประเทศหรือรัฐตาง ๆ ใน
แผนที่โดยใชสีใหนอยสีที่สุดกี่สีเพื่อใหแตละประเทศหรือรัฐที่อยูติดกันจะตองมีสีไมซ้ํากัน ปญหานี้มีนัยสําคัญ
ทางคณิตศาสตร … ประสาทสัมผัสจะบอกเราวาสี่สีเปนจํานวนที่ใชได แตถาคุณจะตองหาขอพิสูจนเชิง
คณิตศาสตรวาทําไมถึงตองเปนสี่สีคุณจะไปที่ไหนไมไดเลย นักคณิตศาสตรพยายามมาเปนสิบ ๆ ป แลวที่
จะพิสูจนเรื่องนี้ แตก็ไมคืบหนาไปไหน “บทพิสูจน” ที่มีผูเสนอก็ปรากฏวาผิดพลาดทั้งสิ้น อยางไรก็ตามใน
ป 1977ปญหานี้ก็มีผูปอนใหคอมพิวเตอรซึ่งหาหนทางแกดวยการพิจารณาทางเลือกทั้งหมดที่มีอยูดวยความเร็ว
มหาศาลและผลที่ไดก็คือเครื่องสามารถหาขอพิสูจนที่นักคณิตศาสตรพอใจได2
5) ในอนาคตคอมพิวเตอรอาจพัฒนาโปรแกรมใหสามารถทํางานไดทุกอยางที่สมองมนุษยทําได
แมกระทั่งพัฒนาโปรแกรมดวยตัวมันเองก็ได ขออางนี้เปนการพิจารณาจากสิ่งที่คอมพิวเตอรทําไมไดในอดีต
เชน เขียนตัวอักษรเหมือนที่มนุษยเขียนไมได วาดภาพไมได แตในปจจุบัน คอมพิวเตอรสามารถทํางาน
เหลานี้ไดดีกวามนุษย การอางเหตุผลเชนนี้ทําใหคอมพิวเตอรกลายเปนสิ่งที่พัฒนาเปนอะไรก็ไดไมมีขอจํากัด
ดังนั้นไมวาสมองมนุษยจะเปนอยางไร ก็สามารถอางไดวาคอมพิวเตอรจะเปนเชนนั้นไดเสมอ กลาวคือเปน
ความเชื่อเบื้องตนวาคอมพิวเตอรกับสมองไมมีอะไรตางกันตั้งแตตน
6) สมองมนุษยก็คือคอมพิวเตอรที่พัฒนาโปรแกรมมานานโดยกระบวนการวิวัฒนาการ คอมพิวเตอร
ก็อาจพัฒนาโดยกระบวนการฟสิกสดวยระบบดิจิตอลไดเชนเดียวกับสมอง
7) คอมพิวเตอรไดพัฒนามาจนกระทั่งทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพยิ่งกวาสมองในบางเรื่อง ดังนั้น
คอมพิวเตอรที่เจริญหรือ ปญญาประดิษฐ (artificial intelligence) ที่เฉลียวฉลาดเชนนี้อาจมีคุณสมบัติบาง
อยางเชนรูสึก หรือรูตัววากําลังคิดหรือทําอะไรอยู หากเปนเชนนั้นคอมพิวเตอรก็ไมแตกตางกับสมองมนุษย
เมื่อพิจารณาโดยนัยตาง ๆ ดังกลาวขางตน ไมวาจะเปนรางกาย หรือสมองของมนุษยก็มีลักษณะ
เปนเครื่องจักรและชีวิตก็คือการทํางานของเครื่องจักร
1.1.6 ในบทความเรื่องคอมพิวเตอรคิดไดหรือไม จอหน เซิรล (John Searle)1
วิจารณความคิดของ
นักปรัชญาฝายวัตถุนิยมที่เชื่อวาเครื่องจักรกับสมองทํางานอยางเดียวกัน และเครื่องจักรก็อาจมีความคิด
และความรูสึกก็คือการทํางานของสมองตามโปรแกรมในตัวมันไมมีสิ่งอื่นที่เรียกวาจิตหรืออะไรทั้งสิ้นแมขณะนี้
มนุษยจะยังสรางเครื่องคอมพิวเตอรที่คิดและรูสึกไดดังกลาวแตในอนาคตมนุษยก็จะสามารถออกแบบโปรแกรม
ที่เทียบไดกับสมองและความคิดของมนุษยในทุกๆดาน
2
เรื่องเดิม หนา 7
1
เอกสารประกอบการสอน วิชาปรัชญาเบื้องตนของภาควิชาปรัชญาคณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, โสรัจจ
หงศลดารมภ (ผูแปล)
44
เซิรลคิดวาไมวาคอมพิวเตอรจะพัฒนาไปเพียงไรมันก็ยังคงเปนเพียงคอมพิวเตอรชนิดนั้นที่
ซับซอนขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น แตไมมีทางที่จะเหมือนสมองที่มีความสามารถ ในสิ่งที่คอมพิวเตอรไมมี
และความสามารถนั้นก็อยูนอกเหนือความสามารถในการทํางานของคอมพิวเตอรแบบดิจิตอล ขอแยงนี้ก็
เหมือนกับสัตวน้ําไมวาจะมีคุณสมบัติพิเศษใด ๆ ก็ตองเปนคุณสมบัติในการอยูในน้ํา ไมอาจมีคุณสมบัติ
เฉพาะของสัตวบกได เขาบรรยายการทํางานของคอมพิวเตอรแบบดิจิตอลวา
“การทํางานของมันสามารถบรรยายไดอยางเปนแบบแผน นั่นคือเรากําหนดและบรรยาย
ขั้นตอนตาง ๆ ของการทํางานของคอมพิวเตอรดวยสัญลักษณที่เปนนามธรรม เชน เลข 0
กับ 1 “กฎ” คอมพิวเตอรตามปกติจะกําหนดวาเมื่อใดเครื่องจะอยูในสถานะใด และเครื่องก็
จะมีสัญลักษณบางอยางอยูบนเทป เมื่อเปนเชนนี้เครื่องก็จะดําเนินการเชน ลบสัญลักษณ
หรือพิมพสัญลักษณใหมลงไป หลังจากนั้นเครื่องก็จะเขาสูสถานะใหมอีกสถานะหนึ่งเชน
เลื่อนแถบเทปไปทางซาย แตสัญลักษณพวกนี้ไมมีความหมายมันไมมีเนื้อหาทางอรรถศาสตร1
มันไมไดเกี่ยวพันกับอะไรเลย สัญลักษณพวกนี้ตองกําหนดดวย โครงสรางตามแบบแผนหรือ
โครงสรางตามวากยสัมพันธ2
ของมันเทานั้น ตัวอยางเชนเลข 0 กับเลข 1 ในคอมพิวเตอร
เปนเพียงตัวเลขเทานั้น มิไดแมกระทั่งบงถึงจํานวนศูนยหรือหนึ่ง ที่จริงคุณลักษณะนี้เองที่ทํา
ใหดิจิตัลคอมพิวเตอรมีพลังและประสิทธิภาพมาก เครื่องคอมพิวเตอรเครื่องหนึ่งสามารถทํางาน
ตามโปรแกรมไดมากมายไมจํากัด… การมีจิตใจมีอะไรมากกวา เพียงกระบวนการแบบแผน
หรือกระบวนการทางวากยสัมพันธมาก สถานะทางจิตของเรายอมมีเนื้อหาบางอยาง ถาผม
กําลังนึกถึงเมืองแคนซัส ซิตี้ หรือหวังวาผมมีเบียรเย็น ๆ หรือคิดวาอัตราดอกเบี้ยจะลดต่ําลง
ในแตละกรณีสถานะทางจิตของผมมี “เนื้อหาทางจิต” ที่นอกเหนือไปจากลักษณะแบบแผน3
แนวคิดนี้แสดงใหเห็นวาคอมพิวเตอรทํางานตามแบบที่เปนกลไก โปรแกรมควบคุมการทํางานให
เปนไปตามกลไกที่กําหนด เครื่องยนตของรถยนตทํางานตามคอมพิวเตอรที่ควบคุมสั่งการโดยตัวเครื่องยนต
เองไมไดมีความรับรู ไมมีสัมปชัญญะ เปนการทํางานอยางตาบอดฉันใด คอมพิวเตอรเองก็เปนเครื่องยนต
ชนิดหนึ่งที่ทํางานเปนกลไกเชนเดียวกับเครื่องยนตของรถยนต โปรแกรมคอมพิวเตอรเองก็เปนกลไกที่มนุษย
สรางคือเปนตัวระบบที่ใชควบคุมเครื่องยนตคือคอมพิวเตอรอีกตอหนึ่งผูที่สรางระบบก็คือมนุษยที่มีสัมปชัญญะ
มีสติ มีเจตจํานง มนุษยรูวาตัวทําอะไรและรูความหมายในสิ่งที่ตัวทํา แตเครื่องมือที่มนุษยใชคือคอมพิวเตอร
และโปรแกรมเปนเพียงเครื่องจักรที่ทําตามคําสั่งอยางตาบอด มันทํางานเหมือนมีความรูความเขาใจ เพราะ
ระบบที่มนุษยสรางมีความเปนระเบียบแบบแผนตามเจตจํานงของมนุษย แตตัวเครื่องจักรมิไดรูวาตัวมันกําลัง
1
อรรถศาสตร (semantics) วิชาที่วาดวยความหมายทางภาษา
2
วากยสัมพันธ (syntax) วิชาวาดวยการเรียงลําดับคําตามโครงสรางของภาษาใดภาษาหนึ่ง
3
เรื่องเดียวกัน
45
ดําเนินไปอยางมีระเบียบแบบแผน มันทําไปตามที่ถูกบังคับควบคุม มิไดมีอิสรเสรี เรื่องนี้เซิรลไดยกตัวอยาง
เปรียบเทียบ การทํางานของคอมพิวเตอรกับมนุษยใหเห็นความแตกตางดังนี้
สมมติวาโปรแกรมเมอรกลุมหนึ่งเขียนโปรแกรมขึ้นมาที่ทําใหคอมพิวเตอรสามารถเลียนแบบ
ความเขาใจภาษาจีนได ดังนั้นเมื่อคอมพิวเตอรไดรับขอมูลที่เปนคําถามในภาษาจีน มันก็จะ
เปรียบเทียบคําถามนั้นกับคลังความจําหรือฐานขอมูลของมัน แลวสงคําตอบที่เหมาะสม
ออกมา สมมติวาโปรแกรมดังกลาวเขียนไดดีมากจนกระทั่งคําตอบนั้นดีพอ ๆ กับคําตอบ
ของผูที่พูดภาษาจีนเปนภาษาแม คําถามในตอนนี้ก็คือ เครื่องคอมพิวเตอรเขาใจภาษาจีน
แบบที่ชาวจีนเขาใจภาษาของตนเองหรือไม เอาละ ลองนึกภาพวาคุณถูกขังอยูในหอง ๆ
หนึ่ง ซึ่งเต็มไปดวยตะกรามากมายที่เต็มไปดวยตัวอักษรจีนจํานวนมาก ลองคิดดูวาคุณไมรู
ภาษาจีนเหมือนกับที่ผมไมรู แตคุณมีคูมืออยูเลมหนึ่งเขียนเปนภาษาอังกฤษบอกวาคุณ
จะตองทําอยางไรกับตัวอักษรจีนเหลานี้ กฎตางๆ ในคูมือเลมนี้กําหนดการกระทําตอตัวอักษรจีน
ดวยวิธีที่เปนเรื่องของแบบแผนลวน ๆ หมายความวากฎตาง ๆ พวกนี้เปนกฎทางวากยสัมพันธ
ไมใชอรรถศาสตร ดังนั้นกฎหนึ่งอาจบอกวา “เอาสัญลักษณรูปรางอยางนี้อยางนี้จากตะกรา
หมายเลขหนึ่งและวางมันขาง ๆ สัญลักษณรูปรางอยางนั้นในตะกราหมายเลขสอง” ทีนี้สมมติ
วามีตัวหนังสือภาษาจีนถูกสงเขามาในหอง และสมมติอีกวาคุณมีหนาที่ที่จะสงตัวหนังสือ
กลับไป โดยมีกฎจํานวนหนึ่งที่บอกวาคุณจะตองสงสัญลักษณกลับไปนอกหองอยางไรเมื่อ
ไดรับสัญลักษณที่เรียงกันแบบนั้นแบบนี้มา สมมติวาคุณไมรูวาสัญลักษณที่เปนตัวจีนที่สง
เขามาในหองนั้น คนขางนอกหองเรียกวา “คําถาม” และสัญลักษณที่คุณสงกลับไปเรียกวา
“คําตอบ” สมมติอีกวาโปรแกรมเมอรที่เขียนกฎการเรียงตัวหนังสือนี้มีความเกงกาจมาก จนเมื่อ
ผานไประยะหนึ่งคนนอกหองไมมีทางแยกออกเลยวาคําตอบนี้เปนคําตอบของคนจีนจริงหรือ
ไมใช เราจะเห็นไดวาคุณในตอนนี้ถูกขังอยูในหองที่มีแตตัวหนังสือจีนที่คุณอานไมออกเลย
สักตัวเดียว และกระทําการสลับสับเปลี่ยนตัวหนังสือตาง ๆ มากมาย จากสถานการณที่ผมได
บรรยายมา พบวาไมมีทางใดเลยที่คุณจะเรียนรูภาษาจีนโดยการสลับสับเปลี่ยนตัวหนังสืออยู
อยางนี้
ที่นี้ประเด็นที่ผมตองการจะเสนอจากตัวอยางนี้ก็มีแคนี้ คือวาจากการที่คุณดําเนินตาม
โปรแกรมคอมพิวเตอรแบบแผน และจากการสังเกตจากมุมมองของผูสังเกตการณภายนอก
คุณมีพฤติกรรมเหมือนคนที่รูภาษาจีนดีทุกอยาง แตในขณะเดียวกันคุณก็ไมไดเขาใจภาษาจีน
เลยแมแตไมเพียงพอที่จะทําใหคุณเขาใจภาษาจีนจริงๆก็ไมเพียงพอที่จะใหเครื่องคอมพิวเตอร
อื่นใดก็ตามเกิดความเขาใจภาษาจีนขึ้นมาได ย้ําอีกครั้งเหตุผลสําหรับเรื่องนี้สามารถพูดไดสั้นๆ
ถาคุณไมเขาใจภาษาจีน เครื่องคอมพิวเตอรใด ๆ ก็ไมอาจเขาใจภาษาจีนได เพราะไมมีเครื่อง
คอมพิวเตอรเครื่องใดจะมีอะไรที่คุณไมมีถามันทํางานแตเพียงการดําเนินตามโปรแกรม ทุก
อยางที่คอมพิวเตอรมีก็คือสิ่งที่คุณมีอยูแลว นั่นก็คือโปรแกรมแบบแผนที่ใชในการจัดการกับ
46
ตัวหนังสือภาษาจีนที่ยังไมไดตีความ ขอย้ําอีกครั้งวาคอมพิวเตอรมีแตเพียงวากยสัมพันธ
แตไมมีอรรถศาสตร จุดหมายทั้งหมดของเรื่องหองภาษาจีนนี้ก็คือการเตือนความทรงจําของ
เราเกี่ยวกับเรื่องที่เรารูกันดีอยูแลว วาการเขาใจภาษาหรือการมีสถานะทางจิตใจ ๆ มีสวน
เกี่ยวของอยางยิ่งกับอะไรที่มากไปกวาสัญลักษณแบบแผนที่เรียงกันเปนตับ ความเขาใจนี้
ตองอาศัยการตีความ หรือการมีความหมายติดอยูกับสัญลักษณ และเครื่องคอมพิวเตอร
แบบดิจิตัลตามที่นิยามไวไมอาจมีอะไรมากไปกวาสัญลักษณแบบแผนได ทั้งนี้เนื่องจากอยาง
ที่ผมพูดไวแลว คือวาคอมพิวเตอรไมเปนอะไรมากกวาสิ่งที่สามารถดําเนินการตามโปรแกรม
และโปรแกรมพวกนี้สามารถกําหนดออกมาอยางเปนแบบแผนได นั่นคือมันไมมีอรรถศาสตร1
กรณีดังกลาวนี้ชี้ใหเห็นวาคอมพิวเตอรคิดไมได ไมวาโปรแกรมจะซับซอนเพียงไร การทํางานก็คง
เปนไปตามระบบเดิม รูปแบบเดิม การคิด การตัดสินใจหรือกระบวนการทางจิตอื่น ๆ มิไดเกิดขึ้น แมมี
โปรแกรมที่แสดงอารมณก็ไมอาจทําใหคอมพิวเตอรมีอารมณจริง ๆ เปนแตแสดงออก “ราวกับ” หรือ “ประหนึ่ง
วา” มีอารมณเทานั้น แนวความคิดของเอแวนสที่ผลักความสําเร็จในการพัฒนาของคอมพิวเตอรไปสูอนาคต
โดยมีความเชื่อแตตนวา ไมวาคอมพิวเตอรจะพัฒนาไปในดานใดก็อยูในวิสัยที่เปนไปไดทั้งสิ้น แมกระทั่ง
พัฒนาโปรแกรมดวยตัวเอง หรือเปนสมองมนุษย แตถามีความเชื่อเชนนี้อยูแลวขอพิสูจนทั้งหลายของเอแวนส
ก็ไมจําเปน สิ่งที่เอแวนสมิไดพิสูจนก็คือความรูสึกในตัวตนเกิดขึ้นไดอยางไรเมื่อใด ชีววิทยาพยายามตอบ
ปญหาทํานองนี้โดยพยายามหากําเนิดของ “ชีวิต” ซึ่งทําใหสสารกลายเปนสิ่งมีชีวิต
1.2 คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของชีววิทยา
1.2.1 อะไรคือตนกําเนิดของชีวิต
คําถามทางปรัชญาที่สําคัญ ซึ่งมนุษยพยายามตอบกันมาโดยตลอดก็คือคําถามเกี่ยวกับตนกําเนิด
ของชีวิตของมนุษย ของสสาร และของจักรวาล คําถามเหลานี้จะตอบไดก็ตอเมื่อมีขอมูลและความรูมหาศาล
เมื่อสมัยที่ความรูทางวิทยาศาสตรยังไมเจริญ คําตอบเกี่ยวกับชีวิตและมนุษยมักจะปรากฏเปน
เรื่องเหนือธรรมชาติ เชน เรื่องพระเจา สรางมนุษยในคริสตศาสนา หรือเรื่องผีปนลูกของไทย เปนตน แตใน
ปจจุบันความรูดานชีวเคมีเจริญมากขึ้น และไดตอบปญหาเกี่ยวกับกําเนิดของชีวิตไดลึกซึ้งยิ่งกวาแนวทาง
ฟสิกสที่กลาวมาแลว
1.2.2 ปรากฏการณที่เรียกวา “มีชีวิต”
ในปจจุบันปรากฏการณที่เรียกวา “ชีวิต” อาจนิยามไดดวยคุณสมบัติสองประการคือ การจําลอง
ตัวเองได (self – replication) และการเปลี่ยนแปลงได (mutability) อินทรียภาพใด ๆ ที่มีลักษณะสองประการนี้
เรียกไดวา “มีชีวิต” การที่จะมีลักษณะสองประการนี้ไดก็ตองมีกระบวนการวิวัฒนาการอันประกอบดวยความ
1
เรื่องเดิม
47
สืบเนื่องและการปรับตัว การจําลองตัวเองไดทําใหเผาพันธุยังดํารงอยูเมื่อตัวมันตายไปกลาวคือทําใหมีความ
สืบเนื่องของเผาพันธุนั้น ๆ การปรับตัวไดทําใหดํารงอยูในสภาวะแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงได หากปรับตัวไมได
ก็อาจตองสูญเผาพันธุเพราะสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้อาจมีการนิยามดวยคุณสมบัติอื่น ๆ
เชน เคลื่อนไหวได กินอาหารได เติบโตได ตอบสนองสิ่งแวดลอมได ดํารงอยูในสภาพที่สมดุลได
การที่เราพูดถึงคุณสมบัติสองประการขางตนนั้น ที่จริงยังมิไดเปนการนิยาม คําวา “ชีวิต” เรายัง
ไมไดคิดถึงอะไรเกี่ยวกับชีวิต เราเพียงแตพูดถึงลักษณะภายนอกของสิ่งมีชีวิตที่เรารูไดดวยการสังเกต เราเพียง
แตบอกวาถาสิ่งใดทําไดเชนนั้นเราจะจัดเขาประเภท“สิ่งมีชีวิต”แตเราก็ยังไมไดบอกวาชีวิตคืออะไร
เมื่อเราพิจารณาจากความรูสึกของเรา เรารูสึกไดวา ชีวิตมิใชเปนเพียงความสามารถที่จะทําสิ่งใด
แตเปนสิ่งใดสิ่งหนึ่งในตัวเราที่อยูกับเราตลอดระยะเวลาที่เรายังไมตาย
ตามทฤษฎีมนุษยหุนยนตที่เราไดกลาวมาแลวเราอาจสรางหุนยนตที่มีคุณสมบัติสองประการดังกลาว
ขางตนได หุนยนตเหลานั้นอาจออกลูกออกหลานสืบตอกันไปไมรูจบและสามารถปรับตัวเขากับสิ่งแวดลอม แต
เราจะยอมรับไดหรือไมวามันมีชีวิต ชีวิตนาจะมีอะไรมากกวาหุนที่เต็มไปดวยแผงวงจรไฟฟา
1.2.3 กําเนิดของชีวิตบนพื้นโลก
โลกมีจํานวนนับไมถวน มีอายุและลักษณะแตกตางกัน คัมภีรพระพุทธศาสนาเชื่อวา ยังมีโลกอื่น ๆ
ที่มีสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับโลกนี้อีกมากมายในจักรวาล ในที่นี้เราจะสืบสาวหาตนกําเนิดของชีวิตบนโลกนี้
ระบบสุริยะของเราเกิดขึ้นราวหาพันลานปมาแลวหลังจากนั้นราวสองพันหารอยลานปโลกเริ่มควบแนน
เปนลูกกลมรอนที่ยังมีความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไมมีชีวิตใด ๆ อยูได
ซากดึกดําบรรพของสัตวที่มีเปลือกแข็งอยูในยุคพรีแคมเบรียน (Precambrian) ราว 700 ลานป
มาแลว และแยกเปนวงศตาง ๆ มากมายในยุคแคมเบรียนซึ่งเริ่มราว 600 ลานปมาแลว รองรอยของสิ่งมีชีวิต
เหลานี้พบไดงายเพราะไดพัฒนามามากจนมีเปลือกที่กลายเปนซากดึกดําบรรพหลงเหลืออยู แตสวนที่เปน
เนื้อในไดสลายไปไมเหลือรองรอย เราจึงเชื่อไดวาสัตวที่รางกายนิ่มรวมทั้งชีวอินทรียที่มีเซลลเดียวซึ่งมีอยู
นับไมถวนนาจะมีอยู ในกระบวนการวิวัฒนาการที่ดําเนินสืบเนื่องมากอนหนานั้น แตไมมีอะไรใหนักดึกดํา
บรรพวิทยาคนพบได
ชีวิตที่เกาแกที่สุดที่เรารูจักคือเซลสพืชจําพวกสาหรายที่อยูในสมัยสามพันหารอยลานปมาแลว เซลล
ดังกลาวสามารถสังเคราะหแสงแบบพืชใบเขียวได แตชีวิตก็ตองเกิดกอนหนานี้ เราอาจประมาณระยะเวลาได
วาชีวิตนาจะเกิดขึ้นราวสี่พันหารอยลานปถึงสามพันหารอยลานป ซึ่งเปนชวงที่โลกเริ่มเปนรูปเปนรางขึ้น
1.2.4 การทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีวเคมีของชีวิต
การทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีวเคมีของชีวิต เริ่มขึ้นจากนักชีวเคมีชาวรัสเซียชื่อ อเล็กซานเดอร
โอพาริน (Alexander Oparin) ในป 1922 โอพาริน เสนอทฤษฎีกําเนิดชีวิต ตอกลุมนักวิทยาศาสตรใน
มอสโคว อีกสองปก็พิมพหนังสือเลมเล็ก ๆ ชื่อ The Origin of Life ในป 1928 นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ชื่อ
48
ฮอลเดน (J.B.S. Haldane) พิมพบทความซึ่งมีแนวคิดแบบเดียวกัน แตก็ยังไมมีหลักฐานเชิงประจักษใด ๆ
เกี่ยวกับเรื่องดังกลาว จนกระทั่งในป 1953 สแตนลีย มิลเลอร (Stanley Miller) ทําการทดลองที่แสดง
วิวัฒนาการเกี่ยวกับการอุบัติของชีวิต
โอพารินเสนอแนวคิดวา ในระยะแรก สารประกอบอินทรียเกิดขึ้นจากอนินทรียวัตถุแลวจึงพัฒนา
เปนสิ่งมีชีวิต เนื่องจากเปลือกโลกเริ่มเกิดขึ้น และอุณหภูมิของบรรยากาศลดลงต่ํากวา 2,000 องศาเซลเซียส
เกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ฝนที่ตกลงมาพรอมทั้งฟาที่ผาลงมาตลอดเวลา และชะเอาสารประกอบอินทรียจาก
บรรยากาศลงมา ขังเปนแองน้ํารอน ซึ่งโอพารินคิดวาเปนสารประกอบพวกคารบอน กรดไขมัน น้ําตาล แทนนิน
ในที่สุดก็สังเคราะหขึ้นเปนกรดอะมิโนซึ่งเปนสวนประกอบพื้นฐานของโปรตีน
มิลเลอรทดลองทฤษฎีของโอพารินขึ้นที่มหาวิทยาลัยชิคาโก โดยใชหลอดทดลองบรรจุมีเธน
แอมโมเนียและไฮโดรเจน ในมีเธนมีธาตุสําคัญของสิ่งมีชีวิตเปนองคประกอบอยูคือคารบอน สารประกอบ
คารบอนเหลานี้ผสมกับไอน้ําจากหมอตมน้ํา แลวยิงดวยประกายไฟฟาจากหลอดทังสเตนอยางตอเนื่อง
ทั้งหมดนี้เปนสภาพของโลกระยะเริ่มแรกตามที่โอพารินคิด การทดลองนี้ทําตอเนื่องไปหนึ่งอาทิตย แลวสูบ
อาการออกนําของเหลวสีน้ําตาลไปวิเคราะห ปรากฏวามีกรดอะมิโนหลายชนิดและสารประกอบอินทรียตาง ๆ
ซึ่งสวนหนึ่งเปนสารที่เกิดขึ้นในชีวอินทรีย สิ่งสําคัญที่ไดจากการทดลองคือ พอรฟรินส (porphyrins) ซึ่งเปน
โมเลกุลที่ทําหนาที่คลายพืชคือ ใชแสงในการเก็บพลังงาน อันเปนการสังเคราะหแสงแบบพื้นฐาน ซึ่งผลการ
ทดลองนี้แสดงวาชีวิตรูปแบบแรก ๆ คือ เซลล ซึ่งสามารถสังเคราะหแสงได
1.2.5 ทฤษฎีชีวกําเนิดอื่น ๆ
แมวาทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีจะไดพัฒนาตอมา แตทฤษฎีอื่น ๆ ก็ยังเปนทฤษฎีที่เปนไปได
ทฤษฎีดังกลาวไดแก
1) ทฤษฎีการกระจายของเชื้อชีวิต (panspermia) ทฤษฎีนี้เชื่อวา ชีวิตอาจมีอยูทั่วไปในจักรวาล
เชื้อชีวิตเดินทางมาสูโลก เราโดยมากับอุกกาบาต อนักซาโกรัส (Anaxagoras) เปนคนแรกที่กลาวถึงเรื่องนี้
โดยเชื่อวาเชื้อชีวิตจากโลกอื่นมาสูโลกเรา แลวงอกขึ้นในแถบชายฝงที่มีความอบอุนและชื้น และจากเชื้อ
ชีวิตดังกลาวชีวิตอื่น ๆ ก็พัฒนาขึ้น ในปจจุบันมีขอพิสูจนวาชีวิตอาจติดมากับอุกกาบาตได แตทฤษฎีนี้ก็
มิไดอธิบายวาชีวิตอุบัติขึ้นไดอยางไร
2) ทฤษฎีชีวิตเกิดเอง (spontaneous generation) ทฤษฎีนี้เชื่อวาสิ่งมีชีวิตเกิดจากสสารที่ไรชีวิต
โดยไมตองมีการวิวัฒนาการ เชน กบเกิดจากโคลน หนูเกิดจากผาขี้ริ้ว หนอนเกิดจากเนื้อเนา ทฤษฎีนี้ไม
เปนที่ยอมรับอีกตอไป เพราะปจจุบันความรูในเรื่อง จุลชีววิทยา สามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตที่มองไมเห็นดวย
ตาเปลาได และทําใหความเชื่อที่วาสิ่งมีชีวิตมาจากอนินทรียสารโดยตรงเปนเรื่องเหลวไหล
3) ทฤษฎีวัตถุมีชีวิต (Hylozoism) ทฤษฎีนี้เชื่อวาสสารทั้งปวงมีชีวิต นักปรัชญากรีก สมัยแรก ๆ
เชน ธาเลส มีความเชื่อแบบนี้เชนเชื่อวาการที่หินแมเหล็กดูดเหล็กไดเปนเพราะหินมีวิญญาณหรือมีชีวิตอยู
49
ภายใน ทฤษฎีนี้พัฒนาไปสูความคิดแบบจิตนิยมไดถาหากใหความสําคัญแกหลักการเรื่องชีวิตที่อยูภายใน
วัตถุมากขึ้น
4) ทฤษฎีเนรมิต (Creationism) ทฤษฎีนี้เชื่อวาชีวิตเกิดจากการดลบันดาลของสิ่งเหนือธรรมชาติ
และเชื่อวาสสารที่ไรชีวิตจะมีชีวิตไดก็ตองมีพลังชีวิต (life force) ที่ทําใหสสารดังกลาวมีชีวิตขึ้น ทฤษฎีพลัง
ชีวิต (vitalism) อาจจะไมเชื่อมโยงกับพระเจาเสมอไป แตก็ถือวาเปนพลังเหนือธรรมชาติชนิดหนึ่ง ทฤษฎี
พลังชีวิตและทฤษฎีเนรมิตยังนิยมกันอยูมาก ทฤษฎีนี้อาจหมดความจําเปนถาพิสูจนไดวาชีวิตสามารถเกิด
ไดจากสสารลวน ๆ โดยไมตองอาศัยพลังที่ไมใชสสาร
ทฤษฎีชีวเคมีนั้นแมจะใหความรูเกี่ยวกับกําเนิดของชีวิตในโลกนี้ แตก็ยังตอบปญหาไมไดวาสาหราย
สีน้ําเงินแกมเขียวที่ลอยอยูในน้ําอุนเหมือนนักวิทยาศาสตรเชื่อวาความรูดังกลาวนาจะพบไดไมเกินสิ้น
คริสตศตวรรษที่ 20 แตนับถึงปจจุบันแมความรูเรื่องรหัสพันธุกรรม (DNA) จะมีมากขึ้นมนุษยก็ยังไม
สามารถสรางเซลลชีวิตขึ้นได ตามคําทํานายดังกลาวของ Dr. George Wald แหงมหาวิทยาลัยฮารวารด1
1.2.6 ความสืบเนื่องของทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
ทฤษฎีชีวกําเนิดดังกลาวขางตนเปนความพยายามของนักชีววิทยา ที่จะยอนทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไปใหถึงตนทางของชีวิต เพราะทางทฤษฎีวิวัฒนาการของดารวินนั้นอธิบายปจจุบันยอนไปสูอดีต จากชีวิต
ที่ซับซอนไปสูชีวิตในระดับที่ไมซับซอนหรือชีวิตในระดับเซลลเดียว แตชีวิตดังกลาวนั้นเกิดขึ้นและวิวัฒนาการ
มาไดอยางไร ดารวินไมมีคําอธิบาย
ทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมี แมอธิบายกําเนิดของชีวิตในลักษณะที่เปนกระบวนการธรรมชาติที่
เกิดในชวงที่โลกเริ่มเปนรูปเปนรางขึ้นเมื่อโลกเย็นลงก็ยังไมสามารถอธิบายไดวาในชวงพันลานปที่โลกวิวัฒนาการ
จากสารทางชีวเคมีไปจนเปนเซลลนั้น กระบวนการเปนไปเชนไร การปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมหรือ การ
เลือกสรรธรรมชาติเปนหลักการที่อธิบายกระบวนการวิวัฒนาการทางชีวเคมีไดหรือไม
แมวาทฤษฎีทั้งสองจะยังเชื่อมโยงกันเปนทฤษฎีเดียวไดไมสมบูรณ แตทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมี
ก็ทําใหคําอธิบาย “ชีวิต” และ “มนุษย” ที่มีลักษณะเปนแบบวัตถุนิยม มีน้ําหนักมากขึ้น และเปนทฤษฎี
เกี่ยวกับความเปนมาของชีวิตและมนุษยโดยตรง ไมใชการเปรียบเทียบกับเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอรอยาง
ทฤษฎีที่อธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกสที่ไดกลาวมาแลว
1.2.7 ขอคัดคานทฤษฎีชีวกําเนิด
1) ทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีตอบปญหาที่มาของชีวิตไดเพียงไร
คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกสมีขอตางกับคําอธิบายแบบชีวเคมี ที่เปนอิทธิพลทางชีววิทยา
แมวาทั้งสองทฤษฎีจะมีคําตอบตรงกันคือ ปรากฏการณที่เรียกวาชีวิตเปนเพียงผลจากการรวมกันของ
1
คําอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีกําเนิดชีวิต อานเพิ่มเติมไดใน James L. Christian Philosophy : An Introduction to the Art
of Wondering second edition, New York : Holt. Reinhart and Winston. 1973.
50
องคประกอบซึ่งเปนสสาร แตชีววิทยามีคําตอบที่ละเอียดกวา คือ สสารนั้นเปนอินทรียสารและดําเนินไป
ตามกระบวนการวิวัฒนาการแบบดารวิน
คําตอบดังกลาวไมวาจะคนลึกลงไปในรายละเอียดเพียงไรก็ตามก็เปนการบอกวาองคประกอบทาง
สสารที่ยอยที่สุดคืออะไร แตไมอาจหักลางทฤษฎีอื่นในเรื่องที่วา ชีวิตคืออะไร และชีวิตมาจากไหน การที่แยก
อินทรียสารจากอนินทรียสารและพิสูจนวาอินทรียมาจากอนินทรียสาร ก็เปนปญหาแตตนวา ในเมื่อธาตุ
ทั้งหลายเปนอนินทรีย คุณสมบัติความเปนอินทรียจะมาจากไหน ในแงฟสิกสเราอาจยอมรับวา สวนตาง ๆ
ที่ประกอบกันเปนเครื่องจักรทําใหเครื่องจักรทํางานได แตการทํางานนั้นก็เปนการทํางานโดยพลังงานทาง
ฟสิกสซึ่งตางกับการรวมกันของอินทรียสารทําใหเกิดการทํางานแบบพลังชีวิตที่ไมมีอยูในคุณสมบัติเดิมของ
สสาร ชีววิทยาอาจตอบปญหานี้ดีกวา เพราะชีววิทยาถือวาในกระบวนการเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการ มี
คุณสมบัติใหม ๆเกิดขึ้นและคุณสมบัตินี้สืบทอดตอไปได ความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาเปนความเปลี่ยนแปลง
แบบรุดหนา ไมอาจแยกองคประกอบกลับไปสูองคประกอบเดิมอยางเคมีหรือฟสิกส ชีวิตจึงเปนคุณสมบัติอัน
เปนผลของความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา แตการกลาวเชนนี้ก็เทากับยอมรับตั้งแตตนวา ในอินทรียสารมี
ชีวิตเกิดขึ้น แตไมอาจตอบไดวาชีวิตเกิดขึ้นไดอยางไร ในเมื่อสวนประกอบดั้งเดิมทั้งหมดคือธาตุที่ไรชีวิต แต
ถึงอยางไรชีววิทยาก็ยังยอมรับวาความมีชีวิตก็ดี ความเปนมนุษยก็ดีเปนคุณสมบัติทางชีวภาพที่เปนอะไร
เกินกวาความเปนหุนยนตทางฟสิกส
2) ชีวิตจะมาจากความไรชีวิตไดอยางไร
ความคิดที่วาสารประกอบอินทรียมาจากอนินทรียสารนั้นดูเผิน ๆ ก็ไมใชเรื่องแปลก เพราะปฏิกิริยา
ทางเคมียอมทําใหเกิดสารประกอบใหม ๆ ไดและสารประกอบนั้นก็มีคุณสมบัติตางกับสารประกอบที่มีสูตร
โครงสรางทางเคมีตางกัน การที่ธาตุไมมีชีวิตรวมกันเปนสารประกอบตาง ๆ มีคุณสมบัติตาง ๆ ไดนั้นเปน
เรื่องปกติถาสารประกอบนั้นเปนสารประกอบซึ่งไมมีคุณสมบัติอะไรเกี่ยวกับชีวิต แตการที่สารประกอบซึ่ง
เกิดจากธาตุที่ไมมีชีวิตกลับมีคุณสมบัติที่ไมมีอยูในตัวมันคือมีชีวิตยอมเปนเรื่องที่อธิบายไดยาก เวนแตเรา
อาจเทียบวาในดานฟสิกสเราสามารถสรางโปรตรอนจากความวางเปลาได ชีวิตก็มาจากความไมมีชีวิตได
คลายกับวาถาสารประกอบผสมกันถูกสวนก็จะเกิดปรากฏการณ “ชีวิต” ขึ้น และวิวัฒนาการไปจนเปนมนุษย
แตคําตอบนี้ก็เปนเพียงบอกวา ชีวิต “อุบัติขึ้น” โดยไมรูสาเหตุวา “ชีวิต” มาจากไหน คําตอบดังกลาวจึงมิได
หักลางทฤษฎีอื่น ๆ ที่อางที่มาของชีวิตดังที่กลาวมาแลว
ทฤษฎีการกระจายของเชื้อชีวิต (panspernia) ซึ่งถือวาชีวิตมีอยูทั่วไปในดวงดาวตาง ๆ ในจักรวาล
อาจเปนทฤษฎีที่แยงงายเพราะไมไดตอบวาชีวิตที่อยูในดวงดาวตาง ๆ นั้นมาจากไหน เปนแตยอมรับความมี
อยูของชีวิต
ทฤษฎีชีวิตเกิดเอง (spontaneous generation) ก็ไมมีเหตุผลและหักลางไดงายดวยความรูทาง
วิทยาศาสตรที่ทดลองได โดยเฉพาะกรณีที่หลุยส ปาสเตอรทดลองใหเห็นวา หากปราศจากจุลินทรียเนื้อก็
ไมเนา
51
ทฤษฎีวัตถุมีชีวิต (hylozoism) เปนทฤษฎีถือเอาวา ความมีชีวิตเปนคุณสมบัติที่มีในวัตถุดังนั้น
การที่สามารถทําใหเกิดสารประกอบที่มีชีวิตไดจึงเปนเรื่องปกติ เพราะชีวิตมาจากชีวิต ซึ่งก็มีเหตุผลกวาการ
สรุปวาชีวิตมาจากความไมมีชีวิตตามทฤษฎีชีวเคมี แตทวาก็มิไดมีการพิสูจนวาวัตถุมีชีวิต
ทฤษฎีเนรมิตและทฤษฎีพลังชีวิต (Creationism และ Vitalism) ทฤษฎีนี้เปนทฤษฎีที่มีผูนิยมมาก
เนื่องจากทฤษฎีวิทยาศาสตรไมวาจะเปนดานฟสิกสหรือชีวเคมียังตอบไมไดวาชีวิตมาจากไหน และวิวัฒนาการ
ก็ดี ระเบียบกฎเกณฑของจักรวาลซึ่งมนุษยสามารถคนพบไดก็ดี ไมนาจะเปนสิ่งที่เกิดโดยบังเอิญโดยเฉพาะ
พลังเริ่มแรกที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมาจากไหน ในเรื่องชีวิตก็ยังตอบไมไดวาความเปน
อินทรียสารมาจากอนินทรียสารไดอยางไร และไมวาอินทรียสารจะพัฒนาไปอยางไรก็ตอบไมไดวาทําไมอยู ๆ
อินทรียสารกลุมหนึ่งจึงเกิดมีชีวิตขึ้นได
2. ความเปนมนุษยอยูที่จิต
ถามนุษยมีแตรางกายและปรากฏการณทางจิตคือการทํางานของสมอง มนุษยก็ไมตางกับเครื่องจักร
แตถามนุษยมีปรากฏการณที่ตางกับการทํางานของสมองที่เปนสสาร ก็ตองถือวามนุษยมีคุณสมบัติอื่น
นอกจากสสาร แตหากจะอางวาสมองทํางานไดทุกอยางแมในสวนที่ตางกับคุณสมบัติของสสารก็เทากับผู
อางนิยามการทํางานของสมองใหเกินกวาความเปนสสารไวตั้งแตตน สมองในกรณีดังกลาวจึงมิใชสสารลวน ๆ
แตรวมเอาสิ่งอื่นที่เกินกวาสสารไวดวยซึ่งไมตางอะไรกับการมีความเชื่อเรื่องจิต เพียงแตไมอยากยอมรับวาตน
ไดเชื่อในสิ่งที่พนขอบเขตของสสาร
แมวาเราไมเห็นสิ่งที่เปนคุณสมบัติเกินสสาร แตจากปรากฏการณบางอยางเราสามารถมองเห็น
ปรากฏการณที่ตางกับสสารได เชน
2.1 มนุษยไมใชสิ่งรับการกระทํา (passive)อยางเดียวแตริเริ่มการกระทํา (active) ดวย ทั้งรางกาย
ของมนุษยและกอนหินตางก็เปนสสารที่รับความรอนเย็นของอากาศและการกระทําจากสิ่งภายนอกอื่น ๆ
กอนหินไมปองกันหรือไมหลบเลี่ยงความรอนเย็นของอากาศ แตมนุษยสามารถทําเชนนั้นได เครื่องจักรเมื่อ
รอนเกินไปหรือเย็นเกินไปอาจหยุดทํางาน เชนเดียวกับรางกายมนุษยที่รอนหรือเย็นเกินไปก็ตาย แตมนุษย
สามารถทําใหตัวไมตายไดดวยการปองกันความหนาวดวยการทําใหรางกายอบอุนดวยวิธีตาง ๆ อันมาจาก
ความคิดของมนุษย แมวาคอมพิวเตอรอาจทําใหเครื่องจักรไมหยุดเดินเมื่อรอนหรือเย็นเกินไปดวย การทํา
ใหเครื่องรอนขึ้นหรือเย็นลงจนอุณหภูมิพอดี แตอะไรคืออุณหภูมิพอดี ก็เปนสิ่งที่มนุษยเปนผูกําหนดควบคุม
คอมพิวเตอรไมอาจสรางโปรแกรมมาควบคุมตัวมันเองได เพราะมันริเริ่มอะไรไมไดนอกจากความสามารถ
เทาที่มนุษยปอนใหมัน
2.2 มนุษยขัดแยงการกลอมเกลาและการบังคับจากภายนอกได อิทธิพลของสภาพแวดลอมและการ
กลอมเกลาของสังคมไมอาจควบคุมใหมนุษยคิดหรือเปนไปตามอิทธิพลหรือการกลอมเกลาดังกลาวไดเสมอไป
ทั้งนี้เพราะมนุษยมีเหตุผล สามารถคิดขัดแยงกับสิ่งที่เคยเชื่อได จึงเกิดความคิดใหม ๆ แทนที่ความคิดเกา
อยูเสมอ
52
2.3. มนุษยมีความขัดแยงในตัว สัตวบางชนิดเชน สุนัขอาจถูกฝกใหกินอาหารเฉพาะที่เจาของให
ไมใหกินอาหารที่ผูอื่นให การฝกฝนใชวิธีการทางกลไก คือการลงโทษเมื่อกินอาหารที่ผูอื่นให การฝกเด็ก
อาจใชวิธีนี้ได และทําใหเด็กมีพฤติกรรมอยางใดอยางหนึ่งเพราะกลัวการลงโทษหรืออยากไดรางวัล แตเมื่อ
โตขึ้นเด็กก็อาจไมกระทําพฤติกรรมที่ถูกฝกมา หากเหตุผลบอกวาสิ่งที่ถูกฝกมานั้นไมดีหรือไมมีเหตุผล และ
อาจกระทําพฤติกรรมนั้น ๆ ตอไปเพราะมีความเขาใจเหตุผลของพฤติกรรมนั้น ๆ เมื่อโตขึ้น แมไมกลัวหรือ
อยากไดรางวัลอยางวัยเด็ก
ความขัดแยงตัวเองนั้นเราเห็นไดชัดวา จิตใจอาจขัดแยงกับรางกายเชน หิวอาจไมกินถาไมพอใจ
อยากแตระงับไวถาเห็นวาผิดศีลธรรม นอกจากจิตใจจะแยงกับรางกายและควบคุมพฤติกรรมของรางกาย
ดังกลาวแลวในสวนที่เกี่ยวกับจิตใจยังมีความขัดแยงระหวางเหตุผลกับอารมณ อารมณอาจทําใหละเมิด
เหตุผล หรือเหตุผลอาจระงับอารมณไมใหเกิดขึ้นก็ได ความขัดแยงระหวางเหตุผลกับอารมณและอารมณ
กับอารมณนั้นเปลโตกลาวไวอยางชัดเจนใน อุตมรัฐ1
ดังนี้
“ขาพเจาเคยไดฟงเรื่องเลา ซึ่งขาพเจาเชื่อวาเลออนติอุส ลูกชายอะกลาอิออน เมื่อ
เดินทางจากปเรอุสไปตามแนวกําแพงดานนอกทิศเหนือ ก็รูวามีศพนอนอยูที่ตะแลงแกง เขาอยาก
ดูแตก็รูสึกขยะแขยงและเบือนหนาหนี เขาหักหามใจและปดหนาเสีย แตดวยความปรารถนา
อันรุนแรงบังคับ เขาก็กลับวิ่งเขาไปหาศพลืมตาจองดูอยู แลวรองสบถวา เอาไอตัวราย ดูภาพที่
สวยงามนี่ใหเต็มตาเลยซี”
“ขาพเจาก็เคยไดยินเรื่องนั้นเหมือนกัน”
“เรื่องที่เลานี้แสดงใหเห็นวาบางครั้ง ความโกรธก็ตอสูกับความอยากดังเปนสิ่ง
แปลกหนาสูกันกับสิ่งแปลกหนา”
“ถูกแลว”
“และเราไมเห็นดอกหรือวามีอยูบอย ๆ ที่ความปรารถนาบังคับใหคนเราทําการอันขัด
กับเหตุผลจนตองดาตัวเอง และโกรธสิ่งที่อยูในตัว ซึ่งมาเปนนายเขา จึงปรากฏวาในสอง
ภาคนั้น ภาคน้ําใจสูงเขาขางเหตุผล”2
2.4 ความรูจักผิดชอบชั่วดี ถาคนเรามีแตรางกาย นาจะถือวาความสุขทางกายหรือความสุขทาง
ประสาทสัมผัสเปนความสุขที่สําคัญที่สุด การเสียสละความสุข การยอมทนทุกขเพื่อผูอื่น การละความสุข
ทางกาย การเห็นวาความสุขทางกายเปนสิ่งที่ไมดี ไมนาจะเกิดขึ้นได การที่คนเราใหความสําคัญแก
ความสุขทางใจ แสดงวา เรารูจักตัดสินวาอะไรดีอะไรชั่ว อะไรมีคุณคามาก อะไรมีคุณคานอย โดยมิไดวัด
1
คือ The Republic ของเปลโต
2
ปรีชา ชางขวัญยืน (แปล) The Republic อุตมรัฐ กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2523 น. 179.
53
ดวยกาย แตวัดดวยใจ การรูจักคุณคาจึงเปนเครื่องแสดงวาเรามีองคประกอบอื่นที่สําคัญนอกเหนือไปจาก
รางกาย
2.5 ความคิดนามธรรม สิ่งที่มนุษยรับรูทางประสาทสัมผัสคือขอมูลที่เปนรูปธรรม แตมนุษยยังคิดถึง
สิ่งที่เปนนามธรรมเชนกฎเกณฑเกี่ยวกับวัตถุ คุณสมบัติเชน ความจริง ความเท็จ ความยุติธรรม สิทธิ
เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความงาม ความลงตัว ความกลมกลืน ฯลฯ ลําพังขอมูลทางประสาทสัมผัสอยางเดียว จะ
ทําใหเกิดความคิดนามธรรมเหลานั้นไดอยางไร เชนเราเห็นเสนตรงสองเสน และเราตัดสินวาเสนสองเสนนั้น
เทากัน หรือไมเทากัน การเปรียบเทียบ ความเทากัน และไมเทากันมาจากไหน เราอาจตอบวามาจากสมอง
แตสสารและพลังงาน ในสมองจะคิดถึง การเปรียบเทียบและความเทากันซึ่งไมเปนทั้งสสารและพลังงานได
อยางไร การเปรียบเทียบและการตัดสินวาเสนสองเสนเทากัน รวมถึงความคิดเรื่องความเทากันจึงนาจะมา
จากสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติความเปนนามธรรม อยางเดียวกัน คือ จิต
2.6. สํานึกรูตัวตน กระจกรับภาพและสะทอนภาพแตไมรูวานั่นคือภาพและไมรูวาเปนภาพอะไร
มนุษยรับภาพทางตา และรูวาภาพอะไร มีชีวิตหรือไมมีชีวิต แตยิ่งกวานั้นมนุษยยังรูวาตนเปนผูรูวาภาพนั้น
คือภาพอะไร คือมนุษยรูวาตนเปนเจาของความรูที่เกิดขึ้นนั้น กลาวคือมนุษยมีความสํานึกในตัวตน แมเรา
ไมรูวาคนอื่นรูตัวอยางที่เรารูหรือไม แตเชื่อไดวาทุกคนรูเพราะเราอาจสอบถามเขาได และไมมีเหตุผลที่ทุก
คนจะพูดโกหก เพราะหากผูใดบอกวา ไมรูตัวตนวารูก็แสดงวาเขารูตัวตนของเขา มิฉะนั้นเขาจะปฏิเสธ
ไมได สมองเปนสสาร ประสาทรับความรูสึกก็เปนสสาร ปฏิกิริยาระหวางสิ่งที่รูกับความรูสึกทั้งประสาท
สัมผัสอาจเกิดขึ้นได ความรูจึงเกิดขึ้น แตความรูวาความรูเกิดขึ้น และ “ฉัน” เปนผูรูมาแตไหน “ฉัน” เปนผู
ตัดสิน สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการรับรูทางประสาทสัมผัสนั้นวาเกิดขึ้นจริง และ”ฉัน” รับรูและตัดสิน มนุษย
จึงนาจะตองมีสิ่งที่ทําหนาที่ใหมนุษยรูสํานึกในตัวตนดังกลาว และสิ่งนั้นเราอาจจะเรียกวา จิต
2.7 จิตผูควบคุมกาย มีเรื่องเปรียบเทียบของฝายที่ไมเชื่อเรื่องจิตอยูเรื่องหนึ่งวาดังนี้ ชาวนาอังกฤษ
ผูหนึ่งตั้งแตเกิดมายังไมเคยเห็นเครื่องจักรไอน้ํา อยูมาวันหนึ่งเขาเดินทางเขามาในเมือง และไดเห็น
เครื่องจักรไอน้ําเปนครั้งแรก เจาของรานไดแสดงใหเขาดูวา เครื่องจักรทํางานไดโดยไมตองอาศัยแรงของมา
อยางที่ชาวนาทั่วไปใชกันอยู ชาวนาผูนั้นเห็นการทํางานของเครื่องจักรแลวก็บอกวา รูแลวตองมีมาอยูที่นี่
เจาของรานถามวามาอยูที่ไหน ชาวนาก็บอกวามาตัวนี้ตองเปนมาลองหน (มาที่มองไมเห็นตัว)
เรื่องนี้เปนเรื่องที่พวกวัตถุนิยมตองการแสดงวาลําพังวัตถุก็สามารถทํางานไดดวยตัวเองโดยไมตอง
มีจิต เหมือนเครื่องจักรที่ทํางานไดเองโดยไมตองมีมา แตลืมไปวาที่เครื่องจักรทํางานไดนั้นตองมีผูสรางและผู
ติดเครื่อง มิฉะนั้นเครื่องจักรก็ทํางานเองไมได
ถาเรายอมรับวาสิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทั้งหลายตองมีสาเหตุภายนอกมากระทําตอมัน เรา
จะตองยอมรับวาตองมีสาเหตุสุดทายที่ไมมีสิ่งอื่นเปนสาเหตุ เชน ถา ก. มี ข. เปนสาเหตุ ข. ก็ตองมี ค. เปน
สาเหตุ ค ตองมี ง. เปนสาเหตุ… สิ่งสุดทายที่เปนสาเหตุของสายโซแหงสาเหตุดังกลาวก็ตองเปนสิ่งที่เปน
54
สาเหตุของสิ่งอื่นโดยตัวมันดํารงอยูไดเองโดยไมมีอะไรเปนสาเหตุ ผูที่เชื่อวาพระเจาเปนที่มาหรือเปนสาเหตุ
ของจักรวาลมีเหตุผลเชนนี้คือ เปนสาเหตุเบื้องตนของความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจักรวาล
ในทํานองเดียวกัน การทํางานของทุกสวนของรางกายเปนสาเหตุของกันและกัน และเมื่อมีความ
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่จุดหนึ่งก็มีผลใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตอเนื่องไปทุกสวน แตอะไรที่ทํา
ใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สาเหตุอาจมาจากสิ่งภายนอกมากระทบซึ่งเปนเรื่องของสสารหรือ
กิริยาและปฏิกิริยาทางกายภาพแตการสนองตอบสิ่งภายนอกในลักษณะที่ไมใชปฏิกิริยาทางกายภาพ แตเปน
ความคิด ความริเริ่ม ความปรารถนา จินตนาการ ความรูสึกเจ็บแคน เห็นดวย ไมเห็นดวย ฯลฯ นาจะมีสาเหตุ
ภายในที่ไมใชตัวอวัยวะตาง ๆ แตเปนสิ่งที่ควบคุมรางกายทั้งหมดสิ่งนั้นก็คือจิต ซึ่งทําหนาที่เหมือนผูที่ทํา
ใหเครื่องจักรทํางาน การควบคุมกันนี้แมในสวนจิตดวยกันก็มีการควบคุมภายในเชน เหตุผลทําใหคนระงับ
อารมณ อารมณที่ถูกระงับแลวทําใหรางกายแสดงพฤติกรรมตางไปจากอารมณนั้น เชน โกรธ อยากทําลาย
ของ แตเหตุผลควบคุมอารมณไวได อารมณที่ถูกควบคุมก็สั่งรางกายไมใหทําลายของแตยังคงรูสึกอัดอั้น
ภายใน หัวใจเตนเร็ว สีหนาบึ้งตึง และกลามเนื้อเกร็ง เปนตน
พวกวัตถุนิยมพยายามปฏิเสธความมีอยูของจิต โดยอางวาถาอธิบายปรากฏการณไดโดยไมตอง
อางความมีอยูของจิต ก็ไมตองเชื่อเรื่องจิต แตถาการอธิบายปรากฏการณดวยความเชื่อเรื่องจิต เปน
คําอธิบายชัดเจนกวา จิตก็เปนเรื่องที่ควรเชื่อ การพยายามอธิบายเรื่องกายภาพใหละเอียดเปนสิ่งที่ดี แตถา
ปฏิเสธเรื่องจิตเสียแตตนก็ทําใหไมเกิดความกาวหนาในความรูเรื่องจิตถาเราไมเชื่อเรื่องอะตอมซึ่งในระยะแรก ๆ
ก็เปนเรื่องที่ดูลึกลับพอๆกับจิตเราคงไมมีความรูเรื่องอะตอมมากเชนทุกวันนี้
3. ธรรมชาติของจิต
3.1 ทรรศนะที่วาจิตมนุษยเปนอมตะ
แนวคิดเกี่ยวกับจิตที่เชื่อวาจิตเปนอมตะอาจแบงไดเปน 2 แนวทาง แนวทางแรกเปนแนวทางของ
เปลโต ที่พิสูจนวามีโลกของนามธรรมซึ่งเปนโลกของสิ่งสัมบูรณ (absolute) คือสิ่งที่ไมบกพรอง ดํารงอยู
ดวยตัวเอง ไมขึ้นกับสิ่งใดไมวากาละหรือเทศะ (time or space) นั่นคือสิ่งนามธรรมเปนอมตะ อีกแนวทาง
หนึ่งเกิดจากการพิสูจนวากระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเมื่อพิจารณายอนหลังไปตามสายโซของสาเหตุ
จะไปสิ้นสุดที่สิ่งสัมบูรณซึ่งเปนสาเหตุแรกและเปนสิ่งที่เปนอมตะ สิ่งที่เปนอมตะนี้แผซานอยูในทุกสิ่งที่เปน
สิ่งกายภาพ มนุษยจึงประกอบดวยรางกายซึ่งไมเปนอมตะกับจิตซึ่งเปนอมตะ จิตซึ่งเปนอมตะนี้ก็คือสิ่ง
เดียวกับสิ่งสัมบูรณอันเปนสาเหตุแรกนั้น แนวคิดนี้ไดแกแนวคิดของศาสนาที่เชื่อความมีอยูของพระเจาและ
เชื่อวาพระเจาเปนสาเหตุหรือเปนผูที่ทําใหเกิดโลกหรือจักรวาลขึ้น
3.1.1 แนวคิดของเปลโต
โลกที่เราเห็นอยูรอบตัวเรานี้จริงหรือไม ถาเปนจริง จริงมากนอยเพียงไร มีความจริงอื่นอยูเบื้องหลัง
หรือนอกเหนือจากโลกของประสาทสัมผัสที่เราเห็นอยูหรือไม เปลโตเห็นวาโลกของประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลง
55
อยูเสมอ ขณะหนึ่งเปนอยางหนึ่ง แลวก็เปลี่ยนไปไมคงที่ ไมอาจบอกไดวา สิ่งนั้นแทจริงแลวคืออะไร สิ่งที่
เปลี่ยนแปลงเชนนี้จึงถือวาเปนสิ่งจริงแท (reality) ไมได แตทําไมเราจึงรูจักและยืนยันความจริงของสิ่ง
เหลานี้ไดทั้ง ๆ ที่มันไมจริงแท ที่เรายืนยันไดก็เพราะมีสิ่งจริงแทมาเทียบเคียง และเปนแกนแทอยูกับสิ่งนั้น ๆ
เชน คนแตละคนเปลี่ยนไปทุกวันตั้งแตเกิดจนตาย เหตุใดเราจึงยืนยันวาเปนคนคนเดิมได ที่เปนดังนั้นก็เพราะ
การเปลี่ยนแปลงในแตลักษณะของคนเรานั้นสิ่งที่เปลี่ยนคือคุณสมบัติภายนอกหรือคุณสมบัติทางกายภาพ
เชน เซลลตายไปและเกิดขึ้นมาใหม สีผิวเปลี่ยนไปผมยาวขึ้นแต ความเปนคนคนนั้นไมเปลี่ยน การเปลี่ยนจาก
ลักษณะ ก. ไปเปนลักษณะ ข. มิไดหมายความวา ก. หายไป และ ข. เกิดขึ้น เพราะหากเปนเชนนั้น ก. กับ
ข. ก็ไมสืบเนื่องกัน และบอกไมไดวา ก. เปลี่ยนเปน ข. หรือ ข. เกิดจาก ก. ก. กับ ข. จึงเปนเพียงสิ่งสองสิ่งที่
สิ่งหนึ่ง หายไปและอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น การที่ ก. กับ ข. จะเชื่อมโยงกันได จึงตองมีสิ่งเชื่อมโยงและสิ่งนั้นก็คือ
ความเปนคนผูนั้นที่ไมวาจะเปลี่ยนไปกี่ขณะก็ยังคงเดิม เปลโตเชื่อวาสิ่งที่อยูในรางกายคือความเปนคนนี้ก็
คือ จิต จิตนี้ตองคงที่และเปนอมตะ หาไมแลวก็ไมอาจทําใหคนเปนคนเดิมเพราะหากดูภายนอก ก. เมื่อแรก
เกิดกับก.เมื่อแกจะเปนคนคนเดียวกันไมไดเนื่องจากมีลักษณะแตกตางกันอยางสิ้นเชิงสมองสืบตอความรูสึกเปน
ตัวบุคคลนั้นอยางถาวรไดอยางไรในเมื่อประสบการณของคนเราเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาและสมองไดรับขอมูล
ที่เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา หากสมองเพียงรับขอมูลจากภายนอก ความสืบเนื่องนี้เปลโตยังเชื่อวาเปนไป
แบบเวียนวายตายเกิด เหมือนคนคนเดิมที่เปลี่ยนเสื้อใหมเมื่อเสื้อเกาชํารุด การเวียนวายตายเกิดนั้นเปลโต
เห็นวาเปนเครื่องแสดงความเปนอมตะของวิญญาณหรือจิตในเรื่องเฟโด เปลโตมีขอพิสูจนเรื่องความเปน
อมตะของวิญญาณดังนี้
เมื่อโสกราตีสกลาวจบ เซเบสก็กลาวตอบวา เหตุผลสนับสนุนคําพูดของทานดีมาก
ทีเดียว แตเรื่องที่ทานพูดเกี่ยวกับวิญญาณทําใหคนทั่วไปวิตกเปนอยางยิ่งวา เมื่อออกจากราง
ไปแลววิญญาณก็จะไมดํารงอยู ณ ที่ใด ๆ อีก แตจะแตกสลายกระจายไปในวันที่คนสิ้นชีวิต
โดยทันทีทันใดที่พนจากรางกาย คือ เมื่อโผลออกจากรางกายก็จะแผกระจายไปเหมือนลม
หายใจหรือควันไฟ แลวปลาสนาการไปจนไมมีอะไรเหลืออยูอีก จริงอยูถาวิญญาณยังคงอยู
ตอไปอยางเปนอิสระ หลุดจากความชั่วทั้งปวงดังที่ทานไดอธิบายแลว ก็จะเปนความหวังอัน
สดใสและมั่นคง ถาเปนจริงตามที่ทานวา แตขาพเจาเห็นวาเรื่องนี้ตองอาศัยศรัทธาและ
ความมั่นใจมิใชนอย ที่จะเชื่อวาหลังจากตายแลววิญญาณยังคงอยูตอไปและยังดํารงพลัง
และปญญาอยูจริง เซเบส โสกราตีส รับคํา แตเราจะตองจัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทาน
ปรารถนาจะใหพวกเราชวยกันคิดเรื่องนี้ เพื่อจะดูวาความเห็นดังกลาวเปนจริงหรือไมใชไหม
โดยสวนตัวแลว เซเบส ตอบ ขาพเจายินดีอยางยิ่งที่จะไดฟงความคิดของทานเกี่ยวกับ
เรื่องนี้
ในทุกกรณีโสกราตีสพูด ขาพเจาออกจะคิดวาใครก็ตามที่ไดยินเรื่องที่เราพูดกันขณะนี้
แมแตนักประพันธหัสนาฏกรรมจะไมพูดวาขาพเจากําลังเสียเวลาพูดเรื่องที่ไมเกี่ยวอะไรกับตัวเอง
56
ดังนั้นหากทานรูสึกเชนนี้ เราก็ควรจะตั้งคําถามกันตอไป เรามาเริ่มตนจากปญหานี้ วิญญาณ
ของผูตายยังคงดํารงอยูในปรโลกหรือไม
มีนิทานโบราณอยูเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราคงยังจํากันไดวาวิญญาณยังคงอยูในปรโลกหลังจาก
จากโลกนี้ไป แลวกลับมาสูโลกนี้อีกและอุบัติขึ้นจากผูที่ตายแลวนั้น หากเปนเชนนั้นคือสิ่งที่
เปนมาจากสิ่งที่ตายแลวละก็จะสรุปไดไหมวาวิญญาณดํารงอยูในปรโลก วิญญาณไมอาจ
กลับมาเกิดใหมไดหากไมคงอยู และจะเปนขอพิสูจนที่หนักแนนพอวาขอโตแยงของขาพเจา
เปนจริงหากปรากฏชัดวาสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่ตายมิไดมาจากที่อื่นใด แตหากไมเปนเชนนั้น
เราก็ตองหาขอโตแยงอื่น
ยอมเปนเชนนั้น เซเบสกลาว
หากทานตองการเขาใจปญหาอยางครบถวน โสกราตีสตอบ จะพิจารณาไปถึงพืชและ
สัตวทุกชนิด มิใชพิจารณาเพียงเฉพาะคนเทานั้น ลองมาดูกันซิวาโดยทั่วไปสิ่งทั้งหลายที่มี
กําเนิดเกิดขึ้นแบบนี้ ไมมีแบบอื่น คือ สิ่งตรงขามมาจากสิ่งตรงขาม ที่ใดมีสิ่งตรงขามเชนความ
งามตรงขามกับความนาเกลียด ถูกตรงขามกับผิด ยังมีตัวอยางอื่น ๆ อีกนับไมถวน เราลอง
มาพิจารณากันวาเปนกฎอันจําเปนหรือไมที่ทุกสิ่งที่มีสิ่งตรงขามจะตองมาจากสิ่งตรงขามไมมา
จากเหตุอื่นใดตัวอยางเมื่อสิ่งสิ่งหนึ่งใหญขึ้นก็ตองเชื่อวาเคยเล็กมากอนที่จะใหญขึ้น
จริง
และในทํานองเดียวกันหากสิ่งใดเล็กลงก็ตองใหญมากอนแลวมาเล็กลงภายหลังใชหรือไม
ยอมเปนเชนนั้น เซเบส ยอมรับ
และคนออนแอลงก็ตองเปนคนแข็งแรงกวานั้นมากอนและผูที่เร็วขึ้นก็มาจากผูที่เคยชากวา
นั้นมากอน
ยอมเปนเชนนั้น
อีกสักตัวอยางหนึ่ง หากสิ่งใดเลวลงสิ่งนั้นยอมมาจากดีกวามากอนใชไหม และถา
ยุติธรรมขึ้นก็ยอมมาจากยุติธรรมนอยกวามากอนจริงไหม
ใชแน
ถาเชนนั้นเราพอใจหรือยัง โสกราตีสถามวาทุกสิ่งเกิดขึ้นดวยเหตุนี้คือ สิ่งตรงขามมาจาก
สิ่งตรงขาม
พอใจเต็มที่
คราวนี้คําถามอื่นตอไป ตัวอยางทั้งหมดนั้นมิไดแสดงใหเห็นลักษณะอยางอื่นดอกหรือวา
ระหวางคูที่ตรงกันขามนั้น มีกระบวนการเกิดอยูสองทาง ทางหนึ่งจากสิ่งแรกไปสิ่งที่สอง
57
อีกทางหนึ่ง จากสิ่งที่สองไปสิ่งแรก ระหวางสิ่งที่ใหญกับสิ่งที่เล็กนั้นไมมีกระบวนการเพิ่มกับ
ลดดอกหรือ และเราไมอธิบายทํานองนี้ดอกหรือวาเปนการเพิ่มและการลด
เปนเชนนั้น เซเบส ตอบ
การแยกกับการรวม การเย็นลงกับการรอนขึ้น และอื่น ๆ จะไมเปนเชนนี้ดอกหรือ แมวา
บางครั้งเราจะไมใชคํานั้นตรง ๆ ก็ตาม ความจริงจะมีไมถือเปนหลักสากล ดอกหรือวาสิ่งหนึ่ง
มาจากอีกสิ่งหนึ่งและมีกระบวนการเกิดขึ้นจากกันและกัน
แนนอน เซเบส เห็นดวย
ก็ถาเปนเชนนั้น โสกราตีส กลาว มีอะไรตรงขามกับความมีชีวิตเหมือนที่การหลับตรงขาม
กับการตื่นหรือไม
มีซี
อะไร
ก็การตายอยางไรเลา
หากสองอยางนั้นตรงกันขาม ก็ยอมมาจากกันและกัน และมีกระบวนการเกิดระหวางสอง
อยางนั้นอยูสองกระบวนการ
ถูกตอง มีมาก
ถาเชนนั้น โสกราตีส พูดตอ ขาพเจาจะยกคูตรงขามที่ไดกลาวไปแลวคูหนึ่ง คือ สิ่ง
ตรงขามกับกระบวนการระหวางสิ่งที่ตรงขามนั้นและเธอจงยกคูอื่น คูตรงขามที่ขาพเจาจะ
ยกมา ก็คือ หลับกับตื่น และ ขาพเจาขออางวาตื่นมาจากหลับและหลับมาจากตื่น และ
กระบวนการระหวางนั้นก็คือกําลังจะหลับกับกําลังจะตื่น อยางนี้ทานเห็นดวยไหม เขาถาม
เห็นดวยเต็มที่
คราวนี้ทานบอกหนอยซิวา ในทํานองเดียวกัน เขาพูดตอ เรื่องชีวิตกับความตายจะเปน
อยางไร ทานยอมรับแลวใชหรือไมวา ความตายนั้นตรงขามกับชีวิต
ขาพเจายอมรับ
และทั้งสองมาจากกันและกันไมใชหรือ
ใช
ถาเชนนั้นอะไรมาจากชีวิต
ตาย
อะไรเลาที่มาจากตาย โสกราตีสถาม
ขาพเจาก็ตองยอมรับวา คือ มีชีวิต
58
ดังนั้น สิ่งมีชีวิตและคนเราก็ตองมาจากความตายใชไหม เซเบส
แนนอน
ดังนั้นวิญญาณของเราก็ตองยังอยูเมื่อเราอยูในปรโลก
นาจะเปนเชนนั้น
และกระบวนการหนึ่งในสองกระบวนการคือ การตาย ก็ยอมเปนจริงแนนอนใชไหม
ใช เปนเชนนั้น เซเบสสนับสนุน
ถาเชนนั้นเราจะทําอะไรตอไป เราจะเวนกระบวนการตรงขาม และปลอยใหกฎธรรมชาติ
ในเรื่องนี้บกพรองอยูหรือ หรือวาเราจะตองเติมกระบวนการตรงขามกับการตาย
แนนอนเราจะตองทําเชนนั้น
สิ่งนั้นคืออะไรเลา
กระบวนการมามีชีวิตอีก
ดังนั้นหากมีสิ่งเชนนั้น คือการกลับมามีชีวิตอีก โสกราตีสกลาว ตองมีกระบวนการจาก
ตายไปสูมีชีวิตใชไหม โสกราตีสถาม
ยอมเปนเชนนั้น
ดังนั้นเราก็ยอมเห็นดวยเชนกันวา มีชีวิตมาจากตายและกลับกันตายก็มาจากมีชีวิต แต
ขาพเจาคิดวาเราไดตกลงกันกอนหนานี้วาหากเปนเชนนี้ก็เปนขอพิสูจนเพียงพอวา วิญญาณ
ของคนตายจะตองอยู ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งเปนที่กอนวิญญาณจะมาเกิด…1
3.1.2 แนวคิดของพระพุทธศาสนาเรื่องจิตไมเปนอมตะ
พระพุทธศาสนาอธิบายมนุษยดวยเรื่อง ขันธ 5 กลาวคือมนุษยมีองคประกอบ 5 ประการ ไดแก
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กลาวโดยสังเขป รูป หมายถึงรางกายและสิ่งที่เกี่ยวของในการเปน
รางกาย ซึ่งอาจวิเคราะหลงไปในรายละเอียดไดอีกเชนเปนอวัยวะตาง ๆ ของรางกาย อาหาร อากาศ รูป
ประกอบขึ้นดวยธาตุ 4 อยาง คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ ดินหมายถึงสิ่งที่คงรูป คงตัวเปนรูปราง เชน ดิน โคลน เนื้อ
กระดูก เปนตน น้ําหมายถึงสิ่งที่มีลักษณะไหลไป เชน เลือด หนอง น้ํา ในอวัยวะตาง ๆ ลม หมายถึงอากาศ
ทั้งภายใน เชน ลมที่เราหายใจเขาออก ลมในกระเพาะอาหารและภายนอกตัวเรา มีการฟุงกระจาย และ
ความเคลื่อนไหวได ไฟหมายถึงความอบอุน ความรอน อุณหภูมิ ที่เกิดขึ้นจากการสันดาปทําใหรางกายอุน
เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณรวมเรียกวานามหรือบางครั้งเรียกรวมๆวาจิต แตทางวิชาการจิต
คือ วิญญาณ หมายถึง การรับรู คือ ทั้งรับและรู ตากระทบรูปเกิดการรูทางตา เรียกวา จักขุวิญญาณ
1
Edith Hamilton (edit) The Collected Dialogues of Plato, Princeton , New Jersey : Princeton University Press,
1971, Phaedo 70a – 72a, pp 52 – 55.
59
เสียงกระทบหูเกิดการรูทางหู เรียกวา โสตวิญญาณ กลิ่นกระทบจมูกเกิดการรูทางจมูกเรียกวา ฆานวิญญาณ
รสกระทบลิ้น เกิดการรูทางลิ้น เรียกวา ชิวหาวิญญาณ ความเย็นรอนออนแข็งกระทบผิวกายเกิดการรูทาง
สัมผัสเรียกวา โผฏฐัพพวิญญาณ เมื่อเกิดการกระทบหรือผัสสะขึ้นแกประสาทสัมผัสใดก็เกิด เวทนา
สัญญา สังขาร ซึ่งรวมเรียกวา เจตสิก ขึ้น วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขารที่เกิดรวมกันนี้รวมเรียกวา
ธรรม ซึ่งทําใหเกิดการรูขึ้นที่ใจหรือมโน การรูนั้นเรียกวา มโนวิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเรียกวา
เจตสิก นั้น เปนองคประกอบที่ทําใหเกิดสมมติบัญญัติขึ้นแกจิต เชน เมื่อรูปกระทบตา เกิดจักขุวิญญาณขึ้น
คือรูวารูปเกิดขึ้นแลว รูปนั้นก็ผานไป แตตามปกติจะเกิดเจตสิกขึ้นในเวลาที่รูนั้นดวยคือเวทนา เปนสุขเวทนา
รูสึก สุข ทุกขเวทนา รูสึกทุกข อุเบกขาเวทนา รูสึกไมสุขไมทุกข เกิดสัญญาคือจําได กําหนดหมายไดวารูปที่
เกิดนั้นคืออะไร และเกิดสังขารคือการปรุงแตงการสมมติบัญญัติไปในทางที่ดี เรียกวา ปุญญาภิสังขาร
ในทางที่ไมดีเรียกวา อปุญญาภิสังขาร เปนตน
จิตในพระพุทธศาสนาจึงมิใชสิ่งที่เปนอมตะเปนนิรันดร ไมเปลี่ยนแปลงอยางจิตในความคิดของ
เปลโต แตก็เปนสิ่งที่มีอยูและมีความสําคัญที่ทําใหมนุษยสุขหรือทุกข ดีหรือชั่ว ซึ่งทั้งหมดนั้นมนุษยเปน
ผูคิดผูสรางขึ้นเอง จิตที่สุขทุกขดีชั่วนี้ทําใหกายเปนไปและกระทําการตามสภาพของจิตนั้น และมีแนวโนม
เปนไปเชนนั้น เปนคนมีความสุข มีความทุกข เปนคนดี เปนคนชั่วก็ตามมิใชสภาพแวดลอมที่กําหนดการ
กระทําของมนุษย หากแตเปนจิตที่กําหนด และมนุษยสามารถฝกจิตใหพนทุกข ใหเวนชั่ว ใหมีความสุข และ
ใหทําดีได
ในทัศนะของพระพุทธศาสนา กายกับจิตตางก็เปนสิ่งที่เกิดขึ้นจากองคประกอบ เมื่อมีการ
ประกอบขึ้นก็ตองมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อดํารงความสมดุลขององคประกอบนั้น หากขาดความสมดุล ก็เกิด
ความผิดปกติ เชน รางกายตองขับถาย ตองสูญเสียแรธาตุ เซลลตองตายไปทุก ๆ ขณะ ก็ตองมีอาหาร
อากาศ น้ํา สารเคมีตาง ๆ ที่จําเปนมาทดแทน คือ มี เกิดขึ้น ดํารงอยู สลายไป ในเวลาเดียวกันก็มีการ
เกิดขึ้นใหมมาทดแทน ดํารงอยูแลว ก็สลายไป เมื่อใดที่ทดแทนไมพอก็สลายมากกวาที่มาทดแทน ก็เกิด
เจ็บไขหรืออาจเสียชีวิตคือดับไป จิตก็เชนเดียวกันมีองคประกอบและมีสาเหตุดังกลาวมาแลว จิตก็เกิดขึ้น
ดํารงอยูแลวดับไปเปนสายโซหมุนเวียนซ้ําแลวซ้ําเลา การสืบตอนี้สามารถดํารงอยูตอไปหลังจากรางกาย
สลาย และเวียนกลับมาเกิดในรางใหมได ความคิดเรื่องการเวียนวายตายเกิดนี้ทําใหพระพุทธศาสนาเปน
ศาสนาที่ถือวา จิตสําคัญ ธรรมชาติสวนนี้สําคัญกวารางกาย แตทั้งนี้มิไดหมายความวาไมมีรางกายก็ได
คนจะเปนคนโดยสมบูรณก็ตองมีทั้งกายและจิต
60
61
บทที่ 4
มนุษยเปนอิสระหรือถูกบงการ
“แสนสุขสมนั่งชมวิหค อยากเปนนกเหลือเกิน
นกหนอนกเจาหกเจาเหินทั้งวันนกเจาคงเพลิน เหินลอยละลิ่วลองลม"
เนื้อเพลงดังกลาวนี้ตองการแสดงวานกเปนอิสระที่จะโผบินไปไหน ๆ ไดตามความปรารถนา นกที่
บินอยูในทองฟานั้นเปนอิสระจริงหรือ ตั้งแตออกจากรังจนกลับเขารังนกมิไดเปนอิสระ มันตองออกจากรัง
ทุกเชาเพราะถาไมออกจากรังก็ไมมีอาหารกินและเลี้ยงลูก ความหิวและความตองการอาหารมาเลี้ยงลูกทํา
ใหตองออกจากรัง ตองคอยสงเสียงรองบอกเขตแดนหาอาหารของตน ปองกันมิใหนกอื่นเขามาในเขต มิใช
รองเพลงอยางเบิกบาน มันบินไปตามทิศทางที่เคยบินเพราะเปนเสนทางที่มันรูจัก ในระหวางบินหรือลง
เกาะก็ตองคอยระวังศัตรู ไมวาจะเปนนกอื่น งู หรือมนุษยที่คอยทํารายมัน ถาหลงทางมันก็ตองพยายามบิน
วนเพื่อหาทิศทางที่จะกลับไปรังหรือตนไมที่มันเคยนอน ไมมีอิสระในชีวิตของนกอยางที่คนแตงเพลงรูสึก
สัตวอื่น ๆ ก็เชนกัน ไปเพื่อลาและถูกลา ชีวิตวันหนึ่ง ๆ ของมันเปนไปตามสภาพการณที่เกิดขึ้นรอบตัวมัน
ชีวิตของมันเปนไปตามความตองการของสภาพแวดลอม มันเปนนกที่ถูกบงการตลอดชีวิต ไมเคยเปนอิสระ
สัตวอื่น ๆ ก็เชนกัน มนุษยเลาเปนเชนนี้เหมือนกัน หรือวามนุษยเปนอิสระ
มนุษยเปนอิสระอยางที่เราเห็นและรูสึกหรือไม หรือวาความรูสึกเปนอิสระนั้นเปนเพียงมายา
1. เรารูสึกอิสระแตก็รูสึกถูกบงการ
เด็กคนหนึ่งไดรับการเสนอชื่อใหเปนตัวแทนนักเรียนเพื่อรองเพลงในงานประจําปของโรงเรียน เธอ
เปนเด็กเสียงดีแตขี้อาย เธอไมตองการจะรองเพลง แตก็จําเปนตองฝกซอมทุกวัน ใคร ๆ ก็ชมวาเธอรองไดดี
เธอมีความมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ กอนวันงานเธอกลับมีความอยากอยางแรงกลาที่จะรองเพลงจนนอนไมหลับ และ
เธอก็มีความมั่นใจอยางยิ่ง ผิดกับเมื่อวันแรกที่เธอไดรับการเสนอชื่อ เธอขึ้นไปรองเพลงอยางเต็มอกเต็มใจ
เด็กคนนี้มีอิสรภาพในการรองเพลงคราวนี้หรือวาเธอถูกบงการดวยการฝกฝนและคําพูดยกยองชมเชย เธอ
รูสึกเปนอิสระและอิสระมากเสียจนรูสึกวาเธอนั่นเองที่มีความปรารถนาใครจะรองเพลง แตก็ดูเหมือนวาความ
มั่นใจที่ทําใหเธอกลาและปรารถนาจะรองนั้นเกิดจากการถูกบังคับใหฝก และถูกคําชมทําใหมั่นใจ ความ
ปรารถนาจะรองเพลงเกิดขึ้นเพราะถูกสิ่งตาง ๆ ดังกลาวผลักดัน
กรณีศีลธรรมก็อาจเปนไปในทํานองเดียวกัน คนที่มีศีลธรรมปฏิบัติตนถูกตองตามศีลธรรมโดยที่
ไมรูสึกวามีใครบังคับ แตปฏิบัติโดยพอใจและยินดี แตการรูวาอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไมควรทํา
ก็ตองศึกษาเลาเรียนและไดรับการอบรมมากอน การอบรมทําใหคนเราเชื่อและทําตามหลักศีลธรรมมิใชเพราะ
ความพอใจของเราเอง
62
2. ปญหาเจตนจํานงเสรี (free will) กับลัทธิบงการ (determinism)
แนวคิดดังกลาวขางตนเปนปญหาสําคัญทางปรัชญาที่นักปรัชญาและนักศาสนาพยายามแกกันมา
แตโบราณ ปจจุบันเรื่องนี้ก็ยังคงเปนปญหาอยู วิทยาศาสตรนั้นไมสูจะมีปญหาเพราะถือลัทธิบงการ ไมมีอะไร
ที่เปนอิสระในทัศนะของวิทยาศาสตร ทุกสิ่งถูกบงการ เพราะนักวิทยาศาสตรเชื่อวากฎแหงเหตุและผล
ควบคุมธรรมชาติทุกสิ่ง แตปญหานี้เปนปญหาที่ศาสนาตองตอบเพราะอิสรภาพหรือความมีเสรีภาพในการ
เลือกเปนเหตุผลสําคัญที่ทําใหคนเราตองรับผิดชอบการกระทําของตนไมวาดีหรือชั่ว หากคนเราถูกบงการ
โดยสิ้นเชิงใหตองกระทําอยางใดอยางหนึ่ง การกระทํานั้นยอมมิใชของผูนั้น เพราะผูนั้นไมไดเลือกหรือไม
ปรารถนาที่จะกระทํา หากแตเปนการเลือกของผูที่บงการหรือบังคับใหกระทํา ผูเลือกหรือผูบังคับนั้นเองที่เปน
ผูตองรับผิดชอบตอการกระทํา เชน คนคนหนึ่งถูกมอมยาใหควบคุมสติไมได และไดกระทําฆาตกรรม คนคน
นั้นไมตองรับผิดชอบทางศีลธรรมเพราะเขามิไดมีเจตนา เขาทําการโดยไมรูตัว แตการกระทําที่ถูกบงการ
บางอยางที่ผูถูกบงการมีทางเลือกก็เปนการกระทําที่ผูนั้นยังตองรับผิดชอบทางศีลธรรมอยู เชนคนคนหนึ่งถูก
บังคับใหทําฆาตกรรมเพราะถูกขูวาถาไมทําบิดามารดาหรือบุตรจะถูกฆา และคนคนนี้ไดกระทําฆาตกรรม
เพราะกลัวคําขูนั้น การกระทําดังกลาวนี้ถือวาผูกระทํายังตองรับผิดชอบทางศีลธรรม การกระทํานี้ถือวาผิด
ศีลธรรมเพราะผูกระทําเลือกที่จะทําหรือไมทําก็ได แตเขาเลือกฆาผูอื่นเพื่อรักษาชีวิตคนที่ตนรัก กรณีนี้เขา
สามารถเลือกวิธีอื่นไดอีกมากมาย
การกระทําจะไดชื่อวากระทําโดยเสรีก็เมื่อผูนั้นสามารถเลือกกระทําได มากกวาหนึ่งทาง หรือเลือก
กระทําหรือไมกระทําได การเลือกไดนี้เองที่ทําใหการกระทํานั้นเปนการกระทําของผูนั้น เมื่อมีผลอยางไร
เกิดขึ้นเขาจึงเปนผูที่ตองรับผิดชอบผลนั้น
คําสอนของศาสนานั้นเกี่ยวกับเรื่องผิดชอบชั่วดี หรือบาปบุญคุณโทษ มิไดมุงเพียงอธิบายสาเหตุ
วิธีกระทํา และผลที่เกิดตามสาเหตุนั้น ๆ อยางวิทยาศาสตรและสังคมศาสตร แตมีการประเมินคาถูก ผิด ดี
ชั่วดวย และการประเมินคานี้ก็มีหลักตายตัว เชน เจตนาฆาตองผิดเสมอ กฎหมายอาจมีขอยกเวนแต
ศีลธรรมไมยกเวน ตรงขามถาปราศจากเจตนาก็ไมผิด แมกฎหมายอาจถือวาผิด ความถูกผิดทางศีลธรรม
มิไดใชผลประโยชนที่มีตอสังคมเปนที่ตั้ง แตดูที่เจตนาของผูกระทําและเนนความถูกตองหรือไมถูกตองตาม
กฎ ถูกผิดอยูในตัวการกระทํานั้น ถูกคือถูก ผิดคือผิด ดวยเหตุนี้ศาสนาจึงเชื่อเรื่องเจตนจํานงเสรี แตความ
เชื่อเชนนี้ก็มีปญหา เพราะศาสนามักเชื่อการบงการดวย เชนคริสตศาสนาเชื่อวาพระเจาทรงสรรพเดชานุภาพ
และทรงกําหนดชีวิตของมนุษย หรือพุทธศาสนาเชื่อวากรรมกําหนดชีวิตและการกระทําของมนุษย ศาสนา
จึงตองตอบปญหาความขัดแยงระหวางเจตนจํานงเสรีกับการบงการและใหทั้งสองอยางสามารถอยูรวมกัน
ไดโดยถูกตองทั้งคู
3. คริสตศาสนากับเจตนจํานงเสรีและลัทธิบงการ
คนเรามักจะตําหนิผูอื่นวาทําผิดคือไมทําสิ่งอื่นที่ถูกและเรามักรูสึกผิดคือคิดวาเราควรทําอยางอื่น
มากกวา เรามักคิดวาเราทําในสิ่งที่เราไมปรารถนาจะทําแตที่เราตองทําเพราะมีอะไรบางอยางมาบงการ
63
และการที่เราทําเชนนั้น เรามิไดเปนผูทํา แตมีบางอยางในตัวที่บังคับใหเราทํา เชนกรณีที่เรามักพูดกันวา
เปน “ความจําเปนบังคับ” นั่นคือประสบการณเกี่ยวกับเจตนจํานงเสรีและประสบการณเกี่ยวกับการถูก
บงการ เปนประสบการณจริงของเราทั้งคู
ในคริสตศาสนามีปญหาสําคัญที่เปนความขัดแยงระหวางเจตนจํานงเสรีกับการบงการซึ่งทั้งคูเปนความ
เชื่อสําคัญของศาสนา คือ 1. พระเจาทรงสรรพเดชานุภาพและทรงบงการทุกเหตุการณในชีวิตเรา กับ 2. มนุษยมี
เจตนจํานงเสรีและตองรับผิดชอบตอบาปของตน หากตัดสินใจผิดก็ถูกพิพากษาใหตกนรก ขอความทั้งสอง
นี้ขัดแยงกันทางตรรกะ หากพระเจาทรงบันดาลไปเสียทุกอยาง มนุษยก็ไมมีอิสระ และหากมนุษยมีอิสระ
พระเจาก็ตองไมทรงบงการอะไร
3.1 คําตอบของนักบุญทอมัส อะควีนัส St. Thomas Aquinas (1225 – 1274)
นักบุญทอมัส อะควีนัส วิเคราะหปญหาดังนี้
3.1.1 มนุษยถูกบงการชีวิต
การที่พระเจาบงการกําหนดชีวิตของมนุษยนั้นชอบแลว เพราะทุกสิ่งลวนแตเปนไป
ตามแผนการของพระองค เนื่องจากมนุษยดําเนินไปสูชีวิตนิรันดรก็โดยการเตรียมการของพระเจา
ในทํานองเดียวกันก็ยอมเปนแผนการสวนหนึ่งของพระเจาที่จะใหบางคนพลาดไปจากจุดหมายนั้น
สิ่งนี้เรียกวาความเลวรายและเนื่องจากการกําหนดจุดหมายปลายทางลวงหนาประกอบดวยเจตน
จํานงที่จะประทานความหรรษาและโรจนาการ ความเลวรายก็ตองประกอบดวยเจตนจํานงที่
จะใหบุคคลตกไปสูบาปและมีการลงโทษและการสาปแชงเพราะเหตุแหงบาปนั้น
Summa Theologica Ι, 23,1,3
3.1.2 มนุษยเปนอิสระ
มนุษยเลือกไดอยางอิสระ หาไมคําแนะนํา คําตักเตือน คําสั่ง คําหามปราม รางวัล
และการลงโทษก็จะไรความหมาย
หากเจตนจํานงปราศจากอิสรเสรี การสรรเสริญใด ๆ ก็ไมอาจมีแกคุณธรรมของมนุษยได
เนื่องจากคุณธรรมจักไมมีเหตุผลรองรับหากมนุษยมิไดทําการโดยอิสระ การใหรางวัลและ
การลงโทษก็ยอมจะยุติธรรมไมไดหากมนุษยไมมีอิสรเสรีในการทําดีหรือชั่วและยอมจะไมมี
ความรอบคอบในการใหคําแนะนํา เพราะคําแนะนําจะไมมีประโยชนอะไรหากสิ่งทั้งหลาย
เกิดขึ้นโดยจําเปน
Summa Theologica Ι , 83,1
64
3.2 มนุษยทั้งถูกกําหนดไวลวงหนาและอิสรเสรีไดหรือไม
ผูถูกบงการชีวิตยอมจะตองไดรับการชวยใหปลอดภัย แตก็โดยความจําเปนแบบมี
เงื่อนไขซึ่งมิใชเปนการตัดอิสรภาพในการเลือกออกไปเสียทีเดียว
มนุษยมุงหาพระเจาโดยการเลือกที่เสรี และในการเลือกนั้นมนุษยก็ถูกสั่งใหมุงหาพระเจา
แตวาการเลือกที่เสรีจะเปนการมุงหาพระเจาไดก็โดยพระเจาทรงหันทิศทางให มนุษยเองก็ตอง
เตรียมวิญญาณของตน เพราะมนุษยสามารถทําเชนนั้นโดยการเลือกเสรี แตถึงกระนั้น
มนุษยก็ไมอาจทําเชนนั้นได โดยปราศจากความชวยเหลือของพระเจา ดังนั้นแมแตการ
ดําเนินการอยางดีของการเลือกอยางอิสระซึ่งบุคคลไดรับการเตรียมการใหไดพระหรรษทาน
ก็เปนการกระทําโดยอิสระที่พระเจาทรงดําเนินการ การเตรียมการของมนุษยเพื่อพระหรรษทาน
เกิดจากพระเจาในฐานะผูทรงเปนผูดําเนินการและจากการเลือกโดยเสรีในฐานะผูถูกดําเนินการ1
Summa Theologica, Ι 23,3 ; Ι - ΙΙ , 109, 6 ;
Ι - ΙΙ ,112,2,3.
4. พระพุทธศาสนา กฎแหงกรรม เสรีภาพ
พระพุทธศาสนาเชื่อวากฎแหงกรรมเปนกฎแหงความประพฤติของมนุษยเชนเดียวกับกฎวิทยาศาสตร
เปนกฎของสิ่งธรรมชาติ ทั้งกฎวิทยาศาสตรและกฎแหงกรรมเปนกฎธรรมชาติทั้งคู กฎวิทยาศาสตรเปนกฎ
เกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏตอประสาทสัมผัสเชน กฎฟสิกส เคมี ชีววิทยา กฎแหงกรรม เปนกฎเกี่ยวกับพฤติกรรม
ของมนุษยในดานคุณคาคือกฎเกี่ยวกับความดีความชั่ว วิทยาศาสตรไมเชื่อวากฎแหงกรรมมีจริงเพราะไม
เชื่อเรื่องดีชั่ว
มนุษยตองกระทําการตางๆ การกระทําของมนุษยยอมดีบาง เลวบาง เปนกลาง ๆ บาง มีเจตนาบาง
ไมมีเจตนาบาง การกระทําที่เปนไปโดยเจตนาพระพุทธศาสนาเรียกวา กรรม กรรมจึงมีทั้งดีและชั่ว การกระทํา
โดยเจตนาเปนการเลือกกระทําโดยเสรี เพราะผูตั้งเจตนาก็คือเจาตัวผูนั้นเอง ใครบังคับไมได เพราะแมวาจะ
ถูกบังคับ ในที่สุดก็ตองตั้งเจตนาหรือเลือกวาจะทําตามที่ถูกบังคับหรือทําอยางอื่น และเนื่องจากเปนผูเลือก
เองจึงตองรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก
กฎแหงกรรมก็เปนกฎแหงเหตุและผลเชนเดียวกับกฎวิทยาศาสตรคือกรรมที่กระทําเปนเหตุ ยอม
มีผลของกรรมนั้นเกิดตามมา เชนการทํารายผูอื่นยอมเปนเหตุใหถูกทํารายตอบ ชวยเหลือผูอื่นก็ไดรับความ
ชื่นชมตอบ กรรมนั้นบางครั้งก็เกิดผลทันทีบางครั้งก็ตองใชเวลาเพราะคนเราทํากรรมมากมาย ผลกรรมทยอย
กันสงผลตามความรุนแรงของกรรมและความมากนอยแหงการกระทํานั้น แตกรรมจะสงผลเสมอไมมียกเวน
1
James L. Christian, Philosophy : an introduction to the art of wondering. Second edition, New York : Holt
Rinehart and Winston 1977 p.279.
65
ทานเปรียบเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป หรือรอยเกวียนที่ตามรอยโค ไมสงผลในชาตินี้ภพนี้ก็สงผลในชาติในภพ
ตอ ๆ ไป
คนแตละคนเกิดมาแลวกี่ชาติไมมีใครทราบ ทุกคนเคยทํากรรมมาแลวในอดีตชาติ เมื่อเกิดมาก็มี
กรรมติดตัวมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และกรรมดีกรรมชั่วในอดีตก็ตามมาสงผล ชีวิตคนจึงเปนไปตามกรรม
ในอดีตสวนหนึ่ง ซึ่งคนเราเลือกที่จะไมรับผลกรรมไมได เพราะแมแตการเกิดในที่ดีหรือไมดีก็เปนผลของ
กรรม แตยังมีกรรมที่คนเราเลือกไดอยางเสรีคือกรรมที่เราเลือกทําในชาติปจจุบัน แมวากรรมเกาอาจทําให
คนเราไปตกอยูในที่ที่มีโอกาสจะทําดีนอย และมีโอกาสไดรับการศึกษาอบรมนอย แตทุกคนก็มีโอกาสไดพบ
สภาพที่ดีอยูบอย ๆ การไดเกิดในศาสนาก็เปนสภาพแวดลอมที่ทําใหคนเราไดยินไดฟงคําสอนและเห็นการ
ปฏิบัติที่ดีงาม หากเลือกทํากรรมดีชีวิตก็ดีขึ้น คือไดรับผลแหงกรรมดีนั้นตอไป ในแงนี้คนเราจึงมีเสรีภาพใน
การเลือกหรือตั้งเจตนจํานง มิใชถูกบงการหรือกําหนดโดยกรรมเกาจนชีวิตไมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได
เพราะหากเปนเชนนั้น ก็เทากับเปนชะตานิยม (fatalism) คือชีวิตถูกกําหนดชะตามาใหเปนไปโดยไมอาจ
เปลี่ยนแปลงอะไรไดเลย
หัวขอธรรมเกี่ยวกับกรรมตอไปนี้แสดงใหเห็นวากรรมมีสวนกําหนดชีวิตของมนุษยอยางไรบาง การ
วิเคราะหความหมายของขอธรรมเหลานี้จะทําใหเขาใจบทบาทของกรรมตอชีวิตเพิ่มขึ้นจากที่ไดอธิบายไวขางตน
กรรม 12 การกระทําที่ประกอบดวยเจตนา ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, ในที่นี้หมายถึงกรรม
ประเภทตาง ๆ พรอมทั้งหลักเกณฑเกี่ยวกับการใหผลของกรรมเหลานั้น – Kamma :
kamma ; kamma; action; volitional action)
หมวดที่ 1 วาโดยปากกาล คือ จําแนกตามเวลาที่ใหผล (classification according
to the time of ripening or taking effect)
1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมใหผลในปจจุบันคือในภพนี้ – Ditฺtฺhadhamma-
vedanîya-kamma : kamma to be experienced here and now; immediately
effective kamma)
2. อุปปชชเวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหนา – Upapajja-
vedaniya-kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the
next life)
3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพตอ ๆ ไป – Aparapariya-vedaniya-
kamma : kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely
effective kamma)
4. อโหสิกรรม (กรรมเลิกใหผล ไมมีผลอีก – Ahosi – kamma : lapsed or defunct
kamma)
66
หมวดที่ 2 วาโดยกิจ คือจําแนกการใหผลตามหนาที่ (classification according to
function)
5. ชนกกรรม (กรรมแตงใหเกิด, กรรมที่เปนตัวนําไปเกิด – Janaka –kamma :
productive kamma; reproductive kamma)
6. อุปตถกัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน – กรรมที่เขาชวยสนับสนุนหรือซ้ําเติมตอ
จากชนกกรรม – Upatthambhaka – kamma ;consolidating kamma)
7. อุปปฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาใหผล บีบคั้นผลแหงชนกกรรมและ
อุปตถัมภกรรมนั้น ใหแปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิใหเปนไปไดนาน – Upapilฺaka –
kamma : obstructive kamma ; frustrating kamma)
8. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝายตรงขามกับชนกกรรมและ
อุปตถัมภกกรรมเขาตัดรอนการใหผลของกรรมสองอยางนั้น ใหขาดไปเสียทีเดียว เชน เกิดใน
ตระกูลสูง มั่งคั่งแตอายุสั้น เปนตน – Upaghataka – kamma : destructive kamma;
supplanting kamma)
หมวดที่ 3 วาโดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเยื้องหรือลําดับความแรง
ในการใหผล (classification according to the order of ripening)
9. ครุกกรรม (กรรมหนัก ใหผลกอน ไดแก สมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม –
Garuka – kamma : weighty kamma)
10. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผลรองจาก
ครุกกรรม – Bahula – kamma, Acinฺnฺa ~ : habitual kamma)
11. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกลตาย คือ กรรมทําเมื่อจวนจะตาย
จับใจอยูใหม ๆ ถาไมมี 2 ขอกอน ก็จะใหผลกอนอื่น – Asanna – kamma : death –
threshold kamma; proximate kamma)
12. กตัตตากรรม หรือ กตัตาวาปนกรรม (กรรมสักวาทํา, กรรมที่ทําไวดวย
เจตนาอันออน หรือมิใชเจตนาอยางนั้นโดยตรง ตอเมื่อไมมีกรรมอื่นใหผลแลวกรรมนี้จึงจะ
ใหผล – Katatta – kamma : reserve kamma ; casual act) กฏัตตากรรม ก็เขียน
กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิไดมีมาในบาลีในรูปเชนนี้โดยตรง พระอาจารย
สมัยตอมา เชน พระพุทธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจัดเรียงเปนแบบไวในภายหลัง
วิสุทฺธิ.3/223; สงฺคห.28
5. ลัทธิบงการ (Determinism)
ลัทธิบงการเปนผลมาจากความคิดแบบวิทยาศาสตรซึ่งเปนความคิดแบบวัตถุนิยมที่สําคัญที่สุด
วิทยาศาสตรตองการอธิบายปรากฏการณในเชิงความเปนเหตุและผล การอธิบายปรากฏการณหนึ่งก็คือ การ
67
บอกวาปรากฏการณใดเปนเหตุของปรากฏการณนั้น เหตุอาจเปนปรากฏการณหนึ่งที่มากอนหรืออาจเปน
สภาพแวดลอมที่ทําใหเกิดปรากฏการณนั้นก็ได ดังนั้นหากพิจารณาในเชิงวัตถุนิยมวา คนเราก็คือรางกาย
และรางกายนี้เปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ ของสังคม ของประวัติศาสตร ธรรมชาติ สังคม และประวัติความ
เปนมายอมเปนเหตุหรือเปนคําอธิบายสภาพปจจุบันของรางกายนั้น ความรูสึกวาเราเลือกไดหรือเรามีอิสระใน
การเลือกนั้นโดยแทจริงแลวก็เปนเพราะเหตุภายนอกบงการใหเรารูสึกเชนนั้น ในทัศนะของลัทธิบงการ
เจตนจํานงเสรีจึงเปนผลของการบงการ กลาวคือไมมีเจตนจํานงเสรีที่แทจริง ขอเขียนของรอเบิรต แบลซฟอรด
มีดังนี้
เมื่อบุคคลหนึ่งกลาววา เจตจํานงของตนเปนอิสระ เขาหมายถึงวาเปนอิสระจากการถูก
ควบคุมหรือการเขาแทรกแซงทั้งปวง นั่นคือเจตจํานงสามารถมีอํานาจเหนือพันธุกรรมและ
สภาพแวดลอม เราขอตอบวาเจตจํานงถูกควบคุมโดยพันธุกรรมและสภาพแวดลอม
ดูเหมือนวาผูที่เชื่อเรื่องเจตจํานงเสรีคิดถึงเจตจํานงเหมือนกับเปนอะไรสักอยางที่เปน
เอกเทศจากตัวมนุษย อยูภายนอกตัวมนุษย ดูเหมือนพวกเขาจะคิดวาเจตจํานงตัดสินลงไป
อยางปราศจากการควบคุมโดยเหตุผลของมนุษย
ถาเปนเชนนั้นก็ไมไดพิสูจนวามนุษยเปนผูรับผิดชอบ “เจตจํานง” ตางหากที่เปน
ผูรับผิดชอบ ไมใชมนุษย จะเปนการโงเขลาที่จะกลาวโทษบุคคลหนึ่ง ในเมื่อการกระทํานั้นเกิด
จากเจตจํานง “อิสระ” เชนเดียวกับกลาวโทษมาในเมื่อการกระทําเกิดจากผูขี่
แตขาพเจาจะพิสูจนใหผูอานเห็นวาเจตจํานงไมเปนอิสระและถูกควบคุมจากพันธุกรรม
และสภาพแวดลอม
ผูที่เชื่อเรื่องเจตจํานงอิสระกลาววา “เรารูวามนุษยสามารถเลือกและเลือกจริง ๆ ระหวาง
การกระทําสองอยาง แตอะไรเลาเปนตัวตัดสินวาจะเลือกอยางไร
ความปรารถนาทุกอยางมีสาเหตุ การเลือกทุกอยางมีสาเหตุและสาเหตุทุกอยางของ
ความปรารถนาและการเลือกแตละอยางมีบอเกิดจากพันธุกรรมหรือสภาพแวดลอม เพราะการ
กระทําของคนผูหนึ่งยอมเกิดจากสภาพจิตใจของตน นั่นคือจากพันธุกรรม หรือจากการที่ถูก
ฝกฝนมา นั่นคือจากสภาพแวดลอม และในกรณีที่บุคคลหนึ่งลังเลในการเลือกระหวางการ
กระทําสองอยาง ความลังเลนี้เปนผลมาจากความขัดแยงระหวางสภาพทางจิตใจกับการถูก
ฝกฝนมา หรือบางคนอาจจะใชคําบรรยายวา ระหวางความปรารถนาของเขากับมโนธรรมของ
เขาเอง
การที่คนหนึ่งมีเมตตา อีกคนหนึ่งโหดราย ก็เปนไปโดยธรรมชาติ … นั่นก็คือ มีความ
แตกตางกันทางพันธุกรรม คนคนหนึ่งอาจไดรับการสั่งสอนมาตลอดชีวิตวาการฆาสัตวปา
68
เปนกีฬา อีกคนหนึ่งอาจไดรับการสั่งสอนวาการทําเชนนั้นไรมนุษยธรรมและเปนสิ่งผิด นั่น
คือมีความแตกตางกันทางดานสภาพแวดลอม1
เหตุผลของแบลชฟอรดในบทความขางตนมาจากความเชื่อวาสิ่งที่ทําใหมนุษยตัดสินใจมีสองอยาง
คือพันธุกรรม กับสภาพแวดลอม ซึ่งทั้งคูไมเกี่ยวกับจิตเลย จึงเห็นไดวาเปนเหตุผลของฝายวัตถุนิยม ดังนั้น
จึงอางวา ถามีเจตจํานงอิสระก็ตองเปนสิ่งนอกตัวมนุษยซึ่งทําใหอางไดวาในกรณีเชนนั้นมนุษยยอมไมใชผู
ตัดสินใจ เพราะสิ่งที่ทําหนาที่ตัดสินใจอยูนอกตัวผูตัดสินใจซึ่งเปนไปไมได
ฝายที่เชื่อเจตจํานงอิสระหาไดมีความคิดเชนนี้ไม พวกเจตจํานงอิสระยอมรูดีวาสิ่งที่เปนสสารทั้งหลาย
ยอมถูกกําหนดหรือบงการเพราะสสารมีลักษณะเปนสิ่งที่ “รับการกระทํา” (passive) มิใชสิ่งที่ “ริเริ่มการกระทํา”
(active) ฝายเจตจํานงอิสระมิไดเชื่อวาการตัดสินหรือการเลือกของมนุษยมาจากรางกายเทานั้น หากแต
รางกายรับใชจิตซึ่งเปนสิ่งที่มีธรรมชาติริเริ่มการกระทําคือทําการไดเอง และตรงขามกับรางกายที่เปนสสาร
อันมีธรรมชาติที่ตองรับคําสั่งจากสิ่งที่ทําการไดเองนั้น เจตจํานงอิสระจึงเปนคุณสมบัติของมนุษยซึ่งมีจิต
และจิตก็ไมไดอยูนอกตัวมนุษย เรื่องเกี่ยวกับรางกายไมวาจะเปนอวัยวะใด ๆ ก็ลวนเปนสสาร แมวามีการ
ทํางานเชื่อมโยงกันแบบเครื่องจักรแตในที่สุดเครื่องจักรทุกชนิดก็ตองมีผูสั่งการ รางกายก็เปนเชนนั้น และผู
สั่งการก็คือจิต พันธุกรรมมิใชอื่นไกลคือจิตนั่นเอง หากเปนเรื่องกายภาพแลวเหตุใดฝาแฝดเชน อิน-จัน จึงมี
นิสัยใจคอแตกตางกัน ในเมื่อเกิดจากพอแมเดียวกัน และอยูในสภาพแวดลอมเดียวกันเพราะรางกายของ
เขาติดกัน
6. ชะตานิยม fatalism
วิทยาศาสตรเชื่อวาสสารทั้งหลายเปนไปตามกฎเกณฑ ดังนั้นถาเรารูธรรมชาติของสสารและกฎที่
ควบคุมครบถวน นอกจากอธิบายปรากฏการณทางสสารในอดีตและปจจุบันไดแลว เรายังสามารถบอก
ปรากฏการณในอนาคตไดอยางแมนยํา นั่นคือทุกสิ่งในปจจุบันถูกกําหนดมาแลวจากอดีตและอนาคตก็ถูก
กําหนดจากปจจุบัน ความรูบางเรื่องเชนอิเล็คตรอนอาจยังไมแนนอนตายตัวในปจจุบัน นั่นก็เปนเพราะเรา
ยังรูขอมูลและกฎเกณฑของมันไมเพียงพอ
เมื่อพิจารณาตามความเชื่อดังกลาว มนุษยมิใชเปนสิ่งที่ชะตาชีวิตถูกลิขิตจากพระเจาหรือดวงดาว
เทานั้น แมวิทยาศาสตรก็เชื่อวาชะตาชีวิตถูกลิขิตแลวโดยยีนสกับสภาพแวดลอม และอยูใตกฎวิทยาศาสตร
เชนเดียวกับกอนหิน พืช และสัตว ไมมีอะไรที่เปนอิสระ ทุกสิ่งถูกกําหนดมาแลวโดยสิ้นเชิง ความสําเร็จ
ความลมเหลว ความรัก ของแตละคนลวนแตมีสาเหตุทางกายภาพทั้งสิ้น ถามนุษยมีขอมูลในเรื่องใด
ครบถวน ก็สามารถสรางสิ่งหรือปรากฏการณในเรื่องนั้น ๆ ได
1
รอเบิรต แบลชฟอรด (อุกฤษฎ แพทยนอย แปล) “ความหลงผิดวา เจตจํานงเปนอิสระ (อัดสําเนา) กรุงเทพฯ : ภาควิชา
ปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
69
7. พฤติกรรมนิยม (behaviorism)
พฤติกรรมนิยมเปนแนวคิดทางจิตวิทยาที่ไดรับอิทธิพลจากฟสิกส นักพฤติกรรมนิยมไมเชื่อในความ
มีอยูจริงของจิต จึงไมใชคําวาจิต ปรากฏการณทั้งหลายเกี่ยวกับมนุษยเปนการตอบสนองทางกายของมนุษย
ตอสภาพแวดลอมซึ่งก็เปนเรื่องทางกายภาพ พฤติกรรมของมนุษยนั้นมีทั้งที่เกิดในตัวและที่แสดงใหปรากฏ
สังเกตได พฤติกรรมที่เรารูเห็นไดปรากฏในรูปการสนองตอบสิ่งเรา ดังนั้นถาเราสังเกตพฤติกรรมมนุษยที่
สนองตอบสิ่งเรา เราก็สามารถอธิบายและทํานายพฤติกรรมได รวมถึงสามารถกําหนดหรือบงการพฤติกรรม
ใหเกิดแกมนุษยได มนุษยไมไดมีการเลือกอยางเสรี ในการตอบสนองสิ่งเราแตตอบสนองตามกฎเกณฑและ
อิทธิพลของพฤติกรรมและสิ่งเราในอดีต นักจิตวิทยาชื่อ สกินเนอร (Skinner) เปนตัวอยางของผูที่มีแนวคิด
แบบนี้
สกินเนอรกลาววา พิจารณาตามประสบการณเสรีภาพมิใชขอเท็จจริง การตอบสนองทั้งหลายของ
เราเปนผลมาจากเงื่อนไขและพลังจากอดีตที่ผลักดันใหเราทําอยางที่เราทํา การทดลองที่มีชื่อเสียงของ สกิน
เนอร โดยใชนกพิราบ และหนูเปนการแสดงวา พฤติกรรมของสัตว1
สามารถทํานายและควบคุมไดสามารถ
จะใหทําตามขอกําหนดที่เฉพาะเจาะจงก็ได โดยการเลือกสาเหตุเฉพาะ (สิ่งเรา)ผลที่ปรารถนา (การตอบสนอง)
จะเกิดขึ้นเสมอนี่เปนการใชกฎแหงเหตุและผลของวิทยาศาสตรกับการศึกษาพฤติกรรมของสัตว คือกฎที่วา
สาเหตุทุกสาเหตุยอมมีผล และผลทุกผลยอมมีสาเหตุ ซึ่งเปนกฎที่ใชไดกับศาสตรทุกศาสตร ไมเวนแมแต
ศาสตรเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย
ตามความคิดของสกินเนอร เสรีภาพเปนเพียงภาพมายาที่คนเราสรางขึ้นเพื่อเลี่ยงความรูสึกถูกบังคับ
ทําใหเกิดความรูสึกพึงพอใจ แตความรูสึกดังกลาวก็เปนการตอบสนองที่มีสาเหตุคือเกิดจากประสบการณ
ของเราในอดีต
สกินเนอรยกตัวอยางใบไมรวงวา ใบไมที่แกจัดและหลุดจากกิ่งรอนไปมาตามแรงลม แลวไปวาง
สงบนิ่งอยูบนพื้นดินนั้น สมมติวาไมมีนักฟสิกสที่จะอธิบายปรากฏการณนี้ พวกเราซึ่งเปนผูดูที่มีจิตใจ
สุนทรียก็อาจรูสึกอิจฉาใบไมที่รอนไปมาอยางอิสรเสรีแลวลงสูพื้นนั้น แตตามความเปนจริงก็คือใบไมหลนลง
ตามกฎของฟสิกสซึ่งเปนกฎพื้น ๆ ในดานฟสิกสสามารถอธิบายไดวา การหลุดจากขั้วเปนไปตามกฎ
แรงดึงดูดของโลก การรอนในอากาศเปนไปตามกฎของแรงตานทานของมวลอากาศ และแรงของกระแสลม
และสามารถคํานวณเวลาตั้งแตใบไมหลุดจากขั้วจนถึงพื้นดินได ทั้งหมดนี้ก็คือปรากฏการณใบไมรวงเปนไป
ตามกฎแหงเหตุและผล
1
เปนการทดลองเกี่ยวกับการเรียนรูของสัตว นกพิราบที่เผอิญเหยียบคานแลวมีเมล็ดถั่วรวงลงมาจะเรียนรู เมื่อใดที่
ตองการกินถั่วก็จะเหยียบคาน เชนเดียวกับหนูหิวที่วิ่งไปตามทางวกวนแบบเขาวงกต และพบอาหาร ก็จะวิ่งไปตามทางเดิม
เมื่อตองการกินอาหาร แสดงวาพฤติกรรมของสัตวมีสาเหตุจากสิ่งเราภายนอกในกรณีทั้งสองนี้คืออาหาร การเหยียบคาน
ของนกพิราบ และการวิ่งไปตามทางที่เคยของหนู เปนการตอบสนองตอสิ่งเรา
70
อีกตัวอยางหนึ่งที่สกินเนอรยกมาก็คือการบินของแมลง ถาเทียบการบินของแมลงกับการรวงของ
ใบไมเราอาจรูสึกวาการบินไปบินมาของแมลงนั้นเสรีกวาการรวงของใบไม และแมลงสามารถเลือกได แต
สกินเนอรอธิบายวาสองปรากฏการณนี้ไมตางกัน การเคลื่อนที่ทุกการเคลื่อนที่สามารถทํานายไดหากรูแรง
ที่เปนสาเหตุไดอยางครบถวนแมนยํา สสารที่เคลื่อนที่เปนไปตามกฎฟสิกสและแมลงก็เปนสสารที่เคลื่อนที่
หลักการเดียวกันนี้ใชอธิบายการกระทําของมนุษยได ไมวาเราจะซับซอนเพียงไรเราก็อยูใตกฎฟสิกส
เชนเดียวกับแมลงและใบไม พฤติกรรมของเราซับซอนกวาแมลง แตแมลงก็ซับซอนกวาใบไม เสรีภาพเปนเรื่อง
ที่เราเขาใจผิดเชนเดียวกับที่เขาใจวาแมลงมีพฤติกรรมตางกับใบไม
8. ซารท (Sartre)1
กับเสรีภาพในการเลือก
ซารทเชื่อวาไมมีลัทธิบงการใด ไมมีใครบงการเรา เราเปนผูตัดสินใจเอง เราไมอาจโทษพระเจา ใคร ๆ
หรือแมแตสภาพแวดลอม เราเปนเชนนี้ก็เพราะเราทําใหตัวเราเปน เรามีเสรีภาพและจะตองรับผลแหงเสรีภาพ
ตองรับผิดชอบตอการตัดสินใจและเผชิญกับผลของการตัดสินใจนั้น เพราะเสรีภาพของมนุษยมิใชวาจะดี
เสมอไป ใหผลรายก็มี ไมวาเราจะชอบหรือไมก็ตามมนุษยก็ถูกสาปใหเปนอิสรเสรี
การที่ซารทใชคําวา “ถูกสาป” ก็เพราะเสรีภาพยอมทําใหเกิดความวิตกกังวล ยิ่งรูวาเรามีเสรีภาพ
อยางไมจํากัดขอบเขตก็ยิ่งไมอาจพนความกังวลได เสรีภาพนํามาซึ่งการเลือกที่ใหผลที่นากลัว เรามิไดตัดสิน
เพื่อตัวเราเพียงลําพัง แตเพื่อผูอื่นดวย รวมถึงเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล
การเปนอิสระเทากับการตกอยูในสภาพหนีเสือปะจระเข ถาเรารูเราจะไมมีความสุขไปตลอดกาล
การมีชีวิตอยูก็เปนการฝนนับแสนนับลานและมุงไปขางหนาเพื่อจะใหตัวเราสมบูรณ คนทุกคนตางก็ปรารถนา
จะเปนอยางพระเจา แตเราก็รูวาเราเปนสิ่งจํากัดและความจํากัดนั้นทําลายเรา แตเราก็ยอมรับไมไดและตอง
แขงขันตอสู ตองฝนแมจะรูวาเปนฝนที่ไรประโยชนก็ตาม
การที่เราตองทําเชนนั้นก็เพราะไมมีทางทําอยางอื่น เพราะการมีอยูเปนอยูก็คือการเปนอิสระ และ
การเปนอิสระก็คือการที่ตองกระทํา ตองริเริ่ม ตองเลือก ตองตัดสินใจ ตองมีฝนที่ไมเปนจริงและไมสมหวัง
เราตองทําในสิ่งที่เรารูอยูแลววาไมสามารถจะทําได
ซารทพยายามใหเราเห็นวาเราอยูในโลกซึ่งขัดแยงอยางปราศจากเครื่องนําทางบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม
ก็สัมพัทธ สังคมก็บาบอคอแตก ไมมีพระเจาจึงไมมีอาณัติอะไรที่จะเปนระเบียบแกชีวิต ไมมีอะไรที่เปน
ความหมายของชีวิต ไมมีเงื่อนไขใด ๆ ในอดีตที่จะใหเราประณามที่ทําใหเราเปนเชนนี้ ไมมีแมแต “ธรรมชาติ
ของมนุษย” ที่ชวยใหเราบอกไดวาตัวเราคืออะไร ไมมีอะไรที่จะชวยเรา เนื่องจากพอเรารูวาเราคืออะไร เราก็
ตองรับผิดชอบในทุกสิ่งที่เราเปนและเราทํา เราอาจเขารวมการชุมนุมและจิตใจของเราเปนไปตามพฤติกรรม
กลุม ซึ่งไมใชตัวเรา แตการตัดสินใจเขารวมชุมนุมก็เปนการตัดสินใจของเรา และตองรับผิดชอบตอการ
1
Jean Paul Sartre นักปรัชญา Existentialism ของฝรั่งเศส
71
ตัดสินใจนั้น ไมวาสถานการณใด ๆ เราลวนแตตัดสินใจและตองรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อใดที่รูตัวเมื่อนั้นตอง
รับผิดชอบ ในแตละขณะที่เรารูสึกตัวเรามีเรื่องที่จะตองเลือกนับไมถวน เรื่องที่จะตองคิด ความรูสึก เรื่องที่
ตองทํา มีเรื่องมากเสียจนทวมทับตัวเรา และเพราะเหตุนี้บางครั้งเราจึงคอยไปสูความเปนพวกลัทธิบงการ
เราทําใหตัวเราเชื่อวามีขอบเขตซึ่งเราละเมิดมิได และเรามิไดเปนอิสระอยางแทจริง เรามิไดถูกกําหนดใหคิด
รูสึก หรือทําอยางนั้นอยางนี้ ไมไดถูกสังคม ศาสนา กฎหมายหรือมโนธรรมบงการ การโทษสิ่งเหลานี้ก็คือ
การถอยหนีจากเสรีภาพ ความจริงแลวเราทําไดทั้งหมด แตเนื่องจากเสรีภาพทําใหเรากลัว เราจึงยอมรับ
ขอจํากัดตาง ๆ ที่อางกันอยู
เราจะเห็นไดวาตามทรรศนะของซารทเสรีภาพไมขึ้นอยูกับการมีจิตที่จะตัดสินไดอยางอิสระ และยิ่ง
ไมขึ้นกับกฎใด ๆ ทางวัตถุอยางที่พวกลัทธิบงการคิด แตทุกขณะมนุษยเลือกและตัดสินใจอยางอิสระ ไมอยูใต
กฎวัตถุ และไมตองมีหลักศีลธรรมตายตัวใด ๆ เปนเครื่องยึดถือทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษยเปนเชนนั้น
จะไมเปนก็ไมได
72
73
บทที่ 5
ชีวิตที่ประเสริฐ
ในปจจุบันเรามักพูดถึง”คุณภาพชีวิต” หรือพัฒนา”คุณภาพของมนุษย” แตก็มักเขาใจไมตรงกัน
นักศาสนานึกถึงคนที่มีศีลธรรมและการแสวงหาความสงบทางใจ นักเศรษฐศาสตรมักนึกถึงแรงงานในการ
ผลิตที่มีความรูความสามารถในการสรางและใชเทคโนโลยี นักการเมืองอาจนึกถึงคนที่มีความรูและจิตใจ
เปนนักประชาธิปไตย นักธุรกิจนึกถึงผูที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ นักพัฒนาชนบทอาจนึกถึงความ
พรอมมูลในเรื่องความจําเปนพื้นฐานของชีวิต คือมีกินมีใชไมขาดแคลน แตละฝายตางก็มีความคิดเกี่ยวกับ
ชีวิตที่มีคุณภาพแตกตางกันซึ่งทําใหนโยบายเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตไมเคยประสบความสําเร็จอยางแทจริง ความ
แตกตางนี้มีมาแลวแตโบราณ มนุษยเขาใจและปรารถนาชีวิตที่ดี แตชีวิตที่เปนยอดปรารถนาของเขาไม
เหมือนกัน ไมมีความเห็นที่เปนเอกฉันทในเรื่องนี้ แตถึงกระนั้นชีวิตที่ดีที่สุดหรือชีวิตที่ประเสริฐก็มีอยูไมกี่แบบ
1. ลัทธิสุขนิยม (Hedonism) : ความสุขทางกายเปนยอดปรารถนา
คนทุกคนจําเปนตองบริโภคและอุปโภคเพื่อรักษารางกายใหมีสุขภาพดี หาไมจะเกิดความทุกขทาง
กายเชน ทุกขทรมานหรือเกิดโรคภัยไขเจ็บ ปจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย และยารักษาโรค จึง
เปนความจําเปนของมนุษย และมนุษยสวนมากเห็นวาสิ่งเหลานี้เปนความสุขทางกายอันนาปรารถนา
ความสุขทางกายดังกลาวทําใหมนุษยดํารงชีวิตอยูได แตมนุษยไมเพียงตองการ “อยูได” ยัง
ปรารถนาที่จะ “อยูดี” “อยูดีกินดี” นั้นตางกับ “พอมีพอกิน” มนุษยสวนมากหวังที่จะอยูดีกินดี มนุษยไมเพียง
ตองการมีอาหารแตตองการอาหารดี ๆ อาหารหลากหลายชนิด ดังที่กลาวกันวารายการอาหารของฮองเตจีน
นั้นมีถึงพันกวาอยาง เครื่องนุงหมซึ่งตามความจําเปนใชเพื่อกันรอนกันหนาวและปกปดอวัยวะเพื่อกันความ
ชั่วรายซึ่งเปนมาแตสมัยโบราณ ในสมัยปจจุบันก็กลายเปนการแตงกายประกวดประขันกันในดานความ
งาม ความแปลกตา ตกแตงประดับประดา บางคนมีเสื้อผานับพันชุด รองเทานับพันคู
ความสุขทางกายไดแกความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความสุขทางประสาทสัมผัสของ
มนุษยนั้น มนุษยแตละยุคสมัยไดสรางสรรคขึ้นและพัฒนาใหซับซอนประณีตตอบสนอง “ความพึงพอใจ”
ทางกายจนนับไมถวน และความสุขเหลานี้ก็ไดกลายเปนยอดปรารถนาของมนุษยสวนมากในปจจุบัน ความ
สะดวกสบายที่เราใชจายเงินอยางมากมายเพื่อซื้อหามาบริโภคกันอยูทุกวันนี้ก็คือความสุขหรือความพึงพอใจ
ทางกาย
ความสุขทางกายนี้เปนความคิดในระยะเริ่มแรกของมนุษย ในคัมภีรฤคเวทซึ่งเปนหลักฐานที่เกาแกราว
1500 – 1600 ป กอนคริสตศักราชปรากฏวาการสวดออนวอนเทพมักเปนไปเพื่อใหไดความสุขทางกาย แม
คําบรรยายวิมานของเทพเชนพระวรุณก็เปนที่ที่บริบูรณดวยความสุขทางกาย กลาวคือสวรรคเปนที่ที่มีความสุข
ทางกายอยางเพียบพรอม แมจะมีแนวคิดเรื่องความดีความชั่วแตผลตอบแทน การทําดีทําชั่วก็เปนเรื่องการ
ไดรับความสุขทางกายหรือการตองรับเคราะหรายและโรคภัยไขเจ็บ
74
การที่มนุษยเห็นความสุขทางกายเปนเรื่องสําคัญนี้เปนเรื่องปกติเพราะคนเรายอมรูจักสิ่งที่ปรากฏ
ตอประสาทสัมผัสกอนสิ่งที่เปนนามธรรมเชนเรื่องจิต แมสิ่งเหนือธรรมชาติที่เชื่อกันในระยะแรก ๆ ก็มีลักษณะ
เปนมนุษยเชนมีรูปรางหนาตาอยางมนุษยและกระทําตามอารมณอยางมนุษย เทพเจาของกรีกและอินเดีย
เปนตัวอยางของเทพเจาแบบนี้ซึ่งเรียกวาแบบมนุษยสัณฐาน (anthropomorphic)
2. อัตนิยม egoism
ความสุขทางกายที่มนุษยปรารถนานั้น โดยทั่วไปยอมปรารถนาเพื่อตนเอง หรือเครือญาติของตน
เผาพันธุของตน คือเปนแนวคิดที่มองตนเปนหลัก (egocentrism) ซึ่งในที่สุดก็คือยึดตัวตนของแตละคนเปน
สําคัญ หรือเปนลัทธิที่เห็นแกตนเปนที่ตั้ง เรียกวาอัตนิยม
ความคิดแบบอัตนิยมที่เนนความสุขทางกาย (egoistic hedonism) นี้เปนความคิดที่มีมากที่สุด
ในตัวมนุษยแมกระทั่งในปจจุบัน ทั้งนี้เพราะความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติของมนุษย แมทรรศนะที่ให
ความสําคัญแกคุณธรรมเชนศาสนาตาง ๆ ก็ยอมรับวามนุษยมีความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติฝายต่ํา
คนทั่วไปที่เห็นวาความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติมักจะถือวาความเห็นแกตัวเปนสิ่งปกติหรือเปนสิ่ง
ที่ดี อัตนิยมแบบที่หยาบและไมรอบคอบก็คืออัตนิยมแบบที่ไมคิดหนาคิดหลัง คือฉวยเอาความสุขเฉพาะ
หนาโดยทันที คนที่ขาดความรูหรือสติปญญาจะเปนอัตนิยมแบบนี้ไดงาย แตคนทั่วไปที่ฉลาดกวามักจะ
คํานึงถึงความสุขในระยะยาว และความสุขที่ไมมีผลรายตามมา คือเปนอัตนิยมที่มองภาพไกลและรอบคอบ
อัตนิยมแบบนี้อาจยอมยากลําบากหรือยอมทําเพื่อผูอื่นแตในระยะยาวแลวก็มุงความพึงพอใจของตนเปนที่ตั้ง
อัตนิยมอาจจะดูไมเปนอันตรายและดูเปนธรรมชาติของมนุษย นักอัตนิยมมักจะอางวาการเห็นแก
ตัวไมเสียหายอะไรหากไมทําใหใครเดือดรอน แตโดยปกติแลวคนที่เห็นแกตัวก็ยอมคิดเขาขางตัว และเห็นการ
เอาเปรียบ การใชผูอื่นเปนเครื่องมือหรือเปนบันได จนถึงการทําใหผูอื่นขาดโอกาสหรือเดือดรอนเปนเรื่องปกติ
ดังเชนพวกลัทธิดารวิน (Dawinism) ที่ถือกฎธรรมชาติแบบปลาใหญกินปลาเล็กวาเปนกฎที่เปนธรรม ในที่สุด
นักอัตนิยมแบบเห็นแกตัวก็ไมอาจทําตามหลักการที่วาไมทําใหไดเดือดรอนไดจริงดังอาง สังคมที่แกงแยง
เบียดเบียนกันในขณะนี้ก็เปนดวยเหตุผลดังกลาว แมการเมืองและกฎหมายก็มักมีอิทธิพลของแนวคิดนี้รวม
อยูดวย สังคมจึงมีผูดอยโอกาสอยูมาก
3. ลัทธิประโยชนนิยม (utilitarianism)
ลัทธิประโยชนนิยมเปนลัทธิสุขนิยมประเภทหนึ่ง แตเปนลัทธิที่มิไดเอาความสุขของตนเปนที่ตั้ง
อยางลัทธิอัตนิยมประเภทตาง ๆ ดังกลาวมาแลว นักประโยชนนิยมใชคําวา utility ซึ่งเนนการเปนประโยชน
ใชสอยซึ่งก็เปนเรื่องเกี่ยวกับความสุขทางกายหรือทางประสาทสัมผัสเพราะวาในที่สุดแลวลัทธินี้ถือวาโดยธรรมชาติ
มนุษยแสวงหาความพึงพอใจ (pleasure) และเลี่ยงความเจ็บปวดทุกขทรมาน (pain) หลักการสองหลักการ
นี้เทานั้นที่ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของมนุษยอยู หมายความวา มนุษยเปนไปตามหลักการนี้และ
ดําเนินชีวิตโดยอาศัยหลักการนี้
75
แมวาพวกประโยชนนิยมจะยึดหลักการแบบสุขนิยม แตมิไดถือเอาประโยชนสวนตัวเปนจุดหมาย
เพราะเปนสิ่งที่มิไดใหประโยชนสูงสุด บางครั้งยังกลับเปนภัยแกสวนรวม ซึ่งในที่สุดภัยนั้นก็จะสะทอนกลับมา
หาตน นักประโยชนนิยมเห็นวาการกระทําที่ดีที่สุดก็คือการการะทําที่ใหประโยชนมากที่สุด และประโยชนที่
มากที่สุดก็คือประโยชนที่เกิดแกคนจํานวนมากที่สุด มิใชแกตนเอง หลักประโยชนมากที่สุดแกคนจํานวน
มากที่สุดนี้เรียกวา หลักมหสุข (The Greatest Happiness Principle)
หลักมหสุขเปนหลักสุขนิยมแบบรอบคอบชนิดหนึ่งคือคิดในภาพรวมของสังคม เพราะคนเราตอง
อยูในสังคม สุข ทุกขของแตละคนมีสวนกระทบสังคม และสุขทุกขของทั้งสังคมก็กระทบสุข ทุกขของคนแต
ละคนหรือปจเจกชน (individual) หากใชความสุขของปจเจกเปนหลักก็จะเกิดลัทธิเห็นแกตัวที่ทุกคนเอา
เปรียบกันและเอาเปรียบสวนรวม ทรัพยากรสวนรวมก็จะถูกทําลายอยางรวดเร็ว คนแตละคนก็จะเอาเปรียบกัน
จนคนไดโอกาสร่ํารวย สวนคนดอยโอกาสยากจนและทุกขแสนสาหัส ในที่สุดก็จะเกิดการตีชิง วิ่งราว ลัก ปลน
และอาชีพทุจริตตาง ๆ สังคมก็หาความปลอดภัยไมได หาความสุขและความมั่นคงไมได สภาพเชนนี้ยอม
นําไปสูความหายนะและสังคมแตกสลาย แลวในที่สุดปจเจกชนก็หาความสุขไมได
หลักมหสุขจึงคํานึงถึงการแจกจายความสุขหรือประโยชนไปสูสวนรวมคือคนจํานวนมาก แตละคน
อาจไดไมมาก แตมากที่สุดเทาที่เปนไปไดเมื่อคิดถึงคนจํานวนมากที่สุดที่พึงได การเฉลี่ยความสุขนี้ถาคิด
แบบวิทยาศาสตรก็คือตองหาหนวยวัดความสุขและนํามาคิดในเชิงปริมาณ คือ คิดคํานวณดวยคณิตศาสตร
แบบเดียวกับการวัดเชิงปริมาณในวิชาวิทยาศาสตร นักปรัชญาชื่อ เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham) ก็
พยายามทําเชนนั้น แตก็ไมสําเร็จ เพราะเปนการยากที่จะกําหนดหนวย เนื่องจากสิ่งที่ใหความสุขมีมาก
หลากหลาย และความสุขที่ไดก็ไมเหมือนกัน ยิ่งถาคิดในเรื่องคุณภาพของความสุขดวยก็ยิ่งวัดยาก เชน
ความสุขจากการกินอาหารอรอย กับความสุขจากการฟงเพลง จะเทียบกันอยางไร การพูดถึงปริมาณมากนอย
ในที่นี้จึงคอนขางเปนความเห็นสวนตัว เชน มีขนมชิ้นหนึ่งแบงกันกิน 4 คน ก็จะมีคนอรอย 4 คน ความ
อรอยก็อาจใกลเคียงกัน กรณีนี้อาจพอยอมรับไดวาดีกวากินคนเดียวและอรอยคนเดียว แตถาแบงเปนชิ้น
เล็กมากเพื่อใหคน 100 คนไดกินอาจไมเหลือความอรอยเลย ควรแบงขนมนี้เปนกี่ชิ้นจึงจะอรอยมากที่สุด
แกคนจํานวนมากที่สุด คงจะบอกไดยาก
แมวาการคิดคํานวณความสุขอาจจะยากหรือทําไมได แตการคํานึงถึงคนจํานวนมาก ก็ทําใหคน
อยูรวมกันไดดีกวาความคิดแบบอัตนิยมและทําใหสังคมถาวรกวา มีความสุขที่ยั่งยืนกวา
4. ความสุขที่จํากัดกับความสุขที่ไมจํากัด
ความสุขทางกายหรือความสุขทางประสาทสัมผัสอาจจะแบงไดเปน 2 ประเภทคือ ความสุขที่จํากัด
ไดแกความสุขที่มีการหมดสิ้นไปตามปริมาณของการบริโภค เชน อาหาร เมื่อคนบริโภคก็ลดจํานวนลงตาม
ปริมาณการบริโภค หากมีนอยเมื่อคนหนึ่งบริโภคหมด คนที่เหลือก็ไมไดบริโภค คนเราจึงแกงแยงแสวงหา
ความสุขชนิดนี้ เชนเงินเปนสิ่งที่มีอยูจํากัด คนเราจึงแยงกันหาเงิน
76
นอกจากความจํากัดในแงจํานวนแลวบางสิ่งยังจํากัดในแงที่เปนสิ่งเฉพาะ ที่จริงสิ่งทุกสิ่งลวนเปน
สิ่งเฉพาะทั้งสิ้นเชน กระดาษ 2 แผน ไมเหมือนกันแมจะดูเหมือนกัน เพราะประกอบขึ้นดวยเยื่อกระดาษคน
ละชุด ความหนาแนนของเยื่อกระดาษก็ไมเทากัน ความหนาบางเมื่อวัดดวยไมโครมิเตอรจะตางกัน แมวา
กระดาษ 2 แผนนี้จะใชงานแทนกันไดแตก็เปนกระดาษคนละแผน
คนเราตองการสิ่งที่ตางจากคนอื่น ดังนั้นจึงตองการสิ่งเฉพาะ สิ่งบางสิ่งเปนสิ่งเฉพาะที่ไมอาจแทน
กันได เชน คนรัก ไมอาจใชคนอื่นแทนได สินคาที่ขายในตลาดตองออกแบบและทําใหตางกันก็เพื่อใหเปนสิ่ง
เฉพาะ สินคาบางรายการทําเพียงชิ้นเดียวก็เพื่อใหเปนสิ่งเฉพาะ ซึ่งจะขายไดราคาสูงกวาสินคาที่ผลิตเหมือน ๆ
กันและใชแทนกันได สิ่งเฉพาะดังกลาวนี้ก็เปนสิ่งจํากัด เปนความสุขที่เมื่อคนหนึ่งไดไปคนอื่น ๆ ก็จะไมได
ความสุขอีกประเภทหนึ่งเปนความสุขที่ไมจํากัดคือไมลดปริมาณลงเมื่อบริโภค เชน ความสุขจาก
การฟงเพลงไพเราะ ทุกคนสามารถมีความสุขไดโดยความสุขนั้นมิไดลดลงตามจํานวนคนฟง ความสุขจาก
การสรางจินตนาการก็มีไดทุกคนโดยไมรบกวนใคร ความสุขจากการทําความดีเชนอุทิศเวลาวางทําประโยชน
แกสวนรวม เหลานี้เปนความสุขที่ไมจํากัด
เราจะเห็นไดวาความสุขที่ไมจํากัดนี้มีลักษณะเปนนามธรรมเพราะนามธรรมเปนสิ่งไมจํากัดในเชิง
ปริมาณ การหาความสุขที่เปนนามธรรมจึงเปนการหาความสุขที่ยั่งยืนและบริบูรณกวาการหาความสุขที่เปน
รูปธรรม
5. ความสุขภายนอกตัวกับความสุขภายในตัว
5.1 ความสุขภายนอก (External happiness)
ความสุขทางกายหรือความสุขทางประสาทสัมผัสดังไดกลาวมาแลวเปนความสุขที่เกิดจากสิ่ง
ภายนอกตัวคือวัตถุแหงประสาทสัมผัส(object of sensation) มาสัมผัสประสาทรับสัมผัสของเรา ทําใหเกิด
ความพึงพอใจ ความเอร็ดอรอยทางประสาทสัมผัส เกิดขึ้นเปนครั้ง ๆ ความพึงพอใจใดที่ติดอกติดใจก็จดจํา
และแสวงหาใหมใหมีปริมาณมากขึ้นและมีรูปแบบที่ซับซอนประณีต หรือพลิกแพลงมากขึ้น ไมมีที่สุดทั้งใน
ดานปริมาณและความแปลกใหม กระตุนเราใหจิตอยากและดิ้นรนหาความสุขเชนนั้นอยูตลอดไป คนทั่วไปที่
ประกอบกิจกรรมตาง ๆ สวนใหญก็เปนไปเพื่อจะบริโภคความสุขแบบนี้ คนเราแกงแยงโอกาสทางวัตถุชื่อเสียง
เกียรติยศเงินทอง ก็เพื่อจะไดบริโภคความสุขแบบนี้และมีศักยภาพที่จะบริโภคความสุขแบบนี้ใหนานมากที่สุด
และอยางมั่นใจวาจะไมขาดแคลนในอนาคต รวมถึงเผื่อแผไปสูคนใกลชิด การแสวงหาความสุขทางกายมี
ขอเสียบางหรือไม ผูที่ไมเห็นดวยกับการแสวงหาความสุขทางกาย เชน อริสโตเติล นักมนุษยนิยม
นักศาสนา และศิลปน อาจมีขอแยงดังนี้
1. ความสุขทางกายมิไดเปนความสุขชนิดเดียวที่มนุษยควรแสวงหา ยังมีความสุขชนิดอื่น เชน
ความสุขจากการไดชื่นชมงานศิลปะ ความสุขจากการทําความดี เชน เสียสละเพื่อสวนรวม หรือการทําให
77
คนเปลี่ยนจากการเปนคนชั่วมาเปนคนดี การมีความสุขทางกายกับการเปนคนดีหรือการเปนคนมีความสุข
ที่แทเปนคนละเรื่อง
2. แมคนเราจะชอบความสุขทางกายและชื่นชมคนที่ร่ํารวยและมีความสุขเชนนั้น แตเราก็มักไมได
สรรเสริญคนเพราะความร่ํารวย หากเขาไมทําความดีอยางอื่น เชน ชวยสังคม และเรามักจะไมสรรเสริญหาก
คนรวยนั้นหากเขารวยเพราะคดโกงหรือเอาเปรียบขูดรีดคนและสังคม ซึ่งแสดงวาคุณสมบัติอื่นสําคัญเทา
หรือสําคัญกวาความร่ํารวยซึ่งจะนําความสุขทางกายมาให
3. ความสุขทางกายเปนสิ่งจํากัดมีการไดมาและการเสียไป การไดมาแมทําใหมีความสุขแตก็เปน
หวงกังวลวาสิ่งที่ไดมานั้นจะตองเสื่อมหรือเสียไป มีความกลัวตาง ๆ นาน ๆ เมื่อคิดถึงอนาคตของสิ่งอันเปน
ที่รักซึ่งตนครอบครองอยูและรูวาไมอาจดํารงอยูอยางถาวรได เราควบคุมไมไดเพราะความสุขเขาเหลานั้น
ขึ้นกับปจจัยอื่น ๆ ดวย มิไดขึ้นเฉพาะกับตัวเรา
4. การแสวงหาความสุขทางกายซึ่งเปนของชั่วคราวนั้น ทําใหตองแสวงหาอยูเสมอเพื่อทดแทน
ของเดิม และเพิ่มสิ่งที่ใหมกวาประณีตกวา ความตองการของตนจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไมมีวันพอ ชีวิตจึงตอง
ดิ้นรนแสวงหาอยูตลอดเวลา ตองคิดตอสูแยงชิงกับคนอื่น ๆ ซึ่งทําใหเกิดขอแยงตัวเองคือ
4.1 ยิ่งหาความสุขมากก็ยิ่งเหน็ดเหนื่อยทุกขยากมาก
4.2 ยิ่งแสวงหามากก็ยิ่งใชเวลาในการแสวงหามากจนไมมีเวลาเสพความสุขที่ตนแสวงหา
4.3 ยิ่งแสวงหาความพึงพอใจทางกาย ยิ่งทําลายรางกาย รางกายจึงทรุดโทรมและรับความ
พึงพอใจไดนอยลงไปเรื่อย ๆ
ดวยเหตุดังกลาวหากไมมีคุณธรรมอื่นเชนความรูจักประมาณ หรือรูจักความพอเหมาะพอดีใน
การแสวงหาและการบริโภคแลวก็จะเกิดทุกขมากกวาสุข
5. เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตรความสุขมิใชความดีที่ทําใหสังคมอยูรอด ตรงขามสังคมที่
ใหความสําคัญแกความสุขทางกายมากๆในที่สุดจะลมสลายเชนจักรวรรดิโรมันขยายจากเมืองเล็กๆจนเปน
จักรวรรดิใหญโตไดก็เพราะคุณสมบัติอื่น เชน ความอดทน ความขยัน ความเขมแข็ง ความผอนหนักผอนเบา
ความกลาหาญ แตเมื่อเปลี่ยนมาเปนจักรวรรดิที่เต็มไปดวยการแสวงหาความสุขทางกายก็กลับออนแอลง
และตองลมสลายไปในที่สุด
ประเทศที่บริโภคความสุขทางกายในปจจุบันสวนมากกําลังไปสูความหายนะเพราะทรัพยากรหมดไป
เร็ว เชนประเทศไทยในเวลาเพียง 50 ป เราบริโภคทรัพยากรปาไมจนเกือบหมดประเทศ ประเทศที่ยังดํารงอยู
ไดก็ตองขูดรีดประเทศอื่นซึ่งทําใหทรัพยากรในประเทศที่ถูกขูดรีดหมดเร็วขึ้น ในที่สุดทรัพยากรทั้งโลกก็จะ
ถูกใชหมดไป โดยที่สรางใหมไมทัน ไมอาจสรางได หรือฟนฟูไดแตตองเสียคาใชจายมากซึ่งก็คือเสีย
ทรัพยากรที่จะนํามาใชฟนฟู
ความสุขทางกายจําเปนสําหรับมนุษย แตตองหาเทาที่จําเปนหากบริโภคเกินมากเพียงไรก็จะนําไปสู
ความหายนะเร็วขึ้นเพียงนั้น
78
6. ความปรารถนาความสุขทางกายเปนความอยาก และความอยากไมมีที่สิ้นสุด มีแตจะเพิ่ม
ปริมาณ คุณภาพความซับซอนความแปลกใหมเรื่อยไปเมื่อหาไดตามความอยากก็อยากตอไปอีกเมื่อหาไมได
ก็เปนทุกขและดิ้นรนเพื่อจะหาใหได ซึ่งทําใหตัวตองเดือดรอน สุขเมื่อไดแลวก็ทุกขเพราะอยากตอไปอีก เปน
เชนนี้เรื่อยไป เหมือนคนที่วิ่งไปขางหนาไมมีวันหยุดจนกวาจะสิ้นชีวิต แสวงหาความสุขที่อยูขางหนาโดย
ไมรูวาแทจริงความสุขนั้นมีอยูในตัว
5.2 ความสุขภายใน (Internal happiness)
สุขอยูที่กายหรือสุขอยูที่ใจ คําถามนี้ถาเปนพวกสุขนิยมจะตอบวาสุขอยูที่กาย ถาเราสุขกายใจเรา
ก็สุข ถากายเราทุกขใจเราก็ทุกขดวย ใจขึ้นกับกาย แตเรื่องนี้เปนความจริงหรือไม กายสุขแตใจทุกข หรือ
กายทุกขแตใจสุขมีหรือไม คนที่ร่ํารวยมีทรัพยสมบัติมากมายก็มีความทุกขไดเชน กลัวราคาหุนตก กลัว
เศรษฐกิจผันผวน กลัวกิจการที่ดําเนินการอยูถูกกระทบดวยปจจัยดานลบ ฯลฯ ความสุขทางวัตถุที่แวดลอม
ตัวอยูไมอาจทําใหปญหาทางใจ เชน ความเครียด ความกังวล ความคับของใจ ความกลัว ความโกรธ ความ
มุงราย ความทอแท ฯลฯ หมดไป ความทุกขทางใจเหลานี้มาจากเรื่องทางวัตถุซึ่งผูแสวงหาไมอาจควบคุม
ใหอยูในวิสัยที่ตนตองการ และตองแกงแยงแขงดีกับผูอื่น แมกระทั่งตองทําทุจริตตาง ๆ ซึ่งอาจทําความ
เดือดรอนมาสูตนและครอบครัวในภายหลัง
ความสุขทางวัตถุถาแสวงหาตามความจําเปนเพื่อการบริโภค เพิ่มพูนเพื่อเผื่อแผแกผูดอยโอกาส
และแกสังคมและเปนการแสวงหาโดยสุจริตแลว แมจะเหน็ดเหนื่อยและตองอดทนก็อาจเกิดความทุกขดังกลาว
ไมมากนัก แตลําพังความสุขทางวัตถุยังเปนความสุขตอรางกายภายนอก ยังไมทําใหเกิดความสุขทางใจอัน
เปนความสุขภายในซึ่งเปนความสุขที่ไมตองเชื่อมโยงกับสิ่งภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอันทําใหสุขบางทุกขบาง
ตามสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป ความสุขไมจําเปนตองมาจากการรับความรูสึกทางประสาทสัมผัส ความสุข
จากความสงบเชนการนอนหลับสนิทบางครั้งก็เปนความสุขยิ่งกวาความสุขทางประสาทสัมผัส ถาใจสงบจาก
ความทุกขที่มาจากรางกาย และความทุกขที่มาจากจิตใจได ความพนทุกขนั้นคือความสุข และเปนความสุข
ที่ไมนําความทุกขใด ๆ มาให ความพนจากทุกขจึงเปนความสุขที่แท และเปนความสุขที่คนเราแสวงหาได
ดวยการรูเทาทันสภาวะของวัตถุ กายและจิต และฝกอบรมจิตใหสามารถจัดการกับเรื่องดังกลาวไดอยาง
พอเหมาะพอดี ความสุขภายในที่เกิดจากการรูและทําตนใหพนทุกขนี้มีชื่อเรียกตาง ๆ กัน เชน ชีวิตพระเจา
สภาวะพระเจา ไกวัล นิพพาน วิมุตติ
5.2.1 ความสุขภายในตามศักยภาพโดยธรรมชาติของมนุษย : ชีวิตแหงปญญา
คนแตละคนมีสวนที่เหมือนกับคนอื่นและสวนที่ตางกับคนอื่น เชนเดียวกับที่คนมีบางสวนเหมือน
สิ่งมีชีวิตอื่นและสวนที่ตางกับสิ่งมีชีวิตอื่น ความสุขของคนจึงตางกับพืชและสัตว และความสุขของคนคน
หนึ่งก็ตางกับของคนอื่น ๆ
79
นักปรัชญากรีกโบราณมีความเห็นวา แมแตละคนจะตางกันก็พอแบงเปนประเภทตามธรรมชาติ
ซึ่งเปนองคประกอบสวนใหญของคนเหลานั้นได นักปรัชญากรีกโบราณคนสําคัญคือ เปลโต (Plato) ไดแบง
คนเปน 3 ประเภท ดังนี้
“วิญญาณของคนที่กระหาย เมื่อกระหายยอมไมตองการอะไรนอกจากเครื่องดื่มใฝหา
แตเครื่องดื่มและแรงกระตุนก็เปนไปในดานนั้น”
“ถูกแลว”
“ดังนั้นถาจะมีอะไรที่มาฉุดวิญญาณไวเมื่อกระหาย สิ่งที่มีอยูในวิญญาณนั้นก็ยอม
ตางกับความกระหาย ซึ่งเหมือนดังสัตวปาที่ขับวิญญาณไปหาเครื่องดื่ม เพราะสิ่งเดียวกัน
สวนเดียวกันยอมไมอาจกระทําสิ่งที่ตรงกันขามไดในเวลาเดียวกัน”
“ยอมจะทําอยางนั้นไมไดแน”
“ดังนั้นขาพเจาคิดวาการพูดวานายธนูใชมือโกงและเหนี่ยวคันธนูพรอม ๆ กันยอมไมถูก
แตนาจะพูดวาใชมือขางหนึ่งโกงอีกขางหนึ่งเหนี่ยวจึงจะถูก”
“เปนดังนั้น”
“ถาอยางนั้นเราจะพูดไดไหมวาคนบางคนบางทีก็ไมยอมดื่มแมวาจะกําลังกระหาย”
“ได และพูดกันอยูบอย ๆ “
“ถาอยางนั้นเทากับคนเรายืนยันอะไรในเรื่องนี้ ไมหมายความวามีอะไรบางอยางใน
วิญญาณที่สั่งใหเขาดื่มและมีอีกอยางหนึ่งคอยหาม เปนสิ่งซึ่งแตกตางกับสิ่งที่สั่งนั้นและเปน
นายของสิ่งที่สั่งดอกหรือ”
“ขาพเจาวาเปนอยางนั้น”
“การกระทําดังกลาวซึ่งมีอยูในสิ่งใดก็ตาม เมื่อจะปรากฏก็ยอมจะอาศัยการใครครวญ
ดวยเหตุผลเปนตัวสําคัญสวนแรงกระตุนที่ดึงและลากนั้นมาจากความรักใครและโรคภัยใชไหม”
“เปนอยางนั้น”
“การที่เราจะถือวาทั้งสองอยางนั้นตางกัน และเรียกวิญญาณสวนที่คิดและใชเหตุผลวา
ภาคเหตุผลสวนที่รัก หิว กระหาย รูสึกตอความตื่นเตนและความซาบซานของความปรารถนา
อยางอื่นวา ภาคไรเหตุผลและตัณหา ซึ่งผูกพันกับความพึงพอใจและความอิ่มหนําสําราญ
ตาง ๆ ก็ยอมมิใชสิ่งที่ไมมีเหตุผล”
“มิใชเปนสิ่งไรเหตุผล แตเปนธรรมดาที่เราจะคิดไปอยางนั้น” เขาพูด
“ดังนั้นการที่เราจะถือวาแบบสองชนิดมีอยูจริงๆในวิญญาณนั้นเรากําหนดไดแลว ตอไป
คือธูมอส หรือหลักการแหงความมีน้ําใจสูง ซึ่งเปนหลักการที่ทําใหเรารูจักโกรธนั้นจะเปน
ชนิดที่สามหรือมีธรรมชาติเหมือนอยางหนึ่งอยางใดในสองอยางนั้น”
“นาจะจัดไวในพวกตัณหาไดกระมัง”
80
“ขาพเจาเคยไดฟงเรื่องเลาซึ่งขาพเจาเชื่อวาเลออนติอุสลูกชายอะกลาอิออนเมื่อเดินทาง
จากปเรอุส ไปตามดานนอกกําแพงทางดานเหนือ ก็รูวามีศพนอนอยูที่ตะแลงแกงเขาอยากดูแต
รูสึกขยะแขยงและหันหนาหนี เขาหักหามใจและปดหนาเสีย แตดวยความปรารถนาอันรุนแรง
บังคับ เขาก็กลับวิ่งเขาไปหาศพโดยลืมตาจองดูอยูและรองสบถวา เอาไอตัวราย ดูภาพที่
สวยงามนี่เสียใหเต็มตาเลยซิ”
“ขาพเจาก็เคยไดยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน”
“เรื่องที่เลานี้แสดงใหเห็นวาบางครั้ง หลักแหงความโกรธก็ตอสูกับความปรารถนาดังเปน
สิ่งแปลกหนาสูกับสิ่งแปลกหนาเหมือนกัน”
“ถูกแลว” เขาพูด
“และเราไมเห็นดอกหรือวามีอยูบอย ๆ ที่ความปรารถนาบังคับใหคนเราทําการอันขัด
กับเหตุผลจนตองดาตัวเอง และโกรธสิ่งที่อยูในตัวซึ่งมาเปนนายเขา จึงปรากฏวาในสองภาค
นั้นภาคน้ําใจสูงเขาขางเหตุผล”1
ตามขอความขางตนนั้นเปลโตคิดวาวิญญาณของคนเรามี 3 ภาค คือ ภาคตัณหา (appetitive
soul) ภาคน้ําใจ (spirited soul) และ ภาคเหตุผล (rational soul) แตละคนมีวิญญาณทั้ง 3 ภาคอยูในตัว
และจะมีวิญญาณภาคหนึ่งมากกวาภาคอื่น ๆ จึงทําใหคนเรามี 3 ประเภทตามธรรมชาติแหงวิญญาณที่ตน
มีอยูมากที่สุด ผูที่มีวิญญาณภาคตัณหามากกวาภาคอื่นจะมีความปรารถนาสูงสุดคือการบริโภคความสุข
ทางกาย ความสุขทางกายจึงเปนจุดหมายชีวิตของคนพวกนี้ แตเปลโตเห็นวารัฐควรควบคุมใหบริโภคแต
พอดี ผูที่มีวิญญาณภาคน้ําใจเหนือวิญญาณภาคอื่น ๆ จะเปนคนที่รักชื่อเสียงเกียรติยศ เพราะเปนพวกที่มี
อารมณความรูสึกที่รุนแรงพวกนี้ใหความสําคัญแกเกียรติมากกวาเงินทอง ความสุขของพวกเขาจึงไดแก
เกียรติยศชื่อเสียง สวนผูที่มีวิญญาณภาคเหตุผลสูงจะเปนคนที่รักความจริง ความถูกตอง ความเปนเหตุ
เปนผล คนพวกนี้มีความสุขกับการแสวงหาความรู การพัฒนาสติปญญา การไดพัฒนาสติปญญาจึงเปน
ความสุขของคนกลุมนี้ เปลโตเห็นวารัฐที่ดีก็คือรัฐที่ทําใหคนแตละประเภทไดรับความสุขชนิดที่เขาตองการ
อยางพอดี ความสุขตามทรรศนะของเปลโตจึงมีทั้งที่เปนความสุขทางกาย ทางอารมณที่สูงสง และทาง
ปญญา ตามสภาวะอันเปนธรรมชาติของคนแตละคน
อริสโตเติล (Aristotle) ซึ่งเปนศิษยของเปลโตไดนําแนวคิดนี้ไปพัฒนาโดยพิจารณาวาวิญญาณ
ทั้ง 3 ภาคนั้น เมื่อพิจารณาจากชีวิตทั้งหมด วิญญาณภาคตัณหาหรือภาคบริโภคมีลักษณะอยางเดียวกับ
วิญญาณหรือธรรมชาติของพืชซึ่งกินอาหารได สิ่งมีชีวิตประเภทที่ 2 คือ สัตวมีวิญญาณ 2 ภาค คือ กิน
อาหารไดและมีอารมณความรูสึก คือมีวิญญาณของพืชสวนหนึ่ง อีกสวนหนึ่งเปนธรรมชาติของสัตวซึ่งพืช
ไมมี มนุษยนั้นมีวิญญาณ 3 ภาค คือ กินอาหารได มีอารมณความรูสึก และมีเหตุผลหรือปญญา ปญญานั้น
เปนธรรมชาติแทเฉพาะของมนุษยซึ่งพืชและสัตวไมมี ดังนั้นอริสโตเติลจึงเห็นวา ความดีสูงสุด (summum
1
เปลโต อุตมรัฐ (ปรีชา ชางขวัญยืน แปล.) กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 2523, น. 178 – 179.
81
bonum) ของมนุษยก็คือปญญา การพัฒนาไปสูความดีสูงสุดของมนุษยจึงไดแกการพัฒนาใหมนุษยได
บรรลุปญญา ซึ่งก็ทําไดดวยการใหการศึกษาที่สนองความอยากรูอยากเห็นของมนุษยจนถึงที่สุด จากปญหา
บนโลกนี้ไปจนดวงดาวในทองฟา จากความเคลื่อนไหวของสิ่งที่มองเห็นไปจนถึงสาเหตุแหงความเคลื่อนไหว
ทั้งปวง จากโลกนอกตัวเขาไปถึงจิตใจและวิญญาณ จากสิ่งที่ปรากฏไปสูความจริงแทเบื้องหลัง “ความสุข”
ตามทัศนะของอริสโตเติลจึงมิใชความสุขทางกายอันหยาบและเปนของต่ําที่เทียบมิไดกับความสุขจากกิจกรรม
ทางปญญา
5.2.2 ความสุขภายในจากความหลุดพนทางจิต
รางกายทําใหมนุษยแสวงหาความสุขทางวัตถุ แตจิตใจสามารถมองเห็นวาความสุขทางวัตถุนั้น
ไมเพียงพอ จิตใจที่เปยมดวยเหตุผลสามารถคัดคานจิตใจที่พึงพอใจความสุขทางกายไดอยางเชื่อมั่น หากไม
เห็นกระจางดวยเหตุผลแลวคงไมมีคนที่เต็มใจตอสูกับความพึงพอใจวัตถุอยางเอาจริงเอาจัง เพื่อจะใหหลุด
พนจากอิทธิพลของวัตถุที่กอใหเกิดความพึงพอใจนั้น เพราะการทําในสิ่งที่พึงพอใจนั้นยอมงายกวาและเปน
ธรรมชาติกวา การที่คนเราฝนธรรมชาติดังกลาวยอมแสดงใหเห็นวาสิ่งที่เขาแสวงหานั้นเปนจริงและมีคุณคา
ยิ่งกวา สิ่งที่แสวงหานั้นคือความหลุดพนทางจิต
1) การดําเนินชีวิตที่ดีตามทัศนะของศาสนาพราหมณ
ศาสนาพราหมณเปนศาสนาที่นับถือพระเจาเชนเดียวกับศาสนาคริสตและศาสนาอิสลาม จุดหมาย
สูงสุดของชีวิตมิไดอยูในโลกนี้ การดําเนินชีวิตในโลกนี้ก็เพื่อชีวิตที่สมบูรณในโลกหนา ดังนั้นการดําเนินชีวิตใน
โลกนี้จึงเปนการดําเนินชีวิตที่ดี แตเปนชีวิตที่ดีในฐานะเปนหนทางหรือเปนศักยภาพในการบรรลุชีวิตที่สมบูรณ
ภาวะที่หลุดพนจากชีวิตทางโลกนี้อาจเรียกดวยชื่อที่แตกตางกันไปในแตละศาสนาอันเปนความแตกตางทาง
ภาษา เชน ศาสนาคริสตเรียกวาความรอด ศาสนาพราหมณเรียกวา ความหลุดพนหรือวิมุตติ สภาวะอันเปน
จุดหมายสูงสุดทางจิตซึ่งถือวาเหนือกวาความมีปญญาอยางที่อริสโตเติลเชื่อ ในคริสตศาสนาเรียกวาชีวิต
พระเจาในคัมภีรภควัทคีตา เรียกวา นิรฺวาณ เปนตน
ศาสนาฮินดูแบงชีวิตออกเปนวัยตาง ๆ ซึ่งระบุเงื่อนไขในการดําเนินชีวิตไว เรียกวาอาศรม 4 ชีวิต
ในวัยตาง ๆ นี้ก็มีหนาที่อันพึงปฏิบัติตามวัย การปฏิบัติตนตามวัยตาง ๆ นี้เปนการฝกตนเพื่อไปสูจุดหมาย
สุดทายคือความหลุดพนอันเปนความจริงและความดีสูงสุด วัยทั้ง 4 นี้มิไดกําหนดโดยอายุ แมวาจะมีผู
กําหนดโดยอายุ แมวาจะมีผูกําหนดโดยประมาณ เชน ทานพระราชครูวามเทพมุนีกําหนดวา 25 ปแรกของ
ชีวิตเปนพรหมจารี 25 ปถัดมาเปนคฤหัสถ หลังจากนั้นจึงเปนวานปรัสถและสันยาสีก็ตาม
อาศรมแรกเรียกวา พรหมจารีคือ หลังจากทําพิธีสวมสายธุรํา เปนวัยที่มีหนาที่ศึกษาเลาเรียน
คัมภีรพระเวท ในการศึกษาดังกลาวศิษยไปอยูกับอาจารย มีหนาที่ปรนนิบัติรับใชอาจารยในทุก ๆ เรื่อง
อาศรมที่สองเรียกวา คฤหัสถ ในวัยนี้เปนวัยหนุมคือหลังจากจบการศึกษาแลวก็ทําอาชีพการงาน
แตงงาน รับใชครอบครัว รับใชสังคม และประกอบพิธีทางศาสนาเปนประจํา
82
อาศรมที่สามเรียกวาวานปรัสถคือวัยกลางคนเริ่มเขาสูความแกชรา ไมตองทําหนาที่ดูแลครอบครัว
และสังคม เพราะมีลูกชายทําหนาที่แทน เปนวัยที่สละทรัพยสมบัติ และภรรยาใหอยูในความดูแลของลูกชาย
คนโต แลวออกปา บวชเปนฤๅษียังชีพดวยพืชตาง ๆ หรือดวยการดูแลจากคฤหัสถ ประกอบพิธีศาสนา วัยนี้
เปนวัยที่ทําเพื่อตัวเอง แตก็เปนการสละซึ่งมิใชสละตนเพื่อผูอื่นอยางสองวัยแรก แตเปนการสละชีวิตทางโลก
เขาสูชีวิตทางธรรม
อาศรมที่สี่เรียกวา สันยาสี เปนวัยของผูที่อยูปาอยางแทจริง สละความสุขและชีวิตทางโลกทั้งหมด
เลิกการประกอบพิธีกรรม เขาไปในหมูบานหรือเมืองนอยที่สุด บําเพ็ญเพียรทางใจอยางเขมงวด เพื่อมุงความ
หลุดพนคือโมกษะหรือวิมุกติ
เราจะเห็นไดวาชีวิตในวัยเหลานี้อาจแบงไดเปน 2 ระยะ คือ พรหมจารี กับคฤหัสถ เปนระยะที่ยัง
ดําเนินชีวิตทางโลก แตก็เตรียมตัวทั้งความรูและการปฏิบัติตนในทางธรรมดวย เปนการดํารงชีวิตทางโลก
เพื่อตนและผูอื่นที่ตนตองรับผิดชอบชีวิต เพื่อตนและบุคคลเหลานั้นจะมีชีวิตทางธรรมตอไป วานปรัสถกับ
สันยาสีเปนการดํารงชีวิตทางธรรมเพื่อความหลุดพนจากชีวิตทางโลกทั้งทางรางกายและทางใจ ทั้ง 4 วัยนี้
จึงไมมีวัยใดที่ใหมุงแสวงหาความสุขทางวัตถุหรือทางประสาทสัมผัส ชีวิตคฤหัสถซึ่งพรอมสําหรับความสุข
ทางโลกนั้นก็ไมใชเพื่อความสุขของตน แตเพื่อพวกพราหมณและวานปรัสถดวย เพราะตองอุปถัมภคน
เหลานี้ อีกทั้งตองดูแลสังคมดวยการชวยเหลือผูอื่นและการเสียภาษี ชีวิตดังกลาวจึงตรงขามกับสุขนิยม
อยางสิ้นเชิง
ความสุขในทรรศนะของศาสนาพราหมณ
ความสุขในทรรศนะของศาสนาพราหมณตางกับความสุขตามความคิดของพวกสุขนิยมที่ “สุข”หมายถึง
ความพึงพอใจทางกายหรือความเอร็ดอรอยทางประสาทสัมผัส ความสุขเชนนั้นไมยั่งยืนและนําความทุกข
มาให จึงควรหาและบริโภคอยางรูจักประมาณเพื่อใหไดรับความสุขตามที่รางกายตองการ โดยมีความรอบคอบ
มิใหเกิดความทุกขตามมา แตถึงกระนั้นหากคนเราติดความสุขดังกลาวก็จะเปนเหมือนคนติดยาเสพติดคือ ถา
ขาดก็จะเปนทุกข ดังนั้นคนเราจึงไมควรติดความสุขดังกลาว และแสวงหาความสุขที่เหนือกวา ศาสนา
พราหมณกลาวถึงความสุขในระดับตาง ๆ 4 ระดับดังนี้
กาม คือ ความสุขทางรางกาย ทางประสาทสัมผัส เกิดจากการไดบริโภคสิ่งที่ตนพึงพอใจ ทางตา
หู จมูก ลิ้น กาย
อรรถ คือ ความสุขจากการมีทรัพยสินเงินทอง อันเปนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตน ทําใหเกิด
ความมั่นใจในชีวิต มีความภาคภูมิใจในความสามารถที่แสวงหาทรัพยสินเงินทองมาได
ธรรม คือ ความสุขที่เกิดจากการทําหนาที่ตามวรรณะของตนโดยไมอยูในอํานาจบังคับของสิ่ง
ภายนอก เชน สุข ทุกข ดี ชั่ว ลาภยศ สรรเสริญ นินทา ฯลฯ เปนความสุขที่ไดทําหนาที่ซึ่งตนสํานึกอยู
ภายใน อันเปนไปตามอัธยาศัยแหงวรรณะของตน เชน วรรณะกษัตริยมีอัธยาศัยชอบกําลัง ความรุนแรง
83
เกียรติยศ การไดทําหนาที่รบเพื่อความเปนธรรมก็ตรงกับอัธยาศัย และตรงกับหนาที่ตามวรรณะของตน จึง
เกิดความสุขอยางเปนไปตามธรรมชาติ โดยที่การทําตามหนาที่ดังกลาวไมมีความรูสึกโลภ โกรธ หลง ทิฐิ
มานะ เขาไปเกี่ยวของ
โมกษะ คือ การหลุดพนจากอํานาจของความสุขความทุกขทางวัตถุคือความปรารถนาในสิ่งที่ทํา
ใหติดของทั้งปวง เชน ความพึงพอใจทางกาย สิ่งที่เปนของตน ตัวตน เชน ศักดิ์ศรี ทิฐิมานะ ความเห็นวาตัว
ประเสริฐดีงามกวาผูอื่น คือ กิเลสทางกายและใจทั้งหยาบและละเอียด เปนความสุขและความดีอันสูงสุดที่
เปนจุดหมายอันมนุษยทุกคนพึงแสวงหา เปนการกลับไปสูธรรมชาติดั้งเดิมของจิตที่สมบูรณและเปนอันหนึ่ง
อันเดียวกับพระผูเปนเจาคือปรมาตมันสิ้นความหลงผิดและรูชัดในความไมเปนจริงของสิ่งทั้งปวงอันผันแปรได
2) การดําเนินชีวิตที่ดีตามทัศนะของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณมีความสัมพันธกัน เนื่องจากเจาชายสิทธัตถะประสูติ ในสังคม
ที่นับถือศาสนาพราหมณ คําสอนหลัก ๆ เชน เรื่องกรรม การเวียนวายตายเกิด การละกิเลส เปนเรื่องที่มีอยูใน
ศาสนาพราหมณ แตพระพุทธศาสนาปฏิเสธพระเจาผูสรางโลกและเปนความจริงนิรันดร สมบูรณและอมตะ
ปฏิเสธความคิดบางอยางที่สืบเนื่องกับพระเจาเชน ระบบวรรณะ คือปฏิเสธอัตตาหรืออาตมันที่เที่ยงแท
ชีวิตที่ดีแมจะเปนเรื่องการหลุดพนจากกิเลส แตมิใชการเขารวมเปนหนึ่งเดียวกับพระเจาที่เปนอัตตา เรื่องที่
พระพุทธศาสนาสอนเปนเรื่องตรงขาม คือ อนัตตา และความหลุดพนไมใชการเขาสูสภาวะตรงขามคือ
อัตตา แตเปนการรูความจริงวาสิ่งทั้งปวงเปนอนัตตา และโดยความรูนั้น ทําใหละอุปาทานในสิ่งทั้งปวงคือ
สิ่งที่เปนตัณหาทั้ง 3 ไดแก กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
สิ่งทั้งปวงลวนเปนอนัตตา
พระพุทธพจนที่วา “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” นั้นเปนขอความที่ปฏิเสธอัตตาอันเปนความจริงสูงสุด
ของศาสนาพราหมณ จึงไมมีอะไรที่ถาวร ไมเปลี่ยนแปลง เปนนิรันดร ไมวาวัตถุหรือจิตลวนมีลักษณะ
เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป สืบเนื่องกับเหมือนสายโซ แมแตตัวเราก็เปลี่ยนแปลงไปทุกจุดทุกขณะ ตัวเราเองยังยึด
เอาเปนถาวรไมได สิ่งอื่นนอกตัวเราก็ยิ่งบังคับควบคุม ยื้อยุดไวใหอยูนิ่ง ไมเปลี่ยนแปลงไมได ถายึดวาสิ่ง
เหลานั้นจะตองดํารงอยูเชนนั้น เราก็เกิดทุกขเพราะสิ่งเหลานั้นจะไมตามใจเรา แตจะเปลี่ยนไปตามสภาพ
ของมัน แตความเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวงเปนการเปลี่ยนเร็วและละเอียดจนเรามองไมเห็นความเปลี่ยนแปลง
ในแตละขณะ เราจึงรูสึกวาสิ่งตาง ๆ ไมเปลี่ยน เราสามารถยึดเอาและเปนเจาของได ในเวลาเดียวกันก็รูวาสิ่ง
เหลานั้นเปลี่ยนไปไดตามธรรมชาติของมัน และตามปจจัยภายนอกที่มาผลักดัน มิไดอยูในอํานาจเราเสมอไป
เราก็เกิดความทุกขความกังวล
อวิชชาเปนที่มาของทุกข
ความไมรูเทาทันสภาวะเปนจริงดังกลาว เรียกวา อวิชชา เพราะอวิชชานี้เองทําใหเราคิดวาสิ่งนั้น ๆ
เปนอยางนั้นและอยูในอํานาจเราที่จะใหเปนอยางนั้นๆเราจึงบัญญัติใหเปนนั่นเปนนี่ราวกับมันไมเปลี่ยนแปลง
84
อีกทั้งบัญญัติใหเปนในสิ่งที่เราสมมติขึ้นดวยเชนเราบัญญัติวาคนคนหนึ่งเปนผูหญิงและผูหญิงตองมีคุณสมบัติ
เชนนั้นแตงตัวเชนนั้น อยางนั้น ๆ เรียกวาผูหญิงสวย บัญญัติวาเขาสําคัญสําหรับเรา อยากได พยายามจะให
ไดมาเปนของเรา กลัวจะไมไดก็ทุกข ไมไดจริง ๆ ก็ทุกข ไดมาแลวไมเปนอยางใจคิดก็ทุกข เปนอยางใจคิด
แตกลัววาจะเปลี่ยนไปก็ทุกข ไดแลวกลัวจะเสียไปก็ทุกข เพราะวาสมมติบัญญัติขึ้นแลว ก็เกิดตัณหาคือ
อยากได มีอุปาทานเขาไปยึดวาจะเอามาเปนของตน เพราะอวิชชาทําใหเกิดตัณหา ตัณหาทําใหเกิด
อุปาทาน แตสิ่งที่เรามีอุปาทานไมมีตัวตนแนนอน จึงยึดไมไดตามอุปาทานนั้น มันไมมีตัวตนเพราะมันเปน
ของสมมติคือบัญญัติ คนประกอบดวยอวัยวะตาง ๆ เราบัญญัติวา สวย เราก็ยึดเอาสวยนั้นไวกับใจ เพราะ
ความอยากได เราก็ทุกข ถาไมยึดมาไวกับใจก็ไมทุกข
ทุกขของมนุษยตามทัศนะพระพุทธศาสนา
ทุกขของมนุษยตามทัศนะของพระพุทธศาสนามี 2 ชนิด คือ ทุกขกายกับทุกขใจ ทุกขกายกับ
ทุกขใจนี้ยังแบงเปน 2 ประเภทคือ สภาวทุกข ไดแก ทุกขที่เปนสภาพของกายและใจ คือ ทุกขโดยธรรมชาติ
ของกายของใจกับปกิณกทุกข คือ ทุกขที่มีมาหลังจากเกิด เรียกวา ทุกขเบ็ดเตล็ดหรือทุกขจร
สภาวทุกขมี 3 ประการ คือ ชาติ ชรา มรณะ ความเกิด ความแก ความตาย หรือเกิด เสื่อม ดับ ทั้ง
รางกายและจิตใจ เปนสิ่งที่มีองคประกอบ มีการประกอบกันขึ้นดํารงอยูชั่วขณะแลวก็เสื่อมและแยกสลาย
ไปในที่สุด คือ ทนอยูไมได ภาวะที่ทนอยูไมไดนี้ เรียกวาทุกข สิ่งทั้งหลายที่มีการประกอบขึ้นลวนมีธรรมชาติ
เชนนี้ทั้งสิ้น ไมวามนุษย สัตวโลกอื่น ๆ พืชหรือแมแตกอนหิน ทุกขจึงเปนธรรมชาติของคนทั้งทางกายและ
ทางใจ ไมเปนไมได
ปกิณกทุกข เมื่อมีกายมีใจเกิดขึ้นแลวก็มีทุกขอื่นตามมาเชนพยาธิคือความเจ็บไขไดปวย ที่เปน
เรื่องปกติในหมูมนุษย แมพระพุทธเจาก็ยังทรงมีความเจ็บปวย เราจึงมักพูดถึงทุกข 4 อยางของมนุษยคือ
เกิด แก เจ็บ ตาย นอกจากความเจ็บปวยทางกายแลว ยังมีความเจ็บปวยทางใจ มี โสกะ ความเศราโศก
ปริเทวะ ความคร่ําครวญ ทุกขะ ความไมสบายกาย โทมนัส ความไมสบายใจ อุปายาส ความคับแคนใจ
ปยวิปปโยคะ ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเปนที่รัก อัปปยสัมปโยคะ ความประสบกับสิ่งอันไมเปน
ที่รักที่ชอบใจ อิจฉาวิฆาตะ ความผิดหวัง ความไมสมปรารถนา ทุกขทั้งกายและใจ นี้เบียดเบียนบีบคั้น
มนุษยตั้งแตเกิดจนตาย ชาวพุทธจึงมักพูดวาชีวิตเปนทุกข
ตัณหาเหตุแหงทุกข
คนเราเมื่อเกิดก็ทุกขแลวโดยสภาวะ ยิ่งกวานั้นคนเรายังมีอวิชชา ความไมรูธรรมชาติ เชน ธรรมชาติ
ของทุกข ธรรมชาติของเหตุแหงทุกข เราจึงดําเนินชีวิตคลุกคลีกับความทุกขและทําใหเกิดความทุกขมากขึ้น
สิ่งที่เปนเหตุของทุกขที่จะตามมาในชีวิตอีกมากมายก็คือ ตัณหา ความอยาก ไดแก
กามตัณหา ความอยากบริโภคกาม ไดแก ความพึงพอใจทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย คือ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ซึ่งไมวาจะสมปรารถนาหรือไมก็เกิดทุกขดวยทั้งสิ้น ทุกขทั้งเมื่อแสวงหาและทุกขทั้งเมื่อไดมา
85
ทันทีที่เกิดสุขทุกขก็เกิดขึ้น คือ ทุกขที่ความสุขนั้นไมคงทนถาวร ตัวเราไมคงทนถาวรที่จะบริโภคไดตลอดไป
จึงเกิดทุกขใจ เกิดความกังวลใจ ความวิตก และเกิดตัณหาอยางที่สองตามมา
ภวตัณหา ความอยากมีอยากเปนคือ ความอยากดํารงอยูอยางถาวร ความอยากนี้เนื่องมาจาก
ความพึงพอใจหรืออิฏฐารมณที่ไดมาจากกามตัณหาทําใหอยากอยูถาวรเพื่อจะไดเสพสุขนั้นตลอดไป ทําให
เกิดความเชื่อในความจริงถาวร
วิภวตัณหา ความอยากไมมีไมเปน คือ ความไมอยากใหมีตัวมีตนอยู ซึ่งเนื่องมาจากอนิฏฐารมณ
ความไมพึงพอใจอันคนเราอยากหลีกเลี่ยงไมมีตัวมีตนเสียก็ไมตองผจญความทุกขความเดือดรอนนั้น ไมอยาก
จะมีชีวิตอยูและไมอยากจะเกิดมารับทุกขอีก
ความอยากทั้งสามนี้ไมเกิดผลตามที่มนุษยตองการ เพราะสิ่งตาง ๆ มีความเปนไปตามธรรมชาติ
ของมัน ยิ่งอยากก็ยิ่งผิดหวัง ยิ่งเปนทุกข การละหรือลดความอยากทําใหมนุษยเปนสุขมากกวา
ไฟเผาตัว
ตัณหาความอยากนั้นทําใหคนเราดิ้นรนกระวนกระวาย เชนมีความรักก็กระวนกระวายในเรื่อง
คนรัก สิ่งที่เปนที่รัก ใจไมอาจสงบนิ่งได เหมือนมีไฟลนเผาอยู ไฟที่วานี้มี 3 กอง คือ ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ
แปลวา ไฟ คือ ราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือโมหะ หรือไฟรัก ไฟโกรธ ไฟโง
ราคัคคิ ไฟแหงความรัก ความพึงพอใจ ความนาปรารถนา นาหลงใหล เปนไฟแหงความอยาก
ทางกามสุข ทางอิฏฐารมณ
โทสัคคิ ไฟแหงความโกรธ เกลียด อาฆาตแคน อิจฉาริษยา ไมพอใจ เปนไฟแหงอนิฏฐารมณ
โมหัคคิ ไฟแหงอวิชชา ความไมรูธรรมชาติ ไมรูความจริง ทําใหเกิดความเขาใจผิด เกิดอุปาทาน
ยึดสิ่งที่ไมถูกตองเปนที่พึ่งที่ปรารถนา เห็นกงจักรเปนดอกบัว หลงทางไปในทางที่นําไปสูความทุกข ขาด
สติปญญา
ไฟทั้งสามนี้คอยเผาผลาญใหมนุษยดิ้นรนอยูในความทุกข ไมรูจักความสุขที่แทจริง ตองดับไฟทั้ง
สามนี้ใหไดมนุษยจึงจะสงบและมีความสุข
กอง 3 นําสุข
ไฟสามกองนําความทุกขมาให หากจะดับไฟทั้งสามกองนั้น พระพุทธศาสนาใหใช ขันธ 3 หรือ
กอง 3 ไดแก สีลขันธ สมาธิขันธ ปญญาขันธ มรรค 8 ที่นําไปสูความหลุดพนนั้นจัดลงในกองทั้ง 3 ได ดังนี้
สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สีลขันธ
สัมมาอาชีวะ
86
สัมมาวายามะ
สัมมาสติ สมาธิขันธ
สัมมาสมาธิ
สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ ปญญาขันธ1
ไฟทั้ง 3 กอง คือ สิ่งที่นําไปสูความยึดติดในกิเลสตัณหา มานะ และทิฏฐิตาง ๆ ที่ไมถูกตอง ไมดีงาม
ซึ่งจะตองแกดวยการปฏิบัติที่ถูกตองดีงาม ดังกลาว
นิพพานเปนความสุขที่แท
มีพระพุทธพจนวา “นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ …นิพพานํ ปรมํ สุขํ”2
ซึ่งแปลวา “ความสุขอยางอื่นยิ่งกวา
ความสงบไมมี…นิพพานเปนความสุขอยางยิ่ง” ความสุขในที่นี้ไมใชความสุขอยางสุขนิยม แตเปนความสงบ
จากการถูกไฟคือราคะ โทสะ โมหะแผดเผา เปนความสงบจากกิเลสตัณหาซึ่งทําใหจิตใจ รอนรนกระวน
กระวาย เปนทุกข นิพพานจึงเปนความหลุดพนหรือวิมุตติ แตมิใชหลุดพนไปรวมกับตัวตนที่สมบูรณเที่ยงแท
เปนอมตะใด ๆ เพราะตัวตนเชนนั้นไมมี เหมือนไฟที่ดับ ไฟก็หายไป ความรอนก็หายไปเหลือแตความดับเย็น
ดังพุทธพจนตอไปนี้
ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ 2 ประการนี้ 2 ประการเปนไฉน
คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1
ภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เปนพระอรหันตขีณาสพอยูจบพรหมจรรย ทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว
ปลงภาระลงไดแลว มีประโยชนของตนอันบรรลุแลว มีสังโยชนในภพ
หมดสิ้นแลว หลุดพนแลว เพราะรูโดยชอบ ภิกษุนั้นยังไดรับอารมณ
ทั้งที่นาพึงใจและไมนาพึงใจ ยังเสวยสุขและและทุกขอยูเพราะความที่
อินทรีย 5 เหลาใดยังไมเสื่อมสลาย อินทรีย 5 เหลานั้นของเธอ
ยังตั้งอยูนั่นเทียว ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแหงราคะ ความ
สิ้นไปแหงโทสะ ความสิ้นไปแหงโมหะของภิกษุนั้น นี้เราเรียกวา
สอุปาทิเสสนิพพาน ภิกษุทั้งหลายก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนพระอรหันตขีณาสพอยูจบพรหมจรรย
ทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว ปลงภาระลงไดแลว มีประโยชนของตนอัน
1
สุต. ม. มูล. 15/508
2
สุต. ขุ. ธ. 25/25
87
บรรลุแลว มีสังโยชนในภพหมดสิ้นแลว หลุดพนแลวเพราะรูโดยชอบ
เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้ของภิกษุนั้น เปนสภาพอันกิเลสทั้งหลาย
มีตัณหา เปนตนใหเพลิดเพลินมิไดแลว จัก (ดับ) เย็น ภิกษุทั้งหลาย
นี้เราเรียกวา อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพาน
2 ประการนี้แล1
1
สุต. ขุ. อิติ. 25/222
8888
89
6
(absolute)
(relative) (absolutism)
(relativism)
1. (Relativism)
(cultural value)
(cultural relativism)
(Dobu)
90
1.1 ความเชื่อความเชื่อทางศาสนาหรือสิ่งเหนือธรรมชาติอาจทําใหเกิดการตัดสินทางจริยธรรมและ
การกระทําบางอยางซึ่งผูที่ไมมีความเชื่อดังกลาวจะไมกระทํา เชน ชนเผาทะเลใตบางเผาฆาพอแมของตนเมื่อ
อายุครบหกสิบป เพราะเชื่อวาผูตายจะไปสูปรโลกดวยรางกายสภาพเดียวกับเมื่อตาย ดังนั้นถาปลอยใหพอ
แมแกชราจนรางกายไมแข็งแรง ชวยตัวเองไมได เมื่อไปสูปรโลกดวยรางกายนั้นก็จะอยูอยางทุกขทรมาน
ลูกที่ดีจึงตองฆาพอแมเมื่อถึงวาระดังกลาวผูที่ไมมีความเชื่อดังกลาวยอมเห็นวาการกระทําเชนนั้นผิดศีลธรรม
ศาลศาสนา (Inquisition) ในสเปนในสมัยกลางเผาและทรมานคนก็ดวยความเชื่อวาผูที่ประพฤติ
นอกรีตผิดไปจากคําสอนของศาสนาจะตกนรก ถาเผาหรือทรมานแลวก็อาจเปลี่ยนความเชื่อใหถูกตอง แม
ตายไปวิญญาณก็พนบาปไมตองตกนรกและถาไมเปลี่ยนความเชื่ออยางนอยก็เปนการทําใหคนที่ยังมีชีวิตอยู
เห็นผลที่จะไดรับหากเปนมิจฉาทิฐิ การเผาหรือทรมานในโลกนี้เพียงชั่วระยะหนึ่งก็ยังดีกวาถูกทรมานนิรันดร
ในนรก เพราะทรมานนอยยอมดีกวาทรมานมาก ถาเรามีความเชื่อเชนเดียวกันนั้นเราก็จะยอมรับวาการ
กระทําดังกลาวถูกตอง
ความเชื่อเรื่องสภาพรางกายที่ไปสูโลกหนา หรือการทรมานนอยดีกวา การทรมานมากก็ดี ไมใช
ความเชื่อทางจริยธรรม แตเปนเหตุที่ทําใหการกระทําที่เกิดขึ้นเปนการกระทําทางจริยธรรมคือเปนการทําดี
1.2 การปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมสภาพแวดลอมที่ตางกันทําใหคนเราตองปรับตัวเพื่ออยูรอด
ในสภาพแวดลอมนั้น ๆ อะไรที่ทําใหอยูรอดในสภาพแวดลอมยอมเปนสิ่งที่คนถือปฏิบัติและถือวาดี เชน
ชาวเอสกิโมมีธรรมเนียมฆาพอแมเมื่อแก แตมิใชดวยเหตุผลทางความเชื่อดังเชนกรณีที่กลาวมาแลว การที่
จะอยูรอดไดฤดูหนาวชาวเอสกิโมจะตองเดินทางกวา 600 ไมล ในชวงฤดูรอนเพื่อใหกวางเรนเดียรมีอาหาร
กินและสรางที่พักในฤดูหนาวไดโดยไมแข็งตาย การเดินทางทั้งไกลและยากลําบากและหากตองหยุดพัก
เพราะคนที่เจ็บปวยหรือไมแข็งแรง ทุกคนก็จะไปไมถึงที่หมายและตายหมด หากเราอยูในภูมิอากาศเชนนั้น
เราก็อาจตองปฏิบัติเชนเดียวกับชาวเอสกิโม
1.3 ยุคสมัย ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทําใหความจําเปนบางเรื่องเปลี่ยนไปกลายเปนสิ่งไมจําเปนเชน
ชาวไทยสมัยกอนนิยมการแตงงานโดยเชิญแขกจํานวนมาก เพราะการแตงงานเปนการประกาศใหสังคมรับรู
และเนื่องจากเปนสังคมเกษตรกรรมตองอาศัยแรงงานคนในหมูบานและญาติในการลงแขกเพาะปลูก
และเก็บเกี่ยว เมื่อมีงานมงคลก็ตองใหเกียรติโดยเชิญคนที่เคยชวยงานกันใหมารวมงานเหมือนดังเปนญาติ
แตในปจจุบันสังคมเปลี่ยนไปแมสังคมเกษตรกรรมเองก็ใชการจางมากกวาการลงแขก และการแตงงานก็
สําคัญที่การจดทะเบียนสมรสมากกวา จึงไมนิยมการจัดงานแตงงานเปนงานใหญอยางสมัยกอน และรูสึกวา
การทําเชนนั้นไมมีประโยชน เหมือนเปนการ “ตําน้ําพริกละลายแมน้ํา”
1.4 กฎกับหลักการ (rule and principle) “กฎ” หมายถึงคําสั่งใหกระทําหรือคําสั่งหามกระทํา
เชน “หามลักทรัพย” “ผูเขามาในงานตองแตงกายสุภาพ” สวนหลักการหมายถึงเปนแนวทางที่เราใชเปนหลัก
ในการดําเนินชีวิตซึ่งจะใชไดกับเรื่องหลาย ๆ ประเภท เชน “ทําในสิ่งที่จะใหประโยชนแกตัวทานในระยะยาว”
91
เปนหลักการแบบอัตนิยม (egoism) “ทําในสิ่งที่จะนําสังคมไปสูความเจริญรุงเรือง” เปนหลักการแบบ
ตรงขามกับอัตนิยม คือคิดถึงผลตอสวนรวม
ขอปฏิบัติของชนเผาโบราณ ดังที่ไดกลาวมาแลวสวนมากเปนกฎ เชน กฎของเอสกิโมที่ใหฆาบิดา
มารดาผูแกชรา ซึ่งอาจทําตามกฎนี้ไปโดยไมรูวากฎนี้เปนไปตามหลักการอะไร เชน “ไหน ๆ จะตองตายก็
อยาใหตายอยางทุกขทรมาน” การขโมยผักของเพื่อนบานอาจเปนกฎของชาวเผาโดบู ซึ่งเปนไปตามหลักการ
“การกระทํายิ่งใชความพยายามมากก็ยิ่งนายกยองมาก”
เนื่องจากการกระทํามักจะเปนไปตามกฎ ในสมัยหนึ่งคนอาจจะรูหลักการอันเปนเหตุผลที่ทําใหเกิด
การกระทําเชนนั้น แตเมื่อผานไปหลาย ๆ ชั่วคน อาจเปนการกระทําที่ทําโดยมิไดถึงเหตุผลแตเปนการทําตาม
ธรรมเนียมที่เคยทํากันมา “สิ่งตองหาม” (taboo) ก็มักเกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดังนั้นในการศึกษาสังคมระดับ
ดั้งเดิม (primitive society) เราจึงมักพบ “กฎ” ซึ่งอาจถือเปนประเพณี ขนบ ธรรมเนียม หรือจารีต ที่ปฏิบัติ
สืบ ๆ กันมา โดยที่ชนเผานั้น ๆ ไมรูเหตุผลที่แนชัด คือไมรูวามีที่มาจากหลักการอะไรของสังคม การหา
หลักการจึงมักตองอางจาก “กฎ” ที่ปฏิบัติในกรณีตาง ๆ ซึ่งมีลักษณะสอดคลองไปในแนวทางเดียวกัน กฎ
ของเอสกิโมในเรื่องการฆาพอแมกับกฎการไมฆาคนเผาเดียวกันแตฆาคนเผาอื่น สามารถอางไดวามาจาก
หลักการเดียวกันคือ “คนเราควรกระทําในสิ่งที่จะทําใหเผาของตนอยูรอด”
เราอาจสรุปลักษณะของสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมไดดังนี้
1. ในการศึกษาวัฒนธรรมทั้งวัฒนธรรมของสังคมระดับดั้งเดิมและสมัยใหม พบความแตกตางกัน
อยางมากในเรื่อง ประเพณี ลักษณะ เรื่องตองหาม ศาสนา ศีลธรรม ชีวิตประจําวัน และทัศนคติ ซึ่งแตละ
วัฒนธรรมลวนมีลักษณะของตนซึ่งตางกับวัฒนธรรมอื่น ๆ
2. ความเชื่อและทัศนคติทางศีลธรรมของมนุษยเรียนรูจากสภาพแวดลอมของวัฒนธรรมนั้น ๆ และ
ผูคนจะรับสิ่งที่สังคมยอมรับหรือตอตานไวในตัว
3. คนในตางวัฒนธรรมมีแนวโนมที่จะเชื่อไมเพียงแตวามีศีลธรรมที่แทเพียงวัฒนธรรมเดียว แต
วัฒนธรรมที่แทวัฒนธรรมเดียวนั้นยังไดแกวัฒนธรรมของตนอีกดวย1
2. สัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Absolutism)
สัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรมเปนแนวคิดทางวัฒนธรรมอีกแนวคิดหนึ่งซึ่งใหความสําคัญแกหลักการ
ทางศีลธรรม โดยถือวาแมกฎเกณฑทางวัฒนธรรมของสังคมจะเปลี่ยนไปในแตละวัฒนธรรม แตหลักการทาง
ศีลธรรมมิไดเปลี่ยนไป ในแตละวัฒนธรรม แตทั้งนี้มิไดหมายความวาทุกวัฒนธรรมมีกฎและมาตรฐานทาง
ศีลธรรมเหมือนกันหมดซึ่งขัดกับขอเท็จจริง หากแตหมายความวา หลักการสูงสุดซึ่งอยูเบื้องหลังกฎและ
มาตรฐาน ซึ่งแตกตางกันไปในแตละวัฒนธรรมนั้นเปนหลักการเดียวกัน เชน ในทุกวัฒนธรรมจะมีหลักการ
1
Jacques P. Thirouse. Ethics. New York : Macmillan publishing Co. , Inc. 1980. P 76.
92
เกี่ยวกับคุณคาของชีวิต แตกฎในการพิทักษรักษาและการทําลายชีวิตในแตละวัฒนธรรมยอมแตกตางกัน
ไป นักสัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรมมีแนวคิดหลัก ๆ ดังนี้
1. หลักการทางศีลธรรมในทุก ๆ วัฒนธรรมเหมือนกัน เชน หลักการเกี่ยวกับการพิทักษรักษาชีวิต
การควบคุมพฤติกรรมทางเพศ การหามพูดเท็จ การกําหนดพันธะที่พอแมกับลูกมีตอกัน
2. คนในทุกวัฒนธรรมมีความตองการจําเปนเหมือน ๆ กัน เชน การอยูรอด อาหาร และเพศ
3. สภาพแวดลอมและความสัมพันธในทุกวัฒนธรรมคลายคลึงกันมาก เชน มีบิดามารดาซึ่งเปน
เพศตรงกันขาม มีการแขงขันกับพี่นอง มีศิลปะ ศาสนา ภาษา ระบบครอบครัว
4. วัฒนธรรมทั้งหลายมีความคลายคลึงกันในเรื่อง อารมณ ความรูสึก และทัศนคติ เชน ความ
อิจฉาริษยา ความยกยองนับถือ และความตองการในเรื่องเหลานี้
ขอมูลทางวัฒนธรรมมีความสําคัญในการสรุปความเปนสัมพัทธนิยม หรือสัมบูรณนิยมเพียงไร
จากขอสรุปขางตนการที่สังคมมีความแตกตางกันในเรื่องถูกและผิดก็สรุปไมไดวาสังคมหนึ่งถูกอีกสังคมหนึ่ง
ผิดหรือถูกทั้งคู ความเชื่อวาอะไรถูกหรือผิดไมทําใหสิ่งที่เชื่อตองถูกหรือผิดจริง ๆ กลาวคือความเชื่อไมมีอะไร
สัมพันธกับความจริงและเนื่องจากความเชื่อเปนเรื่องที่ยอมรับในวัฒนธรรมหนึ่งจึงมิไดหมายความวาจะตอง
จริงหรือเท็จหรือแมแตจริงโดยสัมพัทธกับสังคมนั้น ๆ
ในเรื่องหลักการทางวัฒนธรรมที่เหมือน ๆ กันในทุกสังคมก็เชนกันมิไดหมายความวาจะตองถูกตอง
หรือสัมบูรณ สวนเรื่องการที่คนมีความตองการจําเปน อารมณหรือทัศนคติเหมือน ๆ กัน ก็บอกไมไดวาสภาวะ
ที่เปนอยูนั้นดีหรือไมดี
3. สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตร (ethical relativism)
สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรอางสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมเปนเหตุผลคือจากเหตุผลที่วาโดยขอเท็จจริง
สังคมทั้งหลายตางก็ยึดถือวาอะไรถูกอะไรผิดตางกันจึงสรุปวาไมมีความถูกผิดสัมบูรณแตถูกผิดมีลักษณะสัมพัทธ
กับสังคมนั้น ๆ สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรก็พิจารณาไดทั้งในแงกฎและหลักการเชนเดียวกับสัมพัทธนิยม
ทางวัฒนธรรม
1. สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรแบบกฎ ถือวาไมมีกฎชุดใดที่ถูกสําหรับทุกคนหรือทุกกลุมคนใน
ทุกสภาพแวดลอม สิ่งที่ถูกในวัฒนธรรมหนึ่งไมจําเปนตองถูกในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ไมมีกฎชุดใดที่กําหนด
ความประพฤติที่ถูกตองใหแกมนุษยทุกคนได ความคิดนี้ดูเหมือนถูกตอง เพราะในสังคมที่น้ําหายาก กฎ
เกี่ยวกับการประหยัดน้ําก็จําเปน แตในสังคมที่น้ํามีเกินตองการก็ไมจําเปนตองมีกฎดังกลาว แตการประหยัด
น้ําเพราะอะไรกับการประหยัดน้ํามีหรือไมเปนคนละเรื่อง การที่สังคมมีน้ํามากและคนไมตองประหยัดน้ําก็
ยังถามไดวาในสังคมเชนนั้นการประหยัดน้ํายังเปนสิ่งที่ดีหรือไม สัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมอธิบายวา สิ่งที่
คนประพฤติปฏิบัติและถือวาดีนั้นเปนเพราะเหตุอะไรซึ่งเปนการบรรยายขอเท็จจริงทางสังคม แตขอเท็จจริง
ทางสังคมเปนอยางไรกับสิ่งที่เปนขอเท็จจริงทางสังคมนั้น ๆ ดีหรือไมเปนเรื่องสองเรื่องที่ตางกัน คนบางคน
เอาเปรียบ คนบางคนไมเอาเปรียบ นี่เปนขอเท็จจริงทางสังคม การเอาเปรียบเปนขอเท็จจริงทางสังคม แต
93
เราก็ไมจําเปนตองถือวาการเอาเปรียบเปนสิ่งที่ดี “เปน” กับ “ควรเปน” หรือ “เปน” กับ “ดี” ยอมแตกตางกัน
การสรุปจากสิ่งที่ “เปน” ไปสู “ควร” จึงไมมีเหตุผล
2. ในระดับหลักการ การถือกฎประหยัดน้ําของสังคมที่ขาดน้ํา กับการไมถือกฎดังกลาวในสังคม
ที่มีน้ําเหลือเฟอ อาจมาจากหลักการเดียวกันคือ การรักษาคนสวนใหญใหอยูรอด แตเราก็ถามไดอีกวา
หลักการใหคนสวนใหญอยูรอดเปนหลักการที่ดีเสมอไปหรือ หลักการที่ “เปน” คือ หลักการที่ “ควร” หรือไม
หลักการอยูรอดของผูที่เหมาะสมเปนหลักการที่ “ควร” หรือ “ดี” หรือไม นี่คือปญหาที่สัมพัทธนิยมทาง
จริยศาสตรตอบไมได และการที่แนวคิดที่เราเห็น ๆ อยูและเปนเรื่องที่เขาใจไดงาย ๆ ไมเปนที่ยอมรับของ
นักจริยศาสตร จึงมีผูที่เชื่อวามีการกระทําที่ดีจริง ๆ แบบสัมบูรณ ไมใชสัมพัทธ ความเชื่อดังกลาวมีหลาย
แนว
3. นอกจากเหตุผลสองขอแรกที่กลาวซึ่งเปนเหตุผลทางวัฒนธรรมแลวยังมีเหตุผลอื่นคือความพอใจ
หรือไมพอใจของมนุษย สิ่งเดียวกันหรือการกระทําอยางเดียวกันอาจทําใหเราพอใจหรือไมพอใจตางกันใน
เวลาและสถานการณที่ตางกัน คนแตละคนก็พอใจหรือไมพอใจ พอใจมากหรือนอยตางกันในสิ่งหรือการ
กระทําอยางเดียวกัน ถาพอใจก็วาดี พอใจมากก็วาดีมาก ไมพอใจก็วาเลวหรือชั่ว ไมพอใจก็วาเลวมาก หรือ
ชั่วมาก คําทางศีลธรรมหรือคาทางความประพฤติเปนเพียงคําที่ใชแสดงความพอใจหรือไมพอใจ มิใชคําที่
ระบุถึงคุณคาที่มีอยูจริงใด ๆ เพราะคุณคาเชนนั้นไมมีและระบุไมได โดยขอเท็จจริงเราเห็นแตการตัดสิน ซึ่ง
เปนไปตามความรูสึก ดี ชั่ว เปนคําบรรยายความรูสึกหรือแสดงความรูสึกเทานั้น ความเขาใจวาคุณคาทาง
จริยะมีอยูจริง และเปนสิ่งตายตัวเปนความหลงผิด คุณคาทางจริยะเปนอัตวิสัย (subjective) ขึ้นกับอารมณ
ของแตละคน เวสเตอรมารค (Edward Westermarck) เปนผูหนึ่งที่มีแนวคิดแบบนี้ เขากลาวแยงนักวัตถุวิสัย
(objectivist) ที่เชื่อวาคุณคาทางจริยะเปนจริงและตายตัว ไมขึ้นกับผูใดสิ่งใดไวดังนี้
แตถึงแมเราไมอาจจะกลาวหาวาชาววัตถุวิสัยพูดเกินความจริงเมื่อบรรยายวาการ
เปลี่ยนแปลงทางดานความรูทางวิชาการของเราเปลี่ยนแปลงทางดานความเชื่อทางศีลธรรม
กระนั้นพวกเขาก็ผิดพลาด ดวยมองไมเห็นวาสาเหตุตางๆของการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนี้ โดย
สวนใหญแลวตางกันในขั้นพื้นฐาน ความแตกตางกันทางวิชาการอาจขจัดไดดวยการสังเกต
และไตรตรองอยางพอเพียงเนื่องจากวาการรับรูทางประสาทสัมผัสและปญญาของเราใกลเคียงกัน
มีผูกลาววา “ความเชื่อทางศีลธรรมของคนที่มีการศึกษาดีและมีความคิดนั้น เปนขอมูล
ทางจริยธรรมเชนเดียวกับที่การรับรูทางประสาทสัมผัสเปนขอมูลทางวิทยาศาสตรธรรมชาติ
เชนเดียวกับ ที่ตองปฏิเสธขอมูลบางอยางที่อยูในประเภทหลังเพราะถือวาเปนมายา เราก็
ตองปฏิเสธขอมูลบางอยางในประเภทแรกดวยเหตุผลเดียวกัน และเราปฏิเสธขอมูล
ประเภทหลังก็ตอเมื่อขัดแยงกับขอมูลอื่นทางประสาทสัมผัสที่ถูกตองกวาในขณะที่เราปฏิเสธ
ในประเภทแรกก็ตอเมื่อขัดแยงกับความเชื่ออยางอื่นซึ่งผานการทดสอบดวยวิธีไตรตรองมาแลว
ไดดีกวา” แตแนนอนวามีความแตกตางอยางมหาศาลระหวางความเปนไปไดในการที่จะ
ประสานขอมูลทางประสาทสัมผัสที่ขัดแยงกันใหกลมกลืนกัน และความเปนไปไดในการ
94
ประสานความเชื่อมั่นทางศีลธรรมที่ขัดแยงกันใหกลมกลืนกัน เมื่อขอมูลทางประสาท
สัมผัสไดจากวัตถุเดียวกันมีความแตกตางกัน อยางเชนเมื่อวัตถุนั้นปรากฏใหเห็นตางไป
ภายใตสภาวะ ภายนอกที่ตางไปจากเดิม หรือถาตาที่มองนั้นเปนปกติหรือบอดสี เรา
สามารถอธิบายความผันแปรนี้ไดโดยอางถึงสภาพภายนอกหรือโครงสรางของอวัยวะ และ
ความผันแปรนี้ก็มิไดมีผลกระทบตอการที่เราสามารถมีความรูเกี่ยวกับสิ่งนั้นตามที่เปนจริง
ดังนั้นเราก็สามารถแยกภาพลวงตาจากการเห็นของจริงไดอยางงายดายอีกดวยเมื่อเราเรียนรู
จากประสบการณวาในกรณีของภาพลวงตานั้นวัตถุไมมีอยูจริง สวนการเห็นของจริงมีวัตถุ
รองรับ ตรงกันขาม เราก็รูวามักจะมีความขัดแยงระหวางความเชื่อมั่นทางศีลธรรมในหมู
ของ “คนที่มีความคิดและการศึกษาดี” และแมแตระหวาง “ญาณ” ทางศีลธรรมในหมูนัก
ปรัชญาดวยกันเอง ซึ่งเห็นกันแลววาลงรอยกันไมได นี่เปนสิ่งที่อาจคาดหวังไดถาความเชื่อ
ทางศีลธรรมมีอารมณความรูสึกเปนรากฐาน อารมณความรูสึกทางศีลธรรมขึ้นอยูกับการ
รับรู แตการรับรูอยางเดียวกันอาจนําไปสูความรูสึกที่ตางกันทั้งในดานคุณสมบัติและพลังแรง
ของบุคคลที่ตางกันไปหรือของบุคคลเดียวกันในโอกาสที่ตางกันและแลวก็ไมมีอะไรที่จะทําให
ความรูสึกนี้เปนอยางเดียวกัน การรับรูบางอยางดลบันดาลใหเกิดความกลัวในหัวใจของ
แทบจะทุกคน แตในโลกนี้ก็มีทั้งคนกลาและคนขลาด ทั้งนี้ไมขึ้นอยูกับวาคนเหลานี้รูถึงภัย
ที่ใกลเขามาไดอยางถูกตองหรือไม ความทุกขทรมานในบางกรณีสามารถเรียกรองความ
เวทนาจากหัวใจที่ไรการุณยที่สุดไดแทบทุกครั้ง แตศักยภาพของมนุษยที่จะรูสึกเวทนามี
ความแปรผันอยางมาก ทั้งในแงของสิ่งที่เรามีความรูสึกทางศีลธรรมก็เปนอยางเดียวกัน
อยางที่เราไดเห็นไปแลว สวนใหญความแตกตางของความรูสึกทางศีลธรรมขึ้นอยูกับการ
รับรูที่ตางกัน แตบอยครั้งทีเดียวที่ความรูสึกก็ตางไปดวยถึงแมจะรับรูอยางเดียวกัน ความ
แตกตางชนิดที่เกิดจากการรับรูตางกันมิไดขัดแยงกับความเชื่อที่วาการตัดสินทางศีลธรรม
เปนสากล แตเมื่อเราสามารถสืบสาวตนตอของความแตกตางของความรูสึกทางศีลธรรมไป
ไดถึงแนวโนมที่ตางคนจะรูสึกตางกันไปในสภาพการณอยางกัน อันเนื่องมาจากการที่
ความรูสึกเห็นแกผูอื่นที่แตละคนมีนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวตางกันออกไป ก็หมายความวา
ความเชื่อที่วาการตัดสินทางศีลธรรมมีความเปนสากลก็เปนความหลงผิด
อาจมีผูเถียงวา เมื่อมีการเขาใจขอเท็จจริงอยางพอเพียง ความเชื่อทางศีลธรรมจะ
ไมตางกันถาเพียงแตวาสํานึกทางศีลธรรมของมวลมนุษย “ไดรับการพัฒนาอยางพอเพียง”
…แตที่เรียกวาเปนความสํานึกทางศีลธรรมที่ไดรับการพัฒนาแลวอยางพอเพียงนั้นหมายความ
วาอะไร ในทางปฏิบัติแลว ขาพเจาคิดวาคงไมไดหมายความอะไรมากไปกวาการเห็นดวยกับ
ความเชื่อมั่นทางศีลธรรมของผูพูดเอง คํากลาวเชนนี้บกพรองและชวนใหหลงผิด เพราะวา
ถาตองการใหหมายถึงอะไรมากกวานี้ ก็จะเปนการสมมติไวลวงหนาวาการตัดสินทางศีลธรรม
เปนสากลซึ่งที่แทก็ไมเปนและในขณะเดียวกันดูเหมือนวาจะเปนการพิสูจนสิ่งที่ไดสมมติไว เรา
95
อาจกลาวถึงสติปญญาที่ไดรับการพัฒนาอยางเพียงพอที่จะเขาถึงความจริง เพราะวาความ
จริงมีหนึ่งเดียว แตจะพิสูจนวาความจริงมีหนึ่งเดียวจากขอเท็จจริงที่วาเปนที่ยอมรับกันโดย
สติปญญาที่ไดรับการพัฒนา “อยางพอเพียง” นั้นไมได ความเปนสากลของความจริงอยูที่
มีการยอมรับการตัดสินวาจริงโดยบรรดาผูที่มีความรูอยางครบถวนเกี่ยวกับขอเท็จจริงในเรื่อง
นั้น และการอางถึงการมีความรูที่พอเพียงเปนการอางจากขอสมมติที่ถูกตองวาความจริงเปน
สากลที่วาการตัดสินทางศีลธรรมเปนไปไมไดที่จะมีความเปนสากลซึ่งเปนลักษณะของความ
จริงนั้น เห็นไดชัดเมื่อเราพิจารณาเห็นวาคุณศัพทที่ใชมีความหลากหลายไมเพียงแตในทาง
คุณสมบัติเทานั้นแตในทางปริมาณดวย ความจริงและความเท็จไมมีระดับ แตความดีและ
ความเลวมี คุณธรรมและความดีงามมีทั้งที่ยิ่งใหญกวาและที่ดอยกวา หนาที่อาจมีความ
เครงครัดมากหรือนอย และถาความถูกตองไมมีระดับ เหตุผลก็คือ ความถูกตองหมายถึงวา
สอดคลองกับกฎของหนาที่…
การที่การประเมินคาทางศีลธรรมมีความแตกตางกันในแงปริมาณนั้นก็เนื่องมาจากวามโนทัศนทาง
ศีลธรรมทั้งหมดมีที่มาจากอารมณความรูสึก ความรูสึกมีความแตกตางกันทางดานความรุนแรงอยางที่แทบ
กําหนดไมได และความรูสึกทางศีลธรรมก็ไมเปนขอยกเวนของกฎนี้ ที่จริงแลว อาจสงสัยไดอยางมีเหตุผลวา
ความประพฤติแบบเดียวกันจะทําใหคนสองคนเกิดความรูสึกเห็นชอบหรือไมเห็นชอบดวยในระดับที่เทากัน
พอดีหรือไม
4. สัมบูรณนิยม (absolutism)
“คนเราเปนสัตวประเสริฐ รูจักผิดชอบชั่วดี” “คนเรามีมโนธรรมในจิตใจ” “ศีลธรรมทําใหคนเปน
คน” “ทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว” คําพูดเหลานี้แสดงใหเห็นวา คนจํานวนมากเชื่อวา ดีชั่วถูกผิดหรือคาทางความ
ประพฤติของมนุษยเปนสิ่งตายตัว ใชแยกคนดีคนชั่ว การกระทําที่ดีที่ชั่ว คนกับสัตวเดรัจฉานและเปนสิ่งที่
ทําใหคนสูงกวาสัตวอื่น
หากดีชั่วถูกผิดเปนเรื่องความรูสึกพอใจไมพอใจของคน ของสังคม หรือเปนไปตามสภาพแวดลอม
ของสังคม ก็เทากับไมมีมาตรฐานทางศีลธรรม ไมมีความดี ความชั่ว การกระทําที่ดีและชั่วก็ไมมี เพราะการ
กระทําอยางเดียวกับวันนี้อาจดี อีกวันหนึ่งอาจไมดี ดีหรือไมดีจึงไมใชลักษณะที่อยูในการกระทํา แตเปน
ลักษณะที่สิ่งภายนอกการกระทํา กําหนด หรือขึ้นกับสิ่งอื่นที่ไมใชการกระทําหรือผูกระทําการนั้น ๆ ถาดีชั่ว
ถูกผิดไมมีความหมายตายตัว คนเราก็ไมจําเปนตองทําดี และไมตองเปนคนดี เพราะการทําดีจะเปนเพียง
เรื่องการหาประโยชน การทําใหเราพอใจ การทําตามที่สังคมกําหนดเพื่อจะใหไดรับผลประโยชนหรือความ
ยกยองจากสังคม ไมมีการทําดีเพราะเปนสิ่งที่ดี ไมมีคนดีที่เพราะเปนผูยึดมั่นและปฏิบัติในสิ่งที่ดี
คนที่ทําดีสวนมากมิไดเชื่อเชนนี้ แตทําดีเพราะสิ่งนั้นดีทําดีโดยไมปรารถนาสิ่งใดตอบแทน หรือ
ปรารถนาใหความดีดํารงอยู คนเหลานี้มิใชวาไมรูวาคนเรามีความพอใจไมพอใจไมเหมือนกัน สังคมยึดถือ
96
คุณคาแตกตางกัน แตเขาไมเห็นวาความตางดังกลาวนั้นเปนหลักฐานที่เพียงพอวาความดีที่แทไมมีอยูและ
ความดีหรือคุณคาทางจริยะอื่น ๆ เปนสัมพัทธและเปนอัตวิสัย
4.1 ความหมายของคําวา สัมบูรณ
คําวา สัมบูรณมีความหมายตรงขามสัมพัทธคือเปนสิ่งสัมบูรณในตัว ไมขึ้นกับสิ่งใดหรือเงื่อนไข
ใด ๆ เปนอยูดวยตัวเอง ไมผันแปรเปนความจริงสากลซึ่งจริงเสมอ สิ่งสัมบูรณมีลักษณะเปนนามธรรม เชน
พระเจา นิพพาน กฎแหงกรรม กฎธรรมชาติ คาทางศีลธรรม ผูที่เชื่อในความจริงสัมบูรณจึงไมอาจยอมรับ
ความคิดวาคุณคาทางจริยะเปนสัมพัทธ นักปรัชญาสัมบูรณนิยมมักจะคัดคานความคิดของสัมพัทธนิยมทาง
จริยศาสตร ทานหนึ่งก็คือ สเตซ (W.T. Stace) ซึ่งทานไดใหขอคัดคานดังนี้
แนวคิดที่วาสังคมมีความเชื่อตางกัน สังคมเดียวกันตางยุคสมัยหรือสังคมยุคสมัยเดียวกันตาง
สังคมกันอาจมีความเชื่อไมเหมือนกันนั้นลวนเปนที่ยอมรับไมวาจะเปนฝายที่เชื่อวาคาทางจริยะตายตัวหรือ
สัมพัทธ ตางกันแตวาพวกที่ถือวาคาทางจริยะเปนสิ่งตายตัวจะถือวาในบรรดาความเชื่อเหลานั้นบางความ
เชื่อเปนสิ่งที่ผิด แตพวกสัมพัทธนิยมจะถือวาการกระทําเดียวกันในสังคมเดียวกัน สมัยหนึ่งถูกแตอีกสมัย
หนึ่งผิด หรือการกระทําเดียวกันในสังคมหนึ่งถูกแตในอีกสังคมหนึ่งผิด หากคนสองฝายถือวาความคิดของ
ตนเปนเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยะแลวสองฝายนี้ก็ใชคําวา “มาตรฐาน” แตกตางกัน
“มาตรฐาน” สําหรับพวกสัมพัทธนิยมมีความหมายเพียงเปนความเชื่อของกลุมคนในสังคมหนึ่ง ๆ
ในสมัยหนึ่ง หรือคืออะไรก็ตามที่สังคมนั้นในขณะนั้นคิดวาถูก แตไมเคยถามวา มาตรฐานในการใชคําวา
มาตรฐานเชนนี้ถูกหรือไม สวนพวกสัมบูรณนิยมซึ่งเชื่อวามีมาตรฐานที่ตายตัว ใชคําวา “มาตรฐาน” ใน
ความหมายวา เปนสิ่งที่จริงหรือถูกตอง ซึ่งตางกับสิ่งที่มีผูเห็นวาถูกตอง ขึ้นชื่อวาความถูกตองแลว ไมวา
ใครจะมีความเห็นวาอยางไรก็ตองถูกตองเสมอ สัมพัทธนิยมไมเพียงแตจะถือวาสิ่งที่ผิดสําหรับคนชาติหนึ่ง
เปนสิ่งที่ถูกสําหรับคนอีกชาติหนึ่ง แตยังสรุปวาสิ่งที่ถูกในชาติหนึ่งก็คือสิ่งที่คนชาตินั้นคิดวาถูกและถาคน
อีกชาติหนึ่งคิดวาผิดก็คือสิ่งที่ผิดในชาตินั้น ความเชื่อเหลานั้นเปนความถูกตองของสังคมหรือประเทศนั้น ๆ
ความถูกตองทางศีลธรรมกลายเปนสิ่งเดียวกับความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรมของคนในแตละเวลาและสถานที่
เทากับสัมพัทธนิยมเชื่อวาความแตกตางระหวางความถูกตองกับความเชื่อวาถูกตองเปนสิ่งที่เปนไปไมได ดังนั้น
จึงไมมีมาตรฐานใด ๆ เปนวัตถุวิสัย ไมมีมาตรฐานใด ๆ เปนสากล เมื่อพิจารณาในสังคมแตละยุคสมัย เมื่อ
มาตรฐานที่เปนวัตถุวิสัยไมมีก็ไมจําเปนอะไรที่แตละคนในสังคมจะตองยอมรับมาตรฐานที่คนอื่น ๆ ในสังคม
เชื่อ เพราะเปนเรื่องอัตวิสัย ความรูสึกสวนตัวของแตละคนเทานั้นที่เปนมาตรฐานสําหรับเขา และสังคมก็ไมมี
สิทธิอะไรที่จะบอกวามาตรฐานของสังคมถูกตองกวา
สัมบูรณนิยมถือวาความหมายของคําวา มาตรฐาน มีสองความหมาย มาตรฐานในความหมาย
แรกคือคาทางจริยะที่แปรเปลี่ยนไดซึ่งสัมพัทธนิยมเชื่อวาเปนความหมายเดียวที่มีอยู มาตรฐานในความหมาย
ที่สองหมายถึงสิ่งที่เที่ยงแทถาวร ไมขึ้นกับสิ่งใด สัมบูรณนิยมถือวามาตรฐานสองความหมายนี้แตกตางกัน
97
การที่สัมพัทธนิยมถือวามาตรฐานมีเพียงความหมายเดียวซึ่งเปนมาตรฐานแบบสัมพัทธ ไมมี
มาตรฐานสากล ก็เนื่องจากมีความเชื่อที่หลากหลายเกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรมในสังคมตาง ๆ แตเรื่องนี้
ทั้งสัมพัทธนิยมและสัมบูรณนิยมตางก็ยอมรับวาจริง สัมพัทธนิยมสรุปเอาทันทีวาเมื่อแตกตางก็หมายความวา
ไมมีสิ่งที่ถูกตองแทจริงแตสัมบูรณนิยมเห็นวาความแตกตางเกิดจากความไมรูของมนุษยวาอะไรเปนมาตรฐาน
จริง ความรูในสาขาอื่นที่ไมใชจริยศาสตรก็มีความแตกตางกันเชนชาวกรีกโบราณบางคนเชื่อวาโลกกลมแบน
เหมือนจานลอยอยูในน้ํา บางคนเชื่อวาโลกเปนรูปทรงกระบอก หากอางเหตุผลแบบสัมพัทธนิยมก็จะตอง
สรุปวาโลกไมมีสัณฐานแนนอน กลมและแบนสําหรับคนกลุมหนึ่ง ทรงกระบอกสําหรับคนอีกกลุมหนึ่ง และ
กลมเปนทรงกลมสําหรับอีกกลุมหนึ่ง ไมมีรูปรางที่แทหรือหารูปรางใดเปนรูปรางที่แทไมได ความเห็นที่
แตกตางกันมิไดเปนเครื่องพิสูจนวามาตรฐานที่แทจริง ไมมีอยู งานของนักมานุษยวิทยามิไดเพิ่มหลักการ
อะไรใหมเกี่ยวกับความหลากหลายทางความเชื่อศีลธรรมของมนุษย กอนที่วิชามานุษยวิทยาจะเจริญ คนก็
มีความเห็นหลายหลากในเรื่องศีลธรรมอยูแลว ความรูทางมานุษยวิทยาไมไดชวยใหสัมพัทธนิยมถูกหรือผิด
มากไปกวาเดิมเลย
เหตุผลของสัมพัทธนิยมนาจะอยูที่วา ไมเคยมีใครสามารถบอกไดเลยวาอะไรเปนเหตุผลที่จะยืนยัน
ไดวามีมาตรฐานสากลที่ตายตัว เชน ถามีกฎสากลวา “มนุษยจะตองไมเห็นแกตัว” ใครเปนผูกําหนดกฎนี้ และ
ทําไมจึงเปนกฎสากล ในสมัยกอนเราอาจอางพระเจาซึ่งก็คงจะใชไดในหมูผูที่ศรัทธาในพระเจา แตสําหรับผู
ที่ไมเชื่อพระเจาจะอธิบายเรื่องนี้ใหเขาเชื่อไดอยางไร เพราะการอางพระเจาก็จะกลายเปนเรื่องสัมพัทธคือ
ขึ้นอยูกับศาสนา และศรัทธาก็ไมอาจนํามาอางในหมูคนที่ไมมีศรัทธาได
เหตุผลที่สเตซนํามาโตแยงในเรื่องนี้ก็คือ 1. อาจมีทฤษฎีที่เปนรากฐานของมาตรฐานสากลดังกลาว
แตไมมีใครคนพบ หรือ 2. การพิสูจนวา “ไมมีทฤษฎีใด ๆ ที่จะเปนรากฐานใหแกศีลธรรมสากลได” เปนเรื่องที่
ทําไมไดเพราะการพิสูจนวา “ไมมี” นั้นเราไมอาจทําไดในกรณีอดีตที่หางไกลจนเราไมรู หรืออนาคตที่ยังไม
เกิดเหมือนกับพูดวา “ไมมีหงสสีเขียว” ซึ่งเปนจริงในปจจุบัน แตใครจะรูวาในอดีตไมมีหงสสีเขียว หรือใน
อนาคตจะไมมีหงสสีเขียว
เหตุผลที่สําคัญกวาซึ่งสเตซนาจะกลาวในที่นี้ก็คือ ความแตกตางทางความเชื่อในปจจุบันนั้นอาจจะ
มีบางความเชื่อเปนสิ่งที่ถูกตองก็ได แตการที่สัมพัทธนิยมเชื่อวาถูกทั้งหมดจึงทําใหไมเคยเปรียบเทียบและ
พิจารณาวาความเชื่อใดถูก แตถึงสัมพัทธนิยมจะทําเชนนั้นก็ทําไมไดเพราะสัมพัทธนิยมไมเชื่อมาตรฐานสากล
เสียตั้งแตตน สัมพัทธนิยมจึงมิไดพิสูจนหรือทําอะไรเลยเกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรม คําพูดของสัมพัทธนิยม
เปนคําพูดที่ไมตองใชความคิดอะไรเปนแตเพียงรายงานขอเท็จจริงทางสังคมเทานั้นและการตัดสินวา “ถูก”หรือ
“ควร” ของสัมพัทธนิยมในทุกกรณีก็เปนการนําเอาคําที่เกี่ยวกับมาตรฐานสากลมาใชเพื่อใหดูเหมือนเปน
ความคิดที่มีมาตรฐานโดยที่แทจริงแลวเปนการสรุปจาก “ขอเท็จจริง” ไปสู “คุณคา” หรือจาก “เปน” ไปสู
“ควร” อยางลอย ๆ ปราศจากเหตุผลหรือรากฐานใด ๆ
98
สเตซโตแยงสัมพัทธนิยมโดยเนนที่ผลของความคิดแบบสัมพัทธนิยมมากกวา แตก็มีแนวคิดขางตน
ประกอบอยู สเตซโตแยงดังนี้
1. ถาคิดแบบสัมพัทธนิยมอยางถึงที่สุดแลว ก็จะเปนการทําลายศีลธรรมจนหมดสิ้น เพราะขาด
ผลทางปฏิบัติอยางสิ้นเชิง ทําใหมนุษยยอมรับสภาพที่เปนอยู เพราะสภาพที่เปนอยูก็คือสภาพที่ดีที่สุดแลว
สําหรับสังคมนั้น มนุษยจึงไมคิดหาโลกที่ดีกวา ไมมีความใฝฝนอันเปนคุณสมบัติสูงสุดของมนุษย เชนการที่
สังคมหนึ่งฆาพอแมเพราะเหตุผลทางสภาพแวดลอม หากคิดวาดีอยูแลว ก็ไมเกิดความพยายามที่จะพัฒนา
ใด ๆ ที่จะใหไมตองฆาพอแม
2. เมื่อมาตรฐานที่มีจริงมีเพียงมาตรฐานที่สังคมแตละสังคมยึดถือ ความพยายามเปรียบเทียบ
มาตรฐานที่แตกตางกันของสังคมทั้งหลายในแงคุณคาทางศีลธรรมจึงไมมีความหมายใด ๆ จึงไมมีระเบียบ
ใดที่เลวระเบียบใดที่ดีแตกลายเปนระเบียบที่ดีทั้งหมด
โดยปกติเรามักจะตัดสินระเบียบของสังคมวาบางระบบดี บางระบบไมดี แมจะเปนการยากที่จะให
ยุติธรรมแตปญหาอยูที่วาเราไมไดใชมาตรฐานรวมซึ่งถาเราตกลงรวมกันในเรื่องมาตรฐานรวมที่จะใชตัดสินได
การตัดสินก็ไมจําเปนตองลําเอียง แตสัมพัทธนิยมก็ปฏิเสธมาตรฐานรวมเชนนั้นเสียแตตนแลว โดยถือวา
มาตรฐานของชาวจีนก็ใชไดเฉพาะชาวจีน มาตรฐานของชาวไทยก็ใชไดเฉพาะชาวไทย แตที่จริงทั้งชาวจีน
และชาวไทยก็เปนมนุษยจะมีมาตรฐานสําหรับมนุษยไดหรือไม
3. ถายอมรับความคิดแบบสัมพัทธนิยม จะไมมีอะไรจริงเลย เพราะไมมีมาตรฐานใด ๆ ที่จะใช
เปนพื้นฐานในการตัดสินวาอะไรจริงหรือไมจริง
4. การยอมรับความคิดแบบสัมพัทธนิยม ทําใหความกาวหนาทางศีลธรรมเปนเรื่องไรสาระ เราไม
อาจพูดไดวามนุษยที่เครงศาสนาในปจจุบันมีความเจริญทางศีลธรรมมากกวาคนปาที่ลาหัวมนุษย
5. การตัดสินทางศีลธรรมเปนไปไมไดแมแตในสังคมเดียวกันในยุคเดียวกันซึ่งถือมาตรฐานทางศีลธรรม
รวมกันเพราะในสังคมก็ยอมจะมีกลุมและแตละกลุมก็มีความเชื่อของตนเพราะมีกลุมหลายแบบเชน กลุมทาง
เชื้อชาติ กลุมคนเครงศาสนา ครอบครัว กลุมอาชีพ แตละกลุมก็มีความคิดความเชื่อตางกันจะกําหนดอะไร
เปนมาตรฐานและจะพิจารณาจากกลุมแบบใด แตถาเราอาศัยคนสวนใหญ ก็จะกลายเปนวาใครพวก
มากกวาก็ไดเปรียบทางศีลธรรมเพราะจะกลายเปนความเห็นที่เปนตัวแทนของกลุมทั้งหมด แตถาเราถือวา
ทุกกลุมถูกตองหมด มาตรฐานศีลธรรมของกลุมโจรก็ตองนับวาถูกตองเทา ๆ กับศีลธรรมของพระสงฆ
ตามที่กลาวมาแลวนี้ การยอมรับวาคุณคาเปนสิ่งสัมพัทธไมอาจจะตอบปญหาทางศีลธรรมได
แมแตจะใชอะไรเปนมาตรฐานในการตอบปญหาก็ยังหาไมได
4.2 สัมบูรณนิยมกับศาสนา
เรื่องที่ดูขัดแยงกันอยางตรงขามอาจไมขัดแยงกันถามองดูในกรอบที่ใหญกวาซึ่งครอบคลุมทั้งสอง
เรื่องนั้นไว คาทางจริยะเปนสัมพัทธหมายความวาคาทางจริยะไมไดมีอยูจริง เปนของสมมติขึ้นตามแตใจคน
หรือสังคมตองการ คาทางจริยะเปนสัมบูรณหมายความวาคาทางจริยะมีอยูจริง ดีชั่วมีจริง ใหผลจริง ตัดสินได
99
จริงอยางเปนสากล มองในกรอบของสัมพัทธนิยมก็เห็นแตตัวอยางของกรณีที่ดีชั่วเปนเรื่องสวนบุคคล เปน
เรื่องแตละสังคม บอกไมไดวาความคิดของใครหรือสังคมใดดีกวากัน สั่งสอนอบรมสืบตอกันไปในกลุมใน
สังคม มองในกรอบของสัมบูรณนิยมก็เห็นการเปรียบเทียบ การโตแยง การเห็นพองตองกันในเรื่องดีเรื่องชั่ว
การเปรียบเทียบไดและการโตแยงได ทําใหมีการเลือกไดวาอะไรดีกวากัน หากใชเหตุผล ใชปญญาอยาง
เต็มที่ก็สามารถเขาถึงความดีแท ๆ ความชั่วแท ๆ เหมือนดังการเขาสูโลกของแบบ (Idea) ของเปลโต การ
โตแยงกันดวยเหตุผลระหวางผูมีความรู การคิดหาเหตุผลจากหลาย ๆ ฝายมาประมวล และตัดสินอยางวิธี
เขียนบทสนทนาของเปลโต นั้นเห็นไดวาทําใหเกิดความเขาใจเพิ่มขึ้น เห็นทั้งสวนที่ไมถูกตองและที่ถูกตอง
มากขึ้น แมเราไมไดความเห็นพองตองกันเปนเอกฉันทแตความเขาใจที่เพิ่มขึ้นก็แสดงวาความเปนวัตถุวิสัย
ของคาทางจริยะมีอยู
4.3 จุดหมายสูงสุดของชีวิต
เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่ “ควร” เรากําลังคิดถึงสิ่งที่สูงคาซึ่ง “เปน” อยูหรือสูงคากวาสิ่งที่ “เปน” อยู การ
พูดวา ดี ชั่ว จะไมมีความหมายอะไรถาไมมีการเปรียบเทียบกับจุดหมายสูงสุด การเปรียบเทียบกับ
จุดหมายสูงสุดในสังคมเดียวกันจะไมทําใหมนุษยไดประโยชนอะไรมากนักเพราะไมอาจนํามาใชในระดับ
นานาชาติได แตในปจจุบันเราก็สามารถพูดเรื่องเกี่ยวกับคุณคาทางจริยะไดในระดับนานาชาติมากขึ้นเชน
การพูดถึง เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม หรือวัฒนธรรม แสดงวามนุษยเราสามารถเขาใจขาม
วัฒนธรรมไดในเรื่องคาทางจริยะแมวาอาจจะยังไมมีจุดหมายสูงสุดที่ชัดเจนรวมกัน
คําวา ดี หรือ ชั่ว ยอมบงถึงจุดหมายสูงสุด การที่จะพูดวาสิ่งใดดีหรือไมดีนั้น จะตองรูวา ดีคือ
อะไร การที่สังคมหนึ่งสามารถตัดสินไดวาการกระทําของคนในสังคมดีหรือไม ก็ตองดูวาสอดคลองกับ “ดี”
ที่สังคมนั้นกําหนดไวมากนอยเพียงไร “ดี” ที่แตละสังคมยึดถือซึ่งตางกันนั้นก็สามารถหาเกณฑกลาง
หรือจุดรวมที่จะใชตัดสินไดวา “ดี” ของสังคมใดดีกวา ถาหากพยายามแลวโอกาสที่จะรูและเขาใจเรื่อง
คาทางจริยะก็มีได
ถาเราคิดแบบเปลโตวาสิ่งที่เปนจุดหมายสูงสุดคือความดีหรือความสมบูรณ ดีมากหรือนอย ก็คือ
มีลักษณะใกลหรือเขาใกลความสมบูรณมากหรือนอย เมื่ออริสโตเติลสอนวา ปญญาคือสิ่งสูงสุดของมนุษย
ความดีสูงสุดของมนุษยคือการเขาถึงปญญาอันบริบูรณ การกระทําใดมุงไปสูปญญา เชน การฝกฝน
การศึกษา ก็นับเปนการกระทําที่ดี ขยันเรียนดีกวาไมขยันเรียน พัฒนาเขาใกลปญญามากเพียงไรก็เปนการ
ทําดีมากขึ้นเพียงนั้น
ถาเราไมคิดถึงจุดหมายสูงสุดที่เปนสิ่งอันมีคุณคาในตัวแลวก็เทากับเราไมคิดถึงเรื่องคุณคา
เพราะในที่สุดเราจะคิดถึงตัวเราและผลประโยชนหรือเรื่องมูลคาเปนสําคัญ ดังที่พวกสุขนิยมหรือประโยชน
นิยมคิด เราก็จะไมรูจักคานามธรรมที่ไมขึ้นกับสิ่งใดคือไมเปนสัมพัทธ เชนการชวยผูตกทุกขไดยากอยาง
อุทิศตนความกตัญูตอผูมีคุณ ความซื่อสัตยชนิดที่ไมยอมแพตอสิ่งเยายวนใจ สิ่งเหลานี้มีอยู มีคนที่
ประพฤติเชนนี้อยู และคนก็อาจเปลี่ยนใจมาเปนคนดีในลักษณะเชนนี้ไดเมื่อไดฟงเหตุผลและเขาเห็นดวย
100
กับเหตุผลนั้น คนพัฒนาตนใหดียิ่งขึ้น ๆ ก็โดยเหตุที่เห็นจุดหมายสูงสุด ไมเชนนั้นก็เลือกไมถูกวาจะ
ประพฤติปฏิบัติอะไรอยางไร จุดหมายสูงสุดมักมีสอนในศาสนา การที่สัมบูรณนิยมสัมพันธกับศาสนาจึงไมใช
เรื่องแปลก ดีชั่วในศาสนาก็ลวนยึดโยงอยูกับจุดหมายสูงสุดทางศาสนาทั้งสิ้น ในศาสนาพราหมณที่ได
กลาวมาแลว กามและอรรถก็เปนสิ่งที่ดีแตไมเทาธรรมะซึ่งเปนการทําตามหนาที่อันพระเจากําหนด ธรรมะ
นั้นก็ยังไมดีเทาโมกษะอันเปนจุดหมายสูงสุด
ถาคนเราถกเถียงกันในเรื่อง กาม ก็อาจมีความเห็นตางกันไดในแตละกลุมคนแตละสังคม แตถา
เราพิจารณาเรื่องนี้ในกรอบที่สูงกวาคือ ธรรมะและโมกษะแลว ก็จะตัดสินไดวา ความเชื่อของกลุมใด
ถูกตองกวา หากพิจารณาแตในกรอบหรือระดับกามดวยกันก็ไมมีเกณฑอะไรตัดสิน และเปนดังที่
นักสัมพัทธนิยมเขาใจคือตัดสินไมได
5. ความเห็นของพระพุทธศาสนา
5.1 คาทางจริยะเปนจริงเพียงใด
ความเปนจริงของคาทางจริยะเราอาจเขาใจไดไมยากถาเราเปรียบเทียบกับเรื่องที่เปนรูปธรรมกวา
สมมติเรานําปสสาวะไปใหนักเคมีวิเคราะห สําหรับนักเคมี ปสสาวะเปนของเหลวซึ่งมีสารประกอบตาง ๆ อยู
สารเคมีในสายตาของนักเคมีไมมีอะไรสกปรก พยาบาลที่ตองทํางานเกี่ยวของกับปสสาวะอยูเปนประจํารูสึก
รังเกียจปสสาวะนอยกวาคนทั่วไป เพราะแมพยาบาลจะรูเรื่องความสกปรกของปสสาวะดีกวาคนทั่วไป แต
ความสกปรกนั้นก็หมายถึงเชื้อโรค พยาบาลระวังเชื้อโรคมากกวาจะเอากลิ่นเปนตัวตัดสินความสกปรก ในแงนี้
พยาบาลก็คลายนักเคมี สวนคนทั่วไปรูสึกวาปสสาวะสกปรกมากกวาที่พยาบาลรูสึกในแงที่เปนสิ่งอันมีกลิ่น
ไมนาพึงใจ
ถาเราพิจารณาอยางนักสัมพัทธนิยม เราคงสรุปวา ปสสาวะสกปรกหรือไมมากนอยเพียงไรขึ้นกับ
วาพิจารณาตามความรูสึกของใคร ตัดสินไมไดวาปสสาวะสกปรกหรือไม แตถามองอยางพระพุทธศาสนา
นักเคมีนั้นมองอยางถูกตองตามธรรมชาติหรือความเปนจริงมากที่สุด คือบอกสวนประกอบ บอกสีแตไม
ตัดสินวาสกปรกหรือไม เพราะความสกปรกเปนสิ่งที่คนทั่วไปรูสึก ไมมีตัวตน พยาบาลอาจจะไมไดมองลึก
เทานักเคมีและพยาบาลรูสึกวาปสสาวะสกปรก (ซึ่งถาพิสูจนทางเคมีแลวก็อาจไมมีเชื้อโรคถึงกับเปนอันตราย)
แตความสกปรกนี้แมเปนสิ่งสมมติ แตก็ตัดสินไดอยางอัตวิสัยคือสกปรกหรือไม มากหรือนอย ดูจากเชื้อโรค
สวนคนทั่วไปที่รังเกียจวาสกปรกเพราะเอากลิ่นเปนตัวตัดสินนั้นนับวาหางความจริงมากที่สุดคือ สมมติหรือ
กําหนดเอาเองวาสกปรก (ที่จริงมีกลิ่นเหม็นไมจําเปนตองสกปรก) คําวาสกปรกดังกลาวเปนคําที่สมมติขึ้น
ลวน ๆ ไมมีความจริงวัตถุวิสัยอยูเลย
ดี ชั่ว ก็เชนกัน คนทั่วไปมักกําหนดเอาตามความรูสึกพอใจไมพอใจ ที่นักจิตวิทยานิยามความหมาย
ดีเทากับพึงพอใจ และไมดีเทากับไมพึงพอใจก็เปนการนิยามโดยพิจารณาการใชดี ชั่วเพียงระดับคนทั่วไปที่ไม
คอยมีความไตรตรอง
101
คนที่รอบคอบมากกวานั้นอาจจะใชเกณฑของสังคม เชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี จารีต หรือ
ระเบียบตางๆของสังคมเปนตัวตัดสินดีชั่วในที่นี้ก็คือสอดคลองหรือไมสอดคลองกับประเพณี นักมานุษยวิทยา
และนักสังคมวิทยานิยามในลักษณะนี้ ซึ่งมีเกณฑของสังคมอันเปนเกณฑที่เกิดจากผลของพฤติกรรมที่กระทบ
ตอสังคมเปนเครื่องตัดสิน
พระพุทธศาสนามองลึกกวานั้นคือ ในทั้งสองกรณีที่กลาวแลวดี ชั่ว เปนสิ่งสมมติ เปนชื่อเรียก
ความพึงพอใจ ในกรณีแรกและเปนชื่อเรียกความสอดคลองหรือไมสอดคลองกับระเบียบสังคม ในกรณีที่
สองไมมีสิ่งที่ดีหรือชั่วอยูจริง ในแงนี้ดีชั่วไมมี ไมใชเพราะแตละสังคมมีระเบียบตางกันและใชคําดีชั่วเรียก
ระเบียบที่ตางกัน แตไมมีเพราะเปนเพียงชื่อเรียกมิใชคุณสมบัติ เหมือนเราเรียกสภาวะเปนเปรต อสุรกาย
เดรัจฉาน วาทุคติภูมิ เรียกสภาวะเปนเทวดาชั้นตาง ๆ วา สุคติภูมิ ความจริงที่มีอยูก็คือ เปรต อสุรกาย
เทวดา… ที่ทุกขหรือสุข ไมไดมีภูมิที่เปนสถานที่แตอยางใด
5.2 ปรมัตถ – บัญญัติ
เมื่อนักวิทยาศาสตรอธิบายเรื่องคน เขาจะวิเคราะหลงไปเปนระบบรางกายซึ่งประกอบดวยอวัยวะ
ตาง ๆ ที่มีสวนประกอบยอย ๆ ลงไปเปนชั้น ๆ จนถึงสวนประกอบยอยมาก ๆ เชนอะตอม มองในแงนี้ความจริง
แทก็คืออะตอม อะตอมเปนความจริงปรมัตถ หรือความจริงเนื้อแท เมื่อเราเรียกอะตอมที่มารวมกันเปน
อวัยวะจนเปนรูปเปนรางวา คน เนื้อแทก็ยังเปนอะตอมอยู แตเรียกกลุมอะตอมนี้วา คน คนจึงเปนชื่อเรียก
สิ่งที่รวมกันนั้น เมื่อเทียบคนกับอะตอม อะตอมจริงกวา ในแงเปรียบเทียบ คน จึงเปนสิ่งไมจริงแทเปนสิ่ง
สมมติหรือบัญญัติ
พระพุทธศาสนามองขอเท็จจริงวาคนเรามีความอยากกระหายตาง ๆ ทั้งทางกายทางใจ ทั้งหยาบ
ทั้งละเอียด ทิศทางที่มนุษยจะดําเนินชีวิตมีไดสองทิศทาง คือ มุงไปตามความอยาก สนองความอยาก กับ
มุงลดและละความอยาก คนที่มุงไปทางความอยากเชนนักสุขนิยมจะเรียกสิ่งสนองความอยากนั้นวาของดี
การสนองความอยากเปนการกระทําที่ดี คนที่มีทิฐิมานะ ความยึดติดชื่อเสียง เกียรติยศ หนาตา ก็จะเรียก
สิ่งนั้น ๆ วาของดี และเรียกการกระทําที่ทําใหไดสิ่งนั้น ๆ มาวาเปนการกระทําที่ดี
พระพุทธศาสนาเห็นวาความอยากนํามนุษยไปสูความทุกขที่ตองดิ้นรนพยายามสนองความอยาก
จนทําใหรางกายตองตรากตรํามากกวาที่ควร ทรุดโทรม ปวยไข และตายเร็ว ขอสําคัญคือแยงเวลาที่จะทํา
สิ่งอื่นที่ดีวาไปเสียหมด เชนทํางานหนักจนไมมีเวลาดูแลลูก หรือจนเจ็บปวยอยูเนือง ๆ ไมมีเวลาไดพักผอน
อยางเต็มที่ที่จะใหรางกายไดสบาย พระพุทธศาสนาจึงสอนใหคนแสวงหาความสุขทางกายเทาที่จะทําใหไม
เกิดทุกขแกรางกาย เพราะรางกายยังจําเปนตองบริโภค ถาขาดแคลนก็เปนทุกข แตก็ไมสอนใหคนบริโภคเกิน
ความสุขที่แทจริงของมนุษยคือความสงบทางใจซึ่งจะตองอาศัยการละความสุขทางกายเปนเบื้องตน
ละความติดใจในความสุขทางกาย จนกระทั่งสามารถพิจารณากายและวัตถุอยางปรมัตถ เห็นวาอะไรจริง อะไร
สมมติบัญญัติ ละกิเลสที่เปนเครื่องพันธนาการมนุษยไดจึงจะถึงความสุขสูงสุด
102
เมื่อพิจารณาในแงนี้ ดีชั่ว เปนบัญญัติ ผูที่แสวงหาความหลุดพน ในที่สุดแลวก็ตอง ละ ดีชั่ว คือ
ละความเห็นวาอะไรดี อะไรชั่ว เหมือนนักเคมีละเรื่องความสกปรก และอยูกับความจริง คือ สารเคมี ดีชั่วใน
แงนี้จึงหมายถึงการมุงไปสูความหลุดพนกิเลสตัณหาหรือมุงเขาหากิเลสตัณหา ถามุงหากิเลสก็ชั่ว ถามุงละ
ก็ดี ยิ่งละมากก็ยิ่งดีมาก ยิ่งเขาหากิเลสตัณหามาก็ยิ่งชั่วมาก ละโลภ โกรธ หลงไดมากก็ดีมาก เพิ่มโลภ
โกรธ หลง มากก็ชั่วมาก การปฏิบัติที่เปนความจริงปรมัตถคือเปนไปเพื่อละหรือเพื่อเพิ่มโลภ โกรธ หลง คําวา
ดีหรือชั่วเปนชื่อเรียกการปฏิบัติดังกลาว
ถามองในแงที่ ดี ชั่ว เปนชื่อ ดีชั่วก็ไมเปนวัตถุวิสัย แตถามองวามีการปฏิบัติจริง ดีชั่วซึ่งเปนชื่อก็เปน
วัตถุวิสัย ตามการปฏิบัติที่มีจริงเปนจริงนั้นไปดวย
ดีชั่ว มีอยูจริงและเปนวัตถุวิสัยในความหมายดังกลาว แตการปฏิบัติก็มีดีมากนอย ชั่วมากนอย ดีชั่ว
จึงไมใชสิ่งสัมบูรณ แตก็ไมใชสัมพัทธกับสังคม เวลา สถานที่ บุคคล หากแตสัมพัทธกับระดับความละกิเลส
ตัณหา ดีชั่ว ในที่สุดก็ตองถูกละหมด เหลือแตปญญาที่รูปรมัตถ คือสิ่งทั้งหลายที่มีองคประกอบลวนเปน
ทุกข และอนิจจัง รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย ไมวาจะมีองคประกอบหรือไมมีองคประกอบลวนเปน
อนัตตา
เราอาจสรุปเรื่องดี ชั่ว ในพระพุทธศาสนาไดดวยภาษาที่ดูเหมือนขัดแยงแตเปนไปไดดังที่อธิบาย
แลวคือ ดีชั่วเปนวัตถุวิสัยแตเปนสมมติบัญญัติ และดีชั่วไมใชความจริงสมบูรณแตสัมพัทธกับความกับความ
จริงสูงสุด ซึ่งเปนความจริงสัมบูรณ ดีเปนสิ่งควรกระทํา ชั่วเปนสิ่งไมควรกระทําและควรละที่ไดกระทําแลว
แตเปนสิ่งที่ตองละใหหมดเมื่อเขาสูความหลุดพนอันเปนจุดหมายสูงสุด
ถาพิจารณาในแงสังคม ดี ชั่ว ก็เปนวัตถุวิสัย มีกฎมีเกณฑในแงนี้ตางกับสัมพัทธนิยม แตแมวาดี
ชั่วเปนสากล แตก็ไมใชสิ่งสัมบูรณตามความคิดของสัมบูรณนิยม พิจารณาในแงเปนสิ่งพึงปฏิบัติก็ดีในตัว
(intrinsic good) พิจารณาในแงการดําเนินชีวิตไปสูความจริงสูงสุดก็เปนวิถีทาง (means) และเปนความดี
นอกตัว (extrinsic good)
103
บทที่ 7
ความดีงามกับประโยชนทางวัตถุ
ผลประโยชนเปนสิ่งที่ใครๆก็ปรารถนา แตถาหาผลประโยชนใสตัวผูเดียว ไมคํานึงถึงความเดือดรอน
เสียหายของผูอื่นหรือสวนรวมก็อาจไมเปนที่ปรารถนาและเปนที่รังเกียจของผูอื่นและของสังคม
ผลประโยชนของสวนรวมเปนที่พึงปรารถนายิ่งกวาผลประโยชนสวนตัวเพราะคนอยูในสังคม หาก
สังคมอยูไมไดคนก็อยูไมได ผลประโยชนของสังคมจึงตองมากอน ผลประโยชนเกิดแกสังคมแลวก็จะแผมาสู
คนแตละคน
ผลประโยชนแกสวนรวมนั้นมักจะคิดถึงความมั่งคั่งร่ํารวย ความมั่งคั่งร่ํารวยนั้นมีคุณประโยชน
มากมาย เพราะทําใหคนมีวามสุขกายไดมาก แตสิ่งอื่นเชน ความสงบ ความปลอดภัย ความเอื้อเฟอเผื่อแผ
ความเสียสละ ความซื่อตรง ความเปนธรรม ฯลฯ ก็มีคุณประโยชนและอํานวยความสุขไดมาก การคิดถึงแต
ผลประโยชนที่เปนความมั่งคั่งร่ํารวยอาจจะทําใหบกพรองในเรื่องเหลานี้ หรืออาจทําลายเรื่องเหลานี้ กลายเปน
โทษอันใหญหลวง
ผลประโยชนนั้นถาไดมาโดยสุจริต โดยไมเอาเปรียบ ไมเบียดเบียนก็เปนสิ่งควรมีควรได แตถา
ไดมาโดยทุจริต โดยทําลายความดีงาม แมจะนําผลนั้นไปทําประโยชน แมประโยชนนั้นจะเปนประโยชนแก
สวนรวมยังจะนับเปนผลประโยชนอันคุมคาไดหรือไม ยังจะนับเปนประโยชนอันสะอาดบริสุทธิ์หรือไม เชน
หลอกลวงเอาประโยชนจากประชาชนแลว นํากลับไปสูประชาชนเพื่อผลทางการเมืองอันเปนประโยชนตน
จะนับเปนผลประโยชนแกสวนรวมหรือไม สรางผลประโยชนแกสังคมโดยวิธีอันผิดศีลธรรมจะนับวามีคุณคา
หรือไม เรายกยองผลประโยชนสวนรวมมากกวาผลประโยชนสวนตัว แตลําพังผลประโยชนสวนรวมนับวา
เพียงพอแลวสําหรับตัดสินการกระทําหรือวาเรายังตองคํานึงถึงสิ่งอื่นใด
แนวคิดที่ถือผลเปนหลักกับไมถือผลเปนหลัก (Consequentialist and Non – Consequentialist)
ในวิชาจริยศาสตรมีแนวคิดสองแนวที่โตแยงกันวาอะไรเปนหลักสําคัญที่จะใชเปนเกณฑตัดสินทาง
ศีลธรรมแนวหนึ่งถือผลเปนหลักอีกแนวหนึ่งไมถือผลเปนหลักแนวที่ถือผลเปนหลักบางทีก็เรียกวาแนวอันตวาท
(teleological theory) แนวที่ไมถือผลเปนหลักบางทีก็เรียกวาแนวทฤษฎีกรณียธรรม (deontological theory)
ในปจจุบันนิยมใชคําวา consequentialist กับ non – consequentialist
1. แนวคิดที่ถือผลเปนหลัก
ทฤษฎีจริยศาสตรแนวที่ถือผลมี 2 พวกใหญ ๆ คืออัตนิยมทางจริยศาสตร (ethical egoism) กับ
ประโยชนนิยม (utilitarianism) ทั้งสองแนวนี้ถือวาคนเราควรทําในสิ่งที่จะนําผลดีมาให สองแนวนี้ตางกัน
ตรงที่ใครควรเปนผูไดรับผลประโยชน พวกอัตนิยมทางจริยศาสตรคิดวาคนเราควรทําเพื่อผลประโยชนของ
ตน สวนประโยชนนิยมคิดวาคนเราควรทําเพื่อผลประโยชนของคนทั้งหมด พวกอัตนิยมไมจําเปนจะตองรีบ
104
คาผลประโยชนใสตัวเสมอไป หากเห็นวาจะนําความเดือดรอนหรือเสียประโยชนภายหลังก็อาจเลือกทําอยาง
เดียวกันพวกประโยชนนิยมได แตดวยเหตุผลคนละอยาง เชนการยอมแบงผลประโยชนจะนําผลประโยชนมา
ใหตนมากกวาการไมยอมแบงแลวถูกผูอื่นตอตาน เขาทํานองอดเปรี้ยวไวกินหวาน หรือเก็บไวกินนาน ๆ สวน
พวกประโยชนนิยมนั้นไมไดมุงประโยชนตน แตจะคิดวาการทําเชนนั้นแมตนจะไดรับผลที่ดีแตก็อาจเปนผลราย
ตอผูอื่นที่เกี่ยวของทั้งหมด แตทวาแมจะคิดตางกันเชนนี้ก็มีขอเหมือนที่สําคัญคือทั้งสองกลุมคํานึงถึงผลของ
การกระทํา
สวนทฤษฎีจริยศาสตรแนวที่ไมถือผลเปนหลักใหความสําคัญแกสิ่งอื่นที่เกี่ยวของกับการกระทํามากกวา
ผลของการกระทํา เชน การกระทํานั้นดีหรือไม ทําใหศีลธรรมสูงขึ้นหรือไม เปนไปตามพระประสงคของพระเจา
หรือไม นําไปสูความหลุดพนหรือไม
1.1 อัตนิยม (Egoism)
1.1.1 อัตนิยมทางจิตใจ (Psychological Egoism)
กอนที่จะพูดถึงทฤษฎีอัตนิยมทางจริยศาสตร ควรจะเขาใจทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจเสียกอน
ทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจไมใชทฤษฎีทางจริยศาสตร แตนักอัตนิยมทางจริยศาสตรบางคนพยายามจะให
อัตนิยมทางจิตใจเปนรากฐานทฤษฎีของตน คือ เริ่มจากสิ่งที่คนกระทําแลวอางไปสูสิ่งที่คนควรกระทํา
อัตนิยมทางจิตใจมี 2 แบบ แบบหัวรุนแรง (strong form) อางวาคนเราทําการตาง ๆ เพื่อ
ผลประโยชนของตนเสมอ เพราะธรรมชาติแหงจิตใจของมนุษยเปนเชนนั้น สวนแบบออน ๆ (weak form)
ถือวาคนเรามักจะทําเพื่อประโยชนของตนแตไมเสมอไป แตทั้งสองแบบนี้ก็ไมอาจนําไปอางเพื่อจะสรุปใน
เชิงจริยศาสตรไดวาคนเรา”ควร” ทําเพื่อประโยชนของตน
หากพิจารณาจากอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรง คนเราทําการตาง ๆ เพื่อประโยชนของ
ตนเสมอ ก็ไมจําเปนตองพูดถึงเรื่อง “ควร” เพราะวาเปนการบังคับโดยธรรมชาติให “ตอง” ทําอยูแลว จึงไม
มีอะไรที่ควรหรือไมควร สวนแบบออน ๆ ที่วาคนเรา “มักจะ” ทําการเพื่อประโยชนของตน ก็ไมมีอะไรที่
เกี่ยวของกับความ “ควร” หรือ “ไมควร” เมื่อพิจารณาทั้งสองแบบแลวก็ไมมีแบบใดที่เปนเงื่อนไขที่จําเปน
(condition) คือเปนสาเหตุที่ขาดไมได หรือเงื่อนไขที่พอเพียง (sufficient condition) คือเปนสาเหตุที่บังคับ
ใหเกิดความ “ควร” หรือ “ไมควร” กระทําเพื่อประโยชนของตน กลาวคือ การที่คนเราเปนอยางไร ไม
เกี่ยวของกับการที่คนเราควรจะเปนอยางไร “เปน” กับ “ควร” เปนคนละเรื่องที่ไมเกี่ยวของกัน ถาคนเรามี
ธรรมชาติ “เปน” สัตวโลกที่โหดราย ก็ไมจําเปนอะไรที่จะตองสรุปวา คนเรา “ควร” โหดราย
นอกจากนั้นอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรง ซึ่งสรุปวา “ทุกคน” ทําเพื่อผลประโยชนของ
ตนเสมอก็เปนทฤษฎีที่ยากจะพิสูจนไดเพราะจะตองพิสูจนวาแรงจูงใจที่ทําใหมนุษยกระทําการตาง ๆ ทุก ๆ
แรงจูงใจเปนความเห็นแกตัวทั้งหมด ดังนั้นหากพบวามีแรงจูงใจสักอยางหนึ่ง หรือมีคนสักคนหนึ่งที่ทําตาม
แรงจูงใจอยางใดอยางหนึ่งที่ไมเปนไปเพื่อประโยชนสวนตน ทฤษฎีนี้ก็จะผิด แตการพิสูจนเชนนั้นก็ทําไดยาก
ทฤษฎีนี้จึงเปนความเชื่อที่พิสูจนไมได ทํานองเดียวกับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยูพนการพิสูจนตามปกติ
105
กลาวคือความเชื่อนี้มิไดพิสูจนจากขอเท็จจริง แตเปนความเชื่อที่นํามาอธิบายขอเท็จจริงโดยที่มิไดพิสูจนวา
ความเชื่อนั้นเปนจริงหรือนาเชื่อหรือไม
สมมติวาเราใหสตางคแกขอทานโดยที่เราไมรูสึกหรือไมคิดวาตองการผลตอบแทนใด ๆ ใน
สายตาของอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรงจะเห็นวาเราอาจหวังวาผลบุญจะตอบสนองเราในชาติหนา เรา
อาจตองการใหคนอื่นเห็นวาเราเปนคนมีเมตตา ซึ่งจะทําใหคนเหลานั้นเห็นวาเราเปนคนดีและปฏิบัติตอเรา
อยางดีหรืออยางยกยอง หรือหากไมใชเหตุผลเหลานั้นก็อาจเปนไปไดวา เราเกิดความคิดวาหากเราตองตก
อยูในสภาวะของขอทานเราคงลําบากและอยากใหคนอื่นชวยเหลือ เราไดเอาตัวเราไปเทียบกับขอทานแลวเกิด
ความสงสารตัวเอง เราจึงใหสตางคขอทานเพื่อใหตัวเรารูสึกสบายใจ
คําอธิบายเหลานี้หากจะทําใหดูลึกซึ้งไปกวานี้อีกก็คงทําไดแตปญหาก็คือทําไมคําอธิบาย
จึงตองเปนไปในแนวนี้เทานั้น คําอธิบายนี้มีเหตุผลดีกวาคําอธิบายที่มาจากความเชื่ออื่นอยางไร เชน คนเรา
มีธรรมชาติที่รูผิดชอบชั่วดี คนเรามีธรรมชาติรักผูอื่น คนเรามีธรรมชาติรวมมือกันจึงทําใหอยูรวมกันเปน
สังคม ฯลฯ ซึ่งแตละความเชื่อก็จะอธิบายกรณีนี้ตางออกไป อัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรงมีเหตุผลอะไรที่
พิสูจนวาความเชื่อของตนถูกตองกวาความเชื่ออื่น ๆ ทฤษฎีดังกลาวจึงเปนเพียงทฤษฎีหนึ่งเทานั้น ไมอาจ
เปนทฤษฎีที่ถูกตองสมบูรณทฤษฎีเดียวซึ่งเหนือกวาทฤษฎีอื่น ๆ ได
นอกจากนั้นคนแตละคนก็มีลักษณะและนิสัยใจคอแตกตางกันมากจนหาลักษณะเดียวที่เปน
ลักษณะรวมไมได ซึ่งเปนขอเท็จจริงที่เราประจักษอยู การกําหนดวาอะไรเปนลักษณะรวมลักษณะเดียวของ
มนุษยจึงเปนเรื่องที่พิสูจนไดยาก การทําเชนนั้นออกจะเปนการกระทําที่รูสึกเอาเองมากกวาจะมีเหตุผลเปน
รากฐาน และอธิบายไมไดวาเหตุใดจึงไมอางลักษณะอื่นเปนลักษณะรวมแทนที่จะอางการหาประโยชน
สวนตนหรือการหาประโยชนใสตน
เมื่อไมอาจหาเหตุผลอื่นใดได พวกอัตนิยมทางจิตใจมักจะถอยไปพิงกําแพงสุดทายคืออางวา
“คนเราทําสิ่งที่ตองการจะทําเสมอ” ดังนั้นแมคนเราจะตองการทําในสิ่งที่ไมใชความเห็นแกตัว แตเพราะนั่น
เปนความตองการของตัวเขา จึงเทากับเปนการทําตามความตองการของตัวเอง ซึ่งก็เปนความเห็นแกตัว
หรือเปนการทําเพื่อประโยชนสวนตนแบบหนึ่งหาใชทําเพราะความไมเห็นแกตัว แตขอโตแยงดังกลาวของ
นักอัตนิยมทางจิตใจก็มีปญหาอีก เพราะหากเปนเชนนั้นจะอธิบายกรณีที่คน “ไมตองการ” ทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไดอยางไร เชน กรณีที่เราตองทําทั้ง ๆ ที่ไมอยากจะทํา นอกจากนั้นการพูดวาคนเราทําในสิ่งที่อยากทําเสมอ
ก็หมายความวาคนเรา “ทําในสิ่งที่ตนทํา” ซึ่งก็ไมไดหมายความวาสิ่งที่ทํานั้นตองเปนการหาการกระทําที่
เห็นแกตัวหรือเห็นแกประโยชนสวนตน ทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจจึงไมอาจเปนเหตุผลทางจริยศาสตร ยิ่งเปน
ทฤษฎีแบบหัวรุนแรงดวยแลวยิ่งเปนการทําลายจริยธรรมอยางสิ้นเชิง
1.1.2 อัตนิยมทางจริยศาสตร (Ethical Egoism)
คนเราแมจะคิดถึงตัวเองเปนหลักแตก็ไมจําเปนตองเห็นแกตัวอยูตลอดเวลา เพราะการทํา
เชนนั้นยอมจะทําใหผูอื่นปฏิบัติไมดีตอเรา การไมเห็นแกตัวจึงทําใหไดผลประโยชนมากกวา หรือบางครั้ง
106
การที่จะใหไดผลประโยชนแกตนอาจจะตองปฏิบัติอยางเห็นแกผูอื่น ดังนั้นอัตนิยมทางจริยศาสตรจึงไมใช
ความเห็นแกตัว หรือไมใชทําตัวใหญโตเหนือผูอื่น แตอาจจะมีลักษณะเห็นแกผูอื่นและถอมตนก็ได
อัตนิยมทางจริยศาสตรอาจแบงออกเปน 3 แบบ คือ
1) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล (Universal ethical egoism) มีหลักการพื้นฐานวา
ทุกคนควรทําเพื่อผลประโยชนของตน โดยไมคํานึงถึงผลประโยชนของผูใด เวนแตผลประโยชนที่ตกแกผูนั้น
จะกลับมาเปนผลประโยชนของตน
2) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบปจเจก (Individual ethical egoism) มีหลักการวา คนแต
ละคนควรกระทําเพื่อผลประโยชนของตน
3) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสวนตัว (Personal ethical egoism) มีหลักการวา ฉันควร
กระทําเพื่อผลประโยชนของฉันโดยไมสนใจวาคนอื่น ๆ ควรจะทําอยางไร
แบบที่ 2 กับแบบที่ 3 เปนแบบที่พูดถึงคนแตละคนโดยไมกําหนดใหเปนหลักการทั่วไปของ
มนุษย แตศีลธรรมหรือระบบศีลธรรมที่เราพูดถึงในจริยศาสตร เปนหลักการสากลสําหรับมนุษยชาติทั้งสอง
แบบนั้นจะพูดถึงหลักการสากลวาอยางไร หากจําเปนตองอธิบาย นอกจากนั้นทั้งสองแบบยังไดละเลย
ขอเท็จจริงที่วา คนเราอยูรวมกับผูอื่นในสังคม การที่จะคิดถึงแตตัวเองโดยตัดสังคมออกไปจะทําไดหรือไม
ดวยเหตุผลดังกลาวอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล จึงมีลักษณะเปนอัตนิยมทางจริยศาสตรที่เปนทฤษฎี
ทางจริยศาสตรมากกวาแบบอื่น แตก็ยังเปนปญหาวาทฤษฎีดังกลาวมีเหตุผลเพียงไร
อัตนิยมทางจริยศาสตรสอนใหทุกคนทําการเพื่อผลประโยชนของตน ในกรณีที่บุคคลคน
หนึ่งทําเพื่อผลประโยชนสวนตน และหากแตละคนก็เปนเชนนี้ อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล ก็จะกลายเปน
แบบปจเจกไปแตถาใหทําตามผลประโยชนของทุกคนรวมกันก็จะกลายเปนลัทธิประโยชนนิยม (Utilitarianism)
ซึ่งไมใชอัตนิยม
อีกกรณีหนึ่งถาผลประโยชนสวนตนของคนสองคนขัดกันกลาวคือ หากเปนผลประโยชน
สวนตนของฝายหนึ่งก็จะไมเปนผลประโยชนหรือทําลายผลประโยชนสวนตนของอีกฝายหนึ่ง กรณีเชนนี้จะ
ใหทุกคนจะไดผลประโยชนสวนตนไดอยางไร ถาจะใหตางคนตางทําเพื่อผลประโยชนของตนก็จะกลายเปน
แบบปจเจก ถาฝายใดฝายหนึ่งจะทําเพื่อผลประโยชนของอีกฝายหนึ่งก็เทากับฝายที่เสียประโยชนไมไดทํา
เพื่อผลประโยชนของตนซึ่งก็ขัดกับหลักการของอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล นั่นคือทุกคนตางก็ตองการ
ใหตัวเองเปนสิ่งสูงสุดและใหทุกคนเปนสิ่งสูงสุด แตเมื่อผลประโยชนขัดกัน ความตองการของทุกคนก็ไป
ดวยกันไมได
กรณีดังกลาวถาฝายหนึ่งชักจูงใหอีกฝายหนึ่งทําเพื่อประโยชนของตนก็เปนการทําใหอีกฝาย
หนึ่งเสียประโยชน ซึ่งขัดกับหลักของแบบสากลที่ตองการใหทุกคนไดประโยชน แตถาบอกใหอีกฝายหนึ่งทําตาม
ประโยชนของเขาตนก็จะเสียประโยชน ก็จะเปนการกระทําที่ไมมุงผลประโยชนของตนซึ่งเปนการผิดหลักอัตนิยม
เรื่องนี้มีผูแกวาถาอยูนิ่งๆเสียไมแนะนําชักจูงอีกฝายหนึ่งเขาก็อาจเลือกทําในสิ่งที่เปนประโยชนแกเรา กรณีนี้
107
เราก็ไดประโยชนและไมทําใหเขาเสียประโยชนเพราะเราไมไดเปนผูชักจูง แตการทําเชนนั้นก็เทากับการที่ตน
ควรแนะนําใหเขาไดประโยชน แตกลับนิ่งเฉยไวและหวังวาเขาจะไมเลือกสิ่งที่ทําใหเขาไดประโยชน ถาการทํา
ตามหลักอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากลคือควรแนะนําใหเขาไดประโยชนของเขา การเลี่ยงที่จะไมแนะนํา
และหวังวาเขาจะไมเลือกสิ่งที่เปนประโยชนตอตัวเขาก็จะกลายเปนการใชปญญาเลี่ยงหลักการเทานั้น เพราะ
ถาหลักการนี้ตองการใหทุกคนหาประโยชนใหแกตนแตมิไดใหทําลายประโยชนของผูอื่นก็ตองไมใชวิธีเลี่ยง
หลักการเชนนั้น
หลักการอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากลจะใชไดดีที่สุดก็ในกรณีที่คนเราคอนขางตางคน
ตางอยู ซึ่งจะมีการขัดผลประโยชนกันนอย เชน แตละคนตางก็มีสังคมที่เลี้ยงตัวเองได และเปนอิสระ กรณี
เชนนี้ผลประโยชนสวนตัวก็จะเปนเรื่องที่ใชตัดสินการกระทําไดดี แตเมื่อใดที่ขอบเขตของปจเจกชนทับซอน
กัน และผลประโยชนของคนหนึ่งขัดกับอีกคนหนึ่ง อัตนิยมทางจริยศาสตรก็ยากที่จะแกไขใหผลประโยชน
ของทุกคนไดรับการพิทักษและทําใหทุกคนพอใจได หลักความเปนธรรมหรือความประนีประนอมจะตองนํามาใช
ซึ่งทําใหหลักการ“ผลประโยชนของทุกคน” ตองหยอนลง ในแงนี้นักอัตนิยมก็ตองกลายเปนนักประโยชนนิยม
และแทนที่จะมุงผลประโยชนของทุกคน ก็ตองมุงผลประโยชนที่ดีที่สุดสําหรับทุกคน
ปญหาสําคัญของอัตนิยมจึงอยูที่เรามิไดอยูในสังคมที่พึ่งตนเองทุกอยาง แตอยูในสังคมที่มี
ผูคนจํานวนมาก และตองพึ่งพาอาศัยกันทั้งดานสังคม เศรษฐกิจ และดานศีลธรรม ซึ่งเมื่อใดที่เกิดความ
ขัดแยงดานผลประโยชนสวนตัวก็ตองมีการประนีประนอมซึ่งหมายความวาบางคนจะไดรับผลประโยชนสวนตัว
เพียงบางสวนหรืออาจจะไมไดเลย
1.2 ประโยชนนิยม (Utilitarianism)
ประโยชนนิยม เปนศัพทบัญญัติมาจากคําวา utilitarianism ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากคําวา
utility ที่แปลวา ความมีประโยชนหรือเปนประโยชน นักประโยชนนิยมถือวาการกระทําใดที่กอประโยชนการ
กระทํานั้นถูกตอง “ทุกคนจึงควรกระทําการหรือกระทําตามกฎที่จะนําความดี (หรือความสุข) จํานวนมากที่สุด
มาใหทุกคนที่เกี่ยวของ” เหตุที่พูดถึงกระทําการและกระทําตามกฎก็เพราะประโยชนนิยมอาจแบงไดเปน
2 ประเภท คือ ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํา (act utilitarianism) กับประโยชนนิยมแบบเนนกฎ (rule
utilitarianism)ซึ่งทั้งสองแบบเปนทฤษฎีจริยศาสตรแบบเนนผลของการกระทําเชนเดียวกับอัตนิยม นักปรัชญา
คนสําคัญที่เปนผูนําของทฤษฎีดังกลาวคือ เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham 1748 – 1832) และจอหน
สจวรต มิลล (John Stuart Mill 1806 – 1873)
1.2.1 ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํา
ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามีหลักการวาคนเราควรกระทําการที่จะนําความดีที่เหนือกวา
ความเลวมาใหแกทุกคนที่เกี่ยวของกับการกระทํามากที่สุดนักประโยชนนิยมกลุมนี้ไมเชื่อวาจะตั้งกฎสําหรับการ
กระทําไดเนื่องจากสถานการณแตละสถานการณตางกันและคนแตละคนก็ตางกัน คนแตละคนตองประเมิน
108
สถานการณที่ตนเกี่ยวของและพยายามกําหนดใหไดวาการกระทําใดจะนําผลที่ดีจํานวนมากที่สุดและเกิดผล
เลวจํานวนนอยที่สุดมาใหแกทุกคนที่เกี่ยวของ มิใชเฉพาะแกตนเพียงผูเดียวดังที่เปนหลักการของอัตนิยม
ผูประเมินสถานการณจะตองเปนผูตกลงใจวาการกระทําใดในสถานการณในเวลานี้เปนสิ่งที่
ถูกตองที่สุด เชน การพูดจริงในสถานการณนี้ในขณะนี้เปนสิ่งที่ถูกตองหรือไม การที่คนสวนใหญจะเชื่อวาการ
พูดความจริงเปนสิ่งที่ดีนั้น นักประโยชนนิยมไมสนใจ นักประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามุงตัดสินเฉพาะ
ในสถานการณและขณะนั้น ๆ วาการพูดจริงเปนสิ่งที่ถูกตองหรือไม ไมมีกฎสากลใด ๆ ไมวาจะเปนเรื่อง
การฆา การลักขโมย การพูดเท็จ หรือศีลธรรมขออื่น ๆ เพราะสถานการณตางและคนก็ตาง ดังนั้นการ
กระทําที่ถือกันโดยทั่วไปวาผิดศีลธรรมก็อาจจะถูกศีลธรรมหรือผิดศีลธรรมไดในสายตาของนักประโยชนนิยม
แบบเนนการกระทําขอสําคัญอยูที่การกระทํานั้นในครั้งนั้นนํามาซึ่งความดีมากที่สุดเมื่อหักกลบลบกับความเลว
แลวหรือไม
ขอที่จะวิพากษวิจารณประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามีหลายขอคือ ขอแรก เปนเรื่องยาก
ที่จะแนใจไดวาอะไรเปนผลที่ดีแกผูอื่น ผลที่ดีตามความเห็นของเราผูอื่นอาจไมเห็นวาดี เราจะชั่งน้ําหนักหรือ
กําหนด “ดี” แทนผูอื่นไดหรือไม หากจะใหแนใจก็ตองถามทุก ๆ คนกอน และมีอยูบอย ๆ ที่เรามักจะตองทําให
ดีที่สุดเทาที่จะทําไดโดยไมมีโอกาสจะสอบถามได โดยเฉพาะกรณีใหม ๆ ที่ไมเคยเกิดกับเรามากอน เราจะ
มีเวลาพินิจพิเคราะหผลทั้งหมดซึ่งเราอาจรูไมครบถวนหรือไม ในแงนี้เราเพียงเลือกทําอยางใดอยางหนึ่ง
เทาที่จะตัดสินใจไดในขณะนั้นเทานั้น หากเปนเชนนี้การทําตามกฎซึ่งคนสวนมากไดพิจารณาแลวจะมิ
ดีกวาหรือ เชน คนสวนมากรักชีวิตและเห็นวาชีวิตมีคา จึงตั้งกฎหามการฆา เวนแตกรณีเฉพาะบางกรณี
เชน ปองกันตัว การพิจารณาการฆาเปนกรณี ๆ วาจะทําหรือไมทํานั้นเปนการเสียเวลาและโงเขลา เพราะ
เราไมมีเวลาพิจารณานอกจากจะฆาหรือไมฆาเทานั้น
นักประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําอาจอางวาโดยทั่วไปคนเราไดผานประสบการณเกี่ยวกับ
สถานการณตาง ๆมามากพอที่จะทําใหตัดสินไดในเวลาอันรวดเร็ว มิใชวาจะตองเริ่มคิดพิจารณาใหมทั้งหมด
แตถาการตัดสินใจมาจากประสบการณเดิม ๆ ก็แสดงวาเราไดปฏิบัติตาม กฎ ที่มีอยูในใจซึ่งมาจาก
ประสบการณเหลานั้น ถาตามประสบการณที่ผานมาเราไมฆา เมื่อพบสถานการณทํานองเดียวกัน เราจะทํา
ตามกฎจากประสบการณนั้นคือ “อยาฆาคนอื่นเมื่อสถานการณเปนแบบเดียวกับ ก.” ใชหรือไม ถา
ใชก็เทากับกลายเปนพวกประโยชนนิยมแบบเนนกฎ
ขอวิจารณอีกขอหนึ่งก็คือประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําจะสอนเด็กใหกระทําการอันมี
ศีลธรรมไดอยางไรในเมื่อไมมีกฎอื่น ๆ ที่จะใหทําตามนอกจากกฎประโยชนนิยม จึงดูเหมือนทุกคนตองเริ่มตน
เรียนรูที่จะเลือกการกระทําดวยตนเองใหมทั้งหมด การสรางระบบการศึกษาศีลธรรมตามแนวนี้แมอาจจะ
ทําได แตจะเกิดผลตามที่ตองการเพียงไร
109
1.2.2 ประโยชนนิยมแบบเนนกฎ
การที่ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําตองพบปญหาหลายประการทําใหเกิดแนวคิดใหมคือ
ประโยชนนิยมแบบเนนกฎขึ้น โดยมีแนวคิดตางกับประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําที่มีแนวคิดวา “ทุกคน
ควรกระทําการที่นําความดีมากที่สุดมาใหแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมดมาเปนแนวคิดวา “ทุกคนควรทําตามกฎที่
จะนําความดีจํานวนมากที่สุดมาใหแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมด”
แนวคิดนี้ทําใหแตละคนไมตองเริ่มตนหาผลเองในทุกๆสถานการณ และมีกฎที่จะใหการศึกษา
ทางศีลธรรมแกผูที่เริ่มตน นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎพยายามวางกฎซึ่งจะใหผลเปนความดีมากที่สุดแก
มนุษยชาติ โดยอาศัยประสบการณและการพิจารณาดวยเหตุผลอยางรอบคอบ เชนแทนที่จะตองเลือกวาใน
แตละสถานการณควรจะฆาหรือไมฆา นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎจะพิจารณาจากกรณีตาง ๆ ที่เกี่ยวกับ
การฆาและใชเหตุผลอยางรอบคอบ ซึ่งอาจทําใหตั้งกฎวา “จงอยาฆาใครเวนแตปองกันตัว” กฎนี้มาจาก
การที่ไดพบวาเวนแตกรณีปองกันตัวแลวการฆาทําใหเกิดผลรายมากกวาผลดีแกทุกคนที่เกี่ยวของทั้งในขณะนั้น
และในระยะยาว และหากปลอยใหมีการฆาเวนแตกรณีปองกันตัวในปจจุบันก็จะมีคนฆากันมากกวาที่เปนอยู
และเนื่องจากชีวิตเปนสิ่งสําคัญอันสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตจะมีไดก็ตอเมื่อมีชีวิต หากไมวางกฎเชนนั้นก็จะ
เกิดอันตรายแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมดมากกวาจะเกิดความดี
นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎมีความเชื่อตางกับแบบเนนการกระทําคือเชื่อวาคนเรามีแรงจูงใจ
การกระทํา และสถานการณคลาย ๆ กันซึ่งเปนเหตุใหสามารถตั้งกฎที่จะใชกับคนทุกคนในทุกสถานการณ
ของมนุษยได พวกประโยชนนิยมแบบเนนกฎเห็นวาเปนการโงและเปนอันตรายที่จะปลอยใหการกระทําทาง
ศีลธรรมขึ้นอยูกับคนแตละคน โดยแนนอนทางศีลธรรมใหแกสังคม พวกนี้เห็นวาประโยชนนิยมแบบเนนการ
กระทํานั้นพิจารณาสถานการณเดาสุมเปนครั้ง ๆ
นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎก็มีปญหาเชนกัน โดยเฉพาะใหเรื่องที่ตองกําหนดแทนผูอื่น
วาอะไรคือผลดีสําหรับทุกคน จุดออนนี้ไมกระทบอัตนิยม เพราะพวกอัตนิยมไมตัดสินใจแทนผูอื่น เราจะ
แนใจไดอยางไรวาในเมื่อสถานการณก็มีมากหลากหลาย คนก็มีมากและแตกตางกัน กฎที่ตั้งขึ้นจะเปนกฎ
ที่ใชไดกับสถานการณและคนอีกมากมายหลายหลากเชนนั้น โดยทําใหเกิดผลที่ดีมากที่สุดแกทุกคนที่เกี่ยวของ
ยิ่งเปนกฎดวยแลวก็ยิ่งมีปญหามากขึ้นเพราะกฎครอบคลุมการกระทําจํานวนมาก มิใชการกระทําเดียวในแต
ละครั้ง พวกนักศีลธรรมที่ไมยึดกฎ (non – rule moralist) เห็นวา ไมมีกฎใดที่ไมอาจหาขอยกเวนได แตถา
เราอางเชนนี้กับกฎทุกกฎเราก็จะกลับไปสูประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําอีก ถาตั้งกฎใหครอบคลุมทุก
กรณีไมไดก็อยาตั้งกฎเสียดีกวา เชน ถาตั้งกฎวา “จงอยาฆาเวนแตปองกันตัว” กรณีการทําแทงจะตอบวา
อยางไรในเมื่อทารกก็มิใชผูมาทํารายดังนั้นพวกตอตานการทําแทงก็จะสรุปวาทําแทงไมได สวนพวกสนับสนุน
การทําแทงก็จะพิจารณาวาตัวออนไมใชมนุษยและชีวิตแมสําคัญกวาลูกซึ่งมาทีหลัง จึงทําแทงได พวก
ประโยชนนิยมแบบเนนกฎจะตอบปญหานี้อยางไร ในกรณีที่อันตรายตอแมมิไดเกิดจากการตั้งครรภแตเกิด
จากเหตุผลอื่น เชน แมยังเด็กและไมมีอาชีพ หรือสังคมไมยอมรับหญิงที่ตั้งครรภโดยไมมีผูรับเปนพอของ
110
เด็ก นี่เปนตัวอยางที่ทําใหเห็นไดวาการตั้งกฎใหคลุมทุกกรณีของกฎนั้น ๆ เปนเรื่องยาก ซึ่งเปนปญหาหาก
จะใชประโยชนนิยมแบบเนนกฎ พวกประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําจะไมประสบปญหานี้เพราะมิได
พยายามใหกระทําอยางเดียวกัน ในทุกสภาพการณดังเชนพวกที่เนนกฎ
ปญหาสําคัญอีกปญหาหนึ่งซึ่งกระทบประโยชนนิยมทั้งสองแบบก็คือคําวา“เปนประโยชน”นั้น
เปนการเนนประโยชนของสวนรวมหรือของคนสวนใหญและเนนประโยชนที่หมายถึงความพึงพอใจและความ
พนจากความเจ็บปวดทรมานซึ่งมักเปนเรื่องทางประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มิไดหมายถึง
ประโยชน เชน ความดีงาม ความมีศีลธรรม ตามความหมายของนักศีลธรรม นอกจากนั้นการเนนประโยชน
ในลักษณะ “ความดีจํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด” ยังทําใหในที่สุดเกิดปญหาวากรณีที่ความดี
จํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุดเปนผลเลวมากที่สุดแกคนจํานวนนอย จะตัดสินอยางไร เชน
นักวิทยาศาสตรใชนักโทษประหารจํานวนไมกี่รอยคนในการทดลองเพื่อจะใหไดยารักษาโรคที่จะรักษาโรคซึ่ง
ทําใหคนเสียชีวิตนับลาน ๆ คน การที่คนจํานวนมากจะไดยารักษาโรคโดยทําใหนักโทษประหารตองตายโดย
มิไดตายเพราะความผิดที่เขากระทําจะนับเปนความถูกตองหรือไม ถาพิจารณาแตจํานวนตามหลักของ
ประโยชนนิยม การกระทํานี้ก็ถูกตอง
นอกจากจํานวนในลักษณะดังกลาวแลวประโยชนแกคนจํานวนมากที่สุดอาจนําไปคิดในแง
ประโยชนที่เทียบกับคาใชจายในการลงทุนคือผลกําไร (cost – benefit) คือ ดูวาใชความพยายามทุนหรือ
คาใชจายเทาใดในการที่จะใหไดผลกําไรเปนตัวเงิน ซึ่งในที่สุดอาจใชวัดคาของคนโดยดูวาใคร หรืออาชีพใด
ทําเงินใหแกสังคมได มากที่สุด แลวอาจจะใหผลประโยชนตอบแทนเปนเงินแกคนกลุมนั้นมากกวาคนกลุม
อื่น ๆ การพยายามทําใหเกิดความดีจํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุดอาจจะกลายเปนการไรศีลธรรม
ตอคนจํานวนนอยก็ได
การใหความเปนธรรมแกคนในสังคมทั่วหนากันนาจะเปนการมีศีลธรรมมากกวาการคํานึงถึง
เฉพาะคนสวนใหญ การคิดถึงคนสวนใหญอาจจําเปนในบางกรณี เชน กรณีที่จะตองใหกลุมอยูรอดโดยตอง
ใหคนสวนนอยเสียสละ เชนเพื่อจะใหทหารสวนใหญอยูรอดบางคนอาจตองเสี่ยงชีวิต แตผูที่คํานึงถึง
“ความสุขมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด” มักจะไมคิดถึง “ความสุขของทุกคน”
ประโยชนนิยมเปนแนวคิดที่พยายามปรับปรุงอัตนิยมโดยพิจารณาถึงทุกๆคนที่มีสวนเกี่ยวของ
ในการกระทําทางศีลธรรมการกระทําใดการกระทําหนึ่งแตก็ตองประสบปญหาสําหรับอัตนิยม ในประโยชน
นิยมแบบเนนการกระทําก็มีปญหาที่ไมมีกฎที่จะเปนแนวทาง แตละคนตองตัดสินใจเอาเองในแตละสถานการณ
วาอะไรดีที่สุดสําหรับทุกคน ในประโยชนนิยมแบบเนนกฎแมวาจะไมตองพิจารณาใหมทุกครั้งทุกสถานการณ
วาอะไรดีที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด แตยากที่จะบอกวากฎใดบางที่ครอบคลุมทุกคนในทุกสถานการณและ
ประโยชนนิยมทั้งสองแบบเปดโอกาสใหสามารถใชหลักผลกําไรมาเปนหลักคิด
สิ่งที่เปนปญหาของพวกที่คํานึงถึงผลเปนหลักทุกประเภทก็คือความจําเปนที่จะตองคิดถึงผล
ของการกระทําใหไดทุกแงทุกมุมนั้นเปนสิ่งที่ทํายากที่สุด และผลนั้นกระทบผูอื่นนอกเหนือจากพวกของตน
111
อยางไร เราไมมีความรูพอที่จะหาผลไดครบถวน และไมอาจมองเห็นผลในอนาคตไดอยางเพียงพอ เราจึงไม
รูแนชัดวาอะไรคือผลดีสําหรับเราและผูที่เกี่ยวของทั้งหมด ตัวอยางกรณีที่ประธานาธิบดีทรูแมนสั่งทิ้งระเบิด
นางาซากิ และฮิโรชิมานั้นนอกจากผลแพชนะแลว ผลที่ตามมามีอะไรบาง ประธานาธิบดีจะทราบหรือไม
เชน สงครามเย็น บรรยากาศโลกเสื่อมโทรม การพัฒนาอาวุธที่รายแรงยิ่งขึ้น แตเราจะมีมาตรฐานใดมาใช
เปนเกณฑตัดสินที่ดีกวาการใชผล เรื่องนี้ควรพิจารณาคําตอบจากนักปรัชญากลุมที่ไมเนนผลเปนหลัก
2. แนวคิดที่ไมถือผลเปนหลัก
แนวคิดที่ไมถือผลเปนหลักพิจารณาความถูกตองทางจริยธรรมจากเกณฑอื่นที่มิใชผลการกระทํา
พวกที่ไมถือผลเปนหลักถือวาผลไมใชและไมควรเปนเครื่องตัดสินวาการกระทําหรือคนมีศีลธรรมหรือไมมี
ศีลธรรม การกระทําจะตัดสินวาถูกตอง และคนจะตัดสินวาดีตองพิจารณาจากสิ่งอื่นที่สูงสงกวาผลการกระทํา
เชนในทฤษฎีโองการของพระผูเปนเจา การกระทําจะถูกหรือไม คนจะดีหรือไมอยูที่เชื่อฟงโองการของพระเจา
หรือไม ไมวาผลการกระทําจะเปนอยางไร อะไรดีหรืออะไรถูกตองอยูที่พระเจาจะกําหนด การตายของคน
เชน โจน ออฟ อารค ไมเกี่ยวอะไรกับความมีศีลธรรมหรือไมมีศีลธรรมของบุคคล
2.1 ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักแบบการกระทํา (Act Nonconsequestionlist Theories) ทฤษฎีที่
ไมถือผลเปนหลักก็มีทั้งแบบการกระทําและแบบกฎเชนเดียวกับทฤษฎีที่ถือผลเปนหลัก และก็มีจุดออนของ
แตละทฤษฎีคลาย ๆ กัน
ทฤษฎีที่ไมถือผลเปนหลักแบบการกระทํามีสมมติฐานวา กฎหรือทฤษฎีเกี่ยวกับศีลธรรมที่เปนกฎ
ทั่วไปไมมีอยู มีแตการกระทําแตละการกระทํา สถานการณแตละสถานการณและคนแตละคนเทานั้น เราตอง
พิจาณาแตละสถานการณโดยเฉพาะและตัดสินวาการกระทําอะไรที่ถูกตองในสถานการณนั้น การตัดสินของ
ทฤษฎีที่ไมถือผลการกระทําเปนหลักเปนแบบอัชฌัติกญาณ(intuition)คือรูดวยตนเอง เชนเห็นสีขาวกับสีดําก็
รูวาสีขาวไมใชสีดํา เมื่อผูใดตัดสินสถานการณเฉพาะใด ๆ เนื่องจากไมมีกฎหรือมาตรฐาน ผูนั้นก็ตองอาศัย
สิ่งที่รูสึกไดดวยตนเองเปนเครื่องตัดสิน ทฤษฎีนี้จึงมีความเปนปจเจกภาพคือเฉพาะตัวอยางมาก คนเราจะทํา
อะไรหรือไมอยูที่ความรูสึกของตนเองบอกวาอะไรถูกอะไรผิด ทฤษฎีนี้เนนการกระทําดวยความปรารถนาและ
อารมณมากกวาเหตุผล
ความเชื่อโดยทั่วไปของนักคิดกลุมนี้เชน คนที่มีการศึกษาอบรมมาดียอมมีความรูสึกวาอะไรถูก
อะไรผิด มนุษยเรามีความคิดและการปลงใจในดานศีลธรรมมากอนที่นักปรัชญาจะคิดเรื่องนี้ดวยเหตุผล
การอางเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมเปนไปเพื่อทําใหมั่นใจในประสบการณตรงหรืออัชฌัติกญาณของเรา
ยิ่งขึ้น เหตุผลของเราในเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรมก็อาจผิดเชนเดียวกับในเรื่องอื่น ๆ เราจึงตองกลับมาสู
ความรูสึกภายในและอัชฌัติกญาณของเรา
เรื่องอัชฌัติกญาณนี้มีขอคัดคานอยูหลายขอเชน
1) อัชฌัติกญาณเปนคําที่ไมอาจนิยามไดชัดเจนการพิสูจนวาอัชฌัติกญาณมีอยูเปนเรื่องยาก
112
2) ไมมีขอพิสูจนวาเรามีกฎศีลธรรมซึ่งติดตัวมาแตเกิดที่เราสามารถใชเปรียบกับการกระทําเพื่อตัดสิน
วาการกระทํานั้นถูกหรือผิดศีลธรรม
3) อัชฌัติกญาณไมทนตอการพิสูจนแบบวัตถุวิสัย เพราะวารูไดเฉพาะตัวผูที่มีอัชฌัติกญาณ
และอัชฌัติกญาณของคนหนึ่งก็ตางกับอีกคนหนึ่ง
4) คนที่ไมมีอัชฌัติกญาณทางศีลธรรมจะเปนพวกไมมีจริยธรรมหรือไมก็ตองใชมาตรฐานอื่นวัด
จริยธรรม
ขอ 3 เปนขอที่มีปญหาที่สุดเพราะอัชฌัติกญาณไมอาจแตกตางกันเหมือนเหตุผลหรือการตัดสิน
ดวยหลักฐานอื่นซึ่งไมถือวาแนนอนตายตัว แตเราก็ไมอาจแนใจไดวาอัชฌัติกญาณของทุกคนจะตองตรงกัน
ขอวิจารณแนวคิดแบบไมถือผลเปนหลักขออื่น ๆ ไดแก
1) เราจะรูไดอยางไรวาเรารูสึกวาอะไรถูกอะไรผิดอยางถูกตองโดยไมตองมีอะไรอื่นนําทาง
2) เราจะรูไดอยางไรวาเมื่อไรเรามีขอมูลเพียงพอแลวที่จะลงมติทางศีลธรรม
3) ในเมื่อศีลธรรมเปนเรื่องเฉพาะตัวอยางมาก เราจะรูไดอยางไรวาเราไดตัดสินอยางดีที่สุดอยาง
ที่ทุกคนที่เกี่ยวของควรจะไดรับ
4) ในการตัดสินทางศีลธรรมเราจะชื่อความรูสึกชั่วขณะไดหรือ
5) เราจะตัดสินใจทางจริยธรรมดวยความรูสึกไดอยางไร เพราะคนที่ฆาผูอื่นก็อาจอางไดวา ฉัน
รูสึกวาอยากฆาเขา ความรูสึกของคนฆากับคนที่กําลังจะถูกฆายอมตางกัน เราจะตัดสินความขัดแยงนี้ดวย
ความรูสึกของเราไดอยางไร มาตรฐานแบบนี้นับเปนสัมพัทธนิยมทางจริยธรรมอยางสูงสุดเพราะเปนการใช
ความรูสึกของปจเจกชนในแตละขณะ
6) ทั้งคนและสถานการณลวนตางกันอยางแทบไมมีอะไรเหมือนกัน จะตัดสินเหมือนกันไดอยางไร
2.2 ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักแบบกฎ (Rule Nonconsequentialist theories)
พวกไมถือผลเปนหลักแบบกฎเชื่อวามีกฎที่เปนฐานของศีลธรรม และผลไมสําคัญ ศีลธรรมเกิด
จากการทําตามกฎศีลธรรม ศีลธรรมไมเกี่ยวกับผลที่เกิดจากการทําตามกฎ กลาวคือเมื่อทําตามกฎศีลธรรม
แลวการกระทํานั้นก็ถูกตองไมวาผลจากการทําตามกฎนั้นจะเปนอยางไร ขอแตกตางระหวางพวกที่ไมถือผล
เปนหลักดวยกันก็คือ จะสรางกฎดังกลาวไดอยางไร วิธีหนึ่งก็คือโองการของพระเจาดังที่ไดกลาวมาแลว แต
ทฤษฎีนั้นก็ขาดรากฐานทางเหตุผลที่จะพิสูจน เพราะเหตุผลไมอาจพิสูจนสิ่งเหนือธรรมชาติได แมจะพิสูจน
ความมีอยูของสิ่งเหนือธรรมชาติได จะพิสูจนไดอยางไรวาสิ่งเหนือธรรมชาติกระทําถูกศีลธรรม และแมวาสิ่ง
เหนือธรรมชาติจะสั่งถูกตองตามศีลธรรม เราจะรูไดอยางไรวาเราตีความคําสั่งถูกหรือไม การตีความโองการ
ของพระผูเปนเจามักจะขัดแยงกัน
2.3 ทฤษฎีจริยศาสตรเชิงหนาที่ (Duty Ethics)
ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักที่มีชื่อเสียงอีกทฤษฎีหนึ่งคือ ทฤษฎีที่มักเรียกกันวาจริยศาสตรเชิงหนาที่
(Duty Ethics) ซึ่งเปนทฤษฎีของอิมมานูเอล คานท (Immanuel Kant 1724 – 1804)
113
2.3.1 กฎศีลธรรมตองเปนกฎสากล
คานทเชื่อวาสามารถสรางกฎศีลธรรมไดโดยใชเหตุผลลวน ๆ คานทไมอางสิ่งเหนือธรรมชาติ
และไมอางขอมูลจากประสบการณแตอางเหตุผลแบบเดียวกับคณิตศาสตร เชน รูปสามเหลี่ยมมี 3 ดาน
1+1 เปน 2 ซึ่งเปนขอความที่หากปฏิเสธจะแยงตัวเอง เชน พูดไมไดวา รูปสามเหลี่ยมไมมี 3 ดาน เพราะ
แยงขอความวารูปสามเหลี่ยมมี 3 ดาน (เปนอยางอื่นไปไมได) และขอความที่จะเปนกฎไดตองเปนสากล
คือ เปนเชนนั้นเสมอ ไมมีขอยกเวน เหมือน 1+1 ตองเปน 2 ไมมีขอยกเวน
ตัวอยางกฎศีลธรรมที่เปนสากลเชน “จงพูดความจริง” คานทมิไดถือวาขอความนี้เปนกฎ
เพราะถาพูดไมจริงแลวจะเกิดผลอะไรและมิไดอางวามีคําสั่งใครที่ใหพูดจริง แตเขาชี้วา ก หรือ ข อาจพูดไม
จริงได นั่นเปนขอเท็จจริง แต “ทุกคนพูดไมจริง” เปนไปไมไดเพราะถาทุกคนพูดไมจริง คําพูดก็ไมมี
ความหมายเพราะจะไมมีใครเชื่อคําพูดใครได การพูดไมจริงจึงเปนการทําลายการพูด ซึ่งเปนการแยงตัวเอง
ที่การพูดยังคงอยูไดเพราะ การพูดมีไวเพื่อบอกความจริง ถาทุกคนพากันพูดไมจริงหนาที่ของการพูดก็เสีย
ไป จึงตองถือเปนกฎวา “ทุกคนตองพูดความจริง” การพูดไมจริงเปนการผิดกฎศีลธรรม
กฎบางกฎเปนขอหามเชน “จงอยาอยูโดยเกาะคนอื่นกิน” ถาเราแยงกฎนี้วา “ทุกคนจงอยู
โดยเกาะคนอื่นกิน” คือไมมีใครทํามาหากินเองเลย ถาทุกคนตองอยูโดยเกาะคนอื่นกิน ก็ไมมีใครที่อาจเปน
ผูใหคนอื่นกินไดเลย ในที่สุดทุกคนก็อยูไมไดเพราะไมมีกิน ขอความ “ทุกคนจงอยูโดยเกาะคนอื่นกิน” จึงแยง
ตัวเอง ดังนั้นทุกคนตองไมอยูโดยเกาะคนอื่นกิน
หากเราพบขอความชนิดนี้มาก ๆ ก็อาจสรางระบบจริยศาสตรซึ่งประกอบดวยกฎสากล และ
การทําตามกฎสากลเหลานี้ก็จะเปนการทําถูกตองทางศีลธรรมโดยไมตองคํานึงถึงผลที่จะเกิดแกตนหรือแก
ผูอื่น เชน “จงพูดความจริง” เปนกฎสากล ดังนั้นถาใครพูดเท็จก็ผิดกฎทันทีไมวาการพูดเท็จนั้นจะ
เกิดผลอยางไรแกใครหรือไม
2.3.2 การทําตามกฎศีลธรรมตองถือเปนหนาที่
คําสองคําในหัวขอนี้คือ“การทําตามกฎ”และ“หนาที่”ถือเปนคําที่สําคัญในระบบจริยศาสตร
ของคานท ซึ่งจะตองทําความเขาใจใหชัดเจน “การทําตามกฎ” หมายถึงทําตามกฎสากลทางศีลธรรมดังที่
กลาวมาแลว คือเปนกฎที่ตองพิสูจนไดวาเปนกฎสากล กฎอื่น ๆ ที่คนแตละคนยึดถือหรือสังคมสรางขึ้นอาจ
เปนกฎสากลหรือไมก็ได หากพิสูจนดวยเหตุผลแบบที่ไดพิสูจนมาแลวขางตนไดวาเปนกฎสากล กฎนั้นก็เปน
กฎศีลธรรมได การทําตามกฎในที่นี้หมายถึงทําตามกฎศีลธรรม การทําตามกฎอื่น ๆ เชนกฎของการทํางาน
ที่วาใหมาทํางานกอน 08.00 น. ไมนับอยูในขายนี้เพราะแมจะเปนกฎเกี่ยวกับพฤติกรรมคือพฤติกรรมในการ
ทํางานแตมิใชกฎเกี่ยวกับความประพฤติดีชั่วซึ่งเปนกฎศีลธรรมหรือกฎทางจริยศาสตร การทําตามกฎก็ตองเปน
การทําเพราะเปนกฎโดยไมมีขอยกเวน มิใชทําเพราะเหตุอื่น เชน ไมพูดโกหกเพราะกลัวพอแมจะเสียใจ
เพราะกลัวผูอื่นจะไมเชื่อถือ เพราะตองการใหคนอื่นเห็นวาซื่อสัตย แตตองไมโกหกเพราะการโกหกเปนสิ่งที่
ไมดีในตัว
114
อีกคําหนึ่งคือ “หนาที่” การทําตามกฎตองถือเปนหนาที่คือตองทําเสมอจะทําบางไมทําบาง
ไมได เปนหนาที่ของคนที่จะตองทําตามกฎศีลธรรม หนาที่นี้เปนหนาที่ทางศีลธรรม ไมใชหนาที่ในความหมาย
ทั่วไป เชน หนาที่ของพอแม หนาที่ของแพทย ซึ่งเปนหนาที่โดยฐานะทางสังคมหรืออาชีพการงานไมใช
หนาที่ในฐานะเปนคน คนเราไมวาจะมีฐานะเปนอะไรแตทุกคนตองเปนคน และหนาที่ของคนในฐานะเปน
คนก็คือศีลธรรม คนจึงมีหนาที่ปฏิบัติตามกฎศีลธรรม หรือทําตามกฎศีลธรรมโดยถือเปนหนาที่ การถือเปน
หนาที่ก็คือไมคํานึงถึงเงื่อนไขใด ๆ เชน สภาพแวดลอม บุคคล สถานการณหรือผล ในฐานะเปนคนจึงตอง
ถือกฎวา “จงทําตามกฎศีลธรรมโดยถือเปนหนาที่” กฎที่วานี้มีลักษณะเปนกฎสัมบูรณและเนื่องจากกฎมี
ลักษณะเปนคําสั่ง คานทเรียกคําสั่งที่มนุษยตองปฏิบัติอยางเปนหนาที่นี้วา คําสั่งเด็ดขาด (Categorical
Imperative)
คําสั่งเด็ดขาดอาจอธิบายไดหลายแบบ แตโดยพื้นฐานก็คือ คําสั่งนี้ระบุวา “การกระทํา
นับวาผิดศีลธรรมหากกฎที่กําหนดการกระทํานั้นไมอาจทําใหเปนกฎที่คนทุกคนจะตองทําตามได” ขอนี้
หมายความวาเมื่อผูใดจะทําการใด ๆ อันเปนการกระทําทางศีลธรรมผูนั้นจะตองถามคําถามแกตัวเองสอง
คําถามคือ คําถามแรก กฎที่กําหนดใหเรากระทําคืออะไร คําถามที่สอง กฎนั้นเปนกฎที่ทุกคนจะตองทํา
ตามหรือไม เปนตนวานายขี้เกียจคนหนึ่งคิดวาจะไมทํางานแตจะอยูโดยใชวิธีขโมยของผูอื่น คนผูนั้นหากจะ
พิจารณาวาคําสั่งนี้เปนคําสั่งเด็ดขาดสําหรับทุกคนหรือไม เขาจะตองพิจารณาวากฎของเขาคือ “ฉันจะไม
ทํางาน แตจะขโมยสิ่งที่ฉันตองการจากผูอื่น” กฎนี้ตองทําใหเปนกฎสากลคือ กฎที่ทุกคนตองทําตาม ซึ่งก็จะ
ไดกฎสากลวา “ทุกคนจะตองไมทํางาน แตจะขโมยสิ่งที่ตนตองการจากผูอื่น” เมื่อพิจารณาเชนนี้แลวก็จะเห็น
ไดวา กฎนี้ทําใหการขโมยเปนไปไมได เพราะถาไมมีคนใดทํางานเลย จะขโมยจากใครไดเนื่องจากเมื่อไม
ทํางานก็ไมมีอะไรจะใหขโมย การขโมยจึงเปนสิ่งที่เปนไปไมไดและกฎนี้แยงตัวเอง
การที่ตองพิจารณาความเปนสากลของกฎเชนนี้ก็เนื่องจากคนเรามักตั้งกฎเอาเองและเปน
กฎที่มิไดพิสูจนความเปนสากล หากแตถือเปนกฎเพราะแรงจูงใจตาง ๆ เชนคนที่คิดวาจะขโมยของผูอื่นนั้น
คิดเอาแตได เขาอาจเห็นวาเปนการสบายถาอยูไดดวยการขโมยคนอื่น จึงคิดวาการขโมยเปนวิธีที่ดี แตถา
คิดใหกวางกวานั้นวาเขาคิดเชนนั้นจริง ๆ หรือไม หากคนอื่นขโมยเขา ซึ่งคนอื่นนับวาการกระทํานั้นดี หรือ
กรณีที่คนบางคนชวยผูอื่นเพราะสงสาร การทําเพราะความสงสารถือวาไมไดทําตามกฎ ไมไดทําเพราะการ
ชวยเหลือผูอื่นเปนสิ่งที่ดีในตัว สมมติวาการกระทํานี้เปนกฎแตคนผูนี้ไมไดทําเพราะเปนกฎ เขาทําเพราะ
เงื่อนไขหรือแรงจูงใจอื่นคือความสงสารหากไมสงสารเขาก็จะไมทํา การกระทํานี้จึงดีไมสมบูรณเพราะคําสั่งที่
เขาทําตามไมใชคําสั่งเด็ดขาด แตเปนคําสั่งที่มีเงื่อนไข (Hypothetical Imperative)
2.3.3 คําสั่งทางการปฏิบัติ (Practical Imperative)
คําสั่งเด็ดขาดนั้นบงถึงการกระทําคือเมื่อเปนกฎแลวตองทํา โดยความหมายเชนนี้คําสั่ง
เด็ดขาดก็นาจะเปนคําสั่งทางการปฏิบัติอยูแลว แตคําวา คําสั่งทางการปฏิบัตินี้คานทใชกับหลักการสําคัญ
115
ทางจริยศาสตรที่เกี่ยวของกับคนทุกคน ในระบบจริยศาสตรนี้จึงตองใหคนทุกคนมีฐานะความสําคัญในดาน
การประพฤติทางจริยะเหมือนกัน
คําวา การปฏิบัติคานทมักจะใชในความหมายเดียวกับจริยธรรม เชน เหตุผลทางการปฏิบัติ
(practical reason) ก็เปนคุณสมบัติของมนุษยที่จะรูผิดชอบชั่วดีและทําใหเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกตอง มิได
หมายถึงการปฏิบัติ และเหตุผลในความหมายทั่วไป คําวา practical imperative คานทก็ใชในความหมาย
เฉพาะคือหมายถึงหลักการทางจริยธรรมที่วา “จะตองไมคิดถึงหรือใชมนุษยเปนเพียงวิถีทางเพื่อจุดหมายของ
ผูอื่น” “คนแตละคนเปนจุดหมายในตัวเอง หลักการขอนี้สําคัญ เพราะระบบจริยศาสตรควรจะตองเปนธรรม
และปฏิบัติตอทุกคนเสมอกัน
การไมใชมนุษยเปนวิถีทางนั้นทําใหคานทคัดคานแมแตการฆาตัวตายซึ่งนักประโยชนนิยม
บางคนถือวาอาจเปนสิ่งที่นาสรรเสริญในบางกรณี
ในเรื่องการฆาตัวตาย สมมติวาผูที่ฆาตัวตายมีหลักการสวนตัว (maxim) วา “เนื่องจากรัก
ตนเองฉันจึงควรทําลายชีวิตเสียหากเมื่อใดที่การมีชีวิตอยูตอไปนําความทุกขมาใหมากกวาความสุข”หลักสวน
บุคคลนี้จะทําใหกลายเปนหลักการสากล (universalized) ไดหรือไม คานทคิดวาไมไดเพราะเกิดการแยง
ตัวเองกลาวคือ ถารักตัวเองก็ตองทําใหตัวดีขึ้น การทําลายชีวิตจึงขัดแยงกับการรักตัวเอง หลักการสวนตัว
ดังกลาวจึงไมอาจเปนกฎสากลสําหรับทุกคนไดเพราะวาตนกับปลายคือ รักตัวเองกับทําลายชีวิตตัว ไมเขา
กันและไมสอดคลองกับคําสั่งเด็ดขาด
นอกจากนั้นยังขัดกับคําสั่งทางการปฏิบัติที่วาทุกคนเปนจุดหมายในตัว เพราะหากคน
ทําลายชีวิตตัวเพื่อจะหนีจากสภาพแวดลอมอันทุกขทรมาน ก็เทากับใชมนุษยเปนเพียงวิถีทางที่จะคง
สภาวะที่ทนไดไวเทานั้น คนที่ฆาตัวตายจึงเปนผูทําผิดหลักการดังกลาว เพราะหากคนเราเปนจุดหมายใน
ตัวเองก็ไมมีใครที่มีสิทธิทําลายชีวิต แมวาชีวิตนั้นจะเปนชีวิตของเขาเอง นอกจากนั้นสําหรับคานทชีวิตมี
หนาที่การรักษาชีวิตจึงเปนหนาที่ เพราะถาไมมีชีวิตก็ไมอาจทําหนาที่ของมนุษยได การทําลายชีวิตจึงเปน
การกระทําที่แยงตัวเอง ขัดกับการกระทําอันเปนหนาที่ตอชีวิต
เนื่องจากคานทยึดถือหลักการอยางเครงครัดการยึดถือหลักการบางครั้งก็ขัดกับความรูสึกของ
มนุษย เชน ถาการรักษาสัญญาเปนสิ่งที่ดี การไมรักษาสัญญาเปนสิ่งไมดี หากการรักษาสัญญาทําใหคนที่
ออนตอโลกตองบาดเจ็บสาหัส หรือตาย เปนสิ่งที่ควรทําหรือไม ตามความคิดของคานทความออนตอโลก
เจ็บหรือตายก็เปนเรื่องปกติ แตจะไมรักษาสัญญาไมได เพราะจะตองไมคํานึงถึงผล เรื่องนี้ก็อาจเปนปญหา
วาระหวางการรักษาสัญญากับการรักษาชีวิตคนที่ออนตอโลก อะไรเปนหลักการสําคัญกวากัน คานทไมได
ใหคําตอบวากรณีที่หลักการสองหลักการซึ่งสําคัญทั้งคูขัดแยงกันจะจัดการอยางไร เรามีหนาที่รักษาสัญญา
แตเราก็มีหนาที่ที่จะไมทําใหใครตายดวย
116
ขอที่เปนปญหาอีกขอหนึ่งคือ กฎที่เด็ดขาดกับกฎที่มีขอแม อะไรเปนกฎที่สากลกวา เชน
กฎศีลธรรมมักไมมีขอแมและเปนกฎที่เด็ดขาด เชน “หามฆา” สวน “หามฆาเวนแตเพื่อปองกันตัว” เปนกฎ
ที่มีขอแม แตทั้งสองกฎก็สามารถเปนกฎสากลได และกฎขอหลังดูจะเปนกฎที่สอดคลองกับความเปน
มนุษยและดูเปนธรรมชาติมากกวาขอแรก กฎสัมบูรณคือกฎสากลที่ไมมีขอแมหรือขอยกเวนที่คานทพยายาม
รักษา แตจะอธิบายกฎที่มีขอยกเวนดังกลาวอยางไร
กฎสากลนั้นคานทมักจะอธิบายควบคูกับความสอดคลองระหวางตนกับปลาย (consistency)
คือไมแยงตัวเองแตกฎสากลบางกฎอาจเปนสากลแตไมเกี่ยวกับความสอดคลองระหวางตนกับปลาย จะนับเปน
กฎศีลธรรมไดหรือไม เชน “จงอยาชวยคนที่อดอยาก” กฎนี้เปนกฎสากล และการไมชวยคนที่อดอยากก็ไม
แยงตัวเองคือไมทําใหมนุษยชาติตองสูญ หรือจะตองอดอยาก
คานทตอบปญหานี้โดยอางหลักการคิดยอน (reversibility) เชน กฎวา “จงอยาชวยคนที่
อดอยาก” คานทใหถามวาถาทานอดอยากทานตองการใหทําเชนนั้นหรือไม ดังนั้นกฎดังกลาวแมเปนกฎสากล
ได แตเปนกฎสากลทางศีลธรรมไมได คําตอบนี้อาจแกปญหาได แตการตอบเชนนี้จะกลายเปนการนําผล
การกระทํามาพิจารณาหรือไม
ความคิดของพวกไมถือผลเปนหลักจึงเกิดปญหาสําคัญ 3 ขอคือ
1. เหตุใดเราจึงยังคงทําตามกฎอยูทั้ง ๆ ที่รูวากรณีนั้น ๆ เกิดผลรายอยางใหญหลวง
2. เราจะแกปญหาขอขัดแยงระหวางกฎที่มีความเปนกฎเทา ๆ กันไดอยางไร
3. ที่วากฎศีลธรรมจะตองไมมีขอยกเวนกฎดังกลาวมีจริงหรือในเมื่อพฤติกรรมและประสบการณ
ของมนุษยแสนจะสลับซับซอน
3. พระพุทธศาสนาเปนประโยชนนิยมหรือไม
ประโยชนนิยมเปนปรัชญาฝายถือผลเปนหลักถาพระพุทธศาสนาเปนประโยชนนิยมพระพุทธศาสนา
ก็เปนฝายถือผลเปนหลัก พระพุทธศาสนาพูดเรื่องประโยชนซึ่งอาจทําใหตีความวาพระพุทธศาสนาเปน
ประโยชนนิยม แตพระพุทธศาสนาก็อาจไมจัดเปนประโยชนนิยม ถาคําวา ประโยชนที่พระพุทธศาสนาใชมี
ความหมายตางกับที่ประโยชนนิยมใช และพระพุทธศาสนาแมใชคําวาประโยชนนิยมในความหมายตางออกไป
ก็อาจเปนพวกถือผลเปนหลักได ถาใชผลเปนเครื่องตัดสินการกระทําวาถูกหรือผิด แตจะอางวาพระพุทธศาสนา
เปนฝายถือผลเปนหลักเพียงเพราะพระพุทธศาสนามีความจริงสูงสุดที่เปนจุดหมายอันบุคคลมุงปฏิบัติเพื่อจะ
บรรลุนั้นหาไดไม เพราะยังไมเขาเกณฑการใชผลเปนเครื่องตัดสิน
แนวคิดเกี่ยวกับประโยชนในพระพุทธศาสนา
หลักเกี่ยวกับประโยชนพระพุทธศาสนาเรียกวา อัตถะ แปลวา ประโยชนผลที่มุงหมาย จุดหมาย
ทานกลาวไว สองแง แงหนึ่งคือประโยชนแกใคร ไดแก
117
อัตตัตถะ ประโยชนตน
ปรัตถะ ประโยชนตน
อุภยัตถะ ประโยชนทั้งสองฝาย1
หลักประโยชนในแงนี้ยังอยูในขอบเขตของประโยชนนิยมและเปนการมุงผลวาจะใหประโยชนนั้น
เกิดแกใคร ซึ่งเปนการถือผลเปนหลักในการพิจารณาการกระทําวา การกระทําที่ดีคือการกระทําที่เปนประโยชน
แตเมื่อพิจารณาความหมายของประโยชนแลวทานแบงเปน
ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชนปจจุบัน ประโยชนในโลกนี้
สัมปรายิกัตถะ ประโยชนเบื้องหนา ประโยชนในโลกหนา ภพหนา
ปรมัตถะ ประโยชนสูงสุด จุดหมายสูงสุด2
ประโยชนทั้ง 3 ประการนี้พิจารณาในแงลําดับชั้นไดวาทิฏฐธัมมิกัตถะนั้นเปนประโยชนเฉพาะหนา
ประโยชนที่ไดรับในปจจุบัน ประโยชนชั่วคราว เชนใหความชวยเหลือผูอื่นแลวไดรับการตอบแทนคุณ
สัมปรายิกัตถะ เปนประโยชนที่สูงกวาซึ่งมีผลตอไปในภพหนา เชน การชวยเหลือผูอื่นเปนกรรมดี ทําใหคน
ผูนั้นเปนคนดียิ่งขึ้น กรรมดีนี้สงผลใหไปเกิดดี เกิดในที่ดี มีความสุขความเจริญ การเปนคนดีเปนประโยชนที่สูง
กวา แตการเปนคนดีก็สงผลไปในภพหนาคือ มีชาติมีภพที่ดีการไดรับการทําดีตอบแมทั้งสองอยางจะเปนเรื่อง
ในปจจุบัน สวนปรมัตถะประโยชนนั้น เปนประโยชนสูงที่สุดไมวาชาตินี้ภพนี้หรือชาติหนาภพหนา ความดี
สูงสุดหรือประโยชนสูงสุดไดแกนิพพาน ความดับกิเลสไดโดยไมเหลือ
ประโยชนดังกลาวนี้ ถาเทียบกับประโยชนตามความเห็นของประโยชนนิยมนับวาตางกันมาก เพราะ
ประโยชนนิยมนั้นเนนความสุขทางกายคือความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย เปนความสุขทางเนื้อหนังและ
อารมณความรูสึก สุข ตามทัศนะของประโยชนนิยมคือ ความพึงพอใจ ทุกขคือความเจ็บปวดทรมานไม
สบายกายไมสบายใจ อันเปนเรื่องของอารมณและความรูสึก พระพุทธศาสนาแบงความสุขออกเปน 2
ประเภทคือ
สามิสสุข คือ ความสุขจากกามคุณ เปนความสุขทางวัตถุทางประสาทสัมผัส มีวัตถุแหง
ประสาทสัมผัสคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนเครื่องลอใหแสวงหา ไมใชความสุขแทเปนความสุขที่มี
ทุกขเจือปน หรือมีทุกขตามมา
นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ไมเกี่ยวของกับกามคุณ เปนความสุขทางใจ เชน ความปลอดโปรงใจ
ความสงบใจ ความพอใจที่ไดความรูที่ถูกตองเปนจริง1
ความสุข 2 แบบนี้บางครั้งทานแบงตามองคประกอบของมนุษยคือกายกับใจ เปน
1
สํ นิ. 16/67/35
2
ขุ อิติ 25/201/242
1
อง. ทุก. 20/313/101
118
กายิกสุข สุขทางกาย
เจตสิกสุข สุขทางใจ2
เรื่องบุญกิริยาวัตถุ คือ เรื่องสิ่งที่จัดวาเปนการทําความดี หรือ วิธีที่จะทําความดี หนทางในการทํา
ความดี ก็เปนเรื่องที่เห็นไดชัดวาพระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเรื่องการทําดีทางใจสูงกวาทางกายหรือ
ทางวัตถุ ทานแบงระดับของการทําบุญซึ่งไดผลบุญแตกตางกันเปน 3 ระดับ ต่ําไปหาสูงโดยลําดับดังนี้
ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการใหปนสิ่งของ ถือเปนระดับต่ําสุด ไดบุญไมมาก
สีลมัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการรักษาศีล ประพฤติตนดี คิด พูด ทําในสิ่งที่ดี เปนระดับกลาง
ไดบุญมากกวาการใหทานมาก
ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการปฏิบัติบําเพ็ญเพียรทางใจ ฝกจิตใจใหมั่นคงมีสมาธิและ
เจริญปญญา เพื่อหลุดพนจากกิเลส เปนระดับสูงสุด ไดบุญมากกวาการรักษาศีลมาก1
เมื่อพิจารณาจากเรื่องที่กลาวมาทั้งหมด พระพุทธศาสนาดูเหมือนจะเปนฝายถือผลเปนหลัก แต
พระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเจตนามากดวยเชนกัน และในกรณีทั่ว ๆ ไป ยังใหความสําคัญแกเจตนา
มากกวาผล โดยถือวาการกระทําจะเปนกรรมก็ตองประกอบดวยเจตนาจะเปนกรรมดีหรือชั่วอยูที่เจตนาดี
หรือชั่ว ดังเชนกรณีที่ภิกษุรูปหนึ่งนําหินขึ้นไปทําหลังคาแลวทําหินตกลงบนศีรษะภิกษุอีกรูปหนึ่งภิกษุรูปนั้น
ถึงแกมรณภาพ พระพุทธองคทรงตัดสินวาภิกษุผูทําหินตกนั้นไมตองอาบัติปาราชิก ไมผิดฐานฆามนุษย ไม
มีโทษทางพระวินัย แตกรณีที่ภิกษุที่ขึ้นไปทําหลังคาแกลงทําหินตก ถูกภิกษุอีกรูปหนึ่งถึงแกมรณภาพ การ
กระทํานั้นเปนกรรมที่มีผลเพราะมีเจตนาฆาภิกษุนั้นตองอาบัติปาราชิก
ตามตัวอยางดังกลาวนี้จะเห็นไดวาพระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเจตนามากกวาผล ในแงนี้
พระพุทธศาสนาจึงเปนฝายไมถือผลเปนหลัก ทําใหดูเหมือนพระพุทธศาสนาถือหลักสองหลักที่ขัดแยงกัน
กรณีที่เจตนากับผลสอดคลองกันอาจจะตัดสินไดยากวาพระพุทธศาสนาอยูฝายใด แตกรณีตัวอยางดังกลาว
จะเห็นไดชัดวา เมื่อเจตนากับผลขัดกัน พระพุทธศาสนานาจะตองเลือกเจตนา ในกรณีดังกลาวเมื่อเกิด
ผลรายโดยไมเจตนาพระพุทธเจาไมทรงถือวามีผลดีหรือชั่ว เปนกรรมเกาของบุคคลผูรับผลนั้นเอง แตเมื่อมี
เจตนารายและเกิดผลรายทานถือวาเจตนามีผลสมบูรณ ทานถือวาเปนการทํากรรมชั่วของผูกระทํา ในแงนี้
เจตนาของผูกระทําจึงเปนสิ่งสําคัญ ในกรณีดังกลาว แมหากหินที่ตั้งใจทําหลนไมถูกพระภิกษุรูปนั้นก็ตอง
ถือวาเปนกรรมชั่วแลวเพราะเจตนาดังกลาว เนื่องจากทานแบง กรรมคือ การกระทําที่ประกอบดวยเจตนาดี
หรือชั่วออกเปน 3 ประเภทคือ
2
อง. ทุก. 20/315/101
1
ที. ปา. 11/228/230
119
กายกรรม
วจีกรรม
มโนกรรม1
การกระทําของพระภิกษุผูประทุษรายเปนทั้งมโนกรรมและกายกรรมจึงเปนการกระทําที่ผิด แมเพียง
ตั้งใจจะประทุษราย แตมิไดทําเพราะโอกาสไมอํานวย หรือมีอุปสรรคอื่น ๆ ก็ถือวาเปนความผิดแลวโดยทางใจ
การที่พระพุทธศาสนานับมโนกรรมไวเปนกรรมอยางหนึ่งยอมแสดงวาดีหรือชั่วเกิดขึ้นตั้งแตในใจจึงไดทรง
ตัดสินโดยใชเจตนาเปนเครื่องวัดการกระทําและวัดคนผูมีเจตนานั้น ผลที่เกิดขึ้นเปนแตเพียงเครื่องพิจารณา
ประกอบความผิดบาปแหงการกระทําวาสมบูรณหรือไม เกิดผลหนักเบาเพียงไร
พระพุทธศาสนามิไดพิจารณาวาเมื่อผิดอยูที่เจตนา การกระทําก็ผิดเทากันทั้งหมด ถาเจตนาแต
ไมไดทําก็ถือวาเจตนาแลวลงมือทํา ลงมือทําแลวไมเกิดผลก็ผิดนอยกวาเจตนาแลวเกิดผล เชน กรณี
พระองคุลีมาลจะไปฆามารดานั้นเปนการเกิดเจตนาที่จะฆาซึ่งเปนมโนทุจริตแลว พระพุทธเจาเสด็จไปทรง
ขัดขวางดวยพระกรุณาคุณที่จะไมใหองคุลีมาลทําผิด มาตุฆาตจึงไมเกิดขึ้น องคุลีมาลก็ไมผิดในแงกายทุจริต
เพราะไมมีกายกรรมเกิดขึ้น
นักคิดฝายตะวันตกมักจะคิดแบบสุดขั้ว มักจะแบงอะไร ๆ เปนขั้วที่สุดสองขั้ว เชน ดี ชั่ว ดํา ขาว
โดยไมพิจารณาองคประกอบ ดังนั้นจึงมักจะเห็นวา ถาดีชั่วเปนคุณสมบัติของเจตนา แมไมเกิดผล ดี ชั่ว ก็
ตองสมบูรณเทากัน แตพระพุทธศาสนาถือวา ดีชั่วที่เกิดที่ใจก็เรื่องหนึ่ง ที่วาจา ที่กายก็เปนอีกเรื่องหนึ่งตาง
กรรมกัน คนคิดจะฆา จะใหมีความหมายเทากับ คิดจะฆา และพูดวาจะฆาไดอยางไร คนที่คิดและพูดแต
ไมไดฆาจะผิดเทากับ คิด พูด และลงมือฆาไดอยางไร ดวยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงมิไดตัดสินอยางดํากับ
ขาว คือมิไดตัดสินโดย นิยามใหดี ชั่วไปอยูที่เจตนา หรือที่ผลการกระทําอยางใดอยางหนึ่งแตเพียงอยาง
เดียว ไมมีความจําเปนอะไรที่จะตองคิดเรื่องนี้ในแบบแบงขั้วเด็ดขาดดังที่กลาวขางตน และในความเปนจริง
ของกรรม และความรูสึกของคนโดยทั่วไปก็ไมมีความเอียงสุดเชนนั้น แมพระพุทธศาสนาจะใหความสําคัญ
แกเจตนาจนถึงระดับที่แมไมมีผลเกิดขึ้น ความมีผลหรือไมมีผล ความมีผลเปนไปตามเจตนามากหรือนอย
ไดนํามาคิดดวย เพราะการกระทํามีความสืบเนื่องตั้งแตตนไปจนจบวาอยูที่ใดระดับใด มิฉะนั้นเราคงตอง
ลงโทษประหารชีวิตคนตั้งแตเขาคิดจะฆาผูอื่นเพราะความผิดดังกลาวครบถวนมีคาเสมอเทากับลงมือฆา เหยื่อ
ถูกฆาแลวผูที่มีสติสัมปชัญญะและมีเหตุผลจะยอมรับความคิดเชนนี้ไดอยางไรดวยเหตุดังกลาวพระพุทธศาสนา
จึงมีวิธีตัดสินการกระทําโดยใชเกณฑ (criteria) มากกวาจะใชหลักใดหลักหนึ่งเพียงหลักเดียวมาตัดสิน การ
ใชเกณฑหมายความวาพิจารณาหลายหลักประกอบกันซึ่งผูมีเหตุผลยอมพิจารณาได เชนในกรณีดังกลาวสามารถ
พิจารณาไดตั้งแตเมื่อมีเฉพาะเจตนาเพียงองคประกอบเดียวในระดับตาง ๆ ลักษณะการกระทําที่เปนไปตาม
เจตนาหรือไม และผลที่เกิดขึ้นวามีมากนอยเพียงไร เปนผลจากการกระทําตามเจตนาหรือไม ดังนั้นเกณฑ
ตัดสินการกระทําของพระพุทธศาสนาจึงประกอบดวย
1
ม. ม. 13/64/50
120
เจตนา
การกระทําตามเจตนา
ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทํา
ความเห็นของนักปราชญ
เกณฑดังกลาวแสดงใหเห็นความรอบคอบในการตัดสินการกระทําวาดี หรือ ชั่ว คือพิจารณา
ตั้งแตเจตนาที่อยูในใจ แลวดูวามีเจตนาในคําพูด ในการกระทําดวยหรือไม การกระทํานั้นแสดงใหเห็น
เจตนาอะไร อยางไร มากนอยเพียงไร และเกิดผลอะไร สมบูรณหรือไม ดีมากนอย หรือชั่วมากนอยเพียงไร
การตัดสินของบุคคลเดียวก็ยังไมพอ ของฝูงชนก็ยังไมพอ ตองมีการวินิจฉัยจากนักปราชญคือผูเชี่ยวชาญ
ในเรื่องนั้นและวินิจฉัยโดยความเปนธรรม หากนักปราชญสรรเสริญ การวินิจฉัยของเราก็มั่นใจได หาก
นักปราชญตําหนิก็ตองพิจารณาใหมใหรอบคอบ
มติที่เนนทั้งเจตนาและผลนี้อาจทําใหพระพุทธศาสนาไมเปนฝายใดเลยเพราะการแบงเปนฝายถือ
ผลกับไมถือผลนั้นเปนการแบงแบบสุดขั้วดังกลาวมาแลว ทําใหความคิดอื่น ๆ ซึ่งเปนจริงไมอาจเขากลุมได
และความจริงการแบงแบบนี้ก็ไมจําเปน แตหากจะใหพิจารณาวาพระพุทธศาสนานาจะอยูในกลุมใดมากกวา
พระพุทธศาสนาก็นาจะอยูในกลุมที่ไมถือผลเปนหลัก เพราะกําหนดวาความผิดเกิดขึ้นตั้งแตมีเจตนาเกิดขึ้น
ในใจ
121
บทที่ 8
ความรูกับความเชื่อ
เราไดพูดถึงเรื่องตาง ๆ ที่คนเชื่อวา “จริง” ซึ่งมีทั้ง “จริง” ที่รูไดทางประสาทสัมผัส และที่รูไดดวย
วิธีอื่น ๆ เชน เหตุผลและอัชฌัติกญาณ (intuition) ความรูจากประสาทสัมผัสนั้นพวกวัตถุนิยมเชื่อวาจริง แตก็
มีผูคัดคานวาไมจริง เชน คัดคานวาประสาทสัมผัสบางครั้งก็หลอกลวงเราเชน เห็นทางรถไฟบรรจบกันหรือเห็น
ฟากับทะเลเชื่อมตอกันที่เสนขอบฟา เห็นตอไมเปนคนในเวลากลางคืนเปนตน สวนความรูโดยอัชฌัชติกญาณ
เชนพระเจานั้นพวกจิตนิยมเชื่อวาจริง แตพวกวัตถุนิยมเห็นวาเปนความเชื่อ อะไรที่ฝายใดเชื่อวาจริง การรู
เกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ก็ถือเปนความรู อะไรที่ฝายใดไมเชื่อวาจริง การรูเกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ก็ถือเปนความเชื่อ
1. ความรูจากประสบการณ (Empirical Knowledge)
ความรูจากประสบการณคือความรูที่ไดจากการรับรูทางประสาทสัมผัส ความรูเริ่มแรกของมนุษย
คือความรูทางประสาทสัมผัส ทารกรับรูสัมผัสของแม และมองเห็นปลาตะเพียนที่แขวนบนเปล รับรูกลิ่น
และรสของอาหาร มนุษยรูจักโลกภายนอกกอนที่จะสนใจศึกษาธรรมชาติภายในตัว มองเห็น ไดกลิ่น ลิ้มรส
และสัมผัสสิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวตั้งแตลมที่พัดมากระทบ จนถึงดวงอาทิตยและดวงดาวที่อยูหางไกล ประสาท
สัมผัสจึงเปนเครื่องมือในการรับรู และความรูจากประสบการณทางประสาทสัมผัสเปนความรูที่มากมาย
มหาศาลที่เปนขอมูลในการดําเนินชีวิตของมนุษย มนุษยจึงเชื่อโดยปกติวาโลกแหงประสาทสัมผัสเปนโลกที่
เปนจริง และมนุษยไดความรูโดยอาศัยประสาทสัมผัส เรารูจักและสามารถอยูกับโลกภายนอกตัวเราได
ประสาทสัมผัสบางอยางยังรับรูสิ่งที่เกิดภายในตัวดวย เชน การสัมผัสมีทั้งสัมผัสโดยผิวหนังภายนอกและ
โดยพื้นผิวและประสาทสัมผัสภายใน เชน อาหารที่สัมผัสกระพุงแกม ความเย็นของมินทที่สัมผัสไดในลําคอ
ประสาทสัมผัสทั้งหา ซึ่งรับสัมผัสนี้ สงความรูสึกไปตามเซลลประสาทสูสมอง เมื่อพูดถึงประสาทสัมผัสทั้งหา
ในปจจุบันเราจึงหมายรวมถึงการทํางานของสมองดวย ความรูสึกภายในที่อาจไมไดมาจากภายนอก เชน ปวด
ศีรษะ เจ็บในขอ ปวดระบมที่กลามเนื้อหรือเอ็น ก็นับเปนความรูสึกทางประสาทสัมผัสดวยเชนกัน อวัยวะ
ภายในของเราก็มีความรูสึกและชวยควบคุมตัวเรา เชนอวัยวะภายในหูทําใหเราทรงตัวไดอยางสมดุลและบอก
เราวาเรากําลังเคลื่อนไปทางซายมือหรือทางขวา ประสาทสัมผัสของเราทั้งสวนภายนอกและภายในจึงใหขอมูล
และทําใหเราดํารงชีวิตไดอยางปกติทั้งในความสัมพันธกับโลกภายนอก และในการควบคุมการทํางานภายใน
รางกายตลอดจนความรูสึกนึกคิดซึ่งทั้งหมดนี้เปนโลกภายในตัวเรา
แมวาประสาทสัมผัสจะใหขอมูลแกเราอยางมหาศาลและเปนสวนสําคัญในการดําเนินชีวิตของเราและ
คนสวนใหญก็เชื่อวาประสาทสัมผัสใหความจริงแกเราแตเราก็ไมอาจเชื่อประสาทสัมผัสไดเสมอไปเพราะประสาท
สัมผัสอาจใหขอมูลที่ไมจริง หรือการตีความขอมูลทางประสาทสัมผัสอาจผิดพลาด คนสวนใหญไมคอยได
คํานึงถึงเรื่องนี้และมักจะเชื่อประสาทสัมผัสอยางมักงาย เรามักจะพูดวาถาจะใหเชื่อวาจริงก็ตองมองเห็นได
โดยที่ลืมไปวาบางครั้งสิ่งที่มองเห็นได หรือสิ่งที่ “เห็นไดชัด” ก็ไมใชสิ่งที่เปนจริง
122
ความรูโดยประสบการณหรือโดยประสาทสัมผัสโดยตรงนั้นมีขอจํากัดคือความสามารถหรือสมรรถภาพ
ของประสาทสัมผัสของมนุษยมีจํากัดเชนสุนัขมีประสาทในการดมกลิ่นดีกวามนุษยมากความรูจากประสบการณ
ของมนุษยจึงจํากัดดวยเหตุดังกลาว แตมนุษยก็มีความสามารถในการสรางเครื่องมือเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ
ของประสาทสัมผัสเชนสรางเลนสที่ทําใหเห็นไดไกล และขยายขนาดใหใหญ สรางเครื่องมือที่รับพลังงานซึ่ง
เปนสิ่งที่มองเห็นไมไดดวยตาเปลา ขอมูลจากอุปกรณและเครื่องมือที่สรางขึ้นนี้ก็นับเปนขอมูลทางประสาท
สัมผัสดวย
1.1 ลักษณะของความรูที่มาจากประสบการณ
สัตวและคนตางก็มีประสาทสัมผัส ประสาทสัมผัสของสัตวดูเหมือนจะมีคุณภาพดีกวาประสาท
สัมผัสของคน แตสัตวก็หาความรูจากประสบการณไดไมมากนัก เชนเมื่อเคยไดรับอันตรายจากสิ่งใดก็จะกลัว
สิ่งนั้นและไมเขาใกล แตไมอาจคิดหาวิธีปองกันอื่นหรือไมคิดหาวิธีนํามาใชประโยชนอยางที่มนุษยสามารถ
กระทําได
การที่มนุษยหาความรูจากประสบการณไดดีกวาสัตวเพราะมนุษยสามารถมองเห็นและเลือกลักษณะ
ที่ซ้ํา ๆ กัน ซึ่งเปนลักษณะสําคัญของปรากฏการณและยังเห็นความสัมพันธกันของลักษณะเหลานั้นอยางเปน
ระบบ ซึ่งทําใหมนุษยสามารถเขาใจวาปรากฏการณนั้น ๆ ประกอบดวยอะไรและสิ่งเหลานั้นสัมพันธกัน
อยางไร เหมือนคนที่ดูฟุตบอลโดยไมรูกฎของการเลนฟุตบอลมากอน เมื่อสังเกตนาน ๆ เขาก็รูวาอะไรทําได
อะไรทําไมได คนเลนแตละฝายมีกี่คน กี่ตําแหนง แตละตําแหนงมีหนาที่อยางไร นั่นคือรูวิธีเลน รูความสัมพันธ
ระหวางตําแหนงตาง ๆ และรูกฎของการเลนฟุตบอล ทั้งหมดนี้เปนนามธรรมซึ่งสังเกตจากรูปธรรมคือคนที่วิ่ง
หยุดและเตะลูกในสนาม กรรมการที่เปานกหวีด ชี้มือและยกใบแดง ใบเหลือง ความรูคอย ๆ เกิดขึ้นจนรูกฎ
สมบูรณและสามารถอธิบายกฎได คนไมเคยอานกฎมากอน แตสามารถสรางกฎขึ้นในใจซึ่งตรงกับกฎที่ผู
เลนฟุตบอลปฏิบัติอยูได
กฎวิทยาศาสตรก็เปนเชนเดียวกันคือเปนกฎที่ไดมาจากการสังเกตประสบการณแลวอาศัยประสบการณ
ที่สังเกตไดเปนฐานในการอางเพื่อสรุปลักษณะทั่วไปหรือลักษณะสากลคือลักษณะที่ปรากฏรวมในทุกปรากฏการณ
ที่สังเกต และใชลักษณะรวมที่สรุปไดเปนกฎสําหรับอธิบายปรากฏการณเชนเดียวกันนั้นซึ่งจะเกิดในอนาคต
กฎที่มาจากการสังเกตนี้อาจเปนการเขาใจผิดก็ได
ที่วานี้เปนกฎที่ไมตายตัวเปนเพียงกฎ “ที่เปนไปได” กลาวคือเปนกฎที่เราจะใชไปตราบเทาที่ยัง
สอดคลองกับสิ่งที่เราสังเกต เชน พืชจะเติบโตไดตองอาศัยแสงแดด ปลาวาฬสีเทาอพยพในเดือนมีนาคม
ไขนกกางเขนมีสีฟา แสงเดินทางดวยความเร็ว 186,000 ไมลตอวินาที ไฟจะไมติดถาขาดออกซิเจน
กฎที่วานี้แทจริงก็เปนเพียงความเชื่อ เชนเราอาจเคยเห็นไขนกกางเขนมานับเปนพัน ๆ รัง ทุกรังมี
สีฟาทั้งสิ้นแตเราจะแนใจไดอยางไรวานกกางเขนอื่นๆที่เราไมไดเห็นไมมีไขสีอื่นขอความที่สรุปจากประสบการณ
หรือความรูที่มาจากประสบการณเปนความรูที่มาจากขอมูลในอดีตและเราไมอาจยืนยันไดวาไมมีขอมูลอื่นที่เรา
ไมไดสังเกต หรือไมมีขอมูลชนิดนั้นในอนาคตที่ไมเหมือนสิ่งที่เคยเกิดในอดีต ความรูจากประสบการณจึง
123
เปนความรูที่ไมตายตัว แมเราจะเรียกความรูนี้วาความจริง ก็เปนความจริงที่อาจถูกหรือผิดได (contingent
truth) มิใชความจริงตายตัวหรือความจริงที่ตองเปนเชนนั้น (necessary truth) ขอความที่มาจากประสบการณ
เนื่องจากเปนการสังเคราะหคือรวบรวมจากประสบการณ เราเรียกขอความชนิดนี้วา ขอความสังเคราะห
(synthetic statement) ซึ่งใหความจริงแบบไมตายตัว หรือเปนความรูแบบไมตายตัว (contingent knowledge)
ซึ่งที่จริงเปนเพียงความเชื่อที่มีขอมูลสนับสนุนเทานั้นวิทยาศาสตรก็ดี สังคมศาสตรก็ดี ลวนเปนความรูชนิดนี้
สังคมศาสตรนั้นเห็นไดชัดวาเปนเพียงความรูที่ “อาจเปนไปได” เพราะวิธีการสําคัญของสังคมศาสตรก็คือ
การใชสถิติ และสถิตินั้นเปนเรื่องความคาดคะเน ประมาณการ หรือความเปนไปได มิใชเรื่องความแนนอน
ตายตัว
1.2 การพิสูจนความรูทางประสบการณ
สิ่งที่เปนความจริงเราเรียกวาความรู ตัวประสบการณที่เราพบก็ดี กฎเกณฑที่ไดจากประสบการณ
ก็ดีเราถือวาเปนความจริงและจัดเปนความรูจากประสบการณ แตเราจะรูไดอยางไรวา ขอความที่เกี่ยวกับ
ประสบการณนั้นขอความใดจริง ขอความใดไมจริง ขอความที่เกี่ยวกับประสบการณจะเปนขอความที่เปน
จริงก็เมื่อสอดคลองกับประสบการณ เชน ถามีขอความวา “โลกมีแรงดึงดูด” ถาปรากฏวาทุกครั้งที่เราโยน
สิ่งใดขึ้นไป สิ่งนั้นจะตกกลับลงมายังพื้นโลกเสมอ ขอความดังกลาวก็จริง แตถามีขอความวา “นกกางเขน
จะอพยพในเดือนธันวาคม” แตไมปรากฏวานกกางเขนอพยพขอความดังกลาวก็เท็จ ตามที่อธิบายมานี้จะ
เห็นไดวาคนทั่วไปที่เชื่อประสบการณมักเชื่อวาขอความจะเปนจริงเมื่อพิสูจนไดดวยประสบการณ การสรุป
ความจริงของขอความโดยการพิสูจนวาจริงนี้เรียกวาทฤษฎีพิสูจนวาจริง (verification theory) นักปรัชญา
ชื่อ A.J. Ayer เปนคนสําคัญคนหนึ่งที่เชื่อทฤษฎีนี้ แอรมีความเห็นวาขอความที่มีความหมายมีเพียง 2 ชนิด
คือ ขอความวิเคราะห (analytic statement) กับขอความสังเคราะห (synthetic statement) ขอความสอง
ประเภทนี้มีความหมายก็เพราะสามารถพิสูจนวาเปนจริง (verify) ได สวนขอความอื่น ๆ ไมมีความหมาย
เพราะพิสูจนวาเปนจริงไมได
ขอความวิเคราะหเปนขอความที่พิสูจนวาจริงไดดวยคํานิยาม (definition) กลาวคือขอความชนิด
นี้เปนขอความที่พูดแบบกําปนทุบดิน รูปแบบปกติของขอความแบบกําปนทุบดินก็คือ ก คือ ก เชน คนก็คือ
คน รูปแบบที่อําพรางการซ้ําดังกลาวก็คือใชคําคําอื่นซึ่งมีความหมายเทากันหรือมีความหมายนั้นในคําที่พูด
ถึงเชน “คนโสดคือคนที่ไมมีคูครอง” “ไมมีคูครอง” เปนความหมายของ “โสด” ดวยเหตุนี้ขอความดังกลาว
จึงเปนขอความที่แยงตัวเองเมื่อปฏิเสธ เชน “คนโสดมีคูครอง” เปนขอความที่แยงตัวเอง เพราะ “โสด”
นิยามวา “ไมมีคูครอง” การพูดวามีคูครองจึงเปนการแยงคําวาโสด ความจริงของขอความประเภทนี้มาจาก
การนิยาม เชน ขอความวา “คนโสดคือคนที่ไมมีคูครอง” เปนจริงตามคํานิยามของคํา “โสด” ความจริง
ดังกลาวมิไดมาจากประสบการณไมตองมีประสบการณมาพิสูจน แตจริงโดยไมตองดูประสบการณ จึงเรียกวา
ความจริงกอนประสบการณ (a priori truth) และขอความชนิดนี้เรียกวาขอความกอนประสบการณ (a priori
statement) และการพิสูจนความจริงโดยนิยามก็ทําไดดวยการวิเคราะหนิยามของคํา
124
ขอความสังเคราะหเนนขอความที่คําซึ่งกลาวถึงในขอความเปนคําที่ใชแทนความคิดเกี่ยวกับประสบการณ
ที่สังเคราะหขึ้นเปนมโนทัศน (concept) เชน โตะ เกาอี้ เปนคําที่ใชเรียกความคิดเกี่ยวกับประสบการณที่
รวมลักษณะของวัตถุกลุมหนึ่งคือ “ไม หรือ วัสดุอื่น ที่มีรูปรางเปนทรงเรขาคณิตหรือทรงอื่น ประกอบดวย
พื้นเรียบมีขารองรับ ใชสําหรับวางหรือรองเขียนหนังสือ หรือวางสิ่งของ” ที่ทําเครื่องหมายไวในประโยค
ดังกลาวคือคําที่แทนประสบการณซึ่งนํามารวมกันเปนประโยค
ขอความสังเคราะหพูดถึงประสบการณ ความหมายของขอความจึงไดแกสิ่งที่ขอความนั้นพูดถึง
การพิสูจนวาขอความประเภทนี้จริงหรือไมจึงตองดูวาประสบการณกับขอความที่ตองการพิสูจนสอดคลองกัน
หรือไม เชน “แมงมุมเปนสัตวที่มี 8 ขา” พิสูจนวาจริงไดโดยการดูแมงมุมวามีจํานวนขาเชนนั้นหรือไม ถามี
จํานวนดังกลาวขอความก็จริงถาไมเปนดังนั้นขอความก็เท็จ การที่ขอความประเภทนี้พิสูจนวาจริงไดโดยอาศัย
ประสบการณ ความหมายของขอความจึงมาจากประสบการณและขอความดังกลาวตองอาศัยประสบการณ
กอนจึงจะบอกวาจริงหรือเท็จได จึงเรียกวาขอความหลังประสบการณ (a posteriori statement) ขอความที่
เกี่ยวกับโลกก็คือขอความชนิดนี้ สวนขอความวิเคราะหเปนขอความที่เกี่ยวกับความคิดและการวิเคราะห
ความคิด ไมไดพูดอะไรเกี่ยวกับโลกแหงประสบการณ
ขอความประเภทอื่นเชนขอความทางจริยศาสตรหรือขอความทางเมตาฟสิกส เชน “พระเจาทรงรัก
โลก” “ก. เปนคนดี” เหลานี้เปนขอความที่ไรความหมาย (nonsense) “พระเจา” พิสูจนไมไดดวยประสบการณ
จึงไมเปนจริง ดังนั้นจึงรักโลกไมได “ก. เปนคนดี” ก็มีความหมายไมตางจาก “ก. เปนคน” สวน “ดี” เปนแต
เพียงคําที่ใชแสดงความรูสึกเชิงเห็นดวย ไมตางอะไรกับเครื่องหมาย ! ที่แสดงความตื่นเตนตกใจ หรือ ? ที่ใช
แสดงความฉงนหรือมีปญหา
การที่แอรคิดเชนนี้ก็เพราะแอรเชื่อความจริงชนิดเดียวคือความจริงทางประสบการณหรือความจริง
ทางประสาทสัมผัสขอความเกี่ยวกับสิ่งที่ไมอยูในขอบเขตประสาทสัมผัสจึงเปนขอความที่ไรความหมายบางครั้ง
ก็เรียกวา ขอความเทียม (pseudo statement) คือดูโดยรูปแบบเหมือนขอความที่มีความหมาย แตที่จริงไมมี
ความหมาย1
2. ความรูกอนประสบการณ (A priori knowledge)
ความรูกอนประสบการณเปนความรูอีกชนิดหนึ่งซึ่งเปนความรูที่เกี่ยวของกับธรรมชาติ ความรูชนิด
นี้เปนความจริงที่จําเปนหรือตายตัว (necessary truth) ซึ่งตรงขามกับความจริงตามประสบการณที่เปนความ
จริงแบบไมตายตัว อาจจริงหรือไมจริงก็ได (contingent truth) ความรูชนิดนี้มีสวนเกี่ยวของกับธรรมชาติ
เชนเดียวกับความรูชนิดหลังประสบการณที่เราไดศึกษากันมาแลว
ความจริงกอนประสบการณซึ่งเปนความจริงตายตัวนี้เรารูจักและยอมรับกันมาแลวเชน สองบวก
สองเปนสี่ เสนขนานไมมีวันบรรจบกัน มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมรวมกันเทากับสองมุมฉาก ความจริง
1
อานเพิ่มเติมใน A.J. Ayer. Language truth and Logic Middlesex : Pelican Books. 1971.
125
ดังกลาวนี้เปนจริงเสมอ เราไมอาจคัดคานได ความจริงประเภทนี้เปนความจริงในศาสตรที่นักวิชาการสมัยกอน
เรียกวาศาสตรที่แนนอน (exact sciences) เชน คณิตศาสตร และตรรกวิทยา ความรูเหลานี้แนนอนเสียจน
ปฏิเสธไมได เชนเรารูวารางรถไฟขนานกัน เมื่อเราเห็นรางรถไฟบรรจบกัน เราไมเชื่อตามที่ตาเห็น แตเราจะ
คิดวาภาพที่เห็นเปนภาพลวงตา ภาพที่ปรากฏทางประสาทสัมผัสหรือประสบการณไมอาจนํามาใชคัดคาน
ขอความนี้ได เราสามารถแยงความจริงชนิดนี้ไดดวยเหตุผลโดยไมตองใชประสบการณใด ๆ
บุคคลสําคัญที่พูดถึงความรูแบบตายตัววาสัมพันธกับโลกภายนอกหรือธรรมชาติก็คือพิธากอรัส
(Pythagoras) ตั้งแตเมื่อศตวรรษที่ 6 กอนคริสตศักราช ทานผูนี้ไดวางรากฐานของเลขคณิตและเรขาคณิต
ซึ่งชวยพัฒนาวิชากลศาสตร ตอมาพิธากอรัสเชื่อวาดวยวิธีการทางคณิตศาสตร เราสามารถหาความจริง
สากลได ทฤษฎีที่เรียกวา ทฤษฎีของพิธากอรัส เปนตัวอยางของความจริงชนิดนี้ ทฤษฎีดังกลาวคือ “จตุรัส
บนดานทแยงของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากมีคาเทากับผลบวกของจตุรัสบนอีกสองดาน” นอกจากนั้นยังมีเรื่อง
เลาเกี่ยวกับพิธากอรัสวา วันหนึ่งเขาเดินผานไปทางรานชางเหล็กและไดยินเสียงตีเหล็กซึ่งมีเสียงสูงต่ําตาง ๆ
กัน เมื่อเขาไปดูเขาสังเกตวาเสียงต่ํามาจากการตีดวยคอนที่มีน้ําหนักมาก สวนเสียงแหลมมาจากคอนที่เล็ก
และเบากวา จากการสังเกตเขาพบวามีความสัมพันธระหวาง น้ําหนักกับเสียง นั่นคือมีความสัมพันธระหวาง
คณิตศาสตรกับระดับเสียงตาง ๆ เชนเดียวกับที่เขาเคยคนพบวาเสียงดนตรีที่มีระดับตางกันมาจากความ
สั่นสะเทือนซึ่งแตกตางกันตามความยาวของสาย สิ่งที่พิธากอรัสพบนี้กาลิเลโอไดสรุปวา “หนังสือคือธรรมชาติ
นั้นเขียนดวยภาษาคณิตศาสตร” กลาวคือปรากฏการณธรรมชาติอธิบายไดดวยคณิตศาสตร ความคิดนี้
ทําใหคนตะวันตกสามารถเขาใจธรรมชาติไดอยางลึกซึ้ง
การคนพบดังกลาวแสดงวาความจริงสัมบูรณ (absolute truth) มิไดมีลักษณะเปนความจริงที่
ปรากฏทางประสาทสัมผัส แตเปนความจริงที่อยูในใจ ซึ่งทําใหปธาโกรัสสรุปวาความจริงของจักรวาลมิใช
ความจริงทางวัตถุ แตเปนหลักการทางคณิตศาสตรซึ่งเปนนามธรรม เขากลาววา “สวรรคและจักรวาลอันเรา
เห็นไดนี้ลวนแตเปนมาตราแบบดนตรี หรือเปนระบบจํานวน” ในปจจุบันนักวิทยาศาสตรยังคนหากฎธรรมชาติ
ซึ่งเปนกฎที่มีความสัมพันธเชิงคณิตศาสตรและเราสามารถคาดคะเนอนาคตหรือแมแตคนพบความจริงทางวัตถุ
ไดดวยคณิตศาสตร เชนการคํานวณวงโคจรของดาวเคราะห และการคํานวณระยะและตําแหนงของดวงดาว
ในอวกาศ
ความรูเกี่ยวกับธรรมชาติทั้งแบบหลังประสบการณและกอนประสบการณทําใหเกิดปญหาแกเรา
แตกตางกัน ความรูทางประสบการณมีปญหาคือเราไมอาจมีความมั่นใจในเรื่องใด ๆ ไดอยางสมบูรณเลย
บางครั้งเราไมรูดวยซ้ําไปวาเมื่อไรจึงควรมั่นใจได เชน ขอมูลจํานวนเทาใดจึงจะทําใหขอสรุปนาเชื่อหรือ
เชื่อถือได กฎวิทยาศาสตรเปนสิ่งที่เรายังใชกันอยู แตก็มีกฎที่ถูกยกเลิกไปแลว ซึ่งทําใหเราไมอาจมั่นใจได
เต็มที่วากฎที่เราใชอยูนี้จะเปนกฎที่ถูกตองตลอด
สวนความรูกอนประสบการณก็กอปญหาแกเราเชนกัน ทําไมกฎคณิตศาสตรจึงเปนกฎเกี่ยวกับ
ธรรมชาติได กฎคณิตศาสตรซึ่งสอดคลองกับธรรมชาตินั้นแสดงวาธรรมชาติมีระเบียบอยางคณิตศาสตรหรือ
126
วาเปนเพียงเหตุบังเอิญเฉพาะกรณี เรายังคงไมรูอะไรอีกมากเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางระบบความคิดที่
เปนนามธรรมกับระบบของธรรมชาติที่เปนรูปธรรมการที่ทั้งสองระบบดูสอดคลองกันนั้นเปนเพราะวาคณิตศาสตร
กับธรรมชาติตรงกันจริง ๆ คือสามารถอธิบายธรรมชาติไดดวยคณิตศาสตรดวยเหตุที่ทั้งสองระบบสัมพันธ
กันเปนระบบ หรือวาเปนแตเพียงเราสามารถนําคณิตศาสตรมาใชอธิบายธรรมชาติได กลาวคือ 2+2=4 เปน
ความจริงของจักรวาล หรือเราสามารถนํา 2+2=4 มาอธิบายจักรวาลได โดยที่เราอาจใชระบบอื่นอธิบายก็ได
และการใช 2+2=4อธิบายจักรวาลเปนวิธีคิดเพื่อประโยชนทางปฏิบัติแบบหนึ่ง เปนการนําเอาประสบการณมา
จัดระเบียบ
ขอที่นาคิดก็คือระบบความคิดที่เปนนามธรรมนี้อาจจะคิดไดวาไมเกี่ยวของกับขอเท็จจริงทางธรรมชาติ
เชนสมสองผลรวมกับสมสองผลเปนสมสี่ผลแตแมไมมีสมอยูในโลก2+2 ก็ยังคงเปน4 โดยไมจําเปนตองระบุ
ไดวา 2 อะไร หรือ 4 อะไร แตระบบนามธรรมดังกลาวมีอํานาจในการทํานายอนาคตจริง นักคณิตศาสตร
อาจคํานวณสิ่งที่จะเกิดในอนาคตโดยที่สิ่งนั้นยังไมเกิดเชนคํานวณการโคจรของดาวหางบางดวงที่จะมายัง
โลกครั้งตอไปไดอยางแมนยํา หากระเบียบของจักรวาลไมสอดคลองกับคณิตศาสตรแลวการคํานวณที่ถูกตอง
ดังกลาวจะเกิดขึ้นไดอยางไร
3. การทดสอบความจริง
เราไดกลาวถึงการทดสอบความจริงไปบางแลวในหัวขอกอน ๆ โดยเฉพาะวิธีพิสูจนวาจริง เชน การ
พิสูจนขอความตามความคิดของ แอร การทดสอบความจริงเปนเรื่องสําคัญ เพราะขอความที่เราใชอางเหตุ
ผลไดคือขอความที่จริงหรือเท็จได และขอความดังกลาวนั้นก็คือขอความที่เรายอมรับหรือปฏิเสธได เชนเรา
เชื่อวาสิ่งที่ปรากฏตอประสาทสัมผัสเปนจริง และเรามีขอความที่กลาวถึงประสบการณทางประสาทสัมผัส
เชน “ดอกไมในแจกันทั้งหมดสีแดง” ขอความนี้อาจจะจริงหรือเท็จก็ได เราจะทดสอบไดอยางไรวาขอความ
นี้จริงหรือเท็จ ขอความแตละประเภทก็อาจมีวิธีทดสอบความจริงที่แตกตางกัน การทดสอบความจริงของ
ขอความที่เปนที่ยอมรับกันแบงออกเปน 3 วิธี ซึ่งเหมาะแกขอความแตละประเภทที่สัมพันธกับวิธีการนั้น ๆ
3.1 การตรวจสอบโดยความสอดคลองกับขอเท็จจริงทางประสบการณ (The correspondence
Test) วิธีที่นิยมกันมากที่สุดในการทดสอบความจริงก็คือ การตรวจสอบจากประสบการณ วิธีการนี้รัสเซลล
(Bertrand Russell) ไดเสนอไว คือใหตรวจสอบความคิดที่อยูในใจกับสิ่งหรือเหตุการณที่เกิดขึ้น หากมโนทัศน
กับสิ่งหรือประสบการณที่เกิดขึ้นสอดคลองกันก็ถือไดวามโนทัศนนั้นจริง เชนถามีผูมาบอกวาเกาอี้ตัวโปรด
ของเราขาหักเสียแลว และเมื่อเราไปดูก็ปรากฏวาเกาอี้ขาหัก คําพูดของผูที่มาบอกก็เปนความจริง แตถาเกาอี้
ยังอยูในสภาพเดิมคําพูดดังกลาวก็เท็จ เหตุการณตาง ๆ สวนใหญก็ตรวจสอบไดโดยวิธีนี้ ถาพนักงานบอก
วาสินคาที่ทานกําลังหาอยูที่ชองถัดไป ทานก็ตรวจสอบไดโดย “ไปดู” ที่ชองนั้น ถามีสินคาดังกลาวคําพูดก็
จริง ถาไมมีก็เท็จ “มีคนใสเกลือลงไปในกระปุกน้ําตาล ตรวจสอบไดโดย “ชิมดู” “ชีพจรของเขาเตนผิดปกติ”
ตรวจสอบไดโดย “จับชีพจร” “เนื้อนี้กลิ่นไมดีแลว” ตรวจสอบไดโดย “ดมดู” ละมุดผลนี้ สุกแลว ตรวจสอบได
โดย “กดดูวานิ่มหรือไมและดมดูวาหอมหรือไม”
127
การตรวจสอบดวยวิธีนี้มีขอควรระวังคือ ประการแรกมโนทัศนกับปรากฏการณมิไดสอดคลองกัน
อยางสมบูรณทุกแงทุกมุม ภาพในใจเปนสิ่งที่ใจเราสรางขึ้นตามความตองการหรือความสนใจ จึงเลือก
ลักษณะเพียงบางสวนบางอยางมารวมกันเขาเปนรูปเปนราง ที่จะใชในการคิดเรื่องนั้น ๆ ได และสิ่งที่อยูใน
โลกแหงประสาทสัมผัสก็ถูกประสาทสัมผัสของเราบิดเบือนได เราอาจสรุปไดแตเพียงวาเมื่อระดับของความ
สอดคลองระหวางมโนทัศนกับสิ่งภายนอกสูง ความนาเชื่อวาจะเปนจริงก็สูง เมื่อความสอดคลองระหวาง
มโนทัศนกับสิ่งภายนอกต่ําความนาเชื่อวาจะเปนเท็จก็สูง และเราตัดสินจริง หรือเท็จตามระดับความนาเชื่อ
ดังกลาว
ประการที่สองตามความเปนจริงการรับรูทางประสาทสัมผัสของเรามิใชการรับรูโลกภายนอกโดยตรง
เชนเรารับรูรูปรางของเกาอี้ ในลักษณะเปนภาพของเกาอี้ที่ปรากฏตอตาของเรามิไดรับรูตัวเกาอี้โดยตรง เมื่อเรา
สัมผัสเกาอี้เราก็รับรูความเย็น ความแข็ง ความเรียบ รูปทรง ซึ่งเปนความรูสึกของเราตอเกาอี้ การเปรียบเทียบ
ภาพในใจของเรากับสิ่งภายนอกจึงเปนเพียงการเปรียบเทียบภาพในใจกับความรูสึกทางประสาทสัมผัสของเรา
ที่มีตอสิ่งภายนอก เราเพียงแต “เชื่อวา” ความรูสึกของเราจะสอดคลองหรือเปน “ตัวแทน” ของสิ่งภายนอก
โดยเราไมอาจเปรียบเทียบมโนทัศนกับสิ่งภายนอกวาสอดคลองกันหรือไมไดจริงตามที่เราตองการการเปรียบเทียบ
จึงเปนการเปรียบเทียบมโนทัศนซึ่งเปนสิ่งที่เกิด“ในใจ”กับความรูสึกทางประสาทสัมผัสซึ่งก็เปนสิ่งที่เกิด “ในใจ”
ดวยกัน หากมีความสอดคลองกันถึงระดับหนึ่งเราก็ตัดสินวา “จริง” หากไมสอดคลอง หรือระดับความ
สอดคลองยังไมสูงพอก็ตัดสินวา “เท็จ” การตรวจสอบดวยวิธีนี้จึงเปนวิธีที่มิไดใหความแนนอนเต็มที่
3.2 การตรวจสอบโดยดูความเขากันไดอยางกลมกลืน (The Coherence – Test) การตรวจสอบ
ดวยวิธีนี้เปนการแกปญหาของการตรวจสอบดวยวิธีดูความสอดคลองกับโลกภายนอกดังกลาวขางตน ซึ่งเปน
การใชขอเท็จจริง (fact) เปนเครื่องตัดสิน การดูความเขากันไดอยางกลมกลืนเปนการพิจารณาวาขอเท็จจริง
จะถือไดวาเปนความจริงก็ตอเมื่อเขากันไดอยางกลมกลืนกับขอเท็จจริงอื่น ๆ ที่ไดรับการยอมรับวาจริงเชนกัน
เชนถามีขอความวา “มีปลาฉลามในแมน้ําปง”ขอความนี้เราไมจําเปนตองตรวจสอบดวยการดูความสอดคลอง
กับขอเท็จจริงในโลกภายนอกเพราะขอเท็จจริงที่วาปลาฉลามเปนปลาน้ําเค็มซึ่งอยูในน้ําจืดไมไดและขอเท็จจริง
ที่วาแมน้ําปงเปนแมน้ําที่น้ําจืด ขอความที่ยืนยันขอเท็จจริงวา มีปลาฉลามในแมน้ําปงจึงเขากันไมไดกับ
ขอเท็จจริง 2 ขอที่กลาวแลว จึงตัดสินไดวาขอความดังกลาว “เท็จ” แตถามีขอความวา “มีกุงมังกรในอาวไทย”
เราจะใชวิธีดูความเขากันไดดังกลาวไดยาก เพราะกุงมังกรอยูในน้ําเค็มทั้งอาวไทยและทะเลอันดามันตางก็
มีน้ําเค็ม แมวาเราจะรูมากอนวากุงมังกรอยูในทะเลอันดามัน ก็ไมเปนการเขากันไมไดกับขอความวามี
กุงมังกรในอาวไทย เวนแตจะมีขอเท็จจริงอื่นที่ทําใหกุงมังกรไมอาจอยูในทะเลอื่นไดนอกจากทะเลอันดามัน
“กําสรวลศรีปราชญแตงในสมัยสมเด็จพระนารายณมหาราช” ขอความนี้ไมสอดคลองกับขอเท็จจริง
หรือขอความวา “การเดินทางของบุคคลในเรื่องกําสรวลศรีปราชญไปตามแมน้ําเจาพระยาซึ่งปจจุบันคือ
คลองบางกอกนอยและคลองบางกอกใหญ” กับขอเท็จจริงหรือขอความวา“แมน้ําเจาพระยาสวนที่ตัดระหวาง
ปากคลองบางกอกนอยกับปากคลองบางกอกใหญขุดในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชกอนสมัยสมเด็จ
พระนารายณมหาราช” และ “ไมมีใครที่ตองการเดินทางออม” และหากมีขอเท็จจริงแยงวา “การเดิน
128
ทางออมก็เพื่อใหผานสวนผลไมที่ตองการซื้อไวเปนเสบียง” แตขอเท็จจริงดังกลาวก็จะแยงกับขอเท็จจริง
ที่วา “ตลอดริมฝงแมน้ํายานธนบุรีเปนสวนผลไม” และ “เสบียงดังกลาวสามารถเตรียมมาจากกรุงศรีอยุธยา
ได” และ “ระยะทางที่ออมกินเวลามากเกินกวาควรจะเสียเวลา”
การตรวจสอบดวยความเขากันไดอยางกลมกลืนวิธีที่ใชหาความรูไดอยางกวางขวางโดยเฉพาะใน
กรณีที่ไมอาจใชการสังเกตโดยตรงตามวิธีตรวจสอบจากความสอดคลอง ความรูที่สําคัญซึ่งตองอาศัยวิธีการนี้
ไดแก ประวัติศาสตร ซึ่งเปนเรื่องที่ผานมาแลวและไมอาจยอนไปสังเกตหรือมีประสบการณตรงไดกับ เหตุการณ
ปจจุบัน ที่เราไมมีประสบการณโดยตรง ตองอาศัยขอมูลจากสื่อตาง ๆ ซึ่งขอมูลเหลานั้นบางขอมูลอาจเท็จ
หรือเปนขอมูลที่เสกสรรปนแตงขึ้น และเราตองตรวจสอบขอมูลหรือขอเท็จจริงนั้นดวยขอมูลหรือขอเท็จจริง
อื่นที่เรารูวาจริง
อันตรายของการใชวิธีตรวจสอบจากการดูความเขากันไดก็คือ ขอเท็จจริงใหมซึ่งเท็จอาจเขากันได
ดีกับขอเท็จจริงชุดเดิมที่เท็จและเราเชื่อ หรือขอเท็จจริงใหมซึ่งจริงอาจเขากันไมไดกับขอเท็จจริงชุดเดิม ทําให
เชื่อวาขอเท็จจริงใหมนั้นเท็จนอกจากนั้นการปนขอเท็จจริงใหเขากันไดอยางกลมกลืนเปนระบบก็เปนสิ่งที่ทําได
นักปรัชญา นักเทววิทยา นักรัฐศาสตร นักเศรษฐศาสตร นักประวัติศาสตรลวนแตเปนผูที่มีความสามารถใน
การปนขอมูลใหเขากันเปนระบบ แมแตการสรางอุดมการณ (ideology) คือความคิดอันเปนจุดหมายสูงสุด
พรอมทั้งวิธีปฏิบัติที่จะไปสูจุดหมายนั้นก็เปนสิ่งที่นํามาเชื่อมโยงกับขอเท็จจริงทางประวัติศาสตรและสังคมแลว
ทําใหเกิดประวัติศาสตรทฤษฎีใหมขึ้นดังเชนกรณีการอธิบายประวัติศาสตรแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical
Materialism)ของมารกซ เปนตนระบบทั้งหมดอาจเขากันไดอยางกลมกลืนดียิ่ง แตสอดคลองกับความเปนไป
ของโลกเพียงเล็กนอย
3.3 การตรวจสอบดวยหลักปฏิบัตินิยม (The Pragmatic – Test) การตรวจสอบดวยหลักปฏิบัติ
นิยมมีสวนคลายกับการตรวจสอบดวยการดูความเขากันไดอยางกลมกลืนในแงที่ไมตองดูความสอดคลอง
กับโลกภายนอกแตพิจารณาตามหลักการซึ่งเปนความคิดลวน ๆ คือดูสมเหตุสมผลตามหลักตรรกวิทยา
คําวา ปฏิบัติตามความหมายที่นักปฏิบัตินิยมใช เปนคําที่มีความหมายเฉพาะมิไดใชในความหมาย
กวางดังที่ใชกันอยูทั่วไป คนจํานวนมากมักเขาใจผิดวาลัทธิคําสอนใดที่มีการปฏิบัติก็เปนปฏิบัตินิยมทั้งหมด
คําวา “ปฏิบัติ” ที่ใชในลัทธิปฏิบัตินิยมเปนคําที่ใชอธิบายเรื่องความหมายของคํา และเรื่องความจริงกับการ
ทดสอบความจริง ไมเกี่ยวกับการปฏิบัติอื่น เชน การปฏิบัติราชการ การปฏิบัติศีลธรรม การปฏิบัติตรงตาม
ทฤษฎีหรือไม การปฏิบัติตอกันระหวางบุคคลในสังคม การปฏิบัติการรบ การปฏิบัติตอคนไข ฯลฯ การเขาใจ
ที่มาของคําคํานี้อาจชวยใหเขาใจคําวา “ปฏิบัติ” ตามความหมายเฉพาะของปฏิบัตินิยมไดชัดเจน
แนวคิดเกี่ยวกับปฏิบัตินิยมเกิดจากความคิดของเพิรซ (Charles S. Peirce) ซึ่งไดตีพิมพบทความ
เพื่อตอบคําถามวา “ความคิดมีความหมายได เพราะอะไร” ในป ค.ศ. 1878 เขาสนใจที่มาและลักษณะของ
ความหมายขอสรุปของเขาก็คือ“ความคิดจะมีความหมายเมื่อทําใหเกิดสิ่งที่แตกตางจากเดิมขึ้นในประสบการณ
ของเรา” “ความคิดของเราเกี่ยวกับสิ่งใดก็คือความคิดของเราเกี่ยวกับผลทางประสาทสัมผัสของสิ่งนั้น” เชนถา
129
เราพูดวา “น้ําแข็งเย็น” หรือ “เปลวไฟรอน” ความคิดทั้งสองนี้มีความหมายก็เพราะความคิดดังกลาวสัมพันธ
กับประสบการณที่เราจะไดรับเมื่อแตะตองน้ําแข็งหรือเปลวไฟ ซึ่งเปนสิ่งที่คาดคะเนและปฏิบัติแลวเกิดผลตาม
การคาดคะเนได หากไมสามารถแตะตองน้ําแข็งหรือเปลวไฟได ขอความดังกลาวก็ไรความหมาย
คําอธิบายดังกลาวขางตนเปนเพียงทฤษฎีเกี่ยวกับความหมายมิไดยืนยันอะไรเกี่ยวกับความจริงเจมส
(William James) เปนผูที่มองเห็นวาทฤษฎีความหมายดังกลาวเทากับบอกวิธีตรวจสอบความจริงไวดวยในตัว
ในป ค.ศ. 1898 เจมสไดเสนอทฤษฎีปฏิบัตินิยมของเขาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอรเนีย เบอรกลีย วา “คา
ความจริงของความคิดใด ๆ กําหนดไดจากผลของความคิดนั้น ความคิดที่เปนจริงนําไปสูผลที่ปรารถนา”
อาจสรุปความคิดนี้ไดวา “ถาความคิดใดใชปฏิบัติการได ความคิดนั้นก็จริง”
เพิรซเรียกทฤษฎีของเขาวา Pragmatism ครั้นทราบวาเจมสเปลี่ยนทฤษฎีความหมายของเขาไป
เปนทฤษฎีการตรวจสอบความจริง เขาก็รูสึกไมพอใจ เขาจึงเปลี่ยนชื่อทฤษฎีความหมายของเขาเสียใหมวา
Pragmaticism ซึ่งเขากลาววานาเกลียดพอที่จะไมมีใครแอบลักขโมยทฤษฎีของเขาไปอีก ปจจุบันเราเรียก
ทฤษฎีของเจมส และ ดิวอี้ (Dewey) วา Pragmatism และเรียกทฤษฎีของเพิรซวา Pragmaticism
วิธีตรวจสอบแบบปฏิบัตินิยมเปนวิธีที่ใชในการแกปญหาแบบลองถูกลองผิด ซึ่งเราใชกันอยูใน
ชีวิตประจําวัน เปนวิธีดูวาความคิดและสมมติฐานที่เราตั้งไวใชไดหรือไม เชน รถยนตของทานเกิดเครื่องดับ
กะทันหัน ทานคิดวาเปนเพราะขั้วแบตเตอรี่หลวม จึงลองขยับขั้วแบตเตอรี่ดูปรากฏวาไมหลวม ลองบีบแตร
แตรก็ดัง สมมติฐานที่ตั้งไวจึงเปนสมมติฐานที่ไมจริงตามทฤษฎีปฏิบัตินิยม ทานตั้งสมมติฐานใหมวาอาจ
เปนเพราะคอยลเสื่อม ทานจับคอยลดูก็ไมรอนจัด และทานทดสอบไฟฟาที่จายจากคอยลไปยังหัวเทียนก็
ปรากฏวาปกติ แสดงวาสมมติฐานของทานผิดอีกครั้งหนึ่ง ความคิดของทานจึงไมเปนความจริงตามทฤษฎี
ปฏิบัตินิยม เพราะไมเกิดผลตามที่คาดไว เผอิญทานเหลือบไปเห็นเข็มวัดความรอนของเครื่องยนตขึ้นสูง
มากและนึกไดวากอนเครื่องดับ เครื่องมีอาการน็อค ทานจึงสรุปวาน้ําในหมอน้ําอาจเหลือนอยเมื่อทานดูที่
ใตทองรถก็ปรากฏวามีน้ํารั่วจากทอน้ําที่มีรอยราว ตามทฤษฎีปฏิบัตินิยมสมมติฐานสุดทายของทานเปน
ความจริง นั่นคือสิ่งที่ใชไดผลคือสิ่งที่จริง
เจมสกลาววาวิธีทดสอบความจริงเพียงอยางเดียวของปฏิบัตินิยมก็คือดูวาอะไรที่ใชการไดดีที่สุด
หากความคิดทางเทววิทยาสามารถเปนเชนนั้นได หากความคิดเรื่องพระเจาสามารถพิสูจนไดวา ใชการได
ปฏิบัตินิยมจะปฏิเสธความมีอยูของพระเจาไดอยางไร ไมมีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธวาความคิดที่ใชปฏิบัติได
สําเร็จผลเปนความคิดที่ “ไมจริง”
ปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความคิดนี้ก็คือ การที่ความคิดหรือสมมติฐานใดสามารถใหผลไดจริงในทาง
ปฏิบัตินั้น เปนเพราะความคิดดังกลาวเปนจริงหรือวาเพราะปฏิบัติไดจึงเปนจริง หากเชื่อวาเพราะจริงจึงใช
ปฏิบัติไดผล การปฏิบัติไดผลก็เปนเครื่องทดสอบความจริงได แตไมจําเปนตองเปนเชนนั้นเสมอไป เชน
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต เชื่อวา “ถาประหารชีวิตคนที่วางเพลิงอัคคีภัยจะเกิดนอยลง” จึงสั่งประหารชีวิตคน
ที่วางเพลิงทุกครั้งที่จับได ปรากฏวาอัคคีภัยเกิดนอยลงจริง ๆ หากคิดแบบปฏิบัตินิยมขอความขางตนก็เปน
130
ความจริง แตการประหารชีวิตดังกลาวอาจจะไมทําใหอัคคีภัยนอยลง หากมีผูทําใหเกิดเพลิงไหมโดยประมาท
เพิ่มขึ้น และดวยความคิดดังกลาวขางตน ผูประมาทบางคนอาจถูกสงสัยและถูกประหารชีวิตในขอหา
วางเพลิงทั้ง ๆ ที่มิไดทําเชนนั้น จึงเปนการทําใหเกิดผลสําเร็จในดานหนึ่งแตเกิดความเสียหายในอีกดานหนึ่ง
ขอความดังกลาวจะนับวาจริงหรือเท็จ
การที่ปฏิบัติไดผลแลวจึงยืนยันวาความคิดเปนจริงใชไดกับวิธีหาความจริงแบบลองถูกลองผิด แต
ก็อาจไมเปนจริงได เชน ประธานาธิบดีปกจุงฮีปกครองแบบเผด็จการแลวทําใหเกาหลีเจริญ” ขอความนี้เปน
จริงตามทฤษฎีปฏิบัตินิยม ซึ่งก็หมายความวา การปกครองแบบเผด็จการเปนการปกครองที่ทําใหประเทศ
เจริญ นั่นคือหากขอความดังกลาวเกิดผลจริงทฤษฎีปฏิบัตินิยมจะมีประโยชนก็เมื่อตั้งเปนกฎได แตเราจะเห็น
ไดวาตั้งเปนกฎไมได แตถาไมตั้งเปนกฎคือจริงเฉพาะกรณีประธานาธิบดีปกจุงฮี การยืนยันความจริงของ
ขอความก็ไมมีประโยชนเพราะเปนสิ่งที่เกิดแลว ไมจําเปนตองหาหลักอะไรมายืนยันอีก
การพิสูจนความจริงแบบปฏิบัตินิยม เมื่อพิจารณาในเชิงตรรกวิทยาเทากับเปนการพิสูจนจากผล
ไปหาเหตุ คือเอาผลที่เกิดจริงไปยืนยันวาเหตุที่อางจริง แตผลอาจเกิดจากเหตุดังกลาวหรือจากเหตุอื่นก็ได
ในทางกลับกันเรามักพิสูจนความจริงของเหตุโดยดูวาเมื่อมีเหตุดังกลาวแลวเกิดผลเสมอไปหรือไมคือดูทั้งเหตุ
และผลที่สัมพันธกันหลาย ๆ ครั้ง และอาจดูวาเมื่อไมมีเหตุนั้นผลยังคงเกิดหรือไม เพราะอาจมีสิ่งอื่นที่เปน
ขอมูลที่ไมไดสังเกต เชน “เศรษฐกิจดี คนจึงมีเงินจับจายใชสอยมาก” ถาพิจารณาจากหลักการปฏิบัตินิยม
เมื่อพบวาคนมีเงินจับจายใชสอยมากก็อาจยืนยันวาขอความดังกลาวจริง แตตามความเปนจริงเศรษฐกิจ
อาจไมดี แตรัฐกระจายเงินลงไปสูประชาชนทําใหมีเงินจับจายใชสอยมาก ซึ่งไมหมายความวาเศรษฐกิจดีจริง
วิธีการของปฏิบัตินิยมไมอาจใชหาความจริงได และการตรวจสอบสิ่งที่เชื่อวาจริง โดยดูผลก็ไมอาจบอกไดวา
ความสัมพันธระหวางเหตุกับผลในขอความที่พิสูจนเปนความสัมพันธที่แทจริงหรือไม
การตรวจสอบแบบปฏิบัตินิยมอาจใชไดดีในการลองถูกลองผิด และในการลองถูกลองผิดก็ตองรู
ขอมูลจํานวนมากที่สุด จึงจะใชวิธีปฏิบัตินิยมไดดี และ “ความจริง” ในความหมายที่พวกปฏิบัตินิยมใชก็
เปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามผลที่คาดไวหรือตั้งความปรารถนาไว ซึ่งถาเปนเชนนั้นก็ตั้งกฎไมได และการ
พิสูจนความจริงก็ไมมีประโยชนเพราะหากเกิดผลแลวก็รูอยูแลวไมมีความจําเปนตองยืนยันความจริงของขอความ
นั้นๆอีกขอความที่เกี่ยวกับความจริงเชนวิทยาศาสตร หรือจริยศาสตร ไมอาจพิสูจนไดดวยวิธีการปฏิบัตินิยม
ซึ่งไมถือวามีอะไรที่เปนความจริงที่แนนอนตายตัว
4. ที่มาอื่น ๆ ของความรู
นอกจากความรูที่มาจากประสบการณและความรูกอนประสบการณซึ่งมีวิธีตรวจสอบความเปนจริง
ของความรูแบบตาง ๆ ดังกลาวแลว ยังมีความรูจากแหลงอื่นซึ่งมีผูเชื่อวาเปนความรูดวยเชนกัน และมักมีการ
อางถึงและโตแยงกันเกี่ยวกับความรูเหลานั้น จึงควรนํามากลาวโดยสังเขปดังตอไปนี้
4.1 แหลงขอมูลที่อางได (authority) แหลงขอมูลที่อางไดอาจเปนบุคคล หรือเอกสารในรูปแบบ
ตาง ๆ ซึ่งเปนแหลงของขาวสาร ขอมูล ความรูที่เกิดจากความคิด การอธิบาย การตีความ ทฤษฎี แหลงขอมูล
131
ซึ่งเราถือวาเปนแหลงที่นาเชื่อถือหรืออางไดนั้นเปนความรูซึ่งเราไมไดพบเองโดยตรง แตอาศัยประสบการณ
หรือความคิดของผูอื่นซึ่งอาจถัดจากเราไปชั้นเดียว สองชั้น สามชั้น หรือสืบทอดกันมาหลายชั้น ยิ่งหางไกล
จากประสบการณตรงของเรามากชั้นเพียงไร ก็ยิ่งนาเชื่อถือนอยลง เพราะการอธิบายตอ ๆ กันมานั้นมี
โอกาสที่ขอมูลเปลี่ยนแปรไปได และการสืบคนวาขอมูลเปลี่ยนที่ชั้นไหน หรือเปนขอมูลเท็จหรือไมเปนเรื่องที่
ทําไดยาก
การพึ่งความรูของผูอื่นเปนเรื่องจําเปน เพราะเราไมอาจมีประสบการณตรงไดในหลาย ๆ เรื่อง เชน
เหตุการณในประวัติศาสตร เหตุการณทางชีววิทยาที่เปนเหตุการณพิเศษซึ่งเกิดซ้ําไดยาก ประสบการณในที่ที่
เรายากจะไปถึง ประสบการณในเรื่องที่เราไมมีความรูที่จะวิเคราะหและวินิจฉัยได ความรูในตําราและความรู
ที่ครูสอน ที่พอแมเลาใหฟง ลวนเปนความรูที่เรามีโอกาสมีประสบการณตรงไดยาก ความรูเหลานี้หากจะเชื่อ
ก็ตองตรวจสอบกอน แมวาบางกรณีที่แหลงขอมูลขัดกันเราอาจตรวจสอบไดยาก และเลือกเชื่อฝายใดฝาย
หนึ่งไดยาก โดยเฉพาะความรูที่เราไมเคยมีประสบการณหรือไดศึกษามากอน
เรารับความรูชนิดนี้เปนอันมาก เพราะมนุษยไดสรางและสะสมมานับเปนเวลารอย ๆ ป จึงเปนไป
ไมไดที่คนคนเดียวในปจจุบันจะมีความรูที่คนในอดีตมากมาย พากเพียรคนหาและสะสมมาตลอดชีวิตของเขา
รุนแลวรุนเลาไดอยางบริบูรณ แมความรูเพียงบางสวนก็ยังเปนเรื่องยากที่จะมีประสบการณตรงได แตเมื่อ
จะตองรับความรูที่ผูอื่นสรางสมไว ก็จําเปนตองตรวจสอบอยางรอบคอบ
4.2 สัญชาตญาณ (instinct) สัญชาตญาณเคยเปนคําที่นิยมใชอธิบายรูปแบบของพฤติกรรมของ
มนุษยและสัตว ซึ่งเปนพฤติกรรมที่มิไดเกิดจากการสั่งสอน เชน สัตวที่พรากจากแมตั้งแตยังเล็ก เมื่อมีลูกก็
เลี้ยงลูกและเลี้ยงลูกเปน นกกระจาบและผึ้งทํารังเหมือน ๆ กัน แตก็มีพฤติกรรมบางอยาง เชนการ
รวมกันลาสัตวของสิงโต และหมาไน ซึ่งไมอาจแนใจไดวาเปนพฤติกรรมจากการเรียนรูสืบทอดกันมาหรือเปน
สัญชาตญาณ พฤติกรรมบางอยางของคน เชน การเลี้ยงลูก เปนสัญชาตญาณของแมหรือเปนผลจากการ
อบรมโดยการกลอมเกลาทางสังคม ในปจจุบันเราอางความรูชนิดนี้นอยลง และใหความสําคัญแกการศึกษา
อบรมมากขึ้น แตเรื่องนี้ก็เปนเรื่องสําคัญในจิตวิทยาแบบของฟรอยดซึ่งยังคงเปนคําอธิบายในเรื่องที่ยังหา
คําตอบไดไมชัดเจน เชนเรื่องสัญชาตญาณความตาย (deathinstinct) หรือการทําตามแรงขับทางเพศ
4.3 ประสบการณเหนือผัสสะ (Extrasensory Perception หรือ Supersensory Perception)
ประสบการณเหนือผัสสะ เปนคําที่พูดถึงประสบการณพิเศษของคนบางคน ที่ชัดเจนเหมือนผานทางผัสสะ
เชน เห็นภาพเหตุการณในอนาคตโทรจิตลางสังหรณ เรื่องนี้มีทั้งบุคคลที่เปนพยานยืนยันและมีนักวิทยาศาสตร
สนใจพิสูจนกันมาก (คลายความสนใจในเรื่อง UFO) นิยมใชศัพทยอวา ESP ประสบการณชนิดนี้ที่สําคัญ
ไดแก ประสบการณที่พนประสาทสัมผัสซึ่งเกิดแกบุคคลที่ปฏิบัติธรรม เชน ตาทิพย หูทิพย เห็นสิ่งที่มีสภาวะ
เปนจิต เชน ผีสางเทวดา ความรูชนิดนี้จัดเปนความรูและมีวิธีการศึกษาและฝกฝน เชนความรูที่พนขอบเขต
ของประสาทสัมผัส และอยูในขอบเขตของจิต ผูที่เชื่อเรื่องจิตยังใหความสําคัญแกความรูชนิดนี้ การรูโลก
ของแบบ (Idea หรือ Form) ของเปลโตก็คอนไปในลักษณะนี้ แตความรูชนิดนี้ก็เปนเรื่องที่ตรวจสอบได
132
เฉพาะกลุมผูที่ฝกฝนเรื่องจิต มิใชความรูที่จะตรวจสอบไดทั่วไป เราจึงไมรูแนวาความรูชนิดนี้มีจริงหรือไม และ
ผูที่อางวารูมีประสบการณเหนือผัสสะจริงหรือไม
4.4 การระลึกชาติ (Anamnesis หรือ Recollection) การระลึกชาติเปนความรูที่สืบเนื่องมาจาก
ชาติกอน เชนในแนวคิดของ ปธาโกรัสและเปลโต ในศาสนาพราหมณ ความคิดเรื่องนี้มาจากความคิดเรื่อง
การเวียนวายตายเกิด ในปรัชญาตะวันตกความคิดเกี่ยวกับความรูที่ติดตัวมาตั้งแตเกิด (innate idea) เนน
ปญหาญาณวิทยาที่โตแยงกันในสมัยใหม แตในปจจุบันปญหานี้มีผูสนใจนอยลง
4.5 อัชฌัติกญาณ (intuition) อัชฌัติกญาณ เปนความรูที่เกิดขึ้นเองโดยไมผานประสบการณ
การคิดหรือการอางเหตุผลใด ๆ เปนความคิดใหมที่เกิดขึ้นโดยไมไดอางเหตุผลจากความคิดที่มีอยู เชน การ
ตรัสรูของพระพุทธเจา การรูแจงที่เกิดจากขบปริศนาแตกตามความคิดของพุทธศาสนาแบบเย็น ความคิด
สรางสรรคทางศิลปะ เปนตน ปญหาของความรูแบบนี้คือคาดไมไดวาเมื่อไรจะเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นหรือไม และ
เดสการต (Descartes) เปนนักปรัชญาผูหนึ่งที่ใหความสําคัญแกความรูชนิดนี้
4.6 การเปดเผยของพระเจา (Revelation) ความรูแบบนี้เปนความรูที่เชื่อกันในศาสนาเทวนิยม
เชน คําทํานายของเทพอพอลโลในศาสนาของชาวกรีก การเปดเผยของพระเจาในคริสตศาสนาและ
ศาสนาพราหมณ ปญหาของความรูแบบนี้ก็คือไมอยูในอํานาจของมนุษย ตองขึ้นกับพระเจาหรือสิ่ง
เหนือธรรมชาติที่มีอํานาจ
133
บทที่ 9
ปรัชญาในวิถีชีวิต
ปญหาปรัชญาสาขาตาง ๆ ที่ไดกลาวมาแลวเปนปญหาที่เกี่ยวของกับมนุษยทั้งสิ้น เปนคําถาม
และคําตอบในระดับวิชาการก็มี ในระดับความเชื่อก็มี ความคิดความเชื่อที่แตกตางกันทําใหสามารถแบง
คนตามกลุมความคิดความเชื่อได เชน เปนวัตถุนิยม เปนจิตนิยม เชื่อในความจริงสากล ไมเชื่อในความจริง
สากล ใหความสําคัญแกเหตุผลมาก ใหความสําคัญแกประสาทสัมผัสมาก การเขาใจความคิดความเชื่อ
ดังกลาวก็ทําใหเขาใจมนุษยมากขึ้น ความแตกตางทางความคิด ความเชื่อและการกระทําเปนสิ่งที่วิเคราะห
ไดในเชิงปรัชญา
ปรัชญาสาขาที่เราเพิ่งกลาวไปคือจริยศาสตรยิ่งเปนสาขาที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของมนุษย
ยิ่งกวาสาขาตาง ๆ ที่ไดกลาวมาแลว ในที่นี้จะยกปญหาทางจริยศาสตรที่เกี่ยวของกับวิถีชีวิตมนุษยมาสัก
ปญหาหนึ่ง เพื่อจะใหเห็นวาจริยศาสตรเขามาเกี่ยวของกับชีวิตอยางไร และเพื่อเปนแนวทางใหเห็นการ
วิเคราะห การโตแยงและการตอบปญหาทางจริยศาสตร ซึ่งจะชวยใหเขาใจจริยศาสตรยิ่งขึ้นและสามารถ
ศึกษาปญหาเชิงประยุกตอื่น ๆ ตอไป
ในสังคมไทยซึ่งเปนสังคมพุทธเรารูจักศีล5กันเปนอยางดี ศีลขอแรกคือพึงละเวนการฆาสัตว เรามัก
พูดเรื่องนี้กันอยางกวาง ๆ ไมคอยไดวิเคราะหแยกแยะลงไปสูกรณีเฉพาะตาง ๆ ซึ่งเมื่อวิเคราะหแลวอาจเกิด
ความคิดที่แตกตางกันได ปญหาเรื่อง การทําลายชีวิตมนุษย เปนปญหาหนึ่งทางจริยศาสตรที่ประกอบดวย
ปญหายอยๆแตละปญหามีการโตแยงและคําตอบที่แตกตางกันหลักการพื้นฐานทางจริยศาสตรที่เปนที่มาของ
ปญหานี้ก็คือความคิดวา ชีวิตมนุษยเปนสิ่งที่มีคามากที่สุด การทําลายชีวิตจึงเปนสิ่งที่ผิดหรือชั่ว การรักษา
ชีวิต การทําใหชีวิตดํารงอยูเปนความถูกตองและดี ศาสนาตาง ๆ สอนเชนนี้และการเชื่อในทางตรงขาม
นับเปนความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฐิ แตเราก็อาจตั้งคําถามไดวา เปนความจริงอยางไมมีขอแมเลยหรือไมวา
ไมมีสักกรณีเดียวที่การทําลายชีวิตเปนสิ่งที่ถูกตองหรือควรกระทํา เชนการทําลายชีวิตผูที่กําลังจะเอาชีวิต
เรา การทําลายชีวิตโจรที่กําลังจะใชระเบิดฆาคนจํานวนมาก การทําลายชีวิตผูรายที่ฆาเด็กเพื่อกินตับ เชน
กรณีซีอุยเมื่อสี่สิบปกวาที่แลว การที่ทหารฆาขาศึกในสมรภูมิ กรณีเหลานี้และอาจมีกรณีอื่น ๆ อีกมากที่
การทําลายชีวิตเปนเรื่องที่มีทั้งผูที่เห็นดวยและไมเห็นดวย เราจะลองเลือกมาพิจารณาสักสองสามปญหา
1. ปญหาการฆาตัวตายหรืออัตวินิบาตกรรม (Suicide)
เราอาจยอมรับวาการฆาตกรรมเปนสิ่งที่ผิดเพราะการฆาตกรรมเนนการเอาชีวิตผูอื่นซึ่งเราไมมีสิทธิ
กฎหมายจึงถือเปนการละเมิดสิทธิในชีวิตของผูอื่น พระพุทธศาสนาอาจตอบตางออกไป เชนตอบโดยหลักการ
วาจงอยาทําแกผูอื่นในสิ่งที่ไมตองการใหผูอื่นทําแกเรา คือชีวิตใครใครก็รัก เรารักชีวิตเราและไมอยากให
ใครทํารายหรือทําลายเราก็ไมควรทําเชนนั้นแกผูอื่น หรืออาจตอบโดยหลักหนทางที่เปนอุปสรรคแกการไปสู
นิพพานคือการฆาทําใหคนคุนเคยกับการทําตามโทสะซึ่งเปนอกุศลมูลมากขึ้น การตกเปนทาสของโทสะ
134
เปนอุปสรรคของความหลุดพน แตถาเราฆาตัวเองโดยเราเต็มใจจะถือวาผิดหรือไม หรือถาเรายอมตายเพื่อ
ผูอื่นหรือเพื่อสิ่งที่สําคัญเชนประเทศชาติ การฆาตัวตายในกรณีเชนนั้นจะนับเปนสิ่งนาสรรเสริญหรือไม
นักปรัชญาบางคนสนับสนุนความคิดนี้ เชน ฮิวม (Hume) แตบางคนก็คัดคานเชน คานท (Kant)
1.1 เหตุผลคัดคานวาการฆาตัวตายผิดศีลธรรม
เหตุผลที่ใชแยงการฆาตัวตายมีอยู 4 ขอคือ การฆาตัวตายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล เหตุผลจาก
ฝายศาสนา เหตุผลแบบกระทบตอเนื่อง และเหตุผลในดานความยุติธรรม
1.)การฆาตัวตายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล เหตุผลคัดคานการฆาตัวตายประการหนึ่งก็คือ
การโตแยงวาเปนการกระทําที่ไรเหตุผล หรือ เปนการกระทําของคนที่มีความผิดปกติทางจิตหรืออารมณ
ไมมีคนปกติคนใดที่คิดฆาตัวตาย การฆาตัวตายไมวากรณีใด ๆ ไมมีเหตุผลทั้งสิ้นและเปนการกระทําที่ผิด
ศีลธรรม การฆาตัวตายเนื่องจากจิตใจผิดปกติเชนเปนโรคจิตแบบซึมเศราอาจนับเปนการกระทําที่ไรเหตุผล
แตการฆาตัวตายของผูที่ไตรตรองอาจไมใชการกระทําที่ไรเหตุผล การฆาตัวตายของ สืบ นาคะเสถียร
จะนับเปนการกระทําที่ไรเหตุผลหรือไม การตัดสินใจดื่มน้ําเฮมล็อกของโสกราตีสซึ่งแมจะเปนการลงโทษ
ประหารชีวิต แตหากโสกราตีสตองการหนีก็สามารถหนีไปได กรณีดังกลาวโสกราตีสไมหนีและยอมดื่มน้ํา
เฮมล็อก กรณีนี้โสกราตีสเปนคนจิตใจผิดปกติที่เลือกตายมากกวาหนีหรือไม โสกราตีสอางเหตุผลมากมายจน
คนอื่น ๆ ไมสามารถโตแยงได การกระทําของโสกราตีสจึงไมนาจะจัดอยูในขายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล1
อาจจะมีผูไมเห็นดวยกับเหตุผลของโสกราตีสแตยากที่จะปฏิเสธวาคําพูดของโสกราตีสไมมีเหตุผล
กรณีของผูที่วิ่งเขารับกระสุนแทนคนอื่นหรือลงนอนทับระเบิดเพื่อรักษาชีวิตคนสวนใหญ นอกจาก
ไมใชการกระทําที่ไรเหตุผลแลวบางคนยังถือวาการฆาตัวตายเชนนั้นเปนเกียรติและเปนความกลาหาญ แมแต
กรณีที่คนฆาตัวตายเพราะเห็นวาชีวิตของตนทําประโยชนแกสังคมไมได หรือตองทนทุกขทรมานแสนสาหัส
ก็มีผูเห็นวาการกระทําเชนนั้นไมผิดหรือนาสรรเสริญ แมวาจะมีผูไมเห็นดวยกับความคิดดังกลาว แตก็พูด
ไมไดวาการกระทํานั้นทําโดยไรเหตุผล
2.)เหตุผลจากฝายศาสนา ศาสนาสวนใหญเห็นวาการฆาตัวตายเปนสิ่งที่ผิดเชนในคริสต
ศาสนาถือวาชีวิตของมนุษยมิใชของตนแตเปนของพระเจา มนุษยจึงมิไดมีสิทธิในชีวิตอยางแทจริง ตาม
ทรรศนะของคานทนอกจากมนุษยไมมีสิทธิฆาตัวตายเพราะชีวิตมิใชของตนแลวมนุษยยังมีหนาที่ในฐานะที่
เปนมนุษยคือหนาที่ทางศีลธรรม การฆาตัวตายเปนการละทิ้งหนาที่จึงเปนการกระทําที่ผิด มนุษยมีสิทธิ์ใน
ชีวิตตนเฉพาะสิทธิในการรักษาชีวิต การทําลายชีวิตเปนการใชสิทธิในชีวิตทําลายสิทธิในชีวิตซึ่งเปนเหตุผล
ที่แยงตัวเอง แมแตตนไมก็ยังรักษาตัวเองเมื่อเกิดแผล สัตวพยายามรักษาแผลเพื่อจะมีชีวิตอยู หากคนเรา
ตองตัดแขนหรือขาเพื่อรักษาชีวิตก็นับเปนการใชสิทธิในชีวิตอยางถูกตอง เพราะเปนการยอมเสียอวัยวะเพื่อ
รักษาชีวิต แตการฆาตัวตายไมเปนเชนนั้น คนที่ฆาตัวตายเลวรายยิ่งกวาพืชและสัตว
1
อานเหตุการณตอนนี้ไดใน”ไครโต” (Crito) ของเปลโต
135
พระพุทธศาสนาซึ่งไมใชศาสนาที่นับถือพระเจา มีความเห็นวาการฆาตัวตายก็เทากับการฆา
คน เพราะเปนการทําลายชีวิตคน แมคนผูนั้นคือตนเองก็ตาม คนที่ฆาตัวตายไดถือวามีจิตใจโหดเหี้ยมและ
เปนคนมีจิตเศราหมอง จึงทําลายไดแมชีวิตที่ตัวเองรักที่สุด จิตใจเชนนี้จะตองไปเกิดในภพและภูมิต่ํา
นําไปสูความทุกขยิ่งกวา ทานวาคนเชนนี้จะตองเกิดมาฆาตัวตายอีก 500 ชาติ คนเชนนั้นยังกระทําโดยไม
คํานึงถึงคนรอบขางที่รักและมีบุญคุณแกตนหรือเปนบุคคลที่ตองพึ่งพาอาศัยตน ทําใหคนเหลานั้นมีทุกข
เปนกรรมซ้ําซอนขึ้นไปอีก ควรจะเอาชีวิตไปทําสิ่งที่มีคาไดอีกมาก ดีกวาตายเสียอยางไรประโยชน ตายดวย
ความไมเขาใจความจริงของชีวิต เหตุผลจากฝายศาสนานั้น ศาสนิกชนยอมรับไดงาย แตผูที่ไมนับถือ
ศาสนาหรือศาสนิกชนตางศาสนาอาจไมยอมรับ เชน คนที่ไมนับถือพระเจาก็อาจไมยอมรับวาชีวิตเปนของ
พระเจา และสิทธิในชีวิตไมเกี่ยวของกับพระเจา คนที่ไมนับถือพระพุทธศาสนาอาจไมยอมรับกฎแหงกรรม
และความดีชั่วตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนาก็คงถือวาไดบอกทางแหงความดีแลว การรับหรือไมรับ
คําสั่งสอนเปนเรื่องของแตละบุคคลที่จะเลือกทางและผลของการเดินตามทางที่เลือก
3.)เหตุผลแบบกระทบตอเนื่อง การอางเหตุผลแบบนี้คลายกับเกมโดมิโนคือหากยอมรับการ
ฆาตัวตายวาถูกตองหรือไมผิดศีลธรรมก็จะตองยอมรับการฆาแบบอื่น ๆ ตอไปดวย เชน การทําแทง การทํา
การุณยฆาต (mercy killing) การลงโทษประหารชีวิต เปนตน การอางเหตุผลแบบนี้เปนความบกพรองทาง
ตรรกวิทยาเพราะไมมีความจําเปนอะไรที่การยอมรับการทําลายชีวิตในเรื่องหนึ่งจะทําไดตองยอมรับอีก
เรื่องหนึ่ง เชนการยอมรับเรื่องการทําแทงก็ไมจําเปนตองยอมรับเรื่องอื่นเชนการฆาพอแม
4.)เหตุผลดานความยุติธรรม เหตุผลขอนี้คือการอางวาผูที่ตองพึ่งพาอาศัยบุคคลที่ฆาตัวตาย
เปนผูตองไดรับโทษอยางไมเปนธรรม เชน ผูที่ฆาตัวตายทําใหภรรยา ลูกตองยากลําบาก ตองโศกเศรา และ
สังคมก็อาจไมชวยเหลือ บุคคลเหลานี้ตองรับโทษโดยไมไดทําความผิด หลักการที่ผูฆาตัวตายใชอางไดคือ
เสรีภาพสวนบุคคลแตหลักการดังกลาวนี้ขัดกับหลักความยุติธรรม คือเปนความอยุติธรรมตอผูบริสุทธิ์หาก
ยึดหลักเสรีภาพสวนบุคคลในกรณีที่หลักการขัดแยงกันเชนนี้ การฆาตัวตายดังกลาวก็เปนการเห็นแกตัว
และการกระทําโดยเห็นแกตัวโดยที่ทําใหผูอื่นเดือดรอนยอมถือวาผิดศีลธรรม
1.2 เหตุผลฝายสนับสนุนการฆาตัวตาย
ฝายสนับสนุนการฆาตัวตายในที่นี้มิไดหมายถึงฝายที่เห็นวาการฆาตัวตายทุกกรณีเปนสิ่งที่ดีเพราะ
ยากที่คนที่มีสติสัมปชัญญะจะคิดเชนนั้น เปนแตกลุมนี้บางคนเห็นวาการฆาตัวตายในบางกรณีเปนการ
กระทําที่ทําได หรืออาจเปนการกระทําที่นาสรรเสริญ ฉะนั้นในเรื่องปกติคนเหลานี้ก็มิไดสนับสนุนการฆา
ตัวตาย ผูที่อยูในฝายนี้อาจแบงเปนสองกลุมคือ กลุมที่อางสิทธิในรางกายและชีวิต กับกลุมประโยชนนิยม
1.) สิทธิในรางกายและชีวิต ในปจจุบันคนเราเชื่อวาคนแตละคนมีสิทธิในชีวิต ซึ่งโดยปกติแลว
เราใชในความหมายที่วาเรามีเสรีภาพในการจัดการตาง ๆ เกี่ยวกับรางกายและชีวิตของเราตราบเทาที่ไมได
ทําใหผูอื่นเดือดรอน ในทางตรงขามเรามีเสรีภาพที่จะไมถูกละเมิดสิทธิในชีวิต ผูอื่นจะละเมิดสิทธิในชีวิต
โดยการทํารายเราไมได ผูที่เชื่อเชนนี้บางคนถึงกับเชื่อวาในเมื่อเรามีสิทธิในชีวิตของเรา ในรางกายของเรา
136
เราก็สามารถจัดการชีวิตมิใชทําลาย ดังนั้นเราจึงหามการละเมิดชีวิตของกันและกัน คนทั่วไปไมเนนวาสิทธิ
ในชีวิต หมายถึงสิทธิในการทําลายชีวิตตน เพราะเทากับเปนการทําลายสิทธินั้น การใชสิทธิในชีวิตในการ
ทําลายชีวิตเปนการกระทําที่แยงตัวเอง แตถาจะถือวาผิดศีลธรรม ผูใชเหตุผลนี้ก็อาจแยงวาการตัดสิน
ดังกลาวเปนเรื่องเหตุผล มิใชเรื่องศีลธรรม
2.) หลักประโยชนนิยม หลักประโยชนนิยมเปนหลักที่วัดวาการกระทํามีศีลธรรมหรือไมโดยดู
ผลการกระทําวาเปนประโยชนมากหรือนอย การกระทําที่เปนประโยชนถือเปนการกระทําที่ดี หลักประโยชน
นิยมเปนหลักการที่ตัดสินโดยการชั่งน้ําหนัก การไดผลประโยชนและเสียผลประโยชน นักประโยชนนิยมมักจะ
อางเหตุผลดังนี้ ในกรณีเชน มนุษยไมอาจทําการที่เปนประโยชนแกสวนรวมได ซึ่งเทากับเปนภาระของ
สังคม หากคนเชนนี้ฆาตัวตายเพื่อจะไมเปนภาระแกสังคม นอกจากไมผิดแลวยังเปนการกระทําที่นา
สรรเสริญดวย หรือในกรณีที่คนเราตองทนทุกขแสนสาหัสและไมอาจทําประโยชนแกสังคมได การฆา
ตัวตายเปนทางออกที่ดี เพราะทําใหพนทุกข แมสังคมเสียประโยชนก็เปนการเสียประโยชนเพียงนอยนิด
เพราะบุคคลนั้นไมมีความสามารถที่จะทําประโยชนแกสังคมอีก มีแตจะเปนภาระ นอกจากนั้นบางกรณีที่
เปนการสละชีวิตเพื่อใหสวนรวมไดประโยชนหรือเปนไปในทางดีขึ้น เชน ผูกลาหาญที่สละชีวิตเพื่อชาติก็
นับเปนการกระทําที่ดี
ปญหาดังกลาวเปนเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป คนที่ฆาตัวตายมักไมมีโอกาสไดเขาใจเหตุผล
เหลานี้ หรือเขาใจแตพายแพตออารมณที่รุนแรง หากไดศึกษาเหตุผลเหลานี้ก็จะเปนการเตรียมพรอมทาง
ใจที่จะใหคนเราคิดจากหลายแงมุมและมีความคิดที่รอบคอบกอนการตัดสินใจ
2. ปญหาเรื่องการฆาเพื่อปกปองคนบริสุทธิ์
ปญหาการฆาเพื่อปกปองคนบริสุทธิ์เปนปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตอีกปญหาหนึ่ง ผูบริสุทธิ์
หมายถึงผูที่ไมไดทําความผิดใด ๆ โดยทั่วไปถือกันวาการฆาผูบริสุทธิ์เปนความผิดศีลธรรมอยางรายแรง และ
การฆาผูที่จะฆาผูบริสุทธิ์เพื่อรักษาชีวิตผูบริสุทธิ์จากผูรายก็มักถือกันวาเปนการกระทําที่ถูกตอง ผูบริสุทธิ์ที่วา
นี้อาจรวมถึงตัวเราเอง ซึ่งไมไดทําผิดคิดรายอะไร ในกรณีที่มีผูพยายามจะฆาเราหากเราฆาเขาเพื่อปองกันตัว
สังคมก็มักถือวาเปนสิ่งที่ไมผิด แตก็มีทรรศนะที่ถือวา ใครจะฆาใครไมไดเลย แมผูนั้นกําลังจะถูกฆา หรือแม
จะเปนการฆาผูรายเพื่อชวยชีวิตคนบริสุทธิ์
ทรรศนะที่ถือวาการฆาคนทําไมไดเลยเชน ทรรศนะของศาสนาเชน ศาสนาคริสต ทรรศนะของ
คานท และพวกสันติภาพนิยม (Pacifism) ทรรศนะเหลานี้ถือวาการฆาเปนสิ่งที่ผิดเสมอ แมเห็นคนฆาคน
บริสุทธิ์เชน เด็กทารกไรเดียงสา สตรีที่ไมมีทางตอสู ก็ไมอาจใชวิธีฆาผูนั้นเพื่อชวยคนบริสุทธิ์ได เพราะเปน
การทําความผิดซ้ําเหมือนลางโคลนดวยโคลน หรือลางเลือดดวยเลือด แมคนกําลังจะฆาเรา เราอาจตอสูได
แตตองไมฆาผูที่มุงจะฆาเรา ตามทรรศนะเหลานี้การลงโทษประหารชีวิตอาชญากรก็เปนสิ่งที่ไมถูกตอง
นอกจากเหตุผลที่วาการฆาผูที่จะฆาผูบริสุทธิ์เปนการกระทําที่ผิดเพราะการฆาผิดเสมอ ทรรศนะ
ของคริสตศาสนา คานทและทรรศนะของรุซโซ อางวา ผูอื่นมิใชผูใหชีวิตแกผูนั้นจึงไมมีสิทธิทําลายชีวิตผูนั้น
137
ผูรายไมมีสิทธิ์ทําลายชีวิตผูอื่นและเราก็ไมมีสิทธิทําลายชีวิตผูรายแตทวาในความเปนจริงนักศาสนาเองก็ปฏิบัติ
ตามที่สอนไดยากและอาจไมเห็นดวยอยางจริงใจในสิ่งที่ตนสอนเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือหากยอมใหฆาเพื่อ
รักษาชีวิตผูบริสุทธิ์ไดก็จะมีการยอมรับการฆาในกรณีอื่น ๆ ตามมาเชน การทําแทง การฆาคนเพื่อประโยชน
สวนรวม แตเหตุผลดังกลาวก็เปนการอางแบบผลกระทบตอเนื่องหรือโดมิโน ซึ่งไมมีความจําเปนทั้งทาง
เหตุผลและขอเท็จจริงวาจะตองเกิดขึ้นเชนนั้น
การไมฆาคนไมวากรณีใด ๆ นั้นอาจเปนสิ่งที่ทุกคนเห็นพองตองกันไดเพราะหลักสิทธิในชีวิตตาม
ความคิดแบบตะวันตกหรือหลักคุณคาของชีวิตตามแบบศาสนาตะวันออก เปนสิ่งที่คนแทบทุกคนยอมรับ
และถาทุกคนยึดถือหลักนี้ ก็จะไมมีใครฆาใครเลย การไมฆาใครไมวากรณีใด ๆ จะเปนที่ยอมรับก็ในเงื่อนไข
เชนนี้คือทุกคนจิตใจดีหมด การฆาก็ไมเกิดขึ้น แตสังคมมีการฆา คือมีผูละเมิดหลักการดังกลาว แมวาคนที่
ฆาคนอื่นมีนอยกวาคนที่ไมฆาก็ตาม ดวยเหตุดังกลาวจึงมีผูไมเห็นดวยกับการไมฆาใครเลยไมวากรณีใด ๆ
ทรรศนะแยงดังกลาวมีเหตุผลดังนี้
ความเห็นดังกลาวขางตนมิไดพิจารณาวาสังคมจริง ๆ ไมไดเปนสังคมสมบูรณที่ทุกคนเปนคนดี
และไมละเมิดหลักสิทธิในชีวิต หรือหลักคุณคาของชีวิต และมีคนที่ไมเคารพสิทธิหรือไมยอมรับคุณคาชีวิต
ของผูอื่น แมวาคนเหลานี้จะมีจํานวนนอยก็ตาม ดังนั้นแมวาหลักคุณคาของชีวิตจะคุมครองรักษาชีวิตของ
คนทุกคน แตคนเราก็มีสิทธิหรือมีพันธะทางศีลธรรม (moral obligation) ที่จะปกปองชีวิตของผูบริสุทธิ์ซึ่ง
รวมถึงชีวิตของตนดวย เมื่อประจักษวาผูอื่นมิไดยอมรับนับถือคุณคาของชีวิตมนุษย นอกจากนั้นความ
ดีงามในการปกปองชีวิตของผูบริสุทธิ์ มีน้ําหนักทางศีลธรรมมากกวาความชั่วในการฆาบุคคลที่พยายามจะ
ฆาหรือลงมือฆาผูบริสุทธิ์ ในแงนี้คนที่พยายามฆาหรือฆาผูอื่นไดทําลายสิทธิที่จะใหผูอื่นยอมรับคุณคาแหง
ชีวิตของตน เพราะการที่ตนเปนผูไมนับถือคุณคาของชีวิตและสิทธิในชีวิตของผูอื่น ตามทรรศนะนี้ ใครไม
ควรฆาใครเวนแตเพื่อปกปองผูบริสุทธิ์ซึ่งรวมทั้งตัวเองดวย และการฆาผูรายดวยเหตุผลดังกลาวเปนสิ่งที่
ทําได และเปนพันธะทางศีลธรรมที่ตองกระทํา
3. การปลอยใหตายตามวาระ (allowing someone to die) การอนุเคราะหใหตาย (Mercy Death
และ การเมตตาใหตาย (Mercy Killing)
3.1 การปลอยใหตายตามวาระ
การปลอยใหตายตามวาระเปนปญหาที่เกิดขึ้น ในกรณีที่การยืดชีวิตยังเปนไปไดดวยเทคโนโลยี
ทางการแพทย แตคนไขไมมีโอกาสรอด กลาวคือคนไขมีชีวิตอยูไดดวยเทคโนโลยี มิใชอยูไดตามธรรมชาติ
กรณีเชนนี้ควรปลอยใหคนไขตายไปตามวาระหรือตามอายุขัยโดยใหตายอยางสบาย สงบ และอยางมีศักดิ์ศรี
การตายดังกลาวเปนการปลอยไปตามธรรมชาติโดยไมมีการกระทําใด ๆ ที่เปนการทําใหตายแตเปนการเลิก
การกระทําที่จะยืดชีวิตตอไป เชนไมใชวิธีการอื่น ๆ หรือทําการรักษาใด ๆ ตอไป และปลอยใหคนไขตายไป
ตามธรรมชาติโดยไมใชเทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตรทางการแพทยใด ๆ เขาไปเกี่ยวของกับการตาย ทั้งนี้มิได
138
หมายความวาจะใหคนไขตายไปดวยความทุกขทรมาน และจะเลิกใชเทคโนโลยีและความรูทางวิทยาศาสตร
ในกรณีนี้ก็ตอเมื่อไมมีประโยชนใด ๆ ตอคนไข
ปญหานี้และปญหาที่คลายคลึงกันคือปญหาการอนุเคราะหใหตาย (mercy death) และปญหา
การเมตตาใหตาย (mercy killing) เปนปญหาที่มีการโตแยงกันมากขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 20 นี้ เนื่องจาก
ความกาวหนาดานเทคโนโลยีทางการแพทยทําใหมนุษยมีอายุยืนขึ้นกวาแตกอน เชนแตกอนเมื่อหัวใจหรือ
ปอดเสียสภาพการทํางานคนจะตายในไมชา แตปจจุบันมีอุปกรณชวยหายใจและทําใหหัวใจเตน ยาก็ดีขึ้น
มีการปลูกถายอวัยวะเครื่องฟอกไตและอุปกรณอื่น ๆ อีกมากมายที่ทําใหคนไขอยูตอไปไดเรื่อยๆ การยืดชีวิตนี้
ทําใหเกิดปญหาชีวิตที่คงอยูแตไมอาจรักษาใหดีขึ้นได เชน คนที่ไตเสียเมื่อกอนปคริสตศักราช 1960 ตอง
ตายทั้งสิ้น แตหลังจากนั้นก็สามารถมีชีวิตอยูไดระยะหนึ่ง และระยะการมีชีวิตอยูไดก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตาม
ความเจริญทางการแพทยที่เพิ่มขึ้น คนบางคนปรับตัวกับสภาพที่ตองอยูกับเครื่องได และยินดีที่มีชีวิตอยู
แตบางคนเห็นวาหากตองอยูในสภาพเชนนั้นใหตายเสียจะดีกวา คนไขโรคมะเร็งที่ไมมีทางหาย และตอง
รักษาดวยเคมีบําบัดอาจตองเจ็บปวดทรมานจนเห็นวาใหตายโดยไมตองรักษาจะดีกวา
การยืดชีวิตแตทําใหชีวิตนั้นอยูในสภาพเทากับตายแลว มีคุณภาพชีวิตต่ําลงมาก หรือมีชีวิตที่ทุกข
ทรมานนั้น เปนสิ่งที่ดีสําหรับมนุษยหรือวาควรปลอยใหตายไปตามธรรมชาติจะดีกวา โดยเฉพาะการพยายาม
ยืดชีวิตและพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทยโดยอาศัยคนไขเปนเครื่องมือศึกษานั้นเปนสิ่งที่ถูกตองหรือไมเปน
การทดลองกับมนุษยหรือไม และเปนการทําเพื่อคนไขหรือเพื่อแพทยเหลานี้เปนปญหาทางจริยศาสตรที่บุคลากร
ทางการแพทยจะตองตอบและคําตอบก็มีทั้งสนับสนุนและคัดคานการกระทําดังกลาว
3.1.1 เหตุผลของฝายคัดคาน
เหตุผลที่ใชคัดคานการปลอยใหตายตามวาระมาจากหลักการวาชีวิตเปนสิ่งมีคาควรรักษาไว
จนถึงที่สุด ไมวาชีวิตนั้นจะอยูในสภาพใดก็ถือวาเปนสิ่งที่มีคุณคากับหลักการที่วาบุคลากรทางการแพทยมี
หนาที่ชวยชีวิต การไมชวยชีวิตถือเปนการทําลายชีวิตอยางหนึ่ง ซึ่งเปนการทําผิดหลักการดังกลาว ขอโตแยง
ทั้งฝายการแพทยและฝายศีลธรรม มีประเด็นสําคัญ ๆ ดังนี้
1.)การปลอยใหตายเปนการทอดทิ้งคนไข
ผูที่มีแนวคิดนี้เห็นวาการไมใชวิธีการใด ๆ หรือการหยุดใชวิธีการใด ๆ ที่ทําใหชีวิตของคนไขที่
กําลังจะตายจะเปนการยืดเวลาเพียงเล็กนอยเทากับเปนการปฏิเสธที่จะใหการรักษา คนเหลานี้รูสึกวาหาก
บุคลากรทางการแพทยไมยอมรักษาก็เทากับทอดทิ้งคนไขและครอบครัวใหเดือดรอนและเปนทุกข
เรื่องที่บุคลากรทางการแพทยเลิกการรักษาเพราะเห็นวาไมมีประโยชนอะไรที่จะรักษาตอไปนั้น
เปนความจริงทั้งในอดีตและปจจุบันแตก็ไมมีเหตุผลอะไรที่จะตองเปนเชนนั้นเหตุดังกลาวเกิดจากการมุงพิจารณา
แตเฉพาะดานการรักษาและทําใหหายจากโรคจนเกินไปและพิจารณาดานการทําใหคนไขสบายและดานการดูแล
คนไขนอยเกินไป ผูปวยใกลตายควรไดรับการดูแลใหเจ็บปวดทรมานนอยลงและตายอยางมีความสุข สงบ
139
และสมศักดิ์ศรีความเปนมนุษยมากกวาจะตายตามธรรมชาติอยางทุกขทรมานทั้ง ๆ ที่การแพทยและการ
พยาบาลดูแลสามารถชวยคนไขใหจากไปโดยไมตองเผชิญภาวะเลวรายดังกลาว การตายเปนธรรมชาติแต
ก็ไมจําเปนที่ผูปวยจะตองเจ็บปวดทรมานตามธรรมชาติกอนตายในเมื่อมนุษยสามารถใชธรรมชาติในการ
ลดความทุกขและเพิ่มความสุขได และมนุษยไมควรถูกทอดทิ้งดวยการเลิกรักษา แตควรไดรับตามดูแล
อยางเต็มที่ไปจนวาระสุดทาย แพทยแผนโบราณที่ไมมีความเจริญทางเทคโนโลยีเชนปจจุบันก็ยังเฝาดูแล
คนไขของเขาจนสิ้นลม
2.)ความเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษา
การปลอยใหคนไขตายเร็วเกินไปนอกจากจะเปนการไมพยายามรักษา และทําใหแพทยถือเปน
เหตุผลที่จะไมรักษาคนไขไดงายขึ้นมักปรากฏอยูเนืองๆวาคนไขที่แพทยลงความเห็นวาอยูไดไมเกินระยะเวลา
เดือนหนึ่งหรือสองเดือนกลับอยูไดอีกหลายปเพราะคนไขพยายามหาทางรักษาตอไป ในสมัยกอนการที่แพทย
พยายามรักษาคนไข ทําใหแพทยคิดหายาใหม ๆ หรือวิธีใหม ๆ มารักษา ในเมื่อคิดวาคนไขไมมีทางรอด
การพยายามหาทางรักษาก็ยังมีโอกาสรอด แตถาไมพยายามจะยิ่งไมมีทางรอด ยาใหม ๆ พัฒนามาโดย
ตลอดก็เพราะความพยายามรักษาคนไขใหมีชีวิตสูโรคไดนานที่สุด
3.)เราจะเลือกความตายไมได
ผูใชวิชาทางการแพทยโดยทั่วไปถือวาวิชาแพทยมีไวเพื่อชวยชีวิตจึงเปนไปไมไดที่จะเลือกความ
ตาย แพทยจะตองเลือกชีวิตคือหาทางใหคนไขไมตาย ถาหากยอมใหมีการเลือกความตายไดแมแตนอย
หลักการพื้นฐานของแพทยดังกลาวก็ไรความหมาย และหากเปนเชนนั้นแพทยก็จะไมเปนที่ไววางใจของ
คนไขอีกตอไป เพราะไมรูวาเมื่อไรแพทยจะเลือกความตายใหแกตน
ความคิดดังกลาวนี้มีขอแยงสองขอคือ ขอแรก “การเลือกความตาย” กับ “การยอมรับความตาย”
เมื่อเลี่ยงไมไดนั้นตางกัน กรณีที่พูดถึงนี้แพทยมิไดเลือกระหวางความตายกับความรอดชีวิต แตเลือกที่จะ
ยอมรับความตายเมื่อหมดทางรักษา ประการที่สองคนไขอาจมิไดตองการใหแพทยใชความพยายามทุกวิถีทาง
ที่จะรักษาเสมอไป และคนไขเองก็ควรมีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษาได ความหมายดังกลาวอาจเปนการทรมาน
คนไข และคนไขควรมีสิทธิที่จะเลือกรักษาหรือไมรักษาก็ได
4.)การปลอยใหตายเปนการลวงล้ําแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจา
แนวคิดนี้มาจากความเชื่อวาพระเจาสรางมนุษย ดังนั้นพระเจาเทานั้นที่มีสิทธิจะเอาชีวิตมนุษย
ไปได มนุษยดวยกันจะปลอยใหใครตายไมได ยิ่งทําลายชีวิตเสียเองก็ยิ่งไมได มนุษยตองพยายามทุกวิถีทางที่
จะรักษาชีวิตเพื่อนมนุษยไวใหได จนกวาพระเจาจะใหมนุษยผูนั้นตายจึงจะถึงเวลาของผูนั้น
เหตุผลดังกลาวนี้อาจจะอางเพื่อสนับสนุนหรือคัดคานการปลอยใหตายตามวาระก็ได กลาวคือ
อางวาพระเจาตองการใหมนุษยตาย ดังนั้นการพัฒนาดานเภสัชกรรมก็เปนการลวงล้ําแผนของพระเจาที่มีมา
แตตนเปนอยางมาก พระเจาไมอยากใหมนุษยอยูค้ําฟา การผลิตยาเพื่อยืดชีวิตมนุษยจึงเปนการลวงล้ํา
140
แผนของพระเจาการอางเหตุผลนี้ขัดกับเหตุผลขางตน ที่ขัดกันก็เพราะไมรูวาพระเจามีแผนอยางไรในเรื่อง
การปลอยใหตายตามวาระ นอกจากนั้นจะเริ่มรักษาเมื่อใดหยุดเมื่อใดก็มิใชการตัดสินพระทัยของพระเจา
แตคือแพทยหรือคนไข พระเจาใหมนุษยเลือกได มนุษยจึงไมอาจปดความรับผิดชอบใหเรื่องนี้เปนการเลือก
ของพระเจา
3.1.2 เหตุผลสนับสนุน
1.) สิทธิในรางกายและชีวิตของปจเจกบุคคล
สิทธิในรางกายและชีวิตของปจเจกบุคคลมักจะอางจากฝายคนไขเพื่อจะรักษาสิทธินั้นตามหลักการ
นี้คนแตละคนมีสิทธิในชีวิตและรางกายของตนคนจึงมีสิทธิที่จะทําลายชีวิตตนเสียเองใหผูอื่นทําลาย ใหปลอย
ใหตายหรือในทางตรงขามจะรักษาไวเองหรือใหผูอื่นดูแลรักษาก็ได ดังนั้นในกรณีการปลอยใหตายตามวาระ
จึงเปนไปไดเมื่อคนไขยินยอม (แตไมใชกรณีที่คนไขขอรอง ซึ่งเปนเรื่องการอนุเคราะหใหตาย (mercy death))
การพิจารณาเฉพาะสิทธิของคนไขในการรักษาเปนปญหา ลองนึกถึงกรณีเด็กไมชอบกินยา ถา
เด็กนั้นปวยและไมยอมกินยา พอแมก็ยอมไมมีสิทธิกรอกยา เด็กนั้นก็อาจตายเพราะโรคได แตโดย
ความสัมพันธเปนพอแมลูกกัน พอแมมีสิทธิ์ในตัวลูก พอแมก็มีสิทธิกรอกยาลูกได สังคมถือวาเปนการทํา
เพื่อใหลูกหายจากโรค ไมใชการละเมิดสิทธิในรางกาย เราตองไมลืมวาญาติพี่นองที่เฝาไข ออกคา
รักษาพยาบาล แพทยที่ดูแลรักษา ยอมเปนผูมีสวนในชีวิตคนไข ก็นาจะมีสิทธิในการตัดสินใจดวยเชนกัน
โดยเฉพาะกรณีคนไขไมรูสึกตัว ใครจะเปนผูตัดสิน ในทางกลับกันหากพิจารณาสิทธิของคนไขนอยเกินไป
แพทยก็จะกลายเปนเจาชีวิตของคนไข เชน แพทยอาจเห็นวาคนไขที่เปนมะเร็งระยะสุดทายไมมีทางรอด
และจะปลอยใหตายไปตามธรรมชาติ โดยเห็นวาหากใชวิธีรักษาตาง ๆ ก็จะเปนการทรมานคนไขแตถาวิธี
ดังกลาวชวยยืดอายุได ก็อาจมีคนไขที่ยอมทุกขทรมานเพื่อจะมีชีวิตอยูใหนานที่สุด การเลือกที่จะปลอยให
ตายจึงอาจกลายเปนการลิขิตชีวิตคนไขโดยประกาศิตของแพทยและญาติ ซึ่งแมในกรณีที่คนไขไมรูสึกตัว ก็
ยากที่จะใหทุกคนเห็นดวย แมญาติที่ตัดสินใจเชนนั้น ในหลาย ๆ กรณีก็คงรูสึกผิดและไมสบายใจที่เปนผูสั่ง
ใหญาติผูเปนที่รักจบชีวิตลง
2.) การลดระยะเวลาที่จะทุกขทรมานลง
เหตุผลอีกประการหนึ่งใชสนับสนุนการปลอยใหตายตามวาระก็คือเปนการชวยใหคนไขไมตอง
ทุกขทรมานอีกตอไป คือระยะเวลาที่จะตองทนทุกขทรมานสั้นลง เทคโนโลยีทางการแพทยในปจจุบันเปน
การยืดเวลาตายโดยคนไขตองทุกขทรมานมากกวาจะเปนการยืดชีวิตใหมีความสุขตอไป การยืดชีวิตที่เปน
การยืดความเจ็บปวดทรมานจะมีคุณคาอันไดแกชีวิต การปลอยใหคนไขตายไปตามสภาวะของโรคนาจะ
เปนความมีมนุษยธรรมมากกวาการทรมานดวยเครื่องมือยืดชีวิต แตหากคิดเชนนี้ความพยายามจะรักษาก็
จะนอยลง ซึ่งอาจรวมถึงกรณีที่เทคโนโลยีสามารถลดความเจ็บปวดทรมานและทําใหคนไขมีชีวิตตอไปอยาง
มีความสุขพอควรแกอัตภาพได แพทยอาจจะตัดสินใจหยุดการรักษาหรือไมพยายามหาวิธีอื่นที่อาจดีกวามา
รักษาคนไขและกรณีเชนนั้นจะเปนการทอดทิ้งคนไขซึ่งเปนสิ่งที่แพทยไมควรกระทํา
141
3.) สิทธิที่จะตายอยางสมศักดิ์ศรีของมนุษย
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่มักใชสนับสนุนความคิดเรื่องการปลอยใหตายตามวาระก็คือ มนุษย
ควรมีสิทธิที่จะตายอยางสมศักดิ์ศรีแทนที่จะตองตายในสภาพทุกขทรมาน เต็มไปดวยอุปกรณตาง ๆ จนเห็น
ไดชัดวาความเปนมนุษยที่มีในตอนที่เกิดแทบจะไมเหลือ เปนการตายอยางนาอนาถ แมรางกายก็ทรุดโทรม
จนเหลือเปนเพียงซากที่มีแตหนังหุมกระดูก
การที่จะใหมนุษยตายอยางสมศักดิ์ศรีในที่นี้ทําใหมีเหตุผลที่จะปลอยใหตายตามวาระ ทําตาม
คําขอรองใหทําลายชีวิต หรือแมแตเมตตาชวยทําลายชีวิตให โดยอางเหตุดังกลาว แนวคิดเชนนี้จึงเปนโอกาส
ใหแพทยไมตองพยายามและไมพยายามที่จะรักษาชีวิตคนไขไวใหนานที่สุดเทาที่จะทําได และการตาย
อยางสมศักดิ์ศรีของมนุษยก็ตองไมพิจารณางาย ๆ เชนนั้น ในปจจุบันการดูแลรักษาคนไขใกลตายใหได
ตายอยางสมศักดิ์ศรีของมนุษยมิใชดูเพียงรูปกายภายนอก หรือสมรรถภาพของมนุษยเทานั้น แตอยูที่ไดรับ
การดูแลใหตายอยางมีความสุขที่สุดเทาที่จะเปนไปได ซึ่งมิใชเปนเพียงการรักษาทางการแพทยแตตอง
คํานึงถึงปจจัยทางจิตใจซึ่งรวมถึงความรูสึกนึกคิดและความเลื่อมใสศรัทธาของคนไขดวย
3.2 การอนุเคราะหใหตาย (mercy death)
การอนุเคราะหใหตายคือการทําใหชีวิตของผูใดผูหนึ่งสิ้นสุดลงโดยคําขอรองของผูนั้น ซึ่งมักจะเกิด
จากการที่ผูนั้นทนความเจ็บปวดทรมานไมไหว หรือเพราะไมปรารถนาจะมีชีวิตอยูตอไปอีก การขอใหทําให
ตายดังกลาวมักจะใหใชชีวิตที่ไมเจ็บปวด หรือเจ็บปวดนอยหรือหมดความเจ็บปวดเร็วมากที่สุด บางกรณี
เกิดจากการที่ผูปรารถนาจะฆาตัวตายใจไมแข็งพอที่จะลงมือกับตัวเอง หรืออยูในสภาพที่ไมอาจลงมือดวย
ตัวเองไดเชนไมมีเรี่ยวแรง หรือเปนอัมพาต
เหตุผลในกรณีนี้มีทั้งคัดคานและสนับสนุน เหตุผลตาง ๆ ก็คลายคลึงกับการฆาตัวตาย และการ
ปลอยใหตายตามวาระจึงจะนํามากลาวเฉพาะในสวนที่เกี่ยวของกับเรื่องนี้ สวนคําอธิบายความหมายและ
ความคิดเกี่ยวกับเหตุผลดังกลาวจะไมกลาวซ้ําอีก แตการอนุเคราะหใหตายก็มีขอตางกับการฆาตัวตาย
และการปลอยใหตายตามวาระ เนื่องจากมีผูอื่นเปนผูฆา
3.2.1 เหตุผลคัดคาน
1.) ความไรเหตุผลของการอนุเคราะหใหตาย
การอางเหตุผลนี้ก็เชนเดียวกับเรื่องการฆาตัวตายคือเปนการกระทําที่ผูกระทํามิไดใชเหตุผล
แตเปนการกระทําจากอารมณ หรือจิตใจที่อยูในสภาวะไมปกติ การขอความอนุเคราะหจากผูอื่นใหฆาก็มา
จากสาเหตุทํานองเดียวกัน เชน คนที่เคยเปนนักกีฬา แตตองกลายเปนอัมพาตและยอมรับสภาพเชนนั้น
ไมได ซึ่งหากบําบัดรักษาตอไปก็อาจชินกับความผิดปกติ หรืออาจคอย ๆ ดีขึ้นโดยลําดับและอาจเปลี่ยนใจ
ไมตองการตาย จึงไมควรใหความอนุเคราะหแกคนเหลานี้ในเรื่องดังกลาว แตการกลาววาการขอความ
อนุเคราะหใหฆาเปนการกระทําของคนในสภาวะไรเหตุผลก็ไมจริงเสมอไป บางคนอาจทนสูกับสภาวะที่
142
เลวรายมานานจนรูสึกทุกขยากแสนสาหัส และคิดวาการมีชีวิตอยูไมมีอะไรที่เปนความหวังอีกตอไป คน
เหลานี้อาจไตรตรองอยางรอบคอบแลวจึงตัดสินใจขอความอนุเคราะห การกระทําโดยไตรตรองดังกลาว
ยากที่จะวาเปนการกระทําในสภาวะไรเหตุผล
2.) เหตุผลดานศาสนา
เหตุผลในการหามทําลายชีวิตของศาสนาที่ถือวาพระเจาเปนผูใหและวางแผนชีวิตมนุษยก็คือ
มนุษยไมเปนเจาของชีวิตจึงไมมีสิทธิที่จะทํารายหรือทําลายชีวิตของตน แมจะใหผูอื่นเปนผูทําลายก็ไมมีสิทธิ์
การขอความอนุเคราะหใหผูอื่นทําลายชีวิตจึงทําไมไดถาทําก็ผิดศีลธรรม สวนศาสนาที่ไมถือวาชีวิตเปนของ
พระเจาเชนพระพุทธศาสนา ก็ถือวาชีวิตในชาตินี้เปนผลของกรรม คือเกิดจากกรรมเกา และเกิดมาเพื่อใช
กรรมเกาและทํากรรมใหม ซึ่งควรจะเปนการทํากรรมดี การฆาตัวตายเปนการเลี่ยงการใชกรรมในโลกนี้
เหมือนลูกหนี้ที่หนีหนี้ และการฆาแมวาจะฆาตัวเองก็เปนกรรมหนักเชนเดียวกับฆาผูอื่น การฆาเองก็ดี
ขอใหผูอื่นฆาก็ดีจึงผิดศีลธรรม ถึงจะตายแลวก็ยังตองรับกรรมยิ่งกวาเกาเพราะทํากรรมชั่วเพิ่ม
สวนผูที่ฆาตามคําขอ แมผูถูกฆาจะเต็มใจ ซึ่งตางกับฆาโดยทั่วไปที่ผูถูกฆาไมเต็มใจ แตการ
ฆาก็ผิดทั้งสิ้น ผูถูกขอรองจึงไมควรทําตามเพราะถึงแมผูถูกฆาจะเต็มใจในขณะนั้นก็อาจเปนเพราะความ
หลงผิดไปชั่วขณะเมื่อฆาแลวก็เปลี่ยนใจไมได แตถาไมยอมฆาเขาอาจเปลี่ยนใจภายหลัง ยังพอแมลูกเมีย
ญาติพี่นองที่ผูกพันอยูจะตองเศราโศกเสียใจ ผูฆาจึงเทากับกอกรรมตอเขาเหลานั้นอีกชั้นหนึ่ง การขอความ
อนุเคราะหใหตายจึงผิดทั้งผูขอและผูทําตามที่ขอ
เหตุผลฝายศาสนานี้ผูที่ไมนับถือศาสนา ไมเชื่อพระเจา ไมเชื่อกรรมคงจะยอมรับไดยาก แต
เปนเรื่องชัดเจนและยอมรับไดในหมูผูนับถือศาสนาแตละแบบ
3.) การเกิดผลกระทบตอเนื่อง
แนวคิดนี้เชื่อวาถายินยอมใหการอนุเคราะหใหตายเปนสิ่งที่ถูกตองก็จะสงผลกระทบตอเนื่องไป
ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการทําลายชีวิตเชน การเมตตาใหตายหรือการทําแทง เปนตน เพราะหากการขอรองให
ฆาเปนสิ่งที่ทําได กรณีผูที่ไมสามารถขอรองเชนคนที่อยูในอาการตรีทูต (Coma) ก็อาจยอมใหฆาเสียดวย
ความเมตตาของแพทยเปนตน การเปดโอกาสใหหนอยหนึ่งก็ยอมเปนการเปดโอกาสมากขึ้นได
4.) เหตุผลดานความยุติธรรม
หากการขอความอนุเคราะหใหฆาเปนสิ่งที่ถูกตองได การฆาในกรณีเชนนี้ยอมเปนภาระที่เพิ่มขึ้น
และอาจเปนความสบายใจของผูกระทํา เพราะการทําลายชีวิตผูอื่นยอมไมใชสิ่งที่ใครจะทําไดโดยไมรูสึกสลด
หดหู จึงเปนการไมเปนธรรมตอบุคคลเหลานี้ เพราะแพทยจะตองทําถาการขอรองของคนไขเปนสิ่งที่ถูกตอง
นอกจากนั้นยังอาจไมเปนธรรมตอครอบครัว ญาติพี่นอง และคนรักที่ไมตองการเห็นคนที่ตนรักจากไปโดย
มิใชการตายตามธรรมชาติแตเปนการตายกอนวาระ เพียงการปลอยใหตายตามวาระก็กอความรูสึกไม
สบายใจอยูแลว ยิ่งเปนการฆากอนวาระมิใชการตายตามธรรมชาติก็เปนเรื่องที่ทําใจไดยาก
143
5.) ความเปนไปไดที่จะคนพบวิธีรักษา
ตราบใดที่คนเรายังไมตาย โอกาสในการรักษาและโอกาสที่จะมีอาการดีขึ้นก็ยังมีอยู แตเมื่อ
ตายแลวโอกาสก็หมด คนเราไมควรสิ้นหวังจนกวาจะไมสามารถมีความหวังได โรคเรื้อรัง และโรคที่ไม
หายขาด อาจประทังชีวิตไวดวยยาและเทคโนโลยี จนกระทั่งมียารักษา โรคทั้งหลายลวนเปนโรคที่ไมพบยา
รักษามากอน ถามนุษยไมมีความพยายามจะรักษา ยาและวิธีการรักษาใหม ๆ ก็ไมเกิดขึ้น บางคนอาจตาย
ไปกอนจะคนพบวิธี แตคนที่อยูจนพบวิธีรักษาก็อาจรอดชีวิต โรคเปนเหตุใหเกิดยารักษาโรค ถาปลอยใหคน
ตายไดงาย ๆ โดยไมมีความพยายามรักษา วิชาแพทยก็ไมมีประโยชน แตเรื่องนี้ก็ตองคิดดวยวา การที่ตอง
รักษาโรคอยูเปนเวลานานเปนความสิ้นเปลืองมาก ผูที่ไมสามารถจายคารักษาไดมีมาก หากตองทุกขทรมาน
โดยไมมีโอกาสรักษา คนเหลานี้ก็อาจรูสึกวาตายเสียจะดีกวาทนทุกขเชนนั้น
6.) ยังมีทางเลือกที่จะตายอยางมีความสุข (Hospice)
สวนหนึ่งของการที่คนไขอยากตายอาจจะมาจากการดูแลรักษาของแพทยและพยาบาลที่ใหความ
เอาใจใสและเมตตาตอคนไขไมเพียงพอ ซึ่งอาจมีสาเหตุมากมาย เชน บุคลากรไมเพียงพอ ไมเขาใจปญหา
สวนตัวของคนไข มีความเชื่อตางกันและปฏิบัติไมถูกตองตามความเชื่อ คนไขไมมีเงินมากพอที่จะใหใช
อุปกรณและยาที่มีคุณภาพ เราควรมุงแกปญหาเหลานี้มากกวาที่จะหาวิธีที่จะทําใหการอนุเคราะหใหตาย
และการเมตตาใหตายเปนสิ่งที่ถูกศีลธรรมหรือถูกกฎหมาย แทนที่จะทําลายชีวิตคนไข หรือใหคนไขอยู
อยางทุกขทรมาน ทางเลือกที่จะทําใหคนไขตายอยางมีความสุขจะเนนการใหความเคารพตอชีวิตมนุษย
รักษาและปกปอง ทําใหชีวิตดีขึ้นโดยใหความพึงพอใจ เลี่ยงความเจ็บปวดทําใหชีวิตดีที่สุดเทาที่จะทําได
ใหสามารถสรางสรรคไดในระดับที่จะทําไดตามสภาวะแหงรางกายของคนไขซึ่งจะตองใหคนไขไดทราบตาม
ความเปนจริง และตองปฏิบัติตอคนไขอยางมนุษย มิใชอยางรางกายที่โรคทวมตัว ใหคนไขและครอบครัวได
มีเสรีภาพที่จะใชชีวิตในชวงที่เหลือรวมกันอยางมีความสุขใหคนไขไดตายอยางสมศักดิ์ศรีมนุษยดวยความเห็น
อกเห็นใจมิใชดวยการฆา วิธีนี้เปนการลดความเจ็บปวด ความทุกขและความรูสึกวาชีวิตไรคาไมรูจะอยูไปเพื่อ
อะไรที่เกิดขึ้นกับคนไข แนวทางนี้อาจชวยลดการฆาโดยอนุเคราะหโดยกรุณาลงจนถึงไมตองกระทําเลยใน
ที่สุด แตวิธีนี้ก็อาจไมไดผลกับโรครายแรงบางชนิดและกับคนที่ไมตองการรักษาไมวาวิธีใด ๆ
3.2.2 เหตุผลสนับสนุน
1.) เสรีภาพและสิทธิสวนบุคคล
ขอนี้เปนเหตุผลสําคัญที่สุดที่ผูซึ่งเห็นดวยกับการอนุเคราะหใหตายใช กลาวคือ บุคคลควรมี
สิทธิที่จะตัดสินใจวาเมื่อไรจะอยูเมื่อไรจะตาย หากผูใดไมประสงคจะมีชีวิตอยูตอไปและขอตายก็ควรจัดการ
ใหเขา เนื่องจากเปนการเลือกที่เสรีและมีเหตุผล สิ่งที่เราจะตองทําก็คือ ทําตามความประสงคของเขาดวย
ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และความเมตตา มิใชความมุงรายใด ๆ ความคิดเชนนี้ก็อาจมีผูแยงวา คําขอ
ดังกลาวหากจะตองทําตามก็เปนการจํากัดเสรีภาพของผูกระทําตามคําขอ ผูที่ประสงคจะตายอาจมีสิทธิ์ใน
การเลือกที่จะตาย แตสิทธินั้นก็ไมควรฉุดเอาผูอื่นเขาไปเกี่ยวของในการเลือกดวย
144
2.) สิทธิของมนุษยกับสิทธิของสัตว
ในวัฒนธรรมฝรั่งเรามักจะเห็นวาเมื่อสัตวตองทุกขทรมานมาก ๆ เขาจะฆาสัตวนั้นดวยวิธีที่ให
ตายโดยเร็วที่สุด เพื่อจะใหพนความทรมาน การกระทําเชนนั้นถือเปนความเมตตาตอสัตว จึงเห็นวาการ
อนุเคราะหใหตายก็เปนการกระทําเชนเดียวกัน จึงนับเปนความกรุณา และเปนสิ่งที่ไมผิดศีลธรรม เปนการ
กระทําดวยจิตใจดีงาม
ขอนี้ชาวตะวันตกอาจจะโตแยงก็เพราะชาวตะวันตกนั้นใหความสําคัญแกมนุษยสูงกวาสัตวมาก
เนื่องจากวัฒนธรรมดังกลาวมาจากคริสตศาสนาที่เชื่อวาพระเจาสรางมนุษยใหคลายพระเจามากที่สุดตรงที่มี
วิญญาณเปนอมตะแตสรางสัตวใหมนุษยใช ศีลของฝรั่งจึงพูดแตการหามฆามนุษยและการปฏิบัติตอ
มนุษยตองดีกวาสัตวมาก ขออางขางตนที่เทียบกับสัตวจึงอาจไมเปนที่ยอมรับ คือถาจะใหตายตามคําขอก็
ตองไมใชใหพนทรมานเชนเดียวกับที่เมตตากระทําตอสัตว
ในพระพุทธศาสนาศีลขอปาณาติบาต หามทั้งการฆามนุษยและสัตว แมวาการฆามนุษยจะ
บาปกวาฆาสัตว แตก็ไดใหความสําคัญแกสัตวไวในฐานะเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตายดวยกันทั้งสิ้น
ชาวพุทธจึงไมนิยมฆาสัตวใหพนทุกขดังกลาว เพราะทุกขเกิดจากกรรมของสัตวนั้นที่เขาจะตองชดใชกรรม
ความเปนเพื่อนทุกขแสดงไดดวยการเมตตา ดูแลใหเขาทุกขนอยลง และมีความสุขมากเทาที่จะเปนได หาก
จะตายก็ตองใหตายไปเอง คือดูแลกันไปจนกวาจะตาย สัตวที่ฝรั่งฆานั้นจะแนใจไดอยางไรวาตัวไหนยินดี
ทรมานมากกวาตาย หากไมยินดีตายก็จะไมเปนการอนุเคราะห หากจะวาเมตตาใหตาย สัตวที่ไมตองการ
ตายก็คงไมยินดีรับความเมตตา พระพุทธศาสนามีแตจะใหประคับประคองรักษากันไปตามที่จะทําได
จนกวาสัตวนั้นจะจากไป ไมคิดวาสัตวจะยินดีตายหรือไม แตที่แนนอนก็คือไมวาคนหรือสัตว ชีวิตเปนสิ่งที่
รักมากที่สุด
3.3 การกรุณาใหตายหรือการุณยฆาต (mercy killing)
การกรุณาใหตายมีสวนเหมือนกับการอนุเคราะหใหตายคือมีการทําลายชีวิต แตตางกันคือการ
อนุเคราะหใหตายนั้นเกิดจากการที่ผูตายขอรอง แตการกรุณาใหตายนั้นผูตายไมไดขอรอง สวนมากเพราะ
ไมสามารถจะขอรองได เชนเจ็บปวยจนไมมีสติ เปนความเขาใจของผูกระทําวาผูปวยมีความประสงค
เชนนั้น เชนเดียวกับกรณีการฆาสัตวที่ทุกขทรมานซึ่งไดกลาวไปแลววา ฝรั่งวาสัตวนั้นขอรองที่จะตาย
มากกวาทรมาน จึงอนุเคราะห แตถาเปนการเขาใจเอาวาสัตวนั้นคงจะขอรองเชนนั้น การฆาก็เปนการ
กรุณาใหตาย
การกรุณาใหตายเปนการตัดสินของผูกระทําวาชีวิตของผูถูกกระทํา หรือไดรับการกรุณานั้น ไมมีคา
ไมเปนคนที่สมบูรณ ขาดความรูความคิด สมควรที่จะฆาเสียดวยความกรุณาที่จะใหเขาพนสภาวะนั้น ถาเปน
ชาวคริสตก็เพื่อใหวิญญาณที่เปนอมตะของเขาไดไปอยูกับพระเจา ซึ่งจะดีกวาสภาพไมเต็มคนเชนนั้น การ
กรุณาใหตายจึงหมายถึงความจงใจที่จะปลิดชีวิตของผูใดผูหนึ่ง โดยวิธีการที่จะใหผูนั้นตายทันทีดวยความ
145
เมตตาเพื่อจะยุติชีวิตที่ทุกขทรมานหรืออยูไปอยางไรความหมาย ขอที่ตางกับการปลอยใหตาย และการ
อนุเคราะหใหตายก็คือมิไดมีความยินยอมจากผูตาย และอาจไมรูแมแตวาผูตายตองการหรือไม
3.3.1 เหตุผลขัดแยง
เหตุผลที่จะแยงการกรุณาใหตายสวนมากใชเหตุผลแยงการอนุเคราะหใหตายได เหตุผลสําคัญ ๆ
ที่ใชแยงการกรุณาใหตายมีดังนี้
1.) การละเมิดหลักการเกี่ยวกับคุณคาของชีวิต
การกรุณาใหตายเปนการละเมิดคุณคาของชีวิต เพราะการฆาผูที่มิไดขอรองใหฆาโดยเขาใจ
วาเปนความประสงคของผูนั้น ซึ่งไมทราบวาเปนจริงหรือไม มีคาเทากับฆาผูบริสุทธิ์ ตางกับการฆาเพื่อ
ปองกันผูบริสุทธิ์ การฆาขาศึกในสงครามหรือการประหารชีวิตนักโทษ การกรุณาใหตายยังเปนการฆาโดย
ไตรตรองไวกอน และไมวาจะมีแรงจูงใจอยางไรก็เปนการฆาตกรรม ในการอนุเคราะหใหตายนั้นผูตายยังมี
สติสัมปชัญญะและขอรองใหฆาคือแสดงวามีความยินยอม แตในการกรุณาใหตายนั้น ผูตายไมสามารถจะ
แสดงความยินยอมหรือไมยินยอมได ไมผิดกับฆาทารก
การที่ผูตายไมไดใหความยินยอมพรอมใจและตองอาศัยสภาพภายนอกในการตัดสินวาชีวิต
ของผูนั้นมีความหมายหรือมีคาหรือไมนั้น ทําใหเกิดปญหามากมายคือ ใครมีสิทธิตัดสินวาชีวิตใดมีคาหรือ
มีความหมายหรือไม ใชมาตรฐานอะไรในการตัดสิน มาตรฐานเชนนั้นจะนําไปใชกับคนชราที่หลงลืมหรือไม
เพราะอาจเปนคนไรคาในสังคมที่นิยมคนหนุมสาว เราจะใหมีการตัดสินเชนนี้หรือไม ถายอมจะใหใครเปน
ผูตัดสิน
2.) ความเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษา
ขอนี้ก็เชนเดียวกับที่ไดอางมาแลวในเรื่องกอน ๆ คือ ยังมีทางเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษาโรคของ
คนไข การทําลายชีวิตเปนการปดกั้นโอกาสของคนไข โอกาสในการรักษาโรค และโอกาสคนพบวิธีการรักษาโรค
ซึ่งหากสามารถทําไดสําเร็จ คนไขก็อาจทุเลาหรือหายปวย ถาทําลายชีวิตเสียแลวโอกาสเชนนั้นก็มีไมไดอีก
3.3.2 เหตุผลสนับสนุน
1.) กรุณาใหพนสภาพตายทั้งเปน (Living Dead)
ผูที่สนับสนุนการกรุณาใหตายถือวาตนมิไดละเมิดหลักการเกี่ยวกับชีวิตเพราะคนที่จะไดรับ
ความกรุณาใหตายนั้นมิไดอยูในสภาพของมนุษยอยางสมบูรณ แตทวาเปนเพียง “อินทรียภาพที่ยังคงอยู
ได” คือ เปนเพียงโครงขายของอวัยวะและเซลล แมวาคนเหลานี้จะยังไมถึงกับ “สมองตาย” แตสมองก็อาจ
เสียหายแทบทั้งหมดแมวาฟนได แตสมองที่เสียหายก็ทําใหไมอาจดําเนินชีวิตอยางปกติไดอีกจึงมีชีวิตอยู
เหมือนพืชเหมือนผัก ไมอาจแสดงบุคลิกภาพ ความรูสึกนึกคิด ดังนั้นการทําลายชีวิตเชนนี้จึงเปนความ
กรุณา
146
ขอคัดคานเหตุผลนี้ก็คือไมวาจะฆาในสภาพใดก็เปนการฆาทั้งสิ้นเพราะไมมีเกณฑทางการแพทย
หรือทางกฎหมายใดๆยอมรับวาไมใชการฆาคน การปลอยใหตายไปตามวาระก็ยังใหความรูสึกที่ดีกวาการฆา
โดยความกรุณา
2.) ภาระทางอารมณและการเงิน
คนที่สมองเสียหายหรือเจ็บปวยเปนเวลานาน ๆ ยอมเปนภาระทางการเงินและทางอารมณแก
คนในครอบครัวและแกสังคม ภาระดังกลาวมักจะเปนภาระหนักจนบางคนเห็นวาการรักษาชีวิตคนเหลานี้
ไวไมไดอะไร เพราะคนที่อยูในภาวะเชนนั้นก็ไมไดอะไรจากการมีชีวิตอยูนอกจากเพียงมีชีวิตตอไปอยางไรคา
ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือ การเงินไมควรใชเปนขออางในเรื่องชีวิตมนุษยและภาวะทางอารมณ
เชนความทุกขใจก็ไมควรปลดเปลื้องดวยการทําลายชีวิตมนุษย
3.) คนไขปรารถนาที่จะตาย
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ใชสนับสนุนการกรุณาใหตาย ก็คือหากคนไขที่สมองเสียหายสามารถ
ติดตอสื่อสารกับเราได เขาก็จะเลือกใหทําใหตายมากกวาจะอยูเปนภาระแกครอบครัวและสังคมหรือมีชีวิต
อยูอยางอินทรียภาพที่ไรสติสัมปชัญญะ
ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือ เราไมอาจรูไดวาเปนเชนนี้หรือไมเพราะคนเหลานี้ไมอาจสื่อสารได
4.) ความเปนไปไดที่จะมีมาตรการควบคุมทางกฎหมาย
การอนุเคราะหใหตายและการกรุณาใหตาย ในแงหนึ่งมีผูถือวาเปนการตายอยางสมศักดิ์ศรี
ของมนุษยที่ไมตองดํารงอยูอยางนาสังเวช แตในอีกแงหนึ่งก็ถือวาเปนการตายอยางไมสมศักดิ์ศรีของมนุษย
คือตายอยางไมเปนธรรมชาติเพราะตองถูกฆา แทนที่จะไดตายอยางมีผูดูแลเอาใจใสและมีความสุขตามที่
รางกายจะมีได หากใหมีการกระทําเชนนั้นไดโดยถือวาถูกตองเชนออกเปนกฎหมายก็เทากับผูที่จะตองตาย
ถูกสังคมย่ํายีเชนหากมีกฎหมายวาคนที่ปวยถึงระดับนั้น ๆ หรือมีอายุเทานั้น ๆ จะตองไดรับความกรุณาให
ตาย ผูที่ตองการอวัยวะของเขาไปปลูกถายก็จะแยงกันเหมือนแรงลงศพ ลูกหลานก็รอมรดก และรูสึกโลงที่
พนภาระทางการเงิน และยังอาจเปนหนทางใหแกแคนโดยอางความกรุณาดังกลาว
ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือเราอาจหามาตรการมิใหเกิดการเอาการตายดวยวิธีดังกลาวไปใชประโยชน
และใหเปนการตายอยางสมศักดิ์ศรีได เชนกฎหมายตองมีลักษณะเปนการอนุญาตมิใชคําสั่งหรือการบังคับให
ตองทํา ตองไมมีอะไรเปนความลับ ตองมีลายลักษณอักษร ตองมีการขอและมีคณะผูพิจารณา ตองมีแพทย
หลาย ๆ คนตองมีระยะเวลารอดูอาการ การปลอมแปลงเอกสารถือเปนความผิดทางอาญา มีขอกําหนด
เกี่ยวกับการบังคับคนไข การกระทําที่ถือวาเปนการกระทําอันเลวรายตอคนไขอยูในพระราชบัญญัติการ
กรุณาใหตาย
ขอคัดคานดังกลาวอาจคัดคานไดคือ แมวาจะมีขอกําหนดที่เปนมาตรการควบคุมแตก็คงไม
ชวยปองกันมิใหเกิดการกรุณาใหตายโดยที่ผูตายมิไดประสงคเทาใดนัก และการใหรัฐมีอํานาจที่จะทําการ
147
ดังกลาวไดก็เปนอํานาจที่ยากจะควบคุมมิใหใชเกินขอบเขต คนที่ชวยเหลือตัวเองไมได และคนบริสุทธิ์
ไรเดียงสาก็จะยิ่งไมไดรับความคุมครอง
ปญหาที่เราไดกลาวมาแลวคือปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตคนเปนปญหาหนึ่งในวิถีชีวิตมนุษย
แมปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตที่กลาวมาแลวนี้ก็ยังเปนเพียงสวนเดียวซึ่งนํามากลาวโดยสังเขป ยังมีปญหา
เกี่ยวกับการทําลายชีวิตปญหาอื่น ๆ อีกเชน การทําแทง การลงโทษประหารชีวิต สงคราม
นอกจากปญหาการทําลายชีวิตแลว ยังมีปญหาที่เกี่ยวกับชีวิต เชน เพศและการแตงงาน ซึ่ง
แตละปญหามีปญหายอย ๆ เชนเดียวกับเรื่องการทําลายชีวิต มีปญหาที่เกี่ยวกับการแพทยซึ่งเกี่ยวของกับ
ความเจ็บปวยของมนุษย ปญหาธุรกิจซึ่งเกี่ยวของกับวิถีชีวิตดานการมีกินมีใช ปญหาสภาพแวดลอมซึ่ง
เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวมนุษย ปญหาการเมือง กฎหมาย การศึกษา ซึ่งเกี่ยวของกับสังคมมนุษย ปญหา
เกี่ยวกับศิลปะและศาสนาซึ่งเกี่ยวของกับความเชื่อ อารมณและจิตใจของมนุษย ปญหาที่กลาวมาแลวและ
ปญหาอื่น ๆ อีกมากลวนมีรายละเอียด มีปญหายอย ๆ ที่ตองศึกษาเชนเดียวกับเรื่องการทําลายชีวิตที่ยกมา
เปนตัวอยาง ปรัชญาจึงเปนเรื่องที่อยูในวิถีชีวิตของเรา และเราใชปรัชญาในการดําเนินชีวิตมากบางนอยบาง
โดยมีความรูความเขาใจบาง ดําเนินไปตามความควบคุมบังคับของสังคมโดยไมมีความรู ความเขาใจบาง
โดยเขาใจอยางตื้นเขินบาง ปรัชญายังคงไมหางเหินจากวิถีชีวิตของเรา
148148
149
บทที่ 10
บทสรุป
เราไดศึกษาปญหาปรัชญาที่เปนปญหาหลัก ๆ ทั้งดานเมตาฟสิกส จริยศาสตร และญาณวิทยา
มาแลวพอสมควร ปญหาที่ศึกษาทุกปญหามีคําตอบมากกวาหนึ่งคําตอบ แมคําตอบที่ไดนํามาพิจารณากัน
ในหนังสือเลมนี้ ก็เปนเพียงบางคําตอบ ยังมีคําตอบอื่น ๆ อีก ซึ่งทุกคําตอบก็มีเหตุผลเชนเดียวกับคําตอบที่
เราไดศึกษากันมานี้ จึงเห็นไดวาปรัชญาเปนปญหาที่มีขอโตแยงกันและหาความเห็นที่เปนเอกฉันทไมได
ความเห็นเหลานี้บางความเห็นก็ถูกอัธยาศัย ถูกใจ ถูกรสนิยมของเรา เพราะธรรมชาติและสภาพแวดลอมที่
เราพอใจเหมือนหรือเอนเอียงไปทางนั้น บางคําตอบก็ไมถูกอัธยาศัย ไมถูกใจเรา รูสึกวาไมมีเหตุผล หรือไม
นาเชื่อถือแตคําตอบเชนนั้นก็อาจถูกอัธยาศัยคนอื่น ๆ ที่มีธรรมชาติหรือลักษณะนิสัยและอยูในสภาพแวดลอม
ที่เอนเอียงไปในทางนั้นเชนคนที่ขาดแคลนความสุขทางวัตถุมักจะเห็นดวยกับวัตถุนิยมมากกวาจิตนิยมเปนตน
ตามปกติเมื่อศึกษาวิชาใดเรามักจะตองการคําตอบที่ตายตัว ชัดเจน ในสมัยโบราณวิชาที่ตอบสนอง
ความตองการนี้ก็คือคณิตศาสตร คนสมัยกอนจึงถือวาคณิตศาสตรเปนวิชาที่ใหความจริงที่แนนอนและถือ
เปนตนแบบในการแสวงหาความรูของมนุษย และเนื่องจากคณิตศาสตรเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความจริง
กอนประสบการณ จึงเกิดการหาความรูโดยการหาความจริงเบื้องตนที่แนนอนตายตัวจากอัชฌัติกญาณ
เพื่อจะนํามาขยายตอดวยวิธีการทางคณิตศาสตรเชนเดียวกับที่เรขาคณิตเริ่มตนดวยสิ่งที่เห็นจริงแลวหรือสัจพจน
(axion) แลวขยายเปนทฤษฎีบทตางๆไดมากมาย สมัยกลางก็ใชขอความจากพระคัมภีรไบเบิลเปนจุดเริ่มตน
ดังกลาว แตในปจจุบันเมื่อมีเรขาคณิตแบบที่ไมใชของยูคลิด (Non – Euclidean Geometry) และเกิด
เลขระบบฐานอื่น ๆ ที่ไมใชฐาน 10 เราก็เห็นไดวาคณิตศาสตรเปนเพียงระบบความคิดทางตรรกวิทยาระบบ
หนึ่งเทานั้น หรืออาจถือวาเปนเกมทางสมอง เชนเดียวกับการเลนฟุตบอลที่เลนตามกฎชุดหนึ่ง ๆ ที่ตกลงกันไว
ความรูทางคณิตศาสตรจึงแนนอนในกรอบขอยอมรับเบื้องตนที่เปนสัจพจนของระบบนั้น ๆ
วิชาอื่นที่สําคัญเชนวิทยาศาสตรซึ่งเคยถือวาแนนอนตายตัวก็ปรากฏวาโดยลักษณะของวิชาที่หา
ความจริงจากประสบการณก็เปนวิชาที่ไมตายตัวดังที่เราไดอภิปรายกันมาแลว นอกจากนั้นความรูเกี่ยวกับ
ความจริงที่เล็กมาก ๆ หรือใหญมาก ๆ ซึ่งยังอยูพนวิสัยที่จะศึกษาและตรวจสอบก็ยังเปนความจริงที่ไมแนนอน
เชนความจริงเกี่ยวกับลักษณะของจักรวาล กําเนิดของจักรวาล หรือความจริงทางจุลชีววิทยา ความจริง
เกี่ยวกับจิตเปนตน ความรูทั้งหลายตั้งแตตนคริสตศตวรรษที่ 20 เปนตนมา แทบจะไมมีดานใดที่มีความรู
แนนอนตายตัว มีแตความไมแนนอนและอยูในระหวางการคนหาทั้งสิ้น ความคิดและทฤษฎีในเรื่องเหลานั้น
ก็แตกตางกัน ความคิดที่วาความรูตองแนนอนตายตัวและวิชาตาง ๆ ใหความรูที่แนนอนตายตัวนั้นดูเหมือน
จะผิดไปจากความจริง แตก็เปนความคิดที่ระบบการศึกษาของไทยทําใหเกิดขึ้นในใจผูเรียนมาตั้งแตเด็ก จน
เปนนิสัยที่จะไมชอบความไมแนนอนตายตัว ทั้ง ๆ ที่สิ่งไมแนนอนตายตัวก็เปนความรูหากธรรมชาติมีลักษณะ
ที่ไมแนนอนตายตัว เราใหความสําคัญแกสถิต (static) มากกวาพลวัต (dynamic)เราจึงขาดความพยายามจะ
หาความรูเรื่องพลวัต และพยายามทําใหพลวัตกลายเปนสถิตซึ่งขัดกับธรรมชาติ
150
ในเมื่อวิทยาศาสตรซึ่งหาความรูในขอบเขตของประสบการณที่เชื่อกันวาชัดเจนแนนอนยังไมตายตัว
เชนนี้ ปรัชญาซึ่งหาความรูไปไกลกวาขอบเขตของประสาทสัมผัส ไปสูเรื่องนามธรรมเชน ความจริงสูงสุดหรือ
คุณคาก็ยอมจะมีความไมชัดเจนและมีขอโตแยงกันยิ่งกวา แตปรัชญาแมมีขอโตแยงกันแตก็มิใชเปนไปอยาง
เดาสุมและไรระเบียบ หากแตพยายามจะหาเหตุผลอยางชัดเจนเปนขั้นเปนตอนจนถึงที่สุด จนกระทั่งผูที่ไม
ฉลาดและไมใชความคิดเหตุผลอยางเต็มที่ไมอาจเปนนักปรัชญาได
ความรูที่แตกตางยอมเปนอันตรายแกความรูที่ยึดถือกันอยางแนนแฟนโดยไมสงสัยซักถามหาความ
จริง เพราะทําใหสิ่งที่ยึดถือนั้นสั่นคลอนได และทําใหคนเรารูสึกวาจะหมดที่ยึดซึ่งเราเคยยึดเกาะและพึ่งพา
อาศัย แตการที่เรายึดสิ่งใดไวโดยไมเปลี่ยนนั้นก็อาจทําใหเราเสื่อมลงเพราะโลกที่เปลี่ยนไปอาจทําใหสิ่งที่เรา
ยึดถือตายตัวเชนนั้นไมเหมาะกับความเปลี่ยนแปลงความแตกตางอาจนําไปสูความเสียหายก็ได แตก็อาจนําไปสู
ความเจริญก็ได ถาไมเกิดประชาธิปไตยโลกก็คงเปนสมบูรณาญาสิทธิราชย และคงเปนสมบูรณาญาสิทธิราชย
ชนิดที่ไมมีการปรับปรุง เพราะไมมีแรงผลักดัน และอาจจะเปนสมบูรณาญาสิทธิราชยที่เลวรายก็ได แตเมื่อมี
ประชาธิปไตยเกิดขึ้นสมบูรณาญาสิทธิราชยก็ตองมีความระมัดระวังและปรับปรุงในจุดเดนและลดจุดออนลง
เพื่อจะดํารงอยูตอไปได แมประชาธิปไตยก็เชนกันถาไมมีสังคมนิยมมาเปนคูแขงหรือขอแตกตางก็จะนําไปสู
ประชาธิปไตยในระบบธนาธิปไตย คณาธิปไตย หรือเผด็จการของคนสวนใหญได นําไปสูทุนนิยมผูกขาดที่มี
การหลอกลวงและขูดรีดอยางมโหฬารได
ความแตกตางทําใหเราเห็นวาทุกระบบตางก็มีขอดีและขอบกพรอง ทําใหเรามองเห็นขอเสียหรือ
อันตรายที่อาจเกิดขึ้น ไมเชื่อมั่นไปอยางตาบอด มีใจเผื่อไวสําหรับความลมเหลว มีความระมัดระวังในการ
กาวไปตามความคิดใดความคิดหนึ่ง มีศรัทธาอยางมีเหตุผล ซึ่งก็คือตั้งอยูในความ “ไมประมาท” และมี “สติ”
ความแตกตางยังทําใหเรารูวาปญหาใด ๆ ก็ตามมิใชแตมีทางออกเทานั้นแตยังมีทางออกที่เปน
ทางเลือกใหเราหลายทาง แมวาในทุกๆทางตางก็มีขอดีขอเสียแตนั่นก็เปนเรื่องปกติของธรรมชาติที่มีขอจํากัด
ตราบใดที่เรามองเห็นทุกชองทาง และเห็นทั้งขอดี ขอเสีย เราก็มีโอกาสแสวงหาขอดี และเลี่ยงขอเสียได
ความไมแนนอนและความแตกตางจึงเปนธรรมชาติที่เราสามารถอยูรวมดวยไดโดยปลอดภัยและใชประโยชน
ได บอน้ําที่อยูนิ่ง ๆ ก็มีภัย แตถาเรารูภัยของมันบอน้ําก็ไมเปนภัยและเปนประโยชนแกเรา ในเมื่อเราเลี่ยง
ความแตกตางไมไดทางที่ดีที่สุดก็คือยอมรับและศึกษาใหเขาใจใหมากที่สุด เพื่อแสวงหาประโยชนจากความ
แตกตางนั้น
ความแตกตางทางปรัชญานั้นมิใชวาจะทําใหคนเราตัดสินใจไมไดวาจะเลือกปรัชญาระบบใด เพราะ
การนําปรัชญาระบบใดไปใชขึ้นกับความพึงพอใจและศรัทธาตอระบบปรัชญานั้น และความพึงพอใจก็มักมา
กับสถานการณอันเปนที่เกิดของระบบปรัชญานั้น เชนปรัชญาประชาธิปไตยของ จอหน ล็อค เปนที่ถูกใจ
ของบรรดาชนชั้นกลางซึ่งเปนพอคาและมีอํานาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งปรารถนาจะหลุดพนจากอํานาจกษัตริย
และศาสนจักร อันจะทําใหมีอํานาจทางเศรษฐกิจอยางเสรี สามารถทํากําไรไดมากขึ้นจากแรงงานที่มีให
ขูดรีดอยางเหลือเฟอ สวนปรัชญาสังคมนิยมของคารล มารกซ เปนที่ถูกใจของชนชั้นกรรมาชีพที่ตองการ
151
ปฏิวัติโลกใหเปนสังคมนิยม เพื่อจะใหสังคมมีความเสมอภาคทางชนชั้น เพราะเปนสังคมสมัยที่ชนชั้น
กรรมาชีพลําบากยากแคนและถูกนายทุนกดขี่ขูดรีดแรงงาน ปรัชญาของนักบุญ อะควีนัสใชในระบบ
การศึกษาของยุโรปสมัยกลาง เชนเดียวกับปจจุบันปรัชญาปฏิบัตินิยมนิยมใชเปนปรัชญาการศึกษาของ
ประเทศประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ปรัชญากฎหมายแบบปฏิฐานนิยม (positivism) มีอิทธิพลอยางสําคัญ
ตอสํานักกฎหมายแบบสํานักกฎหมายบานเมือง (positive law) ที่นิยมกันในปจจุบัน อาจกลาวไดวาทั้ง
การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย ลวนแตเปนการเลือกแนวคิดทางปรัชญามาใช
ปฏิบัติทั้งสิ้น ขอเท็จจริงดังกลาวแสดงวาความแตกตางทางปรัชญาจึงไมเปนเหตุใหไมสามารถนําระบบ
ปรัชญาไปใชได
ความแตกตางทางปรัชญานั้นเมื่อวิเคราะหถึงที่สุดแลวก็คือความแตกตางทางความเชื่อ เพราะระบบ
ปรัชญาทั้งหลายคือระบบความคิดที่เกิดจากการถามและตอบปญหาจนถึงที่สุด จนถึงสิ่งที่ไมอาจถามตอไปได
และสิ่งนั้นก็คือความเชื่อที่อยูลึกที่สุดที่เปนฐานรองรับความเชื่ออื่น ๆ ดุจเดียวกับสัจพจนเปนความเชื่อหรือ
ขอยอมรับที่เปนฐานลางสุดของเรขาคณิตที่รองรับขอพิสูจนความเชื่อตอ ๆ มาของเรขาคณิต ความเชื่อพื้นฐาน
ที่สุดของวัตถุนิยมก็คือความเชื่อวานอกจากสารแลวไมมีอะไรอื่นอีกที่เปนความจริง สวนความเชื่อพื้นฐาน
ที่สุดของจิตนิยมก็คือความเชื่อวานอกจากสสารแลวยังมีความจริงอื่นที่จริงยิ่งกวาและสําคัญกวาสสารความจริง
นั้นมีลักษณะเปนจิตภาพหรือนามธรรม เมื่อเปนเชนนี้เราก็รูวาปญหาของการโตแยงในเรื่องตาง ๆ ที่เปน
เรื่องสําคัญนั้นมักจะมาจากความเชื่อพื้นฐานดังกลาวตางกัน ถาเปลี่ยนความเชื่อพื้นฐานของฝายใดฝาย
หนึ่งได การโตแยงก็จบไดงาย แตถาเปลี่ยนไมไดเราก็รูวาความขัดแยงจะดํารงอยูตอไปเพราะความเชื่อ
พื้นฐานตางกัน ความรูเชนนี้ทําใหแกปญหาไดตรงจุด
ความเชื่อที่ตางกันนี้อาจมีตั้งแตระดับตื้น ๆ เชน คนเราอาจรูขอเท็จจริงตรงกัน แตความเชื่อที่ตางกัน
ทําใหตัดสินและมีพฤติกรรมตางกัน เชนคนสองคนอาจรูขอเท็จจริงเกี่ยวกับสถานบันเทิงตรงกัน คนหนึ่งอาจ
เห็นวาเปนแหลงความสุขและไปเที่ยวสถานบันเทิงเปนประจําสวนอีกคนหนึ่งอาจเห็นวาเปนแหลงอบายมุข
และรังเกียจแมแตจะเฉียดเขาไปใกล หากคนสองคนนี้พูดกันเกี่ยวกับสถานบันเทิงก็ยอมตองขัดแยงกัน
ปรัชญาทําใหเราเห็นวาความเชื่อเปนเรื่องสําคัญและเปนเรื่องยากที่จะเปลี่ยน แมแตนักบุญอะควีนัส
ผูเสนอขอพิสูจนความมีอยูของพระเจาโดยใชเหตุผลก็ยังกลาววาขอพิสูจนของทานแมจะมีเหตุผลสักเพียงไรก็
ไมทําใหคนที่ไมมีศรัทธาในพระเจาหันมายอมรับนับถือพระเจา แตจะทําใหคนที่ศรัทธาในพระเจาอยูแลวมี
ศรัทธาแนนแฟนยิ่งขึ้นคนเรามักพูดวาจะเชื่อเรื่องใดก็ตอเมื่อมีเหตุผล แตสวนมากมักจะหาเหตุผลมาสนับสนุน
ความเชื่อเสียมากกวา คนที่เชื่อวิทยาศาสตรมิไดเชื่อเพราะวิทยาศาสตรมีเหตุผล แตเชื่อเหตุผลในขอบเขตที่
วิทยาศาสตรเชื่อ ซึ่งตางกับเหตุผลในขอบเขตที่ผูอื่นเชนนักศาสนาเชื่อ ปญหาขัดแยงที่เกิดขึ้นในสังคม
ทุกวันนี้ ไมวาปญหาใหญหรือเล็กลวนมาจากความเชื่อแทบทั้งสิ้น ปญหาความเขาใจขอเท็จจริงผิดมีไมมาก
รัฐบาลกับฝายคาน ผูกอการรายในภาคใตกับฝายตรงขาม ความขัดแยงระหวางศาสนา ระหวางสํานักใน
ศาสนาเดียวกัน ระหวางนักคากําไรกับคนเครงศาสนา นักการเมืองกับนักวิชาการ คนเหลานี้ลวนแตมีความ
152
เชื่อตางกัน และมองอีกฝายหนึ่งในแงราย หากไมมีการปรับความเชื่อใหประนีประนอมกันได ก็ยากที่จะ
แกปญหาได เพราะไมวาฝายใดฝายหนึ่งจะทําอะไร จะพูดอะไร อีกฝายหนึ่งก็จะนําไปพิจารณาจากความ
เชื่อของตน
นักปรัชญาซึ่งศึกษาปญหาชนิดนี้ก็อาจไมใจกวางกวาคนทั่วไปมากนัก แตอยางนอยก็จะใจกวาง
กวาเมื่อกอนที่จะไดศึกษาปรัชญา สามารถรับฟงและเขาใจผูที่มีความเชื่อตางกับตนไดมากกวา ปรัชญา
อาจขจัดความขัดแยงไมได แตอาจชวยลดความขัดแยงได ปรัชญาทําใหคนเราพยายามแสวงหาความจริง
และความกระจางดวยการชักถามหาเหตุผล ความเชื่อที่ขาดรากฐานทางเหตุผลอาจสั่นคลอนไดงายดวย
คําถามทางปรัชญา จึงอาจเปนภัยตอความเชื่อเชนนั้นมากบางนอยบาง แตไมใชความตั้งใจของปรัชญาที่
จะทําลายผูอื่น ปรัชญาอาจทําใหผูมีศรัทธารูสึกหงุดหงิดที่ถูกตั้งคําถาม แตถาจะรักษาศรัทธานั้นไวก็ตอง
พยายามตอบดวยเหตุผล ในแงนี้ปรัชญาก็ชวยใหศรัทธานั้นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเหตุผลมากขึ้น ปรัชญามีแต
ขอดี ไมมีอะไรเสียหาย ปรัชญาจะเสียหายก็เมื่อผูใชปรัชญานําวิธีการและความรูไปใชดวยจิตใจที่มุงทําราย
ผูอื่นมากกวาจะมุงคนหาความกระจางในเรื่องที่เปนจริงและดีงาม หากผูใชมีจิตใจเชนนั้น ไมวาวิชาใดก็เปน
ผลรายไดทั้งสิ้น วิชาก็เหมือนมีดที่ใชตัด จะตัดดีหรือตัดรายก็อยูที่ใจของคน
153
บรรณานุกรม
Armitage,Angus,TheWorldofCopernicus. NewYork:TheNewAmericanLibraryofWorldLiterature,Inc.
1963.
Ayer, A. J. Language Truth and Logic. Middlesex : Penguin Books, Ltd. 1971.
Christian, J. L. Philosophy. New York : Holt, Rinehart and Winston. 1977.
Copleston, F. A History of Philosophy . New York : Image Books, 1963.
Einstein, Albert, Essays in Science New York : Philosophical Library, 1934.
Ewing,A.C.TheFundamentalQuestionsofPhilosophy London:Routledge&KeganPaulLtd.1951.
Hamilton,E.andCairns,H.TheColledtedDialoguesofPlato.NewJersey:PrincetonUniversityPress,
1971.
Hoernle’, R.F. .Idealism. London : Hodder & Stroughton, 1924.
Hospers, John, Human Conduct. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc. 1982.
Hull, David. The Philosophy of Biological Science. New Jersey : Prentice – Hall Inc.1974.
O’connor, D. J. Free Will. New York : Double day & Company, Inc. 1971.
Renou, Louis. Hinduism. London : Prentice – Hall, 1961.
Sellars, W. and Hospers, J.Readings in Ethical TheoryNew York : Appleton – Century – Crofts, 1970.
กรมศิลปากร. ปญหาพระยามิลินท. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2483.
ปรีชา ชางขวัญยืน. อุตมรัฐ . เปลโต แตง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2523.
ปรีชา ชางขวัญยืนและสมภาร พรมทา,บรรณาธิการ.มนุษยกับศาสนา.กรุงเทพฯ:โครงการตําราคณะอักษรศาสตร
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,2543.
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. รวมบทความปรัชญา เอกสารอัดสําเนา.
กรุงเทพฯ : คณะอักษรศาสตร, มปป.
สุนทร ณ รังษี. พุทธปรัชญาจากพระไตรปฎก. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2541.
เสถียร โพธินันทะ. เมธีตะวันออก. พิมพครั้งที่ 7 กรุงเทพฯ : สรางสรรคบุคส, 2544.
อดิศักดิ์ ทองบุญ. ปรัชญาอินเดีย. พิมพครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2546.
ปรัชญากับวิถีชีวิต

More Related Content

PPTX
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
PPTX
พุทธศาสนานิกายมหายาน
PPTX
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
PDF
ปรัชญาทั่วไป ตอน ทำความรู้จักกับปรัชญา
PPTX
ปรัชญาตะวันตก บทที่ ๔ ปรัชญากรีกสมัยเริ่มต้น (ตอนที่ ๒)
PPTX
ปรัชญาทั่วไป ตอน ปรัชญาอินเดีย
PPTX
วิชาพุทธปรัชญา : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและปรัชญา
PPTX
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๑ ความหมายและขอบเขตของปรัชญา
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของ ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean paul sartre)
พุทธศาสนานิกายมหายาน
ความรู้พื้นฐานและบ่อเกิดพุทธศาสนามหายาน
ปรัชญาทั่วไป ตอน ทำความรู้จักกับปรัชญา
ปรัชญาตะวันตก บทที่ ๔ ปรัชญากรีกสมัยเริ่มต้น (ตอนที่ ๒)
ปรัชญาทั่วไป ตอน ปรัชญาอินเดีย
วิชาพุทธปรัชญา : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและปรัชญา
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๑ ความหมายและขอบเขตของปรัชญา

What's hot (20)

PPTX
พุทธศาสนามหายานในไทย
PDF
สารคดีท่องเที่ยว แอ่วเหนือเมื่อหน้าหนาว
PPTX
แนวคิดสำคัญของนักปรัชญาอัตถิภาวนิยม Soren kierkegaard
PPTX
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
PDF
การสร้างความปรองดอง และสมานฉันท์ในสังคมไทยปัจจุบัน
PPT
ปรัชญาเบื้องต้น
PDF
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
PDF
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
PPTX
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
PPTX
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
PPTX
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาของจวงจื๊อ
PDF
อนุสสติ 10 สมถกัมมัฏฐาน ppt
PDF
กฎหมาย ม.2
PPTX
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
PDF
โครงงาน Fast Food
PDF
เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
PDF
จริยศาสตร์ ความหมายและขอบเขต
PPTX
ปรัชญาตะวันตก บทที่ ๓ ปรัชญากรีกสมัยเริ่มต้น (ตอนที่ ๑)
PPT
ปรัชญาตะวันตก ตะวันออก
PPTX
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
พุทธศาสนามหายานในไทย
สารคดีท่องเที่ยว แอ่วเหนือเมื่อหน้าหนาว
แนวคิดสำคัญของนักปรัชญาอัตถิภาวนิยม Soren kierkegaard
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
การสร้างความปรองดอง และสมานฉันท์ในสังคมไทยปัจจุบัน
ปรัชญาเบื้องต้น
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
วิชาพุทธปรัชญา : พื้นฐานพุทธปรัชญา
ปรัชญาเบื้องต้น บทที่ ๖ ปรัชญาตะวันออก
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาของจวงจื๊อ
อนุสสติ 10 สมถกัมมัฏฐาน ppt
กฎหมาย ม.2
จักรวาลในพุทธปรัชญาเถรวาท
โครงงาน Fast Food
เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
จริยศาสตร์ ความหมายและขอบเขต
ปรัชญาตะวันตก บทที่ ๓ ปรัชญากรีกสมัยเริ่มต้น (ตอนที่ ๑)
ปรัชญาตะวันตก ตะวันออก
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย
Ad

Viewers also liked (20)

PPTX
ศึกษาผลงานสำคัญของพระราหุล
PPTX
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
PPTX
ชีวิตและผลงานของพระพุทธโฆสาจารย์
PPTX
ปรัชญาหยางจื๊อ (Yang tzu)
PPTX
Life compass philosophy : ติดเข็มทิศให้กับชีวิต
PPTX
ปรัชญาทั่วไป ตอนทฤษฎีความรู้ (ญาณวิทยา)
PPTX
อริยสัจ ๔ (ตอน ๑)
PPTX
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
PPTX
เสรีภาพและอัตถิภาวะแท้ของมนุษย์
PPTX
พระสงฆ์กับการเมือง
PPTX
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาฮั่นเฟยจื๊อ
PPTX
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของนิทเช่ (Friedrich nietzsche)
PPTX
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
PPTX
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
PPTX
แนวทางการใช้หลักพุทธธรรมของผู้สูงวัย
PPTX
ศิลปะพระพุทธรูปสมัยอยุธยา
PPTX
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
PPTX
พุทธวิธีคลายเครียด
PPTX
อริยสัจ ๔ (ตอน ๒)
PPTX
ปรัชญาอัตถิภาวนิยม Existentialism ตอน ทัศนะต่อโลกของปรัชญาอัตถิภาวนิยม
ศึกษาผลงานสำคัญของพระราหุล
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
ชีวิตและผลงานของพระพุทธโฆสาจารย์
ปรัชญาหยางจื๊อ (Yang tzu)
Life compass philosophy : ติดเข็มทิศให้กับชีวิต
ปรัชญาทั่วไป ตอนทฤษฎีความรู้ (ญาณวิทยา)
อริยสัจ ๔ (ตอน ๑)
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
เสรีภาพและอัตถิภาวะแท้ของมนุษย์
พระสงฆ์กับการเมือง
วิชาปรัชญาจีน ตอน ปรัชญาฮั่นเฟยจื๊อ
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมของนิทเช่ (Friedrich nietzsche)
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวประวัติและอุดมคติแห่งชีวิตของท่านพุทธทาสภิกขุ
แนวทางการใช้หลักพุทธธรรมของผู้สูงวัย
ศิลปะพระพุทธรูปสมัยอยุธยา
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
พุทธวิธีคลายเครียด
อริยสัจ ๔ (ตอน ๒)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยม Existentialism ตอน ทัศนะต่อโลกของปรัชญาอัตถิภาวนิยม
Ad

Similar to ปรัชญากับวิถีชีวิต (20)

DOC
ชีวิตที่เปลี่ยนไป ครุวิจัยคือคำตอบ
PDF
PDF
รายงานนวัตกรรมการจัดกิจกรรมด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
PDF
2 changes in_the_world21
PDF
ยินดีต้อนรับ
PDF
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
PDF
วิจัยอนามัยเพศ
PDF
แฟ้มสะสมผลงานดีเด่นระดับปริญญาเอก นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
PDF
Assignment 4 Siriporn
DOC
จุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นบนถนนครุวิจัย ของครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
PDF
โครงงานคอมพร อมตกแต ง
PDF
Intro sciproject
PDF
วิจัยในชั้นเรียนตรีโกณมิติ
PDF
Casestudy การศึกษารายกรณี
DOC
กิตติกรรมประกาศ
PDF
จุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นบนถนนครุวิจัย ของครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
PDF
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
PDF
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
ชีวิตที่เปลี่ยนไป ครุวิจัยคือคำตอบ
รายงานนวัตกรรมการจัดกิจกรรมด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
2 changes in_the_world21
ยินดีต้อนรับ
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
วิจัยอนามัยเพศ
แฟ้มสะสมผลงานดีเด่นระดับปริญญาเอก นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
Assignment 4 Siriporn
จุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นบนถนนครุวิจัย ของครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
โครงงานคอมพร อมตกแต ง
Intro sciproject
วิจัยในชั้นเรียนตรีโกณมิติ
Casestudy การศึกษารายกรณี
กิตติกรรมประกาศ
จุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นบนถนนครุวิจัย ของครูกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์
ปริศนาธรรมในพุทธปรัชญา
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด

More from Padvee Academy (20)

PDF
หนังสือสอนใช้ WordPress สำหรับผู้เริ่มต้น [ฉบับ E-book]
PDF
Onpage stucture checklist
PPTX
5 ขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนทำเว็บไซต์
PPTX
สรุปเนื้อหา ปรัชญาเบื้องต้น ตอน โทมัส ฮอบส์ (Thomas hobbes)
PDF
วิเคราะห์ปรัชญาขงจื๊อ
PPTX
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
PPTX
พุทธศาสนามหายาน นิกายสุขาวดี | Pure Land Buddhism
PDF
Timeline : history of philosophy
PDF
Timeline : A History of Eastern Philosophy
PDF
รูปภาพ Infographic สรุปแนวคิดที่สำคัญทาง จริยศาสตร์
PDF
เทพเจ้ากรีกและโรมัน (The greek and roman gods Infographic)
PDF
ศิลปะแห่งความรัก
PDF
ความฉลาดทางอารมณ์และการพัฒนาจิตใจ
PDF
รากฐานแห่งอภิปรัชญาของศีลธรรม โดย ค้านท์ (Kants groundwork of the metaphysics...
PPTX
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
PPTX
ธรรมนิเทศ Dhamma Communication
PPTX
ศาสนาบาไฮ
PPTX
ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย
PPTX
แนวคิดเรื่อง “สังฆะ” ของหมู่บ้านพลัม
PPTX
อัจฉริยภาพ 8 ด้าน (ทฤษฎีพหุปัญญา)
หนังสือสอนใช้ WordPress สำหรับผู้เริ่มต้น [ฉบับ E-book]
Onpage stucture checklist
5 ขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนทำเว็บไซต์
สรุปเนื้อหา ปรัชญาเบื้องต้น ตอน โทมัส ฮอบส์ (Thomas hobbes)
วิเคราะห์ปรัชญาขงจื๊อ
พระพุทธศาสนาวัชรยาน Vajrayana Buddhism
พุทธศาสนามหายาน นิกายสุขาวดี | Pure Land Buddhism
Timeline : history of philosophy
Timeline : A History of Eastern Philosophy
รูปภาพ Infographic สรุปแนวคิดที่สำคัญทาง จริยศาสตร์
เทพเจ้ากรีกและโรมัน (The greek and roman gods Infographic)
ศิลปะแห่งความรัก
ความฉลาดทางอารมณ์และการพัฒนาจิตใจ
รากฐานแห่งอภิปรัชญาของศีลธรรม โดย ค้านท์ (Kants groundwork of the metaphysics...
สัทธรรมปุณฑริกสูตร (The Lotus of The True Law)
ธรรมนิเทศ Dhamma Communication
ศาสนาบาไฮ
ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย
แนวคิดเรื่อง “สังฆะ” ของหมู่บ้านพลัม
อัจฉริยภาพ 8 ด้าน (ทฤษฎีพหุปัญญา)

ปรัชญากับวิถีชีวิต

  • 3. ปรัชญากับวิถีชีวิต ศาสตราจารยปรีชา ชางขวัญยืน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โครงการจัดทําตําราเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ลิขสิทธิ์ของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา พิมพครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จํานวน 800 เลม จัดพิมพเผยแพร สํานักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา 328 ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท 0 2610 5200 โทรสาร 0 2354 5530 www.mua.go.th แบบปก พบชัย เหมือนแกว พิมพที่ หจก. อรุณการพิมพ 99/2 ซอยพระศุลี ถนนดินสอ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทร. 0-2282-6033-4 โทรสาร 0-2280-2187-8 ขอมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแหงชาติ ปรัชญากับวิถีชีวิต. - - กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2549. 154 หนา. 1. ปรัชญา. I. สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา. I. ชื่อเรื่อง. 100 ISBN 974-8310-26-2
  • 4. สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดตระหนักถึงความจําเปนและภาวะขาดแคลน ตําราที่ใชประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ซึ่งตําราถือไดวาเปนสื่อหลักสื่อหนึ่ง ที่สําคัญในการสอนและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตลอดจนใชเปนเอกสารประกอบการคนควา อางอิงในทางวิชาการ โดยเฉพาะตําราที่มีคุณภาพมาตรฐานทางวิชาการ จึงไดดําเนินการโครงการ จัดทําตําราเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และจัดพิมพตํารา พรอมทั้งจัดทํา แผนซีดี เพื่อมอบใหสถาบันอุดมศึกษาใชประโยชนเปนตําราประกอบการเรียนการสอน ระดับอุดมศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงใครขอขอบคุณ ศาสตราจารยปรีชา ชางขวัญยืน ผูแตง ที่ไดสละเวลาอันมีคาแตงตําราเรื่อง ปรัชญากับวิถีชีวิต เพื่อใชประกอบการเรียนการสอนใน สถาบันอุดมศึกษาตอไป (ศาสตราจารยพิเศษภาวิช ทองโรจน) เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กันยายน 2549
  • 6. คํานํา หนังสือปรัชญากับวิถีชีวิตเลมนี้สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาไดมอบใหผูเขียนเขียนขึ้น เพื่อใชเปนหนังสือปรัชญาทั่วไปในระดับอุดมศึกษา เนื้อหาปรัชญาทั่วไปที่ศึกษากันในอุดมศึกษามี หลายหลาก ในมหาวิทยาลัย เชน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรเนนสวนที่เปน ปรัชญาตะวันตกมาก ที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยวิชานี้แทบไมพูดถึงปรัชญาตะวันออกเลย สวน มหาวิทยาลัยอีกหลายแหงรวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ เนนทั้งฝายตะวันตกและตะวันออก ซึ่งหากจะสอนให เขาถึงวิธีการทางปรัชญาจริง ๆ แลว เนื้อหาดังกลาวก็มากเกินไป หนังสือเลมนี้พยายามแกปญหาดังกลาว โดยเนื้อหามีทั้งตะวันตกและตะวันออก แตเนนวิธีการ วิเคราะหทางปรัชญาอยางสากล และเชื่อมโยงกับทฤษฎีปรัชญาของตะวันออก โดยที่ไมไดเนนเนื้อหา เทาเนนการวิเคราะห โดยเฉพาะไดเนนพุทธปรัชญาเปนพิเศษ วิธีการเชนนี้ทําใหผูเรียนมีความรูทางปรัชญา อยางสากลและเห็นความเชื่อมโยงทางความคิดที่จะนํามาประยุกตกับปรัชญาตะวันออกและพุทธปรัชญาที่ คนไทยเราคุนเคยไดดีกวาการเรียนหนักไปทางตะวันตกซึ่งเปนเรื่องนานาชาติอยางเดียวโดยไมสามารถ นํามาพิจารณาสังคมไทยได และดีกวาการเรียนหนักไปในดานเนื้อหาที่มากมายจนเปนเพียงการบอกเลา เนื้อหามากกวาจะแสดงวิธีวิเคราะหเชิงปรัชญา ซึ่งไมทําใหเขาถึงปรัชญาอยางแทจริง เปนแตเพียงจดจํา เนื้อหาไปโดยไมสามารถนําไปใชประโยชนได หนังสือเลมนี้จึงใชเปนหนังสือหลักโดยผูสอนเพิ่มเติมบทอาน งานเขียนของนักปรัชญา หรือใชเสริมหนังสือปรัชญาทั่วไปที่ไดใชสอนกันในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะใน มหาวิทยาลัยราชภัฏ ผูเขียนหวังวาหนังสือเลมนี้จะไดสนองความตั้งใจของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่จะ ใหมีหนังสือสําหรับชั้นอุดมศึกษาใหมากขึ้น และเปนประโยชนแกผูสอนและผูเรียนปรัชญาในมหาวิทยาลัย รวมทั้งผูสนใจปรัชญาทั่ว ๆ ไป ขอขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่ไดใหความไววางใจให ผูเขียนไดเขียนหนังสือเลมนี้ ปรีชา ชางขวัญยืน
  • 8. สารบัญ หนา คํานํา บทที่ 1 ปรัชญาคืออะไร 1 2 ความจริงของจักรวาล 17 3 ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย 39 4 มนุษยเปนอิสระหรือถูกบงการ 61 5 ชีวิตที่ประเสริฐ 73 6 ระบบคุณคาที่แตกตางกัน 89 7 ความดีงามกับประโยชนทางวัตถุ 103 8 ความรูกับความเชื่อ 121 9 ปรัชญาในวิถีชีวิต 133 10 บทสรุป 149 บรรณานุกรม 153 Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบ่งปันเป็ นธรรมทาน
  • 10. บทที่ 1 ปรัชญา คือ อะไร 1. เหตุผลเปนธรรมชาติที่สําคัญของมนุษย มนุษยมีธรรมชาติเปนนักปรัชญาทุกคนมนุษยจึงมิไดอยูกับธรรมชาติไปวันหนึ่งๆอยางสัตวเดรัจฉาน สัตวที่ฉลาดที่สุดไมเคยเปลี่ยนแปลงธรรมชาติมากไปกวาที่บรรพบุรุษของมันเคยเปน ชางซึ่งเปนสัตวฉลาด ยังคงหากินอยูในปาเหมือนเดิม ชางที่อยูในเมืองทําอะไรตาง ๆ ไดก็เพราะมนุษยฝก ลิงที่วาฉลาดก็ยังพึ่ง อาหารตามธรรมชาติ ไมเคยคิดเพาะปลูกอยางมนุษย สัตวที่รวมกันลาสัตวอื่นเชน สิงโตก็ยังคงใชวิธีลา แบบเดิมๆแตมนุษยเปลี่ยนแปลงมาตลอด แตเดิมก็พึ่งธรรมชาติแลวสังเกตธรรมชาติ ในที่สุดก็นําธรรมชาติมา ใชประโยชนได เริ่มตั้งแตสรางเครื่องมือ อาวุธ เครื่องใชตาง ๆ รูจักเลือกวัสดุและการออกแบบ เชน ใชกระดูก ทําฉมวก หินทําขวานหิน แลวพัฒนามาใชโลหะ เมื่อเพาะปลูกก็รูจักทดน้ํา ทําการชลประทาน ที่เปนเชนนี้ก็ เพราะมนุษยมีเหตุผล เปนธรรมชาติ เหตุผลทําใหมนุษยรูจักตั้งคําถาม สัตวสงสัยเมื่อพบสิ่งที่ไมเคยพบ เราเห็นไดจากอาการของมัน แตสัตวไมตั้งคําถาม การที่มนุษยตั้งคําถามในสิ่งที่ตนสงสัยก็เพื่อจะหาคําตอบ มนุษยไมไดสงสัยเฉย ๆ แต ตองการทําใหตนหายสงสัยดวย มนุษยจึงพยายามหาคําตอบ คําถามที่ทําใหมนุษยหาเหตุผลของสิ่งและ ปรากฏการณตาง ๆ ที่ตนสงสัยก็คือคําถามวา “ทําไม” เราตั้งคําถามวา “ทําไม” กันมาตั้งแตเด็ก ยิ่งเปนเด็กฉลาด ยิ่งถามซอกแซก เพราะเมื่อไดคําตอบ แลวก็สงสัยตอไปอีก คําถามทําใหเราหาคําตอบ และคําตอบทําใหเราสงสัย การพยายามตอบทําใหคนเรา ฉลาดขึ้น และมีความสามารถในการถามและตอบมากขึ้น มนุษยจึงมีความรูสะสมมากขึ้น ถายทอดแกกัน และถายทอดไปสูลูกหลานมากขึ้น คําถามวา “ทําไม” เปนคําถามที่ทําใหเด็กไดความรูและหายสงสัย เปนคําถามที่ทําใหมนุษยชาติ ไดความรู สะสมและถายทอดความรู ซึ่งทําใหมนุษยฉลาดกวาสัตวอื่น ๆ คําถามวา “ทําไม” ซึ่งเด็ก ๆ ถามนี้ ก็คือถามเดียวกับที่นักปรัชญาถาม วิชาความรูทางปรัชญาเกิดจากคําถามนี้ ถาเด็กทุกคนที่ตั้งคําถามไดรับคําตอบคนเราคงฉลาดและมีความรูมากกวานี้ แตเด็กจํานวนมาก อยูในที่ที่คนรอบขางไมมีความรูที่จะตอบคําถาม หรือใหคําตอบผิด ๆ ที่รายกวานั้นบางครั้งนอกจากไมได รับคําตอบแลวยังถูกดุ ถูกหามไมใหถาม ซึ่งเทากับปดโอกาสที่เด็กจะไดความรู และมีคําถามที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นักปรัชญาคือผูที่ตั้งคําถามและพยายามตอบคําถามจนถึงที่สุด ถามจนกวาจะไมมีทางตอบและ ถามตอไปได ความรูมากมายที่คนทั่วไปไมถาม นักปรัชญาจะถาม เชนคนทั่วไปอาจเชื่อวาโลกที่เราเห็นอยูนี้ เปนจริงอยางที่เราเห็น แตนักปรัชญาจะถามวาทําไมเราจึงเชื่อเชนนั้น เปนไปไดหรือไมที่ยังมีความจริงที่อยู พนตาเห็น นักปรัชญากรีกโบราณพยายามตอบคําถามนี้ เชน เดโมคริตุสตอบวาความจริงที่อยูพนตาเห็น
  • 11. 2 คืออะตอม ซึ่งเล็กจนแบงแยกตอไปอีกไมได คนทั่วไปเชื่อวา คนเราควรทําความดีแตนักปรัชญาจะถามวา เราจะตัดสินไดอยางไรวาการกระทําใดดี หรือไมดี มีเกณฑอะไรเปนเครื่องวัด 2. ความปรารถนาที่จะรูสําคัญกวาความรู คนเรามีความรูไดเพราะมีความปรารถนาที่จะรู ถาไมปรารถนาจะรูแมมีความรูอยูรอบดาน ก็ไม เกิดความรูแกผูนั้นได นักปราชญหรือนักวิชาการคือผูมีความปรารถนาจะรูและหาความรูอยูเสมอ นักปราชญ ในระยะแรก ๆ หาความรูทุกอยางที่อยากรู ทั้งที่เกี่ยวกับการดําเนินชีวิตและไมเกี่ยว นักปราชญรุนแรก ๆ นี้จึง ไดชื่อวา philosopher คํานี้ ปธาโกรัส (Pythagoras) นักปรัชญากรีกเปนผูใชเปนคนแรก คําภาษากรีก ซึ่งเปนที่มาของคําวา philosopher คือ philosophos (ภาษาละติน philosophus) philos แปลวารัก sophos แปลวา ฉลาด (wise) philosophos แปลวารักความรูหรือรักความฉลาด คือเปนผูปรารถนาความรู หรือความฉลาด นักปรัชญาจึงไมใชผูรูแตเปนผูอยากรู ในสมัยกรีกโบราณซึ่งเปนระยะเริ่มตนของการแสวงหาความรูในโลกตะวันตกนั้น ความรูที่แสวงหา เปนความรูในเรื่องใดก็ไดไมมีขอจํากัด และไมมุงการนําไปปฏิบัติ เพราะความรูเพื่อการปฏิบัติ ในสมัยนั้นไม ตองใชความรูทางทฤษฎีมากมายเหมือนความรูทางเทคโนโลยีชั้นสูงในปจจุบัน ดังนั้นความรูที่ชาวกรีกมุง แสวงหาจึงเปนความรูภาคทฤษฎี โดยเฉพาะเรื่องที่เปนนามธรรม เชน ความรูทางคณิตศาสตร ความรูเกี่ยวกับ จักรวาลหรือเอกภพ (universe) ความรูเกี่ยวกับคุณคาทางจริยศาสตรคือเรื่องความดีความชั่ว ความรูเกี่ยวกับ การเมืองการปกครองเชนทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐที่ดีที่สุด ความรูเหลานี้แมวาในระยะตนดูเหมือนเปนความคิดที่ ไมคอยมีเหตุผล แตก็ไดเปนจุดเริ่มตนใหมีการตรวจสอบและคนหาความจริงตอมา และแมวาความรูนั้นจะดู เปนเรื่องสามัญแตก็เปนตนกําเนิดใหแกวิชาตาง ๆ เชน คณิตศาสตร วิทยาศาสตร รัฐศาสตร การหาความรู โดยไมถามถึงการนําไปปฏิบัติจึงเปนสิ่งที่มีคุณคาเพราะหากไมมีความรูทฤษฎีเปนพื้นฐานแลว ความรูทางการ ปฏิบัติที่ลึกซึ้งซับซอนจนเปนเทคโนโลยีชั้นสูงในปจจุบันจะเกิดขึ้นไมไดเลย ความรูทั้งหลายซึ่งมาจากความ ปรารถนาที่จะรูนั้นจึงมีคุณคานอยกวาความปรารถนาจะรูของมนุษยและความปรารถนาจะรูนั้นก็คือที่มาของ ความรูทั้งหมดซึ่งในระยะแรก ๆยังไมแยกเปนสาขาวิชาเฉพาะ แตนับรวมเปนปรัชญาทั้งสิ้น วิชาที่แยกออกเปน วิชายอย ๆ ถือเปนสวนหนึ่งของปรัชญามากอน ภายหลังเมื่อมนุษยหาความรูไดมากขึ้นและมีวิธีหาความรู เฉพาะ วิชาบางวิชาจึงแยกออกจากปรัชญา กลายเปนสาขาวิชาเฉพาะเชน เคมี จิตวิทยา สังคมวิทยา เปนตน 3. วิชาปรัชญาเปนสวนหนึ่งของมนุษยศาสตร 3.1 ความจริงทางประสาทสัมผัส (fact) กับคุณคา (value) เรื่องที่เปนความรูของมนุษยอาจแบงออกไดเปนสองเรื่องใหญ ๆ คือ ความจริงทางประสาทสัมผัส กับคุณคา ความจริงทางประสาทสัมผัสไดแกความจริงที่เราสามารถรับรูไดทางประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือ โดยการดู การไดยิน การไดกลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัสจับตอง ความจริงชนิดนี้เราเรียกอีก อยางหนึ่งวา ความจริงทางธรรมชาติ (natural fact) ความจริงทางประสาทสัมผัสอีกอยางหนึ่งที่มนุษย สนใจศึกษาก็คือความจริงทางสังคม (social fact) คือความจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมและกิจกรรมของมนุษย
  • 12. 3 ที่มาอยูรวมกันเปนสังคม รวมถึงทฤษฎีและระบบตาง ๆ ที่มนุษยสรางและปฏิบัติในสังคม สวนคุณคาคือสิ่ง ที่มนุษยใชในการประเมินคุณสมบัติของสิ่งตาง ๆ ในธรรมชาติ ของพฤติกรรมมนุษยหรือสิ่งที่มนุษยสรางขึ้น เชน ความคิด ทฤษฎี ระบบตาง ๆ คุณคาแบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแก คุณคาทางจริยะหรือคุณคา ทางการประพฤติปฏิบัติ เชน ดี ชั่ว ถูกผิด ยุติธรรม อยุติธรรม กลาหาญ ขี้ขลาด กับคุณคาทางสุนทรียะ เชน สวย งาม นาเกลียด ไพเราะ กลมกลืน ลงตัว 3.2 วิทยาศาสตร (science) สังคมศาสตร (social science) มนุษยศาสตร (humanities) เมื่อความรูเกี่ยวกับธรรมชาติที่มนุษยไดศึกษาคนควากันมานานมีมากขึ้น ราวคริสตศตวรรษที่ 15 วิชาวิทยาศาสตรก็เริ่มเปนปกแผนและสามารถแยกศึกษาตางหากจากปรัชญาและศาสนาได ดาราศาสตร และการแพทยเปนวิชาแรก ๆ ของวิทยาศาสตร ในระยะเดียวกันนั้น ชาวตะวันตกที่ไดเดินทางมายังตะวันออก ไดพบดินแดนซึ่งมีผูคนที่มีอารยธรรม แตกตางกับตนก็ไดสนใจศึกษาอารยธรรมในดินแดนเหลานั้นเชน อินเดีย จีน ตลอดจนอารยธรรมในหมูเกาะ ตาง ๆ ในทะเล ขอมูลเกี่ยวกับสังคม ชีวิตความเปนอยูของคนเหลานั้นเปนความจริงที่สังเกตไดทางประสาท สัมผัสเชนเดียวกับวิทยาศาสตร และสามารถศึกษาไดดวยวิธีการที่คลายคลึงกัน วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมตาง ๆ ของมนุษยในสังคม ซึ่งไดใชวิธีการทํานองเดียวกับวิทยาศาสตรนั้น จึงไดชื่อวา วิทยาศาสตรสังคม (social science) เพื่อลอกับวิทยาศาสตรธรรมชาติ (natural science) ภายหลังจึงเรียกวา สังคมศาสตร วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณคาของความจริงธรรมชาติและความจริงทางสังคม โดยมีการตัดสินถูกผิด ดีชั่ว งามไมงาม โดยใชวิธีการทางเหตุผลและอารมณ ก็คือวิชามนุษยศาสตร ที่เรียกวาวิชามนุษยศาสตรก็ เพราะการตัดสินดังกลาวมีเฉพาะมนุษย สัตวไมเขาใจเรื่องคุณคาและคุณคาที่มนุษยตัดสินก็เปนมาตรฐาน สําหรับการดําเนินชีวิตที่ดีหรือที่ไมดีของมนุษย มนุษยศาสตรจึงเปนศาสตรแหงความเปนมนุษยผูสูงสงกวาสัตว วิชาวิทยาศาสตรและสังคมศาสตรศึกษาความจริงเพื่อจะรูและเขาใจความจริงทางประสาทสัมผัส วาเปนอยางไร มีความสัมพันธเชื่อมโยงกันอยางไร สวนวิชามนุษยศาสตรตัดสินวา ควรพิจารณาความจริง นั้น ๆ อยางไร ควรประพฤติปฏิบัติอยางไรเกี่ยวกับความจริงเหลานั้น วิธีศึกษาทางวิทยาศาสตรกับมนุษยศาสตร ในปจจุบันเราทราบกันดีวา ความรูทางวิทยาศาสตรนั้นไดมาจากการสังเกตและการทดลอง ซึ่งก็ คือการหาความรูในขอบเขตของประสาทสัมผัสนั่นเอง แสดงวาวิทยาศาสตรไมเชื่อในความจริงที่อยูพนขอบเขต ของประสาทสัมผัส แตทวาวิทยาศาสตรเอง ก็มิไดเชื่อแตในสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรูไดโดยตรงเทานั้น เพราะ หากเปนเชนนั้นความรูทางวิทยาศาสตรก็จะไมเกินกวาความรูที่คนทั่วไปสังเกตได ในความเปนจริงวิทยาศาสตร ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เกินขอบเขตของประสาทสัมผัสโดยปกติ เชนวิทยาศาสตรศึกษาคลื่น และรังสี ซึ่งเรามองไม เห็นสิ่งที่เล็กมาก ๆ จน ไมอาจรับรูไดมีอยูมากมาย เชน ประจุไฟฟา ไวรัส เหลานี้ลวนแตตองอาศัยเครื่องมือ หรือบางครั้งอาศัยการคํานวณ บางครั้งก็ยอมรับไดดวยผลของสิ่งนั้น ๆ เชน ยอมรับวาไฟฟามีอยูเพราะมัน
  • 13. 4 ทําใหหลอดสวาง ทําใหขดลวดรอน ทําใหพัดลมหมุน ทําใหเราเกิดอาการกระตุกเมื่อมันวิ่งเขาสูตัวเรา แตไม วาจะเปนวิธีใดและความรูนั้นยากแกการรับรูทางประสาทสัมผัสโดยตรง การใชเครื่องมือเปนวิธีออมในการ รับรูทางประสาทสัมผัส และการใชเครื่องมือเปนการขยายขอบเขตความสามารถในการรับรูทางประสาท สัมผัสของมนุษยซึ่งตรวจสอบไดวาเปนความจริง เชนการใชกลองเล็งยิงเปาในระยะไกลมาก ๆ เราก็เชื่อภาพที่ เห็นในกลองไดเพราะเมื่อกลองชี้จุดเปาเราสามารถยิงเปาถูกจริง ๆ เราจึงสรุปไดวาวิทยาศาสตรยอมรับความรู เฉพาะในขอบเขตของประสาทสัมผัส และใชประสาทสัมผัสในการพิสูจนและตัดสินวาอะไรจริง อะไรไมจริง การใชประสาทสัมผัสในการพิสูจนก็คือใชการสังเกตและทดลอง แมวิทยาศาสตรอาจเริ่มตนดวยสมมติฐาน ซึ่งไมทราบวาจะเปนจริงหรือไม แตจะรับวาสมมติฐานถูกตอง ก็เมื่อพิสูจนดวยวิธีการทางประสาทสัมผัส แลววาเปนจริง สังคมศาสตรใชวิธีการทางวิทยาศาสตรในการพิสูจน แตเนื่องจากขอมูลของสังคมศาสตรเปนเรื่อง เกี่ยวกับพฤติกรรมและความรูสึกนึกคิดของมนุษย ซึ่งเปนขอมูลที่ตางกับวิทยาศาสตรธรรมชาติเพราะขอมูล ทางสังคมศาสตรเปนขอมูลเกี่ยวกับความคิดความเชื่อของคน ซึ่งมีความผิดแผกแตกตางกันไปแตละคน แต ละกลุม และคนก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงอยูบอย ๆ ทั้งความคิดและอารมณ ขอมูลจึงไมคงตัว ตางกับวัตถุ ซึ่งเปนขอมูลของวิทยาศาสตรที่มักจะมีคุณสมบัติคงที่ หรือทําใหคุณสมบัติคงที่ไดในการทดลอง การสังเกต และทดลองอาจใชไดบางในสังคมศาสตรแตไมใชทั้งหมดและมักตองใชวิธีสอบถาม สัมภาษณ ซึ่งก็มีความ แปรผันสูงเนื่องจากคนอาจตอบคําถามโดยขาดความเขาใจ โดยไมเต็มใจ แบบสอบถามอาจไมชัดเจน หรือ ความรูและพื้นฐานความคิดที่ตางกันอาจทําใหผูตอบตีความคําถามตางจากที่ผูถามคิด ความแปรผันของ ขอมูลเชนนี้ทําใหสังคมศาสตรตองใชสถิติ ซึ่งก็อาจมีขอผิดพลาดไดในทุกขั้นตอน ตั้งแตการออกแบบสอบถาม ไปจนถึงการแปลผล แมวาขอมูลจะแตกตางกับวิทยาศาสตรธรรมชาติ แตเมื่อพิจารณาโดยแกนแทแลว สังคมศาสตรใชวิธีการทางวิทยาศาสตรคือ การสังเกต การทดลองมีใชนอย เชน อาจใชบางในวิชาจิตวิทยา หรือวิชาภาษาศาสตรบางแขนง เครื่องมือสําคัญที่ใชในการสํารวจวิเคราะหและประมวลผลขอมูลคือ สถิติ ดังนั้นสังคมศาสตรก็คือวิทยาศาสตรอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งใชขอมูลที่เปนความจริงทางสังคม มิใชความจริงทาง ธรรมชาติอยางวิทยาศาสตร และขอมูลทั้งหมดก็อยูในขอบเขตประสาทสัมผัส มนุษยศาสตรนั้นศึกษาคุณคาซึ่งมิใชสิ่งที่รับรูไดทางประสาทสัมผัส การสังเกตและการทดลองจึง ไมอาจใชศึกษาวิชาประเภทนี้ได เชน วิทยาศาสตรอาจสังเกต และอธิบายไดวาการทําแทงมีวิธีการอยางไร สังคมศาสตรอาจศึกษาขอมูลเกี่ยวกับจํานวนของผูทําแทงในที่หนึ่งในเวลาหนึ่ง และอาจศึกษาสาเหตุที่ทํา ใหสตรีทําแทงในที่นั้นเวลานั้นได แตทั้งวิทยาศาสตรและสังคมศาสตรไมอาจตัดสินไดวาการทําแทงเปนสิ่งที่ ถูกหรือผิดและมนุษยควรทําหรือไมควรทํา เพราะคําถามหลังนี้ไมเกี่ยวกับความจริงทางประสาทสัมผัส ถูกหรือ ผิดเปนเรื่องคุณคาที่มนุษยควรยึดถือหรือละเวน และมนุษยควรยึดถือหรือละเวนอะไรขึ้นอยูกับเหตุผลและ ความรูสึก มนุษยศาสตรมีเกณฑตัดสินดานเหตุผล และดานอารมณความรูสึก เชน เกณฑในการตัดสิน ศีลธรรม หรือความเปนศิลปะ เปนตน
  • 14. 5 3.3 สาขาวิชาในมนุษยศาสตร วิชามนุษยศาสตรคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความเปนมนุษยและวัฒนธรรมของมนุษย ในวัฒนธรรม ตะวันตกสมัยกอนประกอบดวยวิชาสําคัญ ๆ คือ วรรณคดี ปรัชญา ศิลปะ ภาษากรีกและละติน เปนวิชาที่ นิยมศึกษากันในราวคริสตศตวรรษที่ 14 คือในสมัยฟนฟูศิลปวิทยาการ (renaissance) ในประเทศไทยเริ่ม แบงสาขาวิชาออกเปน วิทยาศาสตร สังคมศาสตร และมนุษยศาสตรอยางชัดเจน ตามแนวทางขององคการ การศึกษาวิทยาศาสตรและวัฒนธรรม (UNESCO) เมื่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม ซึ่งไดแบงคณะวิชาตาม แนวทางดังกลาว ศาสตราจารยพระยาอนุมานราชธน ราชบัณฑิต ผูเปนนักปราชญสําคัญของไทยในสมัยนั้น และเปนอาจารยของผูเขียนไดอธิบายความหมายคําวามนุษยศาสตร วา เหมือนสํารับกับขาวที่มีอาหารอยู 4 อยาง คือ ประวัติศาสตร ภาษา ศาสนาและปรัชญา ศิลปะ ทั้ง 4 กลุมวิชานี้สอนเรื่องเกี่ยวกับมนุษยและ วัฒนธรรมของมนุษย วิชาทั้ง 4 กลุมนี้ลวนเกี่ยวของกับมนุษยในเชิงคุณคาทั้งสิ้น ประวัติศาสตรศึกษาความเปนมาของ มนุษยและกิจกรรมของมนุษยทั้งการสรางสรรค ความสําเร็จ และความลมเหลว ความเจริญขึ้น ความเสื่อม และความหายนะของมนุษย ซึ่งลวนแตแสดงใหเห็นเหตุผลถูกผิดในการคิดและการกระทําของมนุษยซึ่งทํา ใหมนุษยไดรับผลดีบางชั่วบาง นาปรารถนาบาง ไมนาปรารถนาบางตามการตัดสินใจและการกระทําของตน ภาษานอกจากเปนเครื่องมือในการสื่อสารแลวตัวภาษาเองก็เปนวัฒนธรรมของมนุษยที่มนุษยใช สื่อวัฒนธรรม สรางและถายทอดวัฒนธรรมเปนเครื่องแสดงความมีวัฒนธรรมของมนุษย เพราะภาษา นอกจากเปนงานสรางสรรคดวยอัจฉริยภาพแลว ยังแสดงถึงความเปนผูมีวัฒนธรรมของเจาของภาษา ระดับสูง ต่ําในการใชภาษาก็แสดงใหเห็นความหลากหลายซับซอนของวัฒนธรรมของมนุษยแตละสังคมดวย ศิลปะ คืองานสรางสรรคอันแสดงถึงจินตนาการและความประณีตละเอียดออนทางอารมณและ จิตใจของมนุษยในเรื่องความเขาใจและความรูสึกตอธรรมชาติ สังคม และจิตใจของมนุษย แสดงถึงอารมณ ความรูสึกในสวนละเมียดละไมของมนุษย ซึ่งตางกับความอยากกระหายทางประสาทสัมผัสที่เปนอารมณ ความรูสึกอันหยาบกระดาง ศิลปะจึงเปนเครื่องพัฒนาอารมณและจิตใจของมนุษยใหละเอียดออน ปรัชญาและศาสนาเปนวิชาที่เกี่ยวกับการสรางสรรคทางความคิด ความเชื่อของมนุษย มุงให มนุษยมีเหตุผล มีความเขาใจในเรื่องถูก ผิด ดี ชั่ว พนจากความเปนอยูตามอารมณและความตองการทาง กายโดยไมมีการประเมินคาและเลือกสรรอยางที่สัตวเปน มุงใหมนุษยมีความประพฤติที่สูงสง เชน รูจัก เมตตา กรุณา ใหอภัย เอื้อเฟอแกผูอื่น มีความกตัญูกตเวที เปนตน ปรัชญาและศาสนานั้นตางกับวิทยาศาสตรและลูกของวิทยาศาสตรคือสังคมศาสตรตรงที่วิทยาศาสตร และสังคมศาสตรศึกษาความจริงที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสโดยมิไดประเมินคุณคาวาความจริงนั้น ๆ ดี หรือไม ดี เหมาะหรือไมเหมาะ ควรหรือไมควรแกมนุษย แตมนุษยศาสตรประเมินคุณคาความจริงเหลานั้นและมีเกณฑ ในการประเมินคุณคาเชนเดียวกับที่วิทยาศาสตรมีทฤษฎีและกฎเกณฑ
  • 15. 6 ปรัชญากับศาสนาแมจะใกลเคียงกันที่ศึกษาความจริงไมเฉพาะในขอบเขตของประสาทสัมผัส แต ศึกษาความจริงที่พนขอบเขตของประสาทสัมผัส คือความจริงนามธรรมตาง ๆ โดยเฉพาะ คุณคา แต ปรัชญากับศาสนาก็ตางกันตรงที่ศาสนาเริ่มตนดวยการมีศรัทธาความเชื่อมั่นในความรูของศาสดาหรือของพระ ผูเปนเจา ซึ่งก็ทําใหเชื่อมั่นในคัมภีรอันมีที่มาจากศาสดาหรือพระผูเปนเจาดวย ศาสนาจึงเนนไปที่การปฏิบัติ ตามคําสั่งสอน สวนปรัชญาเริ่มดวยความสงสัย ความไมเชื่อมั่นในความจริง หรือหลักการใด ๆ และตั้ง คําถามในสิ่งที่เชื่อกันวาเปนความจริงหรือเปนหลักการ และพยายามวิเคราะหหาคําตอบที่จะเปนไปได รวมทั้ง วิพากษวิจารณ ความคิดเห็นหรือคําตอบทุกคําตอบอยางถึงที่สุด เชน พุทธศาสนิกชนยอมรับวา ศีล 5 เปนขอ ควรละ พุทธศาสนิกชนที่ดีไมสงสัยในความถูกตองของศีล 5 และปฏิบัติตาม โดยมุงปฏิบัติใหเครงครัดขึ้น เรื่อย ๆ แตปรัชญาจะตั้งคําถามวาทําไมศีล 5 จึงถูกตองและควรปฏิบัติตาม ความถูกตองนั้นพิจารณาจาก เหตุผลอะไร จากผลที่เกิดขึ้น จากการลงมือปฏิบัติหรือเปนสิ่งที่ดีในตัว ไมตองคํานึงถึงผล หรือเพราะเปน ทางละชั่ว เพื่อจะไปสูความจริงสูงสุด เครื่องมือของปรัชญาจึงไมใชศรัทธาและเหตุผลที่จะสนับสนุนศรัทธา แตเปนเหตุผลที่จะวิพากษวิจารณและซักถามในทุก ๆ เรื่องที่ซักถามไดดวยเหตุผล เครื่องมือสําคัญในการใช เหตุผลก็คือ ตรรกวิทยา (logic) กลาวโดยสรุป ขอบเขตของความจริงทางวิทยาศาสตรคือโลกแหงประสาทสัมผัสและวิธีที่ใชศึกษาก็ คือการสังเกตและการทดลอง ขอบเขตของความจริงทางศาสนานั้นรวมถึงความจริงนามธรรมที่อยูพนขอบเขต ของประสาทสัมผัส วิธีที่ใชศึกษาก็คือตองมีศรัทธากอนแลวปฏิบัติตามคําสอนของศาสนาที่นําไปสูการบรรลุ ความจริงนั้น สวนขอบเขตความจริงของปรัชญานั้นรวมหมดทั้งโลกของประสาทสัมผัสและโลกที่พนขอบเขต ของประสาทสัมผัส แตปรัชญามิไดศึกษาโดยเริ่มจากความเชื่อวา โลกใดจริง แตใชเหตุผลซักไซไตถามในสิ่ง ที่วิทยาศาสตรและศาสนายืนยันวาเปนความจริง และประเมินคาความถูกผิด ความนาเชื่อ ไมนาเชื่อในเชิง เหตุผล วิทยาศาสตรและศาสนาเริ่มตนดวยการเชื่อความจริงบางอยาง แตปรัชญาเริ่มตนดวยความสงสัย ในความจริงที่วิทยาศาสตรและศาสนาเชื่อ ความรูแบบแยกสวนกับความรูแบบบูรณาการ การแบงความรูเปน 3 สาขา ดังที่กลาวมาแลว ในปจจุบันมักมีผูแยงวาเปนการคิดแบบแยกสวน ซึ่งไมตรงกับความเปนจริง เพราะในความเปนจริงความรูไมไดแยกกัน ขอนี้จะตองทําความเขาใจใหดีมิฉะนั้น จะกลายเปนเพียงคนที่คิดและพูดตามสมัยนิยมทางความคิดได เหมือนดังที่คนสมัยนี้ตามสมัยนิยมแบบ หลังนวยุค (postmodernism) โดยมิไดพิจารณาวา ชื่อขบวนการใหมดังกลาวนั้นโดยเนื้อแทใหมเพียงไรหรือวา เปนเพียง “เหลาเกาในขวดใหม” ที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ในประวัติปรัชญาที่มีลัทธิวิมตินิยม (skepticism) เกิดขึ้น ครั้งแลวครั้งเลาเหมือนดาราคนเดิมที่แตงหนาแตงตาเสียใหม ในสมัยของไพธากอรัส ความรูทั้งหลายเปนปรัชญา หรืออาจกลาวไดวาคําวาปรัชญากับคําวา ความรูแทบจะแทนกันได เมื่อมองในแงนี้เรื่องยอย ๆ แมจะตางกันก็จัดรวมไวในคําคําเดียวกัน เหมือนเรามี คําวา สสารคําเดียวเปนที่รวมของสิ่งตาง ๆ ที่เปนสสารมากมาย การไมตั้งชื่อเพื่อเรียกสสารแตละชนิดไมได
  • 16. 7 ทําใหสสารกลายเปนชนิดเดียวกันทั้งหมด และเมื่อเราตองการศึกษาสสารตางชนิดกัน วิธีที่จะแยกชนิดก็ ตองตั้งชื่อตางกัน ชนิดที่ตางกันก็อาจมีวิธีศึกษาตางกัน การที่จะมีความรูลึกได ก็ตองแยกศึกษาเปนเรื่อง ๆ ถาศึกษารวมทั้งหมดก็ไมไดความรูที่เปนรายละเอียด การขาดความรูเชิงลึกก็อาจทําใหมองภาพความรูรวม หรือความเชื่อมโยงของความรูผิดพลาดได หรือหากจะมองภาพรวมโดยไมแยกอะไรเลยเพราะเห็นวาการ พูดวา “ความเชื่อมโยง” ก็ยังแสดงการแยกสวนอยู ก็ตองถามวาการมองรวมเชนนั้นจะไดอะไรมากไปกวา การเห็นสิ่งทั้งหลายที่กองสุมกันอยางไมเปนระเบียบ เมื่อใดที่เราอธิบายเมื่อนั้นเราแสดงระเบียบที่เราเห็น และนั่นก็เทากับมีการแยกและการแยกแยะ การมองรวมอยางสุดขั้วดังกลาวจึงเปนแตการพูดเลนลิ้นโดยไม อาจทําใหเกิดความรูอะไรได หากทําใหเกิดความรูไดจริงคนเราคงใชวิธีนี้มาตั้งแตตนโดยไมตองลําบากที่จะ หาหลักเกณฑอะไรมาแยกแยะสิ่งทั้งหลายออกจากกันเพื่อจะศึกษา การแยกแยะเปนธรรมชาติของมนุษย การที่เรามีความรูมากมายในปจจุบันก็เพราะเราแยกแยะและเราศึกษาแบบแยกสวน เราจะศึกษา เคมีกับดาราศาสตรและชีววิทยาโดยไมแยกสวนเสียกอนไดอยางไร เหมือนการศึกษารางกายรวม ๆ โดยไม รูหนาที่ของอวัยวะแตละอยางเสียกอนไดอยางไร คนเรามองความรูรวม ๆ มาตั้งแตตนแลวก็มาแยกศึกษา เปนเรื่อง ๆ ก็เพราะการศึกษารวม ๆ ไมใหความรูเปนชิ้นเปนอันแกมนุษยชาติ การมองรวมจะเปนความรู และเกิดประโยชนก็ตอเมื่อเปนการเชื่อมความรูยอย ๆ ที่คนหามาไดในเชิงลึกเขาดวยกัน การรวมกันโดยนัย นี้จึงจะเรียกวาการบูรณาการ (integration) ในขั้นบูรณาการนี้มนุษยก็ตองอาศัยความรูและประสบการณเดิม แมวานักปรัชญาบางกลุมจะคิดวาสามารถบูรณาการโดยไมมีระบบหลักการหรือกฎเกณฑลวงหนาความคิด เชนนั้นเปนความปรารถนาของผูคนหาความจริงที่จะใหไดความจริงตามที่เปนในลักษณะที่เปนการพรรณนา (descriptive) มากกวาเปนความจริงตามที่กําหนดลวงหนา(prescriptive) แตเนื่องจากทุกคนมีอดีตมีประสบการณ และไดรับการอบรมมา สิ่งเหลานี้ยอมมีอิทธิพลใหเกิดแนวคิดการกําหนดกรอบหรือวิธีเขาใจและพิจารณา ในเชิงการกําหนดลวงหนาไมได การบูรณาการจึงเปนการประมวลความรูและจัดความสัมพันธกันอยางเปน ระบบโดยอาศัยทั้งความรูยอย ๆ ที่ไดมาจากทฤษฎีและแนวคิดกับความรูในเชิงระบบที่ไดศึกษาอบรมและมี ประสบการณมาจากอดีต แมมนุษยจะมีความใฝฝนและความพยายามที่จะศึกษาในเชิงพรรณนามากกวา การกําหนดลวงหนาก็ตาม โดยสรุปมนุษยเริ่มจากการมองสิ่งตาง ๆ อยางรวม ๆ ดวยความไมเขาใจ ระยะนี้อาจไมมีจริงเปน แตเพียงขั้นตอนทางความคิดเชิงตรรกะเทานั้น ในความเปนจริงคือมนุษยรูจักสิ่งเฉพาะและความรูเกี่ยวกับ สิ่งเฉพาะ มองเห็นความเปนสากลของกลุมของสิ่งเฉพาะ จัดประเภทและระบบได ศึกษาแตละเรื่องในเชิง ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งใหความสําคัญแกการเชื่อมโยงความรูแตละเรื่องแตละสาขาเขาดวยกันนอยเกินไป จนขาดความรูเชนนั้นแลวมนุษยก็กลับมาใหความสําคัญแกความรูแบบองครวม(holism)และสนใจการบูรณาการ ความรูและการขามสาขาวิชาและสหสาขาวิชา(cross discipline and interdiscipline)มากขึ้น และบางพวกไป ไกลหรือเลยเถิดไปจนถึงกับเห็นวา การแบงความรูเปนสาขาวิชาเปนสิ่งที่ผิด และตองการสลายการแบง สาขาวิชา ซึ่งก็เปนการคิดแบบสุดขั้วไปอีกดานหนึ่ง
  • 17. 8 ในความเปนจริงมนุษยอาจ “มองรวม” และ “มองทั่วได” “มองเปนหนึ่งในความหลายหลาก” ได แตอาจจะ “มองเปนเนื้อเดียว” ไมได เพราะไมใชความสามารถของมนุษยธรรมดาจะทําเชนนั้น ความรูใน ลักษณะดังกลาวนั้น รูดอลฟ ออตโต (Rudolf Otto) ไดกลาวไวในหนังสือ Idea of the Holy วาเปนความรูที่ ศาสดาของศาสนาตาง ๆ ไดบรรยายไวคลายคลึงกัน ซึ่งเปนความรูของผูหลุดพนจากโลกของประสาทสัมผัส และเหตุผลแลว มิใชความรูของปุถุชนซึ่งก็รวมถึงความรูของนักปรัชญา ที่มิใชผูหลุดพนดวย 4. สาขาของวิชาปรัชญา ปรัชญาอาจศึกษาไดหลายแนวทาง เชนศึกษาเชิงประวัติ ศึกษาเชิงปญหา ศึกษาความคิดของนัก ปรัชญาแตละคน การศึกษาแตละแบบก็ทําใหแบงเนื้อหาปรัชญาแตกตางกันไป การแบงสาขาของวิชา ปรัชญาจึงไมจําเปนตองปรากฏในหนังสือปรัชญาทุกเลม แตการแบงสาขาของวิชาปรัชญาซึ่งเปนการแบง เนื้อหาอยางกวางที่สุดนั้นมีมานานและชื่อสาขาก็ใชในการอธิบายหรืออางถึงอยูเสมอ ๆ จนกลาวไดวาเปน การแบงที่เปนสากล แมในการศึกษาปรัชญาตะวันออกก็มักนําการแบงสาขาแบบนี้ไปใชในการอธิบายดวย จึงเปนเรื่องที่ควรกลาวถึงในที่นี้โดยสังเขป ปรัชญาแบงออกเปน 4 สาขาใหญดังนี้ 4.1 อภิปรัชญาหรือเมตาฟสิกส (Metaphysics) คําวาอภิปรัชญาในตําราปรัชญามักจะแปลวา ความรูยิ่งหรือความรูอันประเสริฐ ซึ่งอาจถือเอาคําวา meta ที่แปลวา beyond เกิดขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 16 มาจากภาษากรีกวา ta meta ta physika ซึ่งแปลวาสิ่งที่มาหลังจากฟสิกส (วิทยาศาสตรธรรมชาติ) ทั้งนี้เพราะศิษยของอริสโตเติลผูรวบรวมงานเขียนทางปรัชญาของอาจารยและจัดหมวดหมูไวไดเรียงลําดับ วิชาวาดวยสภาวะความเปนจริงซึ่งเรียกกันอีกอยางหนึ่งวา first philosophy ไวหลังวิชาฟสิกส เมื่อพูดถึง วิชานี้จึงเรียกวา วิชาที่อยูหลังหรืออยูถัดจากฟสิกส คําภาษากรีกที่นํามาสรางเปนคําเรียกวิชานี้ก็คือ metaphysics ผูสอนและผูเรียนปรัชญาหลายคนนิยมใชคําวา เมตาฟสิกส และไมใชอภิปรัชญา เพราะเกรง วาจะทําใหเกิดความเขาใจวิชานี้ผิดไป วิชาเมตาฟสิกสคือปรัชญาสาขาที่วาดวยลักษณะของความมีอยูเปนอยูและหลักการพื้นฐานของ ความจริง วิชาทั่ว ๆ ไปที่เราศึกษากันมักจะเปนวิชาที่ศึกษาธรรมชาติหรือความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เชน ดาราศาสตรศึกษาความจริงเกี่ยวกับทองฟาหรือเรื่องของดวงดาวและเทหวัตถุในจักรวาล วิชาอื่น ๆ ก็ ศึกษาความจริงเกี่ยวกับสิ่งตาง ๆ อันอยูในขอบเขตของวิชาเหลานั้น แตเมตาฟสิกสจะศึกษาวา ความจริง คืออะไร อะไรบางที่มีอยูจริง ความมีอยูเปนอยูของสิ่งตาง ๆ ที่เราเห็นอยูนี้คืออะไร มีอะไรที่เปนจริงอยู นอกเหนือจากโลกที่เราเห็นอยูนี้หรือไม ถามีสิ่งนั้นเปนอยางไร ความจริงมีลักษณะตายตัวหรือไมตายตัว คงที่หรือเปลี่ยนแปลง 4.2 ญาณวิทยา (Epistemology)หรือทฤษฎีความรู (Theory of Knowledge) คือปรัชญาสาขา ที่วาดวยความรูของมนุษย โดยปกติเราถือวาความรูเปนสิ่งที่มีอยูจริง และคนเราสามารถแสวงหาความรูได วิชาตาง ๆ มีอยูก็เพื่อแสวงหาความรูดังกลาวนั้น แตเราก็เห็นไดเชนกันวาความรูเปลี่ยนแปลงอยูบอย ๆ
  • 18. 9 บางครั้งความรูก็เปนเพียงทฤษฎีหรือความเห็นหนึ่ง ยังมีความเห็นอื่น ๆ ที่คัดคานทฤษฎีหรือความเห็นนั้น ๆ แมแตประสาทสัมผัสที่วาแนนอนนั้นบางครั้งก็รายงานสิ่งที่ไมเปนจริง เชนการเห็นภาพลวงตาตาง ๆ เปนตน ญาณวิทยาตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ เชน ถามวา ความรูทางประสาทสัมผัสเชื่อถือไดหรือไม เหตุผล เขาถึงความจริงไดหรือไม ความรูมีอยูหรือไม หากมีอยูมนุษยสามารถแสวงหาความรูไดหรือไม ความรู แนนอนตายตัวหรือเปลี่ยนแปลง นักปรัชญาที่มีทรรศนะตางกันในเรื่องเหลานี้มีมากมาย ยิ่งความรูเกี่ยวกับ การรับรูของมนุษยมีมากขึ้นเพียงไรปญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับคําตอบทางวิทยาศาสตรในเรื่องความรูก็ยิ่งลึกซึ้ง ขึ้นเชนการรูของมนุษยมีลักษณะแบบเดียวกับคอมพิวเตอรหรือไม เปนตน 4.3 อัคฆวิทยา (Axiology) อัคฆวิทยาแปลวาความรูเกี่ยวกับคุณคา คือปรัชญาสาขาที่ศึกษาเรื่อง คุณคา แบงออกเปนสาขายอยคือ สาขาที่ศึกษาคุณคาทางความประพฤติของมนุษย เรียกวา จริยศาสตร (ethics) หรือจริยปรัชญา (moral philosophy) สาขานี้ศึกษาปญหาเรื่องความดี ความชั่ว และคุณคาอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย เชน ความกลาหาญ ความซื่อตรง ความยุติธรรม เกณฑในการตัดสินความ ประพฤติของมนุษย ความมีอยูหรือไมมีอยูของคุณคาทางจริยศาสตร จริยศาสตรมีสาขายอย ๆ ซึ่งเกี่ยวของ กับความประพฤติในดานตาง ๆ เชน ปรัชญาการเมือง ปรัชญาสังคม ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญา อัคฆวิทยาอีกสาขาหนึ่งศึกษาคุณคาทางสุนทรียะคือ คุณคาทางดานศิลปะ ไดแกวิชาสุนทรียศาสตร (Aesthetics) ศึกษาธรรมชาติของศิลปะ ความงาม การแสดงออกทางศิลปะ ประสบการณทางศิลปะ การ ตัดสินการวิจารณศิลปะ โดยตั้งปญหาเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้ และวิพากษวิจารณคําตอบหรือทฤษฎีตาง ๆ ในเรื่องดังกลาว 4.4 ตรรกวิทยา (logic) ตรรกวิทยาไมใชเนื้อหาของปรัชญา แตเปนเครื่องมือในการศึกษาปรัชญา ตรรกวิทยาเปนวิชาที่วาดวยการใชเหตุผลของมนุษยพิจารณาเรื่องความถูกตองในการอางเหตุผลการอางเหตุผล ที่ผิดพลาดและสาเหตุของความผิดพลาด รูปแบบและเนื้อหาของการอางเหตุผลแบบตาง ๆ การพิสูจนความ ถูกผิดของการใชเหตุผล การนิยามความหมาย ในปจจุบันตรรกวิทยาไดพัฒนาไปมากจนอาจจัดเปนวิชา ตางหากจากปรัชญา การแบงปรัชญาออกเปน 4 สาขานี้ ก็เชนเดียวกับการแบงสาขาวิชาที่เกิดตอมาในภายหลังคือไมใช สิ่งที่เกิดขึ้นกอนการศึกษาปรัชญา แตเกิดขึ้นจากการจัดหมวดหมูความรูที่อริสโตเติลสอนกอน คืออริสโตเติล สอนวิชาหลายวิชา เชน ฟสิกส (physics) สิ่งมีวิญญาณ (De Amima) เปนตน วิชาเหลานี้สอนกันในฐานะ เปนปรัชญาหรือความรูทั้งสิ้น เชนเดียวกับชาวจีนโบราณที่สนใจแตเพียงวาอะไรเปนความรู ทําแหอวนก็ เปนความรู ทําปฏิทินก็เปนความรู ทําประทัด ทําไรนา ฯลฯ ลวนเปนความรู ทุกเรื่องสามารถพัฒนาเปน ความรูชั้นยอดไดทั้งสิ้น เขานับถือความรู ไมไดนับถือการแบงประเภทความรู การแบงประเภททั้งหลายไมวาจะในปรัชญา วิทยาศาสตร หรือแบงประเภทของวิชาก็ตามเกิดจาก เนื้อหาที่ศึกษามีปริมาณมากและซับซอนมากขึ้นกับเพื่อความสะดวกในการศึกษาเลาเรียนวิชาเชนมนุษยวิทยา เกิดขึ้นเพราะชาวตะวันตกเดินทางมายังเอเชียและแอฟริกาแลวไดพบอารยธรรมตางๆที่ไมเหมือนของชาวยุโรป
  • 19. 10 การบันทึกและสังเกตเรื่องเหลานี้มากขึ้นก็ทําใหเกิดวิธีการศึกษาและการจัดเนื้อหาเปนหมวดหมู มีการสราง ทฤษฎีจนกลายเปนวิชาใหม วิชาสังคมศาสตรอื่น ๆ ก็เกิดขึ้นในทํานองนี้ การแบงปรัชญาออกเปนสาขาก็เปนการแบงเนื้อหาที่เห็นไดวาแตกตางกัน แตมิไดหมายความวา แบงแยกจากกันไดเด็ดขาด เปนการแบงเพื่อจะไดไมสับสนในการศึกษา เปนการแบงเพื่อความสะดวก แตตาม ความเปนจริงเนื้อหาในสาขาเหลานี้ยังเชื่อมโยงกันอยู เชน จริยศาสตรมักจะมีอภิปรัชญาเปนพื้นฐาน และมี ความสัมพันธกับทฤษฎีความรู ตองใชการอางเหตุผลทางตรรกวิทยาในการวิเคราะหวิจารณ วิชาอื่น ๆ เชน อภิปรัชญาและทฤษฎีความรูก็มีความสัมพันธกันในทํานองนี้ การศึกษาปรัชญาจึงควรศึกษาทุกสาขา นอกจากนั้นการนําเสนอวิชาทั้งในแตละสาขารวมทุกสาขา หรือเชื่อมโยงระหวางสาขา ก็อาจมีวิธี เสนอที่แตกตางกันเชน เสนอในเชิงประวัติ ตามลําดับเวลา หรือลําดับการเกิดขึ้นของสํานักคิด หรืออาจ เสนอในเชิงปญหาแตละปญหาโดยไมคํานึงถึงลําดับเวลา เสนอความคิดของนักปรัชญาแตละคน ๆ ก็ได ทั้งนี้ไมมีกฎเกณฑวาปรัชญาจะตองเปนแบบใดจึงจะดีที่สุด การแบงสาขาก็ดี แบงเนื้อหาก็ดีเปนความสะดวก ในการนําเสนอและการเรียนการสอนเทานั้น การแบงสาขาของปรัชญาออกเปน 4 สาขานั้นแมวาในปจจุบันหนังสือปรัชญาเบื้องตนสวนใหญ จะไมพูดเรื่องนี้ และแบงหัวขอตามประเด็นปญหาโดยไมระบุวาอยูในสาขาใด แตความรูเรื่องการแบงสาขา ก็เปนสิ่งจําเปนเพราะมีศัพทปรัชญาที่เชื่อมโยงกับสาขาวิชาอยูมากเชน metaphysical naturalism, ethical naturalism, logical assumption, metaphysical assumption, axiological ethics, descriptive metaphysics, epistemological relativism, genetic epistemology คําศัพทเหลานี้เปนคําศัพทที่ระบุถึง ปญหาตาง ๆ หรือมโนทัศนในดานตาง ๆ และดานเหลานั้นก็คือสาขาของปรัชญา เชน ธรรมชาตินิยมในแง อภิปรัชญา(metaphysicalnaturalism)ธรรมชาตินิยมในแงจริยศาสตร (ethicalnaturalism)การกลาวระบุเปนแงๆ หรือเปนดาน ๆ นี้ ชวยใหแยกความหมายที่ซับซอนของคําที่มีความหมายเกี่ยวโยงไปในดานตาง ๆ ของ ปรัชญาออกเปนความหมายยอย ๆ เพื่อสะดวกแกการอธิบายและการทําความเขาใจ การวิเคราะหปญหา ปรัชญาก็ชัดเจนขึ้น คําศัพทเหลานี้มักเปนศัพทสําคัญและเปนคําหลัก ๆ ที่จะทําใหเขาใจเรื่องนั้น ๆ ใน รายละเอียดตอไป การแบงสาขาปรัชญาดังกลาวเปนการแบงเนื้อหาปรัชญาทั่ว ๆ ไปและใชไดกับการอธิบายปรัชญา ทั้งประเภทปรัชญาบริสุทธิ์และปรัชญาประยุกตคือปรัชญาที่นําปรัชญาบริสุทธิ์ไปใชในการพิจารณาปญหาเฉพาะ สาขาเชน ปญหาการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย การศึกษา หรือปญหาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวัน เชน ปญหาจริยศาสตรสังคม ปญหาสภาวะแวดลอม ปญหาจรรยาบรรณวิชาชีพ การศึกษาปญหาเหลานี้ ใหลึกซึ้ง มักจะตองกาวขามจากขอเท็จจริงไปสูเรื่องคุณคาซึ่งเปนเรื่องของจริยศาสตรและไปสูเรื่องความ เปนจริงซึ่งเปนเรื่องของเมตาฟสิกส
  • 20. 11 5. เราจะไดอะไรจากการเรียนปรัชญา วิทยาศาสตรเปนวิชาที่มีประโยชนทางวัตถุหรือทางกาย เพราะเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู รอบตัวมนุษยและรางกายมนุษย ศาสนาก็มีประโยชนทางใจคือพัฒนาจิตใจของมนุษย มนุษยประกอบดวย รางกายและจิตใจ จึงดูเหมือนวาวิทยาศาสตรกับศาสนาก็พอเพียงแกความสุขของมนุษยแลว ปรัชญาจะมี ประโยชนอะไรอีก นักวิทยาศาสตรก็ดี นักศาสนาก็ดียอมเชื่อมั่นในความรูของตนวาเปนจริงจึงมักไมสงสัย แตความ ไมสงสัยนั้นทําใหไมตรวจสอบและไมคิดคัดคานหากไมมีผูใดตั้งขอสงสัยหรือคัดคานความคิดก็ไมเปลี่ยนแปลง การคัดคานอันเกิดขึ้นในวงการนักวิทยาศาสตร หรือนักศาสนาดวยกันก็มีแตมักเปนการคัดคานในเรื่องการ ใชหลักการมากกวาจะเปนการคัดคานหลักการ ตองอาศัยผูที่อยูนอกวงการจึงจะเห็นขอคัดคานในเรื่อง ดังกลาว นักปรัชญาคือผูทําหนาที่เชนนั้น วิชาตาง ๆ มักจะมีความเชื่อ แตนักปรัชญาจะถามหาเหตุผลเบื้องหลังความเชื่อนั้น เชน ถาศาสนา หามการฆาสัตว นักปรัชญาจะถามหาเหตุผลของขอหาม และถาผูตอบอางเหตุผลตางกัน นักปรัชญาก็จะถาม วาเหตุผลใดถูก และมีเกณฑอะไรตัดสินวาเหตุผลนั้นถูกกวาเหตุผลอื่น ๆ นักปรัชญาทําหนาที่ซักถามเพื่อหา คําตอบในขอบเขตที่เหตุผลจะนําไปได ดวยเหตุดังกลาวอยางนอยปรัชญาก็ทําใหเราไมเชื่ออะไรงาย ๆ การเชื่องายเปนเรื่องไมดี เพราะ ถาเชื่องายก็หลงผิดงายไดรับอันตรายงายและถูกหลอกลวงงาย ปรัชญาทําใหเรายอมรับหรือไมยอมรับดวย เหตุผล เพราะนักปรัชญาอาศัยตรรกวิทยาซึ่งแยกแยะไดวาการอางเหตุผลใดถูก การอางเหตุผลใดผิด การ ตอบปญหาใดปญหาหนึ่ง อาจมีผูตอบหลายคนและมีคําตอบตางกัน มีเหตุผลสนับสนุนตางกัน นักปรัชญา ตองเปนผูวินิจฉัยวา เหตุผลขอใดเกี่ยวของ ไมเกี่ยวของ มีน้ําหนักมากหรือนอย จึงทําใหผูเรียนปรัชญารูจัก วินิจฉัยดวยเหตุผล การที่ไดวินิจฉัยบอย ๆ ก็ทําใหเปนคนใจกวาง เพราะคุนกับเหตุผลที่แตกตางหรือ บางครั้งตรงกันขาม แมเหตุผลของตนก็เขาใจไดวาเปนเพียงเหตุผลหนึ่งในเหตุผลหลาย ๆ แนว การที่ผูอื่น คิดตางกับเราจึงเปนเรื่องปกติสําหรับนักปรัชญา การที่ไดเห็นเหตุผลตาง ๆ ทําใหเปนคนมีวิสัยทัศนกวาง มองเห็นหรือคาดคะเนปญหาที่จะเกิดไดดี และไมยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตน การที่ตองคิดหาเหตุผล หลายแงหลายมุมทําใหพรอมที่จะรับฟงเหตุผลของผูอื่น และการคิดหลายแงหลายมุมซึ่งมักจะมาจากคําตอบ ที่อยูในศาสตรตาง ๆ ทําใหนักปรัชญาพรอมที่จะศึกษาในเชิงกวาง เชื่อมโยงความคิดและความรูจากศาสตร ตาง ๆ เปนองครวมหรือเปนบูรณาการ คือสามารถพิจารณาความแตกตางในฐานะเปนสวนที่เชื่อมโยงกัน ของระบบเดียวกันได ขอสําคัญที่สุดปรัชญาซึ่งถามคําถามเพื่อหาคําตอบที่มีเหตุผลจนถึงที่สุดนั้น หากใคร ทําไดยอมไดรับความรูความเขาใจในเรื่องตาง ๆ ในสรรพวิชาทั้งมวล และความพยายามที่จะตอบคําถาม เชนนี้ยอมนําไปสูจินตนาการอันกวางไกล โลกเรามีสิ่งใหม ๆ ทฤษฎีใหม ๆ เทคโนโลยีใหม ๆ ไดดวยเหตุใดถา มิใชดวยจินตนาการของมนุษย ปรัชญาก็เปนหนึ่งและเปนหนึ่งที่สําคัญในการกอใหเกิดจินตนาการอันหลากหลาย
  • 21. 12 6. ปรัชญากับวิถีชีวิต ปรัชญาเกิดจากความสงสัยของมนุษย สิ่งใดมนุษยสงสัยสิ่งนั้นเปนสิ่งที่มนุษยสนใจ สิ่งที่มนุษย สนใจยอมเกี่ยวของกับวิถีชีวิตของมนุษย ไมวาจะเปนเรื่องที่อยูนอกตัวมนุษยหรืออยูในตัวมนุษย เราอาจไม รูตัววาวิถีชีวิตที่เราดําเนินอยูนี้ ไมวาวิทยาศาสตร ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ปญหาสิ่งแวดลอม ไปจนถึง ปญหาเฉพาะเชน การทําแทง ลวนมีปรัชญาเขาไปเกี่ยวของทั้งสิ้น หากเรายอนดูประวัติของปรัชญาตะวันตก ปรัชญาเริ่มตนดวยความอยากรูอยากเห็นของมนุษย เกี่ยวกับโลกที่อยูรอบตัวมนุษย มนุษยพยายามอธิบายโลกรอบตัวที่เขาไมเขาใจ โดยสังเกตวาในความมากมาย แตกตางนั้นมีอะไรบางอยางรวมกันอยู เชนตนไมแมมีหลากหลายชนิดแตก็มีใบ มีดอก มีผล เหมือน ๆ กัน บาง พวกเปนเถา บางพวกเปนพุมเตี้ย บางพวกเปนตนโตสูงใหญและแข็งแรง ในความหลายหลากนั้นมีความ เปนหนึ่งอยู เชนในสิ่งที่มีอยูอยางมากมายนี้มีความเปนสสารซึ่งสามารถรับรูไดทางประสาทสัมผัส ในความ ยุงเหยิงที่เราเห็นอยูมีระเบียบกฎเกณฑ เชน สสารขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สิ่งที่มนุษยสังเกตเห็นเหลานี้ ประกอบกับความเชื่อวาเหตุผลสามารถเขาใจระเบียบกฎเกณฑของธรรมชาติได และธรรมชาติมีกฎเกณฑ ในตัวเองมิไดอยูใตอํานาจการดลบันดาลของใครไดทําใหมนุษยพยายามอธิบายธรรมชาติ ในขอบเขตของ ธรรมชาติอันเปนแนวคิดแบบธรรมชาตินิยม (naturalism) ที่เขามาแทนที่แนวคิดที่อธิบายสิ่งตาง ๆ ดวย สิ่ง เหนือธรรมชาติเชน เทพเจาตาง ๆ (supernaturalism) ความคิดเชนนี้ทําใหธรรมชาติเปนสิ่งที่แนนอนพอที่ มนุษยจะศึกษาไดดวยการสังเกตและดวยเหตุผลมิใชเปนสิ่งที่เปลี่ยนไปตามอําเภอใจของเทพเจาที่มีอํานาจ ดลบันดาล วิชาการจึงเปนสิ่งที่เปนไปได และวิชาที่มุงศึกษาหากฎเกณฑของธรรมชาติซึ่งพัฒนามาจน ปจจุบันก็คือวิทยาศาสตร นักปรัชญาอยางโสกราตีสไมสนใจปญหาเกี่ยวกับโลกภายนอกเชนเดียวกับนักปรัชญาจีนเชน ขงจื๊อ โสกราตีสสนใจปญหาเกี่ยวกับชีวิตที่ดี สนใจคนหาความหมายที่แทจริงของคุณคาตาง ๆ ที่มนุษยยึดถือ เชน คุณธรรม ความยุติธรรม โดยหวังวาหากเราเขาใจความหมายที่แทไดแลวคนเราก็จะดําเนินชีวิตไปในทางที่ดี สวนขงจื๊อสนใจคนหาสังคมที่ดี คนหาวาคนที่อยูในสังคม ซึ่งมีฐานะแตกตางกันควรปฏิบัติตอกันอยางไร ครอบครัวและรัฐจึงจะเปนที่ที่สมาชิกของครอบครัวและประชาชนพลเมืองมีความสุข ในคริสตศตวรรษที่ 17 เปนตนมานักปรัชญาตะวันตกไดเสนอทฤษฎีตาง ๆ เกี่ยวกับปรัชญาสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและเศรษฐกิจ รวมทั้งกิจกรรม ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศตาง ๆ การปฏิวัติฝรั่งเศส การประกาศอิสรภาพของอเมริกา การปฏิวัติของ คอมมิวนิสต และเหตุการณทางการเมืองในประเทศตาง ๆ การตอสูกันทางแนวคิดระหวางทุนนิยมกับสังคม นิยม ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสตซึ่งนําไปสูสงครามเย็นและการแยกตัวของชาติตาง ๆ ที่เคยรวมอยูใน สหภาพโซเวียต สิ่งเหลานี้ลวนแตเปนผลของความคิดทางปรัชญาทั้งสิ้น ความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ดังกลาว ขางตนทําใหสังคมและความคิดของมนุษยเปลี่ยนไป สิ่งที่เคยเปนความเชื่อทางศาสนาและประเพณีถูกโตแยง และถามหาเหตุผลมากขึ้น สังคมและสภาพแวดลอมทําใหสิ่งที่ไมเปนปญหากลับเปนปญหาและผูที่ซักถาม
  • 22. 13 และพยายามหาคําตอบก็มีทั้งผูที่ปฏิบัติงานในดานนั้น ๆ และบรรดานักปรัชญาที่สนใจในปญหาดังกลาว เชน ปญหาการุณยฆาต (mercy killing) ปญหาเกี่ยวกับความตาย เชน การฆาตัวตาย (suicide) โทษประหารชีวิต (death penalty) ปญหาการทําแทง ปญหาสิทธิในการเสพยาเสพติด ปญหาสภาวะแวดลอม สิทธิ ความ ยุติธรรม ฯลฯ นอกจากนั้น ความรูสาขาตาง ๆ ที่เปนความรูเฉพาะสาขาวิชานั้น ยิ่งมนุษยมีความรูมากยิ่งขึ้นก็ ยิ่งเห็นปญหาลึกลงไปเรื่อย ๆ ปญหาเหลานั้นเปนปญหาที่นักปรัชญาเฉพาะสาขาพยายามตอบเชน ปรัชญา การเมือง ปรัชญาภาษา ปรัชญาศาสนา ปรัชญากฎหมาย ปรัชญาสังคม ปรัชญาการศึกษา ปรัชญา สังคมศาสตร ฯลฯ จึงเห็นไดวาไมวามนุษยจะพัฒนาความรูไปสักเพียงไร ปรัชญาก็ยังคงมีบทบาทในการหา ความรูของมนุษย และอยูในวิถีชีวิตมนุษยเสมอ ปรัชญาอาจไมไดตอบคําถามและเสนอวิธีปฏิบัติอยางวิทยาศาสตรและศาสนา แตปรัชญาก็เสนอ คําถามและพยายามใหคําตอบในหลายแนวทาง หลายแงหลายมุมซึ่งทําใหนักวิชาการพยายามตอบปญหา ความพยายามดังกลาวจะทําใหวิชาการเจริญขึ้นเชนเดียวกับคําถามและคําตอบของนักปรัชญายุคแรก ๆ ไดมี สวนสรางสรรคความรูใหแกมนุษยชาติมาแลว นักปรัชญาไมเคยหยุดทําหนาที่นี้และความรูของมนุษยก็ดําเนิน ตอมาจนปจจุบันอยางไมเคยหยุดหยอน 7. มนุษยตองการคําตอบของคําถามวา “ทําไม” 7.1 ความจริงที่เขาใจไดดวยวิทยาศาสตร เมื่อเกิดคลื่นถลมฝงหรือสึนามิ (Tsunami) ขึ้นที่ภาคใตของประเทศไทย และมีผูคนลมตายเปน จํานวนมาก แตก็มีรอดชีวิตเปนจํานวนมากดวยเชนกัน บางคนอยูใกลดงไม หนีเขาไปในดงไมและปนขึ้นไป บนตนไมสูง ๆ บางคนกําลังจะตายแตมีคนควาแขนดึงออกจากหองที่น้ํากําลังจะทวมจมมิด บางคนกําลัง จะจับมือคนที่คอยชวยแตน้ําก็พัดออกไปทางอื่น บางคนอยูไกลถึงตางประเทศก็มาตายอยูในเมืองไทย วิทยาศาสตรอาจตอบคําถามวา ทําไม คือบอกสาเหตุของปรากฏการณนี้ เชน อาจอธิบายวา เปลือกโลกเลื่อนที่ชวาทําใหเกิดแรงสั่นสะเทือนอยางมาก ทําใหน้ํายุบลงแลวกลับดันออกไปโดยรอบ เกิด เปนคลื่นใตน้ํา เมื่อใกลฝงก็โผนขึ้นสูง เขาถลมฝง แลวกวาดสิ่งที่ขวางหนาลงทะเล คนที่ตายก็เนื่องจากถูก วัสดุที่มากับน้ํากระแทกบาง จมน้ําตายบาง การตอบคําถาม “ทําไม” ดังกลาวแมทําใหคนเขาใจสาเหตุของสึนามิและสาเหตุการตายของคน แตคนก็ยังของใจและยังถาม “ทําไม” ตอไป คําถามหลังนี้ไมไดถามหา “สาเหตุ” แตถามหา”เหตุผล” เชน ทําไมบางคนจึงโชคดีอยูใกลตนไมใหญ แตบางคนโชครายเห็นน้ําลดกลับวิ่งไปดูเหมือนวิ่งไปหามัจจุราช ทําไม บางคนที่มีคนชวยเพราะบังเอิญเห็นกลับรอดชีวิต แตบางคนเห็นวามีมือรอชวยอยูหางเพียงฝามือเดียวแตกลับ ถูกคลื่นคราเอาชีวิตไปตอหนาตอตาคนที่รอชวย ทําไมบางคนอยูตางประเทศเพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรกก็ประสบ เหตุการณนี้ และมีคนไทยชวยเหลืออยางดียิ่งกวาเปนญาติ จนเกิดรักกัน
  • 23. 14 คําถามวา “ทําไม” เหลานี้ ไมไดถามหาสาเหตุทางวิทยาศาสตรและวิทยาศาสตรก็ไมถามคําถาม เหลานี้ ถาไมถามก็ไมเกิดอะไรขึ้น แตถาอยากไดคําตอบ ก็ตองถาม คนที่ตอบก็อาจตอบตางกัน มีเหตุผล ตางกัน บางคนอาจตอบโดยอางพระเจา บางคนอางกรรม บางคนอางดวงชะตา การรูวิทยาศาสตรไมไดทํา ใหคนไมถามคําถามเหลานี้ หรือถามนอยลง เพราะคําถามประเภทนี้ไมใชคําถามที่วิทยาศาสตรจะตอบได 7.2 ความจริงที่วิทยาศาสตรไมเขาใจ ความจริงบางเรื่องเปนความจริงที่คนรู ๆ กันอยูและวิทยาศาสตรก็ตอบไมได กลาวคือ แมคําถาม วา “ทําไม” อาจอยูในขอบเขตของวิทยาศาสตร แตวิทยาศาสตรก็ตอบอยางเปนวิทยาศาสตร คืออธิบาย สาเหตุแตอธิบายเหตุผลไมได เชน สัตวที่ไมกินเนื้อหลายประเภทมีเขา เชน กวางตาง ๆ และเขาของแตละ ประเภทก็ไมเหมือนกันเลย สวนสัตวที่กินเนื้อเชน เสือ งู สุนัข มักจะมีเขี้ยวที่ใชจับเหยื่อ ถาเราถามวาทําไม กวางจึงตองมีเขา และทําไมจึงตองมีเขารูปรางตางกัน ทําไมเสือจึงมีเขี้ยว แตกวางไมมี การตอบวากวางมีเขา เสือมีเขี้ยวก็เพื่อเปนอาวุธ ไมใชคําตอบที่เปนวิทยาศาสตร เพราะยังไมไดบอกสาเหตุ เปนแตบอกขอเท็จจริงที่ เห็นอยูแลว ถากวางจะมีเขี้ยวดวยโดยไมตองจับเหยื่อจะผิดที่ตรงไหน คําถามนี้อาจมีผูตอบตาง ๆ กัน เชน “เปนกฎธรรมชาติที่สัตวจะตองมีอวัยวะเฉพาะที่ใชประโยชน เทานั้น” แตใครตั้งกฎนี้และทําไมจึงตองตั้งกฎเชนนี้ก็ตอบไมไดอีก บางคนอาจอางวา พระเจาทรงสราง เชนนั้น นี่อาจเปนคําตอบแมอาจถามตอไปไดวา ทําไมพระเจาจึงทรงสรางเชนนั้น เหตุการณบางเหตุการณก็ไมใชกฎธรรมชาติทั่ว ๆ ไป แตดูเหมือนเปนวงจรชีวิต เชน ปลาแซมมอน (salmon) วายน้ําจากทะเลไปสูตนน้ําบนภูเขาเปนระยะทางนับรอย ๆ กิโลเมตร เพื่อวางไข แลวก็ตาย ปลา แซมมอนทําเชนนี้รุนแลวรุนเลา ทําไมจึงเปนเชนนั้น งูทะเลบางชนิดเดินทางไปที่เกาะแหงหนึ่งโดยตองขึ้นเกาะในเวลากลางคืนผสมพันธุใหเสร็จแลวลง น้ํากอนสวาง เพราะมีนกเหยี่ยวคอยลา เหตุการณนี้เกิดปละครั้ง งูจํานวนนับรอยนับพันทําไมจึงตองมาที่ เกาะนี้ และทําไมตองใหกิจกรรมทุกอยางจบกอนสวาง และทําไมนกจึงรูวางูมา และคอยดักจับงูที่ลงน้ําไม ทันกอนรุงสวาง ทั้ง ๆ ที่ปหนึ่งมีวันเดียวที่งูมา ความลี้ลับมหัศจรรยเหลานี้วิทยาศาสตรตอบไมได เมื่อวิทยาศาสตรตอบไมไดจะใหมนุษยยอม จํานน เลิกหาคําตอบกระนั้นหรือ มนุษยไมไดยอมจํานนเชนนั้น แตคงตองถามตอไปวาหากวิทยาศาสตร ตอบไมได เพราะเปนเรื่องลี้ลับเกินไป ถาเชนนั้นมีศาสตรหรือวิชาอะไรหรือไมที่จะชวยใหเห็นคําตอบ ปรัชญาก็ดี ศาสนาก็ดี อาจมีคําตอบในเรื่องเหลานี้ แมอาจพิสูจนไดไมชัดเจนอยางคําตอบทางวิทยาศาสตร แตก็อาจมีเหตุผลเชื่อมโยงเปนแนวคิดที่เปนไปได 8. ตั้งคําถามอยางเสรีดวยเสรีภาพในการตั้งคําถาม ความเปนนักปรัชญามิใชอื่นไกล คือความเปนผูรูในความไมรูของตน จนสงสัยไปทุกสรรพสิ่ง ไม เปนผูเชี่ยวชาญในศาสตรเฉพาะสาขาใด ๆ ไมอาจสูไดกับผูเชี่ยวชาญในแตละเรื่อง แตตองหาความรูรอบ
  • 24. 15 ดาน เอาความรูของผูเชี่ยวชาญมาประมวล สอบสวนหาความจริง สิ่งที่ยุงยากแกนักปรัชญาอยูที่การหาตัว ผูเชี่ยวชาญที่แทจริง เพราะหากพึ่งพิงผูเชี่ยวชาญที่ไมจริงแทเมื่อใด ความรูที่ไดก็จะเกิดผิดพลาด นักปรัชญา จึงตองสงสัยไปในเรื่องที่อางกันวาเปนความรู และสงสัยไปในหมูผูเชี่ยวชาญ ปรัชญากับเสรีภาพที่จะคิดนั้นไมแยกกัน แตวาประสานเปนหนึ่งเดียว การมีเสรีภาพที่จะคิดก็คือ สงสัยหรือตั้งคําถามไดอยางเสรี และที่ถามไดอยางเสรีนั้นก็เพราะมีเสรีภาพดังที่โสกราตีสแถลงในศาลประชาชน แหงนครเอเธนสในศตวรรษที่ 6 กอนคริสตศักราชมีใจความดังนี้ ประชาชนชาวเอเธนสทั้งหลาย ขาพเจารูจักทานและรักทาน แตขาพเจาจักเชื่อฟงเทพเจา มากกวาจะเชื่อฟงทาน และตราบใดขาพเจายังมีชีวิตแลพละกําลังอยู ขาพเจาจักไมมีวัน เลิกปฏิบัติในทางปรัชญาและสอนปรัชญา … ขาพเจานั้นเปนตัวเหลือบอันเทพเจาใหมา เกาะติดอยูกับรัฐ ตลอดทั้งวันในทุกหนทุกแหง ขาพเจาจักบอกแกทานวาหากขาพเจาทํา ตามทานบอกก็เทากับไมเชื่อฟงเทพเจา ดวยเหตุนั้นขาพเจาจึงมิอาจเลิกพูดได ทุกวันเปน ประจําจะตองพูดเรื่องคุณธรรม และเรื่องอื่น ๆ ดังที่ทานไดยินขาพเจาสํารวจตัวเองและคน อื่น ๆ อยูนั่นแลที่เปนสิ่งประเสริฐสุดของมนุษย ชีวิตที่ปราศจากการสํารวจตรวจสอบยอม ไมมีคุณคาที่จะอยู … ในปรโลกขาพเจาก็จักแสวงหาความรูตอไปวาอะไรเปนความรูที่ แทจริงอะไรเปนความรูที่ผิด ในปรโลกนั้นเขาไมประหารชีวิตคนเพราะตั้งคําถาม… ไมประหาร แนนอน (เปลโต, อโปโลยี) 9. ปรัชญาในความหมายที่คนทั่วไปนิยมใช คําวาปรัชญาตามที่กลาวมาแลวนั้นเปนความหมายทางวิชาการ ในปจจุบันมีผูใชคําวาปรัชญาอยาง สับสนเพราะขาดความรูทางปรัชญาเชนใชหมายถึงความเชื่อหรือความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่คนเชื่อเชนเรื่องผี เปนปรัชญาของเขา หมายถึงจุดประสงคเชนปรัชญาของการศึกษาก็คือการทําใหคนมีความรู หมายถึง หลักการเชนความเมตตาเปนปรัชญาของพยาบาลทุกคน หมายถึงคําคมหรือคําพูดสั้น ๆ ที่มีความหมาย ลึกซึ้ง เชน ปรัชญาของเขาก็คือจะกินเพื่ออยู อยาอยูเพื่อกิน ความเขาใจที่สับสนหรือที่จริงคือความไมเขาใจปรัชญาดังกลาวทําใหคนเราไมเขาใจเรื่องตางๆคําวา ปรัชญาที่ใชกันอยูนั้นสวนมากเปนเรื่องปรัชญาประยุกต และมักเกี่ยวของกับหลักการหรือหลักปฏิบัติบาง อยางเชน มักจะเขาใจวาจรรยาบรรณ (code) ของพยาบาลคือปรัชญาของพยาบาล ความเขาใจเชนนี้มี สวนถูกเพียงเล็กนอยคือจรรยาบรรณของพยาบาล มีสวนเกี่ยวของกับปรัชญาและจริยศาสตรของการพยาบาล ถาใชจรรยาบรรณเปนหลักยึดเพื่อปฏิบัติตามจรรยาบรรณนั้น จรรยาบรรณก็เปนหลักปฏิบัติ ถาอธิบาย ขอบเขตความหมายของจรรยาบรรณแตละขอก็เปนการทําใหเขาใจวาจะใชจรรยาบรรณอะไรในกรณีใดและใช อยางไร แตทั้งสองอยางก็มิใชปรัชญา ปรัชญาของพยาบาลเกี่ยวของกับจรรยาบรรณของพยาบาลในแงที่
  • 25. 16 ปรัชญาของการพยาบาลในสวนที่เกี่ยวกับจรรยาบรรณก็คือเหตุผลที่อยูเบื้องหลังจรรยาบรรณแตละขอๆเหลานั้น ทําไมพยาบาลจึงตองมีจรรยาบรรณ เหตุผลที่มาอธิบายหลักการคือ ปรัชญา หลักการคือขอกําหนดให ปฏิบัติ คําอธิบายหลักการสรางความเขาใจ และการปฏิบัติตามหลักการถือเปนการกระทําที่ถูกตองตาม หลักการนั้น ดังนั้นแมในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจําวันดังกลาวก็ตองแยกแยะใหชัดวาอะไรคือปรัชญาอะไรไมใช มิฉะนั้นจะวิเคราะหและอธิบายเรื่องเหลานั้นใหแจมแจงและลึกซึ้งไมได
  • 26. 2 1. (Zeus) (Vishnu) (Horas) (Venus of Willendorf) (Demeter) (supernatural) (Theism)
  • 27. 18 ตามธรรมชาติ การตอบคําถามของนักปรัชญาไดนําไปสูแนวคิดธรรมชาตินิยม (naturalism) ซึ่งตรงขามกับ ลัทธินิยมสิ่งเหนือธรรมชาติ (supernaturalism) 2. จักรวาลที่ไรระเบียบกับจักรวาลที่มีระเบียบ ถาคําอธิบายจักรวาลเปนเรื่องที่อยูในอํานาจของเทวดาและเปนการกระทําหรือความบันดาลใหเปนไป ของเทวดาจักรวาลก็ไมมีระเบียบกฎเกณฑตายตัวทํานายอะไรลวงหนามิไดเพราะขึ้นกับความพอใจของเทวดา ที่จะใหเปนอยางไรก็ได จึงดูเหมือนจักรวาลนี้ยุงเหยิงไรระเบียบ (chaos) เทวดาเปนผูนําสิ่งตาง ๆ ในจักรวาล มาจัดการเปนคราว ๆ ไป ในสภาวะเชนนี้วิชาการที่สําคัญที่สุดก็คงไดแกคําสวดสรรเสริญออนวอนเทวดา คาถาอาคมของผูมีฤทธิ์ที่ติดตอกับเทวดาได เชน พอมด หมอผี นักบวชและคนทรง ในทามกลางการดําเนินชีวิตที่เชื่อมโยงกับเทวดาและอยูในอํานาจของเทวดาของกรีกนั้นไดมีนัก ปรัชญาคนสําคัญคือ ธาเลส (Thales) ที่ประกาศความคิดใหม อธิบายจักรวาลโดยไมอางถึงเทวดา แต อธิบายโดยอางความจริงแรกเริ่มที่เรียกวาหลักการแรก (first principle) บางปฐมธาตุ (first element) บาง วาสิ่งทั้งปวงกําเนิดมาจากปฐมฐาตุน้ํา โลกมีสัณฐานแบนและกลมอยางจานขาวลอยอยูในน้ํา ความเชื่อ ของธาเลสนั้นคนปจจุบันอาจเห็นวาไมคอยมีเหตุผลแตคําพูดเชนนี้ทามกลางคนทั้งปวงที่เชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ยอมนับวาเปนการประกาศความคิดอยางตรงขามกับคนสวนใหญโดยผูประกาศไมมีพรรคพวกเลย การประกาศ นี้จึงเปนความกลาหาญ และสงผลใหเกิดทาที (altitude) หรือเจตคติที่ตรงขาม ที่แตกตางอยางสิ้นเชิงกับ แนวคิดที่เปนอยูคือความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ความแตกตางนี้มีความสําคัญแกวิชาการและแกปรัชญา อยางยิ่ง คือ 2.1 ความเชื่อวาจักรวาลมีระเบียบกฎเกณฑ สิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลไมวาเทวดาบันดาลหรือไมก็ ตาม หากหมุนเวียนไปหรือเปลี่ยนแปลงไปอยางสม่ําเสมอ ก็เทากับมีกฎเกณฑ มีระเบียบแบบแผน เชนการ เปลี่ยนไปของฤดูกาลในรอบป การเจริญเติบโตของพืชจากเมล็ดจนเปนตน ออกดอกผล แลวตนใหมก็เจริญ ไปอยางเดียวกัน สัตวที่ออกไข ฟกไข เปนตัวออน เปนสัตวที่โตเต็มวัย ผสมพันธุ แลวออกไข สัตวที่ออกลูก เปนตัวก็มีวงจรของมัน กอนฝนจะตกตองมีเมฆดําลอยต่ํา มีลมพัด ปรากฏการณตาง ๆ ในธรรมชาตินั้น สังเกตเห็นระเบียบเหลานี้ได จักรวาลแมมีสิ่งตาง ๆ มากมายหลายหลาก (versify) แตมีกฎมีเกณฑมีระเบียบ เปนที่รวมความหลายหลากเขาเปนหนึ่งเดียว(uni)จักรวาลจึงเปนความหลายหลากที่มีระบบระเบียบ(universe)1 คือมีความเปนหนึ่งในความหลายหลาก และความถาวรในความเปลี่ยนแปลง 2.2 ระเบียบหรือกฎเกณฑของจักรวาลนี้อยูในวิสัยที่มนุษยจะเขาใจไดดวยเหตุผล ธาเลสเปน วิศวกรโยธาผูที่สามารถเปลี่ยนทางเดินของแมน้ําในกรีกสมัยโบราณไดจึงเปนผูที่มีความรูทางคณิตศาสตรซึ่ง เปนวิชาที่มีระเบียบกฎเกณฑละเอียดลออเปนขั้นเปนตอนมากที่สุด จะผิดพลาดไมไดเลย และกฎเกณฑ เหลานั้นก็เขาใจไดดวยเหตุผล ดังนั้นกฎเกณฑของจักรวาล ถาเราใชเหตุผลพินิจพิจารณาก็นาจะเขาใจได 1 บางคนใชคําวาเอกภพ ไมใชคําวา จักรวาล เพื่อแปล uni ใหตรงกับ เอก
  • 28. 19 เชนกัน อยางนอยการคํานวณวัน เดือน ป ซึ่งมีมาตั้งแตสมัยเมโสโปเตเมีย ก็เปนตัวอยางใหเห็นไดชัดวา มนุษยสามารถเขาใจความเปนไปของจักรวาลได 2.3 ความคิดดังกลาวขางตนทําใหพนจากความเชื่อที่วาจักรวาลไมมีกฎเกณฑและศึกษาเขาใจไมได และเกิดมีความมั่นใจวามนุษยสามารถหาความรูเกี่ยวกับจักรวาลได ความรูจึงเปนสิ่งที่มนุษยไมตองพึ่งเทวดา แตพึ่งตนเองได และการที่จักรวาลมีกฎเกณฑก็ทําใหจักรวาลเปนสิ่งที่ศึกษาได จึงนับวาวิชาการไดเกิดขึ้นจาก ความคิดของธาเลสดังกลาว พนจากความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ มาเชื่อความจริงตามธรรมชาติ วิทยาศาสตร และศาสตรเกี่ยวกับธรรมชาติอื่น ๆ จึงเปนสิ่งที่พัฒนาได มนุษยเปนผูไขความลี้ลับของจักรวาลดวยศักยภาพ ดานเหตุผลของมนุษย 2.4 วีรกรรมทางวิชาการของธาเลสดังกลาวเกิดจากการที่ธาเลสมิไดเชื่อเทาที่ฟงมา เทาที่เชื่อกัน ตามประเพณีสืบตอกันมาและไมเชื่อเทาที่ตาเห็น แตไดใชเหตุผลคิดใหลึกซึ้งกวาที่ตาเห็น ในความหลายหลาก ธาเลสจึงเห็นเอกภาพ ในความเปลี่ยนแปลงจึงเห็นแบบแผนและกฎเกณฑ ในความแตกตางจึงเห็นความเปน หนึ่ง เรื่องความเปนหนึ่งนี้มีผูคิดลึกซึ้งลงไปถึงสสารที่ไมอาจเห็นตัวตนได เชน เดโมคริตุส (Democritus) เห็นวาสิ่งทั้งหลายที่เราเห็นอยูนี้ลวนแตมาจากสิ่งเบื้องตนเดียวกันคือ อะตอม1 ซึ่งไมมีคุณสมบัติเฉพาะและ แบงแยกไมได นั่นคือธาเลสไดเปดโลกความจริงใหลึกลงไปกวาประสาทสัมผัสปกติ หรือโลกของสามัญสํานึก วิชาการของมนุษยเจริญมาไดจนปจจุบันก็ดวยการศึกษาที่สมัยนั้นนับวา พนระดับประสาทสัมผัส และความ จริงที่อยูพนประสาทสัมผัสนี่เองที่ทําใหความคิดเกี่ยวกับความจริงของจักรวาลพัฒนาไปในแนวทางสองแนวทาง ที่ตรงกันขามคือจิตนิยม(idealism)กับวัตถุนิยมหรือสสารนิยม(materialism) 3. สสารนิยมหรือวัตถุนิยม (Materialism) ถาเราถามตัวเราเองวาอะไรบางที่เปนจริง เราอาจดูที่ตัวเรากอน ที่เราถามไดวาอะไรจริงก็เพราะมี ตัวเรา ตัวเราที่วานั้นที่เห็นไดชัดก็คือรางกาย ทั้งที่เห็นอยูภายนอกและอวัยวะที่อยูภายใน การปฏิเสธความ มีอยูของรางกายเรานับวาเปนเรื่องแปลกประหลาด แมวาจะมีนักปรัชญาบางคนมีเหตุผลในการปฏิเสธเรื่อง ดังกลาวก็ตาม โดยทั่วไปแลวคนเรามักยืนยันความมีอยูจริงของรางกาย นอกจากรางกายเราแลวเรายังเชื่อวา รางกายของผูอื่นก็เปนจริงเชนเดียวกับรางกายของเรา รางกาย ของสัตว ตนไม และสิ่งไมมีชีวิตเชนกอนหิน แรธาตุก็ลวนเปนจริงทั้งสิ้น จึงกลาวไดวาคนเราโดยทั่วไปเชื่อ ประสาทสัมผัส และ สิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรูก็คือกายหรือวัตถุที่มีคุณสมบัติตาง ๆ วัตถุที่เราเห็นนั้นมีการประกอบกันขึ้นจากสวนประกอบยอยๆซับซอนเปนชั้น ๆ เชนรางกายประกอบ ดวยระบบตางๆเชนระบบการไหลเวียนของโลหิตระบบโครงกระดูกระบบเนื้อเยื่อระบบเหลานี้ก็ประกอบดวยอวัยวะ ที่ทํางานรวมกันในระบบ เชน หัวใจ ปอด เสนโลหิต อวัยวะเหลานี้ก็มีสวนประกอบยอยเชน หัวใจแบงเปนหอง มีลิ้นหัวใจ มีเสนเลือด ในเลือดก็มีสวนประกอบยอยลงไปอีก 1 atom มาจาก a tome (to cut) แปลวาแบงไมได, ตัดไมได
  • 29. 20 การพิจารณาเชนนี้ทําใหเกิดปญหาวาเมื่อเราแบงแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งยอยลงไปเรื่อย ๆ จะถึงความ จริงขั้นพื้นฐาน ซึ่งแบงตอไปอีกไมได ความจริงนี้คืออะไร มีหนึ่ง หรือมากกวาหนึ่ง แมคําตอบเรื่องนี้จะ ตางกันแตพวกสสารนิยมตางก็ยอมรับวา ความจริงพื้นฐานนี้ยังเปนสสารหรือวัตถุ เชน ธาเลสคิดวา คือ น้ํา ดังไดกลาวมาแลวในตอนตนเอมพีโดเคลส (Empedocles) คิดวาคือ ธาตุ 4 ดิน น้ํา ไฟ ลม บางคนคิดวา เปนสสารที่ไมมีคุณสมบัติใด ๆ เลย เชน อแน็กซิแมนเดอร (Anaximander) และคนที่มีอิทธิพลตอความคิด ของคนรุนหลังมากคือ เดโมคริตุส ซึ่งคิดวาสสารที่เล็กที่สุดนั้นคืออะตอม (Atom) ซึ่งความหมายไมเหมือน อะตอมของธาตุในวิทยาศาสตรปจจุบัน คําวา อะตอมที่เดโมคริตุส ใชนั้นเปนคําเรียกสิ่งที่เขาก็ไมรูชัดวา เปน อะไร รูแตวาแบงไมไดและเปนที่มาของทุกสิ่ง คือทุกสิ่งประกอบขึ้นดวยอะตอม คําวา อะตอมดังกลาวก็ เชนเดียวกับคําวา อีเธอร (Ether) ในสมัยตอมาที่นักวิทยาศาสตรใชโดยที่เชื่อวามีอยู แตไมรูวาเปนอยางไร เดโมคริตุสใชคําวาอะตอมตามความหมายตรงตัวคือ A tome (to cut) แปลวา แบงไมได แนวทางที่กรีกศึกษาสิ่งตาง ๆ ที่เปนสสารวัตถุคือการแบงหรือการวิเคราะหแยกแยะองคประกอบ เปนสวนประกอบยอยของมันนั้น เกิดเปนแนวทางที่นักวิทยาศาสตรใชคือ วิธีที่จะเขาใจและวิธีที่จะอธิบายสิ่ง ใดก็คือการแยกใหเห็นองคประกอบยอยและความสัมพันธระหวางองคประกอบเหลานั้น เชนนักวิทยาศาสตร นําคําวาอะตอมมาใชกับหนวยเล็กที่สุดที่เปนองคประกอบของธาตุ จนมีการคนควาหาวิธีแบงแยกอะตอมของ ธาตุได จึงกลาวไดวานักวิทยาศาสตรปจจุบันก็คือผูดําเนินรอยตามสสารนิยมในอดีต แตสามารถใชวิธีทดสอบ แทนการคาดคะเนเอาดวยการอางเหตุผลอยางนักปรัชญาแตกอน ความคิดดังกลาวขางตนทําใหเราสามารถสรุปแนวความคิดของสสารนิยมไดเปนขอ ๆ ดังนี้ 1. สสารนิยมเชื่อวาสิ่งที่เปนจริงมีชนิดเดียวคือสิ่งที่อยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส ไดแก สสาร และพลังงานตามความหมายของวิทยาศาสตร ทั้งสสารและพลังงานที่วิทยาศาสตรถือวาเปนความจริงนี้ ปรัชญาเรียกรวมๆวาสสาร 2. สิ่งตาง ๆ ที่เรารับรูดวยประสาทสัมผัสที่ปรากฏอยูรอบตัวเรานี้ประกอบดวยสสาร สวนสสาร เบื้องตนอันเปนที่มาของสสารอื่น ๆ คือ ธาตุนั้น จะมีเพียงชนิดเดียวหรือมากกวา และคือ ธาตุอะไรนั้น ปรัชญาแตละสํานักเชื่อตางกันและเชื่อตางกับวิทยาศาสตร 3. ความจริงอื่นใดที่อยูพนขอบเขตของประสาทสัมผัสไมมีอยู ความจริงนามธรรมที่เราเชื่อกันนั้น เปนเพียงสิ่งที่คนเราสมมติขึ้นตามความคิดและจินตนาการของเราหาไดมีอยูจริงตามที่เราคิดฝนไม 4. ความจริงบางอยางเชน จิต มิใชความจริงอีกประเภทหนึ่ง แตจิตก็คือผลการทํางานของกาย จิตไมมีอยูจริง 5. คุณคาทั้งหลายที่มนุษยเชื่อถือกัน ก็เปนเพียงสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้นเพื่อประโยชนทางสังคม ไมได มีอยูจริง และไมตายตัว ขึ้นกับสภาวะของแตละสังคมในแตละยุคสมัย 6. ความสัมพันธของสิ่งตาง ๆ เปนไปตามกฎ สาเหตุและผล (causation, cause and effect หรือ causality)
  • 30. 21 7. ความเปลี่ยนแปลงของสสารมาจากสาเหตุภายนอกผลักดัน และดําเนินตอ ๆ กันไปเปนระบบ เชนเดียวกับเครื่องจักร ความเปลี่ยนแปลงแบบนี้เรียกวา ความเปลี่ยนแปลงแบบกลไก (mechanism) 8. ทิศทางของความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยูกับปจจัยหรือสาเหตุภายนอก จึงเปนความเปลี่ยนแปลง แบบไมรูทิศทางลวงหนา หรือเปนความเปลี่ยนแปลงแบบตาบอด เรื่องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงนี้จะกลาวในรายละเอียดในบทตอไป 4. ผลของความเชื่อแบบสสารนิยมตอวิถีชีวิต ความเชื่ออยางใดอยางหนึ่งยอมนําไปสู การตัดสินความจริงในเรื่องตาง ๆ อันนําไปสูความคิดในการ ดําเนินชีวิตของคนเรา ความเชื่อแบบสสารนิยมยอมทําใหคนมีความคิดเกี่ยวกับหลักความจริงและหลักการ ดําเนินชีวิต ในที่นี้จะกลาวถึงผลทั่ว ๆ ไป สวนผลที่เปนแนวคิดทางปรัชญาแหงการดําเนินชีวิตในเชิงทฤษฎีจะ ไดนํามากลาวในบทที่วาดวยจริยศาสตร ความเชื่อแบบสสารนิยมทําใหเกิดความคิดเกี่ยวกับหลักความจริง และการดําเนินชีวิตดังตอไปนี้ 1. ความเชื่อวาสสารและพลังงานเทานั้นที่เปนจริงทําใหเชื่อวา จักรวาลประกอบขึ้นดวยสสารและ พลังงาน สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไมมีชีวิตนั้นโดยเนื้อแทแลวก็ไมตางกัน ชีวิตเปนเพียงปรากฏการณที่เกิดขึ้นจากการ รวมตัวกันของสสารและพลังงาน ไมมีสิ่งที่เรียกวาจิต หรือนามธรรมที่เกี่ยวกับจิต เชน คุณคา ดี ชั่ว งาม ไมงาม สิ่งนามธรรมเปนเพียงความคิดที่มนุษยคิดหรือจินตนาการขึ้นเทานั้นมนุษยมิไดประเสริฐกวาสัตวหรือตนไม 2. ธรรมชาติมีกฎเกณฑของมันเอง และดําเนินไปเหมือนเครื่องจักร แมรางกายมนุษยก็เทียบได กับเครื่องจักร มีการประกอบขึ้นจากสวนยอยแลวก็แยกสลายไปในที่สุด ทุกสิ่งเมื่อสลายก็กลายเปนธาตุตาง ๆ ดังนั้นมนุษยเมื่อตายแลวก็ไมมีอะไรเหลืออยู ไมมีภพ มีชาตินี้ชาติหนาดังที่ศาสนาตาง ๆ สอน 3. มนุษยเกิดในสภาพแวดลอมธรรมชาติและสังคม สภาพแวดลอมสรางมนุษยแตละคนใหเปนไป ตามสภาพแวดลอมนั้น ๆ การที่มนุษยสนองตอบสภาพแวดลอมทําใหเกิดการตัดสินใจและพฤติกรรมตาง ๆ เชนเดียวกับปฏิกิริยาระหวางสสารหรือพลังงาน มนุษยมิไดเปนตัวของมันเอง 4. มนุษยรับสุขและทุกขซึ่งก็คือความพึงพอใจและความเจ็บปวดไดดวยประสาทสัมผัส ความสุข และทุกขทางประสาทสัมผัสเปนสุขและทุกขชนิดเดียวของมนุษย สุขและทุกขอื่น ๆ ลวนมาจากสุขและทุกขทาง ประสาทสัมผัสหรือสุขทุกขทางกายทั้งสิ้น มนุษยควรแสวงหาความสุขและเลี่ยงทุกข ความสุขชนิดนี้หาได ดวยเงินทอง ดังนั้นเงินทองจึงเปนสิ่งที่มีคาที่สุดในการดําเนินชีวิต ความสําเร็จในชีวิตคือการเปนคนมั่งคั่ง ร่ํารวย 5. เนื่องจากคุณคาไมใชสสารและพลังงาน จึงไมมีอยูจริง เปนสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้น ดังนั้นมนุษย ไมจําเปนตองยึดถือคุณคาใด ๆ อยางถาวร ถาสถานการณเปลี่ยนคุณคาก็เปลี่ยนได ไมมีอะไรดีหรือชั่ว อยางแทจริง ขึ้นอยูกับผลประโยชนและความสุขทางวัตถุที่จะไดรับ ทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว มิใชสัจธรรม เปน วีรบุรุษแลวยากจน สูเปนคนมั่งมีธรรมดา ๆ จะดีกวา
  • 31. 22 6. ความรูที่แทจริงคือความรูทางวิทยาศาสตรเทานั้น การคิด การตัดสินปญหาตาง ๆ ตองอาศัย ความรูทางวิทยาศาสตร ความรูทางศาสนาหรือความรูอื่น ๆ ที่ไมใชวิทยาศาสตรไมเปนจริงและไมจําเปนใน การแกปญหา มีแตจะเปนการถอยหลังเขาคลอง 7. กฎการตอสูเพื่อความอยูรอดของดารวินนั้นเปนกฎที่จริงที่สุด ถาจะอยูรอดหรือร่ํารวยแลว หาก จะตองเอาเปรียบหรือใชผูอื่นเปนเครื่องมือก็ควรทําเพราะโดยธรรมชาติปลาเล็กก็เกิดมาเพื่อเปนเหยื่อปลาใหญ ถาปลาใหญไมกินปลาเล็กก็อยูรอดไมได 5. จิตนิยม (Idealism) คําวา จิตนิยมมีความหมายซับซอนเนื่องจากนักปรัชญาจิตนิยมมีความคิดแตกตางกัน ในเบื้องตน นี้จะไมนําเรื่องที่สลับซับซอนดังกลาวมาอธิบาย เพราะจะทําใหผูที่พึ่งเริ่มศึกษาปรัชญาเกิดความสับสน แต จะใชวิธีนิยามอยางกวาง ๆ แลวจะแสดงวิธีพิจารณาวาเหตุใดจึงเกิดแนวคิดจิตนิยมขึ้นได ทั้ง ๆ ที่แนวคิดนี้ ตองยืนยัน และพิสูจนสิ่งที่เปนนามธรรมซึ่งมองเห็นไมไดจับตองไมไดวามีอยูจริง ซึ่งเปนเรื่องที่ดูเหมือนจะ ขัดกับสามัญสํานึกอยางยิ่ง ในความหมายกวางๆจิตนิยมคือแนวความคิดที่เชื่อวา ความจริงแทมีลักษณะเปนจิตหรือนามธรรม จิตนิยมจัดเชื่อวาความจริงมีชนิดเดียว ความจริงที่เปนวัตถุหรือสสารนั้นเปนมายาหรือเปนรูปหนึ่งของจิต เชน ความคิดของนักปรัชญาชื่อ เบอรคลีย (Berkeley) และปรัชญาอินเดียลัทธิเวทานตะของศังกราจารย เปนตน จิตนิยมโดยทั่วไปมักจะยอมรับความจริงของสสารวัตถุในระดับหนึ่ง แมไมยอมรับวาเปนความจริง แทเทาจิต ดังที่พวก ทวินิยม (Dualism) ยอมรับ จิตนิยมประเภทนี้ถือวาจิตจริงกวาหรือสําคัญกวาสสารวัตถุ ศาสนามักจะเปนจิตนิยมประเภทนี้ คริสตศาสนาเชื่อวาพระเจาเปนความจริงแท แตโลกและสสารสิ่งที่ พระเจาสรางก็เปนจริงดวยเชนกัน เพียงแตสําคัญและจริงนอยกวาผูสราง พระพุทธศาสนาก็ยอมรับความ จริงของกายและจิตเปนองคประกอบของมนุษย แตก็ใหความสําคัญแกจิตมากกวากาย แมยอมรับความ จริงของโลกวัตถุแตก็เนนการพัฒนาจิตเพื่อไปสูนิพพานเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิต ปญหาที่เราควรคิดใน ที่นี้ก็คือทําไมคนเราจึงเชื่อวาจิตหรือสิ่งนามธรรมอื่น ๆ มีอยูและสําคัญกวากายหรือวัตถุทั้ง ๆ ที่เรามองไม เห็นจิต จับตองจิตไมได 5.1 สิ่งที่เห็นจําเปนตองจริงหรือไม เมื่อเราแหงนมองทองฟา เราเห็นทองฟาที่มีเมฆและดวงอาทิตยในเวลากลางวัน สวนกลางคืน เราเห็นทองฟาเหมือนผืนกํามะหยี่สีดําที่มีดวงดาวทั้งหลายวางอยูเกลื่อนไปหมด แตที่จริงไมมีทองฟาอยาง ที่เราเห็นเปนผืนกวางนั้น ทะเลสีครามที่งามลนจนกวีนํามาพรรณนาจะมีสีครามดังวาก็หาไม สิ่งที่เห็นไดไม จําเปนตองมีจริง ทองฟาในเวลากลางวันที่เราเห็นเปนสีฟาและอยูใกลนั้น เมื่อขึ้นเครื่องบินไปดูจริง ๆ ก็ไมมี อยู มีแตเมฆกับอากาศที่ไมมีสีปรากฏ ทองฟาเวลากลางคืนที่เห็นเปนสีดํานั้นก็เพราะขาดแสงสวาง หาใช เปนผืนแผนสีดําไม ดาวทั้งหลายก็มิไดวางอยูบนแผนฟา แตวาลอยอยูในอวกาศอันเวิ้งวาง ยังรางกายของ
  • 32. 23 เรานี้ที่เปนสิ่งใกลตัวที่สุด และเราเห็นวาคงที่ถาวรอยูในขณะนี้ ที่แทก็ไมถาวรไมคงทน แตเปลี่ยนแปลงอยู ทุกขณะ ประสาทสัมผัสมิไดรายงานความจริงแกเราเสมอไป ทางรถไฟที่แลเห็นเปนจุดบรรจบกันนั้นก็เปน ตัวอยาง ที่แทวางคูขนานกันไปโดยตลอดสม่ําเสมอ แตสายตาไมอาจเสนอตามความจริง ตองอางอิงจาก รถไฟที่วิ่งมาไดตามรางนั้น วาไมมีลอที่จะแยกหางจากกันออกไปตามที่สายตาเราเห็น เมื่อเปนเชนนั้นก็ตอง วาตาของเราหลอกตัวเราเอง 5.2 สิ่งที่จริงจําเปนตองรับรูไดหรือไม สิ่งที่เห็นอาจไมจริง และสิ่งที่จริงก็อาจมองไมเห็น ทําไมคนเราจึงตองใชแวนขยาย ที่เราตองใชก็ เพราะตองการเห็นความจริงที่มองเห็นไมไดดวยตาเปลา แตแวนขยายก็ชวยใหเราเห็นความจริงเพิ่มขึ้นได ตามกําลังขยาย ไมอาจเห็นไดทุกสิ่งทุกอยาง ที่เล็กลงไปจนไมอาจเห็นหรือมีธรรมชาติที่ไมอาจรับรูดวยการ เห็นก็ยังมีอยางอะตอมอยางอีเล็คตรอน รังสี คลื่นเสียงเปนตัวอยาง เพียงสีรุงที่ซอนอยูเบื้องหลังแสงสวางที่ เราเห็น ก็แฝงเรนพนจากการรับรู ถาหากจะดูก็ตองใชปริซึมมาแยกออกเปนเจ็ดสี แตก็ยังมีรังสีเหนือมวง และใตแดง อันเรานํามาใชก็หาไดปรากฏใหเห็นตอสายตา อันความจริงนานาที่เรายังไมเห็น จะมีอยูอีกมาก เชนไรไมอาจรู นาโนเทคโนโลยีอาจเปดประตูความจริงใหม ๆ ใหเรารูกันตอไป แตพนจากเทคโนโลยีที่ วิทยาศาสตรใชจะมีอะไรที่วิทยาศาสตรมิอาจจะเขาถึงอยูหรือไม ก็ไมมีใครอาจยืนยันหรือปฏิเสธดวย เหตุผล เมื่อเราเรียกมันวา “สิ่งที่เราไมรู” ดูเหมือนเราจะยอมรับวามีสิ่งนั้นแตเราไมรู แตถาเราไมรู เราจะรูได อยางไรวามีสิ่งนั้นที่เราไมรู หากวาเราไมยอมรับวาสิ่งนั้นไมมีเพราะเราไมรู ความไมรูก็ไมอาจเปนหลักฐาน ยืนยันวาสิ่งใดมีอยูหรือไม ความไมรูไมเห็นนั่นเองที่จํากัดเราไมใหยืนยันหรือปฏิเสธได แตเรายังมี ความสามารถที่จะถามและคนหาคําตอบดวยเหตุผลซึ่งจะเปดทางใหแกเรา ใหเราไดมีโอกาสที่จะพบหรือ เชื่อในสิ่งที่เราไมรู ทั้งวิทยาศาสตรและปรัชญาไดอาศัยเหตุผล และเราไดพบ “สิ่งที่เราไมรู” เปน “สิ่งที่จริง” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่กลาวมาแลวนั้น เราไมอาจเขาถึงความจริง (หากวาความจริงที่พนประสาทสัมผัสมีอยู) เพราะ ประสาทสัมผัสเชน ตาของเรามีสมรรถภาพจํากัด มีขอบเขตของการรับรูจํากัด หรือไมประสาทสัมผัสก็ หลอกเรา เชนกรณีรางรถไฟบรรจบกัน คุณสมบัติของประสาทสัมผัสเทาที่เรามีอยูนั้นขัดขวางเรามิใหเขาถึง ความจริงใด ๆ ที่พนประสาทสัมผัส นอกจากนั้นประสาทสัมผัสยังอาจรับรูความจริงตามคุณสมบัติของตัวมัน มิใชตามความเปนจริง ของสิ่งนั้น ทํานองเดียวกับที่หลอดไฟฟา เมื่อรับไฟฟาเขามาไดทําใหไฟฟาปรากฏ เปนแสงสวาง หาใชเปน ไฟฟาในรูปเดิมกอนที่จะเขาสูหลอดไฟฟาไม ความรูที่เรารับเขามาทางประสาทสัมผัสก็อาจถูกบิดเบือนแปร สภาพไป มิใชความรูในรูปเดิม เทาที่กลาวมานี้ก็ยังอยูในความเชื่อที่วาความจริงรับรูไดโดยผานประสาทสัมผัส แตเรายังอาจตั้ง คําถามไปไดไกลกวานี้คือ ความจริงมีแตชนิดที่รูไดดวยประสาทสัมผัสเทานั้น หรือวามีความจริงชนิดอื่นที่ อาจรูไดดวยวิธีอื่นที่มิใชการใชประสาทสัมผัส
  • 33. 24 5.3 คณิตศาสตรและศาสนา วัฒนธรรมอินเดียและกรีกโบราณอันเปนวัฒนธรรมที่เจริญและมีอิทธิพลตอวัฒนธรรมรุนหลังและเปน วัฒนธรรมที่เจริญอยูคนละซีกโลกนั้นเปนวัฒนธรรมที่มีกําเนิดจากคนดั้งเดิมกลุมเดียวกันคือ อารยัน ดังนั้น จึงไมเปนเรื่องแปลกที่จะมีลักษณะที่คลายคลึงกันและเปนวัฒนธรรมของคนที่เปนนักคิด ความคิดที่สําคัญ และมีอิทธิพลตอชีวิตและความเชื่อของคนอินเดียและกรีกโบราณคือความรูดานคณิตศาสตรและความเชื่อ ศาสนาแบบเทวนิยมโดยเฉพาะพหุเทวนิยมหรือลัทธิสารพัดเทวดา (polytheism) ทั้งสองเรื่องนี้ลวนนําไปสู ความคิดปรัชญาแบบนิยมคนหาความจริงนามธรรม คือเปนความคิดแบบจิตนิยม ความคิดแบบจิตนิยมคือความคิดที่เชื่อวานอกจากความจริงที่เรารับรูไดทางประสาทสัมผัสแลวยังมี ความจริงอีกชนิดหนึ่งที่อยูพนประสาทสัมผัส ความจริงดังกลาวจริงกวาหรือสําคัญกวาความจริงที่รับรูไดดวย ประสาทสัมผัส พวกจิตนิยมจัดบางคนถึงกับถือวา ความจริงที่เรารับรูไดทางประสาทสัมผัสนี้ ไมจริงหรือ เปนมายา (illusion) 5.3.1 คณิตศาสตร คณิตศาสตรเปนตัวอยางสําคัญตัวอยางหนึ่งของความจริงนามธรรมที่มนุษยไดแสวงหาและไดคนพบ กฎเกณฑ จํานวน ในเลขคณิตเปนนามธรรม โตะหนึ่งตัวกับแกวหนึ่งใบตางก็มีจํานวนเปนหนึ่ง แตจํานวนหนึ่ง นี้เราไมอาจรับรูดวยประสาทสัมผัส เราสัมผัสโตะและแกวดวยตาเห็นภาพโตะและเห็นภาพแกว มือสัมผัส โตะและสัมผัสแกวแตเราไมเคยเห็นและสัมผัสจํานวน “หนึ่ง” ไดเลย แตถึงกระนั้นเราก็ยืนยันวา โตะและ แกวมีสวนเหมือนกันคือมีจํานวน “หนึ่ง” จํานวนหนึ่งนี้เราอาจแทนดวยสัญลักษณที่ตางกัน เชน 1 ๑ Ι - สัญลักษณที่ตางกันนั้นแทนจํานวน “หนึ่ง” เหมือน ๆ กัน และไมวาจะใชสัญลักษณระบบใดก็เรียนเลขคณิต ไดเหมือน ๆ กัน เรขาคณิตก็ศึกษาสิ่งที่เปนนามธรรม จุดซึ่งตามนิยามคือสิ่งที่ไมมีความกวาง ความยาว คือไมมี ขนาดนั้นไมมีอยูในโลกของประสาทสัมผัส เราคิดหรือรูไดดวยเหตุผล จุดทั้งหลายในโลกนี้เปนเพียงสัญลักษณ หรือสิ่งจําลองของ “จุด” ที่เปนนามธรรม สิ่งที่เรขาคณิตพูดถึงซึ่งพัฒนาตอไปจากเรื่องจุด คือ เสน มุม รูปแบน รูปทรง ลวนแตเปนเรื่องนามธรรมทั้งสิ้น เหตุผลของมนุษยคิดและเขาใจไดแมกระทั่งจํานวนที่ไมมีคาหรือมี คาเปน “ศูนย” วามีคาทางเลขคณิต จํานวนที่มีคา 1, 2, 3, นับวาเปนนามธรรมอยูแลว การคิดถึงจํานวน 0 ไดยอมเปนนามธรรมยิ่งกวา ในโลกสมัยโบราณมนุษยคุนกับวิชาคณิตศาสตร พวกเมโสโปเตเมียคิดคํานวณทางดาราศาสตร ดวยเลขฐาน 6 คํานวณคา π ได ชาวอียิปตเปนตนตํารับเรขาคณิต และมีความรูคณิตศาสตรเพียงพอที่จะ สรางปรามิดขนาดยักษได ชาวกรีกพัฒนาเรขาคณิตและเลขคณิต อินเดียพัฒนาพีชคณิต คนที่คิดและใช คณิตศาสตรอยูเสมอ ๆ อยางคนในแหลงอารยธรรมที่รุงเรืองดังกลาวขางตน ถาจะใหยอมรับวามีความจริง ที่อยูพนประสาทสัมผัสก็คงรับไดไมยาก เพราะคณิตศาสตรก็เปนตัวอยางของความจริงดังกลาวที่เห็นไดชัด
  • 34. 25 ปธาโกรัส (Pythagoras) นักปรัชญา นักศาสนาและนักคณิตศาสตรชาวกรีกโบราณถึงกับเสนอความคิดวา จํานวนเปนความจริงพื้นฐานหรือรากฐานของความจริงทั้งหลายของจักรวาล กลาวคือทุกสิ่งทุกอยางในจักรวาล วัดและเขาใจไดเปนจํานวน เชน แถวที่เปนระเบียบ คือ แถวที่มีชองวางระหวางคนที่เขาแถวเทากัน เสียงที่ กลมกลืนของดนตรีวัดไดเปนจํานวนของความทุมแหลม จํานวนเลขมีความสัมพันธกับความจริงพื้นฐานของ เรขาคณิต คือ 1 หมายถึง จุด สองหมายถึง เสน เปนตน กฎเกณฑทางคณิตศาสตรที่เราคนพบก็คือกฎเกณฑ ของจักรวาล แนวคิดของปธาโกรัสดังกลาวก็คือการวาดภาพ นามธรรมของจักรวาลเหมือน 1+1 = 2 เปนภาพ นามธรรมที่อยูเบื้องหลังสิ่งที่ปรากฏคือ “คนหนึ่งคนเมื่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเปนคนสองคน” สิ่งที่ปรากฏก็คือ คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเปนสองคนซึ่งเราเห็นได แตเราไมเห็นจํานวนหนึ่ง จํานวนสอง และ + ระบบที่เปนนามธรรมของคณิตศาสตร ซึ่งชาวกรีกคุนเคยนี้เอง ทําใหเห็นวาระเบียบของจักรวาลก็ นาจะเปนแบบแผนอยางเดียวกับคณิตศาสตร ซึ่งมนุษยเขาใจไดดวยเหตุผลเชนเดียวกับคณิตศาสตร แนวคิด นี้ไดสืบตอมาจนเปนแนวคิดสําคัญในสมัยคริสตศตวรรษที่ 18 หรือสมัยภูมิธรรม คือ แนวความคิดของพวก เหตุผลนิยม (rationalism) 5.3.2 ศาสนา ชาวกรีกและชาวอินเดียโบราณตางก็ศรัทธานับถือเทพเจาหลายองค เทพเจาทั้งหลายเหลานั้น มักจะพรรณนาวามีรูปรางลักษณะอยางมนุษย แตทรงศักดานุภาพและสามารถดลบันดาลใหเกิดสิ่งตาง ๆ ได ดวยอํานาจของพระองค เทวดาจํานวนมากมายเหลานี้ตางกับมนุษยตรงที่เปนอมตะ เทวดาอยูบนวิมานบน ยอดเขาสูง หรือวิมานบนฟากฟา ซึ่งมนุษยไมสามารถจะไปถึงได โดยสรุปมนุษยไมเคยพบเห็นเทวดา แตก็ เชื่อวามีอยูและเชื่อวาธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ ในโลก เกิดจากอํานาจเทวดา เทวดาหลายองคนี้ในกาลตอมาไดมีการนับถือบางองควายิ่งใหญเหนือองคอื่น ๆ หรือเปนผูสราง ทั้งเทวดา โลก รวมทั้งสิ่งตาง ๆ ในโลกขึ้น ในที่สุดก็กลายเปนความเชื่อเรื่องพระเจาสรางโลก หรือพระเจา กับโลกหรือจักรวาลเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเชื่อพระเจาซึ่งไมใชสสารวัตถุ แตเปนสภาวะนามธรรมซึ่งเปนผูสรางโลกแหงสสารหรือจักรวาล ทั้งมวลนี้เทากับเปนการยกพระเจาใหเปนสิ่งจริงแท สวนโลกแหงประสาทสัมผัสรวมทั้งมนุษยเปนสิ่งที่พระเจา สราง ซึ่งไมอาจจะเปนจริงเทาเทียมกับพระเจาได เรื่องราวตาง ๆ ทางเทววิทยาลวนมิไดอยูในมิติเดียวกับ จักรวาลและมนุษย มิใชความจริงทางประวัติศาสตร ซึ่งเกิดภายหลังจักรวาล แตเปนความจริงทางเทววิทยา อันมีมากอนจักรวาล ศาสนาจึงนําเราไปสูความเชื่อในความจริงนามธรรมวาเปนจริง และสําคัญกวาความจริงรูปธรรม แมศาสนาที่มิไดนับถือพระเจาอยางศาสนาพุทธก็ใหความสําคัญแกนามธรรมเชน จิต นิพพาน ความดี ความชั่ว และถือวาโลกวัตถุมิใชโลกเดียวที่มีอยู ความจริงมีแตสิ่งที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสเทานั้นหรือ ยังมี ความจริงชนิดที่ประสาทสัมผัสรับรูไมไดบางหรือไม แมความจริงที่รับรูไดทางประสาทสัมผัสก็ยังตองอาศัย สมรรถภาพอื่นนอกจากประสาทสัมผัส เชน เมื่อเราเห็นทางรถไฟบรรจบกัน และเราบอกวาภาพที่เห็นนั้นไม
  • 35. 26 จริง เราไมไดพิสูจนดวยการมองแตเราใชเหตุผล เหตุผลตัดสินวาภาพที่เห็นดวยตาเปนภาพลวง และเหตุผล พิสูจนไดวาความจริงทางรถไฟขนานกัน ความจริงประเภทอื่นนอกจากนี้ก็อาจมีวิธีรับรูที่ตางออกไปอีก เชน จิต พระเจา ความชอบธรรม กรรม ความดี ความชั่ว 5.4 ความจริงเกี่ยวกับคุณคา มนุษยรูสึกและเขาใจในคุณคาซึ่งเปนความจริงนามธรรมที่สัตวไมรูสึกและไมเขาใจเชน ความซาบซึ้ง ในความดีงามของผูอื่น ความกตัญูรูคุณและตอบแทนคุณ ความไพเราะของเสียงเพลง ความงามของ ธรรมชาติ ความใจบุญ ความยุติธรรม ความรูสึกผิดเมื่อทํารายผูบริสุทธิ์โดยไมตั้งใจ ความไมลวงเกินผูอื่น คุณคาเหลานี้เปนเรื่องเกี่ยวกับความเปนมนุษย ถาไมมีคุณคาเหลานี้มนุษยก็เทากับเปนสัตวเดรัจฉาน เชน มนุษยรูจักเลี้ยงดูพอแม ตางกับสัตวที่ไมเลี้ยงดูพอแม มนุษยรูจักเห็นอกเห็นใจผูอื่น แมมิใชญาติพี่นองของ ตน แตสัตวไมเปนเชนนั้น มนุษยสนใจแฟชั่นก็เพราะรูจักความงาม ความพอดี ความลงตัวขององคประกอบ ทางศิลปะ มนุษยเห็นวาการรังแกผูอื่นเปนความชั่ว สวนการชวยเหลือเกื้อกูลกันเปนความดี มนุษยที่พูดวา ไมเชื่อศีลธรรมไมเชื่อความดี ก็ยังรูจักรักคนในครอบครัว เสียสละเพื่อครอบครัว ไมคิดวาการเลี้ยงดูคนใน ครอบครัวเปนความสิ้นเปลือง ลําบาก และไมทําใหไดเงินทอง หาไมเขาคงไมเลี้ยงลูก และคงใชภรรยาอยาง ทาสเพื่อประโยชนของตน คนเหลานี้ปากวาไมเชื่อคุณคา แตการกระทําของเขาก็แสดงวาเขายังเชื่อคุณคา เพียงแตจํากัดแคบลงเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวของกับตัวเอง ผูหญิงคนหนึ่งอาจอยูกินเปนภรรยาโจรถาโจรนั้นรัก เธออยางแทจริง แตอาจไมยินดีอยูกินกับเศรษฐีที่เห็นเธอเปนอุปกรณบําบัดความใครของเขา หากไมจําเปน จริง ๆ แลวผูหญิงก็เลือกความรักมากกวาการเปนอุปกรณบําบัดความใคร เพราะเธอมีศักดิ์ศรีของมนุษย ความรักและศักดิ์ศรีของมนุษยเปนนามธรรม ไมใชสสารหรือพลังงาน คนที่คิดวาคุณคาไมมีจะรูสึกเฉย ๆ หรือไม ถาพนักงานดูแลศพของวัดปฏิบัติตอศพบิดามารดาเขาอยางที่พนักงานเก็บขยะทํากับซากสุนัขที่รถทับ ตายบนถนน ทั้ง ๆ ที่ก็เปนรางกายที่ไรชีวิตเชนเดียวกัน เขาจะคิดไดไหมวาบิดาของเขาที่ตายแลว ก็เทากับ หมาตัวหนึ่ง คนที่อางวาไมเชื่อเรื่องคุณคา มักจะเปนคนที่หลงใหลในเงินทองสิ่งของจนคิดวาเปนสิ่งประเภท เดียวที่มีคา ความหลงใหลไดบดบังความรูสึกในคุณคาที่เปนธรรมชาติภายในจิตใจของเขา มิใชวาเขาไม เชื่อหรือรูสึกไมได ชื่อเสียง เกียรติยศ ความเปนที่นับถือ ยกยอง เปนสิ่งที่เขาตองการที่จะใหเงินทองที่เขามี อยูบันดาลใหใชหรือไม สิ่งเหลานั้นเปนอะไร ถาไมใชนามธรรมและเขาตองการเพราะมันเปนคุณคาที่เขา ปรารถนาใชหรือไม ชื่อเสียง เกียรติยศ ความเปนที่นับถือยกยองมิใชสสารหรือพลังงาน การที่คนบางคนอางวาคุณคาไมมีจริง ก็เพราะถูกวิทยาศาสตรสอนวานอกจากสสารและพลังงาน ซึ่งเปนสิ่งที่มีตัวตนใหรับรูไดแลว ไมมีความจริงอะไรอื่นอีก แตทําไมความจริงจึงจะตองมีแตสสารและ พลังงานเทานั้น เรารับรูสสารและพลังงานและการเคลื่อนไหวของมันดวยประสาทสัมผัส เรารับรูดวยประสาท สัมผัสวาเสือมีเล็บ และเราเห็นมันจับสัตว แตเราเชื่อความสามารถในการใชกรงเล็บจับสัตวของมันดวยหรือไม หรือวาเราเชื่อเฉพาะตอนที่มันจับสัตวจริง ๆ ถาเราเชื่อศักยภาพในการจับสัตวดวยกรงเล็บของเสือ โดยที่
  • 36. 27 เสือนั้นยังไมไดจับสัตวก็เทากับเราเชื่อในสิ่งที่ไมเห็นวาเปนจริงได การกระทําของเรา ที่เกิดจากนามธรรมเรา ก็รูสึกได เชน เรากระทําดวยความรักมิใชดวยผลประโยชน เหตุใดเราจึงเชื่อไมไดวา ความรักเปนสิ่งที่มีอยู จริง ถาจะวาเพราะเราไมเห็นความรัก ในเรื่องเสือเราก็ไมเห็นศักยภาพหรือความสามารถของมันเชนกัน เราปฏิเสธไมไดวาเราอยูกับความจริงนามธรรม ใชความจริงนามธรรมบางทีก็เปนสถาบันหลัก เชน ความยุติธรรม หรือความเปนชาติ เปนตน เรามิไดใชความจริงนามธรรมเพราะเปนประโยชนเทานั้น แตเรารูสึก วามีจริงเปนจริง และเราถือวาสําคัญ เราอาจคิดวาความจริงนามธรรมเปนเพียงสิ่งที่คนเราสมมติขึ้น แต ทําไมคนเกือบทั้งโลกจึงสมมติตรงกัน และเชื่อในความจริงนามธรรมอยางแนนแฟน หากเขาไมสามารถรูสึก ในความจริงนั้นได ความรูสึกในความจริงนามธรรมก็เปนความรูสึกเชนเดียวกับความรูสึกทางประสาทสัมผัส เหตุใดเราจึงคิดวาความรูสึกทางประสาทสัมผัสจริงและความรูสึกในความจริงนามธรรมไมจริง เราคิดเชนนั้น เพราะเหตุผลหรือเพราะอคติ 5.5 โลกกับชีวิตในทัศนะจิตนิยม : ความสัมพันธระหวางรูปธรรมกับนามธรรม ถาทั้งจักรวาลนี้มีแตดวงดาวตาง ๆ บนดาวแตละดวงไมมีชีวิตใด ๆ เลย จักรวาลก็จะเปนแตกลุม สสารและพลังงานอันไรความหมาย เพราะไมมีใครใหความสําคัญแกสสารหรือพลังงาน ไมมีใครใช ไมมีใคร เห็นคุณคา ไมมีใครชื่นชม ดวงอาทิตยจะขึ้นหรือตกก็ไมมีความหมายอะไร ความจริงทางวิทยาศาสตรเปน เชนนั้น ทุกสิ่งเปนสสารและพลังงานที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปดวย แรงและพลังที่กระทําตอกัน ไมมีอะไร นาชื่นชม ไมมีความงามของดวงอาทิตยขึ้น ไมมีความเหงาเปลาเปลี่ยวยามอาทิตยอัสดง สสารและพลังงาน ไมอาจเห็นคุณคาของตัวมันเองและของสสารและพลังงานอื่น ๆ โลกภายนอกหรือจักรวาลที่อยูรอบตัวเราและ แผไพศาลไปก็มีอยู แตไมวามันจะลุกไหมหรือดับมอดก็ไมมีความหมายอะไร ไมมีความสําคัญอะไร เพราะสิ่ง เหลานี้จะมีความหมายหรือความสําคัญก็เฉพาะแกชีวิตที่รับรูและใหความสําคัญแกมัน ถาเรามีแตรางกายที่มีอวัยวะรับโลกภายนอก มีตาที่รับภาพได มีหูที่รับเสียงได มีจมูกที่รับกลิ่นได มีลิ้นที่รับรสได มีรางกายที่วัตถุสิ่งของมาถูกตองได แตปราศจากความรูสึก เราก็คงเปนเพียงหุนยนต เรามี ตาแตตานั้นก็ไมตางอะไรกับกลองถายภาพ มีหูแตหูนั้นก็ไมตางกับเครื่องรับวิทยุ ความรูสึกนึก คิด ทําให รางกายของเรามีความหมาย เพราะทําในสิ่งที่รูและรูในสิ่งที่ทํา ไมเหมือนกับการกระทบกันของกอนหินที่ กอนหินนั้นไมรับรูและไมรู ความรูสึกในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เปนเรื่องนามธรรม ไมวาความรูสึกนั้นจะตอง ผานอวัยวะนอยใหญมากมายสักเพียงไรก็ตาม ในที่สุดเมื่อรูสึก ความรูสึกนั้นเปนนามธรรม ความรูสึกเปน คนละอยางกับอวัยวะรับความรูสึก นามธรรมนี้มีเปนชั้น ๆ ความรูสึกเห็นดอกกุหลาบ เปนความรูสึกอยาง หนึ่ง ความรูวาเรารูสึกเห็นดอกกุหลาบเปนความรูสึกอีกชั้นหนึ่ง ความรูสึกวาดอกกุหลาบที่เรารูสึกเห็นมัน สวย มีสีแดง มีกลิ่นหอมก็เปนความรูสึกยอย ๆ ลงไปอีก ความรูสึกนึกคิดจินตนาการ ตั้งความปรารถนา ดีใจ เสียใจ ฯลฯ คือ สิ่งที่แสดงวารางกายนั้นมี “ชีวิต” แตชีวิตคืออะไรวิทยาศาสตรไมอาจตอบได วิทยาศาสตรตอบไดวาเซลสประกอบดวยอะไร ซึ่งเมื่อ
  • 37. 28 วิเคราะหแลวก็เปนสสารและพลังงานที่แสดงปรากฏการณของชีวิต แต “ชีวิต” คือ อะไรไมอาจรับรูไดทาง ประสาทสัมผัส วิทยาศาสตรจึงตอบไมได ชีวิตเปนนามธรรม ไมใชเซลลและไมใชสวนใด ๆ ของเซลล มันแสดง ปรากฏการณของชีวิต เชน กินอาหารได เติบโตได ความรูสึก นึก คิด จินตนาการ ฯลฯ ดังกลาว ปรัชญาเรียกรวม ๆ วา “ความคิด” (idea) ถามีแต สสารและพลังงาน ก็อธิบายเรื่องความคิดไมได เพราะความคิดไมใชทั้งสสารและพลังงาน และเราก็ปฏิเสธ ไมไดวาความคิดไมมีอยู เพราะสิ่งทั้งหลายที่เราคิดลวนเปนความคิดทั้งสิ้น แมเรื่องสสารและพลังงานเองก็ เปนความคิดของมนุษย กฎวิทยาศาสตร คุณสมบัติทางเคมี กฎคณิตศาสตร เหลานี้คือความคิดของมนุษย ทั้งสิ้น ความคิดนามธรรมอื่น ๆ เชน ดี ชั่ว ยุติธรรม เสรีภาพ สิทธิ ซื่อสัตย เสมอภาค ประชาธิปไตย ก็เปน ความคิดนามธรรมที่มนุษยพูดและปฏิบัติกันอยูในสังคม เปนกฎเกณฑเกี่ยวกับสังคม เชนเดียวกับกฎ คณิตศาสตรเปนกฎเกณฑเกี่ยวกับความจริงทางคณิตศาสตร และกฎวิทยาศาสตรเปนกฎเกณฑเกี่ยวกับ ความจริงของสสารและพลังงานซึ่งเปนความจริงทางวิทยาศาสตร ชีวิตทําใหเรารูความจริงนามธรรมเหลานี้ หากเรายอมรับวาโลกเปนจริง ชีวิตเปนจริง เราจะยอมรับ นามธรรมเหลานี้วาเปนจริงหรือไม และการที่บางคนยอมรับวากฎวิทยาศาสตรเปนจริงแตกฎศีลธรรมไมเปน จริงนั้นมีเหตุผลหรือไม ในเมื่อทั้งสองอยางตางก็เปนกฎที่เปน “ความคิด” ของมนุษยเชนเดียวกัน และมีผล ตอระเบียบในการดําเนินชีวิตของมนุษยเชนเดียวกัน มนุษยควรจํากัดขอบเขตความจริงไวเพียงเรื่องสสาร และพลังงานเทานั้นหรือไม เรามีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธความจริงอื่นนอกจากนี้วาไมมีอยู เรามีเหตุผลที่จะ ปฏิเสธความจริงนามธรรมอื่น ๆ ที่ไมเกี่ยวกับเรื่องสสารและพลังงานหรือไม เราเชื่อประสาทสัมผัสของเรา และมีอคติเกี่ยวกับความจริงที่ไดมาดวยวิธีอื่นหรือไม 5.6 โลกของจิตนิยม โลกของจิตนิยมมิใชโลกที่มีแตสสารและพลังงาน ซึ่งกระทบกระทั่งกันและทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปแบบไมมีทิศทางหรือจุดหมาย แตเปนโลกที่เต็มไปดวยความคิด ความเขาใจ การสรางสรรค ความเห็นอก เห็นใจ ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความดี ความงาม จินตนาการ การตัดสินถูกผิด ความรูสึกซาบซึ้งและประทับใจ ความโกรธเกลียด อิจฉาริษยา การคิดการตัดสิน กลาวคือเปนโลกที่มี “ชีวิต” มนุษยมีชีวิต จิตใจ มิใชเปน กลุมกอนของสสารและพลังงานเทานั้น โลกนี้มิไดมีแตกฎฟสิกสหรือกฎวิทยาศาสตรอื่น ๆ ยังมีกฎสังคม กฎ ศีลธรรม กฎศิลปะ ซึ่งหมายความวาระเบียบของชีวิตและของโลกมิไดสิ้นสุดเพียงสสารและพลังงาน เราอาจ สรุปความคิดสําคัญ ๆ เกี่ยวกับโลกตามทัศนะของจิตนิยมไดดังนี้ 1. นอกจากสสารและพลังงานหรือโลกของวัตถุแลวยังมีความจริงอื่นที่เปนความจริงนามธรรม 2. ความจริงนามธรรมนี้ จิตนิยมบางพวกเชื่อวาเปนความจริงชนิดเดียว โลกของวัตถุหรือความ จริงทางประสาทสัมผัสไมจริงแท
  • 38. 29 3. พวกจิตนิยมที่ยอมรับความจริงทางประสาทสัมผัสเห็นวาความจริงนามธรรมสําคัญกวา เนื่องจาก ใชอธิบายหรือประเมินคาความจริงทางวัตถุ หากไมกํากับดวยคุณคาที่เปนนามธรรมแลว ความจริงทางวัตถุ อาจกอผลรายแกมนุษยก็ได 4. ความจริงนามธรรมมีความสําคัญตอชีวิตมนุษย เชน ความจริงทางศาสนา พระเจา กรรม นิพพาน บุญ บาป ธรรมะ ความจริงดานคุณคาเชน คุณคาทางความประพฤติ ดี ชั่ว เปนธรรม ไมเปนธรรม กุศล อกุศล เมตตา ทางสายกลาง คุณคาทางสุนทรียศาสตร เชน ความสวย ความงาม ความลงตัว คุณคา ทางสังคม เชน ความยุติธรรม สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค 5. คุณคาเปนสิ่งที่เปนจริงมิใชสิ่งที่มนุษยสมมติขึ้นมนุษยเปนแตคนพบและสามารถเขาใจคุณคาได 6. ผลของความคิดแบบจิตนิยมตอชีวิต 1. มนุษยประกอบดวยกายและจิต จิตเปนผูใชกายเปนผูรับใช มนุษยไมควรเปนทาสของวัตถุ แต ตองเปนทั้งนายของตนเองและของวัตถุ 2. ความจริงนามธรรมเชน ความดี ความงาม เปนสิ่งตายตัวไมขึ้นกับกาลเวลา บุคคล สังคม สภาพแวดลอม ไมวาจะเปนบุคคลที่เกิดในที่ใด ยุคใดสมัยใด ก็เขาถึงความจริงนามธรรมเดียวกันไดทั้งสิ้น เปนสิ่งที่แนนอนตายตัว เปนนิรันดร และอกาลิโก 3. กฎเกี่ยวกับความจริงนามธรรมเปนกฎสากล เปนเชนนั้นเสมอ เชนเดียวกับกฎธรรมชาติทาง วัตถุ เชน กฎฟสิกสที่เปนอยูเชนนั้นโดยธรรมชาติ 4. การที่คนเรามีมาตรฐานคุณคาแตกตางกันเปนเพราะยังเขาไมถึงความจริงแท เมื่อเขาถึงแลวก็ จะพบความจริงสากลเดียวกัน เชนความจริงที่ศาสตรทั้งหลายสั่งสอนเปนความจริงอยางเดียวกัน 7. ธรรมชาตินิยม (Naturalism) 7.1 ความหมาย คําวาธรรมชาตินิยมเปนคําที่มีความหมายกวาง เนื่องจากคําวาธรรมชาติเปนคําที่ใชกันโดยกําหนด ขอบเขตความหมายตางกันตามนิยามของผูใชแตละคนการกําหนดความหมายของธรรมชาติ และธรรมชาตินิยม ในวิชาปรัชญาจึงเปนไปตามที่นักปรัชญาไดกําหนดขึ้น หรือผูที่ศึกษาปรัชญาไดกําหนดขึ้นจากการวิเคราะห ความคิดของนักปรัชญาที่คิดไปในแนวทางที่ถือวาสิ่งที่เปนจริงคือสิ่งที่อยูในขอบเขต “ธรรมชาติ” ในปรัชญาตะวันตกมักจะเริ่มตนที่ความคิดของธาเลสเรื่องปฐมธาตุ (first principle) ซึ่งเชื่อวาปฐม ธาตุหรือสิ่งที่เปนจริงแรกสุดอันเปนที่มาของสิ่งทั้งหลายคือ น้ํา การที่ธาเลสเชื่อเชนนี้เปนเรื่องที่ขัดแยงกับ ความเชื่อของคนกรีกทั่วไปที่เปนแบบนับถือสารพัดเทวดาหรือพหุเทวนิยม ที่อธิบายปรากฏการณธรรมชาติ โดยอางการบันดาลของเทวดาตาง ๆ คําอธิบายปรากฏการณธรรมชาติจึงเปนแบบอางสิ่งเหนือธรรมชาติที่ นักศึกษาทางปรัชญาเรียกวาเปนการอธิบายดวยสิ่งเหนือธรรมชาติ (supernaturalism) เมื่อเทียบกับความ เชื่อของคนกรีกโดยทั่วไป คําอธิบายของธาเลสจึงเปนการอธิบายปรากฏการณธรรมชาติในขอบเขตธรรมชาติ
  • 39. 30 หรือธรรมชาตินิยม (naturalism) แนวคิดของธาเลสดังกลาวมิไดปฏิเสธความมีอยูของสิ่งเหนือธรรมชาติ แตชี้ วาเราสามารถอธิบายปรากฏการณธรรมชาติไดในขอบเขตความจริงตามธรรมชาติและดวยเหตุผลของมนุษย ไมจําเปนตองอางเทวดา และหากเทวดามีจริง เทวดาก็ตองดําเนินการตาง ๆ ไปตามกฎธรรมชาติ ความคิดนี้ เปนที่มีของความเชื่อวาธรรมชาติมีกฎเกณฑในตัวและมนุษยสามารถศึกษาไดดวยเหตุผลนักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตรตางก็ยอมรับความคิดนี้ แตยอมรับความหมายของคําวา ธรรมชาติแตกตางกัน คําวาธรรมชาตินิยมในความหมายนี้ เปนความหมายทางอภิปรัชญาซึ่งอาจเรียกวา ธรรมชาตินิยม เชิงอภิปรัชญา (metaphysical naturalism) แตการใชคํานี้ก็มีปญหาเพราะในปจจุบันนักปรัชญาไดใชคํานี้ใน ความหมายเฉพาะคือมีความหมายแคบลงจนเปนการยอมรับความจริงและวิธีการหาความรูแบบวิทยาศาสตร แมทางจริยศาสตรก็ไดรับอิทธิพลความคิดนี้ ธรรมชาตินิยมในปจจุบันแบงออกเปน 3 ดานคือ 1. ทุกสิ่งประกอบขึ้นดวยสิ่งธรรมชาติ อันไดแกสิ่งที่ศึกษากันในวิชาวิทยาศาสตรซึ่งคุณสมบัติ ดังกลาวเปนตัวกําหนดคุณสมบัติของสิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย สิ่งนามธรรม เชน ความเปนไปได ความจริง ทางคณิตศาสตร หากมีอยูจริงก็ตองเปนไปตามวิทยาศาสตรแบบนี้เรียกวา metaphysical หรือ ontological 2. วิธีการที่เปนที่ยอมรับในการตัดสิน อธิบาย และวัดปริมาณซึ่งเทียบไดกับการตัดสิน อธิบาย และวัดปริมาณทางวิทยาศาสตรแบบนี้ เรียกวา methodological หรือ epistemological 3. Ethical naturalism คุณสมบัติทางศีลธรรมเทากับคุณสมบัติทางธรรมชาติหรือกําหนดไดดวย คุณสมบัติทางธรรมชาติ คือกําหนดหรือตัดสินไดดวยการตัดสินทางขอเท็จจริง นักปรัชญาที่เปนบรรพบุรุษทางความคิดของธรรมชาตินิยมไดแก โดโมคริตุส(Democritus) อริสโตเติล (Aristotle) เอพิคิวรุส (Epicurus) ลูเครติอุส (Lucretius) ฮอบส (Hobbes) สปโนซา (Spinoza) ธรรมชาตินิยมสมัยใหมเริ่มขึ้นในราวทศวรรษที่ 1850 ความรูทางสรีรวิทยาที่ซับซอนขึ้นทําให นักปรัชญา เชน ฟอยเออรบัค (Feuerbach) และคนอื่น ๆ เชื่อวาทุกสิ่งเกี่ยวกับมนุษยอธิบายไดวาเปน สิ่งธรรมชาติ ในปลายคริสตศตวรรษที่ 19 งานของ ดารวิน (Darwin) ไดมีผลกระทบสําคัญตอนักคิดธรรมชาติ นิยมยิ่งขึ้น เชน สเปนเซอร (Spencer) ทินดอล (Tyndall) ฮักซเลย (Haxley) คลิฟฟอรด (Clifford) แฮคเคิล (Haeckel) ซานตายานา (Santayana) และนักคิดรุนหลัง เชน เซลลาร (Sellars) และโคเฮน (Cohen) 7.2 ผลของฟสิกสและชีววิทยาตอแนวคิดทางปรัชญา 7.2.1 ฟสิกส วิทยาศาสตรสาขาฟสิกสสมัยใหมเปนความรูทางวิทยาศาสตรที่เจริญมาตั้งแตคริสตศตวรรษที่ 15 และเปนความรูสําคัญที่ทําใหเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสตศตวรรษที่ 19 แนวคิดสําคัญทางฟสิกสใน สมัยนี้คือทฤษฎีเรื่องปรมาณูหรืออะตอม ซึ่งเชื่อวาโลกกายภาพประกอบดวยหนวยเล็กที่สุดที่แบงแยกไมได จํานวนนับไมถวนเคลื่อนที่อยูในที่วางความคิดนี้เกิดขึ้นตั้งแตศตวรรษที่5กอนคริสตศักราชลิวคิปปุส(Leucippus)
  • 40. 31 และเดโมคริตุส(Democritus) เปนผูคิดขึ้นเอปคิวรุส(Epicurus) รับความคิดนี้ตอมาและพวกเอปคิวเรียนในสมัย ฟนฟูศิลปวิทยาการไดพัฒนาไปจนเปนปรัชญาสําคัญของศตวรรษที่ 17 ความคิดดังกลาวมีอิทธิพลตอปรัชญา ปรมาณูนิยมทางตรรกะ (Logical Atomism) ของเบอรทรันด รัสเซลล ในชวงป ค.ศ.1911 – 1918 ซึ่งอธิบายวาโลกประกอบขึ้นดวย ปรมาณูทางตรรกะ เชนแถบเล็ก ๆ ของ สีหรือเสียง สิ่งนี้เกิดในชั่วขณะ รัสเซลลเรียกปรมาณูของเขาวาปรมาณูทางตรรกะก็เพราะเปนสิ่งที่มีอยูใน เชิงตรรกะมิใชเชิงอภิปรัชญา เปนหนวยเล็กที่สุดของประธานของประโยคตรรกวิทยา แตหนวยดังกลาว ไมไดอยูในกาลเวลา กระบวนการคนพบอะตอมดังกลาวเรียกวาการวิเคราะหทางตรรกะ (logical analysis) เทคนิคที่ใชสรางขอเท็จจริงเชิงซอนจากขอเท็จจริงเชิงเดี่ยว อาศัยเทคนิคทางตรรกวิทยา สิ่งที่ซับซอนเปน ประเภทที่เกิดจาก อะตอม อะตอมที่เปนขอเท็จจริงของรัสเซลสเรียกวา ขอมูลทางผัสสะ (sense – data) ซึ่งมีอายุสั้นมาก ใน ป 1918 เขาอธิบายวาอะตอมนี้ไมใชทั้งสิ่งกายภาพและจิตภาพแตเปนกลาง เขาจึงเรียกความคิดของเขาวา เอกนิยมแบบเปนกลาง (neutral monism) ขอเท็จจริงที่เปนอะตอมนี้แสดงดวยประโยคที่ไมมีตัวเชื่อมทาง ตรรกะ เชน “สิ่งนี้แดง” ความคิดดังกลาวนี้วิตเกนสไตน (Wittgenstein) ไดพัฒนาตอมาในหนังสือ เรื่อง Tractatus ในการศึกษาปรัชญาเบื้องตน จะไมอธิบายเรื่องดังกลาวในรายละเอียดเพราะเปนเรื่องที่ตองอาศัย ความรูอื่นทางปรัชญาเชนความรูเรื่อง รอยประทับ (impression) ของฮิวม (Hume) ความรูทางตรรกวิทยา สัญลักษณ (symbolic logic) เปนตน ความรูเรื่องอะตอมทางฟสิกสมิไดมีอิทธิพลตออภิปรัชญาเทานั้น แตยังมีอิทธิพลตอจิตวิทยาและ การวิเคราะหทางการเมืองโดยหลักการปรมาณูนิยมทางจิตวิทยา (psychological atomism) คือการมองรัฐ ในฐานะสิ่งเชิงซอนที่ประกอบดวยปจเจกชนเปนปรมาณูและวิเคราะหที่มาของรัฐจากธรรมชาติของปจเจกชน เปนปรมาณูและวิเคราะหที่มาของรัฐจากธรรมชาติของปจเจกชนในสภาวะธรรมชาติคือสภาวะที่ยังไมมีรัฐ ล็อค (Locke) สรางปรัชญาประชาธิปไตย โดยอาศัยการวิเคราะหธรรมชาติของมนุษยในภาวะไรสังคม ดังกลาว การพิจารณาความจริงเชิงซอนวาประกอบดวยความจริงยอยที่เปนหนวยเล็กที่สุด ซึ่งแบงแยกไมไดนี้ ทําใหเกิดความคิดที่เรียกวาทฤษฎีการทอนลง (Reductionism)คือสิ่งที่มีองคประกอบทั้งหลายสามารถทอนลง ไปจนถึงหนวยเล็กที่สุดที่เปนองคประกอบพื้นฐานได การรวมกับการแยกจึงเปนลักษณะการเปลี่ยนแปลงของ ทุกสิ่ง ไมมีสิ่งใหมเกิดขึ้นในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุมาจากภายนอก กลาวคือ สสารยอมไมเปลี่ยนแปลงเวนแตจะมีสิ่งอื่นมาทําใหเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงก็เปนไปตามกลไก ที่แนนอนตายตัว การเขาใจสิ่งใดก็คือการวิเคราะหหรือการแยกแยะองคประกอบสิ่งยอย ๆ เขาดวยกัน การ มีกฎเกณฑที่ตายตัวทําใหสามารถทํานายอนาคตได ลักษณะดังกลาวนั้นก็คือลักษณะของความคิดแบบ วัตถุนิยม (materialism) แตตามความคิดของรัสเซลลที่กลาวมาแลวจะเห็นไดวามีขอตางกับวัตถุนิยมตรงที่
  • 41. 32 มิไดยืนยันความจริงของหนวยยอยที่สุดวาเปนวัตถุ แมจะใชคําวาปรมาณูหรืออะตอม แตอะตอมดังกลาวก็ ไมใชวัตถุ กลาวคือมิไดยืนยันความมีอยูจริงของวัตถุ เนื่องจากมนุษยรับรูไดเฉพาะที่ประสาทสัมผัสรายงาน และสิ่งที่ประสาทสัมผัสรายงานก็เปนแตขอมูลทางประสาทสัมผัส มิใชวัตถุโดยตรง จึงยืนยันไมไดวามีความ จริงที่ประสาทสัมผัสเปนตัวแทน เราไมเคยรับรูอะตอมที่เปนวัตถุ เรารับรูไดแตขอมูลทางประสาทสัมผัส เชน แข็ง เขียว กลมแตละครั้ง ๆ เทานั้น ดวยเหตุดังกลาวแมในแงอภิปรัชญารัสเซลลจะยืนยันเรื่องปรมาณู แต ปรมาณูนี้ก็มิไดเปนสิ่งกายภาพหรือจิตภาพคือไมใชความจริงทั้งแบบวัตถุนิยมและจิตนิยม ความคิดของ รัสเซลลนี้ก็จัดอยูในพวกธรรมชาตินิยมดวย ดังนั้นแมธรรมชาตินิยมแบบนี้จะมีลักษณะคลายคลึงกับวัตถุนิยม ก็มีขอตางกัน ในแงนี้ธรรมชาตินิยมใชคําวา “ธรรมชาติ” ในความหมายกวางกวาวัตถุนิยม 7.2.2 ชีววิทยา ความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาแมจะมีกฎเกณฑที่สามารถอธิบายระเบียบและทํานายอนาคตได แตก็มีลักษณะแตกตางกับการเปลี่ยนแปลงแบบแยกและรวมและแบบกลไกดังที่เปนอยูในวิชาฟสิกส สิ่งมีชีวิต มีความเปลี่ยนแปลงตามกฎฟสิกสในบางสวน แตก็มีความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา ซึ่งตางกับฟสิกสใน บางสวน ความเปลี่ยนแปลงในสวนดังกลาวทําใหสิ่งมีชีวิตตางกับสิ่งที่ไมมีชีวิต ทําใหคนตางกับกอนหินหรือ รูปปน เราอาจใชกฎพันธุกรรมของเมนเดล (Mendel) ทํานายลักษณะของรุนลูกรุนหลานได แตการผาเหลา (mutation) ก็ทําใหการทํานายผิดได นอกจากนั้นวิวัฒนาการก็มีทฤษฎีที่พัฒนามาตั้งแตกรีกโบราณจน ปจจุบันตางกันเปนหลายทฤษฎี 7.3 ทฤษฎีของดารวิน (Darwin) : การเลือกสรรโดยธรรมชาติ เมื่อดารวินตีพิมพหนังสือเรื่อง Origin of Species ในป ค.ศ. 1859 นั้น ทฤษฎีตาง ๆ เกี่ยวกับ วิวัฒนาการไดหมดความนาเชื่อถือลงเนื่องจากทฤษฎีของดารวินมีคําอธิบายที่ชัดเจนกวาและครอบคลุมสิ่ง ที่ทฤษฎีอื่น ๆ อธิบายไมได สิ่งที่ดารวินนํามาเปนมโนทัศนสําคัญคือ “การเลือกสรรโดยธรรมชาติ” มโนทัศน นี้ที่จริงไดมีปรากฏการณทางชีววิทยาใหเห็นอยูบางแลว เชนการเปลี่ยนลักษณะบางอยางที่ทําใหลูกตางกับ พอแม และลักษณะที่แตกตางนี้สืบทอดไปยังลูกหลาน นอกจากนั้นการคัดพันธุพืชและสัตวก็ไดทํากันมา เปนเวลานาน เรื่องการดิ้นรนเพื่อความอยูรอดและเรื่องการเลือกสรรโดยธรรมชาติ ก็ไมใชเรื่องใหมแตเปน ความคิดที่เอมพิโดเคลส (Empedocles c. 450 B.C.) พูดมากอน แตดารวินเปนผูที่นําหลักการเหลานี้มา อธิบายอยางเปนระบบ และมีขอมูลสนับสนุนอยางเปนวิทยาศาสตร สิ่งที่ดารวินยังอธิบายไมไดก็คือเรื่อง พันธุกรรมกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงลักษณะ เรื่องแรกนั้นเมนเดลอธิบายไดดวยความคิดเรื่องยีนส (genes) สวนเรื่องหลัง ปจจุบันอธิบายไดดวยเรื่องรหัสพันธุกรรม (DNA) ทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีการพัฒนามานี้จึงมี ลักษณะเปนระบบที่ประกอบดวยทฤษฎีตาง ๆ รวมกัน ทฤษฎีวิวัฒนาการไดกอใหเกิดปญหาทางปรัชญาคือ 7.3.1 การไมสามารถยอนกลับ (Irreversibility) การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางฟสิกสและ เคมีมีลักษณะยอนกลับได คือจากสิ่งยอย ๆ ทําใหเกิดการรวมกันเปนสิ่งรวม และจากสิ่งรวมก็แยกกลับไปสู สิ่งยอยได แตการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางชีววิทยา เชน กระบวนการวิวัฒนาการนั้นไมอาจยอนกลับได
  • 42. 33 การเปลี่ยนแปลงจากไขนก เปนลูกนก และเปนนกที่โตเต็มที่ ไมอาจยอนกลับจากนกที่โตเต็มที่ไปสูไขนกไดอีก ไขผีเสื้อเปลี่ยนเปนตัวหนอน ดักแดแลวเปนผีเสื้อก็ไมอาจดําเนินไปในทางกลับกันได สัตวโลกที่วิวัฒนาการ ตั้งแตเปนสัตวเซลสเดียวมาจนปจจุบันไมอาจยอนกระบวนการกลับไปเปนสัตวเซลสเดียวไดอีก 7.3.2 การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตตางสกุลใหมีลักษณะคลายกัน (Convergence) สิ่งมีชีวิตที่ อยูคนละสกุลเมื่ออยูในสภาพแวดลอมอยางเดียวกันจะเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยูรอดในสภาพแวดลอมนั้น ซึ่งทําใหสิ่งมีชีวิตตางสกุลมีลักษณะคลายกัน เชนทั้งแมลงและนกที่ตองบินตางก็วิวัฒนาการจนมีปก กบปา ของโลกเกากับโลกใหมแมวาจะตางตระกูลกัน ก็มีลักษณะคลายกันมากจนกระทั่งตองดูโครงกระดูกจึงจะเห็น ความแตกตางการเปลี่ยนแปลงนี้มิใชสภาพแวดลอมเปนสาเหตุภายนอกที่มาผลักดันใหเกิดความเปลี่ยนแปลง ดังเชนการเปลี่ยนแปลงแบบกลไกทางฟสิกส แตเกิดจากการที่สิ่งที่เหมาะกับสภาพแวดลอมเทานั้นที่ดํารง อยูได สัตวหรือพืชที่ไมเหมาะกับสภาพแวดลอมจะสูญพันธไป สิ่งที่เหลืออยูจึงมีลักษณะคลายคลึงกัน 7.3.3 การชวยเหลือกันและการทําลายกัน (Altruism และ Competition) การดิ้นรนเพื่อการ อยูรอด ทําใหสิ่งมีชีวิตตางชนิดกัน พึ่งพาอาศัยกันบาง ทําลายกันบาง เชนสัตวตางชนิดกันอยูรอดไดดวย การกินสัตวอีกชนิดหนึ่งจนกระทั่งนักชีววิทยาเรียกวา“หวงโซอาหาร”แตก็มีความรวมมือเชนกุงทะเลชนิดหนึ่ง มีความสัมพันธใกลชิดกับสัตวที่มันรักษาโรคให กุงเหลานี้ผลุบ ๆ โผล ๆ อยูตามชองระหวางกลีบดอกไมทะเล มีหนวดยาวแกวงไปมา เมื่อปลาวายผานมาใกล ๆ และหยุดดูดวยความสนใจ กุงก็จะเขี่ยดวยหนวดและปลาก็ จะเอาหัวและเหงือกมาใหกุงทําความสะอาด กุงจะไตขึ้นไปตามตัวปลาทําความสะอาดแผลและกําจัด ปาราสิตตาง ๆ ปลาจะอยูนิ่ง ๆ ระหวางที่กุงทําความสะอาด บางครั้งปลาก็อาปากใหกุงเขาไปทําความ สะอาดในปาก ปลารูถิ่นที่อยูของกุงเหลานี้และมารอใหกุงรักษาให นักวิทยาศาสตรไดทดลองวาหากเอากุง เหลานี้ออกไปจากพื้นที่อะไรจะเกิดขึ้นผลปรากฏวาปลาลดจํานวนลงจนเหลือแตปลาที่อาศัยอยูในบริเวณนั้น ปลาที่เหลือมีจุดขาว ๆ เกิดขึ้น เปนแผลตามตัวและครีบลุย การอยูรอดของสิ่งมีชีวิตตาง ๆ จึงอาจเปนไดทั้ง การชวยเหลือกันและการทําลายกัน ถาเรายอมรับวาการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาก็เปนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็ตองยอมรับวา ธรรมชาติในที่นี้มีความหมายกวางกวาวัตถุนิยม เพราะยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปสูสิ่งใหมและไมยอมรับ แนวคิดเกี่ยวกับการทอนลงแตก็มีขอบเขตคือเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส ดังนั้น คําอธิบายความหมายของธรรมชาตินิยมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่นักธรรมชาตินิยมแตละคนยึดถือ โดย ยังอยูในขอบเขตของประสาทสัมผัส เชน เสือวิวัฒนาการมาจนปจจุบัน เปนสัตวที่เดินไดเงียบและมีกรงเล็บ แหลมคม ความมีกรงเล็บแหลมคมเปนลักษณะของเผาพันธุที่มีการสืบทอดทางพันธุกรรมตอไป มนุษยเปน สัตวที่พัฒนามายิ่งกวาเสือคือเปนสัตวที่มีจิต มีเหตุผล มีศีลธรรม ลักษณะเหลานี้เปนผลของวิวัฒนาการ และสืบทอดทางพันธุกรรมได จึงเปนสิ่งธรรมชาติ หากเปนเชนนี้ธรรมชาตินิยมก็อธิบายมนุษยตางกับ วัตถุนิยมคือยอมรับเรื่องจิตซึ่งวัตถุนิยมไมยอมรับแตถึงกระนั้นก็มิไดยอมรับวาจิตเปนความจริงอีกชนิดหนึ่ง ตางหากจากรางกาย
  • 43. 34 7.4 ลัทธิเตา (Taoism) ธรรมชาติและการดําเนินชีวิตตามธรรมชาติ ลัทธิเตาเปนแนวคิดปรัชญาแบบธรรมชาตินิยมลัทธิหนึ่งซึ่งมิไดเปนวัตถุนิยมคําวา เตาในลัทธิเตา มีความหมายกวางและมีการตีความแตกตางกัน เนื่องจากเหลาจื้อเจาลัทธิผูเขียนคัมภีรเตาเตอะจิง ไวกอน หนาที่จะปลีกตัวจากสังคมไปบําเพ็ญพรต คือดําเนินชีวิตตามเตาดังที่ทานไดสอนไว มิไดมีคําอธิบายใด ๆ นอกจากคัมภีรที่เขียนเปนบทสั้น ๆ 81 บท วาดวยธรรมชาติของเตา สังคม การปกครอง และการดําเนินชีวิต ที่สอดคลองกับเตา พรอมดวยเหตุผลที่พูดไวสั้น ๆ ซึ่งชวนใหตีความแตกตางกันไป ตามความรูและอัธยาศัย ของบุคคล กอนที่จะชี้วาลัทธิเตาเปนธรรมชาตินิยมอยางไรและแตกตางกับวัตถุนิยมอยางไร ผูอานควรจะ ไดอานคัมภีรนี้สักสองสามบทเสียกอน บทที่1 เตาอันกลาวขานไดใชเตาอันนิรันดร นามอันกําหนดไดใชนามอันมิรูผันแปร อภาวะนั้นแลมากอน ฟาแลดิน ภาวะแลคือมารดาแหงสิ่งทั้งปวง ดวยอภาวะอันนิรันดรจึ่งเราประจักษอุบัติภาวะอันลึกลับแหง เอกภาพ ดวยภาวะอันนิรันดร จึ่งเราประจักษนานาวัตถุ สองสิ่งนี้เหมือนกันดวยตนกําเนิด แลตางกันดวย การปรากฏ ความเหมือนนั้นชื่อวาสภาวะอันลึกล้ํา สภาวะอันลึกล้ําไมมีที่สุดคือทวารอันองคาพยพแหงเอกภพ ถืออุบัติ บทที่ 2 ในกาลเมื่อใดสิ่งทั้งปวงในโลกเห็นความงามวา งาม ในกาลเมื่อนั้นความอัปลักษณยอมตั้งอยู ใน กาลเมื่อใดสิ่งทั้งปวงเห็นความดีวา ดี ในกาลเมื่อนั้นความชั่วยอมตั้งอยู ภาวะนั้นแลยอมบงถึงอภาวะ ความ งายใหกําเนิดแกความยาก สั้นมาจากยาวโดยเทียบ ต่ําตางกวาสูงโดยฐาน ความสูงต่ําแลสําเนียงทําให เสียงดนตรีนั้นกลมกลืน หลังยอมตามกอน เหตุดั่งนี้จึงปราชญกระทําโดยมิใชการกระทํา สั่งสอนโดยมิ อาศัยคําพูด บทที่ 4 ความกลวงแหงเตานั้นเติมเทาใดก็เหมือนมิรูเต็ม ในความลึกล้ํานั้นเตาเหมือนดังเปนตนกําเนิด แหงสิ่งทั้งปวง ในความลึกล้ํานั้นเตาดั่งจะคงอยูเสมอ ขาพเจามิแจงวาเตาเปนลูกเตาเหลาใคร แตดูดุจเปนผู มากอนธรรมชาติ บทที่ 21 คุณธรรมอันไพศาลที่ปรากฏลวนเปนไปตามเตา เตาเปนทั้งสิ่งที่แลไมเห็นแลจับตองมิได เห็นก็ มิไดแตมีรูปมีรางอยู เห็นมิไดจับตองก็มิได แตมีแกนแทอยู ยุงเหยิงแลคลุมเครือแตมีสารัตถะ สารัตถะนี้เปน จริงอยางไมผันแปร ความเชื่อในสิ่งนี้มีอยู ตั้งแตโบราณกาลจนเดี๋ยวนี้มันมิเคยสูญชื่อ ตนกําเนิดของสิ่งทั้ง ปวงสิ้นไปโดยผานทางนี้ ขาพเจาจักรูไดอยางไรวามีสิ่งซึ่งเปนตนกําเนิดของสิ่งทั้งปวง
  • 44. 35 บทที่ 25 มีสิ่งหนึ่งซึ่งเปนอยูโดยตัวเองแลเปนธรรมชาติ เปนสิ่งอันมีอยูกอนฟาแลดิน ไรซึ่งความเคลื่อนไหว แลความลึก ดํารงอยูอยางโดดเดี่ยวแลมิรูเปลี่ยนแปลง แผซานไปทุกหนแหงแลมิรูหมดสิ้น อาจถือวาสิ่งนี้ เปนมารดรแหงเอกภพก็ได ขาพเจามิรูนามชื่อของสิ่งนั้น หากจักบังคับใหขาพเจาขานนาม ขาพเจาจักขาน วาเตา แลจักขานวาเปนสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดยอมหมายถึงดําเนินตอไปเรื่อย ๆ ดําเนินตอไปเรื่อย ๆ ดําเนิน ตอไปเรื่อย ๆ หมายถึงไปไกล ไปไกลหมายถึงหวนกลับ ดังนั้นเตาจึงสูงสุด ฟาสูงสุด ดินสูงสุด แลมนุษย สูงสุด ในเอกภาพนี้มีอยูสี่สิ่ง ซึ่งสูงสุด แลมนุษยเปนหนึ่งในสี่ มนุษยดําเนินตามกฎของดิน ดินดําเนินตาม กฎของฟา ฟาดําเนินตามกฎของเตา เตาดําเนินตามกฎอันเปนธรรมชาติภายในตัวเอง บทที่ 34 เตาอันไพศาลแผไปทุกหนแหงทั้งซายแลขวา เพราะเตาแลสิ่งทั้งปวงจึงอุบัติ แลเตามิไดรังเกียจสิ่ง เหลานี้ กุศลแมสําเร็จแลวเตาก็มิถือครองไว เตารักแลบํารุงสิ่งทั้งปวง แตมิควบคุมสิ่งใด เตาหาภาวะมิไดจึง ชื่อวาเล็ก สิ่งทั้งปวงกลับคืนไปสูเตา แลเตาบมิเปนนายควบคุมสิ่งเหลานั้น จึงเตาชื่อวาใหญ เหตุเพราะมิ ตองทําเปนยิ่งใหญ ก็ยังบรรลุความยิ่งใหญได บทที่ 41 เมื่อผูทรงความรูอันสูงไดฟงเรื่องเตา เขายอมพยายามปฏิบัติมันอยางยิ่งยวด เมื่อผูทรงความรู ปานกลางไดฟงเรื่องเตา เหมือนวาบางครั้งเขาก็รักษามันไวได บางครั้งก็สูญเสียมันไป เมื่อผูทรงความรูอัน นอยไดฟงเรื่องเตา เขายอมหัวรอเยาะเสียงลั่น หากเขามิหัวรอเยาะ มันยอมมิใชเตาอยางแทจริง ดังนั้นจึง สุภาษิตกลาวไววา เตาในความสวางดูมืดมน เตาในความกาวหนาดูเหมือนถอยหลัง เตาในความตรงของ มันดูเหมือนยุงยิ่งคุณธรรมอันสูงสุดดูดั่งหุบเหว ความขาวอันบริสุทธิ์ดูเหมือนไรสี คุณธรรมอันยิ่งใหญที่สุดดู เหมือนไมเพียงพอ คุณธรรมอันแข็งแกรงที่สุดดูเหมือนเปราะ ธรรมชาติอันสามัญที่สุดดูเหมือนเปลี่ยนแปลง รูปสี่เหลี่ยมอันใหญที่สุดไมมีมุม ภาชนะอันใหญที่สุดไมสมบูรณ เสียงที่ดังที่สุดไดยินยาก รูปที่ใหญที่สุด มองไมเห็น เตาครั้นเมื่อซอนอยูยอมไรชื่อ กระนั้นเตาแตอยางเดียวที่พึ่งรวมดวยแลยังใหสมบูรณ บทที่ 66 เตาเปนของโลกดุจเดียวกับกระแสน้ําแลแองลึกเปนของแมน้ําแลทะเล แมน้ําแลทะเลอาจเปนเจา แหงแองลึก เพราะแมน้ําแลทะเลวางตนอยูในที่อันต่ํากวาแองลึกได ดังนั้นจึงมันเปนเจาแหงแองลึกทั้งปวง จึ่งปราชญจักอยูจักเหนือประชาชนไดก็ดวยการวางตนอยูใตประชาชน จักนําหนาประชาชนเขาตองทําตน อยูเบื้องหลังประชาชน ดั่งนั้นเมื่อเขาอยูเบื้องบน ประชาชนจักมิรูสึกวาแบกภาระ เมื่อเขาอยูเบื้องหนา ประชาชนจักมิรูสึกวามีเขาขวางหนาอยู ดั่งนั้นทั้งโลกจักยินดียกเขาไวเบื้องสูง แลมิไดเบื่อหนายเขาเลย
  • 45. 36 7.4.1 โลกตามทัศนะของธรรมชาตินิยมแบบเตา ตามขอเขียนของเหลาจื้อที่ยกมานี้เตาเปนนิรันดรคือมีอยูโดยไมมีตนกําเนิดและดํารงอยูตลอดไป เตาเปนที่มาของทุกสิ่งและเปนที่ที่ทุกสิ่งกลับคืนไป ในแงนี้เตาคลายกลับพรหมันในศาสนาฮินดู แตเตามิใช พระเจาที่เปน “บุคคล” (person) ลัทธิเตาจึงมิใชเทวนิยม และกลาวไดวาเตาก็คือธรรมชาติอันเปนนิรันดร และเปนที่มาของฟาและดิน ขอที่คลายกันก็คือเตามีลักษณะเปนนามธรรมแตเปนที่มาของรูปธรรม หรือโดย แทจริงแลวรูปธรรมที่เรารับรูดวยประสาทสัมผัสนี้มาจากธรรมชาติที่เปนนามธรรมและกลับไปสูธรรมชาติที่ เปนนามธรรมได เตาจึงมิใชความจริงแบบจิตนิยม แตลัทธิเตาก็มิไดถือวาโลกแหงประสาทสัมผัสเปนมายา และจะบอกวาเตาที่เปนนามธรรมไมมีอยูจริงก็ไมไดเพราะเราอธิบายสิ่งทั้งปวงดวยเตา เหมือนเราพูดไมได วาวิธีแกโจทยคณิตศาสตร ไมมีอยูแมวาสิ่งที่เรารับรูไดคือตัวเลขตาง ๆ ที่ดําเนินไปตามวิธีนั้น การที่เตาเปนความจริงเพียงอยางเดียวและสิ่งหลากหลายมาจากเตาเตาจึงเปนทั้งที่เกิดองคประกอบ ความสัมพันธ วิถีทางและกฎของโลกหรือธรรมชาติ เพราะตองมีความเปลี่ยนแปลงจากเตาไปเปนสิ่งทั้งปวง และ สิ่งตาง ๆ ที่ประกอบกันเปนโลกของประสาทสัมผัสก็ตองมีความสัมพันธกัน และมีวิถีทางที่จะดําเนินไป เรา จึงพบการใชคําวาเตาในความหมายตาง ๆ คือเปน ธรรมชาติ เปนสาเหตุของสิ่งธรรมชาติ เปนจุดหมาย สุดทาย เปนกฎธรรมชาติ และเปนวิถีทางที่จะดําเนินตามกฎธรรมชาติไปสูจุดหมายสุดทาย สภาวะที่สมดุลของธรรมชาติคือสภาวะที่สมบูรณและดีที่สุด เราอาจพิจารณาจากเรื่องนิเวศวิทยา ที่เปนความรูในปจจุบันเปนตัวอยาง ระบบนิเวศวิทยาดําเนินไปตามธรรมชาติ มีความสมดุลและสมบูรณในตัว หากไมมีอะไรไปยุงเกี่ยวแทรกแซงสภาวะแหงธรรมชาตินี้ก็จะดําเนินไปและดํารงอยู มีความดีงามในตัวเอง มีการ เกิด การดําเนินไป การเสื่อมสลาย การพึ่งพาอาศัยกันอยางเหมาะเจาะตามวิถีทางของมัน ตามทรรศนะของ เหลาจื๊อสภาวะธรรมชาติจึงดีที่สุด การเขาไปแทรกแซงทําใหเกิดความเสียหายและเลวรายตาง ๆ ตามมา 7.4.2 ผลของทัศนะของธรรมชาตินิยมแบบเตาตอชีวิต มนุษยเปนสวนหนึ่งของธรรมชาติจึงควรดําเนินชีวิตใหสอดคลองกับธรรมชาติ การพยายามเขาไป เปลี่ยนแปลงแกไขธรรมชาติจะทําใหเกิดความเสียหาย และสงผลรายมาสูตัวมนุษยเอง นี่เปนแงความสัมพันธ ของมนุษยกับธรรมชาติภายนอก ตัวมนุษยเองก็มีธรรมชาติของตนที่จะเปนอยูอยางเรียบงายเปนธรรมชาติ มนุษยตองเขาใจธรรมชาติอันเปนแกนแทของตน ไมดําเนินชีวิตใหผิดธรรมชาติ คือดําเนินชีวิตตามเตาเชน ไมพยายามควบคุมสิ่งใดใหเปนไปตามใจ ปลอยใหสิ่งตาง ๆ ดําเนินไปตามธรรมชาติของมัน ไมยึดถือสิ่งใด เปนของตนและเขาไปเปลี่ยนแปลง ในดานการปกครองผูปกครองที่ปกครองอยางเปนธรรมชาติก็คือผูปกครองที่อยูต่ําวาประชาชนคือรับ ปญหาของประชาชน ไมกดขี่ประชาชน ประชาชนเปนใหญและจุดหมายของการปกครองก็คือประชาชน กลมกลืนกับประชาชนจนประชาชนไมรูสึกวาถูกปกครอง ผูปกครองที่ดีตองปกครองโดยไมปกครอง คือไมใช
  • 46. 37 อํานาจเปนใหญ ไมปกครองเพื่อแสดงอํานาจของตน แตใชอํานาจในตนเพื่อความเปนอยูที่ดีของประชาชน รัฐ ก็จะเปนรัฐที่ปราศจากความกลัว และประชาชนไมเบื่อหนายผูปกครอง ประชาชนมีอิสระอยางแทจริง
  • 47. 38
  • 48. 39 บทที่ 3 ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย 1. มนุษยในทัศนะของวัตถุนิยม 1.1 คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกส 1.1.1 คําอธิบายเรื่ององคประกอบของมนุษย คําอธิบายมนุษยในแนวทางฟสิกสเริ่มตนตั้งแตความคิดของพวกปรมาณูนิยม (Atomism) คือ ความคิดของ ลิวคิปปุส (Leucippus) และเดโมคริตุส (Democritus) ในสมัยกรีกโบราณ นักปรัชญาทั้ง สองเปนนักปรัชญารุนแรกที่เสนอความคิดวา ทุกสิ่งสามารถแบงแยกลงไปสูสิ่งที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถแบงแยก ไดอีกตอไปเรียกวา อะตอม คําวา อะตอมมาจาก a tome แปลวา ตัดไมได แบงไมได โดยพื้นฐานโลกนี้จึง ประกอบดวย อะตอมกับที่วาง ๆ ซึ่งเปนที่อยูของอะตอม ทุกสิ่งลวนประกอบขึ้นดวยอะตอมที่ไมมีคุณสมบัติ เฉพาะใด ๆ คุณสมบัติเปนสิ่งที่มนุษยรูสึกหรือกําหนดขึ้นเทานั้น เชน น้ําตาล ไมไดมีคุณสมบัติ “หวาน” หวานเปนความรูสึกของเรา เมื่อน้ําตาลกระทบลิ้น น้ําตาลทําใหเรารูสึกหวาน ความหวานไมไดอยูที่น้ําตาล แตเปนความรูสึกทางประสาทสัมผัสของเรา ถานําคําอธิบายนี้มาอธิบายมนุษย มนุษยก็ประกอบขึ้นดวยอะตอม ไมมีจิตหรือวิญญาณ หากจะ มีจิตหรือวิญญาณ จิตหรือวิญญาณก็ตองประกอบขึ้นดวยอะตอมเชนกัน แตปญหาก็คือ อะตอมซึ่งเปนสสาร นี้สามารถแสดงปรากฏการณที่เรียกวา “ชีวิต” ไดอยางไร แมแตสสารที่แบงแยกไมไดนั้นก็ถามไดวาเกิดขึ้น ไดอยางไร ถาไมมีผูสรางสสารเกิดเองไดหรือไม 1.1.2 สสาร นักปรัชญากรีกเปนคนกลุมแรก ๆ ที่สังเกตโลกและรูสึกวาการที่มนุษยเชื่อในโลกของประสาทสัมผัส ตามที่ปรากฏไมนาจะถูกตอง นาจะมีความจริงที่อยูเบื้องหลังหรือลวงพนประสาทสัมผัส ความจริงดังกลาวนั้น นักปรัชญากรีกมิไดคิดวาตองเปนสิ่งเหนือธรรมชาติ แตเปนความจริงที่ละเอียดประณีตเกินกวาที่ประสาท สัมผัสธรรมดาจะสัมผัสได จึงไดตั้งคําถามเกี่ยวกับสสารและการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสสาร เชน อะไรคือสสารอันเปนที่มาหรือสวนประกอบของทุกสิ่ง สิ่งทั้งหลายมาจากสสารชนิดใดชนิดหนึ่งที่เรารูไดดวย ประสาทสัมผัสเชน ดิน น้ําหรือวามีสสารซึ่งเราไมรูจักเปนสสารอันเปนที่มาของสสารนั้น ๆ อีกตอหนึ่ง มีพลัง อะไรที่ทําใหสสารเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง พลังทั้งหลายเชนพายุที่พัดกระหน่ํา ฟาที่ผาทําลายกอนหิน พืชที่ เกิดแลวก็ตาย พลังที่ปรากฏเหลานี้ยังมีพลังอะไรที่อยูเบื้องหลังหรือไม พลังนั้นอยูภายในสิ่งตาง ๆ หรือมาจาก ภายนอก คําตอบเกี่ยวกับสสารดูเหมือนจะลึกซึ้งลงไปเปนลําดับ ตั้งแตคําตอบงาย ๆ ในปรัชญากรีกสมัย ศตวรรษที่ 5 กอนคริสตศักราช เชน คําตอบของธาเลสที่วาสิ่งทั้งปวงมาจากธาตุเบื้องตนหรือปฐมธาตุคือน้ํา มาสูคําตอบที่ลึกลงไปอีกระดับหนึ่งคือคําตอบของเดโมคริตุสเรื่องอะตอม ในปจจุบันคําตอบลึกลงไปกวา
  • 49. 40 นั้นคืออะตอมยังมีสวนประกอบเปนอนุภาคโปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน คําตอบนี้ทําใหอะตอมซึ่งถือ กันวาเปนสสาร กลายเปนสิ่งที่มีองคประกอบเปนพลังงาน และฟสิกสที่ถือวาเปนศาสตรเกี่ยวกับสิ่งที่ แนนอนตายตัว กลายเปนศาสตรที่ยังสับสนเมื่อพูดถึงนิวเคลียรฟสิกส ในปจจุบันนักวิทยาศาสตรสามารถ สรางอิเล็กตรอนจากสุญญากาศได และยังสรางโปรตรอนได ซึ่งแสดงวาในแงวิทยาศาสตร อิเล็คตรอนและ โปรตรอนเกิดจากความวางเปลา และสสารสามารถเกิดขึ้นจากความวางเปลาได ในเรื่องพลังที่ทําใหสสารเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงก็ไดมีการพัฒนาคําอธิบายแบบคาดเดาของกรีก โบราณ เชน รักและเกลียด (love and hate) มาเปนเรื่อง “แรง” ในทฤษฎีของกาลิเลโอ จนในปจจุบันไดพูด ถึงแรง 4 ประเภท ประเภทแรกคือ แรงดึงดูด (gravity) ซึ่งเปนแรงที่เราใชอธิบายการยกของขึ้นลง การโคจรของโลก การดึงดูดระหวางดวงดาว เราก็ยังเขาใจอะไรเกี่ยวกับแรงดังกลาว ไมมากนัก นักฟสิกสสังเกตวาแรงดึงดูดมี ลักษณะเปนคลื่นซึ่งมาจากศูนยกลางแกแล็กซีของเรา ประเภทที่สอง แรงแมเหล็กไฟฟา ไดแกแรงที่ทําใหแมเหล็กกับเหล็กดูดกัน ดึงดูดอะตอมใหอยู รวมกันเปนโมเลกุล สงสัญญาณตามเซลลประสาทไปสูสมอง สงสัญญาณภาพโทรทัศน อีกสองประเภทอยูในระดับเล็กกวาระดับอะตอม ไดแกแรงที่เรียกวา strong interaction ซึ่งทําให โปรตรอนกับนิวตรอนที่ควรจะผลักกันอยางรุนแรงอยูรวมกันในอะตอมได กับ weak interaction ซึ่งกระทํา ตออนุภาคของอะตอมและทําใหอนุภาคแยกจากกัน แตเรายังไมมีความรูเกี่ยวกับแรงชนิดนี้มากนัก 1.1.3 มนุษยหุนยนต การสืบคนเรื่องสสารลงไปถึงที่สุดดังกลาวทําใหเกิดความเขาใจวา นอกจากสสาร (และพลังงาน) แลว ไมมีอะไรอื่นอีก สิ่งทั้งหลายเกิดจากสสารประกอบกันขึ้นจากระดับต่ํากวาอะตอม ระดับอะตอม โมเลกุล ไปจนเปนสารประกอบทางเคมี และรวมกันเปนสิ่งตาง ๆ หากพิจารณาเชนนี้มนุษยก็ประกอบขึ้น ดวยสสารและพลังงาน (ซึ่งทางปรัชญาเรียกรวม ๆ วา สสาร) สสารประกอบกันขึ้นและแยกจากกันดวยแรง หรือพลังดังกลาวขางตน รางกายมนุษยก็ประกอบกันขึ้นจากสสารดวยพลังงานเชนนั้น และแยกสลายดวย พลังงานเชนนั้น มนุษยจึงเปนเพียงสสารที่ยึดโยงกันเปนกลุม เปนรางกาย ไมมีจิตหรือวิญญาณแตอยางใด การยึดโยงกันนี้เปนไปอยางมีระเบียบและเชื่อมโยงกันเปนระบบ ซึ่งวิชากายวิภาคศาสตรสามารถ อธิบายระบบและความสัมพันธระหวางระบบตาง ๆ ของรางกายได เชนเดียวกับการทํางานของเครื่องจักร มนุษยเปนเครื่องจักรชนิดหนึ่งหรือกลาวอีกนัยหนึ่งมนุษยก็คือหุนยนตธรรมชาติ ในแงกายวิภาคศาสตรมนุษย ประกอบขึ้นดวยหนวยเล็ก ๆ คือ เซลสซึ่งแยกองคประกอบลงไปไดอีก คือประกอบดวยสารเคมีที่สามารถแยก ลงไปในเชิงนิวเคลียร ฟสิกสอีกชั้นหนึ่ง เซลสประกอบกันเปนอวัยวะยอย ๆ ซึ่งรวมกันเปนระบบกลายเปน อวัยวะที่ซับซอนขึ้น อวัยวะตาง ๆ ประกอบกันอยางเปนระบบ มีการทํางานเชื่อมโยงกันระหวางระบบตาง ๆ
  • 50. 41 เชน ระบบโครงกระดูก ระบบเนื้อเยื่อ ระบบตอมไรทอ ระบบหายใจ ระบบการไหลเวียนของโลหิต ระบบ ขับถายเปนตน ซึ่งทําใหคนสามารถแสดงพฤติกรรมตาง ๆ ได การพิจารณาโดยแยกมนุษยออกเปนสวนประกอบยอย ๆ ดังกลาวเปนการพิจารณาโดยเปรียบเทียบ กับเครื่องจักร ซึ่งประกอบดวยชิ้นสวนตาง ๆ ที่ทําหนาที่เชื่อมโยงกันเปนระบบ แยกไดเปนสวนหลัก ๆ เชน เสื้อ เครื่องยนต ลูกสูบ เพลาลูกเบี้ยว เฟองสงกําลัง เพลาขับ แตละสวนเหลานี้ก็ประกอบดวยชิ้นสวนยอย ๆ ลงไป เมื่อระบบตาง ๆ ของเครื่องยนตทํางานประสานกันอยางถูกตอง เครื่องยนตก็เดินเปนปกติเหมือนคนที่อวัยวะ ทุกสวนทุกระบบอยูในสภาพปกติ รางกายก็สามารถทํางานได การทํางานของเครื่องยนตเปนไดโดยไมตอง มีจิตฉันใด การทํางานของรางกายมนุษยที่ปรากฏเปนพฤติกรรมตาง ๆ ก็ไมจําเปนตองมีจิตฉันนั้น แนวคิดนี้ นิยมกันในหมูนักปรัชญาฝายวัตถุนิยมสมัยใหม (modern age)คือ ราวคริสตศตวรรษที่ 18 และ 19 1.1.4 เครื่องจักรที่คิดได คําตอบดังกลาวขางตนยังไมเปนที่นาพอใจ เพราะเครื่องจักรไมมีอารมณ ความรูสึก ความคิด จินตนาการ อันเปนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ มันทํางานอยางปราศจากความคิด เปนไปตามความตองการของ มนุษยผูควบคุม หุนยนตในยุคแรก ๆ ก็ทํางานไดอยางหยาบ ๆ จนยากที่จะเทียบไดกับมนุษย อะไรควบคุม รางกายใหทําการตาง ๆ ได ถาสิ่งนั้นเปนสสาร เปนวัตถุ วัตถุไมมีชีวิตมันจะกระทําการเองไดอยางไร แมจะ ยอมรับวาคนเราใชสมองคิด แตสมองที่เปนกอนเนื้อจะคิดไดอยางไร สมองนาจะเปนเพียงอวัยวะที่เปน เครื่องมือของสิ่งอื่นที่เปนผูคิด และสิ่งนั้นตองไมใชวัตถุ หากแตเปนจิตหรือนามธรรม คําอธิบายเรื่องเครื่องจักรสามารถคิดไดเริ่มมีน้ําหนักมากขึ้นเมื่อคอมพิวเตอรเจริญขึ้น โดยมีขนาด เล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทํางานซับซอนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเกิดความคิดวา ถาคอมพิวเตอรคิดได สมองซึ่งเปนสสารก็คิดไดเชนเดียวกัน ความสามารถในการคิดเราเรียกวา ปญญา ความรูหรือความฉลาด เมื่อคอมพิวเตอรมีความสามารถในการคิดเทาเทียมกับมนุษยหรือเกงกวามนุษยในบางเรื่อง จึงเกิดคําเรียก ความฉลาดของคอมพิวเตอรวา ปญญาประดิษฐ (artificial intelligena) เครื่องคอมพิวเตอรเทียบไดกับสมอง และความสามารถในการทํางานของมันเทียบไดกับสติปญญา หากคอมพิวเตอรกับสมองทํางานแบบเดียวกัน คนก็คิดไดโดยไมตองมีจิต ขอโตแยงเรื่องจิตในสมัยปจจุบันมักเปนการพิสูจนโดยเปรียบเทียบดังกลาว ถา รางกายเหมือนเครื่องจักรคอมพิวเตอรที่ควบคุมการทํางานของเครื่องจักรก็เหมือนกับสมองที่ควบคุมการทํางาน ของรางกาย 1.1.5 เหตุผลสนับสนุนความคิดที่วาเครื่องจักรสามารถคิดได ในบทความของ คริสโตเฟอร เอแวนส (Christopher Evans)1 เรื่องเครื่องจักรสามารถคิดได หรือไม เอแวนสไดโตแยงทัศนะที่เชื่อวาการคิดของมนุษยไมใชเรื่องการทํางานของสมองซึ่งเปนสสารแตเพียง 1 บทความนี้ ฉบับภาษาไทย อยูในเอกสารอัดสําเนาของภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย อาจารยโสรัจจ หงศลดารมภ และอาจารยอุกฤษฎ แพทยนอย เปนผูแปล
  • 51. 42 อยางเดียวยังจะตองมีสิ่งอื่นที่มิใชสิ่งกายภาพรวมอยูดวย และสิ่งเหลานั้นอาจปรากฏเปนปรากฏการณทางจิต เชน อารมณ ความนึกคิด ความคิดสรางสรรค ญาณเหนือผัสสะ เปนตน เอแวนสเชื่อวาสมองทําหนาที่คิดได โดยไมตองมีสิ่งพิเศษที่ไมใชสสารอันประกอบขึ้นเปนสมอง และสมองทําหนาที่คิดไดดุจเดียวกับคอมพิวเตอร เปนแตสมองพัฒนามาตามกระบวนการวิวัฒนาการ สวนคอมพิวเตอรพัฒนาโดยกระบวนการทางฟสิกสดวย ฝมือมนุษย แตถาคอมพิวเตอรกับสมองทํางานไดเหมือน ๆ กันก็ตองถือวาคอมพิวเตอรคิดได เชนเดียวกับที่ สมองคิดได ไมวาการคิดนั้นจะเปนไปโดยกระบวนการทางฟสิกส หรือชีววิทยาก็ตาม เอแวนสพยายาม พิสูจนวาคอมพิวเตอรคิดไดโดยที่คอมพิวเตอรไมตองมีสิ่งนามธรรม หรือจิต หากเปนเชนนั้นก็อาจสรุปไดวา สมองสามารถคิดไดโดยไมตองมีจิตคือการคิดทั้งหลายเปนกระบวนการทางกายภาพลวนๆ จิตไมจําเปนตองมี ประเด็นตางๆที่เอแวนสอางมีดังนี้ 1) คอมพิวเตอรในปจจุบันพัฒนามาจากคอมพิวเตอรแบบงาย ๆ ในอดีต และยังคงเปนคอมพิวเตอร แบบเดิมอยู แตมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถคิดไดอยางซับซอน คิดไดเร็วกวามนุษย มีความถูกตอง แมนยํากวา และไมรูจักเหน็ดเหนื่อย ในแงนี้ถือไดวาคอมพิวเตอรเปนสมองหรือปญญาประดิษฐ (artificial intelligence) ที่มีประสิทธิภาพกวาปญญาของมนุษย ดังนั้นมิใชแตเพียงคอมพิวเตอรคิดไดอยางมนุษยแต คิดไดดียิ่งกวาสมองของมนุษย 2) คอมพิวเตอรสามารถทํางานไดเหมือนการคิดของมนุษยมากจนไมรูวาเปนคอมพิวเตอร ถาไมรู มากอนหรือไมมีใครบอกใหทราบ เชน กรณีที่นักเลนหมากรุกโลก เลนหมากรุกกับเครื่องคอมพิวเตอร เชส 47 (chess47) และออกปากวาเลนเกงเทานักเลนหมากรุกระดับโลกและถาไมรูมากอนวาเปนคอมพิวเตอรก็จะตอง นึกวาเปนคน 3) คอมพิวเตอรสามารถโตตอบความคิดกับมนุษยได เชนเดียวกับมนุษยสนทนาโตตอบกัน คอมพิวเตอรสามารถรับคําสั่งและสนทนาโตตอบ ปฏิเสธ บอกทางเลือก สอบถามความตองการของมนุษย ได การทํางานเชนนี้เหมือนกับการทํางานโดยใชสมองของมนุษย 4) คอมพิวเตอรมีความคิดสรางสรรคได คือมีความคิดใหมที่ยังไมมีใครคิดมากอน เอแวนส ยกตัวอยางเรื่องการพิสูจนทางเรขาคณิตเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยม และเรื่องการใชสี่สีในการพิมพดังนี้ ก. กรณีการพิสูจนทางเรขาคณิต “ตัวอยางของการคิดเชิงสรางสรรคของเครื่องยังมีที่ดีกวานี้ เชนการใหเครื่องพิสูจนทฤษฎีใน เรขาคณิตของยูคลิค ซึ่งเครื่องไดคิดคนแนวทางการพิสูจน ซึ่งไมเคยมีมนุษยคนใดคิดไดมากอน กลาวคือ เครื่องสามารถพิสูจนไดวา มุมฐานของสามเหลี่ยมหนาจั่ว มีขนาดเทากันโดยการพลิกสามเหลี่ยมดังกลาว ไป 180 องศา แลวบอกวาสามเหลี่ยมทั้งคูนี้ทับกันไดสนิท”1 1 เรื่องเดิม หนา 8
  • 52. 43 ข. กรณี การพิมพสี “ตัวอยางที่เห็นไดชัดก็คือ “ปญหาสี่สี” ปญหาดังกลาว อยูที่วาจะทาสีประเทศหรือรัฐตาง ๆ ใน แผนที่โดยใชสีใหนอยสีที่สุดกี่สีเพื่อใหแตละประเทศหรือรัฐที่อยูติดกันจะตองมีสีไมซ้ํากัน ปญหานี้มีนัยสําคัญ ทางคณิตศาสตร … ประสาทสัมผัสจะบอกเราวาสี่สีเปนจํานวนที่ใชได แตถาคุณจะตองหาขอพิสูจนเชิง คณิตศาสตรวาทําไมถึงตองเปนสี่สีคุณจะไปที่ไหนไมไดเลย นักคณิตศาสตรพยายามมาเปนสิบ ๆ ป แลวที่ จะพิสูจนเรื่องนี้ แตก็ไมคืบหนาไปไหน “บทพิสูจน” ที่มีผูเสนอก็ปรากฏวาผิดพลาดทั้งสิ้น อยางไรก็ตามใน ป 1977ปญหานี้ก็มีผูปอนใหคอมพิวเตอรซึ่งหาหนทางแกดวยการพิจารณาทางเลือกทั้งหมดที่มีอยูดวยความเร็ว มหาศาลและผลที่ไดก็คือเครื่องสามารถหาขอพิสูจนที่นักคณิตศาสตรพอใจได2 5) ในอนาคตคอมพิวเตอรอาจพัฒนาโปรแกรมใหสามารถทํางานไดทุกอยางที่สมองมนุษยทําได แมกระทั่งพัฒนาโปรแกรมดวยตัวมันเองก็ได ขออางนี้เปนการพิจารณาจากสิ่งที่คอมพิวเตอรทําไมไดในอดีต เชน เขียนตัวอักษรเหมือนที่มนุษยเขียนไมได วาดภาพไมได แตในปจจุบัน คอมพิวเตอรสามารถทํางาน เหลานี้ไดดีกวามนุษย การอางเหตุผลเชนนี้ทําใหคอมพิวเตอรกลายเปนสิ่งที่พัฒนาเปนอะไรก็ไดไมมีขอจํากัด ดังนั้นไมวาสมองมนุษยจะเปนอยางไร ก็สามารถอางไดวาคอมพิวเตอรจะเปนเชนนั้นไดเสมอ กลาวคือเปน ความเชื่อเบื้องตนวาคอมพิวเตอรกับสมองไมมีอะไรตางกันตั้งแตตน 6) สมองมนุษยก็คือคอมพิวเตอรที่พัฒนาโปรแกรมมานานโดยกระบวนการวิวัฒนาการ คอมพิวเตอร ก็อาจพัฒนาโดยกระบวนการฟสิกสดวยระบบดิจิตอลไดเชนเดียวกับสมอง 7) คอมพิวเตอรไดพัฒนามาจนกระทั่งทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพยิ่งกวาสมองในบางเรื่อง ดังนั้น คอมพิวเตอรที่เจริญหรือ ปญญาประดิษฐ (artificial intelligence) ที่เฉลียวฉลาดเชนนี้อาจมีคุณสมบัติบาง อยางเชนรูสึก หรือรูตัววากําลังคิดหรือทําอะไรอยู หากเปนเชนนั้นคอมพิวเตอรก็ไมแตกตางกับสมองมนุษย เมื่อพิจารณาโดยนัยตาง ๆ ดังกลาวขางตน ไมวาจะเปนรางกาย หรือสมองของมนุษยก็มีลักษณะ เปนเครื่องจักรและชีวิตก็คือการทํางานของเครื่องจักร 1.1.6 ในบทความเรื่องคอมพิวเตอรคิดไดหรือไม จอหน เซิรล (John Searle)1 วิจารณความคิดของ นักปรัชญาฝายวัตถุนิยมที่เชื่อวาเครื่องจักรกับสมองทํางานอยางเดียวกัน และเครื่องจักรก็อาจมีความคิด และความรูสึกก็คือการทํางานของสมองตามโปรแกรมในตัวมันไมมีสิ่งอื่นที่เรียกวาจิตหรืออะไรทั้งสิ้นแมขณะนี้ มนุษยจะยังสรางเครื่องคอมพิวเตอรที่คิดและรูสึกไดดังกลาวแตในอนาคตมนุษยก็จะสามารถออกแบบโปรแกรม ที่เทียบไดกับสมองและความคิดของมนุษยในทุกๆดาน 2 เรื่องเดิม หนา 7 1 เอกสารประกอบการสอน วิชาปรัชญาเบื้องตนของภาควิชาปรัชญาคณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, โสรัจจ หงศลดารมภ (ผูแปล)
  • 53. 44 เซิรลคิดวาไมวาคอมพิวเตอรจะพัฒนาไปเพียงไรมันก็ยังคงเปนเพียงคอมพิวเตอรชนิดนั้นที่ ซับซอนขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น แตไมมีทางที่จะเหมือนสมองที่มีความสามารถ ในสิ่งที่คอมพิวเตอรไมมี และความสามารถนั้นก็อยูนอกเหนือความสามารถในการทํางานของคอมพิวเตอรแบบดิจิตอล ขอแยงนี้ก็ เหมือนกับสัตวน้ําไมวาจะมีคุณสมบัติพิเศษใด ๆ ก็ตองเปนคุณสมบัติในการอยูในน้ํา ไมอาจมีคุณสมบัติ เฉพาะของสัตวบกได เขาบรรยายการทํางานของคอมพิวเตอรแบบดิจิตอลวา “การทํางานของมันสามารถบรรยายไดอยางเปนแบบแผน นั่นคือเรากําหนดและบรรยาย ขั้นตอนตาง ๆ ของการทํางานของคอมพิวเตอรดวยสัญลักษณที่เปนนามธรรม เชน เลข 0 กับ 1 “กฎ” คอมพิวเตอรตามปกติจะกําหนดวาเมื่อใดเครื่องจะอยูในสถานะใด และเครื่องก็ จะมีสัญลักษณบางอยางอยูบนเทป เมื่อเปนเชนนี้เครื่องก็จะดําเนินการเชน ลบสัญลักษณ หรือพิมพสัญลักษณใหมลงไป หลังจากนั้นเครื่องก็จะเขาสูสถานะใหมอีกสถานะหนึ่งเชน เลื่อนแถบเทปไปทางซาย แตสัญลักษณพวกนี้ไมมีความหมายมันไมมีเนื้อหาทางอรรถศาสตร1 มันไมไดเกี่ยวพันกับอะไรเลย สัญลักษณพวกนี้ตองกําหนดดวย โครงสรางตามแบบแผนหรือ โครงสรางตามวากยสัมพันธ2 ของมันเทานั้น ตัวอยางเชนเลข 0 กับเลข 1 ในคอมพิวเตอร เปนเพียงตัวเลขเทานั้น มิไดแมกระทั่งบงถึงจํานวนศูนยหรือหนึ่ง ที่จริงคุณลักษณะนี้เองที่ทํา ใหดิจิตัลคอมพิวเตอรมีพลังและประสิทธิภาพมาก เครื่องคอมพิวเตอรเครื่องหนึ่งสามารถทํางาน ตามโปรแกรมไดมากมายไมจํากัด… การมีจิตใจมีอะไรมากกวา เพียงกระบวนการแบบแผน หรือกระบวนการทางวากยสัมพันธมาก สถานะทางจิตของเรายอมมีเนื้อหาบางอยาง ถาผม กําลังนึกถึงเมืองแคนซัส ซิตี้ หรือหวังวาผมมีเบียรเย็น ๆ หรือคิดวาอัตราดอกเบี้ยจะลดต่ําลง ในแตละกรณีสถานะทางจิตของผมมี “เนื้อหาทางจิต” ที่นอกเหนือไปจากลักษณะแบบแผน3 แนวคิดนี้แสดงใหเห็นวาคอมพิวเตอรทํางานตามแบบที่เปนกลไก โปรแกรมควบคุมการทํางานให เปนไปตามกลไกที่กําหนด เครื่องยนตของรถยนตทํางานตามคอมพิวเตอรที่ควบคุมสั่งการโดยตัวเครื่องยนต เองไมไดมีความรับรู ไมมีสัมปชัญญะ เปนการทํางานอยางตาบอดฉันใด คอมพิวเตอรเองก็เปนเครื่องยนต ชนิดหนึ่งที่ทํางานเปนกลไกเชนเดียวกับเครื่องยนตของรถยนต โปรแกรมคอมพิวเตอรเองก็เปนกลไกที่มนุษย สรางคือเปนตัวระบบที่ใชควบคุมเครื่องยนตคือคอมพิวเตอรอีกตอหนึ่งผูที่สรางระบบก็คือมนุษยที่มีสัมปชัญญะ มีสติ มีเจตจํานง มนุษยรูวาตัวทําอะไรและรูความหมายในสิ่งที่ตัวทํา แตเครื่องมือที่มนุษยใชคือคอมพิวเตอร และโปรแกรมเปนเพียงเครื่องจักรที่ทําตามคําสั่งอยางตาบอด มันทํางานเหมือนมีความรูความเขาใจ เพราะ ระบบที่มนุษยสรางมีความเปนระเบียบแบบแผนตามเจตจํานงของมนุษย แตตัวเครื่องจักรมิไดรูวาตัวมันกําลัง 1 อรรถศาสตร (semantics) วิชาที่วาดวยความหมายทางภาษา 2 วากยสัมพันธ (syntax) วิชาวาดวยการเรียงลําดับคําตามโครงสรางของภาษาใดภาษาหนึ่ง 3 เรื่องเดียวกัน
  • 54. 45 ดําเนินไปอยางมีระเบียบแบบแผน มันทําไปตามที่ถูกบังคับควบคุม มิไดมีอิสรเสรี เรื่องนี้เซิรลไดยกตัวอยาง เปรียบเทียบ การทํางานของคอมพิวเตอรกับมนุษยใหเห็นความแตกตางดังนี้ สมมติวาโปรแกรมเมอรกลุมหนึ่งเขียนโปรแกรมขึ้นมาที่ทําใหคอมพิวเตอรสามารถเลียนแบบ ความเขาใจภาษาจีนได ดังนั้นเมื่อคอมพิวเตอรไดรับขอมูลที่เปนคําถามในภาษาจีน มันก็จะ เปรียบเทียบคําถามนั้นกับคลังความจําหรือฐานขอมูลของมัน แลวสงคําตอบที่เหมาะสม ออกมา สมมติวาโปรแกรมดังกลาวเขียนไดดีมากจนกระทั่งคําตอบนั้นดีพอ ๆ กับคําตอบ ของผูที่พูดภาษาจีนเปนภาษาแม คําถามในตอนนี้ก็คือ เครื่องคอมพิวเตอรเขาใจภาษาจีน แบบที่ชาวจีนเขาใจภาษาของตนเองหรือไม เอาละ ลองนึกภาพวาคุณถูกขังอยูในหอง ๆ หนึ่ง ซึ่งเต็มไปดวยตะกรามากมายที่เต็มไปดวยตัวอักษรจีนจํานวนมาก ลองคิดดูวาคุณไมรู ภาษาจีนเหมือนกับที่ผมไมรู แตคุณมีคูมืออยูเลมหนึ่งเขียนเปนภาษาอังกฤษบอกวาคุณ จะตองทําอยางไรกับตัวอักษรจีนเหลานี้ กฎตางๆ ในคูมือเลมนี้กําหนดการกระทําตอตัวอักษรจีน ดวยวิธีที่เปนเรื่องของแบบแผนลวน ๆ หมายความวากฎตาง ๆ พวกนี้เปนกฎทางวากยสัมพันธ ไมใชอรรถศาสตร ดังนั้นกฎหนึ่งอาจบอกวา “เอาสัญลักษณรูปรางอยางนี้อยางนี้จากตะกรา หมายเลขหนึ่งและวางมันขาง ๆ สัญลักษณรูปรางอยางนั้นในตะกราหมายเลขสอง” ทีนี้สมมติ วามีตัวหนังสือภาษาจีนถูกสงเขามาในหอง และสมมติอีกวาคุณมีหนาที่ที่จะสงตัวหนังสือ กลับไป โดยมีกฎจํานวนหนึ่งที่บอกวาคุณจะตองสงสัญลักษณกลับไปนอกหองอยางไรเมื่อ ไดรับสัญลักษณที่เรียงกันแบบนั้นแบบนี้มา สมมติวาคุณไมรูวาสัญลักษณที่เปนตัวจีนที่สง เขามาในหองนั้น คนขางนอกหองเรียกวา “คําถาม” และสัญลักษณที่คุณสงกลับไปเรียกวา “คําตอบ” สมมติอีกวาโปรแกรมเมอรที่เขียนกฎการเรียงตัวหนังสือนี้มีความเกงกาจมาก จนเมื่อ ผานไประยะหนึ่งคนนอกหองไมมีทางแยกออกเลยวาคําตอบนี้เปนคําตอบของคนจีนจริงหรือ ไมใช เราจะเห็นไดวาคุณในตอนนี้ถูกขังอยูในหองที่มีแตตัวหนังสือจีนที่คุณอานไมออกเลย สักตัวเดียว และกระทําการสลับสับเปลี่ยนตัวหนังสือตาง ๆ มากมาย จากสถานการณที่ผมได บรรยายมา พบวาไมมีทางใดเลยที่คุณจะเรียนรูภาษาจีนโดยการสลับสับเปลี่ยนตัวหนังสืออยู อยางนี้ ที่นี้ประเด็นที่ผมตองการจะเสนอจากตัวอยางนี้ก็มีแคนี้ คือวาจากการที่คุณดําเนินตาม โปรแกรมคอมพิวเตอรแบบแผน และจากการสังเกตจากมุมมองของผูสังเกตการณภายนอก คุณมีพฤติกรรมเหมือนคนที่รูภาษาจีนดีทุกอยาง แตในขณะเดียวกันคุณก็ไมไดเขาใจภาษาจีน เลยแมแตไมเพียงพอที่จะทําใหคุณเขาใจภาษาจีนจริงๆก็ไมเพียงพอที่จะใหเครื่องคอมพิวเตอร อื่นใดก็ตามเกิดความเขาใจภาษาจีนขึ้นมาได ย้ําอีกครั้งเหตุผลสําหรับเรื่องนี้สามารถพูดไดสั้นๆ ถาคุณไมเขาใจภาษาจีน เครื่องคอมพิวเตอรใด ๆ ก็ไมอาจเขาใจภาษาจีนได เพราะไมมีเครื่อง คอมพิวเตอรเครื่องใดจะมีอะไรที่คุณไมมีถามันทํางานแตเพียงการดําเนินตามโปรแกรม ทุก อยางที่คอมพิวเตอรมีก็คือสิ่งที่คุณมีอยูแลว นั่นก็คือโปรแกรมแบบแผนที่ใชในการจัดการกับ
  • 55. 46 ตัวหนังสือภาษาจีนที่ยังไมไดตีความ ขอย้ําอีกครั้งวาคอมพิวเตอรมีแตเพียงวากยสัมพันธ แตไมมีอรรถศาสตร จุดหมายทั้งหมดของเรื่องหองภาษาจีนนี้ก็คือการเตือนความทรงจําของ เราเกี่ยวกับเรื่องที่เรารูกันดีอยูแลว วาการเขาใจภาษาหรือการมีสถานะทางจิตใจ ๆ มีสวน เกี่ยวของอยางยิ่งกับอะไรที่มากไปกวาสัญลักษณแบบแผนที่เรียงกันเปนตับ ความเขาใจนี้ ตองอาศัยการตีความ หรือการมีความหมายติดอยูกับสัญลักษณ และเครื่องคอมพิวเตอร แบบดิจิตัลตามที่นิยามไวไมอาจมีอะไรมากไปกวาสัญลักษณแบบแผนได ทั้งนี้เนื่องจากอยาง ที่ผมพูดไวแลว คือวาคอมพิวเตอรไมเปนอะไรมากกวาสิ่งที่สามารถดําเนินการตามโปรแกรม และโปรแกรมพวกนี้สามารถกําหนดออกมาอยางเปนแบบแผนได นั่นคือมันไมมีอรรถศาสตร1 กรณีดังกลาวนี้ชี้ใหเห็นวาคอมพิวเตอรคิดไมได ไมวาโปรแกรมจะซับซอนเพียงไร การทํางานก็คง เปนไปตามระบบเดิม รูปแบบเดิม การคิด การตัดสินใจหรือกระบวนการทางจิตอื่น ๆ มิไดเกิดขึ้น แมมี โปรแกรมที่แสดงอารมณก็ไมอาจทําใหคอมพิวเตอรมีอารมณจริง ๆ เปนแตแสดงออก “ราวกับ” หรือ “ประหนึ่ง วา” มีอารมณเทานั้น แนวความคิดของเอแวนสที่ผลักความสําเร็จในการพัฒนาของคอมพิวเตอรไปสูอนาคต โดยมีความเชื่อแตตนวา ไมวาคอมพิวเตอรจะพัฒนาไปในดานใดก็อยูในวิสัยที่เปนไปไดทั้งสิ้น แมกระทั่ง พัฒนาโปรแกรมดวยตัวเอง หรือเปนสมองมนุษย แตถามีความเชื่อเชนนี้อยูแลวขอพิสูจนทั้งหลายของเอแวนส ก็ไมจําเปน สิ่งที่เอแวนสมิไดพิสูจนก็คือความรูสึกในตัวตนเกิดขึ้นไดอยางไรเมื่อใด ชีววิทยาพยายามตอบ ปญหาทํานองนี้โดยพยายามหากําเนิดของ “ชีวิต” ซึ่งทําใหสสารกลายเปนสิ่งมีชีวิต 1.2 คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของชีววิทยา 1.2.1 อะไรคือตนกําเนิดของชีวิต คําถามทางปรัชญาที่สําคัญ ซึ่งมนุษยพยายามตอบกันมาโดยตลอดก็คือคําถามเกี่ยวกับตนกําเนิด ของชีวิตของมนุษย ของสสาร และของจักรวาล คําถามเหลานี้จะตอบไดก็ตอเมื่อมีขอมูลและความรูมหาศาล เมื่อสมัยที่ความรูทางวิทยาศาสตรยังไมเจริญ คําตอบเกี่ยวกับชีวิตและมนุษยมักจะปรากฏเปน เรื่องเหนือธรรมชาติ เชน เรื่องพระเจา สรางมนุษยในคริสตศาสนา หรือเรื่องผีปนลูกของไทย เปนตน แตใน ปจจุบันความรูดานชีวเคมีเจริญมากขึ้น และไดตอบปญหาเกี่ยวกับกําเนิดของชีวิตไดลึกซึ้งยิ่งกวาแนวทาง ฟสิกสที่กลาวมาแลว 1.2.2 ปรากฏการณที่เรียกวา “มีชีวิต” ในปจจุบันปรากฏการณที่เรียกวา “ชีวิต” อาจนิยามไดดวยคุณสมบัติสองประการคือ การจําลอง ตัวเองได (self – replication) และการเปลี่ยนแปลงได (mutability) อินทรียภาพใด ๆ ที่มีลักษณะสองประการนี้ เรียกไดวา “มีชีวิต” การที่จะมีลักษณะสองประการนี้ไดก็ตองมีกระบวนการวิวัฒนาการอันประกอบดวยความ 1 เรื่องเดิม
  • 56. 47 สืบเนื่องและการปรับตัว การจําลองตัวเองไดทําใหเผาพันธุยังดํารงอยูเมื่อตัวมันตายไปกลาวคือทําใหมีความ สืบเนื่องของเผาพันธุนั้น ๆ การปรับตัวไดทําใหดํารงอยูในสภาวะแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงได หากปรับตัวไมได ก็อาจตองสูญเผาพันธุเพราะสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้อาจมีการนิยามดวยคุณสมบัติอื่น ๆ เชน เคลื่อนไหวได กินอาหารได เติบโตได ตอบสนองสิ่งแวดลอมได ดํารงอยูในสภาพที่สมดุลได การที่เราพูดถึงคุณสมบัติสองประการขางตนนั้น ที่จริงยังมิไดเปนการนิยาม คําวา “ชีวิต” เรายัง ไมไดคิดถึงอะไรเกี่ยวกับชีวิต เราเพียงแตพูดถึงลักษณะภายนอกของสิ่งมีชีวิตที่เรารูไดดวยการสังเกต เราเพียง แตบอกวาถาสิ่งใดทําไดเชนนั้นเราจะจัดเขาประเภท“สิ่งมีชีวิต”แตเราก็ยังไมไดบอกวาชีวิตคืออะไร เมื่อเราพิจารณาจากความรูสึกของเรา เรารูสึกไดวา ชีวิตมิใชเปนเพียงความสามารถที่จะทําสิ่งใด แตเปนสิ่งใดสิ่งหนึ่งในตัวเราที่อยูกับเราตลอดระยะเวลาที่เรายังไมตาย ตามทฤษฎีมนุษยหุนยนตที่เราไดกลาวมาแลวเราอาจสรางหุนยนตที่มีคุณสมบัติสองประการดังกลาว ขางตนได หุนยนตเหลานั้นอาจออกลูกออกหลานสืบตอกันไปไมรูจบและสามารถปรับตัวเขากับสิ่งแวดลอม แต เราจะยอมรับไดหรือไมวามันมีชีวิต ชีวิตนาจะมีอะไรมากกวาหุนที่เต็มไปดวยแผงวงจรไฟฟา 1.2.3 กําเนิดของชีวิตบนพื้นโลก โลกมีจํานวนนับไมถวน มีอายุและลักษณะแตกตางกัน คัมภีรพระพุทธศาสนาเชื่อวา ยังมีโลกอื่น ๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตเชนเดียวกับโลกนี้อีกมากมายในจักรวาล ในที่นี้เราจะสืบสาวหาตนกําเนิดของชีวิตบนโลกนี้ ระบบสุริยะของเราเกิดขึ้นราวหาพันลานปมาแลวหลังจากนั้นราวสองพันหารอยลานปโลกเริ่มควบแนน เปนลูกกลมรอนที่ยังมีความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไมมีชีวิตใด ๆ อยูได ซากดึกดําบรรพของสัตวที่มีเปลือกแข็งอยูในยุคพรีแคมเบรียน (Precambrian) ราว 700 ลานป มาแลว และแยกเปนวงศตาง ๆ มากมายในยุคแคมเบรียนซึ่งเริ่มราว 600 ลานปมาแลว รองรอยของสิ่งมีชีวิต เหลานี้พบไดงายเพราะไดพัฒนามามากจนมีเปลือกที่กลายเปนซากดึกดําบรรพหลงเหลืออยู แตสวนที่เปน เนื้อในไดสลายไปไมเหลือรองรอย เราจึงเชื่อไดวาสัตวที่รางกายนิ่มรวมทั้งชีวอินทรียที่มีเซลลเดียวซึ่งมีอยู นับไมถวนนาจะมีอยู ในกระบวนการวิวัฒนาการที่ดําเนินสืบเนื่องมากอนหนานั้น แตไมมีอะไรใหนักดึกดํา บรรพวิทยาคนพบได ชีวิตที่เกาแกที่สุดที่เรารูจักคือเซลสพืชจําพวกสาหรายที่อยูในสมัยสามพันหารอยลานปมาแลว เซลล ดังกลาวสามารถสังเคราะหแสงแบบพืชใบเขียวได แตชีวิตก็ตองเกิดกอนหนานี้ เราอาจประมาณระยะเวลาได วาชีวิตนาจะเกิดขึ้นราวสี่พันหารอยลานปถึงสามพันหารอยลานป ซึ่งเปนชวงที่โลกเริ่มเปนรูปเปนรางขึ้น 1.2.4 การทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีวเคมีของชีวิต การทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีวเคมีของชีวิต เริ่มขึ้นจากนักชีวเคมีชาวรัสเซียชื่อ อเล็กซานเดอร โอพาริน (Alexander Oparin) ในป 1922 โอพาริน เสนอทฤษฎีกําเนิดชีวิต ตอกลุมนักวิทยาศาสตรใน มอสโคว อีกสองปก็พิมพหนังสือเลมเล็ก ๆ ชื่อ The Origin of Life ในป 1928 นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ชื่อ
  • 57. 48 ฮอลเดน (J.B.S. Haldane) พิมพบทความซึ่งมีแนวคิดแบบเดียวกัน แตก็ยังไมมีหลักฐานเชิงประจักษใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกลาว จนกระทั่งในป 1953 สแตนลีย มิลเลอร (Stanley Miller) ทําการทดลองที่แสดง วิวัฒนาการเกี่ยวกับการอุบัติของชีวิต โอพารินเสนอแนวคิดวา ในระยะแรก สารประกอบอินทรียเกิดขึ้นจากอนินทรียวัตถุแลวจึงพัฒนา เปนสิ่งมีชีวิต เนื่องจากเปลือกโลกเริ่มเกิดขึ้น และอุณหภูมิของบรรยากาศลดลงต่ํากวา 2,000 องศาเซลเซียส เกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ฝนที่ตกลงมาพรอมทั้งฟาที่ผาลงมาตลอดเวลา และชะเอาสารประกอบอินทรียจาก บรรยากาศลงมา ขังเปนแองน้ํารอน ซึ่งโอพารินคิดวาเปนสารประกอบพวกคารบอน กรดไขมัน น้ําตาล แทนนิน ในที่สุดก็สังเคราะหขึ้นเปนกรดอะมิโนซึ่งเปนสวนประกอบพื้นฐานของโปรตีน มิลเลอรทดลองทฤษฎีของโอพารินขึ้นที่มหาวิทยาลัยชิคาโก โดยใชหลอดทดลองบรรจุมีเธน แอมโมเนียและไฮโดรเจน ในมีเธนมีธาตุสําคัญของสิ่งมีชีวิตเปนองคประกอบอยูคือคารบอน สารประกอบ คารบอนเหลานี้ผสมกับไอน้ําจากหมอตมน้ํา แลวยิงดวยประกายไฟฟาจากหลอดทังสเตนอยางตอเนื่อง ทั้งหมดนี้เปนสภาพของโลกระยะเริ่มแรกตามที่โอพารินคิด การทดลองนี้ทําตอเนื่องไปหนึ่งอาทิตย แลวสูบ อาการออกนําของเหลวสีน้ําตาลไปวิเคราะห ปรากฏวามีกรดอะมิโนหลายชนิดและสารประกอบอินทรียตาง ๆ ซึ่งสวนหนึ่งเปนสารที่เกิดขึ้นในชีวอินทรีย สิ่งสําคัญที่ไดจากการทดลองคือ พอรฟรินส (porphyrins) ซึ่งเปน โมเลกุลที่ทําหนาที่คลายพืชคือ ใชแสงในการเก็บพลังงาน อันเปนการสังเคราะหแสงแบบพื้นฐาน ซึ่งผลการ ทดลองนี้แสดงวาชีวิตรูปแบบแรก ๆ คือ เซลล ซึ่งสามารถสังเคราะหแสงได 1.2.5 ทฤษฎีชีวกําเนิดอื่น ๆ แมวาทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีจะไดพัฒนาตอมา แตทฤษฎีอื่น ๆ ก็ยังเปนทฤษฎีที่เปนไปได ทฤษฎีดังกลาวไดแก 1) ทฤษฎีการกระจายของเชื้อชีวิต (panspermia) ทฤษฎีนี้เชื่อวา ชีวิตอาจมีอยูทั่วไปในจักรวาล เชื้อชีวิตเดินทางมาสูโลก เราโดยมากับอุกกาบาต อนักซาโกรัส (Anaxagoras) เปนคนแรกที่กลาวถึงเรื่องนี้ โดยเชื่อวาเชื้อชีวิตจากโลกอื่นมาสูโลกเรา แลวงอกขึ้นในแถบชายฝงที่มีความอบอุนและชื้น และจากเชื้อ ชีวิตดังกลาวชีวิตอื่น ๆ ก็พัฒนาขึ้น ในปจจุบันมีขอพิสูจนวาชีวิตอาจติดมากับอุกกาบาตได แตทฤษฎีนี้ก็ มิไดอธิบายวาชีวิตอุบัติขึ้นไดอยางไร 2) ทฤษฎีชีวิตเกิดเอง (spontaneous generation) ทฤษฎีนี้เชื่อวาสิ่งมีชีวิตเกิดจากสสารที่ไรชีวิต โดยไมตองมีการวิวัฒนาการ เชน กบเกิดจากโคลน หนูเกิดจากผาขี้ริ้ว หนอนเกิดจากเนื้อเนา ทฤษฎีนี้ไม เปนที่ยอมรับอีกตอไป เพราะปจจุบันความรูในเรื่อง จุลชีววิทยา สามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตที่มองไมเห็นดวย ตาเปลาได และทําใหความเชื่อที่วาสิ่งมีชีวิตมาจากอนินทรียสารโดยตรงเปนเรื่องเหลวไหล 3) ทฤษฎีวัตถุมีชีวิต (Hylozoism) ทฤษฎีนี้เชื่อวาสสารทั้งปวงมีชีวิต นักปรัชญากรีก สมัยแรก ๆ เชน ธาเลส มีความเชื่อแบบนี้เชนเชื่อวาการที่หินแมเหล็กดูดเหล็กไดเปนเพราะหินมีวิญญาณหรือมีชีวิตอยู
  • 58. 49 ภายใน ทฤษฎีนี้พัฒนาไปสูความคิดแบบจิตนิยมไดถาหากใหความสําคัญแกหลักการเรื่องชีวิตที่อยูภายใน วัตถุมากขึ้น 4) ทฤษฎีเนรมิต (Creationism) ทฤษฎีนี้เชื่อวาชีวิตเกิดจากการดลบันดาลของสิ่งเหนือธรรมชาติ และเชื่อวาสสารที่ไรชีวิตจะมีชีวิตไดก็ตองมีพลังชีวิต (life force) ที่ทําใหสสารดังกลาวมีชีวิตขึ้น ทฤษฎีพลัง ชีวิต (vitalism) อาจจะไมเชื่อมโยงกับพระเจาเสมอไป แตก็ถือวาเปนพลังเหนือธรรมชาติชนิดหนึ่ง ทฤษฎี พลังชีวิตและทฤษฎีเนรมิตยังนิยมกันอยูมาก ทฤษฎีนี้อาจหมดความจําเปนถาพิสูจนไดวาชีวิตสามารถเกิด ไดจากสสารลวน ๆ โดยไมตองอาศัยพลังที่ไมใชสสาร ทฤษฎีชีวเคมีนั้นแมจะใหความรูเกี่ยวกับกําเนิดของชีวิตในโลกนี้ แตก็ยังตอบปญหาไมไดวาสาหราย สีน้ําเงินแกมเขียวที่ลอยอยูในน้ําอุนเหมือนนักวิทยาศาสตรเชื่อวาความรูดังกลาวนาจะพบไดไมเกินสิ้น คริสตศตวรรษที่ 20 แตนับถึงปจจุบันแมความรูเรื่องรหัสพันธุกรรม (DNA) จะมีมากขึ้นมนุษยก็ยังไม สามารถสรางเซลลชีวิตขึ้นได ตามคําทํานายดังกลาวของ Dr. George Wald แหงมหาวิทยาลัยฮารวารด1 1.2.6 ความสืบเนื่องของทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีกับทฤษฎีวิวัฒนาการ ทฤษฎีชีวกําเนิดดังกลาวขางตนเปนความพยายามของนักชีววิทยา ที่จะยอนทฤษฎีวิวัฒนาการ ไปใหถึงตนทางของชีวิต เพราะทางทฤษฎีวิวัฒนาการของดารวินนั้นอธิบายปจจุบันยอนไปสูอดีต จากชีวิต ที่ซับซอนไปสูชีวิตในระดับที่ไมซับซอนหรือชีวิตในระดับเซลลเดียว แตชีวิตดังกลาวนั้นเกิดขึ้นและวิวัฒนาการ มาไดอยางไร ดารวินไมมีคําอธิบาย ทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมี แมอธิบายกําเนิดของชีวิตในลักษณะที่เปนกระบวนการธรรมชาติที่ เกิดในชวงที่โลกเริ่มเปนรูปเปนรางขึ้นเมื่อโลกเย็นลงก็ยังไมสามารถอธิบายไดวาในชวงพันลานปที่โลกวิวัฒนาการ จากสารทางชีวเคมีไปจนเปนเซลลนั้น กระบวนการเปนไปเชนไร การปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมหรือ การ เลือกสรรธรรมชาติเปนหลักการที่อธิบายกระบวนการวิวัฒนาการทางชีวเคมีไดหรือไม แมวาทฤษฎีทั้งสองจะยังเชื่อมโยงกันเปนทฤษฎีเดียวไดไมสมบูรณ แตทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมี ก็ทําใหคําอธิบาย “ชีวิต” และ “มนุษย” ที่มีลักษณะเปนแบบวัตถุนิยม มีน้ําหนักมากขึ้น และเปนทฤษฎี เกี่ยวกับความเปนมาของชีวิตและมนุษยโดยตรง ไมใชการเปรียบเทียบกับเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอรอยาง ทฤษฎีที่อธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกสที่ไดกลาวมาแลว 1.2.7 ขอคัดคานทฤษฎีชีวกําเนิด 1) ทฤษฎีชีวกําเนิดแบบชีวเคมีตอบปญหาที่มาของชีวิตไดเพียงไร คําอธิบายมนุษยจากอิทธิพลของฟสิกสมีขอตางกับคําอธิบายแบบชีวเคมี ที่เปนอิทธิพลทางชีววิทยา แมวาทั้งสองทฤษฎีจะมีคําตอบตรงกันคือ ปรากฏการณที่เรียกวาชีวิตเปนเพียงผลจากการรวมกันของ 1 คําอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีกําเนิดชีวิต อานเพิ่มเติมไดใน James L. Christian Philosophy : An Introduction to the Art of Wondering second edition, New York : Holt. Reinhart and Winston. 1973.
  • 59. 50 องคประกอบซึ่งเปนสสาร แตชีววิทยามีคําตอบที่ละเอียดกวา คือ สสารนั้นเปนอินทรียสารและดําเนินไป ตามกระบวนการวิวัฒนาการแบบดารวิน คําตอบดังกลาวไมวาจะคนลึกลงไปในรายละเอียดเพียงไรก็ตามก็เปนการบอกวาองคประกอบทาง สสารที่ยอยที่สุดคืออะไร แตไมอาจหักลางทฤษฎีอื่นในเรื่องที่วา ชีวิตคืออะไร และชีวิตมาจากไหน การที่แยก อินทรียสารจากอนินทรียสารและพิสูจนวาอินทรียมาจากอนินทรียสาร ก็เปนปญหาแตตนวา ในเมื่อธาตุ ทั้งหลายเปนอนินทรีย คุณสมบัติความเปนอินทรียจะมาจากไหน ในแงฟสิกสเราอาจยอมรับวา สวนตาง ๆ ที่ประกอบกันเปนเครื่องจักรทําใหเครื่องจักรทํางานได แตการทํางานนั้นก็เปนการทํางานโดยพลังงานทาง ฟสิกสซึ่งตางกับการรวมกันของอินทรียสารทําใหเกิดการทํางานแบบพลังชีวิตที่ไมมีอยูในคุณสมบัติเดิมของ สสาร ชีววิทยาอาจตอบปญหานี้ดีกวา เพราะชีววิทยาถือวาในกระบวนการเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการ มี คุณสมบัติใหม ๆเกิดขึ้นและคุณสมบัตินี้สืบทอดตอไปได ความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาเปนความเปลี่ยนแปลง แบบรุดหนา ไมอาจแยกองคประกอบกลับไปสูองคประกอบเดิมอยางเคมีหรือฟสิกส ชีวิตจึงเปนคุณสมบัติอัน เปนผลของความเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยา แตการกลาวเชนนี้ก็เทากับยอมรับตั้งแตตนวา ในอินทรียสารมี ชีวิตเกิดขึ้น แตไมอาจตอบไดวาชีวิตเกิดขึ้นไดอยางไร ในเมื่อสวนประกอบดั้งเดิมทั้งหมดคือธาตุที่ไรชีวิต แต ถึงอยางไรชีววิทยาก็ยังยอมรับวาความมีชีวิตก็ดี ความเปนมนุษยก็ดีเปนคุณสมบัติทางชีวภาพที่เปนอะไร เกินกวาความเปนหุนยนตทางฟสิกส 2) ชีวิตจะมาจากความไรชีวิตไดอยางไร ความคิดที่วาสารประกอบอินทรียมาจากอนินทรียสารนั้นดูเผิน ๆ ก็ไมใชเรื่องแปลก เพราะปฏิกิริยา ทางเคมียอมทําใหเกิดสารประกอบใหม ๆ ไดและสารประกอบนั้นก็มีคุณสมบัติตางกับสารประกอบที่มีสูตร โครงสรางทางเคมีตางกัน การที่ธาตุไมมีชีวิตรวมกันเปนสารประกอบตาง ๆ มีคุณสมบัติตาง ๆ ไดนั้นเปน เรื่องปกติถาสารประกอบนั้นเปนสารประกอบซึ่งไมมีคุณสมบัติอะไรเกี่ยวกับชีวิต แตการที่สารประกอบซึ่ง เกิดจากธาตุที่ไมมีชีวิตกลับมีคุณสมบัติที่ไมมีอยูในตัวมันคือมีชีวิตยอมเปนเรื่องที่อธิบายไดยาก เวนแตเรา อาจเทียบวาในดานฟสิกสเราสามารถสรางโปรตรอนจากความวางเปลาได ชีวิตก็มาจากความไมมีชีวิตได คลายกับวาถาสารประกอบผสมกันถูกสวนก็จะเกิดปรากฏการณ “ชีวิต” ขึ้น และวิวัฒนาการไปจนเปนมนุษย แตคําตอบนี้ก็เปนเพียงบอกวา ชีวิต “อุบัติขึ้น” โดยไมรูสาเหตุวา “ชีวิต” มาจากไหน คําตอบดังกลาวจึงมิได หักลางทฤษฎีอื่น ๆ ที่อางที่มาของชีวิตดังที่กลาวมาแลว ทฤษฎีการกระจายของเชื้อชีวิต (panspernia) ซึ่งถือวาชีวิตมีอยูทั่วไปในดวงดาวตาง ๆ ในจักรวาล อาจเปนทฤษฎีที่แยงงายเพราะไมไดตอบวาชีวิตที่อยูในดวงดาวตาง ๆ นั้นมาจากไหน เปนแตยอมรับความมี อยูของชีวิต ทฤษฎีชีวิตเกิดเอง (spontaneous generation) ก็ไมมีเหตุผลและหักลางไดงายดวยความรูทาง วิทยาศาสตรที่ทดลองได โดยเฉพาะกรณีที่หลุยส ปาสเตอรทดลองใหเห็นวา หากปราศจากจุลินทรียเนื้อก็ ไมเนา
  • 60. 51 ทฤษฎีวัตถุมีชีวิต (hylozoism) เปนทฤษฎีถือเอาวา ความมีชีวิตเปนคุณสมบัติที่มีในวัตถุดังนั้น การที่สามารถทําใหเกิดสารประกอบที่มีชีวิตไดจึงเปนเรื่องปกติ เพราะชีวิตมาจากชีวิต ซึ่งก็มีเหตุผลกวาการ สรุปวาชีวิตมาจากความไมมีชีวิตตามทฤษฎีชีวเคมี แตทวาก็มิไดมีการพิสูจนวาวัตถุมีชีวิต ทฤษฎีเนรมิตและทฤษฎีพลังชีวิต (Creationism และ Vitalism) ทฤษฎีนี้เปนทฤษฎีที่มีผูนิยมมาก เนื่องจากทฤษฎีวิทยาศาสตรไมวาจะเปนดานฟสิกสหรือชีวเคมียังตอบไมไดวาชีวิตมาจากไหน และวิวัฒนาการ ก็ดี ระเบียบกฎเกณฑของจักรวาลซึ่งมนุษยสามารถคนพบไดก็ดี ไมนาจะเปนสิ่งที่เกิดโดยบังเอิญโดยเฉพาะ พลังเริ่มแรกที่ทําใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมาจากไหน ในเรื่องชีวิตก็ยังตอบไมไดวาความเปน อินทรียสารมาจากอนินทรียสารไดอยางไร และไมวาอินทรียสารจะพัฒนาไปอยางไรก็ตอบไมไดวาทําไมอยู ๆ อินทรียสารกลุมหนึ่งจึงเกิดมีชีวิตขึ้นได 2. ความเปนมนุษยอยูที่จิต ถามนุษยมีแตรางกายและปรากฏการณทางจิตคือการทํางานของสมอง มนุษยก็ไมตางกับเครื่องจักร แตถามนุษยมีปรากฏการณที่ตางกับการทํางานของสมองที่เปนสสาร ก็ตองถือวามนุษยมีคุณสมบัติอื่น นอกจากสสาร แตหากจะอางวาสมองทํางานไดทุกอยางแมในสวนที่ตางกับคุณสมบัติของสสารก็เทากับผู อางนิยามการทํางานของสมองใหเกินกวาความเปนสสารไวตั้งแตตน สมองในกรณีดังกลาวจึงมิใชสสารลวน ๆ แตรวมเอาสิ่งอื่นที่เกินกวาสสารไวดวยซึ่งไมตางอะไรกับการมีความเชื่อเรื่องจิต เพียงแตไมอยากยอมรับวาตน ไดเชื่อในสิ่งที่พนขอบเขตของสสาร แมวาเราไมเห็นสิ่งที่เปนคุณสมบัติเกินสสาร แตจากปรากฏการณบางอยางเราสามารถมองเห็น ปรากฏการณที่ตางกับสสารได เชน 2.1 มนุษยไมใชสิ่งรับการกระทํา (passive)อยางเดียวแตริเริ่มการกระทํา (active) ดวย ทั้งรางกาย ของมนุษยและกอนหินตางก็เปนสสารที่รับความรอนเย็นของอากาศและการกระทําจากสิ่งภายนอกอื่น ๆ กอนหินไมปองกันหรือไมหลบเลี่ยงความรอนเย็นของอากาศ แตมนุษยสามารถทําเชนนั้นได เครื่องจักรเมื่อ รอนเกินไปหรือเย็นเกินไปอาจหยุดทํางาน เชนเดียวกับรางกายมนุษยที่รอนหรือเย็นเกินไปก็ตาย แตมนุษย สามารถทําใหตัวไมตายไดดวยการปองกันความหนาวดวยการทําใหรางกายอบอุนดวยวิธีตาง ๆ อันมาจาก ความคิดของมนุษย แมวาคอมพิวเตอรอาจทําใหเครื่องจักรไมหยุดเดินเมื่อรอนหรือเย็นเกินไปดวย การทํา ใหเครื่องรอนขึ้นหรือเย็นลงจนอุณหภูมิพอดี แตอะไรคืออุณหภูมิพอดี ก็เปนสิ่งที่มนุษยเปนผูกําหนดควบคุม คอมพิวเตอรไมอาจสรางโปรแกรมมาควบคุมตัวมันเองได เพราะมันริเริ่มอะไรไมไดนอกจากความสามารถ เทาที่มนุษยปอนใหมัน 2.2 มนุษยขัดแยงการกลอมเกลาและการบังคับจากภายนอกได อิทธิพลของสภาพแวดลอมและการ กลอมเกลาของสังคมไมอาจควบคุมใหมนุษยคิดหรือเปนไปตามอิทธิพลหรือการกลอมเกลาดังกลาวไดเสมอไป ทั้งนี้เพราะมนุษยมีเหตุผล สามารถคิดขัดแยงกับสิ่งที่เคยเชื่อได จึงเกิดความคิดใหม ๆ แทนที่ความคิดเกา อยูเสมอ
  • 61. 52 2.3. มนุษยมีความขัดแยงในตัว สัตวบางชนิดเชน สุนัขอาจถูกฝกใหกินอาหารเฉพาะที่เจาของให ไมใหกินอาหารที่ผูอื่นให การฝกฝนใชวิธีการทางกลไก คือการลงโทษเมื่อกินอาหารที่ผูอื่นให การฝกเด็ก อาจใชวิธีนี้ได และทําใหเด็กมีพฤติกรรมอยางใดอยางหนึ่งเพราะกลัวการลงโทษหรืออยากไดรางวัล แตเมื่อ โตขึ้นเด็กก็อาจไมกระทําพฤติกรรมที่ถูกฝกมา หากเหตุผลบอกวาสิ่งที่ถูกฝกมานั้นไมดีหรือไมมีเหตุผล และ อาจกระทําพฤติกรรมนั้น ๆ ตอไปเพราะมีความเขาใจเหตุผลของพฤติกรรมนั้น ๆ เมื่อโตขึ้น แมไมกลัวหรือ อยากไดรางวัลอยางวัยเด็ก ความขัดแยงตัวเองนั้นเราเห็นไดชัดวา จิตใจอาจขัดแยงกับรางกายเชน หิวอาจไมกินถาไมพอใจ อยากแตระงับไวถาเห็นวาผิดศีลธรรม นอกจากจิตใจจะแยงกับรางกายและควบคุมพฤติกรรมของรางกาย ดังกลาวแลวในสวนที่เกี่ยวกับจิตใจยังมีความขัดแยงระหวางเหตุผลกับอารมณ อารมณอาจทําใหละเมิด เหตุผล หรือเหตุผลอาจระงับอารมณไมใหเกิดขึ้นก็ได ความขัดแยงระหวางเหตุผลกับอารมณและอารมณ กับอารมณนั้นเปลโตกลาวไวอยางชัดเจนใน อุตมรัฐ1 ดังนี้ “ขาพเจาเคยไดฟงเรื่องเลา ซึ่งขาพเจาเชื่อวาเลออนติอุส ลูกชายอะกลาอิออน เมื่อ เดินทางจากปเรอุสไปตามแนวกําแพงดานนอกทิศเหนือ ก็รูวามีศพนอนอยูที่ตะแลงแกง เขาอยาก ดูแตก็รูสึกขยะแขยงและเบือนหนาหนี เขาหักหามใจและปดหนาเสีย แตดวยความปรารถนา อันรุนแรงบังคับ เขาก็กลับวิ่งเขาไปหาศพลืมตาจองดูอยู แลวรองสบถวา เอาไอตัวราย ดูภาพที่ สวยงามนี่ใหเต็มตาเลยซี” “ขาพเจาก็เคยไดยินเรื่องนั้นเหมือนกัน” “เรื่องที่เลานี้แสดงใหเห็นวาบางครั้ง ความโกรธก็ตอสูกับความอยากดังเปนสิ่ง แปลกหนาสูกันกับสิ่งแปลกหนา” “ถูกแลว” “และเราไมเห็นดอกหรือวามีอยูบอย ๆ ที่ความปรารถนาบังคับใหคนเราทําการอันขัด กับเหตุผลจนตองดาตัวเอง และโกรธสิ่งที่อยูในตัว ซึ่งมาเปนนายเขา จึงปรากฏวาในสอง ภาคนั้น ภาคน้ําใจสูงเขาขางเหตุผล”2 2.4 ความรูจักผิดชอบชั่วดี ถาคนเรามีแตรางกาย นาจะถือวาความสุขทางกายหรือความสุขทาง ประสาทสัมผัสเปนความสุขที่สําคัญที่สุด การเสียสละความสุข การยอมทนทุกขเพื่อผูอื่น การละความสุข ทางกาย การเห็นวาความสุขทางกายเปนสิ่งที่ไมดี ไมนาจะเกิดขึ้นได การที่คนเราใหความสําคัญแก ความสุขทางใจ แสดงวา เรารูจักตัดสินวาอะไรดีอะไรชั่ว อะไรมีคุณคามาก อะไรมีคุณคานอย โดยมิไดวัด 1 คือ The Republic ของเปลโต 2 ปรีชา ชางขวัญยืน (แปล) The Republic อุตมรัฐ กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2523 น. 179.
  • 62. 53 ดวยกาย แตวัดดวยใจ การรูจักคุณคาจึงเปนเครื่องแสดงวาเรามีองคประกอบอื่นที่สําคัญนอกเหนือไปจาก รางกาย 2.5 ความคิดนามธรรม สิ่งที่มนุษยรับรูทางประสาทสัมผัสคือขอมูลที่เปนรูปธรรม แตมนุษยยังคิดถึง สิ่งที่เปนนามธรรมเชนกฎเกณฑเกี่ยวกับวัตถุ คุณสมบัติเชน ความจริง ความเท็จ ความยุติธรรม สิทธิ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความงาม ความลงตัว ความกลมกลืน ฯลฯ ลําพังขอมูลทางประสาทสัมผัสอยางเดียว จะ ทําใหเกิดความคิดนามธรรมเหลานั้นไดอยางไร เชนเราเห็นเสนตรงสองเสน และเราตัดสินวาเสนสองเสนนั้น เทากัน หรือไมเทากัน การเปรียบเทียบ ความเทากัน และไมเทากันมาจากไหน เราอาจตอบวามาจากสมอง แตสสารและพลังงาน ในสมองจะคิดถึง การเปรียบเทียบและความเทากันซึ่งไมเปนทั้งสสารและพลังงานได อยางไร การเปรียบเทียบและการตัดสินวาเสนสองเสนเทากัน รวมถึงความคิดเรื่องความเทากันจึงนาจะมา จากสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติความเปนนามธรรม อยางเดียวกัน คือ จิต 2.6. สํานึกรูตัวตน กระจกรับภาพและสะทอนภาพแตไมรูวานั่นคือภาพและไมรูวาเปนภาพอะไร มนุษยรับภาพทางตา และรูวาภาพอะไร มีชีวิตหรือไมมีชีวิต แตยิ่งกวานั้นมนุษยยังรูวาตนเปนผูรูวาภาพนั้น คือภาพอะไร คือมนุษยรูวาตนเปนเจาของความรูที่เกิดขึ้นนั้น กลาวคือมนุษยมีความสํานึกในตัวตน แมเรา ไมรูวาคนอื่นรูตัวอยางที่เรารูหรือไม แตเชื่อไดวาทุกคนรูเพราะเราอาจสอบถามเขาได และไมมีเหตุผลที่ทุก คนจะพูดโกหก เพราะหากผูใดบอกวา ไมรูตัวตนวารูก็แสดงวาเขารูตัวตนของเขา มิฉะนั้นเขาจะปฏิเสธ ไมได สมองเปนสสาร ประสาทรับความรูสึกก็เปนสสาร ปฏิกิริยาระหวางสิ่งที่รูกับความรูสึกทั้งประสาท สัมผัสอาจเกิดขึ้นได ความรูจึงเกิดขึ้น แตความรูวาความรูเกิดขึ้น และ “ฉัน” เปนผูรูมาแตไหน “ฉัน” เปนผู ตัดสิน สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการรับรูทางประสาทสัมผัสนั้นวาเกิดขึ้นจริง และ”ฉัน” รับรูและตัดสิน มนุษย จึงนาจะตองมีสิ่งที่ทําหนาที่ใหมนุษยรูสํานึกในตัวตนดังกลาว และสิ่งนั้นเราอาจจะเรียกวา จิต 2.7 จิตผูควบคุมกาย มีเรื่องเปรียบเทียบของฝายที่ไมเชื่อเรื่องจิตอยูเรื่องหนึ่งวาดังนี้ ชาวนาอังกฤษ ผูหนึ่งตั้งแตเกิดมายังไมเคยเห็นเครื่องจักรไอน้ํา อยูมาวันหนึ่งเขาเดินทางเขามาในเมือง และไดเห็น เครื่องจักรไอน้ําเปนครั้งแรก เจาของรานไดแสดงใหเขาดูวา เครื่องจักรทํางานไดโดยไมตองอาศัยแรงของมา อยางที่ชาวนาทั่วไปใชกันอยู ชาวนาผูนั้นเห็นการทํางานของเครื่องจักรแลวก็บอกวา รูแลวตองมีมาอยูที่นี่ เจาของรานถามวามาอยูที่ไหน ชาวนาก็บอกวามาตัวนี้ตองเปนมาลองหน (มาที่มองไมเห็นตัว) เรื่องนี้เปนเรื่องที่พวกวัตถุนิยมตองการแสดงวาลําพังวัตถุก็สามารถทํางานไดดวยตัวเองโดยไมตอง มีจิต เหมือนเครื่องจักรที่ทํางานไดเองโดยไมตองมีมา แตลืมไปวาที่เครื่องจักรทํางานไดนั้นตองมีผูสรางและผู ติดเครื่อง มิฉะนั้นเครื่องจักรก็ทํางานเองไมได ถาเรายอมรับวาสิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทั้งหลายตองมีสาเหตุภายนอกมากระทําตอมัน เรา จะตองยอมรับวาตองมีสาเหตุสุดทายที่ไมมีสิ่งอื่นเปนสาเหตุ เชน ถา ก. มี ข. เปนสาเหตุ ข. ก็ตองมี ค. เปน สาเหตุ ค ตองมี ง. เปนสาเหตุ… สิ่งสุดทายที่เปนสาเหตุของสายโซแหงสาเหตุดังกลาวก็ตองเปนสิ่งที่เปน
  • 63. 54 สาเหตุของสิ่งอื่นโดยตัวมันดํารงอยูไดเองโดยไมมีอะไรเปนสาเหตุ ผูที่เชื่อวาพระเจาเปนที่มาหรือเปนสาเหตุ ของจักรวาลมีเหตุผลเชนนี้คือ เปนสาเหตุเบื้องตนของความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจักรวาล ในทํานองเดียวกัน การทํางานของทุกสวนของรางกายเปนสาเหตุของกันและกัน และเมื่อมีความ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงที่จุดหนึ่งก็มีผลใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตอเนื่องไปทุกสวน แตอะไรที่ทํา ใหเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สาเหตุอาจมาจากสิ่งภายนอกมากระทบซึ่งเปนเรื่องของสสารหรือ กิริยาและปฏิกิริยาทางกายภาพแตการสนองตอบสิ่งภายนอกในลักษณะที่ไมใชปฏิกิริยาทางกายภาพ แตเปน ความคิด ความริเริ่ม ความปรารถนา จินตนาการ ความรูสึกเจ็บแคน เห็นดวย ไมเห็นดวย ฯลฯ นาจะมีสาเหตุ ภายในที่ไมใชตัวอวัยวะตาง ๆ แตเปนสิ่งที่ควบคุมรางกายทั้งหมดสิ่งนั้นก็คือจิต ซึ่งทําหนาที่เหมือนผูที่ทํา ใหเครื่องจักรทํางาน การควบคุมกันนี้แมในสวนจิตดวยกันก็มีการควบคุมภายในเชน เหตุผลทําใหคนระงับ อารมณ อารมณที่ถูกระงับแลวทําใหรางกายแสดงพฤติกรรมตางไปจากอารมณนั้น เชน โกรธ อยากทําลาย ของ แตเหตุผลควบคุมอารมณไวได อารมณที่ถูกควบคุมก็สั่งรางกายไมใหทําลายของแตยังคงรูสึกอัดอั้น ภายใน หัวใจเตนเร็ว สีหนาบึ้งตึง และกลามเนื้อเกร็ง เปนตน พวกวัตถุนิยมพยายามปฏิเสธความมีอยูของจิต โดยอางวาถาอธิบายปรากฏการณไดโดยไมตอง อางความมีอยูของจิต ก็ไมตองเชื่อเรื่องจิต แตถาการอธิบายปรากฏการณดวยความเชื่อเรื่องจิต เปน คําอธิบายชัดเจนกวา จิตก็เปนเรื่องที่ควรเชื่อ การพยายามอธิบายเรื่องกายภาพใหละเอียดเปนสิ่งที่ดี แตถา ปฏิเสธเรื่องจิตเสียแตตนก็ทําใหไมเกิดความกาวหนาในความรูเรื่องจิตถาเราไมเชื่อเรื่องอะตอมซึ่งในระยะแรก ๆ ก็เปนเรื่องที่ดูลึกลับพอๆกับจิตเราคงไมมีความรูเรื่องอะตอมมากเชนทุกวันนี้ 3. ธรรมชาติของจิต 3.1 ทรรศนะที่วาจิตมนุษยเปนอมตะ แนวคิดเกี่ยวกับจิตที่เชื่อวาจิตเปนอมตะอาจแบงไดเปน 2 แนวทาง แนวทางแรกเปนแนวทางของ เปลโต ที่พิสูจนวามีโลกของนามธรรมซึ่งเปนโลกของสิ่งสัมบูรณ (absolute) คือสิ่งที่ไมบกพรอง ดํารงอยู ดวยตัวเอง ไมขึ้นกับสิ่งใดไมวากาละหรือเทศะ (time or space) นั่นคือสิ่งนามธรรมเปนอมตะ อีกแนวทาง หนึ่งเกิดจากการพิสูจนวากระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเมื่อพิจารณายอนหลังไปตามสายโซของสาเหตุ จะไปสิ้นสุดที่สิ่งสัมบูรณซึ่งเปนสาเหตุแรกและเปนสิ่งที่เปนอมตะ สิ่งที่เปนอมตะนี้แผซานอยูในทุกสิ่งที่เปน สิ่งกายภาพ มนุษยจึงประกอบดวยรางกายซึ่งไมเปนอมตะกับจิตซึ่งเปนอมตะ จิตซึ่งเปนอมตะนี้ก็คือสิ่ง เดียวกับสิ่งสัมบูรณอันเปนสาเหตุแรกนั้น แนวคิดนี้ไดแกแนวคิดของศาสนาที่เชื่อความมีอยูของพระเจาและ เชื่อวาพระเจาเปนสาเหตุหรือเปนผูที่ทําใหเกิดโลกหรือจักรวาลขึ้น 3.1.1 แนวคิดของเปลโต โลกที่เราเห็นอยูรอบตัวเรานี้จริงหรือไม ถาเปนจริง จริงมากนอยเพียงไร มีความจริงอื่นอยูเบื้องหลัง หรือนอกเหนือจากโลกของประสาทสัมผัสที่เราเห็นอยูหรือไม เปลโตเห็นวาโลกของประสาทสัมผัสเปลี่ยนแปลง
  • 64. 55 อยูเสมอ ขณะหนึ่งเปนอยางหนึ่ง แลวก็เปลี่ยนไปไมคงที่ ไมอาจบอกไดวา สิ่งนั้นแทจริงแลวคืออะไร สิ่งที่ เปลี่ยนแปลงเชนนี้จึงถือวาเปนสิ่งจริงแท (reality) ไมได แตทําไมเราจึงรูจักและยืนยันความจริงของสิ่ง เหลานี้ไดทั้ง ๆ ที่มันไมจริงแท ที่เรายืนยันไดก็เพราะมีสิ่งจริงแทมาเทียบเคียง และเปนแกนแทอยูกับสิ่งนั้น ๆ เชน คนแตละคนเปลี่ยนไปทุกวันตั้งแตเกิดจนตาย เหตุใดเราจึงยืนยันวาเปนคนคนเดิมได ที่เปนดังนั้นก็เพราะ การเปลี่ยนแปลงในแตลักษณะของคนเรานั้นสิ่งที่เปลี่ยนคือคุณสมบัติภายนอกหรือคุณสมบัติทางกายภาพ เชน เซลลตายไปและเกิดขึ้นมาใหม สีผิวเปลี่ยนไปผมยาวขึ้นแต ความเปนคนคนนั้นไมเปลี่ยน การเปลี่ยนจาก ลักษณะ ก. ไปเปนลักษณะ ข. มิไดหมายความวา ก. หายไป และ ข. เกิดขึ้น เพราะหากเปนเชนนั้น ก. กับ ข. ก็ไมสืบเนื่องกัน และบอกไมไดวา ก. เปลี่ยนเปน ข. หรือ ข. เกิดจาก ก. ก. กับ ข. จึงเปนเพียงสิ่งสองสิ่งที่ สิ่งหนึ่ง หายไปและอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น การที่ ก. กับ ข. จะเชื่อมโยงกันได จึงตองมีสิ่งเชื่อมโยงและสิ่งนั้นก็คือ ความเปนคนผูนั้นที่ไมวาจะเปลี่ยนไปกี่ขณะก็ยังคงเดิม เปลโตเชื่อวาสิ่งที่อยูในรางกายคือความเปนคนนี้ก็ คือ จิต จิตนี้ตองคงที่และเปนอมตะ หาไมแลวก็ไมอาจทําใหคนเปนคนเดิมเพราะหากดูภายนอก ก. เมื่อแรก เกิดกับก.เมื่อแกจะเปนคนคนเดียวกันไมไดเนื่องจากมีลักษณะแตกตางกันอยางสิ้นเชิงสมองสืบตอความรูสึกเปน ตัวบุคคลนั้นอยางถาวรไดอยางไรในเมื่อประสบการณของคนเราเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาและสมองไดรับขอมูล ที่เปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา หากสมองเพียงรับขอมูลจากภายนอก ความสืบเนื่องนี้เปลโตยังเชื่อวาเปนไป แบบเวียนวายตายเกิด เหมือนคนคนเดิมที่เปลี่ยนเสื้อใหมเมื่อเสื้อเกาชํารุด การเวียนวายตายเกิดนั้นเปลโต เห็นวาเปนเครื่องแสดงความเปนอมตะของวิญญาณหรือจิตในเรื่องเฟโด เปลโตมีขอพิสูจนเรื่องความเปน อมตะของวิญญาณดังนี้ เมื่อโสกราตีสกลาวจบ เซเบสก็กลาวตอบวา เหตุผลสนับสนุนคําพูดของทานดีมาก ทีเดียว แตเรื่องที่ทานพูดเกี่ยวกับวิญญาณทําใหคนทั่วไปวิตกเปนอยางยิ่งวา เมื่อออกจากราง ไปแลววิญญาณก็จะไมดํารงอยู ณ ที่ใด ๆ อีก แตจะแตกสลายกระจายไปในวันที่คนสิ้นชีวิต โดยทันทีทันใดที่พนจากรางกาย คือ เมื่อโผลออกจากรางกายก็จะแผกระจายไปเหมือนลม หายใจหรือควันไฟ แลวปลาสนาการไปจนไมมีอะไรเหลืออยูอีก จริงอยูถาวิญญาณยังคงอยู ตอไปอยางเปนอิสระ หลุดจากความชั่วทั้งปวงดังที่ทานไดอธิบายแลว ก็จะเปนความหวังอัน สดใสและมั่นคง ถาเปนจริงตามที่ทานวา แตขาพเจาเห็นวาเรื่องนี้ตองอาศัยศรัทธาและ ความมั่นใจมิใชนอย ที่จะเชื่อวาหลังจากตายแลววิญญาณยังคงอยูตอไปและยังดํารงพลัง และปญญาอยูจริง เซเบส โสกราตีส รับคํา แตเราจะตองจัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทาน ปรารถนาจะใหพวกเราชวยกันคิดเรื่องนี้ เพื่อจะดูวาความเห็นดังกลาวเปนจริงหรือไมใชไหม โดยสวนตัวแลว เซเบส ตอบ ขาพเจายินดีอยางยิ่งที่จะไดฟงความคิดของทานเกี่ยวกับ เรื่องนี้ ในทุกกรณีโสกราตีสพูด ขาพเจาออกจะคิดวาใครก็ตามที่ไดยินเรื่องที่เราพูดกันขณะนี้ แมแตนักประพันธหัสนาฏกรรมจะไมพูดวาขาพเจากําลังเสียเวลาพูดเรื่องที่ไมเกี่ยวอะไรกับตัวเอง
  • 65. 56 ดังนั้นหากทานรูสึกเชนนี้ เราก็ควรจะตั้งคําถามกันตอไป เรามาเริ่มตนจากปญหานี้ วิญญาณ ของผูตายยังคงดํารงอยูในปรโลกหรือไม มีนิทานโบราณอยูเรื่องหนึ่ง ซึ่งเราคงยังจํากันไดวาวิญญาณยังคงอยูในปรโลกหลังจาก จากโลกนี้ไป แลวกลับมาสูโลกนี้อีกและอุบัติขึ้นจากผูที่ตายแลวนั้น หากเปนเชนนั้นคือสิ่งที่ เปนมาจากสิ่งที่ตายแลวละก็จะสรุปไดไหมวาวิญญาณดํารงอยูในปรโลก วิญญาณไมอาจ กลับมาเกิดใหมไดหากไมคงอยู และจะเปนขอพิสูจนที่หนักแนนพอวาขอโตแยงของขาพเจา เปนจริงหากปรากฏชัดวาสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่ตายมิไดมาจากที่อื่นใด แตหากไมเปนเชนนั้น เราก็ตองหาขอโตแยงอื่น ยอมเปนเชนนั้น เซเบสกลาว หากทานตองการเขาใจปญหาอยางครบถวน โสกราตีสตอบ จะพิจารณาไปถึงพืชและ สัตวทุกชนิด มิใชพิจารณาเพียงเฉพาะคนเทานั้น ลองมาดูกันซิวาโดยทั่วไปสิ่งทั้งหลายที่มี กําเนิดเกิดขึ้นแบบนี้ ไมมีแบบอื่น คือ สิ่งตรงขามมาจากสิ่งตรงขาม ที่ใดมีสิ่งตรงขามเชนความ งามตรงขามกับความนาเกลียด ถูกตรงขามกับผิด ยังมีตัวอยางอื่น ๆ อีกนับไมถวน เราลอง มาพิจารณากันวาเปนกฎอันจําเปนหรือไมที่ทุกสิ่งที่มีสิ่งตรงขามจะตองมาจากสิ่งตรงขามไมมา จากเหตุอื่นใดตัวอยางเมื่อสิ่งสิ่งหนึ่งใหญขึ้นก็ตองเชื่อวาเคยเล็กมากอนที่จะใหญขึ้น จริง และในทํานองเดียวกันหากสิ่งใดเล็กลงก็ตองใหญมากอนแลวมาเล็กลงภายหลังใชหรือไม ยอมเปนเชนนั้น เซเบส ยอมรับ และคนออนแอลงก็ตองเปนคนแข็งแรงกวานั้นมากอนและผูที่เร็วขึ้นก็มาจากผูที่เคยชากวา นั้นมากอน ยอมเปนเชนนั้น อีกสักตัวอยางหนึ่ง หากสิ่งใดเลวลงสิ่งนั้นยอมมาจากดีกวามากอนใชไหม และถา ยุติธรรมขึ้นก็ยอมมาจากยุติธรรมนอยกวามากอนจริงไหม ใชแน ถาเชนนั้นเราพอใจหรือยัง โสกราตีสถามวาทุกสิ่งเกิดขึ้นดวยเหตุนี้คือ สิ่งตรงขามมาจาก สิ่งตรงขาม พอใจเต็มที่ คราวนี้คําถามอื่นตอไป ตัวอยางทั้งหมดนั้นมิไดแสดงใหเห็นลักษณะอยางอื่นดอกหรือวา ระหวางคูที่ตรงกันขามนั้น มีกระบวนการเกิดอยูสองทาง ทางหนึ่งจากสิ่งแรกไปสิ่งที่สอง
  • 66. 57 อีกทางหนึ่ง จากสิ่งที่สองไปสิ่งแรก ระหวางสิ่งที่ใหญกับสิ่งที่เล็กนั้นไมมีกระบวนการเพิ่มกับ ลดดอกหรือ และเราไมอธิบายทํานองนี้ดอกหรือวาเปนการเพิ่มและการลด เปนเชนนั้น เซเบส ตอบ การแยกกับการรวม การเย็นลงกับการรอนขึ้น และอื่น ๆ จะไมเปนเชนนี้ดอกหรือ แมวา บางครั้งเราจะไมใชคํานั้นตรง ๆ ก็ตาม ความจริงจะมีไมถือเปนหลักสากล ดอกหรือวาสิ่งหนึ่ง มาจากอีกสิ่งหนึ่งและมีกระบวนการเกิดขึ้นจากกันและกัน แนนอน เซเบส เห็นดวย ก็ถาเปนเชนนั้น โสกราตีส กลาว มีอะไรตรงขามกับความมีชีวิตเหมือนที่การหลับตรงขาม กับการตื่นหรือไม มีซี อะไร ก็การตายอยางไรเลา หากสองอยางนั้นตรงกันขาม ก็ยอมมาจากกันและกัน และมีกระบวนการเกิดระหวางสอง อยางนั้นอยูสองกระบวนการ ถูกตอง มีมาก ถาเชนนั้น โสกราตีส พูดตอ ขาพเจาจะยกคูตรงขามที่ไดกลาวไปแลวคูหนึ่ง คือ สิ่ง ตรงขามกับกระบวนการระหวางสิ่งที่ตรงขามนั้นและเธอจงยกคูอื่น คูตรงขามที่ขาพเจาจะ ยกมา ก็คือ หลับกับตื่น และ ขาพเจาขออางวาตื่นมาจากหลับและหลับมาจากตื่น และ กระบวนการระหวางนั้นก็คือกําลังจะหลับกับกําลังจะตื่น อยางนี้ทานเห็นดวยไหม เขาถาม เห็นดวยเต็มที่ คราวนี้ทานบอกหนอยซิวา ในทํานองเดียวกัน เขาพูดตอ เรื่องชีวิตกับความตายจะเปน อยางไร ทานยอมรับแลวใชหรือไมวา ความตายนั้นตรงขามกับชีวิต ขาพเจายอมรับ และทั้งสองมาจากกันและกันไมใชหรือ ใช ถาเชนนั้นอะไรมาจากชีวิต ตาย อะไรเลาที่มาจากตาย โสกราตีสถาม ขาพเจาก็ตองยอมรับวา คือ มีชีวิต
  • 67. 58 ดังนั้น สิ่งมีชีวิตและคนเราก็ตองมาจากความตายใชไหม เซเบส แนนอน ดังนั้นวิญญาณของเราก็ตองยังอยูเมื่อเราอยูในปรโลก นาจะเปนเชนนั้น และกระบวนการหนึ่งในสองกระบวนการคือ การตาย ก็ยอมเปนจริงแนนอนใชไหม ใช เปนเชนนั้น เซเบสสนับสนุน ถาเชนนั้นเราจะทําอะไรตอไป เราจะเวนกระบวนการตรงขาม และปลอยใหกฎธรรมชาติ ในเรื่องนี้บกพรองอยูหรือ หรือวาเราจะตองเติมกระบวนการตรงขามกับการตาย แนนอนเราจะตองทําเชนนั้น สิ่งนั้นคืออะไรเลา กระบวนการมามีชีวิตอีก ดังนั้นหากมีสิ่งเชนนั้น คือการกลับมามีชีวิตอีก โสกราตีสกลาว ตองมีกระบวนการจาก ตายไปสูมีชีวิตใชไหม โสกราตีสถาม ยอมเปนเชนนั้น ดังนั้นเราก็ยอมเห็นดวยเชนกันวา มีชีวิตมาจากตายและกลับกันตายก็มาจากมีชีวิต แต ขาพเจาคิดวาเราไดตกลงกันกอนหนานี้วาหากเปนเชนนี้ก็เปนขอพิสูจนเพียงพอวา วิญญาณ ของคนตายจะตองอยู ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งเปนที่กอนวิญญาณจะมาเกิด…1 3.1.2 แนวคิดของพระพุทธศาสนาเรื่องจิตไมเปนอมตะ พระพุทธศาสนาอธิบายมนุษยดวยเรื่อง ขันธ 5 กลาวคือมนุษยมีองคประกอบ 5 ประการ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กลาวโดยสังเขป รูป หมายถึงรางกายและสิ่งที่เกี่ยวของในการเปน รางกาย ซึ่งอาจวิเคราะหลงไปในรายละเอียดไดอีกเชนเปนอวัยวะตาง ๆ ของรางกาย อาหาร อากาศ รูป ประกอบขึ้นดวยธาตุ 4 อยาง คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ ดินหมายถึงสิ่งที่คงรูป คงตัวเปนรูปราง เชน ดิน โคลน เนื้อ กระดูก เปนตน น้ําหมายถึงสิ่งที่มีลักษณะไหลไป เชน เลือด หนอง น้ํา ในอวัยวะตาง ๆ ลม หมายถึงอากาศ ทั้งภายใน เชน ลมที่เราหายใจเขาออก ลมในกระเพาะอาหารและภายนอกตัวเรา มีการฟุงกระจาย และ ความเคลื่อนไหวได ไฟหมายถึงความอบอุน ความรอน อุณหภูมิ ที่เกิดขึ้นจากการสันดาปทําใหรางกายอุน เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณรวมเรียกวานามหรือบางครั้งเรียกรวมๆวาจิต แตทางวิชาการจิต คือ วิญญาณ หมายถึง การรับรู คือ ทั้งรับและรู ตากระทบรูปเกิดการรูทางตา เรียกวา จักขุวิญญาณ 1 Edith Hamilton (edit) The Collected Dialogues of Plato, Princeton , New Jersey : Princeton University Press, 1971, Phaedo 70a – 72a, pp 52 – 55.
  • 68. 59 เสียงกระทบหูเกิดการรูทางหู เรียกวา โสตวิญญาณ กลิ่นกระทบจมูกเกิดการรูทางจมูกเรียกวา ฆานวิญญาณ รสกระทบลิ้น เกิดการรูทางลิ้น เรียกวา ชิวหาวิญญาณ ความเย็นรอนออนแข็งกระทบผิวกายเกิดการรูทาง สัมผัสเรียกวา โผฏฐัพพวิญญาณ เมื่อเกิดการกระทบหรือผัสสะขึ้นแกประสาทสัมผัสใดก็เกิด เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งรวมเรียกวา เจตสิก ขึ้น วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขารที่เกิดรวมกันนี้รวมเรียกวา ธรรม ซึ่งทําใหเกิดการรูขึ้นที่ใจหรือมโน การรูนั้นเรียกวา มโนวิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเรียกวา เจตสิก นั้น เปนองคประกอบที่ทําใหเกิดสมมติบัญญัติขึ้นแกจิต เชน เมื่อรูปกระทบตา เกิดจักขุวิญญาณขึ้น คือรูวารูปเกิดขึ้นแลว รูปนั้นก็ผานไป แตตามปกติจะเกิดเจตสิกขึ้นในเวลาที่รูนั้นดวยคือเวทนา เปนสุขเวทนา รูสึก สุข ทุกขเวทนา รูสึกทุกข อุเบกขาเวทนา รูสึกไมสุขไมทุกข เกิดสัญญาคือจําได กําหนดหมายไดวารูปที่ เกิดนั้นคืออะไร และเกิดสังขารคือการปรุงแตงการสมมติบัญญัติไปในทางที่ดี เรียกวา ปุญญาภิสังขาร ในทางที่ไมดีเรียกวา อปุญญาภิสังขาร เปนตน จิตในพระพุทธศาสนาจึงมิใชสิ่งที่เปนอมตะเปนนิรันดร ไมเปลี่ยนแปลงอยางจิตในความคิดของ เปลโต แตก็เปนสิ่งที่มีอยูและมีความสําคัญที่ทําใหมนุษยสุขหรือทุกข ดีหรือชั่ว ซึ่งทั้งหมดนั้นมนุษยเปน ผูคิดผูสรางขึ้นเอง จิตที่สุขทุกขดีชั่วนี้ทําใหกายเปนไปและกระทําการตามสภาพของจิตนั้น และมีแนวโนม เปนไปเชนนั้น เปนคนมีความสุข มีความทุกข เปนคนดี เปนคนชั่วก็ตามมิใชสภาพแวดลอมที่กําหนดการ กระทําของมนุษย หากแตเปนจิตที่กําหนด และมนุษยสามารถฝกจิตใหพนทุกข ใหเวนชั่ว ใหมีความสุข และ ใหทําดีได ในทัศนะของพระพุทธศาสนา กายกับจิตตางก็เปนสิ่งที่เกิดขึ้นจากองคประกอบ เมื่อมีการ ประกอบขึ้นก็ตองมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อดํารงความสมดุลขององคประกอบนั้น หากขาดความสมดุล ก็เกิด ความผิดปกติ เชน รางกายตองขับถาย ตองสูญเสียแรธาตุ เซลลตองตายไปทุก ๆ ขณะ ก็ตองมีอาหาร อากาศ น้ํา สารเคมีตาง ๆ ที่จําเปนมาทดแทน คือ มี เกิดขึ้น ดํารงอยู สลายไป ในเวลาเดียวกันก็มีการ เกิดขึ้นใหมมาทดแทน ดํารงอยูแลว ก็สลายไป เมื่อใดที่ทดแทนไมพอก็สลายมากกวาที่มาทดแทน ก็เกิด เจ็บไขหรืออาจเสียชีวิตคือดับไป จิตก็เชนเดียวกันมีองคประกอบและมีสาเหตุดังกลาวมาแลว จิตก็เกิดขึ้น ดํารงอยูแลวดับไปเปนสายโซหมุนเวียนซ้ําแลวซ้ําเลา การสืบตอนี้สามารถดํารงอยูตอไปหลังจากรางกาย สลาย และเวียนกลับมาเกิดในรางใหมได ความคิดเรื่องการเวียนวายตายเกิดนี้ทําใหพระพุทธศาสนาเปน ศาสนาที่ถือวา จิตสําคัญ ธรรมชาติสวนนี้สําคัญกวารางกาย แตทั้งนี้มิไดหมายความวาไมมีรางกายก็ได คนจะเปนคนโดยสมบูรณก็ตองมีทั้งกายและจิต
  • 69. 60
  • 70. 61 บทที่ 4 มนุษยเปนอิสระหรือถูกบงการ “แสนสุขสมนั่งชมวิหค อยากเปนนกเหลือเกิน นกหนอนกเจาหกเจาเหินทั้งวันนกเจาคงเพลิน เหินลอยละลิ่วลองลม" เนื้อเพลงดังกลาวนี้ตองการแสดงวานกเปนอิสระที่จะโผบินไปไหน ๆ ไดตามความปรารถนา นกที่ บินอยูในทองฟานั้นเปนอิสระจริงหรือ ตั้งแตออกจากรังจนกลับเขารังนกมิไดเปนอิสระ มันตองออกจากรัง ทุกเชาเพราะถาไมออกจากรังก็ไมมีอาหารกินและเลี้ยงลูก ความหิวและความตองการอาหารมาเลี้ยงลูกทํา ใหตองออกจากรัง ตองคอยสงเสียงรองบอกเขตแดนหาอาหารของตน ปองกันมิใหนกอื่นเขามาในเขต มิใช รองเพลงอยางเบิกบาน มันบินไปตามทิศทางที่เคยบินเพราะเปนเสนทางที่มันรูจัก ในระหวางบินหรือลง เกาะก็ตองคอยระวังศัตรู ไมวาจะเปนนกอื่น งู หรือมนุษยที่คอยทํารายมัน ถาหลงทางมันก็ตองพยายามบิน วนเพื่อหาทิศทางที่จะกลับไปรังหรือตนไมที่มันเคยนอน ไมมีอิสระในชีวิตของนกอยางที่คนแตงเพลงรูสึก สัตวอื่น ๆ ก็เชนกัน ไปเพื่อลาและถูกลา ชีวิตวันหนึ่ง ๆ ของมันเปนไปตามสภาพการณที่เกิดขึ้นรอบตัวมัน ชีวิตของมันเปนไปตามความตองการของสภาพแวดลอม มันเปนนกที่ถูกบงการตลอดชีวิต ไมเคยเปนอิสระ สัตวอื่น ๆ ก็เชนกัน มนุษยเลาเปนเชนนี้เหมือนกัน หรือวามนุษยเปนอิสระ มนุษยเปนอิสระอยางที่เราเห็นและรูสึกหรือไม หรือวาความรูสึกเปนอิสระนั้นเปนเพียงมายา 1. เรารูสึกอิสระแตก็รูสึกถูกบงการ เด็กคนหนึ่งไดรับการเสนอชื่อใหเปนตัวแทนนักเรียนเพื่อรองเพลงในงานประจําปของโรงเรียน เธอ เปนเด็กเสียงดีแตขี้อาย เธอไมตองการจะรองเพลง แตก็จําเปนตองฝกซอมทุกวัน ใคร ๆ ก็ชมวาเธอรองไดดี เธอมีความมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ กอนวันงานเธอกลับมีความอยากอยางแรงกลาที่จะรองเพลงจนนอนไมหลับ และ เธอก็มีความมั่นใจอยางยิ่ง ผิดกับเมื่อวันแรกที่เธอไดรับการเสนอชื่อ เธอขึ้นไปรองเพลงอยางเต็มอกเต็มใจ เด็กคนนี้มีอิสรภาพในการรองเพลงคราวนี้หรือวาเธอถูกบงการดวยการฝกฝนและคําพูดยกยองชมเชย เธอ รูสึกเปนอิสระและอิสระมากเสียจนรูสึกวาเธอนั่นเองที่มีความปรารถนาใครจะรองเพลง แตก็ดูเหมือนวาความ มั่นใจที่ทําใหเธอกลาและปรารถนาจะรองนั้นเกิดจากการถูกบังคับใหฝก และถูกคําชมทําใหมั่นใจ ความ ปรารถนาจะรองเพลงเกิดขึ้นเพราะถูกสิ่งตาง ๆ ดังกลาวผลักดัน กรณีศีลธรรมก็อาจเปนไปในทํานองเดียวกัน คนที่มีศีลธรรมปฏิบัติตนถูกตองตามศีลธรรมโดยที่ ไมรูสึกวามีใครบังคับ แตปฏิบัติโดยพอใจและยินดี แตการรูวาอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไมควรทํา ก็ตองศึกษาเลาเรียนและไดรับการอบรมมากอน การอบรมทําใหคนเราเชื่อและทําตามหลักศีลธรรมมิใชเพราะ ความพอใจของเราเอง
  • 71. 62 2. ปญหาเจตนจํานงเสรี (free will) กับลัทธิบงการ (determinism) แนวคิดดังกลาวขางตนเปนปญหาสําคัญทางปรัชญาที่นักปรัชญาและนักศาสนาพยายามแกกันมา แตโบราณ ปจจุบันเรื่องนี้ก็ยังคงเปนปญหาอยู วิทยาศาสตรนั้นไมสูจะมีปญหาเพราะถือลัทธิบงการ ไมมีอะไร ที่เปนอิสระในทัศนะของวิทยาศาสตร ทุกสิ่งถูกบงการ เพราะนักวิทยาศาสตรเชื่อวากฎแหงเหตุและผล ควบคุมธรรมชาติทุกสิ่ง แตปญหานี้เปนปญหาที่ศาสนาตองตอบเพราะอิสรภาพหรือความมีเสรีภาพในการ เลือกเปนเหตุผลสําคัญที่ทําใหคนเราตองรับผิดชอบการกระทําของตนไมวาดีหรือชั่ว หากคนเราถูกบงการ โดยสิ้นเชิงใหตองกระทําอยางใดอยางหนึ่ง การกระทํานั้นยอมมิใชของผูนั้น เพราะผูนั้นไมไดเลือกหรือไม ปรารถนาที่จะกระทํา หากแตเปนการเลือกของผูที่บงการหรือบังคับใหกระทํา ผูเลือกหรือผูบังคับนั้นเองที่เปน ผูตองรับผิดชอบตอการกระทํา เชน คนคนหนึ่งถูกมอมยาใหควบคุมสติไมได และไดกระทําฆาตกรรม คนคน นั้นไมตองรับผิดชอบทางศีลธรรมเพราะเขามิไดมีเจตนา เขาทําการโดยไมรูตัว แตการกระทําที่ถูกบงการ บางอยางที่ผูถูกบงการมีทางเลือกก็เปนการกระทําที่ผูนั้นยังตองรับผิดชอบทางศีลธรรมอยู เชนคนคนหนึ่งถูก บังคับใหทําฆาตกรรมเพราะถูกขูวาถาไมทําบิดามารดาหรือบุตรจะถูกฆา และคนคนนี้ไดกระทําฆาตกรรม เพราะกลัวคําขูนั้น การกระทําดังกลาวนี้ถือวาผูกระทํายังตองรับผิดชอบทางศีลธรรม การกระทํานี้ถือวาผิด ศีลธรรมเพราะผูกระทําเลือกที่จะทําหรือไมทําก็ได แตเขาเลือกฆาผูอื่นเพื่อรักษาชีวิตคนที่ตนรัก กรณีนี้เขา สามารถเลือกวิธีอื่นไดอีกมากมาย การกระทําจะไดชื่อวากระทําโดยเสรีก็เมื่อผูนั้นสามารถเลือกกระทําได มากกวาหนึ่งทาง หรือเลือก กระทําหรือไมกระทําได การเลือกไดนี้เองที่ทําใหการกระทํานั้นเปนการกระทําของผูนั้น เมื่อมีผลอยางไร เกิดขึ้นเขาจึงเปนผูที่ตองรับผิดชอบผลนั้น คําสอนของศาสนานั้นเกี่ยวกับเรื่องผิดชอบชั่วดี หรือบาปบุญคุณโทษ มิไดมุงเพียงอธิบายสาเหตุ วิธีกระทํา และผลที่เกิดตามสาเหตุนั้น ๆ อยางวิทยาศาสตรและสังคมศาสตร แตมีการประเมินคาถูก ผิด ดี ชั่วดวย และการประเมินคานี้ก็มีหลักตายตัว เชน เจตนาฆาตองผิดเสมอ กฎหมายอาจมีขอยกเวนแต ศีลธรรมไมยกเวน ตรงขามถาปราศจากเจตนาก็ไมผิด แมกฎหมายอาจถือวาผิด ความถูกผิดทางศีลธรรม มิไดใชผลประโยชนที่มีตอสังคมเปนที่ตั้ง แตดูที่เจตนาของผูกระทําและเนนความถูกตองหรือไมถูกตองตาม กฎ ถูกผิดอยูในตัวการกระทํานั้น ถูกคือถูก ผิดคือผิด ดวยเหตุนี้ศาสนาจึงเชื่อเรื่องเจตนจํานงเสรี แตความ เชื่อเชนนี้ก็มีปญหา เพราะศาสนามักเชื่อการบงการดวย เชนคริสตศาสนาเชื่อวาพระเจาทรงสรรพเดชานุภาพ และทรงกําหนดชีวิตของมนุษย หรือพุทธศาสนาเชื่อวากรรมกําหนดชีวิตและการกระทําของมนุษย ศาสนา จึงตองตอบปญหาความขัดแยงระหวางเจตนจํานงเสรีกับการบงการและใหทั้งสองอยางสามารถอยูรวมกัน ไดโดยถูกตองทั้งคู 3. คริสตศาสนากับเจตนจํานงเสรีและลัทธิบงการ คนเรามักจะตําหนิผูอื่นวาทําผิดคือไมทําสิ่งอื่นที่ถูกและเรามักรูสึกผิดคือคิดวาเราควรทําอยางอื่น มากกวา เรามักคิดวาเราทําในสิ่งที่เราไมปรารถนาจะทําแตที่เราตองทําเพราะมีอะไรบางอยางมาบงการ
  • 72. 63 และการที่เราทําเชนนั้น เรามิไดเปนผูทํา แตมีบางอยางในตัวที่บังคับใหเราทํา เชนกรณีที่เรามักพูดกันวา เปน “ความจําเปนบังคับ” นั่นคือประสบการณเกี่ยวกับเจตนจํานงเสรีและประสบการณเกี่ยวกับการถูก บงการ เปนประสบการณจริงของเราทั้งคู ในคริสตศาสนามีปญหาสําคัญที่เปนความขัดแยงระหวางเจตนจํานงเสรีกับการบงการซึ่งทั้งคูเปนความ เชื่อสําคัญของศาสนา คือ 1. พระเจาทรงสรรพเดชานุภาพและทรงบงการทุกเหตุการณในชีวิตเรา กับ 2. มนุษยมี เจตนจํานงเสรีและตองรับผิดชอบตอบาปของตน หากตัดสินใจผิดก็ถูกพิพากษาใหตกนรก ขอความทั้งสอง นี้ขัดแยงกันทางตรรกะ หากพระเจาทรงบันดาลไปเสียทุกอยาง มนุษยก็ไมมีอิสระ และหากมนุษยมีอิสระ พระเจาก็ตองไมทรงบงการอะไร 3.1 คําตอบของนักบุญทอมัส อะควีนัส St. Thomas Aquinas (1225 – 1274) นักบุญทอมัส อะควีนัส วิเคราะหปญหาดังนี้ 3.1.1 มนุษยถูกบงการชีวิต การที่พระเจาบงการกําหนดชีวิตของมนุษยนั้นชอบแลว เพราะทุกสิ่งลวนแตเปนไป ตามแผนการของพระองค เนื่องจากมนุษยดําเนินไปสูชีวิตนิรันดรก็โดยการเตรียมการของพระเจา ในทํานองเดียวกันก็ยอมเปนแผนการสวนหนึ่งของพระเจาที่จะใหบางคนพลาดไปจากจุดหมายนั้น สิ่งนี้เรียกวาความเลวรายและเนื่องจากการกําหนดจุดหมายปลายทางลวงหนาประกอบดวยเจตน จํานงที่จะประทานความหรรษาและโรจนาการ ความเลวรายก็ตองประกอบดวยเจตนจํานงที่ จะใหบุคคลตกไปสูบาปและมีการลงโทษและการสาปแชงเพราะเหตุแหงบาปนั้น Summa Theologica Ι, 23,1,3 3.1.2 มนุษยเปนอิสระ มนุษยเลือกไดอยางอิสระ หาไมคําแนะนํา คําตักเตือน คําสั่ง คําหามปราม รางวัล และการลงโทษก็จะไรความหมาย หากเจตนจํานงปราศจากอิสรเสรี การสรรเสริญใด ๆ ก็ไมอาจมีแกคุณธรรมของมนุษยได เนื่องจากคุณธรรมจักไมมีเหตุผลรองรับหากมนุษยมิไดทําการโดยอิสระ การใหรางวัลและ การลงโทษก็ยอมจะยุติธรรมไมไดหากมนุษยไมมีอิสรเสรีในการทําดีหรือชั่วและยอมจะไมมี ความรอบคอบในการใหคําแนะนํา เพราะคําแนะนําจะไมมีประโยชนอะไรหากสิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้นโดยจําเปน Summa Theologica Ι , 83,1
  • 73. 64 3.2 มนุษยทั้งถูกกําหนดไวลวงหนาและอิสรเสรีไดหรือไม ผูถูกบงการชีวิตยอมจะตองไดรับการชวยใหปลอดภัย แตก็โดยความจําเปนแบบมี เงื่อนไขซึ่งมิใชเปนการตัดอิสรภาพในการเลือกออกไปเสียทีเดียว มนุษยมุงหาพระเจาโดยการเลือกที่เสรี และในการเลือกนั้นมนุษยก็ถูกสั่งใหมุงหาพระเจา แตวาการเลือกที่เสรีจะเปนการมุงหาพระเจาไดก็โดยพระเจาทรงหันทิศทางให มนุษยเองก็ตอง เตรียมวิญญาณของตน เพราะมนุษยสามารถทําเชนนั้นโดยการเลือกเสรี แตถึงกระนั้น มนุษยก็ไมอาจทําเชนนั้นได โดยปราศจากความชวยเหลือของพระเจา ดังนั้นแมแตการ ดําเนินการอยางดีของการเลือกอยางอิสระซึ่งบุคคลไดรับการเตรียมการใหไดพระหรรษทาน ก็เปนการกระทําโดยอิสระที่พระเจาทรงดําเนินการ การเตรียมการของมนุษยเพื่อพระหรรษทาน เกิดจากพระเจาในฐานะผูทรงเปนผูดําเนินการและจากการเลือกโดยเสรีในฐานะผูถูกดําเนินการ1 Summa Theologica, Ι 23,3 ; Ι - ΙΙ , 109, 6 ; Ι - ΙΙ ,112,2,3. 4. พระพุทธศาสนา กฎแหงกรรม เสรีภาพ พระพุทธศาสนาเชื่อวากฎแหงกรรมเปนกฎแหงความประพฤติของมนุษยเชนเดียวกับกฎวิทยาศาสตร เปนกฎของสิ่งธรรมชาติ ทั้งกฎวิทยาศาสตรและกฎแหงกรรมเปนกฎธรรมชาติทั้งคู กฎวิทยาศาสตรเปนกฎ เกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏตอประสาทสัมผัสเชน กฎฟสิกส เคมี ชีววิทยา กฎแหงกรรม เปนกฎเกี่ยวกับพฤติกรรม ของมนุษยในดานคุณคาคือกฎเกี่ยวกับความดีความชั่ว วิทยาศาสตรไมเชื่อวากฎแหงกรรมมีจริงเพราะไม เชื่อเรื่องดีชั่ว มนุษยตองกระทําการตางๆ การกระทําของมนุษยยอมดีบาง เลวบาง เปนกลาง ๆ บาง มีเจตนาบาง ไมมีเจตนาบาง การกระทําที่เปนไปโดยเจตนาพระพุทธศาสนาเรียกวา กรรม กรรมจึงมีทั้งดีและชั่ว การกระทํา โดยเจตนาเปนการเลือกกระทําโดยเสรี เพราะผูตั้งเจตนาก็คือเจาตัวผูนั้นเอง ใครบังคับไมได เพราะแมวาจะ ถูกบังคับ ในที่สุดก็ตองตั้งเจตนาหรือเลือกวาจะทําตามที่ถูกบังคับหรือทําอยางอื่น และเนื่องจากเปนผูเลือก เองจึงตองรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก กฎแหงกรรมก็เปนกฎแหงเหตุและผลเชนเดียวกับกฎวิทยาศาสตรคือกรรมที่กระทําเปนเหตุ ยอม มีผลของกรรมนั้นเกิดตามมา เชนการทํารายผูอื่นยอมเปนเหตุใหถูกทํารายตอบ ชวยเหลือผูอื่นก็ไดรับความ ชื่นชมตอบ กรรมนั้นบางครั้งก็เกิดผลทันทีบางครั้งก็ตองใชเวลาเพราะคนเราทํากรรมมากมาย ผลกรรมทยอย กันสงผลตามความรุนแรงของกรรมและความมากนอยแหงการกระทํานั้น แตกรรมจะสงผลเสมอไมมียกเวน 1 James L. Christian, Philosophy : an introduction to the art of wondering. Second edition, New York : Holt Rinehart and Winston 1977 p.279.
  • 74. 65 ทานเปรียบเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป หรือรอยเกวียนที่ตามรอยโค ไมสงผลในชาตินี้ภพนี้ก็สงผลในชาติในภพ ตอ ๆ ไป คนแตละคนเกิดมาแลวกี่ชาติไมมีใครทราบ ทุกคนเคยทํากรรมมาแลวในอดีตชาติ เมื่อเกิดมาก็มี กรรมติดตัวมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และกรรมดีกรรมชั่วในอดีตก็ตามมาสงผล ชีวิตคนจึงเปนไปตามกรรม ในอดีตสวนหนึ่ง ซึ่งคนเราเลือกที่จะไมรับผลกรรมไมได เพราะแมแตการเกิดในที่ดีหรือไมดีก็เปนผลของ กรรม แตยังมีกรรมที่คนเราเลือกไดอยางเสรีคือกรรมที่เราเลือกทําในชาติปจจุบัน แมวากรรมเกาอาจทําให คนเราไปตกอยูในที่ที่มีโอกาสจะทําดีนอย และมีโอกาสไดรับการศึกษาอบรมนอย แตทุกคนก็มีโอกาสไดพบ สภาพที่ดีอยูบอย ๆ การไดเกิดในศาสนาก็เปนสภาพแวดลอมที่ทําใหคนเราไดยินไดฟงคําสอนและเห็นการ ปฏิบัติที่ดีงาม หากเลือกทํากรรมดีชีวิตก็ดีขึ้น คือไดรับผลแหงกรรมดีนั้นตอไป ในแงนี้คนเราจึงมีเสรีภาพใน การเลือกหรือตั้งเจตนจํานง มิใชถูกบงการหรือกําหนดโดยกรรมเกาจนชีวิตไมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได เพราะหากเปนเชนนั้น ก็เทากับเปนชะตานิยม (fatalism) คือชีวิตถูกกําหนดชะตามาใหเปนไปโดยไมอาจ เปลี่ยนแปลงอะไรไดเลย หัวขอธรรมเกี่ยวกับกรรมตอไปนี้แสดงใหเห็นวากรรมมีสวนกําหนดชีวิตของมนุษยอยางไรบาง การ วิเคราะหความหมายของขอธรรมเหลานี้จะทําใหเขาใจบทบาทของกรรมตอชีวิตเพิ่มขึ้นจากที่ไดอธิบายไวขางตน กรรม 12 การกระทําที่ประกอบดวยเจตนา ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, ในที่นี้หมายถึงกรรม ประเภทตาง ๆ พรอมทั้งหลักเกณฑเกี่ยวกับการใหผลของกรรมเหลานั้น – Kamma : kamma ; kamma; action; volitional action) หมวดที่ 1 วาโดยปากกาล คือ จําแนกตามเวลาที่ใหผล (classification according to the time of ripening or taking effect) 1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมใหผลในปจจุบันคือในภพนี้ – Ditฺtฺhadhamma- vedanîya-kamma : kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma) 2. อุปปชชเวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหนา – Upapajja- vedaniya-kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life) 3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมใหผลในภพตอ ๆ ไป – Aparapariya-vedaniya- kamma : kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma) 4. อโหสิกรรม (กรรมเลิกใหผล ไมมีผลอีก – Ahosi – kamma : lapsed or defunct kamma)
  • 75. 66 หมวดที่ 2 วาโดยกิจ คือจําแนกการใหผลตามหนาที่ (classification according to function) 5. ชนกกรรม (กรรมแตงใหเกิด, กรรมที่เปนตัวนําไปเกิด – Janaka –kamma : productive kamma; reproductive kamma) 6. อุปตถกัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน – กรรมที่เขาชวยสนับสนุนหรือซ้ําเติมตอ จากชนกกรรม – Upatthambhaka – kamma ;consolidating kamma) 7. อุปปฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาใหผล บีบคั้นผลแหงชนกกรรมและ อุปตถัมภกรรมนั้น ใหแปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิใหเปนไปไดนาน – Upapilฺaka – kamma : obstructive kamma ; frustrating kamma) 8. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝายตรงขามกับชนกกรรมและ อุปตถัมภกกรรมเขาตัดรอนการใหผลของกรรมสองอยางนั้น ใหขาดไปเสียทีเดียว เชน เกิดใน ตระกูลสูง มั่งคั่งแตอายุสั้น เปนตน – Upaghataka – kamma : destructive kamma; supplanting kamma) หมวดที่ 3 วาโดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเยื้องหรือลําดับความแรง ในการใหผล (classification according to the order of ripening) 9. ครุกกรรม (กรรมหนัก ใหผลกอน ไดแก สมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม – Garuka – kamma : weighty kamma) 10. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผลรองจาก ครุกกรรม – Bahula – kamma, Acinฺnฺa ~ : habitual kamma) 11. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกลตาย คือ กรรมทําเมื่อจวนจะตาย จับใจอยูใหม ๆ ถาไมมี 2 ขอกอน ก็จะใหผลกอนอื่น – Asanna – kamma : death – threshold kamma; proximate kamma) 12. กตัตตากรรม หรือ กตัตาวาปนกรรม (กรรมสักวาทํา, กรรมที่ทําไวดวย เจตนาอันออน หรือมิใชเจตนาอยางนั้นโดยตรง ตอเมื่อไมมีกรรมอื่นใหผลแลวกรรมนี้จึงจะ ใหผล – Katatta – kamma : reserve kamma ; casual act) กฏัตตากรรม ก็เขียน กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิไดมีมาในบาลีในรูปเชนนี้โดยตรง พระอาจารย สมัยตอมา เชน พระพุทธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจัดเรียงเปนแบบไวในภายหลัง วิสุทฺธิ.3/223; สงฺคห.28 5. ลัทธิบงการ (Determinism) ลัทธิบงการเปนผลมาจากความคิดแบบวิทยาศาสตรซึ่งเปนความคิดแบบวัตถุนิยมที่สําคัญที่สุด วิทยาศาสตรตองการอธิบายปรากฏการณในเชิงความเปนเหตุและผล การอธิบายปรากฏการณหนึ่งก็คือ การ
  • 76. 67 บอกวาปรากฏการณใดเปนเหตุของปรากฏการณนั้น เหตุอาจเปนปรากฏการณหนึ่งที่มากอนหรืออาจเปน สภาพแวดลอมที่ทําใหเกิดปรากฏการณนั้นก็ได ดังนั้นหากพิจารณาในเชิงวัตถุนิยมวา คนเราก็คือรางกาย และรางกายนี้เปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ ของสังคม ของประวัติศาสตร ธรรมชาติ สังคม และประวัติความ เปนมายอมเปนเหตุหรือเปนคําอธิบายสภาพปจจุบันของรางกายนั้น ความรูสึกวาเราเลือกไดหรือเรามีอิสระใน การเลือกนั้นโดยแทจริงแลวก็เปนเพราะเหตุภายนอกบงการใหเรารูสึกเชนนั้น ในทัศนะของลัทธิบงการ เจตนจํานงเสรีจึงเปนผลของการบงการ กลาวคือไมมีเจตนจํานงเสรีที่แทจริง ขอเขียนของรอเบิรต แบลซฟอรด มีดังนี้ เมื่อบุคคลหนึ่งกลาววา เจตจํานงของตนเปนอิสระ เขาหมายถึงวาเปนอิสระจากการถูก ควบคุมหรือการเขาแทรกแซงทั้งปวง นั่นคือเจตจํานงสามารถมีอํานาจเหนือพันธุกรรมและ สภาพแวดลอม เราขอตอบวาเจตจํานงถูกควบคุมโดยพันธุกรรมและสภาพแวดลอม ดูเหมือนวาผูที่เชื่อเรื่องเจตจํานงเสรีคิดถึงเจตจํานงเหมือนกับเปนอะไรสักอยางที่เปน เอกเทศจากตัวมนุษย อยูภายนอกตัวมนุษย ดูเหมือนพวกเขาจะคิดวาเจตจํานงตัดสินลงไป อยางปราศจากการควบคุมโดยเหตุผลของมนุษย ถาเปนเชนนั้นก็ไมไดพิสูจนวามนุษยเปนผูรับผิดชอบ “เจตจํานง” ตางหากที่เปน ผูรับผิดชอบ ไมใชมนุษย จะเปนการโงเขลาที่จะกลาวโทษบุคคลหนึ่ง ในเมื่อการกระทํานั้นเกิด จากเจตจํานง “อิสระ” เชนเดียวกับกลาวโทษมาในเมื่อการกระทําเกิดจากผูขี่ แตขาพเจาจะพิสูจนใหผูอานเห็นวาเจตจํานงไมเปนอิสระและถูกควบคุมจากพันธุกรรม และสภาพแวดลอม ผูที่เชื่อเรื่องเจตจํานงอิสระกลาววา “เรารูวามนุษยสามารถเลือกและเลือกจริง ๆ ระหวาง การกระทําสองอยาง แตอะไรเลาเปนตัวตัดสินวาจะเลือกอยางไร ความปรารถนาทุกอยางมีสาเหตุ การเลือกทุกอยางมีสาเหตุและสาเหตุทุกอยางของ ความปรารถนาและการเลือกแตละอยางมีบอเกิดจากพันธุกรรมหรือสภาพแวดลอม เพราะการ กระทําของคนผูหนึ่งยอมเกิดจากสภาพจิตใจของตน นั่นคือจากพันธุกรรม หรือจากการที่ถูก ฝกฝนมา นั่นคือจากสภาพแวดลอม และในกรณีที่บุคคลหนึ่งลังเลในการเลือกระหวางการ กระทําสองอยาง ความลังเลนี้เปนผลมาจากความขัดแยงระหวางสภาพทางจิตใจกับการถูก ฝกฝนมา หรือบางคนอาจจะใชคําบรรยายวา ระหวางความปรารถนาของเขากับมโนธรรมของ เขาเอง การที่คนหนึ่งมีเมตตา อีกคนหนึ่งโหดราย ก็เปนไปโดยธรรมชาติ … นั่นก็คือ มีความ แตกตางกันทางพันธุกรรม คนคนหนึ่งอาจไดรับการสั่งสอนมาตลอดชีวิตวาการฆาสัตวปา
  • 77. 68 เปนกีฬา อีกคนหนึ่งอาจไดรับการสั่งสอนวาการทําเชนนั้นไรมนุษยธรรมและเปนสิ่งผิด นั่น คือมีความแตกตางกันทางดานสภาพแวดลอม1 เหตุผลของแบลชฟอรดในบทความขางตนมาจากความเชื่อวาสิ่งที่ทําใหมนุษยตัดสินใจมีสองอยาง คือพันธุกรรม กับสภาพแวดลอม ซึ่งทั้งคูไมเกี่ยวกับจิตเลย จึงเห็นไดวาเปนเหตุผลของฝายวัตถุนิยม ดังนั้น จึงอางวา ถามีเจตจํานงอิสระก็ตองเปนสิ่งนอกตัวมนุษยซึ่งทําใหอางไดวาในกรณีเชนนั้นมนุษยยอมไมใชผู ตัดสินใจ เพราะสิ่งที่ทําหนาที่ตัดสินใจอยูนอกตัวผูตัดสินใจซึ่งเปนไปไมได ฝายที่เชื่อเจตจํานงอิสระหาไดมีความคิดเชนนี้ไม พวกเจตจํานงอิสระยอมรูดีวาสิ่งที่เปนสสารทั้งหลาย ยอมถูกกําหนดหรือบงการเพราะสสารมีลักษณะเปนสิ่งที่ “รับการกระทํา” (passive) มิใชสิ่งที่ “ริเริ่มการกระทํา” (active) ฝายเจตจํานงอิสระมิไดเชื่อวาการตัดสินหรือการเลือกของมนุษยมาจากรางกายเทานั้น หากแต รางกายรับใชจิตซึ่งเปนสิ่งที่มีธรรมชาติริเริ่มการกระทําคือทําการไดเอง และตรงขามกับรางกายที่เปนสสาร อันมีธรรมชาติที่ตองรับคําสั่งจากสิ่งที่ทําการไดเองนั้น เจตจํานงอิสระจึงเปนคุณสมบัติของมนุษยซึ่งมีจิต และจิตก็ไมไดอยูนอกตัวมนุษย เรื่องเกี่ยวกับรางกายไมวาจะเปนอวัยวะใด ๆ ก็ลวนเปนสสาร แมวามีการ ทํางานเชื่อมโยงกันแบบเครื่องจักรแตในที่สุดเครื่องจักรทุกชนิดก็ตองมีผูสั่งการ รางกายก็เปนเชนนั้น และผู สั่งการก็คือจิต พันธุกรรมมิใชอื่นไกลคือจิตนั่นเอง หากเปนเรื่องกายภาพแลวเหตุใดฝาแฝดเชน อิน-จัน จึงมี นิสัยใจคอแตกตางกัน ในเมื่อเกิดจากพอแมเดียวกัน และอยูในสภาพแวดลอมเดียวกันเพราะรางกายของ เขาติดกัน 6. ชะตานิยม fatalism วิทยาศาสตรเชื่อวาสสารทั้งหลายเปนไปตามกฎเกณฑ ดังนั้นถาเรารูธรรมชาติของสสารและกฎที่ ควบคุมครบถวน นอกจากอธิบายปรากฏการณทางสสารในอดีตและปจจุบันไดแลว เรายังสามารถบอก ปรากฏการณในอนาคตไดอยางแมนยํา นั่นคือทุกสิ่งในปจจุบันถูกกําหนดมาแลวจากอดีตและอนาคตก็ถูก กําหนดจากปจจุบัน ความรูบางเรื่องเชนอิเล็คตรอนอาจยังไมแนนอนตายตัวในปจจุบัน นั่นก็เปนเพราะเรา ยังรูขอมูลและกฎเกณฑของมันไมเพียงพอ เมื่อพิจารณาตามความเชื่อดังกลาว มนุษยมิใชเปนสิ่งที่ชะตาชีวิตถูกลิขิตจากพระเจาหรือดวงดาว เทานั้น แมวิทยาศาสตรก็เชื่อวาชะตาชีวิตถูกลิขิตแลวโดยยีนสกับสภาพแวดลอม และอยูใตกฎวิทยาศาสตร เชนเดียวกับกอนหิน พืช และสัตว ไมมีอะไรที่เปนอิสระ ทุกสิ่งถูกกําหนดมาแลวโดยสิ้นเชิง ความสําเร็จ ความลมเหลว ความรัก ของแตละคนลวนแตมีสาเหตุทางกายภาพทั้งสิ้น ถามนุษยมีขอมูลในเรื่องใด ครบถวน ก็สามารถสรางสิ่งหรือปรากฏการณในเรื่องนั้น ๆ ได 1 รอเบิรต แบลชฟอรด (อุกฤษฎ แพทยนอย แปล) “ความหลงผิดวา เจตจํานงเปนอิสระ (อัดสําเนา) กรุงเทพฯ : ภาควิชา ปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
  • 78. 69 7. พฤติกรรมนิยม (behaviorism) พฤติกรรมนิยมเปนแนวคิดทางจิตวิทยาที่ไดรับอิทธิพลจากฟสิกส นักพฤติกรรมนิยมไมเชื่อในความ มีอยูจริงของจิต จึงไมใชคําวาจิต ปรากฏการณทั้งหลายเกี่ยวกับมนุษยเปนการตอบสนองทางกายของมนุษย ตอสภาพแวดลอมซึ่งก็เปนเรื่องทางกายภาพ พฤติกรรมของมนุษยนั้นมีทั้งที่เกิดในตัวและที่แสดงใหปรากฏ สังเกตได พฤติกรรมที่เรารูเห็นไดปรากฏในรูปการสนองตอบสิ่งเรา ดังนั้นถาเราสังเกตพฤติกรรมมนุษยที่ สนองตอบสิ่งเรา เราก็สามารถอธิบายและทํานายพฤติกรรมได รวมถึงสามารถกําหนดหรือบงการพฤติกรรม ใหเกิดแกมนุษยได มนุษยไมไดมีการเลือกอยางเสรี ในการตอบสนองสิ่งเราแตตอบสนองตามกฎเกณฑและ อิทธิพลของพฤติกรรมและสิ่งเราในอดีต นักจิตวิทยาชื่อ สกินเนอร (Skinner) เปนตัวอยางของผูที่มีแนวคิด แบบนี้ สกินเนอรกลาววา พิจารณาตามประสบการณเสรีภาพมิใชขอเท็จจริง การตอบสนองทั้งหลายของ เราเปนผลมาจากเงื่อนไขและพลังจากอดีตที่ผลักดันใหเราทําอยางที่เราทํา การทดลองที่มีชื่อเสียงของ สกิน เนอร โดยใชนกพิราบ และหนูเปนการแสดงวา พฤติกรรมของสัตว1 สามารถทํานายและควบคุมไดสามารถ จะใหทําตามขอกําหนดที่เฉพาะเจาะจงก็ได โดยการเลือกสาเหตุเฉพาะ (สิ่งเรา)ผลที่ปรารถนา (การตอบสนอง) จะเกิดขึ้นเสมอนี่เปนการใชกฎแหงเหตุและผลของวิทยาศาสตรกับการศึกษาพฤติกรรมของสัตว คือกฎที่วา สาเหตุทุกสาเหตุยอมมีผล และผลทุกผลยอมมีสาเหตุ ซึ่งเปนกฎที่ใชไดกับศาสตรทุกศาสตร ไมเวนแมแต ศาสตรเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย ตามความคิดของสกินเนอร เสรีภาพเปนเพียงภาพมายาที่คนเราสรางขึ้นเพื่อเลี่ยงความรูสึกถูกบังคับ ทําใหเกิดความรูสึกพึงพอใจ แตความรูสึกดังกลาวก็เปนการตอบสนองที่มีสาเหตุคือเกิดจากประสบการณ ของเราในอดีต สกินเนอรยกตัวอยางใบไมรวงวา ใบไมที่แกจัดและหลุดจากกิ่งรอนไปมาตามแรงลม แลวไปวาง สงบนิ่งอยูบนพื้นดินนั้น สมมติวาไมมีนักฟสิกสที่จะอธิบายปรากฏการณนี้ พวกเราซึ่งเปนผูดูที่มีจิตใจ สุนทรียก็อาจรูสึกอิจฉาใบไมที่รอนไปมาอยางอิสรเสรีแลวลงสูพื้นนั้น แตตามความเปนจริงก็คือใบไมหลนลง ตามกฎของฟสิกสซึ่งเปนกฎพื้น ๆ ในดานฟสิกสสามารถอธิบายไดวา การหลุดจากขั้วเปนไปตามกฎ แรงดึงดูดของโลก การรอนในอากาศเปนไปตามกฎของแรงตานทานของมวลอากาศ และแรงของกระแสลม และสามารถคํานวณเวลาตั้งแตใบไมหลุดจากขั้วจนถึงพื้นดินได ทั้งหมดนี้ก็คือปรากฏการณใบไมรวงเปนไป ตามกฎแหงเหตุและผล 1 เปนการทดลองเกี่ยวกับการเรียนรูของสัตว นกพิราบที่เผอิญเหยียบคานแลวมีเมล็ดถั่วรวงลงมาจะเรียนรู เมื่อใดที่ ตองการกินถั่วก็จะเหยียบคาน เชนเดียวกับหนูหิวที่วิ่งไปตามทางวกวนแบบเขาวงกต และพบอาหาร ก็จะวิ่งไปตามทางเดิม เมื่อตองการกินอาหาร แสดงวาพฤติกรรมของสัตวมีสาเหตุจากสิ่งเราภายนอกในกรณีทั้งสองนี้คืออาหาร การเหยียบคาน ของนกพิราบ และการวิ่งไปตามทางที่เคยของหนู เปนการตอบสนองตอสิ่งเรา
  • 79. 70 อีกตัวอยางหนึ่งที่สกินเนอรยกมาก็คือการบินของแมลง ถาเทียบการบินของแมลงกับการรวงของ ใบไมเราอาจรูสึกวาการบินไปบินมาของแมลงนั้นเสรีกวาการรวงของใบไม และแมลงสามารถเลือกได แต สกินเนอรอธิบายวาสองปรากฏการณนี้ไมตางกัน การเคลื่อนที่ทุกการเคลื่อนที่สามารถทํานายไดหากรูแรง ที่เปนสาเหตุไดอยางครบถวนแมนยํา สสารที่เคลื่อนที่เปนไปตามกฎฟสิกสและแมลงก็เปนสสารที่เคลื่อนที่ หลักการเดียวกันนี้ใชอธิบายการกระทําของมนุษยได ไมวาเราจะซับซอนเพียงไรเราก็อยูใตกฎฟสิกส เชนเดียวกับแมลงและใบไม พฤติกรรมของเราซับซอนกวาแมลง แตแมลงก็ซับซอนกวาใบไม เสรีภาพเปนเรื่อง ที่เราเขาใจผิดเชนเดียวกับที่เขาใจวาแมลงมีพฤติกรรมตางกับใบไม 8. ซารท (Sartre)1 กับเสรีภาพในการเลือก ซารทเชื่อวาไมมีลัทธิบงการใด ไมมีใครบงการเรา เราเปนผูตัดสินใจเอง เราไมอาจโทษพระเจา ใคร ๆ หรือแมแตสภาพแวดลอม เราเปนเชนนี้ก็เพราะเราทําใหตัวเราเปน เรามีเสรีภาพและจะตองรับผลแหงเสรีภาพ ตองรับผิดชอบตอการตัดสินใจและเผชิญกับผลของการตัดสินใจนั้น เพราะเสรีภาพของมนุษยมิใชวาจะดี เสมอไป ใหผลรายก็มี ไมวาเราจะชอบหรือไมก็ตามมนุษยก็ถูกสาปใหเปนอิสรเสรี การที่ซารทใชคําวา “ถูกสาป” ก็เพราะเสรีภาพยอมทําใหเกิดความวิตกกังวล ยิ่งรูวาเรามีเสรีภาพ อยางไมจํากัดขอบเขตก็ยิ่งไมอาจพนความกังวลได เสรีภาพนํามาซึ่งการเลือกที่ใหผลที่นากลัว เรามิไดตัดสิน เพื่อตัวเราเพียงลําพัง แตเพื่อผูอื่นดวย รวมถึงเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล การเปนอิสระเทากับการตกอยูในสภาพหนีเสือปะจระเข ถาเรารูเราจะไมมีความสุขไปตลอดกาล การมีชีวิตอยูก็เปนการฝนนับแสนนับลานและมุงไปขางหนาเพื่อจะใหตัวเราสมบูรณ คนทุกคนตางก็ปรารถนา จะเปนอยางพระเจา แตเราก็รูวาเราเปนสิ่งจํากัดและความจํากัดนั้นทําลายเรา แตเราก็ยอมรับไมไดและตอง แขงขันตอสู ตองฝนแมจะรูวาเปนฝนที่ไรประโยชนก็ตาม การที่เราตองทําเชนนั้นก็เพราะไมมีทางทําอยางอื่น เพราะการมีอยูเปนอยูก็คือการเปนอิสระ และ การเปนอิสระก็คือการที่ตองกระทํา ตองริเริ่ม ตองเลือก ตองตัดสินใจ ตองมีฝนที่ไมเปนจริงและไมสมหวัง เราตองทําในสิ่งที่เรารูอยูแลววาไมสามารถจะทําได ซารทพยายามใหเราเห็นวาเราอยูในโลกซึ่งขัดแยงอยางปราศจากเครื่องนําทางบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม ก็สัมพัทธ สังคมก็บาบอคอแตก ไมมีพระเจาจึงไมมีอาณัติอะไรที่จะเปนระเบียบแกชีวิต ไมมีอะไรที่เปน ความหมายของชีวิต ไมมีเงื่อนไขใด ๆ ในอดีตที่จะใหเราประณามที่ทําใหเราเปนเชนนี้ ไมมีแมแต “ธรรมชาติ ของมนุษย” ที่ชวยใหเราบอกไดวาตัวเราคืออะไร ไมมีอะไรที่จะชวยเรา เนื่องจากพอเรารูวาเราคืออะไร เราก็ ตองรับผิดชอบในทุกสิ่งที่เราเปนและเราทํา เราอาจเขารวมการชุมนุมและจิตใจของเราเปนไปตามพฤติกรรม กลุม ซึ่งไมใชตัวเรา แตการตัดสินใจเขารวมชุมนุมก็เปนการตัดสินใจของเรา และตองรับผิดชอบตอการ 1 Jean Paul Sartre นักปรัชญา Existentialism ของฝรั่งเศส
  • 80. 71 ตัดสินใจนั้น ไมวาสถานการณใด ๆ เราลวนแตตัดสินใจและตองรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อใดที่รูตัวเมื่อนั้นตอง รับผิดชอบ ในแตละขณะที่เรารูสึกตัวเรามีเรื่องที่จะตองเลือกนับไมถวน เรื่องที่จะตองคิด ความรูสึก เรื่องที่ ตองทํา มีเรื่องมากเสียจนทวมทับตัวเรา และเพราะเหตุนี้บางครั้งเราจึงคอยไปสูความเปนพวกลัทธิบงการ เราทําใหตัวเราเชื่อวามีขอบเขตซึ่งเราละเมิดมิได และเรามิไดเปนอิสระอยางแทจริง เรามิไดถูกกําหนดใหคิด รูสึก หรือทําอยางนั้นอยางนี้ ไมไดถูกสังคม ศาสนา กฎหมายหรือมโนธรรมบงการ การโทษสิ่งเหลานี้ก็คือ การถอยหนีจากเสรีภาพ ความจริงแลวเราทําไดทั้งหมด แตเนื่องจากเสรีภาพทําใหเรากลัว เราจึงยอมรับ ขอจํากัดตาง ๆ ที่อางกันอยู เราจะเห็นไดวาตามทรรศนะของซารทเสรีภาพไมขึ้นอยูกับการมีจิตที่จะตัดสินไดอยางอิสระ และยิ่ง ไมขึ้นกับกฎใด ๆ ทางวัตถุอยางที่พวกลัทธิบงการคิด แตทุกขณะมนุษยเลือกและตัดสินใจอยางอิสระ ไมอยูใต กฎวัตถุ และไมตองมีหลักศีลธรรมตายตัวใด ๆ เปนเครื่องยึดถือทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษยเปนเชนนั้น จะไมเปนก็ไมได
  • 81. 72
  • 82. 73 บทที่ 5 ชีวิตที่ประเสริฐ ในปจจุบันเรามักพูดถึง”คุณภาพชีวิต” หรือพัฒนา”คุณภาพของมนุษย” แตก็มักเขาใจไมตรงกัน นักศาสนานึกถึงคนที่มีศีลธรรมและการแสวงหาความสงบทางใจ นักเศรษฐศาสตรมักนึกถึงแรงงานในการ ผลิตที่มีความรูความสามารถในการสรางและใชเทคโนโลยี นักการเมืองอาจนึกถึงคนที่มีความรูและจิตใจ เปนนักประชาธิปไตย นักธุรกิจนึกถึงผูที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ นักพัฒนาชนบทอาจนึกถึงความ พรอมมูลในเรื่องความจําเปนพื้นฐานของชีวิต คือมีกินมีใชไมขาดแคลน แตละฝายตางก็มีความคิดเกี่ยวกับ ชีวิตที่มีคุณภาพแตกตางกันซึ่งทําใหนโยบายเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตไมเคยประสบความสําเร็จอยางแทจริง ความ แตกตางนี้มีมาแลวแตโบราณ มนุษยเขาใจและปรารถนาชีวิตที่ดี แตชีวิตที่เปนยอดปรารถนาของเขาไม เหมือนกัน ไมมีความเห็นที่เปนเอกฉันทในเรื่องนี้ แตถึงกระนั้นชีวิตที่ดีที่สุดหรือชีวิตที่ประเสริฐก็มีอยูไมกี่แบบ 1. ลัทธิสุขนิยม (Hedonism) : ความสุขทางกายเปนยอดปรารถนา คนทุกคนจําเปนตองบริโภคและอุปโภคเพื่อรักษารางกายใหมีสุขภาพดี หาไมจะเกิดความทุกขทาง กายเชน ทุกขทรมานหรือเกิดโรคภัยไขเจ็บ ปจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย และยารักษาโรค จึง เปนความจําเปนของมนุษย และมนุษยสวนมากเห็นวาสิ่งเหลานี้เปนความสุขทางกายอันนาปรารถนา ความสุขทางกายดังกลาวทําใหมนุษยดํารงชีวิตอยูได แตมนุษยไมเพียงตองการ “อยูได” ยัง ปรารถนาที่จะ “อยูดี” “อยูดีกินดี” นั้นตางกับ “พอมีพอกิน” มนุษยสวนมากหวังที่จะอยูดีกินดี มนุษยไมเพียง ตองการมีอาหารแตตองการอาหารดี ๆ อาหารหลากหลายชนิด ดังที่กลาวกันวารายการอาหารของฮองเตจีน นั้นมีถึงพันกวาอยาง เครื่องนุงหมซึ่งตามความจําเปนใชเพื่อกันรอนกันหนาวและปกปดอวัยวะเพื่อกันความ ชั่วรายซึ่งเปนมาแตสมัยโบราณ ในสมัยปจจุบันก็กลายเปนการแตงกายประกวดประขันกันในดานความ งาม ความแปลกตา ตกแตงประดับประดา บางคนมีเสื้อผานับพันชุด รองเทานับพันคู ความสุขทางกายไดแกความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความสุขทางประสาทสัมผัสของ มนุษยนั้น มนุษยแตละยุคสมัยไดสรางสรรคขึ้นและพัฒนาใหซับซอนประณีตตอบสนอง “ความพึงพอใจ” ทางกายจนนับไมถวน และความสุขเหลานี้ก็ไดกลายเปนยอดปรารถนาของมนุษยสวนมากในปจจุบัน ความ สะดวกสบายที่เราใชจายเงินอยางมากมายเพื่อซื้อหามาบริโภคกันอยูทุกวันนี้ก็คือความสุขหรือความพึงพอใจ ทางกาย ความสุขทางกายนี้เปนความคิดในระยะเริ่มแรกของมนุษย ในคัมภีรฤคเวทซึ่งเปนหลักฐานที่เกาแกราว 1500 – 1600 ป กอนคริสตศักราชปรากฏวาการสวดออนวอนเทพมักเปนไปเพื่อใหไดความสุขทางกาย แม คําบรรยายวิมานของเทพเชนพระวรุณก็เปนที่ที่บริบูรณดวยความสุขทางกาย กลาวคือสวรรคเปนที่ที่มีความสุข ทางกายอยางเพียบพรอม แมจะมีแนวคิดเรื่องความดีความชั่วแตผลตอบแทน การทําดีทําชั่วก็เปนเรื่องการ ไดรับความสุขทางกายหรือการตองรับเคราะหรายและโรคภัยไขเจ็บ
  • 83. 74 การที่มนุษยเห็นความสุขทางกายเปนเรื่องสําคัญนี้เปนเรื่องปกติเพราะคนเรายอมรูจักสิ่งที่ปรากฏ ตอประสาทสัมผัสกอนสิ่งที่เปนนามธรรมเชนเรื่องจิต แมสิ่งเหนือธรรมชาติที่เชื่อกันในระยะแรก ๆ ก็มีลักษณะ เปนมนุษยเชนมีรูปรางหนาตาอยางมนุษยและกระทําตามอารมณอยางมนุษย เทพเจาของกรีกและอินเดีย เปนตัวอยางของเทพเจาแบบนี้ซึ่งเรียกวาแบบมนุษยสัณฐาน (anthropomorphic) 2. อัตนิยม egoism ความสุขทางกายที่มนุษยปรารถนานั้น โดยทั่วไปยอมปรารถนาเพื่อตนเอง หรือเครือญาติของตน เผาพันธุของตน คือเปนแนวคิดที่มองตนเปนหลัก (egocentrism) ซึ่งในที่สุดก็คือยึดตัวตนของแตละคนเปน สําคัญ หรือเปนลัทธิที่เห็นแกตนเปนที่ตั้ง เรียกวาอัตนิยม ความคิดแบบอัตนิยมที่เนนความสุขทางกาย (egoistic hedonism) นี้เปนความคิดที่มีมากที่สุด ในตัวมนุษยแมกระทั่งในปจจุบัน ทั้งนี้เพราะความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติของมนุษย แมทรรศนะที่ให ความสําคัญแกคุณธรรมเชนศาสนาตาง ๆ ก็ยอมรับวามนุษยมีความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติฝายต่ํา คนทั่วไปที่เห็นวาความเห็นแกตัวเปนธรรมชาติมักจะถือวาความเห็นแกตัวเปนสิ่งปกติหรือเปนสิ่ง ที่ดี อัตนิยมแบบที่หยาบและไมรอบคอบก็คืออัตนิยมแบบที่ไมคิดหนาคิดหลัง คือฉวยเอาความสุขเฉพาะ หนาโดยทันที คนที่ขาดความรูหรือสติปญญาจะเปนอัตนิยมแบบนี้ไดงาย แตคนทั่วไปที่ฉลาดกวามักจะ คํานึงถึงความสุขในระยะยาว และความสุขที่ไมมีผลรายตามมา คือเปนอัตนิยมที่มองภาพไกลและรอบคอบ อัตนิยมแบบนี้อาจยอมยากลําบากหรือยอมทําเพื่อผูอื่นแตในระยะยาวแลวก็มุงความพึงพอใจของตนเปนที่ตั้ง อัตนิยมอาจจะดูไมเปนอันตรายและดูเปนธรรมชาติของมนุษย นักอัตนิยมมักจะอางวาการเห็นแก ตัวไมเสียหายอะไรหากไมทําใหใครเดือดรอน แตโดยปกติแลวคนที่เห็นแกตัวก็ยอมคิดเขาขางตัว และเห็นการ เอาเปรียบ การใชผูอื่นเปนเครื่องมือหรือเปนบันได จนถึงการทําใหผูอื่นขาดโอกาสหรือเดือดรอนเปนเรื่องปกติ ดังเชนพวกลัทธิดารวิน (Dawinism) ที่ถือกฎธรรมชาติแบบปลาใหญกินปลาเล็กวาเปนกฎที่เปนธรรม ในที่สุด นักอัตนิยมแบบเห็นแกตัวก็ไมอาจทําตามหลักการที่วาไมทําใหไดเดือดรอนไดจริงดังอาง สังคมที่แกงแยง เบียดเบียนกันในขณะนี้ก็เปนดวยเหตุผลดังกลาว แมการเมืองและกฎหมายก็มักมีอิทธิพลของแนวคิดนี้รวม อยูดวย สังคมจึงมีผูดอยโอกาสอยูมาก 3. ลัทธิประโยชนนิยม (utilitarianism) ลัทธิประโยชนนิยมเปนลัทธิสุขนิยมประเภทหนึ่ง แตเปนลัทธิที่มิไดเอาความสุขของตนเปนที่ตั้ง อยางลัทธิอัตนิยมประเภทตาง ๆ ดังกลาวมาแลว นักประโยชนนิยมใชคําวา utility ซึ่งเนนการเปนประโยชน ใชสอยซึ่งก็เปนเรื่องเกี่ยวกับความสุขทางกายหรือทางประสาทสัมผัสเพราะวาในที่สุดแลวลัทธินี้ถือวาโดยธรรมชาติ มนุษยแสวงหาความพึงพอใจ (pleasure) และเลี่ยงความเจ็บปวดทุกขทรมาน (pain) หลักการสองหลักการ นี้เทานั้นที่ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของมนุษยอยู หมายความวา มนุษยเปนไปตามหลักการนี้และ ดําเนินชีวิตโดยอาศัยหลักการนี้
  • 84. 75 แมวาพวกประโยชนนิยมจะยึดหลักการแบบสุขนิยม แตมิไดถือเอาประโยชนสวนตัวเปนจุดหมาย เพราะเปนสิ่งที่มิไดใหประโยชนสูงสุด บางครั้งยังกลับเปนภัยแกสวนรวม ซึ่งในที่สุดภัยนั้นก็จะสะทอนกลับมา หาตน นักประโยชนนิยมเห็นวาการกระทําที่ดีที่สุดก็คือการการะทําที่ใหประโยชนมากที่สุด และประโยชนที่ มากที่สุดก็คือประโยชนที่เกิดแกคนจํานวนมากที่สุด มิใชแกตนเอง หลักประโยชนมากที่สุดแกคนจํานวน มากที่สุดนี้เรียกวา หลักมหสุข (The Greatest Happiness Principle) หลักมหสุขเปนหลักสุขนิยมแบบรอบคอบชนิดหนึ่งคือคิดในภาพรวมของสังคม เพราะคนเราตอง อยูในสังคม สุข ทุกขของแตละคนมีสวนกระทบสังคม และสุขทุกขของทั้งสังคมก็กระทบสุข ทุกขของคนแต ละคนหรือปจเจกชน (individual) หากใชความสุขของปจเจกเปนหลักก็จะเกิดลัทธิเห็นแกตัวที่ทุกคนเอา เปรียบกันและเอาเปรียบสวนรวม ทรัพยากรสวนรวมก็จะถูกทําลายอยางรวดเร็ว คนแตละคนก็จะเอาเปรียบกัน จนคนไดโอกาสร่ํารวย สวนคนดอยโอกาสยากจนและทุกขแสนสาหัส ในที่สุดก็จะเกิดการตีชิง วิ่งราว ลัก ปลน และอาชีพทุจริตตาง ๆ สังคมก็หาความปลอดภัยไมได หาความสุขและความมั่นคงไมได สภาพเชนนี้ยอม นําไปสูความหายนะและสังคมแตกสลาย แลวในที่สุดปจเจกชนก็หาความสุขไมได หลักมหสุขจึงคํานึงถึงการแจกจายความสุขหรือประโยชนไปสูสวนรวมคือคนจํานวนมาก แตละคน อาจไดไมมาก แตมากที่สุดเทาที่เปนไปไดเมื่อคิดถึงคนจํานวนมากที่สุดที่พึงได การเฉลี่ยความสุขนี้ถาคิด แบบวิทยาศาสตรก็คือตองหาหนวยวัดความสุขและนํามาคิดในเชิงปริมาณ คือ คิดคํานวณดวยคณิตศาสตร แบบเดียวกับการวัดเชิงปริมาณในวิชาวิทยาศาสตร นักปรัชญาชื่อ เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham) ก็ พยายามทําเชนนั้น แตก็ไมสําเร็จ เพราะเปนการยากที่จะกําหนดหนวย เนื่องจากสิ่งที่ใหความสุขมีมาก หลากหลาย และความสุขที่ไดก็ไมเหมือนกัน ยิ่งถาคิดในเรื่องคุณภาพของความสุขดวยก็ยิ่งวัดยาก เชน ความสุขจากการกินอาหารอรอย กับความสุขจากการฟงเพลง จะเทียบกันอยางไร การพูดถึงปริมาณมากนอย ในที่นี้จึงคอนขางเปนความเห็นสวนตัว เชน มีขนมชิ้นหนึ่งแบงกันกิน 4 คน ก็จะมีคนอรอย 4 คน ความ อรอยก็อาจใกลเคียงกัน กรณีนี้อาจพอยอมรับไดวาดีกวากินคนเดียวและอรอยคนเดียว แตถาแบงเปนชิ้น เล็กมากเพื่อใหคน 100 คนไดกินอาจไมเหลือความอรอยเลย ควรแบงขนมนี้เปนกี่ชิ้นจึงจะอรอยมากที่สุด แกคนจํานวนมากที่สุด คงจะบอกไดยาก แมวาการคิดคํานวณความสุขอาจจะยากหรือทําไมได แตการคํานึงถึงคนจํานวนมาก ก็ทําใหคน อยูรวมกันไดดีกวาความคิดแบบอัตนิยมและทําใหสังคมถาวรกวา มีความสุขที่ยั่งยืนกวา 4. ความสุขที่จํากัดกับความสุขที่ไมจํากัด ความสุขทางกายหรือความสุขทางประสาทสัมผัสอาจจะแบงไดเปน 2 ประเภทคือ ความสุขที่จํากัด ไดแกความสุขที่มีการหมดสิ้นไปตามปริมาณของการบริโภค เชน อาหาร เมื่อคนบริโภคก็ลดจํานวนลงตาม ปริมาณการบริโภค หากมีนอยเมื่อคนหนึ่งบริโภคหมด คนที่เหลือก็ไมไดบริโภค คนเราจึงแกงแยงแสวงหา ความสุขชนิดนี้ เชนเงินเปนสิ่งที่มีอยูจํากัด คนเราจึงแยงกันหาเงิน
  • 85. 76 นอกจากความจํากัดในแงจํานวนแลวบางสิ่งยังจํากัดในแงที่เปนสิ่งเฉพาะ ที่จริงสิ่งทุกสิ่งลวนเปน สิ่งเฉพาะทั้งสิ้นเชน กระดาษ 2 แผน ไมเหมือนกันแมจะดูเหมือนกัน เพราะประกอบขึ้นดวยเยื่อกระดาษคน ละชุด ความหนาแนนของเยื่อกระดาษก็ไมเทากัน ความหนาบางเมื่อวัดดวยไมโครมิเตอรจะตางกัน แมวา กระดาษ 2 แผนนี้จะใชงานแทนกันไดแตก็เปนกระดาษคนละแผน คนเราตองการสิ่งที่ตางจากคนอื่น ดังนั้นจึงตองการสิ่งเฉพาะ สิ่งบางสิ่งเปนสิ่งเฉพาะที่ไมอาจแทน กันได เชน คนรัก ไมอาจใชคนอื่นแทนได สินคาที่ขายในตลาดตองออกแบบและทําใหตางกันก็เพื่อใหเปนสิ่ง เฉพาะ สินคาบางรายการทําเพียงชิ้นเดียวก็เพื่อใหเปนสิ่งเฉพาะ ซึ่งจะขายไดราคาสูงกวาสินคาที่ผลิตเหมือน ๆ กันและใชแทนกันได สิ่งเฉพาะดังกลาวนี้ก็เปนสิ่งจํากัด เปนความสุขที่เมื่อคนหนึ่งไดไปคนอื่น ๆ ก็จะไมได ความสุขอีกประเภทหนึ่งเปนความสุขที่ไมจํากัดคือไมลดปริมาณลงเมื่อบริโภค เชน ความสุขจาก การฟงเพลงไพเราะ ทุกคนสามารถมีความสุขไดโดยความสุขนั้นมิไดลดลงตามจํานวนคนฟง ความสุขจาก การสรางจินตนาการก็มีไดทุกคนโดยไมรบกวนใคร ความสุขจากการทําความดีเชนอุทิศเวลาวางทําประโยชน แกสวนรวม เหลานี้เปนความสุขที่ไมจํากัด เราจะเห็นไดวาความสุขที่ไมจํากัดนี้มีลักษณะเปนนามธรรมเพราะนามธรรมเปนสิ่งไมจํากัดในเชิง ปริมาณ การหาความสุขที่เปนนามธรรมจึงเปนการหาความสุขที่ยั่งยืนและบริบูรณกวาการหาความสุขที่เปน รูปธรรม 5. ความสุขภายนอกตัวกับความสุขภายในตัว 5.1 ความสุขภายนอก (External happiness) ความสุขทางกายหรือความสุขทางประสาทสัมผัสดังไดกลาวมาแลวเปนความสุขที่เกิดจากสิ่ง ภายนอกตัวคือวัตถุแหงประสาทสัมผัส(object of sensation) มาสัมผัสประสาทรับสัมผัสของเรา ทําใหเกิด ความพึงพอใจ ความเอร็ดอรอยทางประสาทสัมผัส เกิดขึ้นเปนครั้ง ๆ ความพึงพอใจใดที่ติดอกติดใจก็จดจํา และแสวงหาใหมใหมีปริมาณมากขึ้นและมีรูปแบบที่ซับซอนประณีต หรือพลิกแพลงมากขึ้น ไมมีที่สุดทั้งใน ดานปริมาณและความแปลกใหม กระตุนเราใหจิตอยากและดิ้นรนหาความสุขเชนนั้นอยูตลอดไป คนทั่วไปที่ ประกอบกิจกรรมตาง ๆ สวนใหญก็เปนไปเพื่อจะบริโภคความสุขแบบนี้ คนเราแกงแยงโอกาสทางวัตถุชื่อเสียง เกียรติยศเงินทอง ก็เพื่อจะไดบริโภคความสุขแบบนี้และมีศักยภาพที่จะบริโภคความสุขแบบนี้ใหนานมากที่สุด และอยางมั่นใจวาจะไมขาดแคลนในอนาคต รวมถึงเผื่อแผไปสูคนใกลชิด การแสวงหาความสุขทางกายมี ขอเสียบางหรือไม ผูที่ไมเห็นดวยกับการแสวงหาความสุขทางกาย เชน อริสโตเติล นักมนุษยนิยม นักศาสนา และศิลปน อาจมีขอแยงดังนี้ 1. ความสุขทางกายมิไดเปนความสุขชนิดเดียวที่มนุษยควรแสวงหา ยังมีความสุขชนิดอื่น เชน ความสุขจากการไดชื่นชมงานศิลปะ ความสุขจากการทําความดี เชน เสียสละเพื่อสวนรวม หรือการทําให
  • 86. 77 คนเปลี่ยนจากการเปนคนชั่วมาเปนคนดี การมีความสุขทางกายกับการเปนคนดีหรือการเปนคนมีความสุข ที่แทเปนคนละเรื่อง 2. แมคนเราจะชอบความสุขทางกายและชื่นชมคนที่ร่ํารวยและมีความสุขเชนนั้น แตเราก็มักไมได สรรเสริญคนเพราะความร่ํารวย หากเขาไมทําความดีอยางอื่น เชน ชวยสังคม และเรามักจะไมสรรเสริญหาก คนรวยนั้นหากเขารวยเพราะคดโกงหรือเอาเปรียบขูดรีดคนและสังคม ซึ่งแสดงวาคุณสมบัติอื่นสําคัญเทา หรือสําคัญกวาความร่ํารวยซึ่งจะนําความสุขทางกายมาให 3. ความสุขทางกายเปนสิ่งจํากัดมีการไดมาและการเสียไป การไดมาแมทําใหมีความสุขแตก็เปน หวงกังวลวาสิ่งที่ไดมานั้นจะตองเสื่อมหรือเสียไป มีความกลัวตาง ๆ นาน ๆ เมื่อคิดถึงอนาคตของสิ่งอันเปน ที่รักซึ่งตนครอบครองอยูและรูวาไมอาจดํารงอยูอยางถาวรได เราควบคุมไมไดเพราะความสุขเขาเหลานั้น ขึ้นกับปจจัยอื่น ๆ ดวย มิไดขึ้นเฉพาะกับตัวเรา 4. การแสวงหาความสุขทางกายซึ่งเปนของชั่วคราวนั้น ทําใหตองแสวงหาอยูเสมอเพื่อทดแทน ของเดิม และเพิ่มสิ่งที่ใหมกวาประณีตกวา ความตองการของตนจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไมมีวันพอ ชีวิตจึงตอง ดิ้นรนแสวงหาอยูตลอดเวลา ตองคิดตอสูแยงชิงกับคนอื่น ๆ ซึ่งทําใหเกิดขอแยงตัวเองคือ 4.1 ยิ่งหาความสุขมากก็ยิ่งเหน็ดเหนื่อยทุกขยากมาก 4.2 ยิ่งแสวงหามากก็ยิ่งใชเวลาในการแสวงหามากจนไมมีเวลาเสพความสุขที่ตนแสวงหา 4.3 ยิ่งแสวงหาความพึงพอใจทางกาย ยิ่งทําลายรางกาย รางกายจึงทรุดโทรมและรับความ พึงพอใจไดนอยลงไปเรื่อย ๆ ดวยเหตุดังกลาวหากไมมีคุณธรรมอื่นเชนความรูจักประมาณ หรือรูจักความพอเหมาะพอดีใน การแสวงหาและการบริโภคแลวก็จะเกิดทุกขมากกวาสุข 5. เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตรความสุขมิใชความดีที่ทําใหสังคมอยูรอด ตรงขามสังคมที่ ใหความสําคัญแกความสุขทางกายมากๆในที่สุดจะลมสลายเชนจักรวรรดิโรมันขยายจากเมืองเล็กๆจนเปน จักรวรรดิใหญโตไดก็เพราะคุณสมบัติอื่น เชน ความอดทน ความขยัน ความเขมแข็ง ความผอนหนักผอนเบา ความกลาหาญ แตเมื่อเปลี่ยนมาเปนจักรวรรดิที่เต็มไปดวยการแสวงหาความสุขทางกายก็กลับออนแอลง และตองลมสลายไปในที่สุด ประเทศที่บริโภคความสุขทางกายในปจจุบันสวนมากกําลังไปสูความหายนะเพราะทรัพยากรหมดไป เร็ว เชนประเทศไทยในเวลาเพียง 50 ป เราบริโภคทรัพยากรปาไมจนเกือบหมดประเทศ ประเทศที่ยังดํารงอยู ไดก็ตองขูดรีดประเทศอื่นซึ่งทําใหทรัพยากรในประเทศที่ถูกขูดรีดหมดเร็วขึ้น ในที่สุดทรัพยากรทั้งโลกก็จะ ถูกใชหมดไป โดยที่สรางใหมไมทัน ไมอาจสรางได หรือฟนฟูไดแตตองเสียคาใชจายมากซึ่งก็คือเสีย ทรัพยากรที่จะนํามาใชฟนฟู ความสุขทางกายจําเปนสําหรับมนุษย แตตองหาเทาที่จําเปนหากบริโภคเกินมากเพียงไรก็จะนําไปสู ความหายนะเร็วขึ้นเพียงนั้น
  • 87. 78 6. ความปรารถนาความสุขทางกายเปนความอยาก และความอยากไมมีที่สิ้นสุด มีแตจะเพิ่ม ปริมาณ คุณภาพความซับซอนความแปลกใหมเรื่อยไปเมื่อหาไดตามความอยากก็อยากตอไปอีกเมื่อหาไมได ก็เปนทุกขและดิ้นรนเพื่อจะหาใหได ซึ่งทําใหตัวตองเดือดรอน สุขเมื่อไดแลวก็ทุกขเพราะอยากตอไปอีก เปน เชนนี้เรื่อยไป เหมือนคนที่วิ่งไปขางหนาไมมีวันหยุดจนกวาจะสิ้นชีวิต แสวงหาความสุขที่อยูขางหนาโดย ไมรูวาแทจริงความสุขนั้นมีอยูในตัว 5.2 ความสุขภายใน (Internal happiness) สุขอยูที่กายหรือสุขอยูที่ใจ คําถามนี้ถาเปนพวกสุขนิยมจะตอบวาสุขอยูที่กาย ถาเราสุขกายใจเรา ก็สุข ถากายเราทุกขใจเราก็ทุกขดวย ใจขึ้นกับกาย แตเรื่องนี้เปนความจริงหรือไม กายสุขแตใจทุกข หรือ กายทุกขแตใจสุขมีหรือไม คนที่ร่ํารวยมีทรัพยสมบัติมากมายก็มีความทุกขไดเชน กลัวราคาหุนตก กลัว เศรษฐกิจผันผวน กลัวกิจการที่ดําเนินการอยูถูกกระทบดวยปจจัยดานลบ ฯลฯ ความสุขทางวัตถุที่แวดลอม ตัวอยูไมอาจทําใหปญหาทางใจ เชน ความเครียด ความกังวล ความคับของใจ ความกลัว ความโกรธ ความ มุงราย ความทอแท ฯลฯ หมดไป ความทุกขทางใจเหลานี้มาจากเรื่องทางวัตถุซึ่งผูแสวงหาไมอาจควบคุม ใหอยูในวิสัยที่ตนตองการ และตองแกงแยงแขงดีกับผูอื่น แมกระทั่งตองทําทุจริตตาง ๆ ซึ่งอาจทําความ เดือดรอนมาสูตนและครอบครัวในภายหลัง ความสุขทางวัตถุถาแสวงหาตามความจําเปนเพื่อการบริโภค เพิ่มพูนเพื่อเผื่อแผแกผูดอยโอกาส และแกสังคมและเปนการแสวงหาโดยสุจริตแลว แมจะเหน็ดเหนื่อยและตองอดทนก็อาจเกิดความทุกขดังกลาว ไมมากนัก แตลําพังความสุขทางวัตถุยังเปนความสุขตอรางกายภายนอก ยังไมทําใหเกิดความสุขทางใจอัน เปนความสุขภายในซึ่งเปนความสุขที่ไมตองเชื่อมโยงกับสิ่งภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอันทําใหสุขบางทุกขบาง ตามสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป ความสุขไมจําเปนตองมาจากการรับความรูสึกทางประสาทสัมผัส ความสุข จากความสงบเชนการนอนหลับสนิทบางครั้งก็เปนความสุขยิ่งกวาความสุขทางประสาทสัมผัส ถาใจสงบจาก ความทุกขที่มาจากรางกาย และความทุกขที่มาจากจิตใจได ความพนทุกขนั้นคือความสุข และเปนความสุข ที่ไมนําความทุกขใด ๆ มาให ความพนจากทุกขจึงเปนความสุขที่แท และเปนความสุขที่คนเราแสวงหาได ดวยการรูเทาทันสภาวะของวัตถุ กายและจิต และฝกอบรมจิตใหสามารถจัดการกับเรื่องดังกลาวไดอยาง พอเหมาะพอดี ความสุขภายในที่เกิดจากการรูและทําตนใหพนทุกขนี้มีชื่อเรียกตาง ๆ กัน เชน ชีวิตพระเจา สภาวะพระเจา ไกวัล นิพพาน วิมุตติ 5.2.1 ความสุขภายในตามศักยภาพโดยธรรมชาติของมนุษย : ชีวิตแหงปญญา คนแตละคนมีสวนที่เหมือนกับคนอื่นและสวนที่ตางกับคนอื่น เชนเดียวกับที่คนมีบางสวนเหมือน สิ่งมีชีวิตอื่นและสวนที่ตางกับสิ่งมีชีวิตอื่น ความสุขของคนจึงตางกับพืชและสัตว และความสุขของคนคน หนึ่งก็ตางกับของคนอื่น ๆ
  • 88. 79 นักปรัชญากรีกโบราณมีความเห็นวา แมแตละคนจะตางกันก็พอแบงเปนประเภทตามธรรมชาติ ซึ่งเปนองคประกอบสวนใหญของคนเหลานั้นได นักปรัชญากรีกโบราณคนสําคัญคือ เปลโต (Plato) ไดแบง คนเปน 3 ประเภท ดังนี้ “วิญญาณของคนที่กระหาย เมื่อกระหายยอมไมตองการอะไรนอกจากเครื่องดื่มใฝหา แตเครื่องดื่มและแรงกระตุนก็เปนไปในดานนั้น” “ถูกแลว” “ดังนั้นถาจะมีอะไรที่มาฉุดวิญญาณไวเมื่อกระหาย สิ่งที่มีอยูในวิญญาณนั้นก็ยอม ตางกับความกระหาย ซึ่งเหมือนดังสัตวปาที่ขับวิญญาณไปหาเครื่องดื่ม เพราะสิ่งเดียวกัน สวนเดียวกันยอมไมอาจกระทําสิ่งที่ตรงกันขามไดในเวลาเดียวกัน” “ยอมจะทําอยางนั้นไมไดแน” “ดังนั้นขาพเจาคิดวาการพูดวานายธนูใชมือโกงและเหนี่ยวคันธนูพรอม ๆ กันยอมไมถูก แตนาจะพูดวาใชมือขางหนึ่งโกงอีกขางหนึ่งเหนี่ยวจึงจะถูก” “เปนดังนั้น” “ถาอยางนั้นเราจะพูดไดไหมวาคนบางคนบางทีก็ไมยอมดื่มแมวาจะกําลังกระหาย” “ได และพูดกันอยูบอย ๆ “ “ถาอยางนั้นเทากับคนเรายืนยันอะไรในเรื่องนี้ ไมหมายความวามีอะไรบางอยางใน วิญญาณที่สั่งใหเขาดื่มและมีอีกอยางหนึ่งคอยหาม เปนสิ่งซึ่งแตกตางกับสิ่งที่สั่งนั้นและเปน นายของสิ่งที่สั่งดอกหรือ” “ขาพเจาวาเปนอยางนั้น” “การกระทําดังกลาวซึ่งมีอยูในสิ่งใดก็ตาม เมื่อจะปรากฏก็ยอมจะอาศัยการใครครวญ ดวยเหตุผลเปนตัวสําคัญสวนแรงกระตุนที่ดึงและลากนั้นมาจากความรักใครและโรคภัยใชไหม” “เปนอยางนั้น” “การที่เราจะถือวาทั้งสองอยางนั้นตางกัน และเรียกวิญญาณสวนที่คิดและใชเหตุผลวา ภาคเหตุผลสวนที่รัก หิว กระหาย รูสึกตอความตื่นเตนและความซาบซานของความปรารถนา อยางอื่นวา ภาคไรเหตุผลและตัณหา ซึ่งผูกพันกับความพึงพอใจและความอิ่มหนําสําราญ ตาง ๆ ก็ยอมมิใชสิ่งที่ไมมีเหตุผล” “มิใชเปนสิ่งไรเหตุผล แตเปนธรรมดาที่เราจะคิดไปอยางนั้น” เขาพูด “ดังนั้นการที่เราจะถือวาแบบสองชนิดมีอยูจริงๆในวิญญาณนั้นเรากําหนดไดแลว ตอไป คือธูมอส หรือหลักการแหงความมีน้ําใจสูง ซึ่งเปนหลักการที่ทําใหเรารูจักโกรธนั้นจะเปน ชนิดที่สามหรือมีธรรมชาติเหมือนอยางหนึ่งอยางใดในสองอยางนั้น” “นาจะจัดไวในพวกตัณหาไดกระมัง”
  • 89. 80 “ขาพเจาเคยไดฟงเรื่องเลาซึ่งขาพเจาเชื่อวาเลออนติอุสลูกชายอะกลาอิออนเมื่อเดินทาง จากปเรอุส ไปตามดานนอกกําแพงทางดานเหนือ ก็รูวามีศพนอนอยูที่ตะแลงแกงเขาอยากดูแต รูสึกขยะแขยงและหันหนาหนี เขาหักหามใจและปดหนาเสีย แตดวยความปรารถนาอันรุนแรง บังคับ เขาก็กลับวิ่งเขาไปหาศพโดยลืมตาจองดูอยูและรองสบถวา เอาไอตัวราย ดูภาพที่ สวยงามนี่เสียใหเต็มตาเลยซิ” “ขาพเจาก็เคยไดยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน” “เรื่องที่เลานี้แสดงใหเห็นวาบางครั้ง หลักแหงความโกรธก็ตอสูกับความปรารถนาดังเปน สิ่งแปลกหนาสูกับสิ่งแปลกหนาเหมือนกัน” “ถูกแลว” เขาพูด “และเราไมเห็นดอกหรือวามีอยูบอย ๆ ที่ความปรารถนาบังคับใหคนเราทําการอันขัด กับเหตุผลจนตองดาตัวเอง และโกรธสิ่งที่อยูในตัวซึ่งมาเปนนายเขา จึงปรากฏวาในสองภาค นั้นภาคน้ําใจสูงเขาขางเหตุผล”1 ตามขอความขางตนนั้นเปลโตคิดวาวิญญาณของคนเรามี 3 ภาค คือ ภาคตัณหา (appetitive soul) ภาคน้ําใจ (spirited soul) และ ภาคเหตุผล (rational soul) แตละคนมีวิญญาณทั้ง 3 ภาคอยูในตัว และจะมีวิญญาณภาคหนึ่งมากกวาภาคอื่น ๆ จึงทําใหคนเรามี 3 ประเภทตามธรรมชาติแหงวิญญาณที่ตน มีอยูมากที่สุด ผูที่มีวิญญาณภาคตัณหามากกวาภาคอื่นจะมีความปรารถนาสูงสุดคือการบริโภคความสุข ทางกาย ความสุขทางกายจึงเปนจุดหมายชีวิตของคนพวกนี้ แตเปลโตเห็นวารัฐควรควบคุมใหบริโภคแต พอดี ผูที่มีวิญญาณภาคน้ําใจเหนือวิญญาณภาคอื่น ๆ จะเปนคนที่รักชื่อเสียงเกียรติยศ เพราะเปนพวกที่มี อารมณความรูสึกที่รุนแรงพวกนี้ใหความสําคัญแกเกียรติมากกวาเงินทอง ความสุขของพวกเขาจึงไดแก เกียรติยศชื่อเสียง สวนผูที่มีวิญญาณภาคเหตุผลสูงจะเปนคนที่รักความจริง ความถูกตอง ความเปนเหตุ เปนผล คนพวกนี้มีความสุขกับการแสวงหาความรู การพัฒนาสติปญญา การไดพัฒนาสติปญญาจึงเปน ความสุขของคนกลุมนี้ เปลโตเห็นวารัฐที่ดีก็คือรัฐที่ทําใหคนแตละประเภทไดรับความสุขชนิดที่เขาตองการ อยางพอดี ความสุขตามทรรศนะของเปลโตจึงมีทั้งที่เปนความสุขทางกาย ทางอารมณที่สูงสง และทาง ปญญา ตามสภาวะอันเปนธรรมชาติของคนแตละคน อริสโตเติล (Aristotle) ซึ่งเปนศิษยของเปลโตไดนําแนวคิดนี้ไปพัฒนาโดยพิจารณาวาวิญญาณ ทั้ง 3 ภาคนั้น เมื่อพิจารณาจากชีวิตทั้งหมด วิญญาณภาคตัณหาหรือภาคบริโภคมีลักษณะอยางเดียวกับ วิญญาณหรือธรรมชาติของพืชซึ่งกินอาหารได สิ่งมีชีวิตประเภทที่ 2 คือ สัตวมีวิญญาณ 2 ภาค คือ กิน อาหารไดและมีอารมณความรูสึก คือมีวิญญาณของพืชสวนหนึ่ง อีกสวนหนึ่งเปนธรรมชาติของสัตวซึ่งพืช ไมมี มนุษยนั้นมีวิญญาณ 3 ภาค คือ กินอาหารได มีอารมณความรูสึก และมีเหตุผลหรือปญญา ปญญานั้น เปนธรรมชาติแทเฉพาะของมนุษยซึ่งพืชและสัตวไมมี ดังนั้นอริสโตเติลจึงเห็นวา ความดีสูงสุด (summum 1 เปลโต อุตมรัฐ (ปรีชา ชางขวัญยืน แปล.) กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 2523, น. 178 – 179.
  • 90. 81 bonum) ของมนุษยก็คือปญญา การพัฒนาไปสูความดีสูงสุดของมนุษยจึงไดแกการพัฒนาใหมนุษยได บรรลุปญญา ซึ่งก็ทําไดดวยการใหการศึกษาที่สนองความอยากรูอยากเห็นของมนุษยจนถึงที่สุด จากปญหา บนโลกนี้ไปจนดวงดาวในทองฟา จากความเคลื่อนไหวของสิ่งที่มองเห็นไปจนถึงสาเหตุแหงความเคลื่อนไหว ทั้งปวง จากโลกนอกตัวเขาไปถึงจิตใจและวิญญาณ จากสิ่งที่ปรากฏไปสูความจริงแทเบื้องหลัง “ความสุข” ตามทัศนะของอริสโตเติลจึงมิใชความสุขทางกายอันหยาบและเปนของต่ําที่เทียบมิไดกับความสุขจากกิจกรรม ทางปญญา 5.2.2 ความสุขภายในจากความหลุดพนทางจิต รางกายทําใหมนุษยแสวงหาความสุขทางวัตถุ แตจิตใจสามารถมองเห็นวาความสุขทางวัตถุนั้น ไมเพียงพอ จิตใจที่เปยมดวยเหตุผลสามารถคัดคานจิตใจที่พึงพอใจความสุขทางกายไดอยางเชื่อมั่น หากไม เห็นกระจางดวยเหตุผลแลวคงไมมีคนที่เต็มใจตอสูกับความพึงพอใจวัตถุอยางเอาจริงเอาจัง เพื่อจะใหหลุด พนจากอิทธิพลของวัตถุที่กอใหเกิดความพึงพอใจนั้น เพราะการทําในสิ่งที่พึงพอใจนั้นยอมงายกวาและเปน ธรรมชาติกวา การที่คนเราฝนธรรมชาติดังกลาวยอมแสดงใหเห็นวาสิ่งที่เขาแสวงหานั้นเปนจริงและมีคุณคา ยิ่งกวา สิ่งที่แสวงหานั้นคือความหลุดพนทางจิต 1) การดําเนินชีวิตที่ดีตามทัศนะของศาสนาพราหมณ ศาสนาพราหมณเปนศาสนาที่นับถือพระเจาเชนเดียวกับศาสนาคริสตและศาสนาอิสลาม จุดหมาย สูงสุดของชีวิตมิไดอยูในโลกนี้ การดําเนินชีวิตในโลกนี้ก็เพื่อชีวิตที่สมบูรณในโลกหนา ดังนั้นการดําเนินชีวิตใน โลกนี้จึงเปนการดําเนินชีวิตที่ดี แตเปนชีวิตที่ดีในฐานะเปนหนทางหรือเปนศักยภาพในการบรรลุชีวิตที่สมบูรณ ภาวะที่หลุดพนจากชีวิตทางโลกนี้อาจเรียกดวยชื่อที่แตกตางกันไปในแตละศาสนาอันเปนความแตกตางทาง ภาษา เชน ศาสนาคริสตเรียกวาความรอด ศาสนาพราหมณเรียกวา ความหลุดพนหรือวิมุตติ สภาวะอันเปน จุดหมายสูงสุดทางจิตซึ่งถือวาเหนือกวาความมีปญญาอยางที่อริสโตเติลเชื่อ ในคริสตศาสนาเรียกวาชีวิต พระเจาในคัมภีรภควัทคีตา เรียกวา นิรฺวาณ เปนตน ศาสนาฮินดูแบงชีวิตออกเปนวัยตาง ๆ ซึ่งระบุเงื่อนไขในการดําเนินชีวิตไว เรียกวาอาศรม 4 ชีวิต ในวัยตาง ๆ นี้ก็มีหนาที่อันพึงปฏิบัติตามวัย การปฏิบัติตนตามวัยตาง ๆ นี้เปนการฝกตนเพื่อไปสูจุดหมาย สุดทายคือความหลุดพนอันเปนความจริงและความดีสูงสุด วัยทั้ง 4 นี้มิไดกําหนดโดยอายุ แมวาจะมีผู กําหนดโดยอายุ แมวาจะมีผูกําหนดโดยประมาณ เชน ทานพระราชครูวามเทพมุนีกําหนดวา 25 ปแรกของ ชีวิตเปนพรหมจารี 25 ปถัดมาเปนคฤหัสถ หลังจากนั้นจึงเปนวานปรัสถและสันยาสีก็ตาม อาศรมแรกเรียกวา พรหมจารีคือ หลังจากทําพิธีสวมสายธุรํา เปนวัยที่มีหนาที่ศึกษาเลาเรียน คัมภีรพระเวท ในการศึกษาดังกลาวศิษยไปอยูกับอาจารย มีหนาที่ปรนนิบัติรับใชอาจารยในทุก ๆ เรื่อง อาศรมที่สองเรียกวา คฤหัสถ ในวัยนี้เปนวัยหนุมคือหลังจากจบการศึกษาแลวก็ทําอาชีพการงาน แตงงาน รับใชครอบครัว รับใชสังคม และประกอบพิธีทางศาสนาเปนประจํา
  • 91. 82 อาศรมที่สามเรียกวาวานปรัสถคือวัยกลางคนเริ่มเขาสูความแกชรา ไมตองทําหนาที่ดูแลครอบครัว และสังคม เพราะมีลูกชายทําหนาที่แทน เปนวัยที่สละทรัพยสมบัติ และภรรยาใหอยูในความดูแลของลูกชาย คนโต แลวออกปา บวชเปนฤๅษียังชีพดวยพืชตาง ๆ หรือดวยการดูแลจากคฤหัสถ ประกอบพิธีศาสนา วัยนี้ เปนวัยที่ทําเพื่อตัวเอง แตก็เปนการสละซึ่งมิใชสละตนเพื่อผูอื่นอยางสองวัยแรก แตเปนการสละชีวิตทางโลก เขาสูชีวิตทางธรรม อาศรมที่สี่เรียกวา สันยาสี เปนวัยของผูที่อยูปาอยางแทจริง สละความสุขและชีวิตทางโลกทั้งหมด เลิกการประกอบพิธีกรรม เขาไปในหมูบานหรือเมืองนอยที่สุด บําเพ็ญเพียรทางใจอยางเขมงวด เพื่อมุงความ หลุดพนคือโมกษะหรือวิมุกติ เราจะเห็นไดวาชีวิตในวัยเหลานี้อาจแบงไดเปน 2 ระยะ คือ พรหมจารี กับคฤหัสถ เปนระยะที่ยัง ดําเนินชีวิตทางโลก แตก็เตรียมตัวทั้งความรูและการปฏิบัติตนในทางธรรมดวย เปนการดํารงชีวิตทางโลก เพื่อตนและผูอื่นที่ตนตองรับผิดชอบชีวิต เพื่อตนและบุคคลเหลานั้นจะมีชีวิตทางธรรมตอไป วานปรัสถกับ สันยาสีเปนการดํารงชีวิตทางธรรมเพื่อความหลุดพนจากชีวิตทางโลกทั้งทางรางกายและทางใจ ทั้ง 4 วัยนี้ จึงไมมีวัยใดที่ใหมุงแสวงหาความสุขทางวัตถุหรือทางประสาทสัมผัส ชีวิตคฤหัสถซึ่งพรอมสําหรับความสุข ทางโลกนั้นก็ไมใชเพื่อความสุขของตน แตเพื่อพวกพราหมณและวานปรัสถดวย เพราะตองอุปถัมภคน เหลานี้ อีกทั้งตองดูแลสังคมดวยการชวยเหลือผูอื่นและการเสียภาษี ชีวิตดังกลาวจึงตรงขามกับสุขนิยม อยางสิ้นเชิง ความสุขในทรรศนะของศาสนาพราหมณ ความสุขในทรรศนะของศาสนาพราหมณตางกับความสุขตามความคิดของพวกสุขนิยมที่ “สุข”หมายถึง ความพึงพอใจทางกายหรือความเอร็ดอรอยทางประสาทสัมผัส ความสุขเชนนั้นไมยั่งยืนและนําความทุกข มาให จึงควรหาและบริโภคอยางรูจักประมาณเพื่อใหไดรับความสุขตามที่รางกายตองการ โดยมีความรอบคอบ มิใหเกิดความทุกขตามมา แตถึงกระนั้นหากคนเราติดความสุขดังกลาวก็จะเปนเหมือนคนติดยาเสพติดคือ ถา ขาดก็จะเปนทุกข ดังนั้นคนเราจึงไมควรติดความสุขดังกลาว และแสวงหาความสุขที่เหนือกวา ศาสนา พราหมณกลาวถึงความสุขในระดับตาง ๆ 4 ระดับดังนี้ กาม คือ ความสุขทางรางกาย ทางประสาทสัมผัส เกิดจากการไดบริโภคสิ่งที่ตนพึงพอใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อรรถ คือ ความสุขจากการมีทรัพยสินเงินทอง อันเปนความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตน ทําใหเกิด ความมั่นใจในชีวิต มีความภาคภูมิใจในความสามารถที่แสวงหาทรัพยสินเงินทองมาได ธรรม คือ ความสุขที่เกิดจากการทําหนาที่ตามวรรณะของตนโดยไมอยูในอํานาจบังคับของสิ่ง ภายนอก เชน สุข ทุกข ดี ชั่ว ลาภยศ สรรเสริญ นินทา ฯลฯ เปนความสุขที่ไดทําหนาที่ซึ่งตนสํานึกอยู ภายใน อันเปนไปตามอัธยาศัยแหงวรรณะของตน เชน วรรณะกษัตริยมีอัธยาศัยชอบกําลัง ความรุนแรง
  • 92. 83 เกียรติยศ การไดทําหนาที่รบเพื่อความเปนธรรมก็ตรงกับอัธยาศัย และตรงกับหนาที่ตามวรรณะของตน จึง เกิดความสุขอยางเปนไปตามธรรมชาติ โดยที่การทําตามหนาที่ดังกลาวไมมีความรูสึกโลภ โกรธ หลง ทิฐิ มานะ เขาไปเกี่ยวของ โมกษะ คือ การหลุดพนจากอํานาจของความสุขความทุกขทางวัตถุคือความปรารถนาในสิ่งที่ทํา ใหติดของทั้งปวง เชน ความพึงพอใจทางกาย สิ่งที่เปนของตน ตัวตน เชน ศักดิ์ศรี ทิฐิมานะ ความเห็นวาตัว ประเสริฐดีงามกวาผูอื่น คือ กิเลสทางกายและใจทั้งหยาบและละเอียด เปนความสุขและความดีอันสูงสุดที่ เปนจุดหมายอันมนุษยทุกคนพึงแสวงหา เปนการกลับไปสูธรรมชาติดั้งเดิมของจิตที่สมบูรณและเปนอันหนึ่ง อันเดียวกับพระผูเปนเจาคือปรมาตมันสิ้นความหลงผิดและรูชัดในความไมเปนจริงของสิ่งทั้งปวงอันผันแปรได 2) การดําเนินชีวิตที่ดีตามทัศนะของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณมีความสัมพันธกัน เนื่องจากเจาชายสิทธัตถะประสูติ ในสังคม ที่นับถือศาสนาพราหมณ คําสอนหลัก ๆ เชน เรื่องกรรม การเวียนวายตายเกิด การละกิเลส เปนเรื่องที่มีอยูใน ศาสนาพราหมณ แตพระพุทธศาสนาปฏิเสธพระเจาผูสรางโลกและเปนความจริงนิรันดร สมบูรณและอมตะ ปฏิเสธความคิดบางอยางที่สืบเนื่องกับพระเจาเชน ระบบวรรณะ คือปฏิเสธอัตตาหรืออาตมันที่เที่ยงแท ชีวิตที่ดีแมจะเปนเรื่องการหลุดพนจากกิเลส แตมิใชการเขารวมเปนหนึ่งเดียวกับพระเจาที่เปนอัตตา เรื่องที่ พระพุทธศาสนาสอนเปนเรื่องตรงขาม คือ อนัตตา และความหลุดพนไมใชการเขาสูสภาวะตรงขามคือ อัตตา แตเปนการรูความจริงวาสิ่งทั้งปวงเปนอนัตตา และโดยความรูนั้น ทําใหละอุปาทานในสิ่งทั้งปวงคือ สิ่งที่เปนตัณหาทั้ง 3 ไดแก กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา สิ่งทั้งปวงลวนเปนอนัตตา พระพุทธพจนที่วา “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” นั้นเปนขอความที่ปฏิเสธอัตตาอันเปนความจริงสูงสุด ของศาสนาพราหมณ จึงไมมีอะไรที่ถาวร ไมเปลี่ยนแปลง เปนนิรันดร ไมวาวัตถุหรือจิตลวนมีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไป สืบเนื่องกับเหมือนสายโซ แมแตตัวเราก็เปลี่ยนแปลงไปทุกจุดทุกขณะ ตัวเราเองยังยึด เอาเปนถาวรไมได สิ่งอื่นนอกตัวเราก็ยิ่งบังคับควบคุม ยื้อยุดไวใหอยูนิ่ง ไมเปลี่ยนแปลงไมได ถายึดวาสิ่ง เหลานั้นจะตองดํารงอยูเชนนั้น เราก็เกิดทุกขเพราะสิ่งเหลานั้นจะไมตามใจเรา แตจะเปลี่ยนไปตามสภาพ ของมัน แตความเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวงเปนการเปลี่ยนเร็วและละเอียดจนเรามองไมเห็นความเปลี่ยนแปลง ในแตละขณะ เราจึงรูสึกวาสิ่งตาง ๆ ไมเปลี่ยน เราสามารถยึดเอาและเปนเจาของได ในเวลาเดียวกันก็รูวาสิ่ง เหลานั้นเปลี่ยนไปไดตามธรรมชาติของมัน และตามปจจัยภายนอกที่มาผลักดัน มิไดอยูในอํานาจเราเสมอไป เราก็เกิดความทุกขความกังวล อวิชชาเปนที่มาของทุกข ความไมรูเทาทันสภาวะเปนจริงดังกลาว เรียกวา อวิชชา เพราะอวิชชานี้เองทําใหเราคิดวาสิ่งนั้น ๆ เปนอยางนั้นและอยูในอํานาจเราที่จะใหเปนอยางนั้นๆเราจึงบัญญัติใหเปนนั่นเปนนี่ราวกับมันไมเปลี่ยนแปลง
  • 93. 84 อีกทั้งบัญญัติใหเปนในสิ่งที่เราสมมติขึ้นดวยเชนเราบัญญัติวาคนคนหนึ่งเปนผูหญิงและผูหญิงตองมีคุณสมบัติ เชนนั้นแตงตัวเชนนั้น อยางนั้น ๆ เรียกวาผูหญิงสวย บัญญัติวาเขาสําคัญสําหรับเรา อยากได พยายามจะให ไดมาเปนของเรา กลัวจะไมไดก็ทุกข ไมไดจริง ๆ ก็ทุกข ไดมาแลวไมเปนอยางใจคิดก็ทุกข เปนอยางใจคิด แตกลัววาจะเปลี่ยนไปก็ทุกข ไดแลวกลัวจะเสียไปก็ทุกข เพราะวาสมมติบัญญัติขึ้นแลว ก็เกิดตัณหาคือ อยากได มีอุปาทานเขาไปยึดวาจะเอามาเปนของตน เพราะอวิชชาทําใหเกิดตัณหา ตัณหาทําใหเกิด อุปาทาน แตสิ่งที่เรามีอุปาทานไมมีตัวตนแนนอน จึงยึดไมไดตามอุปาทานนั้น มันไมมีตัวตนเพราะมันเปน ของสมมติคือบัญญัติ คนประกอบดวยอวัยวะตาง ๆ เราบัญญัติวา สวย เราก็ยึดเอาสวยนั้นไวกับใจ เพราะ ความอยากได เราก็ทุกข ถาไมยึดมาไวกับใจก็ไมทุกข ทุกขของมนุษยตามทัศนะพระพุทธศาสนา ทุกขของมนุษยตามทัศนะของพระพุทธศาสนามี 2 ชนิด คือ ทุกขกายกับทุกขใจ ทุกขกายกับ ทุกขใจนี้ยังแบงเปน 2 ประเภทคือ สภาวทุกข ไดแก ทุกขที่เปนสภาพของกายและใจ คือ ทุกขโดยธรรมชาติ ของกายของใจกับปกิณกทุกข คือ ทุกขที่มีมาหลังจากเกิด เรียกวา ทุกขเบ็ดเตล็ดหรือทุกขจร สภาวทุกขมี 3 ประการ คือ ชาติ ชรา มรณะ ความเกิด ความแก ความตาย หรือเกิด เสื่อม ดับ ทั้ง รางกายและจิตใจ เปนสิ่งที่มีองคประกอบ มีการประกอบกันขึ้นดํารงอยูชั่วขณะแลวก็เสื่อมและแยกสลาย ไปในที่สุด คือ ทนอยูไมได ภาวะที่ทนอยูไมไดนี้ เรียกวาทุกข สิ่งทั้งหลายที่มีการประกอบขึ้นลวนมีธรรมชาติ เชนนี้ทั้งสิ้น ไมวามนุษย สัตวโลกอื่น ๆ พืชหรือแมแตกอนหิน ทุกขจึงเปนธรรมชาติของคนทั้งทางกายและ ทางใจ ไมเปนไมได ปกิณกทุกข เมื่อมีกายมีใจเกิดขึ้นแลวก็มีทุกขอื่นตามมาเชนพยาธิคือความเจ็บไขไดปวย ที่เปน เรื่องปกติในหมูมนุษย แมพระพุทธเจาก็ยังทรงมีความเจ็บปวย เราจึงมักพูดถึงทุกข 4 อยางของมนุษยคือ เกิด แก เจ็บ ตาย นอกจากความเจ็บปวยทางกายแลว ยังมีความเจ็บปวยทางใจ มี โสกะ ความเศราโศก ปริเทวะ ความคร่ําครวญ ทุกขะ ความไมสบายกาย โทมนัส ความไมสบายใจ อุปายาส ความคับแคนใจ ปยวิปปโยคะ ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเปนที่รัก อัปปยสัมปโยคะ ความประสบกับสิ่งอันไมเปน ที่รักที่ชอบใจ อิจฉาวิฆาตะ ความผิดหวัง ความไมสมปรารถนา ทุกขทั้งกายและใจ นี้เบียดเบียนบีบคั้น มนุษยตั้งแตเกิดจนตาย ชาวพุทธจึงมักพูดวาชีวิตเปนทุกข ตัณหาเหตุแหงทุกข คนเราเมื่อเกิดก็ทุกขแลวโดยสภาวะ ยิ่งกวานั้นคนเรายังมีอวิชชา ความไมรูธรรมชาติ เชน ธรรมชาติ ของทุกข ธรรมชาติของเหตุแหงทุกข เราจึงดําเนินชีวิตคลุกคลีกับความทุกขและทําใหเกิดความทุกขมากขึ้น สิ่งที่เปนเหตุของทุกขที่จะตามมาในชีวิตอีกมากมายก็คือ ตัณหา ความอยาก ไดแก กามตัณหา ความอยากบริโภคกาม ไดแก ความพึงพอใจทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งไมวาจะสมปรารถนาหรือไมก็เกิดทุกขดวยทั้งสิ้น ทุกขทั้งเมื่อแสวงหาและทุกขทั้งเมื่อไดมา
  • 94. 85 ทันทีที่เกิดสุขทุกขก็เกิดขึ้น คือ ทุกขที่ความสุขนั้นไมคงทนถาวร ตัวเราไมคงทนถาวรที่จะบริโภคไดตลอดไป จึงเกิดทุกขใจ เกิดความกังวลใจ ความวิตก และเกิดตัณหาอยางที่สองตามมา ภวตัณหา ความอยากมีอยากเปนคือ ความอยากดํารงอยูอยางถาวร ความอยากนี้เนื่องมาจาก ความพึงพอใจหรืออิฏฐารมณที่ไดมาจากกามตัณหาทําใหอยากอยูถาวรเพื่อจะไดเสพสุขนั้นตลอดไป ทําให เกิดความเชื่อในความจริงถาวร วิภวตัณหา ความอยากไมมีไมเปน คือ ความไมอยากใหมีตัวมีตนอยู ซึ่งเนื่องมาจากอนิฏฐารมณ ความไมพึงพอใจอันคนเราอยากหลีกเลี่ยงไมมีตัวมีตนเสียก็ไมตองผจญความทุกขความเดือดรอนนั้น ไมอยาก จะมีชีวิตอยูและไมอยากจะเกิดมารับทุกขอีก ความอยากทั้งสามนี้ไมเกิดผลตามที่มนุษยตองการ เพราะสิ่งตาง ๆ มีความเปนไปตามธรรมชาติ ของมัน ยิ่งอยากก็ยิ่งผิดหวัง ยิ่งเปนทุกข การละหรือลดความอยากทําใหมนุษยเปนสุขมากกวา ไฟเผาตัว ตัณหาความอยากนั้นทําใหคนเราดิ้นรนกระวนกระวาย เชนมีความรักก็กระวนกระวายในเรื่อง คนรัก สิ่งที่เปนที่รัก ใจไมอาจสงบนิ่งได เหมือนมีไฟลนเผาอยู ไฟที่วานี้มี 3 กอง คือ ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ แปลวา ไฟ คือ ราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือโมหะ หรือไฟรัก ไฟโกรธ ไฟโง ราคัคคิ ไฟแหงความรัก ความพึงพอใจ ความนาปรารถนา นาหลงใหล เปนไฟแหงความอยาก ทางกามสุข ทางอิฏฐารมณ โทสัคคิ ไฟแหงความโกรธ เกลียด อาฆาตแคน อิจฉาริษยา ไมพอใจ เปนไฟแหงอนิฏฐารมณ โมหัคคิ ไฟแหงอวิชชา ความไมรูธรรมชาติ ไมรูความจริง ทําใหเกิดความเขาใจผิด เกิดอุปาทาน ยึดสิ่งที่ไมถูกตองเปนที่พึ่งที่ปรารถนา เห็นกงจักรเปนดอกบัว หลงทางไปในทางที่นําไปสูความทุกข ขาด สติปญญา ไฟทั้งสามนี้คอยเผาผลาญใหมนุษยดิ้นรนอยูในความทุกข ไมรูจักความสุขที่แทจริง ตองดับไฟทั้ง สามนี้ใหไดมนุษยจึงจะสงบและมีความสุข กอง 3 นําสุข ไฟสามกองนําความทุกขมาให หากจะดับไฟทั้งสามกองนั้น พระพุทธศาสนาใหใช ขันธ 3 หรือ กอง 3 ไดแก สีลขันธ สมาธิขันธ ปญญาขันธ มรรค 8 ที่นําไปสูความหลุดพนนั้นจัดลงในกองทั้ง 3 ได ดังนี้ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สีลขันธ สัมมาอาชีวะ
  • 95. 86 สัมมาวายามะ สัมมาสติ สมาธิขันธ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ปญญาขันธ1 ไฟทั้ง 3 กอง คือ สิ่งที่นําไปสูความยึดติดในกิเลสตัณหา มานะ และทิฏฐิตาง ๆ ที่ไมถูกตอง ไมดีงาม ซึ่งจะตองแกดวยการปฏิบัติที่ถูกตองดีงาม ดังกลาว นิพพานเปนความสุขที่แท มีพระพุทธพจนวา “นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ …นิพพานํ ปรมํ สุขํ”2 ซึ่งแปลวา “ความสุขอยางอื่นยิ่งกวา ความสงบไมมี…นิพพานเปนความสุขอยางยิ่ง” ความสุขในที่นี้ไมใชความสุขอยางสุขนิยม แตเปนความสงบ จากการถูกไฟคือราคะ โทสะ โมหะแผดเผา เปนความสงบจากกิเลสตัณหาซึ่งทําใหจิตใจ รอนรนกระวน กระวาย เปนทุกข นิพพานจึงเปนความหลุดพนหรือวิมุตติ แตมิใชหลุดพนไปรวมกับตัวตนที่สมบูรณเที่ยงแท เปนอมตะใด ๆ เพราะตัวตนเชนนั้นไมมี เหมือนไฟที่ดับ ไฟก็หายไป ความรอนก็หายไปเหลือแตความดับเย็น ดังพุทธพจนตอไปนี้ ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ 2 ประการนี้ 2 ประการเปนไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 ภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนพระอรหันตขีณาสพอยูจบพรหมจรรย ทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว ปลงภาระลงไดแลว มีประโยชนของตนอันบรรลุแลว มีสังโยชนในภพ หมดสิ้นแลว หลุดพนแลว เพราะรูโดยชอบ ภิกษุนั้นยังไดรับอารมณ ทั้งที่นาพึงใจและไมนาพึงใจ ยังเสวยสุขและและทุกขอยูเพราะความที่ อินทรีย 5 เหลาใดยังไมเสื่อมสลาย อินทรีย 5 เหลานั้นของเธอ ยังตั้งอยูนั่นเทียว ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแหงราคะ ความ สิ้นไปแหงโทสะ ความสิ้นไปแหงโมหะของภิกษุนั้น นี้เราเรียกวา สอุปาทิเสสนิพพาน ภิกษุทั้งหลายก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เปนพระอรหันตขีณาสพอยูจบพรหมจรรย ทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว ปลงภาระลงไดแลว มีประโยชนของตนอัน 1 สุต. ม. มูล. 15/508 2 สุต. ขุ. ธ. 25/25
  • 96. 87 บรรลุแลว มีสังโยชนในภพหมดสิ้นแลว หลุดพนแลวเพราะรูโดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้ของภิกษุนั้น เปนสภาพอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหา เปนตนใหเพลิดเพลินมิไดแลว จัก (ดับ) เย็น ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกวา อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพาน 2 ประการนี้แล1 1 สุต. ขุ. อิติ. 25/222
  • 97. 8888
  • 99. 90 1.1 ความเชื่อความเชื่อทางศาสนาหรือสิ่งเหนือธรรมชาติอาจทําใหเกิดการตัดสินทางจริยธรรมและ การกระทําบางอยางซึ่งผูที่ไมมีความเชื่อดังกลาวจะไมกระทํา เชน ชนเผาทะเลใตบางเผาฆาพอแมของตนเมื่อ อายุครบหกสิบป เพราะเชื่อวาผูตายจะไปสูปรโลกดวยรางกายสภาพเดียวกับเมื่อตาย ดังนั้นถาปลอยใหพอ แมแกชราจนรางกายไมแข็งแรง ชวยตัวเองไมได เมื่อไปสูปรโลกดวยรางกายนั้นก็จะอยูอยางทุกขทรมาน ลูกที่ดีจึงตองฆาพอแมเมื่อถึงวาระดังกลาวผูที่ไมมีความเชื่อดังกลาวยอมเห็นวาการกระทําเชนนั้นผิดศีลธรรม ศาลศาสนา (Inquisition) ในสเปนในสมัยกลางเผาและทรมานคนก็ดวยความเชื่อวาผูที่ประพฤติ นอกรีตผิดไปจากคําสอนของศาสนาจะตกนรก ถาเผาหรือทรมานแลวก็อาจเปลี่ยนความเชื่อใหถูกตอง แม ตายไปวิญญาณก็พนบาปไมตองตกนรกและถาไมเปลี่ยนความเชื่ออยางนอยก็เปนการทําใหคนที่ยังมีชีวิตอยู เห็นผลที่จะไดรับหากเปนมิจฉาทิฐิ การเผาหรือทรมานในโลกนี้เพียงชั่วระยะหนึ่งก็ยังดีกวาถูกทรมานนิรันดร ในนรก เพราะทรมานนอยยอมดีกวาทรมานมาก ถาเรามีความเชื่อเชนเดียวกันนั้นเราก็จะยอมรับวาการ กระทําดังกลาวถูกตอง ความเชื่อเรื่องสภาพรางกายที่ไปสูโลกหนา หรือการทรมานนอยดีกวา การทรมานมากก็ดี ไมใช ความเชื่อทางจริยธรรม แตเปนเหตุที่ทําใหการกระทําที่เกิดขึ้นเปนการกระทําทางจริยธรรมคือเปนการทําดี 1.2 การปรับตัวเขากับสภาพแวดลอมสภาพแวดลอมที่ตางกันทําใหคนเราตองปรับตัวเพื่ออยูรอด ในสภาพแวดลอมนั้น ๆ อะไรที่ทําใหอยูรอดในสภาพแวดลอมยอมเปนสิ่งที่คนถือปฏิบัติและถือวาดี เชน ชาวเอสกิโมมีธรรมเนียมฆาพอแมเมื่อแก แตมิใชดวยเหตุผลทางความเชื่อดังเชนกรณีที่กลาวมาแลว การที่ จะอยูรอดไดฤดูหนาวชาวเอสกิโมจะตองเดินทางกวา 600 ไมล ในชวงฤดูรอนเพื่อใหกวางเรนเดียรมีอาหาร กินและสรางที่พักในฤดูหนาวไดโดยไมแข็งตาย การเดินทางทั้งไกลและยากลําบากและหากตองหยุดพัก เพราะคนที่เจ็บปวยหรือไมแข็งแรง ทุกคนก็จะไปไมถึงที่หมายและตายหมด หากเราอยูในภูมิอากาศเชนนั้น เราก็อาจตองปฏิบัติเชนเดียวกับชาวเอสกิโม 1.3 ยุคสมัย ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทําใหความจําเปนบางเรื่องเปลี่ยนไปกลายเปนสิ่งไมจําเปนเชน ชาวไทยสมัยกอนนิยมการแตงงานโดยเชิญแขกจํานวนมาก เพราะการแตงงานเปนการประกาศใหสังคมรับรู และเนื่องจากเปนสังคมเกษตรกรรมตองอาศัยแรงงานคนในหมูบานและญาติในการลงแขกเพาะปลูก และเก็บเกี่ยว เมื่อมีงานมงคลก็ตองใหเกียรติโดยเชิญคนที่เคยชวยงานกันใหมารวมงานเหมือนดังเปนญาติ แตในปจจุบันสังคมเปลี่ยนไปแมสังคมเกษตรกรรมเองก็ใชการจางมากกวาการลงแขก และการแตงงานก็ สําคัญที่การจดทะเบียนสมรสมากกวา จึงไมนิยมการจัดงานแตงงานเปนงานใหญอยางสมัยกอน และรูสึกวา การทําเชนนั้นไมมีประโยชน เหมือนเปนการ “ตําน้ําพริกละลายแมน้ํา” 1.4 กฎกับหลักการ (rule and principle) “กฎ” หมายถึงคําสั่งใหกระทําหรือคําสั่งหามกระทํา เชน “หามลักทรัพย” “ผูเขามาในงานตองแตงกายสุภาพ” สวนหลักการหมายถึงเปนแนวทางที่เราใชเปนหลัก ในการดําเนินชีวิตซึ่งจะใชไดกับเรื่องหลาย ๆ ประเภท เชน “ทําในสิ่งที่จะใหประโยชนแกตัวทานในระยะยาว”
  • 100. 91 เปนหลักการแบบอัตนิยม (egoism) “ทําในสิ่งที่จะนําสังคมไปสูความเจริญรุงเรือง” เปนหลักการแบบ ตรงขามกับอัตนิยม คือคิดถึงผลตอสวนรวม ขอปฏิบัติของชนเผาโบราณ ดังที่ไดกลาวมาแลวสวนมากเปนกฎ เชน กฎของเอสกิโมที่ใหฆาบิดา มารดาผูแกชรา ซึ่งอาจทําตามกฎนี้ไปโดยไมรูวากฎนี้เปนไปตามหลักการอะไร เชน “ไหน ๆ จะตองตายก็ อยาใหตายอยางทุกขทรมาน” การขโมยผักของเพื่อนบานอาจเปนกฎของชาวเผาโดบู ซึ่งเปนไปตามหลักการ “การกระทํายิ่งใชความพยายามมากก็ยิ่งนายกยองมาก” เนื่องจากการกระทํามักจะเปนไปตามกฎ ในสมัยหนึ่งคนอาจจะรูหลักการอันเปนเหตุผลที่ทําใหเกิด การกระทําเชนนั้น แตเมื่อผานไปหลาย ๆ ชั่วคน อาจเปนการกระทําที่ทําโดยมิไดถึงเหตุผลแตเปนการทําตาม ธรรมเนียมที่เคยทํากันมา “สิ่งตองหาม” (taboo) ก็มักเกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดังนั้นในการศึกษาสังคมระดับ ดั้งเดิม (primitive society) เราจึงมักพบ “กฎ” ซึ่งอาจถือเปนประเพณี ขนบ ธรรมเนียม หรือจารีต ที่ปฏิบัติ สืบ ๆ กันมา โดยที่ชนเผานั้น ๆ ไมรูเหตุผลที่แนชัด คือไมรูวามีที่มาจากหลักการอะไรของสังคม การหา หลักการจึงมักตองอางจาก “กฎ” ที่ปฏิบัติในกรณีตาง ๆ ซึ่งมีลักษณะสอดคลองไปในแนวทางเดียวกัน กฎ ของเอสกิโมในเรื่องการฆาพอแมกับกฎการไมฆาคนเผาเดียวกันแตฆาคนเผาอื่น สามารถอางไดวามาจาก หลักการเดียวกันคือ “คนเราควรกระทําในสิ่งที่จะทําใหเผาของตนอยูรอด” เราอาจสรุปลักษณะของสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมไดดังนี้ 1. ในการศึกษาวัฒนธรรมทั้งวัฒนธรรมของสังคมระดับดั้งเดิมและสมัยใหม พบความแตกตางกัน อยางมากในเรื่อง ประเพณี ลักษณะ เรื่องตองหาม ศาสนา ศีลธรรม ชีวิตประจําวัน และทัศนคติ ซึ่งแตละ วัฒนธรรมลวนมีลักษณะของตนซึ่งตางกับวัฒนธรรมอื่น ๆ 2. ความเชื่อและทัศนคติทางศีลธรรมของมนุษยเรียนรูจากสภาพแวดลอมของวัฒนธรรมนั้น ๆ และ ผูคนจะรับสิ่งที่สังคมยอมรับหรือตอตานไวในตัว 3. คนในตางวัฒนธรรมมีแนวโนมที่จะเชื่อไมเพียงแตวามีศีลธรรมที่แทเพียงวัฒนธรรมเดียว แต วัฒนธรรมที่แทวัฒนธรรมเดียวนั้นยังไดแกวัฒนธรรมของตนอีกดวย1 2. สัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Absolutism) สัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรมเปนแนวคิดทางวัฒนธรรมอีกแนวคิดหนึ่งซึ่งใหความสําคัญแกหลักการ ทางศีลธรรม โดยถือวาแมกฎเกณฑทางวัฒนธรรมของสังคมจะเปลี่ยนไปในแตละวัฒนธรรม แตหลักการทาง ศีลธรรมมิไดเปลี่ยนไป ในแตละวัฒนธรรม แตทั้งนี้มิไดหมายความวาทุกวัฒนธรรมมีกฎและมาตรฐานทาง ศีลธรรมเหมือนกันหมดซึ่งขัดกับขอเท็จจริง หากแตหมายความวา หลักการสูงสุดซึ่งอยูเบื้องหลังกฎและ มาตรฐาน ซึ่งแตกตางกันไปในแตละวัฒนธรรมนั้นเปนหลักการเดียวกัน เชน ในทุกวัฒนธรรมจะมีหลักการ 1 Jacques P. Thirouse. Ethics. New York : Macmillan publishing Co. , Inc. 1980. P 76.
  • 101. 92 เกี่ยวกับคุณคาของชีวิต แตกฎในการพิทักษรักษาและการทําลายชีวิตในแตละวัฒนธรรมยอมแตกตางกัน ไป นักสัมบูรณนิยมทางวัฒนธรรมมีแนวคิดหลัก ๆ ดังนี้ 1. หลักการทางศีลธรรมในทุก ๆ วัฒนธรรมเหมือนกัน เชน หลักการเกี่ยวกับการพิทักษรักษาชีวิต การควบคุมพฤติกรรมทางเพศ การหามพูดเท็จ การกําหนดพันธะที่พอแมกับลูกมีตอกัน 2. คนในทุกวัฒนธรรมมีความตองการจําเปนเหมือน ๆ กัน เชน การอยูรอด อาหาร และเพศ 3. สภาพแวดลอมและความสัมพันธในทุกวัฒนธรรมคลายคลึงกันมาก เชน มีบิดามารดาซึ่งเปน เพศตรงกันขาม มีการแขงขันกับพี่นอง มีศิลปะ ศาสนา ภาษา ระบบครอบครัว 4. วัฒนธรรมทั้งหลายมีความคลายคลึงกันในเรื่อง อารมณ ความรูสึก และทัศนคติ เชน ความ อิจฉาริษยา ความยกยองนับถือ และความตองการในเรื่องเหลานี้ ขอมูลทางวัฒนธรรมมีความสําคัญในการสรุปความเปนสัมพัทธนิยม หรือสัมบูรณนิยมเพียงไร จากขอสรุปขางตนการที่สังคมมีความแตกตางกันในเรื่องถูกและผิดก็สรุปไมไดวาสังคมหนึ่งถูกอีกสังคมหนึ่ง ผิดหรือถูกทั้งคู ความเชื่อวาอะไรถูกหรือผิดไมทําใหสิ่งที่เชื่อตองถูกหรือผิดจริง ๆ กลาวคือความเชื่อไมมีอะไร สัมพันธกับความจริงและเนื่องจากความเชื่อเปนเรื่องที่ยอมรับในวัฒนธรรมหนึ่งจึงมิไดหมายความวาจะตอง จริงหรือเท็จหรือแมแตจริงโดยสัมพัทธกับสังคมนั้น ๆ ในเรื่องหลักการทางวัฒนธรรมที่เหมือน ๆ กันในทุกสังคมก็เชนกันมิไดหมายความวาจะตองถูกตอง หรือสัมบูรณ สวนเรื่องการที่คนมีความตองการจําเปน อารมณหรือทัศนคติเหมือน ๆ กัน ก็บอกไมไดวาสภาวะ ที่เปนอยูนั้นดีหรือไมดี 3. สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตร (ethical relativism) สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรอางสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมเปนเหตุผลคือจากเหตุผลที่วาโดยขอเท็จจริง สังคมทั้งหลายตางก็ยึดถือวาอะไรถูกอะไรผิดตางกันจึงสรุปวาไมมีความถูกผิดสัมบูรณแตถูกผิดมีลักษณะสัมพัทธ กับสังคมนั้น ๆ สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรก็พิจารณาไดทั้งในแงกฎและหลักการเชนเดียวกับสัมพัทธนิยม ทางวัฒนธรรม 1. สัมพัทธนิยมทางจริยศาสตรแบบกฎ ถือวาไมมีกฎชุดใดที่ถูกสําหรับทุกคนหรือทุกกลุมคนใน ทุกสภาพแวดลอม สิ่งที่ถูกในวัฒนธรรมหนึ่งไมจําเปนตองถูกในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ไมมีกฎชุดใดที่กําหนด ความประพฤติที่ถูกตองใหแกมนุษยทุกคนได ความคิดนี้ดูเหมือนถูกตอง เพราะในสังคมที่น้ําหายาก กฎ เกี่ยวกับการประหยัดน้ําก็จําเปน แตในสังคมที่น้ํามีเกินตองการก็ไมจําเปนตองมีกฎดังกลาว แตการประหยัด น้ําเพราะอะไรกับการประหยัดน้ํามีหรือไมเปนคนละเรื่อง การที่สังคมมีน้ํามากและคนไมตองประหยัดน้ําก็ ยังถามไดวาในสังคมเชนนั้นการประหยัดน้ํายังเปนสิ่งที่ดีหรือไม สัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรมอธิบายวา สิ่งที่ คนประพฤติปฏิบัติและถือวาดีนั้นเปนเพราะเหตุอะไรซึ่งเปนการบรรยายขอเท็จจริงทางสังคม แตขอเท็จจริง ทางสังคมเปนอยางไรกับสิ่งที่เปนขอเท็จจริงทางสังคมนั้น ๆ ดีหรือไมเปนเรื่องสองเรื่องที่ตางกัน คนบางคน เอาเปรียบ คนบางคนไมเอาเปรียบ นี่เปนขอเท็จจริงทางสังคม การเอาเปรียบเปนขอเท็จจริงทางสังคม แต
  • 102. 93 เราก็ไมจําเปนตองถือวาการเอาเปรียบเปนสิ่งที่ดี “เปน” กับ “ควรเปน” หรือ “เปน” กับ “ดี” ยอมแตกตางกัน การสรุปจากสิ่งที่ “เปน” ไปสู “ควร” จึงไมมีเหตุผล 2. ในระดับหลักการ การถือกฎประหยัดน้ําของสังคมที่ขาดน้ํา กับการไมถือกฎดังกลาวในสังคม ที่มีน้ําเหลือเฟอ อาจมาจากหลักการเดียวกันคือ การรักษาคนสวนใหญใหอยูรอด แตเราก็ถามไดอีกวา หลักการใหคนสวนใหญอยูรอดเปนหลักการที่ดีเสมอไปหรือ หลักการที่ “เปน” คือ หลักการที่ “ควร” หรือไม หลักการอยูรอดของผูที่เหมาะสมเปนหลักการที่ “ควร” หรือ “ดี” หรือไม นี่คือปญหาที่สัมพัทธนิยมทาง จริยศาสตรตอบไมได และการที่แนวคิดที่เราเห็น ๆ อยูและเปนเรื่องที่เขาใจไดงาย ๆ ไมเปนที่ยอมรับของ นักจริยศาสตร จึงมีผูที่เชื่อวามีการกระทําที่ดีจริง ๆ แบบสัมบูรณ ไมใชสัมพัทธ ความเชื่อดังกลาวมีหลาย แนว 3. นอกจากเหตุผลสองขอแรกที่กลาวซึ่งเปนเหตุผลทางวัฒนธรรมแลวยังมีเหตุผลอื่นคือความพอใจ หรือไมพอใจของมนุษย สิ่งเดียวกันหรือการกระทําอยางเดียวกันอาจทําใหเราพอใจหรือไมพอใจตางกันใน เวลาและสถานการณที่ตางกัน คนแตละคนก็พอใจหรือไมพอใจ พอใจมากหรือนอยตางกันในสิ่งหรือการ กระทําอยางเดียวกัน ถาพอใจก็วาดี พอใจมากก็วาดีมาก ไมพอใจก็วาเลวหรือชั่ว ไมพอใจก็วาเลวมาก หรือ ชั่วมาก คําทางศีลธรรมหรือคาทางความประพฤติเปนเพียงคําที่ใชแสดงความพอใจหรือไมพอใจ มิใชคําที่ ระบุถึงคุณคาที่มีอยูจริงใด ๆ เพราะคุณคาเชนนั้นไมมีและระบุไมได โดยขอเท็จจริงเราเห็นแตการตัดสิน ซึ่ง เปนไปตามความรูสึก ดี ชั่ว เปนคําบรรยายความรูสึกหรือแสดงความรูสึกเทานั้น ความเขาใจวาคุณคาทาง จริยะมีอยูจริง และเปนสิ่งตายตัวเปนความหลงผิด คุณคาทางจริยะเปนอัตวิสัย (subjective) ขึ้นกับอารมณ ของแตละคน เวสเตอรมารค (Edward Westermarck) เปนผูหนึ่งที่มีแนวคิดแบบนี้ เขากลาวแยงนักวัตถุวิสัย (objectivist) ที่เชื่อวาคุณคาทางจริยะเปนจริงและตายตัว ไมขึ้นกับผูใดสิ่งใดไวดังนี้ แตถึงแมเราไมอาจจะกลาวหาวาชาววัตถุวิสัยพูดเกินความจริงเมื่อบรรยายวาการ เปลี่ยนแปลงทางดานความรูทางวิชาการของเราเปลี่ยนแปลงทางดานความเชื่อทางศีลธรรม กระนั้นพวกเขาก็ผิดพลาด ดวยมองไมเห็นวาสาเหตุตางๆของการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนี้ โดย สวนใหญแลวตางกันในขั้นพื้นฐาน ความแตกตางกันทางวิชาการอาจขจัดไดดวยการสังเกต และไตรตรองอยางพอเพียงเนื่องจากวาการรับรูทางประสาทสัมผัสและปญญาของเราใกลเคียงกัน มีผูกลาววา “ความเชื่อทางศีลธรรมของคนที่มีการศึกษาดีและมีความคิดนั้น เปนขอมูล ทางจริยธรรมเชนเดียวกับที่การรับรูทางประสาทสัมผัสเปนขอมูลทางวิทยาศาสตรธรรมชาติ เชนเดียวกับ ที่ตองปฏิเสธขอมูลบางอยางที่อยูในประเภทหลังเพราะถือวาเปนมายา เราก็ ตองปฏิเสธขอมูลบางอยางในประเภทแรกดวยเหตุผลเดียวกัน และเราปฏิเสธขอมูล ประเภทหลังก็ตอเมื่อขัดแยงกับขอมูลอื่นทางประสาทสัมผัสที่ถูกตองกวาในขณะที่เราปฏิเสธ ในประเภทแรกก็ตอเมื่อขัดแยงกับความเชื่ออยางอื่นซึ่งผานการทดสอบดวยวิธีไตรตรองมาแลว ไดดีกวา” แตแนนอนวามีความแตกตางอยางมหาศาลระหวางความเปนไปไดในการที่จะ ประสานขอมูลทางประสาทสัมผัสที่ขัดแยงกันใหกลมกลืนกัน และความเปนไปไดในการ
  • 103. 94 ประสานความเชื่อมั่นทางศีลธรรมที่ขัดแยงกันใหกลมกลืนกัน เมื่อขอมูลทางประสาท สัมผัสไดจากวัตถุเดียวกันมีความแตกตางกัน อยางเชนเมื่อวัตถุนั้นปรากฏใหเห็นตางไป ภายใตสภาวะ ภายนอกที่ตางไปจากเดิม หรือถาตาที่มองนั้นเปนปกติหรือบอดสี เรา สามารถอธิบายความผันแปรนี้ไดโดยอางถึงสภาพภายนอกหรือโครงสรางของอวัยวะ และ ความผันแปรนี้ก็มิไดมีผลกระทบตอการที่เราสามารถมีความรูเกี่ยวกับสิ่งนั้นตามที่เปนจริง ดังนั้นเราก็สามารถแยกภาพลวงตาจากการเห็นของจริงไดอยางงายดายอีกดวยเมื่อเราเรียนรู จากประสบการณวาในกรณีของภาพลวงตานั้นวัตถุไมมีอยูจริง สวนการเห็นของจริงมีวัตถุ รองรับ ตรงกันขาม เราก็รูวามักจะมีความขัดแยงระหวางความเชื่อมั่นทางศีลธรรมในหมู ของ “คนที่มีความคิดและการศึกษาดี” และแมแตระหวาง “ญาณ” ทางศีลธรรมในหมูนัก ปรัชญาดวยกันเอง ซึ่งเห็นกันแลววาลงรอยกันไมได นี่เปนสิ่งที่อาจคาดหวังไดถาความเชื่อ ทางศีลธรรมมีอารมณความรูสึกเปนรากฐาน อารมณความรูสึกทางศีลธรรมขึ้นอยูกับการ รับรู แตการรับรูอยางเดียวกันอาจนําไปสูความรูสึกที่ตางกันทั้งในดานคุณสมบัติและพลังแรง ของบุคคลที่ตางกันไปหรือของบุคคลเดียวกันในโอกาสที่ตางกันและแลวก็ไมมีอะไรที่จะทําให ความรูสึกนี้เปนอยางเดียวกัน การรับรูบางอยางดลบันดาลใหเกิดความกลัวในหัวใจของ แทบจะทุกคน แตในโลกนี้ก็มีทั้งคนกลาและคนขลาด ทั้งนี้ไมขึ้นอยูกับวาคนเหลานี้รูถึงภัย ที่ใกลเขามาไดอยางถูกตองหรือไม ความทุกขทรมานในบางกรณีสามารถเรียกรองความ เวทนาจากหัวใจที่ไรการุณยที่สุดไดแทบทุกครั้ง แตศักยภาพของมนุษยที่จะรูสึกเวทนามี ความแปรผันอยางมาก ทั้งในแงของสิ่งที่เรามีความรูสึกทางศีลธรรมก็เปนอยางเดียวกัน อยางที่เราไดเห็นไปแลว สวนใหญความแตกตางของความรูสึกทางศีลธรรมขึ้นอยูกับการ รับรูที่ตางกัน แตบอยครั้งทีเดียวที่ความรูสึกก็ตางไปดวยถึงแมจะรับรูอยางเดียวกัน ความ แตกตางชนิดที่เกิดจากการรับรูตางกันมิไดขัดแยงกับความเชื่อที่วาการตัดสินทางศีลธรรม เปนสากล แตเมื่อเราสามารถสืบสาวตนตอของความแตกตางของความรูสึกทางศีลธรรมไป ไดถึงแนวโนมที่ตางคนจะรูสึกตางกันไปในสภาพการณอยางกัน อันเนื่องมาจากการที่ ความรูสึกเห็นแกผูอื่นที่แตละคนมีนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวตางกันออกไป ก็หมายความวา ความเชื่อที่วาการตัดสินทางศีลธรรมมีความเปนสากลก็เปนความหลงผิด อาจมีผูเถียงวา เมื่อมีการเขาใจขอเท็จจริงอยางพอเพียง ความเชื่อทางศีลธรรมจะ ไมตางกันถาเพียงแตวาสํานึกทางศีลธรรมของมวลมนุษย “ไดรับการพัฒนาอยางพอเพียง” …แตที่เรียกวาเปนความสํานึกทางศีลธรรมที่ไดรับการพัฒนาแลวอยางพอเพียงนั้นหมายความ วาอะไร ในทางปฏิบัติแลว ขาพเจาคิดวาคงไมไดหมายความอะไรมากไปกวาการเห็นดวยกับ ความเชื่อมั่นทางศีลธรรมของผูพูดเอง คํากลาวเชนนี้บกพรองและชวนใหหลงผิด เพราะวา ถาตองการใหหมายถึงอะไรมากกวานี้ ก็จะเปนการสมมติไวลวงหนาวาการตัดสินทางศีลธรรม เปนสากลซึ่งที่แทก็ไมเปนและในขณะเดียวกันดูเหมือนวาจะเปนการพิสูจนสิ่งที่ไดสมมติไว เรา
  • 104. 95 อาจกลาวถึงสติปญญาที่ไดรับการพัฒนาอยางเพียงพอที่จะเขาถึงความจริง เพราะวาความ จริงมีหนึ่งเดียว แตจะพิสูจนวาความจริงมีหนึ่งเดียวจากขอเท็จจริงที่วาเปนที่ยอมรับกันโดย สติปญญาที่ไดรับการพัฒนา “อยางพอเพียง” นั้นไมได ความเปนสากลของความจริงอยูที่ มีการยอมรับการตัดสินวาจริงโดยบรรดาผูที่มีความรูอยางครบถวนเกี่ยวกับขอเท็จจริงในเรื่อง นั้น และการอางถึงการมีความรูที่พอเพียงเปนการอางจากขอสมมติที่ถูกตองวาความจริงเปน สากลที่วาการตัดสินทางศีลธรรมเปนไปไมไดที่จะมีความเปนสากลซึ่งเปนลักษณะของความ จริงนั้น เห็นไดชัดเมื่อเราพิจารณาเห็นวาคุณศัพทที่ใชมีความหลากหลายไมเพียงแตในทาง คุณสมบัติเทานั้นแตในทางปริมาณดวย ความจริงและความเท็จไมมีระดับ แตความดีและ ความเลวมี คุณธรรมและความดีงามมีทั้งที่ยิ่งใหญกวาและที่ดอยกวา หนาที่อาจมีความ เครงครัดมากหรือนอย และถาความถูกตองไมมีระดับ เหตุผลก็คือ ความถูกตองหมายถึงวา สอดคลองกับกฎของหนาที่… การที่การประเมินคาทางศีลธรรมมีความแตกตางกันในแงปริมาณนั้นก็เนื่องมาจากวามโนทัศนทาง ศีลธรรมทั้งหมดมีที่มาจากอารมณความรูสึก ความรูสึกมีความแตกตางกันทางดานความรุนแรงอยางที่แทบ กําหนดไมได และความรูสึกทางศีลธรรมก็ไมเปนขอยกเวนของกฎนี้ ที่จริงแลว อาจสงสัยไดอยางมีเหตุผลวา ความประพฤติแบบเดียวกันจะทําใหคนสองคนเกิดความรูสึกเห็นชอบหรือไมเห็นชอบดวยในระดับที่เทากัน พอดีหรือไม 4. สัมบูรณนิยม (absolutism) “คนเราเปนสัตวประเสริฐ รูจักผิดชอบชั่วดี” “คนเรามีมโนธรรมในจิตใจ” “ศีลธรรมทําใหคนเปน คน” “ทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว” คําพูดเหลานี้แสดงใหเห็นวา คนจํานวนมากเชื่อวา ดีชั่วถูกผิดหรือคาทางความ ประพฤติของมนุษยเปนสิ่งตายตัว ใชแยกคนดีคนชั่ว การกระทําที่ดีที่ชั่ว คนกับสัตวเดรัจฉานและเปนสิ่งที่ ทําใหคนสูงกวาสัตวอื่น หากดีชั่วถูกผิดเปนเรื่องความรูสึกพอใจไมพอใจของคน ของสังคม หรือเปนไปตามสภาพแวดลอม ของสังคม ก็เทากับไมมีมาตรฐานทางศีลธรรม ไมมีความดี ความชั่ว การกระทําที่ดีและชั่วก็ไมมี เพราะการ กระทําอยางเดียวกับวันนี้อาจดี อีกวันหนึ่งอาจไมดี ดีหรือไมดีจึงไมใชลักษณะที่อยูในการกระทํา แตเปน ลักษณะที่สิ่งภายนอกการกระทํา กําหนด หรือขึ้นกับสิ่งอื่นที่ไมใชการกระทําหรือผูกระทําการนั้น ๆ ถาดีชั่ว ถูกผิดไมมีความหมายตายตัว คนเราก็ไมจําเปนตองทําดี และไมตองเปนคนดี เพราะการทําดีจะเปนเพียง เรื่องการหาประโยชน การทําใหเราพอใจ การทําตามที่สังคมกําหนดเพื่อจะใหไดรับผลประโยชนหรือความ ยกยองจากสังคม ไมมีการทําดีเพราะเปนสิ่งที่ดี ไมมีคนดีที่เพราะเปนผูยึดมั่นและปฏิบัติในสิ่งที่ดี คนที่ทําดีสวนมากมิไดเชื่อเชนนี้ แตทําดีเพราะสิ่งนั้นดีทําดีโดยไมปรารถนาสิ่งใดตอบแทน หรือ ปรารถนาใหความดีดํารงอยู คนเหลานี้มิใชวาไมรูวาคนเรามีความพอใจไมพอใจไมเหมือนกัน สังคมยึดถือ
  • 105. 96 คุณคาแตกตางกัน แตเขาไมเห็นวาความตางดังกลาวนั้นเปนหลักฐานที่เพียงพอวาความดีที่แทไมมีอยูและ ความดีหรือคุณคาทางจริยะอื่น ๆ เปนสัมพัทธและเปนอัตวิสัย 4.1 ความหมายของคําวา สัมบูรณ คําวา สัมบูรณมีความหมายตรงขามสัมพัทธคือเปนสิ่งสัมบูรณในตัว ไมขึ้นกับสิ่งใดหรือเงื่อนไข ใด ๆ เปนอยูดวยตัวเอง ไมผันแปรเปนความจริงสากลซึ่งจริงเสมอ สิ่งสัมบูรณมีลักษณะเปนนามธรรม เชน พระเจา นิพพาน กฎแหงกรรม กฎธรรมชาติ คาทางศีลธรรม ผูที่เชื่อในความจริงสัมบูรณจึงไมอาจยอมรับ ความคิดวาคุณคาทางจริยะเปนสัมพัทธ นักปรัชญาสัมบูรณนิยมมักจะคัดคานความคิดของสัมพัทธนิยมทาง จริยศาสตร ทานหนึ่งก็คือ สเตซ (W.T. Stace) ซึ่งทานไดใหขอคัดคานดังนี้ แนวคิดที่วาสังคมมีความเชื่อตางกัน สังคมเดียวกันตางยุคสมัยหรือสังคมยุคสมัยเดียวกันตาง สังคมกันอาจมีความเชื่อไมเหมือนกันนั้นลวนเปนที่ยอมรับไมวาจะเปนฝายที่เชื่อวาคาทางจริยะตายตัวหรือ สัมพัทธ ตางกันแตวาพวกที่ถือวาคาทางจริยะเปนสิ่งตายตัวจะถือวาในบรรดาความเชื่อเหลานั้นบางความ เชื่อเปนสิ่งที่ผิด แตพวกสัมพัทธนิยมจะถือวาการกระทําเดียวกันในสังคมเดียวกัน สมัยหนึ่งถูกแตอีกสมัย หนึ่งผิด หรือการกระทําเดียวกันในสังคมหนึ่งถูกแตในอีกสังคมหนึ่งผิด หากคนสองฝายถือวาความคิดของ ตนเปนเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยะแลวสองฝายนี้ก็ใชคําวา “มาตรฐาน” แตกตางกัน “มาตรฐาน” สําหรับพวกสัมพัทธนิยมมีความหมายเพียงเปนความเชื่อของกลุมคนในสังคมหนึ่ง ๆ ในสมัยหนึ่ง หรือคืออะไรก็ตามที่สังคมนั้นในขณะนั้นคิดวาถูก แตไมเคยถามวา มาตรฐานในการใชคําวา มาตรฐานเชนนี้ถูกหรือไม สวนพวกสัมบูรณนิยมซึ่งเชื่อวามีมาตรฐานที่ตายตัว ใชคําวา “มาตรฐาน” ใน ความหมายวา เปนสิ่งที่จริงหรือถูกตอง ซึ่งตางกับสิ่งที่มีผูเห็นวาถูกตอง ขึ้นชื่อวาความถูกตองแลว ไมวา ใครจะมีความเห็นวาอยางไรก็ตองถูกตองเสมอ สัมพัทธนิยมไมเพียงแตจะถือวาสิ่งที่ผิดสําหรับคนชาติหนึ่ง เปนสิ่งที่ถูกสําหรับคนอีกชาติหนึ่ง แตยังสรุปวาสิ่งที่ถูกในชาติหนึ่งก็คือสิ่งที่คนชาตินั้นคิดวาถูกและถาคน อีกชาติหนึ่งคิดวาผิดก็คือสิ่งที่ผิดในชาตินั้น ความเชื่อเหลานั้นเปนความถูกตองของสังคมหรือประเทศนั้น ๆ ความถูกตองทางศีลธรรมกลายเปนสิ่งเดียวกับความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรมของคนในแตละเวลาและสถานที่ เทากับสัมพัทธนิยมเชื่อวาความแตกตางระหวางความถูกตองกับความเชื่อวาถูกตองเปนสิ่งที่เปนไปไมได ดังนั้น จึงไมมีมาตรฐานใด ๆ เปนวัตถุวิสัย ไมมีมาตรฐานใด ๆ เปนสากล เมื่อพิจารณาในสังคมแตละยุคสมัย เมื่อ มาตรฐานที่เปนวัตถุวิสัยไมมีก็ไมจําเปนอะไรที่แตละคนในสังคมจะตองยอมรับมาตรฐานที่คนอื่น ๆ ในสังคม เชื่อ เพราะเปนเรื่องอัตวิสัย ความรูสึกสวนตัวของแตละคนเทานั้นที่เปนมาตรฐานสําหรับเขา และสังคมก็ไมมี สิทธิอะไรที่จะบอกวามาตรฐานของสังคมถูกตองกวา สัมบูรณนิยมถือวาความหมายของคําวา มาตรฐาน มีสองความหมาย มาตรฐานในความหมาย แรกคือคาทางจริยะที่แปรเปลี่ยนไดซึ่งสัมพัทธนิยมเชื่อวาเปนความหมายเดียวที่มีอยู มาตรฐานในความหมาย ที่สองหมายถึงสิ่งที่เที่ยงแทถาวร ไมขึ้นกับสิ่งใด สัมบูรณนิยมถือวามาตรฐานสองความหมายนี้แตกตางกัน
  • 106. 97 การที่สัมพัทธนิยมถือวามาตรฐานมีเพียงความหมายเดียวซึ่งเปนมาตรฐานแบบสัมพัทธ ไมมี มาตรฐานสากล ก็เนื่องจากมีความเชื่อที่หลากหลายเกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรมในสังคมตาง ๆ แตเรื่องนี้ ทั้งสัมพัทธนิยมและสัมบูรณนิยมตางก็ยอมรับวาจริง สัมพัทธนิยมสรุปเอาทันทีวาเมื่อแตกตางก็หมายความวา ไมมีสิ่งที่ถูกตองแทจริงแตสัมบูรณนิยมเห็นวาความแตกตางเกิดจากความไมรูของมนุษยวาอะไรเปนมาตรฐาน จริง ความรูในสาขาอื่นที่ไมใชจริยศาสตรก็มีความแตกตางกันเชนชาวกรีกโบราณบางคนเชื่อวาโลกกลมแบน เหมือนจานลอยอยูในน้ํา บางคนเชื่อวาโลกเปนรูปทรงกระบอก หากอางเหตุผลแบบสัมพัทธนิยมก็จะตอง สรุปวาโลกไมมีสัณฐานแนนอน กลมและแบนสําหรับคนกลุมหนึ่ง ทรงกระบอกสําหรับคนอีกกลุมหนึ่ง และ กลมเปนทรงกลมสําหรับอีกกลุมหนึ่ง ไมมีรูปรางที่แทหรือหารูปรางใดเปนรูปรางที่แทไมได ความเห็นที่ แตกตางกันมิไดเปนเครื่องพิสูจนวามาตรฐานที่แทจริง ไมมีอยู งานของนักมานุษยวิทยามิไดเพิ่มหลักการ อะไรใหมเกี่ยวกับความหลากหลายทางความเชื่อศีลธรรมของมนุษย กอนที่วิชามานุษยวิทยาจะเจริญ คนก็ มีความเห็นหลายหลากในเรื่องศีลธรรมอยูแลว ความรูทางมานุษยวิทยาไมไดชวยใหสัมพัทธนิยมถูกหรือผิด มากไปกวาเดิมเลย เหตุผลของสัมพัทธนิยมนาจะอยูที่วา ไมเคยมีใครสามารถบอกไดเลยวาอะไรเปนเหตุผลที่จะยืนยัน ไดวามีมาตรฐานสากลที่ตายตัว เชน ถามีกฎสากลวา “มนุษยจะตองไมเห็นแกตัว” ใครเปนผูกําหนดกฎนี้ และ ทําไมจึงเปนกฎสากล ในสมัยกอนเราอาจอางพระเจาซึ่งก็คงจะใชไดในหมูผูที่ศรัทธาในพระเจา แตสําหรับผู ที่ไมเชื่อพระเจาจะอธิบายเรื่องนี้ใหเขาเชื่อไดอยางไร เพราะการอางพระเจาก็จะกลายเปนเรื่องสัมพัทธคือ ขึ้นอยูกับศาสนา และศรัทธาก็ไมอาจนํามาอางในหมูคนที่ไมมีศรัทธาได เหตุผลที่สเตซนํามาโตแยงในเรื่องนี้ก็คือ 1. อาจมีทฤษฎีที่เปนรากฐานของมาตรฐานสากลดังกลาว แตไมมีใครคนพบ หรือ 2. การพิสูจนวา “ไมมีทฤษฎีใด ๆ ที่จะเปนรากฐานใหแกศีลธรรมสากลได” เปนเรื่องที่ ทําไมไดเพราะการพิสูจนวา “ไมมี” นั้นเราไมอาจทําไดในกรณีอดีตที่หางไกลจนเราไมรู หรืออนาคตที่ยังไม เกิดเหมือนกับพูดวา “ไมมีหงสสีเขียว” ซึ่งเปนจริงในปจจุบัน แตใครจะรูวาในอดีตไมมีหงสสีเขียว หรือใน อนาคตจะไมมีหงสสีเขียว เหตุผลที่สําคัญกวาซึ่งสเตซนาจะกลาวในที่นี้ก็คือ ความแตกตางทางความเชื่อในปจจุบันนั้นอาจจะ มีบางความเชื่อเปนสิ่งที่ถูกตองก็ได แตการที่สัมพัทธนิยมเชื่อวาถูกทั้งหมดจึงทําใหไมเคยเปรียบเทียบและ พิจารณาวาความเชื่อใดถูก แตถึงสัมพัทธนิยมจะทําเชนนั้นก็ทําไมไดเพราะสัมพัทธนิยมไมเชื่อมาตรฐานสากล เสียตั้งแตตน สัมพัทธนิยมจึงมิไดพิสูจนหรือทําอะไรเลยเกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรม คําพูดของสัมพัทธนิยม เปนคําพูดที่ไมตองใชความคิดอะไรเปนแตเพียงรายงานขอเท็จจริงทางสังคมเทานั้นและการตัดสินวา “ถูก”หรือ “ควร” ของสัมพัทธนิยมในทุกกรณีก็เปนการนําเอาคําที่เกี่ยวกับมาตรฐานสากลมาใชเพื่อใหดูเหมือนเปน ความคิดที่มีมาตรฐานโดยที่แทจริงแลวเปนการสรุปจาก “ขอเท็จจริง” ไปสู “คุณคา” หรือจาก “เปน” ไปสู “ควร” อยางลอย ๆ ปราศจากเหตุผลหรือรากฐานใด ๆ
  • 107. 98 สเตซโตแยงสัมพัทธนิยมโดยเนนที่ผลของความคิดแบบสัมพัทธนิยมมากกวา แตก็มีแนวคิดขางตน ประกอบอยู สเตซโตแยงดังนี้ 1. ถาคิดแบบสัมพัทธนิยมอยางถึงที่สุดแลว ก็จะเปนการทําลายศีลธรรมจนหมดสิ้น เพราะขาด ผลทางปฏิบัติอยางสิ้นเชิง ทําใหมนุษยยอมรับสภาพที่เปนอยู เพราะสภาพที่เปนอยูก็คือสภาพที่ดีที่สุดแลว สําหรับสังคมนั้น มนุษยจึงไมคิดหาโลกที่ดีกวา ไมมีความใฝฝนอันเปนคุณสมบัติสูงสุดของมนุษย เชนการที่ สังคมหนึ่งฆาพอแมเพราะเหตุผลทางสภาพแวดลอม หากคิดวาดีอยูแลว ก็ไมเกิดความพยายามที่จะพัฒนา ใด ๆ ที่จะใหไมตองฆาพอแม 2. เมื่อมาตรฐานที่มีจริงมีเพียงมาตรฐานที่สังคมแตละสังคมยึดถือ ความพยายามเปรียบเทียบ มาตรฐานที่แตกตางกันของสังคมทั้งหลายในแงคุณคาทางศีลธรรมจึงไมมีความหมายใด ๆ จึงไมมีระเบียบ ใดที่เลวระเบียบใดที่ดีแตกลายเปนระเบียบที่ดีทั้งหมด โดยปกติเรามักจะตัดสินระเบียบของสังคมวาบางระบบดี บางระบบไมดี แมจะเปนการยากที่จะให ยุติธรรมแตปญหาอยูที่วาเราไมไดใชมาตรฐานรวมซึ่งถาเราตกลงรวมกันในเรื่องมาตรฐานรวมที่จะใชตัดสินได การตัดสินก็ไมจําเปนตองลําเอียง แตสัมพัทธนิยมก็ปฏิเสธมาตรฐานรวมเชนนั้นเสียแตตนแลว โดยถือวา มาตรฐานของชาวจีนก็ใชไดเฉพาะชาวจีน มาตรฐานของชาวไทยก็ใชไดเฉพาะชาวไทย แตที่จริงทั้งชาวจีน และชาวไทยก็เปนมนุษยจะมีมาตรฐานสําหรับมนุษยไดหรือไม 3. ถายอมรับความคิดแบบสัมพัทธนิยม จะไมมีอะไรจริงเลย เพราะไมมีมาตรฐานใด ๆ ที่จะใช เปนพื้นฐานในการตัดสินวาอะไรจริงหรือไมจริง 4. การยอมรับความคิดแบบสัมพัทธนิยม ทําใหความกาวหนาทางศีลธรรมเปนเรื่องไรสาระ เราไม อาจพูดไดวามนุษยที่เครงศาสนาในปจจุบันมีความเจริญทางศีลธรรมมากกวาคนปาที่ลาหัวมนุษย 5. การตัดสินทางศีลธรรมเปนไปไมไดแมแตในสังคมเดียวกันในยุคเดียวกันซึ่งถือมาตรฐานทางศีลธรรม รวมกันเพราะในสังคมก็ยอมจะมีกลุมและแตละกลุมก็มีความเชื่อของตนเพราะมีกลุมหลายแบบเชน กลุมทาง เชื้อชาติ กลุมคนเครงศาสนา ครอบครัว กลุมอาชีพ แตละกลุมก็มีความคิดความเชื่อตางกันจะกําหนดอะไร เปนมาตรฐานและจะพิจารณาจากกลุมแบบใด แตถาเราอาศัยคนสวนใหญ ก็จะกลายเปนวาใครพวก มากกวาก็ไดเปรียบทางศีลธรรมเพราะจะกลายเปนความเห็นที่เปนตัวแทนของกลุมทั้งหมด แตถาเราถือวา ทุกกลุมถูกตองหมด มาตรฐานศีลธรรมของกลุมโจรก็ตองนับวาถูกตองเทา ๆ กับศีลธรรมของพระสงฆ ตามที่กลาวมาแลวนี้ การยอมรับวาคุณคาเปนสิ่งสัมพัทธไมอาจจะตอบปญหาทางศีลธรรมได แมแตจะใชอะไรเปนมาตรฐานในการตอบปญหาก็ยังหาไมได 4.2 สัมบูรณนิยมกับศาสนา เรื่องที่ดูขัดแยงกันอยางตรงขามอาจไมขัดแยงกันถามองดูในกรอบที่ใหญกวาซึ่งครอบคลุมทั้งสอง เรื่องนั้นไว คาทางจริยะเปนสัมพัทธหมายความวาคาทางจริยะไมไดมีอยูจริง เปนของสมมติขึ้นตามแตใจคน หรือสังคมตองการ คาทางจริยะเปนสัมบูรณหมายความวาคาทางจริยะมีอยูจริง ดีชั่วมีจริง ใหผลจริง ตัดสินได
  • 108. 99 จริงอยางเปนสากล มองในกรอบของสัมพัทธนิยมก็เห็นแตตัวอยางของกรณีที่ดีชั่วเปนเรื่องสวนบุคคล เปน เรื่องแตละสังคม บอกไมไดวาความคิดของใครหรือสังคมใดดีกวากัน สั่งสอนอบรมสืบตอกันไปในกลุมใน สังคม มองในกรอบของสัมบูรณนิยมก็เห็นการเปรียบเทียบ การโตแยง การเห็นพองตองกันในเรื่องดีเรื่องชั่ว การเปรียบเทียบไดและการโตแยงได ทําใหมีการเลือกไดวาอะไรดีกวากัน หากใชเหตุผล ใชปญญาอยาง เต็มที่ก็สามารถเขาถึงความดีแท ๆ ความชั่วแท ๆ เหมือนดังการเขาสูโลกของแบบ (Idea) ของเปลโต การ โตแยงกันดวยเหตุผลระหวางผูมีความรู การคิดหาเหตุผลจากหลาย ๆ ฝายมาประมวล และตัดสินอยางวิธี เขียนบทสนทนาของเปลโต นั้นเห็นไดวาทําใหเกิดความเขาใจเพิ่มขึ้น เห็นทั้งสวนที่ไมถูกตองและที่ถูกตอง มากขึ้น แมเราไมไดความเห็นพองตองกันเปนเอกฉันทแตความเขาใจที่เพิ่มขึ้นก็แสดงวาความเปนวัตถุวิสัย ของคาทางจริยะมีอยู 4.3 จุดหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่ “ควร” เรากําลังคิดถึงสิ่งที่สูงคาซึ่ง “เปน” อยูหรือสูงคากวาสิ่งที่ “เปน” อยู การ พูดวา ดี ชั่ว จะไมมีความหมายอะไรถาไมมีการเปรียบเทียบกับจุดหมายสูงสุด การเปรียบเทียบกับ จุดหมายสูงสุดในสังคมเดียวกันจะไมทําใหมนุษยไดประโยชนอะไรมากนักเพราะไมอาจนํามาใชในระดับ นานาชาติได แตในปจจุบันเราก็สามารถพูดเรื่องเกี่ยวกับคุณคาทางจริยะไดในระดับนานาชาติมากขึ้นเชน การพูดถึง เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม หรือวัฒนธรรม แสดงวามนุษยเราสามารถเขาใจขาม วัฒนธรรมไดในเรื่องคาทางจริยะแมวาอาจจะยังไมมีจุดหมายสูงสุดที่ชัดเจนรวมกัน คําวา ดี หรือ ชั่ว ยอมบงถึงจุดหมายสูงสุด การที่จะพูดวาสิ่งใดดีหรือไมดีนั้น จะตองรูวา ดีคือ อะไร การที่สังคมหนึ่งสามารถตัดสินไดวาการกระทําของคนในสังคมดีหรือไม ก็ตองดูวาสอดคลองกับ “ดี” ที่สังคมนั้นกําหนดไวมากนอยเพียงไร “ดี” ที่แตละสังคมยึดถือซึ่งตางกันนั้นก็สามารถหาเกณฑกลาง หรือจุดรวมที่จะใชตัดสินไดวา “ดี” ของสังคมใดดีกวา ถาหากพยายามแลวโอกาสที่จะรูและเขาใจเรื่อง คาทางจริยะก็มีได ถาเราคิดแบบเปลโตวาสิ่งที่เปนจุดหมายสูงสุดคือความดีหรือความสมบูรณ ดีมากหรือนอย ก็คือ มีลักษณะใกลหรือเขาใกลความสมบูรณมากหรือนอย เมื่ออริสโตเติลสอนวา ปญญาคือสิ่งสูงสุดของมนุษย ความดีสูงสุดของมนุษยคือการเขาถึงปญญาอันบริบูรณ การกระทําใดมุงไปสูปญญา เชน การฝกฝน การศึกษา ก็นับเปนการกระทําที่ดี ขยันเรียนดีกวาไมขยันเรียน พัฒนาเขาใกลปญญามากเพียงไรก็เปนการ ทําดีมากขึ้นเพียงนั้น ถาเราไมคิดถึงจุดหมายสูงสุดที่เปนสิ่งอันมีคุณคาในตัวแลวก็เทากับเราไมคิดถึงเรื่องคุณคา เพราะในที่สุดเราจะคิดถึงตัวเราและผลประโยชนหรือเรื่องมูลคาเปนสําคัญ ดังที่พวกสุขนิยมหรือประโยชน นิยมคิด เราก็จะไมรูจักคานามธรรมที่ไมขึ้นกับสิ่งใดคือไมเปนสัมพัทธ เชนการชวยผูตกทุกขไดยากอยาง อุทิศตนความกตัญูตอผูมีคุณ ความซื่อสัตยชนิดที่ไมยอมแพตอสิ่งเยายวนใจ สิ่งเหลานี้มีอยู มีคนที่ ประพฤติเชนนี้อยู และคนก็อาจเปลี่ยนใจมาเปนคนดีในลักษณะเชนนี้ไดเมื่อไดฟงเหตุผลและเขาเห็นดวย
  • 109. 100 กับเหตุผลนั้น คนพัฒนาตนใหดียิ่งขึ้น ๆ ก็โดยเหตุที่เห็นจุดหมายสูงสุด ไมเชนนั้นก็เลือกไมถูกวาจะ ประพฤติปฏิบัติอะไรอยางไร จุดหมายสูงสุดมักมีสอนในศาสนา การที่สัมบูรณนิยมสัมพันธกับศาสนาจึงไมใช เรื่องแปลก ดีชั่วในศาสนาก็ลวนยึดโยงอยูกับจุดหมายสูงสุดทางศาสนาทั้งสิ้น ในศาสนาพราหมณที่ได กลาวมาแลว กามและอรรถก็เปนสิ่งที่ดีแตไมเทาธรรมะซึ่งเปนการทําตามหนาที่อันพระเจากําหนด ธรรมะ นั้นก็ยังไมดีเทาโมกษะอันเปนจุดหมายสูงสุด ถาคนเราถกเถียงกันในเรื่อง กาม ก็อาจมีความเห็นตางกันไดในแตละกลุมคนแตละสังคม แตถา เราพิจารณาเรื่องนี้ในกรอบที่สูงกวาคือ ธรรมะและโมกษะแลว ก็จะตัดสินไดวา ความเชื่อของกลุมใด ถูกตองกวา หากพิจารณาแตในกรอบหรือระดับกามดวยกันก็ไมมีเกณฑอะไรตัดสิน และเปนดังที่ นักสัมพัทธนิยมเขาใจคือตัดสินไมได 5. ความเห็นของพระพุทธศาสนา 5.1 คาทางจริยะเปนจริงเพียงใด ความเปนจริงของคาทางจริยะเราอาจเขาใจไดไมยากถาเราเปรียบเทียบกับเรื่องที่เปนรูปธรรมกวา สมมติเรานําปสสาวะไปใหนักเคมีวิเคราะห สําหรับนักเคมี ปสสาวะเปนของเหลวซึ่งมีสารประกอบตาง ๆ อยู สารเคมีในสายตาของนักเคมีไมมีอะไรสกปรก พยาบาลที่ตองทํางานเกี่ยวของกับปสสาวะอยูเปนประจํารูสึก รังเกียจปสสาวะนอยกวาคนทั่วไป เพราะแมพยาบาลจะรูเรื่องความสกปรกของปสสาวะดีกวาคนทั่วไป แต ความสกปรกนั้นก็หมายถึงเชื้อโรค พยาบาลระวังเชื้อโรคมากกวาจะเอากลิ่นเปนตัวตัดสินความสกปรก ในแงนี้ พยาบาลก็คลายนักเคมี สวนคนทั่วไปรูสึกวาปสสาวะสกปรกมากกวาที่พยาบาลรูสึกในแงที่เปนสิ่งอันมีกลิ่น ไมนาพึงใจ ถาเราพิจารณาอยางนักสัมพัทธนิยม เราคงสรุปวา ปสสาวะสกปรกหรือไมมากนอยเพียงไรขึ้นกับ วาพิจารณาตามความรูสึกของใคร ตัดสินไมไดวาปสสาวะสกปรกหรือไม แตถามองอยางพระพุทธศาสนา นักเคมีนั้นมองอยางถูกตองตามธรรมชาติหรือความเปนจริงมากที่สุด คือบอกสวนประกอบ บอกสีแตไม ตัดสินวาสกปรกหรือไม เพราะความสกปรกเปนสิ่งที่คนทั่วไปรูสึก ไมมีตัวตน พยาบาลอาจจะไมไดมองลึก เทานักเคมีและพยาบาลรูสึกวาปสสาวะสกปรก (ซึ่งถาพิสูจนทางเคมีแลวก็อาจไมมีเชื้อโรคถึงกับเปนอันตราย) แตความสกปรกนี้แมเปนสิ่งสมมติ แตก็ตัดสินไดอยางอัตวิสัยคือสกปรกหรือไม มากหรือนอย ดูจากเชื้อโรค สวนคนทั่วไปที่รังเกียจวาสกปรกเพราะเอากลิ่นเปนตัวตัดสินนั้นนับวาหางความจริงมากที่สุดคือ สมมติหรือ กําหนดเอาเองวาสกปรก (ที่จริงมีกลิ่นเหม็นไมจําเปนตองสกปรก) คําวาสกปรกดังกลาวเปนคําที่สมมติขึ้น ลวน ๆ ไมมีความจริงวัตถุวิสัยอยูเลย ดี ชั่ว ก็เชนกัน คนทั่วไปมักกําหนดเอาตามความรูสึกพอใจไมพอใจ ที่นักจิตวิทยานิยามความหมาย ดีเทากับพึงพอใจ และไมดีเทากับไมพึงพอใจก็เปนการนิยามโดยพิจารณาการใชดี ชั่วเพียงระดับคนทั่วไปที่ไม คอยมีความไตรตรอง
  • 110. 101 คนที่รอบคอบมากกวานั้นอาจจะใชเกณฑของสังคม เชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี จารีต หรือ ระเบียบตางๆของสังคมเปนตัวตัดสินดีชั่วในที่นี้ก็คือสอดคลองหรือไมสอดคลองกับประเพณี นักมานุษยวิทยา และนักสังคมวิทยานิยามในลักษณะนี้ ซึ่งมีเกณฑของสังคมอันเปนเกณฑที่เกิดจากผลของพฤติกรรมที่กระทบ ตอสังคมเปนเครื่องตัดสิน พระพุทธศาสนามองลึกกวานั้นคือ ในทั้งสองกรณีที่กลาวแลวดี ชั่ว เปนสิ่งสมมติ เปนชื่อเรียก ความพึงพอใจ ในกรณีแรกและเปนชื่อเรียกความสอดคลองหรือไมสอดคลองกับระเบียบสังคม ในกรณีที่ สองไมมีสิ่งที่ดีหรือชั่วอยูจริง ในแงนี้ดีชั่วไมมี ไมใชเพราะแตละสังคมมีระเบียบตางกันและใชคําดีชั่วเรียก ระเบียบที่ตางกัน แตไมมีเพราะเปนเพียงชื่อเรียกมิใชคุณสมบัติ เหมือนเราเรียกสภาวะเปนเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน วาทุคติภูมิ เรียกสภาวะเปนเทวดาชั้นตาง ๆ วา สุคติภูมิ ความจริงที่มีอยูก็คือ เปรต อสุรกาย เทวดา… ที่ทุกขหรือสุข ไมไดมีภูมิที่เปนสถานที่แตอยางใด 5.2 ปรมัตถ – บัญญัติ เมื่อนักวิทยาศาสตรอธิบายเรื่องคน เขาจะวิเคราะหลงไปเปนระบบรางกายซึ่งประกอบดวยอวัยวะ ตาง ๆ ที่มีสวนประกอบยอย ๆ ลงไปเปนชั้น ๆ จนถึงสวนประกอบยอยมาก ๆ เชนอะตอม มองในแงนี้ความจริง แทก็คืออะตอม อะตอมเปนความจริงปรมัตถ หรือความจริงเนื้อแท เมื่อเราเรียกอะตอมที่มารวมกันเปน อวัยวะจนเปนรูปเปนรางวา คน เนื้อแทก็ยังเปนอะตอมอยู แตเรียกกลุมอะตอมนี้วา คน คนจึงเปนชื่อเรียก สิ่งที่รวมกันนั้น เมื่อเทียบคนกับอะตอม อะตอมจริงกวา ในแงเปรียบเทียบ คน จึงเปนสิ่งไมจริงแทเปนสิ่ง สมมติหรือบัญญัติ พระพุทธศาสนามองขอเท็จจริงวาคนเรามีความอยากกระหายตาง ๆ ทั้งทางกายทางใจ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ทิศทางที่มนุษยจะดําเนินชีวิตมีไดสองทิศทาง คือ มุงไปตามความอยาก สนองความอยาก กับ มุงลดและละความอยาก คนที่มุงไปทางความอยากเชนนักสุขนิยมจะเรียกสิ่งสนองความอยากนั้นวาของดี การสนองความอยากเปนการกระทําที่ดี คนที่มีทิฐิมานะ ความยึดติดชื่อเสียง เกียรติยศ หนาตา ก็จะเรียก สิ่งนั้น ๆ วาของดี และเรียกการกระทําที่ทําใหไดสิ่งนั้น ๆ มาวาเปนการกระทําที่ดี พระพุทธศาสนาเห็นวาความอยากนํามนุษยไปสูความทุกขที่ตองดิ้นรนพยายามสนองความอยาก จนทําใหรางกายตองตรากตรํามากกวาที่ควร ทรุดโทรม ปวยไข และตายเร็ว ขอสําคัญคือแยงเวลาที่จะทํา สิ่งอื่นที่ดีวาไปเสียหมด เชนทํางานหนักจนไมมีเวลาดูแลลูก หรือจนเจ็บปวยอยูเนือง ๆ ไมมีเวลาไดพักผอน อยางเต็มที่ที่จะใหรางกายไดสบาย พระพุทธศาสนาจึงสอนใหคนแสวงหาความสุขทางกายเทาที่จะทําใหไม เกิดทุกขแกรางกาย เพราะรางกายยังจําเปนตองบริโภค ถาขาดแคลนก็เปนทุกข แตก็ไมสอนใหคนบริโภคเกิน ความสุขที่แทจริงของมนุษยคือความสงบทางใจซึ่งจะตองอาศัยการละความสุขทางกายเปนเบื้องตน ละความติดใจในความสุขทางกาย จนกระทั่งสามารถพิจารณากายและวัตถุอยางปรมัตถ เห็นวาอะไรจริง อะไร สมมติบัญญัติ ละกิเลสที่เปนเครื่องพันธนาการมนุษยไดจึงจะถึงความสุขสูงสุด
  • 111. 102 เมื่อพิจารณาในแงนี้ ดีชั่ว เปนบัญญัติ ผูที่แสวงหาความหลุดพน ในที่สุดแลวก็ตอง ละ ดีชั่ว คือ ละความเห็นวาอะไรดี อะไรชั่ว เหมือนนักเคมีละเรื่องความสกปรก และอยูกับความจริง คือ สารเคมี ดีชั่วใน แงนี้จึงหมายถึงการมุงไปสูความหลุดพนกิเลสตัณหาหรือมุงเขาหากิเลสตัณหา ถามุงหากิเลสก็ชั่ว ถามุงละ ก็ดี ยิ่งละมากก็ยิ่งดีมาก ยิ่งเขาหากิเลสตัณหามาก็ยิ่งชั่วมาก ละโลภ โกรธ หลงไดมากก็ดีมาก เพิ่มโลภ โกรธ หลง มากก็ชั่วมาก การปฏิบัติที่เปนความจริงปรมัตถคือเปนไปเพื่อละหรือเพื่อเพิ่มโลภ โกรธ หลง คําวา ดีหรือชั่วเปนชื่อเรียกการปฏิบัติดังกลาว ถามองในแงที่ ดี ชั่ว เปนชื่อ ดีชั่วก็ไมเปนวัตถุวิสัย แตถามองวามีการปฏิบัติจริง ดีชั่วซึ่งเปนชื่อก็เปน วัตถุวิสัย ตามการปฏิบัติที่มีจริงเปนจริงนั้นไปดวย ดีชั่ว มีอยูจริงและเปนวัตถุวิสัยในความหมายดังกลาว แตการปฏิบัติก็มีดีมากนอย ชั่วมากนอย ดีชั่ว จึงไมใชสิ่งสัมบูรณ แตก็ไมใชสัมพัทธกับสังคม เวลา สถานที่ บุคคล หากแตสัมพัทธกับระดับความละกิเลส ตัณหา ดีชั่ว ในที่สุดก็ตองถูกละหมด เหลือแตปญญาที่รูปรมัตถ คือสิ่งทั้งหลายที่มีองคประกอบลวนเปน ทุกข และอนิจจัง รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย ไมวาจะมีองคประกอบหรือไมมีองคประกอบลวนเปน อนัตตา เราอาจสรุปเรื่องดี ชั่ว ในพระพุทธศาสนาไดดวยภาษาที่ดูเหมือนขัดแยงแตเปนไปไดดังที่อธิบาย แลวคือ ดีชั่วเปนวัตถุวิสัยแตเปนสมมติบัญญัติ และดีชั่วไมใชความจริงสมบูรณแตสัมพัทธกับความกับความ จริงสูงสุด ซึ่งเปนความจริงสัมบูรณ ดีเปนสิ่งควรกระทํา ชั่วเปนสิ่งไมควรกระทําและควรละที่ไดกระทําแลว แตเปนสิ่งที่ตองละใหหมดเมื่อเขาสูความหลุดพนอันเปนจุดหมายสูงสุด ถาพิจารณาในแงสังคม ดี ชั่ว ก็เปนวัตถุวิสัย มีกฎมีเกณฑในแงนี้ตางกับสัมพัทธนิยม แตแมวาดี ชั่วเปนสากล แตก็ไมใชสิ่งสัมบูรณตามความคิดของสัมบูรณนิยม พิจารณาในแงเปนสิ่งพึงปฏิบัติก็ดีในตัว (intrinsic good) พิจารณาในแงการดําเนินชีวิตไปสูความจริงสูงสุดก็เปนวิถีทาง (means) และเปนความดี นอกตัว (extrinsic good)
  • 112. 103 บทที่ 7 ความดีงามกับประโยชนทางวัตถุ ผลประโยชนเปนสิ่งที่ใครๆก็ปรารถนา แตถาหาผลประโยชนใสตัวผูเดียว ไมคํานึงถึงความเดือดรอน เสียหายของผูอื่นหรือสวนรวมก็อาจไมเปนที่ปรารถนาและเปนที่รังเกียจของผูอื่นและของสังคม ผลประโยชนของสวนรวมเปนที่พึงปรารถนายิ่งกวาผลประโยชนสวนตัวเพราะคนอยูในสังคม หาก สังคมอยูไมไดคนก็อยูไมได ผลประโยชนของสังคมจึงตองมากอน ผลประโยชนเกิดแกสังคมแลวก็จะแผมาสู คนแตละคน ผลประโยชนแกสวนรวมนั้นมักจะคิดถึงความมั่งคั่งร่ํารวย ความมั่งคั่งร่ํารวยนั้นมีคุณประโยชน มากมาย เพราะทําใหคนมีวามสุขกายไดมาก แตสิ่งอื่นเชน ความสงบ ความปลอดภัย ความเอื้อเฟอเผื่อแผ ความเสียสละ ความซื่อตรง ความเปนธรรม ฯลฯ ก็มีคุณประโยชนและอํานวยความสุขไดมาก การคิดถึงแต ผลประโยชนที่เปนความมั่งคั่งร่ํารวยอาจจะทําใหบกพรองในเรื่องเหลานี้ หรืออาจทําลายเรื่องเหลานี้ กลายเปน โทษอันใหญหลวง ผลประโยชนนั้นถาไดมาโดยสุจริต โดยไมเอาเปรียบ ไมเบียดเบียนก็เปนสิ่งควรมีควรได แตถา ไดมาโดยทุจริต โดยทําลายความดีงาม แมจะนําผลนั้นไปทําประโยชน แมประโยชนนั้นจะเปนประโยชนแก สวนรวมยังจะนับเปนผลประโยชนอันคุมคาไดหรือไม ยังจะนับเปนประโยชนอันสะอาดบริสุทธิ์หรือไม เชน หลอกลวงเอาประโยชนจากประชาชนแลว นํากลับไปสูประชาชนเพื่อผลทางการเมืองอันเปนประโยชนตน จะนับเปนผลประโยชนแกสวนรวมหรือไม สรางผลประโยชนแกสังคมโดยวิธีอันผิดศีลธรรมจะนับวามีคุณคา หรือไม เรายกยองผลประโยชนสวนรวมมากกวาผลประโยชนสวนตัว แตลําพังผลประโยชนสวนรวมนับวา เพียงพอแลวสําหรับตัดสินการกระทําหรือวาเรายังตองคํานึงถึงสิ่งอื่นใด แนวคิดที่ถือผลเปนหลักกับไมถือผลเปนหลัก (Consequentialist and Non – Consequentialist) ในวิชาจริยศาสตรมีแนวคิดสองแนวที่โตแยงกันวาอะไรเปนหลักสําคัญที่จะใชเปนเกณฑตัดสินทาง ศีลธรรมแนวหนึ่งถือผลเปนหลักอีกแนวหนึ่งไมถือผลเปนหลักแนวที่ถือผลเปนหลักบางทีก็เรียกวาแนวอันตวาท (teleological theory) แนวที่ไมถือผลเปนหลักบางทีก็เรียกวาแนวทฤษฎีกรณียธรรม (deontological theory) ในปจจุบันนิยมใชคําวา consequentialist กับ non – consequentialist 1. แนวคิดที่ถือผลเปนหลัก ทฤษฎีจริยศาสตรแนวที่ถือผลมี 2 พวกใหญ ๆ คืออัตนิยมทางจริยศาสตร (ethical egoism) กับ ประโยชนนิยม (utilitarianism) ทั้งสองแนวนี้ถือวาคนเราควรทําในสิ่งที่จะนําผลดีมาให สองแนวนี้ตางกัน ตรงที่ใครควรเปนผูไดรับผลประโยชน พวกอัตนิยมทางจริยศาสตรคิดวาคนเราควรทําเพื่อผลประโยชนของ ตน สวนประโยชนนิยมคิดวาคนเราควรทําเพื่อผลประโยชนของคนทั้งหมด พวกอัตนิยมไมจําเปนจะตองรีบ
  • 113. 104 คาผลประโยชนใสตัวเสมอไป หากเห็นวาจะนําความเดือดรอนหรือเสียประโยชนภายหลังก็อาจเลือกทําอยาง เดียวกันพวกประโยชนนิยมได แตดวยเหตุผลคนละอยาง เชนการยอมแบงผลประโยชนจะนําผลประโยชนมา ใหตนมากกวาการไมยอมแบงแลวถูกผูอื่นตอตาน เขาทํานองอดเปรี้ยวไวกินหวาน หรือเก็บไวกินนาน ๆ สวน พวกประโยชนนิยมนั้นไมไดมุงประโยชนตน แตจะคิดวาการทําเชนนั้นแมตนจะไดรับผลที่ดีแตก็อาจเปนผลราย ตอผูอื่นที่เกี่ยวของทั้งหมด แตทวาแมจะคิดตางกันเชนนี้ก็มีขอเหมือนที่สําคัญคือทั้งสองกลุมคํานึงถึงผลของ การกระทํา สวนทฤษฎีจริยศาสตรแนวที่ไมถือผลเปนหลักใหความสําคัญแกสิ่งอื่นที่เกี่ยวของกับการกระทํามากกวา ผลของการกระทํา เชน การกระทํานั้นดีหรือไม ทําใหศีลธรรมสูงขึ้นหรือไม เปนไปตามพระประสงคของพระเจา หรือไม นําไปสูความหลุดพนหรือไม 1.1 อัตนิยม (Egoism) 1.1.1 อัตนิยมทางจิตใจ (Psychological Egoism) กอนที่จะพูดถึงทฤษฎีอัตนิยมทางจริยศาสตร ควรจะเขาใจทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจเสียกอน ทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจไมใชทฤษฎีทางจริยศาสตร แตนักอัตนิยมทางจริยศาสตรบางคนพยายามจะให อัตนิยมทางจิตใจเปนรากฐานทฤษฎีของตน คือ เริ่มจากสิ่งที่คนกระทําแลวอางไปสูสิ่งที่คนควรกระทํา อัตนิยมทางจิตใจมี 2 แบบ แบบหัวรุนแรง (strong form) อางวาคนเราทําการตาง ๆ เพื่อ ผลประโยชนของตนเสมอ เพราะธรรมชาติแหงจิตใจของมนุษยเปนเชนนั้น สวนแบบออน ๆ (weak form) ถือวาคนเรามักจะทําเพื่อประโยชนของตนแตไมเสมอไป แตทั้งสองแบบนี้ก็ไมอาจนําไปอางเพื่อจะสรุปใน เชิงจริยศาสตรไดวาคนเรา”ควร” ทําเพื่อประโยชนของตน หากพิจารณาจากอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรง คนเราทําการตาง ๆ เพื่อประโยชนของ ตนเสมอ ก็ไมจําเปนตองพูดถึงเรื่อง “ควร” เพราะวาเปนการบังคับโดยธรรมชาติให “ตอง” ทําอยูแลว จึงไม มีอะไรที่ควรหรือไมควร สวนแบบออน ๆ ที่วาคนเรา “มักจะ” ทําการเพื่อประโยชนของตน ก็ไมมีอะไรที่ เกี่ยวของกับความ “ควร” หรือ “ไมควร” เมื่อพิจารณาทั้งสองแบบแลวก็ไมมีแบบใดที่เปนเงื่อนไขที่จําเปน (condition) คือเปนสาเหตุที่ขาดไมได หรือเงื่อนไขที่พอเพียง (sufficient condition) คือเปนสาเหตุที่บังคับ ใหเกิดความ “ควร” หรือ “ไมควร” กระทําเพื่อประโยชนของตน กลาวคือ การที่คนเราเปนอยางไร ไม เกี่ยวของกับการที่คนเราควรจะเปนอยางไร “เปน” กับ “ควร” เปนคนละเรื่องที่ไมเกี่ยวของกัน ถาคนเรามี ธรรมชาติ “เปน” สัตวโลกที่โหดราย ก็ไมจําเปนอะไรที่จะตองสรุปวา คนเรา “ควร” โหดราย นอกจากนั้นอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรง ซึ่งสรุปวา “ทุกคน” ทําเพื่อผลประโยชนของ ตนเสมอก็เปนทฤษฎีที่ยากจะพิสูจนไดเพราะจะตองพิสูจนวาแรงจูงใจที่ทําใหมนุษยกระทําการตาง ๆ ทุก ๆ แรงจูงใจเปนความเห็นแกตัวทั้งหมด ดังนั้นหากพบวามีแรงจูงใจสักอยางหนึ่ง หรือมีคนสักคนหนึ่งที่ทําตาม แรงจูงใจอยางใดอยางหนึ่งที่ไมเปนไปเพื่อประโยชนสวนตน ทฤษฎีนี้ก็จะผิด แตการพิสูจนเชนนั้นก็ทําไดยาก ทฤษฎีนี้จึงเปนความเชื่อที่พิสูจนไมได ทํานองเดียวกับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยูพนการพิสูจนตามปกติ
  • 114. 105 กลาวคือความเชื่อนี้มิไดพิสูจนจากขอเท็จจริง แตเปนความเชื่อที่นํามาอธิบายขอเท็จจริงโดยที่มิไดพิสูจนวา ความเชื่อนั้นเปนจริงหรือนาเชื่อหรือไม สมมติวาเราใหสตางคแกขอทานโดยที่เราไมรูสึกหรือไมคิดวาตองการผลตอบแทนใด ๆ ใน สายตาของอัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรงจะเห็นวาเราอาจหวังวาผลบุญจะตอบสนองเราในชาติหนา เรา อาจตองการใหคนอื่นเห็นวาเราเปนคนมีเมตตา ซึ่งจะทําใหคนเหลานั้นเห็นวาเราเปนคนดีและปฏิบัติตอเรา อยางดีหรืออยางยกยอง หรือหากไมใชเหตุผลเหลานั้นก็อาจเปนไปไดวา เราเกิดความคิดวาหากเราตองตก อยูในสภาวะของขอทานเราคงลําบากและอยากใหคนอื่นชวยเหลือ เราไดเอาตัวเราไปเทียบกับขอทานแลวเกิด ความสงสารตัวเอง เราจึงใหสตางคขอทานเพื่อใหตัวเรารูสึกสบายใจ คําอธิบายเหลานี้หากจะทําใหดูลึกซึ้งไปกวานี้อีกก็คงทําไดแตปญหาก็คือทําไมคําอธิบาย จึงตองเปนไปในแนวนี้เทานั้น คําอธิบายนี้มีเหตุผลดีกวาคําอธิบายที่มาจากความเชื่ออื่นอยางไร เชน คนเรา มีธรรมชาติที่รูผิดชอบชั่วดี คนเรามีธรรมชาติรักผูอื่น คนเรามีธรรมชาติรวมมือกันจึงทําใหอยูรวมกันเปน สังคม ฯลฯ ซึ่งแตละความเชื่อก็จะอธิบายกรณีนี้ตางออกไป อัตนิยมทางจิตใจแบบหัวรุนแรงมีเหตุผลอะไรที่ พิสูจนวาความเชื่อของตนถูกตองกวาความเชื่ออื่น ๆ ทฤษฎีดังกลาวจึงเปนเพียงทฤษฎีหนึ่งเทานั้น ไมอาจ เปนทฤษฎีที่ถูกตองสมบูรณทฤษฎีเดียวซึ่งเหนือกวาทฤษฎีอื่น ๆ ได นอกจากนั้นคนแตละคนก็มีลักษณะและนิสัยใจคอแตกตางกันมากจนหาลักษณะเดียวที่เปน ลักษณะรวมไมได ซึ่งเปนขอเท็จจริงที่เราประจักษอยู การกําหนดวาอะไรเปนลักษณะรวมลักษณะเดียวของ มนุษยจึงเปนเรื่องที่พิสูจนไดยาก การทําเชนนั้นออกจะเปนการกระทําที่รูสึกเอาเองมากกวาจะมีเหตุผลเปน รากฐาน และอธิบายไมไดวาเหตุใดจึงไมอางลักษณะอื่นเปนลักษณะรวมแทนที่จะอางการหาประโยชน สวนตนหรือการหาประโยชนใสตน เมื่อไมอาจหาเหตุผลอื่นใดได พวกอัตนิยมทางจิตใจมักจะถอยไปพิงกําแพงสุดทายคืออางวา “คนเราทําสิ่งที่ตองการจะทําเสมอ” ดังนั้นแมคนเราจะตองการทําในสิ่งที่ไมใชความเห็นแกตัว แตเพราะนั่น เปนความตองการของตัวเขา จึงเทากับเปนการทําตามความตองการของตัวเอง ซึ่งก็เปนความเห็นแกตัว หรือเปนการทําเพื่อประโยชนสวนตนแบบหนึ่งหาใชทําเพราะความไมเห็นแกตัว แตขอโตแยงดังกลาวของ นักอัตนิยมทางจิตใจก็มีปญหาอีก เพราะหากเปนเชนนั้นจะอธิบายกรณีที่คน “ไมตองการ” ทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไดอยางไร เชน กรณีที่เราตองทําทั้ง ๆ ที่ไมอยากจะทํา นอกจากนั้นการพูดวาคนเราทําในสิ่งที่อยากทําเสมอ ก็หมายความวาคนเรา “ทําในสิ่งที่ตนทํา” ซึ่งก็ไมไดหมายความวาสิ่งที่ทํานั้นตองเปนการหาการกระทําที่ เห็นแกตัวหรือเห็นแกประโยชนสวนตน ทฤษฎีอัตนิยมทางจิตใจจึงไมอาจเปนเหตุผลทางจริยศาสตร ยิ่งเปน ทฤษฎีแบบหัวรุนแรงดวยแลวยิ่งเปนการทําลายจริยธรรมอยางสิ้นเชิง 1.1.2 อัตนิยมทางจริยศาสตร (Ethical Egoism) คนเราแมจะคิดถึงตัวเองเปนหลักแตก็ไมจําเปนตองเห็นแกตัวอยูตลอดเวลา เพราะการทํา เชนนั้นยอมจะทําใหผูอื่นปฏิบัติไมดีตอเรา การไมเห็นแกตัวจึงทําใหไดผลประโยชนมากกวา หรือบางครั้ง
  • 115. 106 การที่จะใหไดผลประโยชนแกตนอาจจะตองปฏิบัติอยางเห็นแกผูอื่น ดังนั้นอัตนิยมทางจริยศาสตรจึงไมใช ความเห็นแกตัว หรือไมใชทําตัวใหญโตเหนือผูอื่น แตอาจจะมีลักษณะเห็นแกผูอื่นและถอมตนก็ได อัตนิยมทางจริยศาสตรอาจแบงออกเปน 3 แบบ คือ 1) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล (Universal ethical egoism) มีหลักการพื้นฐานวา ทุกคนควรทําเพื่อผลประโยชนของตน โดยไมคํานึงถึงผลประโยชนของผูใด เวนแตผลประโยชนที่ตกแกผูนั้น จะกลับมาเปนผลประโยชนของตน 2) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบปจเจก (Individual ethical egoism) มีหลักการวา คนแต ละคนควรกระทําเพื่อผลประโยชนของตน 3) อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสวนตัว (Personal ethical egoism) มีหลักการวา ฉันควร กระทําเพื่อผลประโยชนของฉันโดยไมสนใจวาคนอื่น ๆ ควรจะทําอยางไร แบบที่ 2 กับแบบที่ 3 เปนแบบที่พูดถึงคนแตละคนโดยไมกําหนดใหเปนหลักการทั่วไปของ มนุษย แตศีลธรรมหรือระบบศีลธรรมที่เราพูดถึงในจริยศาสตร เปนหลักการสากลสําหรับมนุษยชาติทั้งสอง แบบนั้นจะพูดถึงหลักการสากลวาอยางไร หากจําเปนตองอธิบาย นอกจากนั้นทั้งสองแบบยังไดละเลย ขอเท็จจริงที่วา คนเราอยูรวมกับผูอื่นในสังคม การที่จะคิดถึงแตตัวเองโดยตัดสังคมออกไปจะทําไดหรือไม ดวยเหตุผลดังกลาวอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล จึงมีลักษณะเปนอัตนิยมทางจริยศาสตรที่เปนทฤษฎี ทางจริยศาสตรมากกวาแบบอื่น แตก็ยังเปนปญหาวาทฤษฎีดังกลาวมีเหตุผลเพียงไร อัตนิยมทางจริยศาสตรสอนใหทุกคนทําการเพื่อผลประโยชนของตน ในกรณีที่บุคคลคน หนึ่งทําเพื่อผลประโยชนสวนตน และหากแตละคนก็เปนเชนนี้ อัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล ก็จะกลายเปน แบบปจเจกไปแตถาใหทําตามผลประโยชนของทุกคนรวมกันก็จะกลายเปนลัทธิประโยชนนิยม (Utilitarianism) ซึ่งไมใชอัตนิยม อีกกรณีหนึ่งถาผลประโยชนสวนตนของคนสองคนขัดกันกลาวคือ หากเปนผลประโยชน สวนตนของฝายหนึ่งก็จะไมเปนผลประโยชนหรือทําลายผลประโยชนสวนตนของอีกฝายหนึ่ง กรณีเชนนี้จะ ใหทุกคนจะไดผลประโยชนสวนตนไดอยางไร ถาจะใหตางคนตางทําเพื่อผลประโยชนของตนก็จะกลายเปน แบบปจเจก ถาฝายใดฝายหนึ่งจะทําเพื่อผลประโยชนของอีกฝายหนึ่งก็เทากับฝายที่เสียประโยชนไมไดทํา เพื่อผลประโยชนของตนซึ่งก็ขัดกับหลักการของอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากล นั่นคือทุกคนตางก็ตองการ ใหตัวเองเปนสิ่งสูงสุดและใหทุกคนเปนสิ่งสูงสุด แตเมื่อผลประโยชนขัดกัน ความตองการของทุกคนก็ไป ดวยกันไมได กรณีดังกลาวถาฝายหนึ่งชักจูงใหอีกฝายหนึ่งทําเพื่อประโยชนของตนก็เปนการทําใหอีกฝาย หนึ่งเสียประโยชน ซึ่งขัดกับหลักของแบบสากลที่ตองการใหทุกคนไดประโยชน แตถาบอกใหอีกฝายหนึ่งทําตาม ประโยชนของเขาตนก็จะเสียประโยชน ก็จะเปนการกระทําที่ไมมุงผลประโยชนของตนซึ่งเปนการผิดหลักอัตนิยม เรื่องนี้มีผูแกวาถาอยูนิ่งๆเสียไมแนะนําชักจูงอีกฝายหนึ่งเขาก็อาจเลือกทําในสิ่งที่เปนประโยชนแกเรา กรณีนี้
  • 116. 107 เราก็ไดประโยชนและไมทําใหเขาเสียประโยชนเพราะเราไมไดเปนผูชักจูง แตการทําเชนนั้นก็เทากับการที่ตน ควรแนะนําใหเขาไดประโยชน แตกลับนิ่งเฉยไวและหวังวาเขาจะไมเลือกสิ่งที่ทําใหเขาไดประโยชน ถาการทํา ตามหลักอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากลคือควรแนะนําใหเขาไดประโยชนของเขา การเลี่ยงที่จะไมแนะนํา และหวังวาเขาจะไมเลือกสิ่งที่เปนประโยชนตอตัวเขาก็จะกลายเปนการใชปญญาเลี่ยงหลักการเทานั้น เพราะ ถาหลักการนี้ตองการใหทุกคนหาประโยชนใหแกตนแตมิไดใหทําลายประโยชนของผูอื่นก็ตองไมใชวิธีเลี่ยง หลักการเชนนั้น หลักการอัตนิยมทางจริยศาสตรแบบสากลจะใชไดดีที่สุดก็ในกรณีที่คนเราคอนขางตางคน ตางอยู ซึ่งจะมีการขัดผลประโยชนกันนอย เชน แตละคนตางก็มีสังคมที่เลี้ยงตัวเองได และเปนอิสระ กรณี เชนนี้ผลประโยชนสวนตัวก็จะเปนเรื่องที่ใชตัดสินการกระทําไดดี แตเมื่อใดที่ขอบเขตของปจเจกชนทับซอน กัน และผลประโยชนของคนหนึ่งขัดกับอีกคนหนึ่ง อัตนิยมทางจริยศาสตรก็ยากที่จะแกไขใหผลประโยชน ของทุกคนไดรับการพิทักษและทําใหทุกคนพอใจได หลักความเปนธรรมหรือความประนีประนอมจะตองนํามาใช ซึ่งทําใหหลักการ“ผลประโยชนของทุกคน” ตองหยอนลง ในแงนี้นักอัตนิยมก็ตองกลายเปนนักประโยชนนิยม และแทนที่จะมุงผลประโยชนของทุกคน ก็ตองมุงผลประโยชนที่ดีที่สุดสําหรับทุกคน ปญหาสําคัญของอัตนิยมจึงอยูที่เรามิไดอยูในสังคมที่พึ่งตนเองทุกอยาง แตอยูในสังคมที่มี ผูคนจํานวนมาก และตองพึ่งพาอาศัยกันทั้งดานสังคม เศรษฐกิจ และดานศีลธรรม ซึ่งเมื่อใดที่เกิดความ ขัดแยงดานผลประโยชนสวนตัวก็ตองมีการประนีประนอมซึ่งหมายความวาบางคนจะไดรับผลประโยชนสวนตัว เพียงบางสวนหรืออาจจะไมไดเลย 1.2 ประโยชนนิยม (Utilitarianism) ประโยชนนิยม เปนศัพทบัญญัติมาจากคําวา utilitarianism ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมาจากคําวา utility ที่แปลวา ความมีประโยชนหรือเปนประโยชน นักประโยชนนิยมถือวาการกระทําใดที่กอประโยชนการ กระทํานั้นถูกตอง “ทุกคนจึงควรกระทําการหรือกระทําตามกฎที่จะนําความดี (หรือความสุข) จํานวนมากที่สุด มาใหทุกคนที่เกี่ยวของ” เหตุที่พูดถึงกระทําการและกระทําตามกฎก็เพราะประโยชนนิยมอาจแบงไดเปน 2 ประเภท คือ ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํา (act utilitarianism) กับประโยชนนิยมแบบเนนกฎ (rule utilitarianism)ซึ่งทั้งสองแบบเปนทฤษฎีจริยศาสตรแบบเนนผลของการกระทําเชนเดียวกับอัตนิยม นักปรัชญา คนสําคัญที่เปนผูนําของทฤษฎีดังกลาวคือ เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham 1748 – 1832) และจอหน สจวรต มิลล (John Stuart Mill 1806 – 1873) 1.2.1 ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํา ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามีหลักการวาคนเราควรกระทําการที่จะนําความดีที่เหนือกวา ความเลวมาใหแกทุกคนที่เกี่ยวของกับการกระทํามากที่สุดนักประโยชนนิยมกลุมนี้ไมเชื่อวาจะตั้งกฎสําหรับการ กระทําไดเนื่องจากสถานการณแตละสถานการณตางกันและคนแตละคนก็ตางกัน คนแตละคนตองประเมิน
  • 117. 108 สถานการณที่ตนเกี่ยวของและพยายามกําหนดใหไดวาการกระทําใดจะนําผลที่ดีจํานวนมากที่สุดและเกิดผล เลวจํานวนนอยที่สุดมาใหแกทุกคนที่เกี่ยวของ มิใชเฉพาะแกตนเพียงผูเดียวดังที่เปนหลักการของอัตนิยม ผูประเมินสถานการณจะตองเปนผูตกลงใจวาการกระทําใดในสถานการณในเวลานี้เปนสิ่งที่ ถูกตองที่สุด เชน การพูดจริงในสถานการณนี้ในขณะนี้เปนสิ่งที่ถูกตองหรือไม การที่คนสวนใหญจะเชื่อวาการ พูดความจริงเปนสิ่งที่ดีนั้น นักประโยชนนิยมไมสนใจ นักประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามุงตัดสินเฉพาะ ในสถานการณและขณะนั้น ๆ วาการพูดจริงเปนสิ่งที่ถูกตองหรือไม ไมมีกฎสากลใด ๆ ไมวาจะเปนเรื่อง การฆา การลักขโมย การพูดเท็จ หรือศีลธรรมขออื่น ๆ เพราะสถานการณตางและคนก็ตาง ดังนั้นการ กระทําที่ถือกันโดยทั่วไปวาผิดศีลธรรมก็อาจจะถูกศีลธรรมหรือผิดศีลธรรมไดในสายตาของนักประโยชนนิยม แบบเนนการกระทําขอสําคัญอยูที่การกระทํานั้นในครั้งนั้นนํามาซึ่งความดีมากที่สุดเมื่อหักกลบลบกับความเลว แลวหรือไม ขอที่จะวิพากษวิจารณประโยชนนิยมแบบเนนการกระทํามีหลายขอคือ ขอแรก เปนเรื่องยาก ที่จะแนใจไดวาอะไรเปนผลที่ดีแกผูอื่น ผลที่ดีตามความเห็นของเราผูอื่นอาจไมเห็นวาดี เราจะชั่งน้ําหนักหรือ กําหนด “ดี” แทนผูอื่นไดหรือไม หากจะใหแนใจก็ตองถามทุก ๆ คนกอน และมีอยูบอย ๆ ที่เรามักจะตองทําให ดีที่สุดเทาที่จะทําไดโดยไมมีโอกาสจะสอบถามได โดยเฉพาะกรณีใหม ๆ ที่ไมเคยเกิดกับเรามากอน เราจะ มีเวลาพินิจพิเคราะหผลทั้งหมดซึ่งเราอาจรูไมครบถวนหรือไม ในแงนี้เราเพียงเลือกทําอยางใดอยางหนึ่ง เทาที่จะตัดสินใจไดในขณะนั้นเทานั้น หากเปนเชนนี้การทําตามกฎซึ่งคนสวนมากไดพิจารณาแลวจะมิ ดีกวาหรือ เชน คนสวนมากรักชีวิตและเห็นวาชีวิตมีคา จึงตั้งกฎหามการฆา เวนแตกรณีเฉพาะบางกรณี เชน ปองกันตัว การพิจารณาการฆาเปนกรณี ๆ วาจะทําหรือไมทํานั้นเปนการเสียเวลาและโงเขลา เพราะ เราไมมีเวลาพิจารณานอกจากจะฆาหรือไมฆาเทานั้น นักประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําอาจอางวาโดยทั่วไปคนเราไดผานประสบการณเกี่ยวกับ สถานการณตาง ๆมามากพอที่จะทําใหตัดสินไดในเวลาอันรวดเร็ว มิใชวาจะตองเริ่มคิดพิจารณาใหมทั้งหมด แตถาการตัดสินใจมาจากประสบการณเดิม ๆ ก็แสดงวาเราไดปฏิบัติตาม กฎ ที่มีอยูในใจซึ่งมาจาก ประสบการณเหลานั้น ถาตามประสบการณที่ผานมาเราไมฆา เมื่อพบสถานการณทํานองเดียวกัน เราจะทํา ตามกฎจากประสบการณนั้นคือ “อยาฆาคนอื่นเมื่อสถานการณเปนแบบเดียวกับ ก.” ใชหรือไม ถา ใชก็เทากับกลายเปนพวกประโยชนนิยมแบบเนนกฎ ขอวิจารณอีกขอหนึ่งก็คือประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําจะสอนเด็กใหกระทําการอันมี ศีลธรรมไดอยางไรในเมื่อไมมีกฎอื่น ๆ ที่จะใหทําตามนอกจากกฎประโยชนนิยม จึงดูเหมือนทุกคนตองเริ่มตน เรียนรูที่จะเลือกการกระทําดวยตนเองใหมทั้งหมด การสรางระบบการศึกษาศีลธรรมตามแนวนี้แมอาจจะ ทําได แตจะเกิดผลตามที่ตองการเพียงไร
  • 118. 109 1.2.2 ประโยชนนิยมแบบเนนกฎ การที่ประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําตองพบปญหาหลายประการทําใหเกิดแนวคิดใหมคือ ประโยชนนิยมแบบเนนกฎขึ้น โดยมีแนวคิดตางกับประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําที่มีแนวคิดวา “ทุกคน ควรกระทําการที่นําความดีมากที่สุดมาใหแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมดมาเปนแนวคิดวา “ทุกคนควรทําตามกฎที่ จะนําความดีจํานวนมากที่สุดมาใหแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมด” แนวคิดนี้ทําใหแตละคนไมตองเริ่มตนหาผลเองในทุกๆสถานการณ และมีกฎที่จะใหการศึกษา ทางศีลธรรมแกผูที่เริ่มตน นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎพยายามวางกฎซึ่งจะใหผลเปนความดีมากที่สุดแก มนุษยชาติ โดยอาศัยประสบการณและการพิจารณาดวยเหตุผลอยางรอบคอบ เชนแทนที่จะตองเลือกวาใน แตละสถานการณควรจะฆาหรือไมฆา นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎจะพิจารณาจากกรณีตาง ๆ ที่เกี่ยวกับ การฆาและใชเหตุผลอยางรอบคอบ ซึ่งอาจทําใหตั้งกฎวา “จงอยาฆาใครเวนแตปองกันตัว” กฎนี้มาจาก การที่ไดพบวาเวนแตกรณีปองกันตัวแลวการฆาทําใหเกิดผลรายมากกวาผลดีแกทุกคนที่เกี่ยวของทั้งในขณะนั้น และในระยะยาว และหากปลอยใหมีการฆาเวนแตกรณีปองกันตัวในปจจุบันก็จะมีคนฆากันมากกวาที่เปนอยู และเนื่องจากชีวิตเปนสิ่งสําคัญอันสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตจะมีไดก็ตอเมื่อมีชีวิต หากไมวางกฎเชนนั้นก็จะ เกิดอันตรายแกผูที่เกี่ยวของทั้งหมดมากกวาจะเกิดความดี นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎมีความเชื่อตางกับแบบเนนการกระทําคือเชื่อวาคนเรามีแรงจูงใจ การกระทํา และสถานการณคลาย ๆ กันซึ่งเปนเหตุใหสามารถตั้งกฎที่จะใชกับคนทุกคนในทุกสถานการณ ของมนุษยได พวกประโยชนนิยมแบบเนนกฎเห็นวาเปนการโงและเปนอันตรายที่จะปลอยใหการกระทําทาง ศีลธรรมขึ้นอยูกับคนแตละคน โดยแนนอนทางศีลธรรมใหแกสังคม พวกนี้เห็นวาประโยชนนิยมแบบเนนการ กระทํานั้นพิจารณาสถานการณเดาสุมเปนครั้ง ๆ นักประโยชนนิยมแบบเนนกฎก็มีปญหาเชนกัน โดยเฉพาะใหเรื่องที่ตองกําหนดแทนผูอื่น วาอะไรคือผลดีสําหรับทุกคน จุดออนนี้ไมกระทบอัตนิยม เพราะพวกอัตนิยมไมตัดสินใจแทนผูอื่น เราจะ แนใจไดอยางไรวาในเมื่อสถานการณก็มีมากหลากหลาย คนก็มีมากและแตกตางกัน กฎที่ตั้งขึ้นจะเปนกฎ ที่ใชไดกับสถานการณและคนอีกมากมายหลายหลากเชนนั้น โดยทําใหเกิดผลที่ดีมากที่สุดแกทุกคนที่เกี่ยวของ ยิ่งเปนกฎดวยแลวก็ยิ่งมีปญหามากขึ้นเพราะกฎครอบคลุมการกระทําจํานวนมาก มิใชการกระทําเดียวในแต ละครั้ง พวกนักศีลธรรมที่ไมยึดกฎ (non – rule moralist) เห็นวา ไมมีกฎใดที่ไมอาจหาขอยกเวนได แตถา เราอางเชนนี้กับกฎทุกกฎเราก็จะกลับไปสูประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําอีก ถาตั้งกฎใหครอบคลุมทุก กรณีไมไดก็อยาตั้งกฎเสียดีกวา เชน ถาตั้งกฎวา “จงอยาฆาเวนแตปองกันตัว” กรณีการทําแทงจะตอบวา อยางไรในเมื่อทารกก็มิใชผูมาทํารายดังนั้นพวกตอตานการทําแทงก็จะสรุปวาทําแทงไมได สวนพวกสนับสนุน การทําแทงก็จะพิจารณาวาตัวออนไมใชมนุษยและชีวิตแมสําคัญกวาลูกซึ่งมาทีหลัง จึงทําแทงได พวก ประโยชนนิยมแบบเนนกฎจะตอบปญหานี้อยางไร ในกรณีที่อันตรายตอแมมิไดเกิดจากการตั้งครรภแตเกิด จากเหตุผลอื่น เชน แมยังเด็กและไมมีอาชีพ หรือสังคมไมยอมรับหญิงที่ตั้งครรภโดยไมมีผูรับเปนพอของ
  • 119. 110 เด็ก นี่เปนตัวอยางที่ทําใหเห็นไดวาการตั้งกฎใหคลุมทุกกรณีของกฎนั้น ๆ เปนเรื่องยาก ซึ่งเปนปญหาหาก จะใชประโยชนนิยมแบบเนนกฎ พวกประโยชนนิยมแบบเนนการกระทําจะไมประสบปญหานี้เพราะมิได พยายามใหกระทําอยางเดียวกัน ในทุกสภาพการณดังเชนพวกที่เนนกฎ ปญหาสําคัญอีกปญหาหนึ่งซึ่งกระทบประโยชนนิยมทั้งสองแบบก็คือคําวา“เปนประโยชน”นั้น เปนการเนนประโยชนของสวนรวมหรือของคนสวนใหญและเนนประโยชนที่หมายถึงความพึงพอใจและความ พนจากความเจ็บปวดทรมานซึ่งมักเปนเรื่องทางประสาทสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มิไดหมายถึง ประโยชน เชน ความดีงาม ความมีศีลธรรม ตามความหมายของนักศีลธรรม นอกจากนั้นการเนนประโยชน ในลักษณะ “ความดีจํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด” ยังทําใหในที่สุดเกิดปญหาวากรณีที่ความดี จํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุดเปนผลเลวมากที่สุดแกคนจํานวนนอย จะตัดสินอยางไร เชน นักวิทยาศาสตรใชนักโทษประหารจํานวนไมกี่รอยคนในการทดลองเพื่อจะใหไดยารักษาโรคที่จะรักษาโรคซึ่ง ทําใหคนเสียชีวิตนับลาน ๆ คน การที่คนจํานวนมากจะไดยารักษาโรคโดยทําใหนักโทษประหารตองตายโดย มิไดตายเพราะความผิดที่เขากระทําจะนับเปนความถูกตองหรือไม ถาพิจารณาแตจํานวนตามหลักของ ประโยชนนิยม การกระทํานี้ก็ถูกตอง นอกจากจํานวนในลักษณะดังกลาวแลวประโยชนแกคนจํานวนมากที่สุดอาจนําไปคิดในแง ประโยชนที่เทียบกับคาใชจายในการลงทุนคือผลกําไร (cost – benefit) คือ ดูวาใชความพยายามทุนหรือ คาใชจายเทาใดในการที่จะใหไดผลกําไรเปนตัวเงิน ซึ่งในที่สุดอาจใชวัดคาของคนโดยดูวาใคร หรืออาชีพใด ทําเงินใหแกสังคมได มากที่สุด แลวอาจจะใหผลประโยชนตอบแทนเปนเงินแกคนกลุมนั้นมากกวาคนกลุม อื่น ๆ การพยายามทําใหเกิดความดีจํานวนมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุดอาจจะกลายเปนการไรศีลธรรม ตอคนจํานวนนอยก็ได การใหความเปนธรรมแกคนในสังคมทั่วหนากันนาจะเปนการมีศีลธรรมมากกวาการคํานึงถึง เฉพาะคนสวนใหญ การคิดถึงคนสวนใหญอาจจําเปนในบางกรณี เชน กรณีที่จะตองใหกลุมอยูรอดโดยตอง ใหคนสวนนอยเสียสละ เชนเพื่อจะใหทหารสวนใหญอยูรอดบางคนอาจตองเสี่ยงชีวิต แตผูที่คํานึงถึง “ความสุขมากที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด” มักจะไมคิดถึง “ความสุขของทุกคน” ประโยชนนิยมเปนแนวคิดที่พยายามปรับปรุงอัตนิยมโดยพิจารณาถึงทุกๆคนที่มีสวนเกี่ยวของ ในการกระทําทางศีลธรรมการกระทําใดการกระทําหนึ่งแตก็ตองประสบปญหาสําหรับอัตนิยม ในประโยชน นิยมแบบเนนการกระทําก็มีปญหาที่ไมมีกฎที่จะเปนแนวทาง แตละคนตองตัดสินใจเอาเองในแตละสถานการณ วาอะไรดีที่สุดสําหรับทุกคน ในประโยชนนิยมแบบเนนกฎแมวาจะไมตองพิจารณาใหมทุกครั้งทุกสถานการณ วาอะไรดีที่สุดแกคนจํานวนมากที่สุด แตยากที่จะบอกวากฎใดบางที่ครอบคลุมทุกคนในทุกสถานการณและ ประโยชนนิยมทั้งสองแบบเปดโอกาสใหสามารถใชหลักผลกําไรมาเปนหลักคิด สิ่งที่เปนปญหาของพวกที่คํานึงถึงผลเปนหลักทุกประเภทก็คือความจําเปนที่จะตองคิดถึงผล ของการกระทําใหไดทุกแงทุกมุมนั้นเปนสิ่งที่ทํายากที่สุด และผลนั้นกระทบผูอื่นนอกเหนือจากพวกของตน
  • 120. 111 อยางไร เราไมมีความรูพอที่จะหาผลไดครบถวน และไมอาจมองเห็นผลในอนาคตไดอยางเพียงพอ เราจึงไม รูแนชัดวาอะไรคือผลดีสําหรับเราและผูที่เกี่ยวของทั้งหมด ตัวอยางกรณีที่ประธานาธิบดีทรูแมนสั่งทิ้งระเบิด นางาซากิ และฮิโรชิมานั้นนอกจากผลแพชนะแลว ผลที่ตามมามีอะไรบาง ประธานาธิบดีจะทราบหรือไม เชน สงครามเย็น บรรยากาศโลกเสื่อมโทรม การพัฒนาอาวุธที่รายแรงยิ่งขึ้น แตเราจะมีมาตรฐานใดมาใช เปนเกณฑตัดสินที่ดีกวาการใชผล เรื่องนี้ควรพิจารณาคําตอบจากนักปรัชญากลุมที่ไมเนนผลเปนหลัก 2. แนวคิดที่ไมถือผลเปนหลัก แนวคิดที่ไมถือผลเปนหลักพิจารณาความถูกตองทางจริยธรรมจากเกณฑอื่นที่มิใชผลการกระทํา พวกที่ไมถือผลเปนหลักถือวาผลไมใชและไมควรเปนเครื่องตัดสินวาการกระทําหรือคนมีศีลธรรมหรือไมมี ศีลธรรม การกระทําจะตัดสินวาถูกตอง และคนจะตัดสินวาดีตองพิจารณาจากสิ่งอื่นที่สูงสงกวาผลการกระทํา เชนในทฤษฎีโองการของพระผูเปนเจา การกระทําจะถูกหรือไม คนจะดีหรือไมอยูที่เชื่อฟงโองการของพระเจา หรือไม ไมวาผลการกระทําจะเปนอยางไร อะไรดีหรืออะไรถูกตองอยูที่พระเจาจะกําหนด การตายของคน เชน โจน ออฟ อารค ไมเกี่ยวอะไรกับความมีศีลธรรมหรือไมมีศีลธรรมของบุคคล 2.1 ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักแบบการกระทํา (Act Nonconsequestionlist Theories) ทฤษฎีที่ ไมถือผลเปนหลักก็มีทั้งแบบการกระทําและแบบกฎเชนเดียวกับทฤษฎีที่ถือผลเปนหลัก และก็มีจุดออนของ แตละทฤษฎีคลาย ๆ กัน ทฤษฎีที่ไมถือผลเปนหลักแบบการกระทํามีสมมติฐานวา กฎหรือทฤษฎีเกี่ยวกับศีลธรรมที่เปนกฎ ทั่วไปไมมีอยู มีแตการกระทําแตละการกระทํา สถานการณแตละสถานการณและคนแตละคนเทานั้น เราตอง พิจาณาแตละสถานการณโดยเฉพาะและตัดสินวาการกระทําอะไรที่ถูกตองในสถานการณนั้น การตัดสินของ ทฤษฎีที่ไมถือผลการกระทําเปนหลักเปนแบบอัชฌัติกญาณ(intuition)คือรูดวยตนเอง เชนเห็นสีขาวกับสีดําก็ รูวาสีขาวไมใชสีดํา เมื่อผูใดตัดสินสถานการณเฉพาะใด ๆ เนื่องจากไมมีกฎหรือมาตรฐาน ผูนั้นก็ตองอาศัย สิ่งที่รูสึกไดดวยตนเองเปนเครื่องตัดสิน ทฤษฎีนี้จึงมีความเปนปจเจกภาพคือเฉพาะตัวอยางมาก คนเราจะทํา อะไรหรือไมอยูที่ความรูสึกของตนเองบอกวาอะไรถูกอะไรผิด ทฤษฎีนี้เนนการกระทําดวยความปรารถนาและ อารมณมากกวาเหตุผล ความเชื่อโดยทั่วไปของนักคิดกลุมนี้เชน คนที่มีการศึกษาอบรมมาดียอมมีความรูสึกวาอะไรถูก อะไรผิด มนุษยเรามีความคิดและการปลงใจในดานศีลธรรมมากอนที่นักปรัชญาจะคิดเรื่องนี้ดวยเหตุผล การอางเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมเปนไปเพื่อทําใหมั่นใจในประสบการณตรงหรืออัชฌัติกญาณของเรา ยิ่งขึ้น เหตุผลของเราในเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรมก็อาจผิดเชนเดียวกับในเรื่องอื่น ๆ เราจึงตองกลับมาสู ความรูสึกภายในและอัชฌัติกญาณของเรา เรื่องอัชฌัติกญาณนี้มีขอคัดคานอยูหลายขอเชน 1) อัชฌัติกญาณเปนคําที่ไมอาจนิยามไดชัดเจนการพิสูจนวาอัชฌัติกญาณมีอยูเปนเรื่องยาก
  • 121. 112 2) ไมมีขอพิสูจนวาเรามีกฎศีลธรรมซึ่งติดตัวมาแตเกิดที่เราสามารถใชเปรียบกับการกระทําเพื่อตัดสิน วาการกระทํานั้นถูกหรือผิดศีลธรรม 3) อัชฌัติกญาณไมทนตอการพิสูจนแบบวัตถุวิสัย เพราะวารูไดเฉพาะตัวผูที่มีอัชฌัติกญาณ และอัชฌัติกญาณของคนหนึ่งก็ตางกับอีกคนหนึ่ง 4) คนที่ไมมีอัชฌัติกญาณทางศีลธรรมจะเปนพวกไมมีจริยธรรมหรือไมก็ตองใชมาตรฐานอื่นวัด จริยธรรม ขอ 3 เปนขอที่มีปญหาที่สุดเพราะอัชฌัติกญาณไมอาจแตกตางกันเหมือนเหตุผลหรือการตัดสิน ดวยหลักฐานอื่นซึ่งไมถือวาแนนอนตายตัว แตเราก็ไมอาจแนใจไดวาอัชฌัติกญาณของทุกคนจะตองตรงกัน ขอวิจารณแนวคิดแบบไมถือผลเปนหลักขออื่น ๆ ไดแก 1) เราจะรูไดอยางไรวาเรารูสึกวาอะไรถูกอะไรผิดอยางถูกตองโดยไมตองมีอะไรอื่นนําทาง 2) เราจะรูไดอยางไรวาเมื่อไรเรามีขอมูลเพียงพอแลวที่จะลงมติทางศีลธรรม 3) ในเมื่อศีลธรรมเปนเรื่องเฉพาะตัวอยางมาก เราจะรูไดอยางไรวาเราไดตัดสินอยางดีที่สุดอยาง ที่ทุกคนที่เกี่ยวของควรจะไดรับ 4) ในการตัดสินทางศีลธรรมเราจะชื่อความรูสึกชั่วขณะไดหรือ 5) เราจะตัดสินใจทางจริยธรรมดวยความรูสึกไดอยางไร เพราะคนที่ฆาผูอื่นก็อาจอางไดวา ฉัน รูสึกวาอยากฆาเขา ความรูสึกของคนฆากับคนที่กําลังจะถูกฆายอมตางกัน เราจะตัดสินความขัดแยงนี้ดวย ความรูสึกของเราไดอยางไร มาตรฐานแบบนี้นับเปนสัมพัทธนิยมทางจริยธรรมอยางสูงสุดเพราะเปนการใช ความรูสึกของปจเจกชนในแตละขณะ 6) ทั้งคนและสถานการณลวนตางกันอยางแทบไมมีอะไรเหมือนกัน จะตัดสินเหมือนกันไดอยางไร 2.2 ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักแบบกฎ (Rule Nonconsequentialist theories) พวกไมถือผลเปนหลักแบบกฎเชื่อวามีกฎที่เปนฐานของศีลธรรม และผลไมสําคัญ ศีลธรรมเกิด จากการทําตามกฎศีลธรรม ศีลธรรมไมเกี่ยวกับผลที่เกิดจากการทําตามกฎ กลาวคือเมื่อทําตามกฎศีลธรรม แลวการกระทํานั้นก็ถูกตองไมวาผลจากการทําตามกฎนั้นจะเปนอยางไร ขอแตกตางระหวางพวกที่ไมถือผล เปนหลักดวยกันก็คือ จะสรางกฎดังกลาวไดอยางไร วิธีหนึ่งก็คือโองการของพระเจาดังที่ไดกลาวมาแลว แต ทฤษฎีนั้นก็ขาดรากฐานทางเหตุผลที่จะพิสูจน เพราะเหตุผลไมอาจพิสูจนสิ่งเหนือธรรมชาติได แมจะพิสูจน ความมีอยูของสิ่งเหนือธรรมชาติได จะพิสูจนไดอยางไรวาสิ่งเหนือธรรมชาติกระทําถูกศีลธรรม และแมวาสิ่ง เหนือธรรมชาติจะสั่งถูกตองตามศีลธรรม เราจะรูไดอยางไรวาเราตีความคําสั่งถูกหรือไม การตีความโองการ ของพระผูเปนเจามักจะขัดแยงกัน 2.3 ทฤษฎีจริยศาสตรเชิงหนาที่ (Duty Ethics) ทฤษฎีไมถือผลเปนหลักที่มีชื่อเสียงอีกทฤษฎีหนึ่งคือ ทฤษฎีที่มักเรียกกันวาจริยศาสตรเชิงหนาที่ (Duty Ethics) ซึ่งเปนทฤษฎีของอิมมานูเอล คานท (Immanuel Kant 1724 – 1804)
  • 122. 113 2.3.1 กฎศีลธรรมตองเปนกฎสากล คานทเชื่อวาสามารถสรางกฎศีลธรรมไดโดยใชเหตุผลลวน ๆ คานทไมอางสิ่งเหนือธรรมชาติ และไมอางขอมูลจากประสบการณแตอางเหตุผลแบบเดียวกับคณิตศาสตร เชน รูปสามเหลี่ยมมี 3 ดาน 1+1 เปน 2 ซึ่งเปนขอความที่หากปฏิเสธจะแยงตัวเอง เชน พูดไมไดวา รูปสามเหลี่ยมไมมี 3 ดาน เพราะ แยงขอความวารูปสามเหลี่ยมมี 3 ดาน (เปนอยางอื่นไปไมได) และขอความที่จะเปนกฎไดตองเปนสากล คือ เปนเชนนั้นเสมอ ไมมีขอยกเวน เหมือน 1+1 ตองเปน 2 ไมมีขอยกเวน ตัวอยางกฎศีลธรรมที่เปนสากลเชน “จงพูดความจริง” คานทมิไดถือวาขอความนี้เปนกฎ เพราะถาพูดไมจริงแลวจะเกิดผลอะไรและมิไดอางวามีคําสั่งใครที่ใหพูดจริง แตเขาชี้วา ก หรือ ข อาจพูดไม จริงได นั่นเปนขอเท็จจริง แต “ทุกคนพูดไมจริง” เปนไปไมไดเพราะถาทุกคนพูดไมจริง คําพูดก็ไมมี ความหมายเพราะจะไมมีใครเชื่อคําพูดใครได การพูดไมจริงจึงเปนการทําลายการพูด ซึ่งเปนการแยงตัวเอง ที่การพูดยังคงอยูไดเพราะ การพูดมีไวเพื่อบอกความจริง ถาทุกคนพากันพูดไมจริงหนาที่ของการพูดก็เสีย ไป จึงตองถือเปนกฎวา “ทุกคนตองพูดความจริง” การพูดไมจริงเปนการผิดกฎศีลธรรม กฎบางกฎเปนขอหามเชน “จงอยาอยูโดยเกาะคนอื่นกิน” ถาเราแยงกฎนี้วา “ทุกคนจงอยู โดยเกาะคนอื่นกิน” คือไมมีใครทํามาหากินเองเลย ถาทุกคนตองอยูโดยเกาะคนอื่นกิน ก็ไมมีใครที่อาจเปน ผูใหคนอื่นกินไดเลย ในที่สุดทุกคนก็อยูไมไดเพราะไมมีกิน ขอความ “ทุกคนจงอยูโดยเกาะคนอื่นกิน” จึงแยง ตัวเอง ดังนั้นทุกคนตองไมอยูโดยเกาะคนอื่นกิน หากเราพบขอความชนิดนี้มาก ๆ ก็อาจสรางระบบจริยศาสตรซึ่งประกอบดวยกฎสากล และ การทําตามกฎสากลเหลานี้ก็จะเปนการทําถูกตองทางศีลธรรมโดยไมตองคํานึงถึงผลที่จะเกิดแกตนหรือแก ผูอื่น เชน “จงพูดความจริง” เปนกฎสากล ดังนั้นถาใครพูดเท็จก็ผิดกฎทันทีไมวาการพูดเท็จนั้นจะ เกิดผลอยางไรแกใครหรือไม 2.3.2 การทําตามกฎศีลธรรมตองถือเปนหนาที่ คําสองคําในหัวขอนี้คือ“การทําตามกฎ”และ“หนาที่”ถือเปนคําที่สําคัญในระบบจริยศาสตร ของคานท ซึ่งจะตองทําความเขาใจใหชัดเจน “การทําตามกฎ” หมายถึงทําตามกฎสากลทางศีลธรรมดังที่ กลาวมาแลว คือเปนกฎที่ตองพิสูจนไดวาเปนกฎสากล กฎอื่น ๆ ที่คนแตละคนยึดถือหรือสังคมสรางขึ้นอาจ เปนกฎสากลหรือไมก็ได หากพิสูจนดวยเหตุผลแบบที่ไดพิสูจนมาแลวขางตนไดวาเปนกฎสากล กฎนั้นก็เปน กฎศีลธรรมได การทําตามกฎในที่นี้หมายถึงทําตามกฎศีลธรรม การทําตามกฎอื่น ๆ เชนกฎของการทํางาน ที่วาใหมาทํางานกอน 08.00 น. ไมนับอยูในขายนี้เพราะแมจะเปนกฎเกี่ยวกับพฤติกรรมคือพฤติกรรมในการ ทํางานแตมิใชกฎเกี่ยวกับความประพฤติดีชั่วซึ่งเปนกฎศีลธรรมหรือกฎทางจริยศาสตร การทําตามกฎก็ตองเปน การทําเพราะเปนกฎโดยไมมีขอยกเวน มิใชทําเพราะเหตุอื่น เชน ไมพูดโกหกเพราะกลัวพอแมจะเสียใจ เพราะกลัวผูอื่นจะไมเชื่อถือ เพราะตองการใหคนอื่นเห็นวาซื่อสัตย แตตองไมโกหกเพราะการโกหกเปนสิ่งที่ ไมดีในตัว
  • 123. 114 อีกคําหนึ่งคือ “หนาที่” การทําตามกฎตองถือเปนหนาที่คือตองทําเสมอจะทําบางไมทําบาง ไมได เปนหนาที่ของคนที่จะตองทําตามกฎศีลธรรม หนาที่นี้เปนหนาที่ทางศีลธรรม ไมใชหนาที่ในความหมาย ทั่วไป เชน หนาที่ของพอแม หนาที่ของแพทย ซึ่งเปนหนาที่โดยฐานะทางสังคมหรืออาชีพการงานไมใช หนาที่ในฐานะเปนคน คนเราไมวาจะมีฐานะเปนอะไรแตทุกคนตองเปนคน และหนาที่ของคนในฐานะเปน คนก็คือศีลธรรม คนจึงมีหนาที่ปฏิบัติตามกฎศีลธรรม หรือทําตามกฎศีลธรรมโดยถือเปนหนาที่ การถือเปน หนาที่ก็คือไมคํานึงถึงเงื่อนไขใด ๆ เชน สภาพแวดลอม บุคคล สถานการณหรือผล ในฐานะเปนคนจึงตอง ถือกฎวา “จงทําตามกฎศีลธรรมโดยถือเปนหนาที่” กฎที่วานี้มีลักษณะเปนกฎสัมบูรณและเนื่องจากกฎมี ลักษณะเปนคําสั่ง คานทเรียกคําสั่งที่มนุษยตองปฏิบัติอยางเปนหนาที่นี้วา คําสั่งเด็ดขาด (Categorical Imperative) คําสั่งเด็ดขาดอาจอธิบายไดหลายแบบ แตโดยพื้นฐานก็คือ คําสั่งนี้ระบุวา “การกระทํา นับวาผิดศีลธรรมหากกฎที่กําหนดการกระทํานั้นไมอาจทําใหเปนกฎที่คนทุกคนจะตองทําตามได” ขอนี้ หมายความวาเมื่อผูใดจะทําการใด ๆ อันเปนการกระทําทางศีลธรรมผูนั้นจะตองถามคําถามแกตัวเองสอง คําถามคือ คําถามแรก กฎที่กําหนดใหเรากระทําคืออะไร คําถามที่สอง กฎนั้นเปนกฎที่ทุกคนจะตองทํา ตามหรือไม เปนตนวานายขี้เกียจคนหนึ่งคิดวาจะไมทํางานแตจะอยูโดยใชวิธีขโมยของผูอื่น คนผูนั้นหากจะ พิจารณาวาคําสั่งนี้เปนคําสั่งเด็ดขาดสําหรับทุกคนหรือไม เขาจะตองพิจารณาวากฎของเขาคือ “ฉันจะไม ทํางาน แตจะขโมยสิ่งที่ฉันตองการจากผูอื่น” กฎนี้ตองทําใหเปนกฎสากลคือ กฎที่ทุกคนตองทําตาม ซึ่งก็จะ ไดกฎสากลวา “ทุกคนจะตองไมทํางาน แตจะขโมยสิ่งที่ตนตองการจากผูอื่น” เมื่อพิจารณาเชนนี้แลวก็จะเห็น ไดวา กฎนี้ทําใหการขโมยเปนไปไมได เพราะถาไมมีคนใดทํางานเลย จะขโมยจากใครไดเนื่องจากเมื่อไม ทํางานก็ไมมีอะไรจะใหขโมย การขโมยจึงเปนสิ่งที่เปนไปไมไดและกฎนี้แยงตัวเอง การที่ตองพิจารณาความเปนสากลของกฎเชนนี้ก็เนื่องจากคนเรามักตั้งกฎเอาเองและเปน กฎที่มิไดพิสูจนความเปนสากล หากแตถือเปนกฎเพราะแรงจูงใจตาง ๆ เชนคนที่คิดวาจะขโมยของผูอื่นนั้น คิดเอาแตได เขาอาจเห็นวาเปนการสบายถาอยูไดดวยการขโมยคนอื่น จึงคิดวาการขโมยเปนวิธีที่ดี แตถา คิดใหกวางกวานั้นวาเขาคิดเชนนั้นจริง ๆ หรือไม หากคนอื่นขโมยเขา ซึ่งคนอื่นนับวาการกระทํานั้นดี หรือ กรณีที่คนบางคนชวยผูอื่นเพราะสงสาร การทําเพราะความสงสารถือวาไมไดทําตามกฎ ไมไดทําเพราะการ ชวยเหลือผูอื่นเปนสิ่งที่ดีในตัว สมมติวาการกระทํานี้เปนกฎแตคนผูนี้ไมไดทําเพราะเปนกฎ เขาทําเพราะ เงื่อนไขหรือแรงจูงใจอื่นคือความสงสารหากไมสงสารเขาก็จะไมทํา การกระทํานี้จึงดีไมสมบูรณเพราะคําสั่งที่ เขาทําตามไมใชคําสั่งเด็ดขาด แตเปนคําสั่งที่มีเงื่อนไข (Hypothetical Imperative) 2.3.3 คําสั่งทางการปฏิบัติ (Practical Imperative) คําสั่งเด็ดขาดนั้นบงถึงการกระทําคือเมื่อเปนกฎแลวตองทํา โดยความหมายเชนนี้คําสั่ง เด็ดขาดก็นาจะเปนคําสั่งทางการปฏิบัติอยูแลว แตคําวา คําสั่งทางการปฏิบัตินี้คานทใชกับหลักการสําคัญ
  • 124. 115 ทางจริยศาสตรที่เกี่ยวของกับคนทุกคน ในระบบจริยศาสตรนี้จึงตองใหคนทุกคนมีฐานะความสําคัญในดาน การประพฤติทางจริยะเหมือนกัน คําวา การปฏิบัติคานทมักจะใชในความหมายเดียวกับจริยธรรม เชน เหตุผลทางการปฏิบัติ (practical reason) ก็เปนคุณสมบัติของมนุษยที่จะรูผิดชอบชั่วดีและทําใหเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกตอง มิได หมายถึงการปฏิบัติ และเหตุผลในความหมายทั่วไป คําวา practical imperative คานทก็ใชในความหมาย เฉพาะคือหมายถึงหลักการทางจริยธรรมที่วา “จะตองไมคิดถึงหรือใชมนุษยเปนเพียงวิถีทางเพื่อจุดหมายของ ผูอื่น” “คนแตละคนเปนจุดหมายในตัวเอง หลักการขอนี้สําคัญ เพราะระบบจริยศาสตรควรจะตองเปนธรรม และปฏิบัติตอทุกคนเสมอกัน การไมใชมนุษยเปนวิถีทางนั้นทําใหคานทคัดคานแมแตการฆาตัวตายซึ่งนักประโยชนนิยม บางคนถือวาอาจเปนสิ่งที่นาสรรเสริญในบางกรณี ในเรื่องการฆาตัวตาย สมมติวาผูที่ฆาตัวตายมีหลักการสวนตัว (maxim) วา “เนื่องจากรัก ตนเองฉันจึงควรทําลายชีวิตเสียหากเมื่อใดที่การมีชีวิตอยูตอไปนําความทุกขมาใหมากกวาความสุข”หลักสวน บุคคลนี้จะทําใหกลายเปนหลักการสากล (universalized) ไดหรือไม คานทคิดวาไมไดเพราะเกิดการแยง ตัวเองกลาวคือ ถารักตัวเองก็ตองทําใหตัวดีขึ้น การทําลายชีวิตจึงขัดแยงกับการรักตัวเอง หลักการสวนตัว ดังกลาวจึงไมอาจเปนกฎสากลสําหรับทุกคนไดเพราะวาตนกับปลายคือ รักตัวเองกับทําลายชีวิตตัว ไมเขา กันและไมสอดคลองกับคําสั่งเด็ดขาด นอกจากนั้นยังขัดกับคําสั่งทางการปฏิบัติที่วาทุกคนเปนจุดหมายในตัว เพราะหากคน ทําลายชีวิตตัวเพื่อจะหนีจากสภาพแวดลอมอันทุกขทรมาน ก็เทากับใชมนุษยเปนเพียงวิถีทางที่จะคง สภาวะที่ทนไดไวเทานั้น คนที่ฆาตัวตายจึงเปนผูทําผิดหลักการดังกลาว เพราะหากคนเราเปนจุดหมายใน ตัวเองก็ไมมีใครที่มีสิทธิทําลายชีวิต แมวาชีวิตนั้นจะเปนชีวิตของเขาเอง นอกจากนั้นสําหรับคานทชีวิตมี หนาที่การรักษาชีวิตจึงเปนหนาที่ เพราะถาไมมีชีวิตก็ไมอาจทําหนาที่ของมนุษยได การทําลายชีวิตจึงเปน การกระทําที่แยงตัวเอง ขัดกับการกระทําอันเปนหนาที่ตอชีวิต เนื่องจากคานทยึดถือหลักการอยางเครงครัดการยึดถือหลักการบางครั้งก็ขัดกับความรูสึกของ มนุษย เชน ถาการรักษาสัญญาเปนสิ่งที่ดี การไมรักษาสัญญาเปนสิ่งไมดี หากการรักษาสัญญาทําใหคนที่ ออนตอโลกตองบาดเจ็บสาหัส หรือตาย เปนสิ่งที่ควรทําหรือไม ตามความคิดของคานทความออนตอโลก เจ็บหรือตายก็เปนเรื่องปกติ แตจะไมรักษาสัญญาไมได เพราะจะตองไมคํานึงถึงผล เรื่องนี้ก็อาจเปนปญหา วาระหวางการรักษาสัญญากับการรักษาชีวิตคนที่ออนตอโลก อะไรเปนหลักการสําคัญกวากัน คานทไมได ใหคําตอบวากรณีที่หลักการสองหลักการซึ่งสําคัญทั้งคูขัดแยงกันจะจัดการอยางไร เรามีหนาที่รักษาสัญญา แตเราก็มีหนาที่ที่จะไมทําใหใครตายดวย
  • 125. 116 ขอที่เปนปญหาอีกขอหนึ่งคือ กฎที่เด็ดขาดกับกฎที่มีขอแม อะไรเปนกฎที่สากลกวา เชน กฎศีลธรรมมักไมมีขอแมและเปนกฎที่เด็ดขาด เชน “หามฆา” สวน “หามฆาเวนแตเพื่อปองกันตัว” เปนกฎ ที่มีขอแม แตทั้งสองกฎก็สามารถเปนกฎสากลได และกฎขอหลังดูจะเปนกฎที่สอดคลองกับความเปน มนุษยและดูเปนธรรมชาติมากกวาขอแรก กฎสัมบูรณคือกฎสากลที่ไมมีขอแมหรือขอยกเวนที่คานทพยายาม รักษา แตจะอธิบายกฎที่มีขอยกเวนดังกลาวอยางไร กฎสากลนั้นคานทมักจะอธิบายควบคูกับความสอดคลองระหวางตนกับปลาย (consistency) คือไมแยงตัวเองแตกฎสากลบางกฎอาจเปนสากลแตไมเกี่ยวกับความสอดคลองระหวางตนกับปลาย จะนับเปน กฎศีลธรรมไดหรือไม เชน “จงอยาชวยคนที่อดอยาก” กฎนี้เปนกฎสากล และการไมชวยคนที่อดอยากก็ไม แยงตัวเองคือไมทําใหมนุษยชาติตองสูญ หรือจะตองอดอยาก คานทตอบปญหานี้โดยอางหลักการคิดยอน (reversibility) เชน กฎวา “จงอยาชวยคนที่ อดอยาก” คานทใหถามวาถาทานอดอยากทานตองการใหทําเชนนั้นหรือไม ดังนั้นกฎดังกลาวแมเปนกฎสากล ได แตเปนกฎสากลทางศีลธรรมไมได คําตอบนี้อาจแกปญหาได แตการตอบเชนนี้จะกลายเปนการนําผล การกระทํามาพิจารณาหรือไม ความคิดของพวกไมถือผลเปนหลักจึงเกิดปญหาสําคัญ 3 ขอคือ 1. เหตุใดเราจึงยังคงทําตามกฎอยูทั้ง ๆ ที่รูวากรณีนั้น ๆ เกิดผลรายอยางใหญหลวง 2. เราจะแกปญหาขอขัดแยงระหวางกฎที่มีความเปนกฎเทา ๆ กันไดอยางไร 3. ที่วากฎศีลธรรมจะตองไมมีขอยกเวนกฎดังกลาวมีจริงหรือในเมื่อพฤติกรรมและประสบการณ ของมนุษยแสนจะสลับซับซอน 3. พระพุทธศาสนาเปนประโยชนนิยมหรือไม ประโยชนนิยมเปนปรัชญาฝายถือผลเปนหลักถาพระพุทธศาสนาเปนประโยชนนิยมพระพุทธศาสนา ก็เปนฝายถือผลเปนหลัก พระพุทธศาสนาพูดเรื่องประโยชนซึ่งอาจทําใหตีความวาพระพุทธศาสนาเปน ประโยชนนิยม แตพระพุทธศาสนาก็อาจไมจัดเปนประโยชนนิยม ถาคําวา ประโยชนที่พระพุทธศาสนาใชมี ความหมายตางกับที่ประโยชนนิยมใช และพระพุทธศาสนาแมใชคําวาประโยชนนิยมในความหมายตางออกไป ก็อาจเปนพวกถือผลเปนหลักได ถาใชผลเปนเครื่องตัดสินการกระทําวาถูกหรือผิด แตจะอางวาพระพุทธศาสนา เปนฝายถือผลเปนหลักเพียงเพราะพระพุทธศาสนามีความจริงสูงสุดที่เปนจุดหมายอันบุคคลมุงปฏิบัติเพื่อจะ บรรลุนั้นหาไดไม เพราะยังไมเขาเกณฑการใชผลเปนเครื่องตัดสิน แนวคิดเกี่ยวกับประโยชนในพระพุทธศาสนา หลักเกี่ยวกับประโยชนพระพุทธศาสนาเรียกวา อัตถะ แปลวา ประโยชนผลที่มุงหมาย จุดหมาย ทานกลาวไว สองแง แงหนึ่งคือประโยชนแกใคร ไดแก
  • 126. 117 อัตตัตถะ ประโยชนตน ปรัตถะ ประโยชนตน อุภยัตถะ ประโยชนทั้งสองฝาย1 หลักประโยชนในแงนี้ยังอยูในขอบเขตของประโยชนนิยมและเปนการมุงผลวาจะใหประโยชนนั้น เกิดแกใคร ซึ่งเปนการถือผลเปนหลักในการพิจารณาการกระทําวา การกระทําที่ดีคือการกระทําที่เปนประโยชน แตเมื่อพิจารณาความหมายของประโยชนแลวทานแบงเปน ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชนปจจุบัน ประโยชนในโลกนี้ สัมปรายิกัตถะ ประโยชนเบื้องหนา ประโยชนในโลกหนา ภพหนา ปรมัตถะ ประโยชนสูงสุด จุดหมายสูงสุด2 ประโยชนทั้ง 3 ประการนี้พิจารณาในแงลําดับชั้นไดวาทิฏฐธัมมิกัตถะนั้นเปนประโยชนเฉพาะหนา ประโยชนที่ไดรับในปจจุบัน ประโยชนชั่วคราว เชนใหความชวยเหลือผูอื่นแลวไดรับการตอบแทนคุณ สัมปรายิกัตถะ เปนประโยชนที่สูงกวาซึ่งมีผลตอไปในภพหนา เชน การชวยเหลือผูอื่นเปนกรรมดี ทําใหคน ผูนั้นเปนคนดียิ่งขึ้น กรรมดีนี้สงผลใหไปเกิดดี เกิดในที่ดี มีความสุขความเจริญ การเปนคนดีเปนประโยชนที่สูง กวา แตการเปนคนดีก็สงผลไปในภพหนาคือ มีชาติมีภพที่ดีการไดรับการทําดีตอบแมทั้งสองอยางจะเปนเรื่อง ในปจจุบัน สวนปรมัตถะประโยชนนั้น เปนประโยชนสูงที่สุดไมวาชาตินี้ภพนี้หรือชาติหนาภพหนา ความดี สูงสุดหรือประโยชนสูงสุดไดแกนิพพาน ความดับกิเลสไดโดยไมเหลือ ประโยชนดังกลาวนี้ ถาเทียบกับประโยชนตามความเห็นของประโยชนนิยมนับวาตางกันมาก เพราะ ประโยชนนิยมนั้นเนนความสุขทางกายคือความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งหลาย เปนความสุขทางเนื้อหนังและ อารมณความรูสึก สุข ตามทัศนะของประโยชนนิยมคือ ความพึงพอใจ ทุกขคือความเจ็บปวดทรมานไม สบายกายไมสบายใจ อันเปนเรื่องของอารมณและความรูสึก พระพุทธศาสนาแบงความสุขออกเปน 2 ประเภทคือ สามิสสุข คือ ความสุขจากกามคุณ เปนความสุขทางวัตถุทางประสาทสัมผัส มีวัตถุแหง ประสาทสัมผัสคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เปนเครื่องลอใหแสวงหา ไมใชความสุขแทเปนความสุขที่มี ทุกขเจือปน หรือมีทุกขตามมา นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ไมเกี่ยวของกับกามคุณ เปนความสุขทางใจ เชน ความปลอดโปรงใจ ความสงบใจ ความพอใจที่ไดความรูที่ถูกตองเปนจริง1 ความสุข 2 แบบนี้บางครั้งทานแบงตามองคประกอบของมนุษยคือกายกับใจ เปน 1 สํ นิ. 16/67/35 2 ขุ อิติ 25/201/242 1 อง. ทุก. 20/313/101
  • 127. 118 กายิกสุข สุขทางกาย เจตสิกสุข สุขทางใจ2 เรื่องบุญกิริยาวัตถุ คือ เรื่องสิ่งที่จัดวาเปนการทําความดี หรือ วิธีที่จะทําความดี หนทางในการทํา ความดี ก็เปนเรื่องที่เห็นไดชัดวาพระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเรื่องการทําดีทางใจสูงกวาทางกายหรือ ทางวัตถุ ทานแบงระดับของการทําบุญซึ่งไดผลบุญแตกตางกันเปน 3 ระดับ ต่ําไปหาสูงโดยลําดับดังนี้ ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการใหปนสิ่งของ ถือเปนระดับต่ําสุด ไดบุญไมมาก สีลมัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการรักษาศีล ประพฤติตนดี คิด พูด ทําในสิ่งที่ดี เปนระดับกลาง ไดบุญมากกวาการใหทานมาก ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ ทําบุญดวยการปฏิบัติบําเพ็ญเพียรทางใจ ฝกจิตใจใหมั่นคงมีสมาธิและ เจริญปญญา เพื่อหลุดพนจากกิเลส เปนระดับสูงสุด ไดบุญมากกวาการรักษาศีลมาก1 เมื่อพิจารณาจากเรื่องที่กลาวมาทั้งหมด พระพุทธศาสนาดูเหมือนจะเปนฝายถือผลเปนหลัก แต พระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเจตนามากดวยเชนกัน และในกรณีทั่ว ๆ ไป ยังใหความสําคัญแกเจตนา มากกวาผล โดยถือวาการกระทําจะเปนกรรมก็ตองประกอบดวยเจตนาจะเปนกรรมดีหรือชั่วอยูที่เจตนาดี หรือชั่ว ดังเชนกรณีที่ภิกษุรูปหนึ่งนําหินขึ้นไปทําหลังคาแลวทําหินตกลงบนศีรษะภิกษุอีกรูปหนึ่งภิกษุรูปนั้น ถึงแกมรณภาพ พระพุทธองคทรงตัดสินวาภิกษุผูทําหินตกนั้นไมตองอาบัติปาราชิก ไมผิดฐานฆามนุษย ไม มีโทษทางพระวินัย แตกรณีที่ภิกษุที่ขึ้นไปทําหลังคาแกลงทําหินตก ถูกภิกษุอีกรูปหนึ่งถึงแกมรณภาพ การ กระทํานั้นเปนกรรมที่มีผลเพราะมีเจตนาฆาภิกษุนั้นตองอาบัติปาราชิก ตามตัวอยางดังกลาวนี้จะเห็นไดวาพระพุทธศาสนาใหความสําคัญแกเจตนามากกวาผล ในแงนี้ พระพุทธศาสนาจึงเปนฝายไมถือผลเปนหลัก ทําใหดูเหมือนพระพุทธศาสนาถือหลักสองหลักที่ขัดแยงกัน กรณีที่เจตนากับผลสอดคลองกันอาจจะตัดสินไดยากวาพระพุทธศาสนาอยูฝายใด แตกรณีตัวอยางดังกลาว จะเห็นไดชัดวา เมื่อเจตนากับผลขัดกัน พระพุทธศาสนานาจะตองเลือกเจตนา ในกรณีดังกลาวเมื่อเกิด ผลรายโดยไมเจตนาพระพุทธเจาไมทรงถือวามีผลดีหรือชั่ว เปนกรรมเกาของบุคคลผูรับผลนั้นเอง แตเมื่อมี เจตนารายและเกิดผลรายทานถือวาเจตนามีผลสมบูรณ ทานถือวาเปนการทํากรรมชั่วของผูกระทํา ในแงนี้ เจตนาของผูกระทําจึงเปนสิ่งสําคัญ ในกรณีดังกลาว แมหากหินที่ตั้งใจทําหลนไมถูกพระภิกษุรูปนั้นก็ตอง ถือวาเปนกรรมชั่วแลวเพราะเจตนาดังกลาว เนื่องจากทานแบง กรรมคือ การกระทําที่ประกอบดวยเจตนาดี หรือชั่วออกเปน 3 ประเภทคือ 2 อง. ทุก. 20/315/101 1 ที. ปา. 11/228/230
  • 128. 119 กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม1 การกระทําของพระภิกษุผูประทุษรายเปนทั้งมโนกรรมและกายกรรมจึงเปนการกระทําที่ผิด แมเพียง ตั้งใจจะประทุษราย แตมิไดทําเพราะโอกาสไมอํานวย หรือมีอุปสรรคอื่น ๆ ก็ถือวาเปนความผิดแลวโดยทางใจ การที่พระพุทธศาสนานับมโนกรรมไวเปนกรรมอยางหนึ่งยอมแสดงวาดีหรือชั่วเกิดขึ้นตั้งแตในใจจึงไดทรง ตัดสินโดยใชเจตนาเปนเครื่องวัดการกระทําและวัดคนผูมีเจตนานั้น ผลที่เกิดขึ้นเปนแตเพียงเครื่องพิจารณา ประกอบความผิดบาปแหงการกระทําวาสมบูรณหรือไม เกิดผลหนักเบาเพียงไร พระพุทธศาสนามิไดพิจารณาวาเมื่อผิดอยูที่เจตนา การกระทําก็ผิดเทากันทั้งหมด ถาเจตนาแต ไมไดทําก็ถือวาเจตนาแลวลงมือทํา ลงมือทําแลวไมเกิดผลก็ผิดนอยกวาเจตนาแลวเกิดผล เชน กรณี พระองคุลีมาลจะไปฆามารดานั้นเปนการเกิดเจตนาที่จะฆาซึ่งเปนมโนทุจริตแลว พระพุทธเจาเสด็จไปทรง ขัดขวางดวยพระกรุณาคุณที่จะไมใหองคุลีมาลทําผิด มาตุฆาตจึงไมเกิดขึ้น องคุลีมาลก็ไมผิดในแงกายทุจริต เพราะไมมีกายกรรมเกิดขึ้น นักคิดฝายตะวันตกมักจะคิดแบบสุดขั้ว มักจะแบงอะไร ๆ เปนขั้วที่สุดสองขั้ว เชน ดี ชั่ว ดํา ขาว โดยไมพิจารณาองคประกอบ ดังนั้นจึงมักจะเห็นวา ถาดีชั่วเปนคุณสมบัติของเจตนา แมไมเกิดผล ดี ชั่ว ก็ ตองสมบูรณเทากัน แตพระพุทธศาสนาถือวา ดีชั่วที่เกิดที่ใจก็เรื่องหนึ่ง ที่วาจา ที่กายก็เปนอีกเรื่องหนึ่งตาง กรรมกัน คนคิดจะฆา จะใหมีความหมายเทากับ คิดจะฆา และพูดวาจะฆาไดอยางไร คนที่คิดและพูดแต ไมไดฆาจะผิดเทากับ คิด พูด และลงมือฆาไดอยางไร ดวยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจึงมิไดตัดสินอยางดํากับ ขาว คือมิไดตัดสินโดย นิยามใหดี ชั่วไปอยูที่เจตนา หรือที่ผลการกระทําอยางใดอยางหนึ่งแตเพียงอยาง เดียว ไมมีความจําเปนอะไรที่จะตองคิดเรื่องนี้ในแบบแบงขั้วเด็ดขาดดังที่กลาวขางตน และในความเปนจริง ของกรรม และความรูสึกของคนโดยทั่วไปก็ไมมีความเอียงสุดเชนนั้น แมพระพุทธศาสนาจะใหความสําคัญ แกเจตนาจนถึงระดับที่แมไมมีผลเกิดขึ้น ความมีผลหรือไมมีผล ความมีผลเปนไปตามเจตนามากหรือนอย ไดนํามาคิดดวย เพราะการกระทํามีความสืบเนื่องตั้งแตตนไปจนจบวาอยูที่ใดระดับใด มิฉะนั้นเราคงตอง ลงโทษประหารชีวิตคนตั้งแตเขาคิดจะฆาผูอื่นเพราะความผิดดังกลาวครบถวนมีคาเสมอเทากับลงมือฆา เหยื่อ ถูกฆาแลวผูที่มีสติสัมปชัญญะและมีเหตุผลจะยอมรับความคิดเชนนี้ไดอยางไรดวยเหตุดังกลาวพระพุทธศาสนา จึงมีวิธีตัดสินการกระทําโดยใชเกณฑ (criteria) มากกวาจะใชหลักใดหลักหนึ่งเพียงหลักเดียวมาตัดสิน การ ใชเกณฑหมายความวาพิจารณาหลายหลักประกอบกันซึ่งผูมีเหตุผลยอมพิจารณาได เชนในกรณีดังกลาวสามารถ พิจารณาไดตั้งแตเมื่อมีเฉพาะเจตนาเพียงองคประกอบเดียวในระดับตาง ๆ ลักษณะการกระทําที่เปนไปตาม เจตนาหรือไม และผลที่เกิดขึ้นวามีมากนอยเพียงไร เปนผลจากการกระทําตามเจตนาหรือไม ดังนั้นเกณฑ ตัดสินการกระทําของพระพุทธศาสนาจึงประกอบดวย 1 ม. ม. 13/64/50
  • 129. 120 เจตนา การกระทําตามเจตนา ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทํา ความเห็นของนักปราชญ เกณฑดังกลาวแสดงใหเห็นความรอบคอบในการตัดสินการกระทําวาดี หรือ ชั่ว คือพิจารณา ตั้งแตเจตนาที่อยูในใจ แลวดูวามีเจตนาในคําพูด ในการกระทําดวยหรือไม การกระทํานั้นแสดงใหเห็น เจตนาอะไร อยางไร มากนอยเพียงไร และเกิดผลอะไร สมบูรณหรือไม ดีมากนอย หรือชั่วมากนอยเพียงไร การตัดสินของบุคคลเดียวก็ยังไมพอ ของฝูงชนก็ยังไมพอ ตองมีการวินิจฉัยจากนักปราชญคือผูเชี่ยวชาญ ในเรื่องนั้นและวินิจฉัยโดยความเปนธรรม หากนักปราชญสรรเสริญ การวินิจฉัยของเราก็มั่นใจได หาก นักปราชญตําหนิก็ตองพิจารณาใหมใหรอบคอบ มติที่เนนทั้งเจตนาและผลนี้อาจทําใหพระพุทธศาสนาไมเปนฝายใดเลยเพราะการแบงเปนฝายถือ ผลกับไมถือผลนั้นเปนการแบงแบบสุดขั้วดังกลาวมาแลว ทําใหความคิดอื่น ๆ ซึ่งเปนจริงไมอาจเขากลุมได และความจริงการแบงแบบนี้ก็ไมจําเปน แตหากจะใหพิจารณาวาพระพุทธศาสนานาจะอยูในกลุมใดมากกวา พระพุทธศาสนาก็นาจะอยูในกลุมที่ไมถือผลเปนหลัก เพราะกําหนดวาความผิดเกิดขึ้นตั้งแตมีเจตนาเกิดขึ้น ในใจ
  • 130. 121 บทที่ 8 ความรูกับความเชื่อ เราไดพูดถึงเรื่องตาง ๆ ที่คนเชื่อวา “จริง” ซึ่งมีทั้ง “จริง” ที่รูไดทางประสาทสัมผัส และที่รูไดดวย วิธีอื่น ๆ เชน เหตุผลและอัชฌัติกญาณ (intuition) ความรูจากประสาทสัมผัสนั้นพวกวัตถุนิยมเชื่อวาจริง แตก็ มีผูคัดคานวาไมจริง เชน คัดคานวาประสาทสัมผัสบางครั้งก็หลอกลวงเราเชน เห็นทางรถไฟบรรจบกันหรือเห็น ฟากับทะเลเชื่อมตอกันที่เสนขอบฟา เห็นตอไมเปนคนในเวลากลางคืนเปนตน สวนความรูโดยอัชฌัชติกญาณ เชนพระเจานั้นพวกจิตนิยมเชื่อวาจริง แตพวกวัตถุนิยมเห็นวาเปนความเชื่อ อะไรที่ฝายใดเชื่อวาจริง การรู เกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ก็ถือเปนความรู อะไรที่ฝายใดไมเชื่อวาจริง การรูเกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ ก็ถือเปนความเชื่อ 1. ความรูจากประสบการณ (Empirical Knowledge) ความรูจากประสบการณคือความรูที่ไดจากการรับรูทางประสาทสัมผัส ความรูเริ่มแรกของมนุษย คือความรูทางประสาทสัมผัส ทารกรับรูสัมผัสของแม และมองเห็นปลาตะเพียนที่แขวนบนเปล รับรูกลิ่น และรสของอาหาร มนุษยรูจักโลกภายนอกกอนที่จะสนใจศึกษาธรรมชาติภายในตัว มองเห็น ไดกลิ่น ลิ้มรส และสัมผัสสิ่งตาง ๆ ที่อยูรอบตัวตั้งแตลมที่พัดมากระทบ จนถึงดวงอาทิตยและดวงดาวที่อยูหางไกล ประสาท สัมผัสจึงเปนเครื่องมือในการรับรู และความรูจากประสบการณทางประสาทสัมผัสเปนความรูที่มากมาย มหาศาลที่เปนขอมูลในการดําเนินชีวิตของมนุษย มนุษยจึงเชื่อโดยปกติวาโลกแหงประสาทสัมผัสเปนโลกที่ เปนจริง และมนุษยไดความรูโดยอาศัยประสาทสัมผัส เรารูจักและสามารถอยูกับโลกภายนอกตัวเราได ประสาทสัมผัสบางอยางยังรับรูสิ่งที่เกิดภายในตัวดวย เชน การสัมผัสมีทั้งสัมผัสโดยผิวหนังภายนอกและ โดยพื้นผิวและประสาทสัมผัสภายใน เชน อาหารที่สัมผัสกระพุงแกม ความเย็นของมินทที่สัมผัสไดในลําคอ ประสาทสัมผัสทั้งหา ซึ่งรับสัมผัสนี้ สงความรูสึกไปตามเซลลประสาทสูสมอง เมื่อพูดถึงประสาทสัมผัสทั้งหา ในปจจุบันเราจึงหมายรวมถึงการทํางานของสมองดวย ความรูสึกภายในที่อาจไมไดมาจากภายนอก เชน ปวด ศีรษะ เจ็บในขอ ปวดระบมที่กลามเนื้อหรือเอ็น ก็นับเปนความรูสึกทางประสาทสัมผัสดวยเชนกัน อวัยวะ ภายในของเราก็มีความรูสึกและชวยควบคุมตัวเรา เชนอวัยวะภายในหูทําใหเราทรงตัวไดอยางสมดุลและบอก เราวาเรากําลังเคลื่อนไปทางซายมือหรือทางขวา ประสาทสัมผัสของเราทั้งสวนภายนอกและภายในจึงใหขอมูล และทําใหเราดํารงชีวิตไดอยางปกติทั้งในความสัมพันธกับโลกภายนอก และในการควบคุมการทํางานภายใน รางกายตลอดจนความรูสึกนึกคิดซึ่งทั้งหมดนี้เปนโลกภายในตัวเรา แมวาประสาทสัมผัสจะใหขอมูลแกเราอยางมหาศาลและเปนสวนสําคัญในการดําเนินชีวิตของเราและ คนสวนใหญก็เชื่อวาประสาทสัมผัสใหความจริงแกเราแตเราก็ไมอาจเชื่อประสาทสัมผัสไดเสมอไปเพราะประสาท สัมผัสอาจใหขอมูลที่ไมจริง หรือการตีความขอมูลทางประสาทสัมผัสอาจผิดพลาด คนสวนใหญไมคอยได คํานึงถึงเรื่องนี้และมักจะเชื่อประสาทสัมผัสอยางมักงาย เรามักจะพูดวาถาจะใหเชื่อวาจริงก็ตองมองเห็นได โดยที่ลืมไปวาบางครั้งสิ่งที่มองเห็นได หรือสิ่งที่ “เห็นไดชัด” ก็ไมใชสิ่งที่เปนจริง
  • 131. 122 ความรูโดยประสบการณหรือโดยประสาทสัมผัสโดยตรงนั้นมีขอจํากัดคือความสามารถหรือสมรรถภาพ ของประสาทสัมผัสของมนุษยมีจํากัดเชนสุนัขมีประสาทในการดมกลิ่นดีกวามนุษยมากความรูจากประสบการณ ของมนุษยจึงจํากัดดวยเหตุดังกลาว แตมนุษยก็มีความสามารถในการสรางเครื่องมือเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ ของประสาทสัมผัสเชนสรางเลนสที่ทําใหเห็นไดไกล และขยายขนาดใหใหญ สรางเครื่องมือที่รับพลังงานซึ่ง เปนสิ่งที่มองเห็นไมไดดวยตาเปลา ขอมูลจากอุปกรณและเครื่องมือที่สรางขึ้นนี้ก็นับเปนขอมูลทางประสาท สัมผัสดวย 1.1 ลักษณะของความรูที่มาจากประสบการณ สัตวและคนตางก็มีประสาทสัมผัส ประสาทสัมผัสของสัตวดูเหมือนจะมีคุณภาพดีกวาประสาท สัมผัสของคน แตสัตวก็หาความรูจากประสบการณไดไมมากนัก เชนเมื่อเคยไดรับอันตรายจากสิ่งใดก็จะกลัว สิ่งนั้นและไมเขาใกล แตไมอาจคิดหาวิธีปองกันอื่นหรือไมคิดหาวิธีนํามาใชประโยชนอยางที่มนุษยสามารถ กระทําได การที่มนุษยหาความรูจากประสบการณไดดีกวาสัตวเพราะมนุษยสามารถมองเห็นและเลือกลักษณะ ที่ซ้ํา ๆ กัน ซึ่งเปนลักษณะสําคัญของปรากฏการณและยังเห็นความสัมพันธกันของลักษณะเหลานั้นอยางเปน ระบบ ซึ่งทําใหมนุษยสามารถเขาใจวาปรากฏการณนั้น ๆ ประกอบดวยอะไรและสิ่งเหลานั้นสัมพันธกัน อยางไร เหมือนคนที่ดูฟุตบอลโดยไมรูกฎของการเลนฟุตบอลมากอน เมื่อสังเกตนาน ๆ เขาก็รูวาอะไรทําได อะไรทําไมได คนเลนแตละฝายมีกี่คน กี่ตําแหนง แตละตําแหนงมีหนาที่อยางไร นั่นคือรูวิธีเลน รูความสัมพันธ ระหวางตําแหนงตาง ๆ และรูกฎของการเลนฟุตบอล ทั้งหมดนี้เปนนามธรรมซึ่งสังเกตจากรูปธรรมคือคนที่วิ่ง หยุดและเตะลูกในสนาม กรรมการที่เปานกหวีด ชี้มือและยกใบแดง ใบเหลือง ความรูคอย ๆ เกิดขึ้นจนรูกฎ สมบูรณและสามารถอธิบายกฎได คนไมเคยอานกฎมากอน แตสามารถสรางกฎขึ้นในใจซึ่งตรงกับกฎที่ผู เลนฟุตบอลปฏิบัติอยูได กฎวิทยาศาสตรก็เปนเชนเดียวกันคือเปนกฎที่ไดมาจากการสังเกตประสบการณแลวอาศัยประสบการณ ที่สังเกตไดเปนฐานในการอางเพื่อสรุปลักษณะทั่วไปหรือลักษณะสากลคือลักษณะที่ปรากฏรวมในทุกปรากฏการณ ที่สังเกต และใชลักษณะรวมที่สรุปไดเปนกฎสําหรับอธิบายปรากฏการณเชนเดียวกันนั้นซึ่งจะเกิดในอนาคต กฎที่มาจากการสังเกตนี้อาจเปนการเขาใจผิดก็ได ที่วานี้เปนกฎที่ไมตายตัวเปนเพียงกฎ “ที่เปนไปได” กลาวคือเปนกฎที่เราจะใชไปตราบเทาที่ยัง สอดคลองกับสิ่งที่เราสังเกต เชน พืชจะเติบโตไดตองอาศัยแสงแดด ปลาวาฬสีเทาอพยพในเดือนมีนาคม ไขนกกางเขนมีสีฟา แสงเดินทางดวยความเร็ว 186,000 ไมลตอวินาที ไฟจะไมติดถาขาดออกซิเจน กฎที่วานี้แทจริงก็เปนเพียงความเชื่อ เชนเราอาจเคยเห็นไขนกกางเขนมานับเปนพัน ๆ รัง ทุกรังมี สีฟาทั้งสิ้นแตเราจะแนใจไดอยางไรวานกกางเขนอื่นๆที่เราไมไดเห็นไมมีไขสีอื่นขอความที่สรุปจากประสบการณ หรือความรูที่มาจากประสบการณเปนความรูที่มาจากขอมูลในอดีตและเราไมอาจยืนยันไดวาไมมีขอมูลอื่นที่เรา ไมไดสังเกต หรือไมมีขอมูลชนิดนั้นในอนาคตที่ไมเหมือนสิ่งที่เคยเกิดในอดีต ความรูจากประสบการณจึง
  • 132. 123 เปนความรูที่ไมตายตัว แมเราจะเรียกความรูนี้วาความจริง ก็เปนความจริงที่อาจถูกหรือผิดได (contingent truth) มิใชความจริงตายตัวหรือความจริงที่ตองเปนเชนนั้น (necessary truth) ขอความที่มาจากประสบการณ เนื่องจากเปนการสังเคราะหคือรวบรวมจากประสบการณ เราเรียกขอความชนิดนี้วา ขอความสังเคราะห (synthetic statement) ซึ่งใหความจริงแบบไมตายตัว หรือเปนความรูแบบไมตายตัว (contingent knowledge) ซึ่งที่จริงเปนเพียงความเชื่อที่มีขอมูลสนับสนุนเทานั้นวิทยาศาสตรก็ดี สังคมศาสตรก็ดี ลวนเปนความรูชนิดนี้ สังคมศาสตรนั้นเห็นไดชัดวาเปนเพียงความรูที่ “อาจเปนไปได” เพราะวิธีการสําคัญของสังคมศาสตรก็คือ การใชสถิติ และสถิตินั้นเปนเรื่องความคาดคะเน ประมาณการ หรือความเปนไปได มิใชเรื่องความแนนอน ตายตัว 1.2 การพิสูจนความรูทางประสบการณ สิ่งที่เปนความจริงเราเรียกวาความรู ตัวประสบการณที่เราพบก็ดี กฎเกณฑที่ไดจากประสบการณ ก็ดีเราถือวาเปนความจริงและจัดเปนความรูจากประสบการณ แตเราจะรูไดอยางไรวา ขอความที่เกี่ยวกับ ประสบการณนั้นขอความใดจริง ขอความใดไมจริง ขอความที่เกี่ยวกับประสบการณจะเปนขอความที่เปน จริงก็เมื่อสอดคลองกับประสบการณ เชน ถามีขอความวา “โลกมีแรงดึงดูด” ถาปรากฏวาทุกครั้งที่เราโยน สิ่งใดขึ้นไป สิ่งนั้นจะตกกลับลงมายังพื้นโลกเสมอ ขอความดังกลาวก็จริง แตถามีขอความวา “นกกางเขน จะอพยพในเดือนธันวาคม” แตไมปรากฏวานกกางเขนอพยพขอความดังกลาวก็เท็จ ตามที่อธิบายมานี้จะ เห็นไดวาคนทั่วไปที่เชื่อประสบการณมักเชื่อวาขอความจะเปนจริงเมื่อพิสูจนไดดวยประสบการณ การสรุป ความจริงของขอความโดยการพิสูจนวาจริงนี้เรียกวาทฤษฎีพิสูจนวาจริง (verification theory) นักปรัชญา ชื่อ A.J. Ayer เปนคนสําคัญคนหนึ่งที่เชื่อทฤษฎีนี้ แอรมีความเห็นวาขอความที่มีความหมายมีเพียง 2 ชนิด คือ ขอความวิเคราะห (analytic statement) กับขอความสังเคราะห (synthetic statement) ขอความสอง ประเภทนี้มีความหมายก็เพราะสามารถพิสูจนวาเปนจริง (verify) ได สวนขอความอื่น ๆ ไมมีความหมาย เพราะพิสูจนวาเปนจริงไมได ขอความวิเคราะหเปนขอความที่พิสูจนวาจริงไดดวยคํานิยาม (definition) กลาวคือขอความชนิด นี้เปนขอความที่พูดแบบกําปนทุบดิน รูปแบบปกติของขอความแบบกําปนทุบดินก็คือ ก คือ ก เชน คนก็คือ คน รูปแบบที่อําพรางการซ้ําดังกลาวก็คือใชคําคําอื่นซึ่งมีความหมายเทากันหรือมีความหมายนั้นในคําที่พูด ถึงเชน “คนโสดคือคนที่ไมมีคูครอง” “ไมมีคูครอง” เปนความหมายของ “โสด” ดวยเหตุนี้ขอความดังกลาว จึงเปนขอความที่แยงตัวเองเมื่อปฏิเสธ เชน “คนโสดมีคูครอง” เปนขอความที่แยงตัวเอง เพราะ “โสด” นิยามวา “ไมมีคูครอง” การพูดวามีคูครองจึงเปนการแยงคําวาโสด ความจริงของขอความประเภทนี้มาจาก การนิยาม เชน ขอความวา “คนโสดคือคนที่ไมมีคูครอง” เปนจริงตามคํานิยามของคํา “โสด” ความจริง ดังกลาวมิไดมาจากประสบการณไมตองมีประสบการณมาพิสูจน แตจริงโดยไมตองดูประสบการณ จึงเรียกวา ความจริงกอนประสบการณ (a priori truth) และขอความชนิดนี้เรียกวาขอความกอนประสบการณ (a priori statement) และการพิสูจนความจริงโดยนิยามก็ทําไดดวยการวิเคราะหนิยามของคํา
  • 133. 124 ขอความสังเคราะหเนนขอความที่คําซึ่งกลาวถึงในขอความเปนคําที่ใชแทนความคิดเกี่ยวกับประสบการณ ที่สังเคราะหขึ้นเปนมโนทัศน (concept) เชน โตะ เกาอี้ เปนคําที่ใชเรียกความคิดเกี่ยวกับประสบการณที่ รวมลักษณะของวัตถุกลุมหนึ่งคือ “ไม หรือ วัสดุอื่น ที่มีรูปรางเปนทรงเรขาคณิตหรือทรงอื่น ประกอบดวย พื้นเรียบมีขารองรับ ใชสําหรับวางหรือรองเขียนหนังสือ หรือวางสิ่งของ” ที่ทําเครื่องหมายไวในประโยค ดังกลาวคือคําที่แทนประสบการณซึ่งนํามารวมกันเปนประโยค ขอความสังเคราะหพูดถึงประสบการณ ความหมายของขอความจึงไดแกสิ่งที่ขอความนั้นพูดถึง การพิสูจนวาขอความประเภทนี้จริงหรือไมจึงตองดูวาประสบการณกับขอความที่ตองการพิสูจนสอดคลองกัน หรือไม เชน “แมงมุมเปนสัตวที่มี 8 ขา” พิสูจนวาจริงไดโดยการดูแมงมุมวามีจํานวนขาเชนนั้นหรือไม ถามี จํานวนดังกลาวขอความก็จริงถาไมเปนดังนั้นขอความก็เท็จ การที่ขอความประเภทนี้พิสูจนวาจริงไดโดยอาศัย ประสบการณ ความหมายของขอความจึงมาจากประสบการณและขอความดังกลาวตองอาศัยประสบการณ กอนจึงจะบอกวาจริงหรือเท็จได จึงเรียกวาขอความหลังประสบการณ (a posteriori statement) ขอความที่ เกี่ยวกับโลกก็คือขอความชนิดนี้ สวนขอความวิเคราะหเปนขอความที่เกี่ยวกับความคิดและการวิเคราะห ความคิด ไมไดพูดอะไรเกี่ยวกับโลกแหงประสบการณ ขอความประเภทอื่นเชนขอความทางจริยศาสตรหรือขอความทางเมตาฟสิกส เชน “พระเจาทรงรัก โลก” “ก. เปนคนดี” เหลานี้เปนขอความที่ไรความหมาย (nonsense) “พระเจา” พิสูจนไมไดดวยประสบการณ จึงไมเปนจริง ดังนั้นจึงรักโลกไมได “ก. เปนคนดี” ก็มีความหมายไมตางจาก “ก. เปนคน” สวน “ดี” เปนแต เพียงคําที่ใชแสดงความรูสึกเชิงเห็นดวย ไมตางอะไรกับเครื่องหมาย ! ที่แสดงความตื่นเตนตกใจ หรือ ? ที่ใช แสดงความฉงนหรือมีปญหา การที่แอรคิดเชนนี้ก็เพราะแอรเชื่อความจริงชนิดเดียวคือความจริงทางประสบการณหรือความจริง ทางประสาทสัมผัสขอความเกี่ยวกับสิ่งที่ไมอยูในขอบเขตประสาทสัมผัสจึงเปนขอความที่ไรความหมายบางครั้ง ก็เรียกวา ขอความเทียม (pseudo statement) คือดูโดยรูปแบบเหมือนขอความที่มีความหมาย แตที่จริงไมมี ความหมาย1 2. ความรูกอนประสบการณ (A priori knowledge) ความรูกอนประสบการณเปนความรูอีกชนิดหนึ่งซึ่งเปนความรูที่เกี่ยวของกับธรรมชาติ ความรูชนิด นี้เปนความจริงที่จําเปนหรือตายตัว (necessary truth) ซึ่งตรงขามกับความจริงตามประสบการณที่เปนความ จริงแบบไมตายตัว อาจจริงหรือไมจริงก็ได (contingent truth) ความรูชนิดนี้มีสวนเกี่ยวของกับธรรมชาติ เชนเดียวกับความรูชนิดหลังประสบการณที่เราไดศึกษากันมาแลว ความจริงกอนประสบการณซึ่งเปนความจริงตายตัวนี้เรารูจักและยอมรับกันมาแลวเชน สองบวก สองเปนสี่ เสนขนานไมมีวันบรรจบกัน มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมรวมกันเทากับสองมุมฉาก ความจริง 1 อานเพิ่มเติมใน A.J. Ayer. Language truth and Logic Middlesex : Pelican Books. 1971.
  • 134. 125 ดังกลาวนี้เปนจริงเสมอ เราไมอาจคัดคานได ความจริงประเภทนี้เปนความจริงในศาสตรที่นักวิชาการสมัยกอน เรียกวาศาสตรที่แนนอน (exact sciences) เชน คณิตศาสตร และตรรกวิทยา ความรูเหลานี้แนนอนเสียจน ปฏิเสธไมได เชนเรารูวารางรถไฟขนานกัน เมื่อเราเห็นรางรถไฟบรรจบกัน เราไมเชื่อตามที่ตาเห็น แตเราจะ คิดวาภาพที่เห็นเปนภาพลวงตา ภาพที่ปรากฏทางประสาทสัมผัสหรือประสบการณไมอาจนํามาใชคัดคาน ขอความนี้ได เราสามารถแยงความจริงชนิดนี้ไดดวยเหตุผลโดยไมตองใชประสบการณใด ๆ บุคคลสําคัญที่พูดถึงความรูแบบตายตัววาสัมพันธกับโลกภายนอกหรือธรรมชาติก็คือพิธากอรัส (Pythagoras) ตั้งแตเมื่อศตวรรษที่ 6 กอนคริสตศักราช ทานผูนี้ไดวางรากฐานของเลขคณิตและเรขาคณิต ซึ่งชวยพัฒนาวิชากลศาสตร ตอมาพิธากอรัสเชื่อวาดวยวิธีการทางคณิตศาสตร เราสามารถหาความจริง สากลได ทฤษฎีที่เรียกวา ทฤษฎีของพิธากอรัส เปนตัวอยางของความจริงชนิดนี้ ทฤษฎีดังกลาวคือ “จตุรัส บนดานทแยงของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากมีคาเทากับผลบวกของจตุรัสบนอีกสองดาน” นอกจากนั้นยังมีเรื่อง เลาเกี่ยวกับพิธากอรัสวา วันหนึ่งเขาเดินผานไปทางรานชางเหล็กและไดยินเสียงตีเหล็กซึ่งมีเสียงสูงต่ําตาง ๆ กัน เมื่อเขาไปดูเขาสังเกตวาเสียงต่ํามาจากการตีดวยคอนที่มีน้ําหนักมาก สวนเสียงแหลมมาจากคอนที่เล็ก และเบากวา จากการสังเกตเขาพบวามีความสัมพันธระหวาง น้ําหนักกับเสียง นั่นคือมีความสัมพันธระหวาง คณิตศาสตรกับระดับเสียงตาง ๆ เชนเดียวกับที่เขาเคยคนพบวาเสียงดนตรีที่มีระดับตางกันมาจากความ สั่นสะเทือนซึ่งแตกตางกันตามความยาวของสาย สิ่งที่พิธากอรัสพบนี้กาลิเลโอไดสรุปวา “หนังสือคือธรรมชาติ นั้นเขียนดวยภาษาคณิตศาสตร” กลาวคือปรากฏการณธรรมชาติอธิบายไดดวยคณิตศาสตร ความคิดนี้ ทําใหคนตะวันตกสามารถเขาใจธรรมชาติไดอยางลึกซึ้ง การคนพบดังกลาวแสดงวาความจริงสัมบูรณ (absolute truth) มิไดมีลักษณะเปนความจริงที่ ปรากฏทางประสาทสัมผัส แตเปนความจริงที่อยูในใจ ซึ่งทําใหปธาโกรัสสรุปวาความจริงของจักรวาลมิใช ความจริงทางวัตถุ แตเปนหลักการทางคณิตศาสตรซึ่งเปนนามธรรม เขากลาววา “สวรรคและจักรวาลอันเรา เห็นไดนี้ลวนแตเปนมาตราแบบดนตรี หรือเปนระบบจํานวน” ในปจจุบันนักวิทยาศาสตรยังคนหากฎธรรมชาติ ซึ่งเปนกฎที่มีความสัมพันธเชิงคณิตศาสตรและเราสามารถคาดคะเนอนาคตหรือแมแตคนพบความจริงทางวัตถุ ไดดวยคณิตศาสตร เชนการคํานวณวงโคจรของดาวเคราะห และการคํานวณระยะและตําแหนงของดวงดาว ในอวกาศ ความรูเกี่ยวกับธรรมชาติทั้งแบบหลังประสบการณและกอนประสบการณทําใหเกิดปญหาแกเรา แตกตางกัน ความรูทางประสบการณมีปญหาคือเราไมอาจมีความมั่นใจในเรื่องใด ๆ ไดอยางสมบูรณเลย บางครั้งเราไมรูดวยซ้ําไปวาเมื่อไรจึงควรมั่นใจได เชน ขอมูลจํานวนเทาใดจึงจะทําใหขอสรุปนาเชื่อหรือ เชื่อถือได กฎวิทยาศาสตรเปนสิ่งที่เรายังใชกันอยู แตก็มีกฎที่ถูกยกเลิกไปแลว ซึ่งทําใหเราไมอาจมั่นใจได เต็มที่วากฎที่เราใชอยูนี้จะเปนกฎที่ถูกตองตลอด สวนความรูกอนประสบการณก็กอปญหาแกเราเชนกัน ทําไมกฎคณิตศาสตรจึงเปนกฎเกี่ยวกับ ธรรมชาติได กฎคณิตศาสตรซึ่งสอดคลองกับธรรมชาตินั้นแสดงวาธรรมชาติมีระเบียบอยางคณิตศาสตรหรือ
  • 135. 126 วาเปนเพียงเหตุบังเอิญเฉพาะกรณี เรายังคงไมรูอะไรอีกมากเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางระบบความคิดที่ เปนนามธรรมกับระบบของธรรมชาติที่เปนรูปธรรมการที่ทั้งสองระบบดูสอดคลองกันนั้นเปนเพราะวาคณิตศาสตร กับธรรมชาติตรงกันจริง ๆ คือสามารถอธิบายธรรมชาติไดดวยคณิตศาสตรดวยเหตุที่ทั้งสองระบบสัมพันธ กันเปนระบบ หรือวาเปนแตเพียงเราสามารถนําคณิตศาสตรมาใชอธิบายธรรมชาติได กลาวคือ 2+2=4 เปน ความจริงของจักรวาล หรือเราสามารถนํา 2+2=4 มาอธิบายจักรวาลได โดยที่เราอาจใชระบบอื่นอธิบายก็ได และการใช 2+2=4อธิบายจักรวาลเปนวิธีคิดเพื่อประโยชนทางปฏิบัติแบบหนึ่ง เปนการนําเอาประสบการณมา จัดระเบียบ ขอที่นาคิดก็คือระบบความคิดที่เปนนามธรรมนี้อาจจะคิดไดวาไมเกี่ยวของกับขอเท็จจริงทางธรรมชาติ เชนสมสองผลรวมกับสมสองผลเปนสมสี่ผลแตแมไมมีสมอยูในโลก2+2 ก็ยังคงเปน4 โดยไมจําเปนตองระบุ ไดวา 2 อะไร หรือ 4 อะไร แตระบบนามธรรมดังกลาวมีอํานาจในการทํานายอนาคตจริง นักคณิตศาสตร อาจคํานวณสิ่งที่จะเกิดในอนาคตโดยที่สิ่งนั้นยังไมเกิดเชนคํานวณการโคจรของดาวหางบางดวงที่จะมายัง โลกครั้งตอไปไดอยางแมนยํา หากระเบียบของจักรวาลไมสอดคลองกับคณิตศาสตรแลวการคํานวณที่ถูกตอง ดังกลาวจะเกิดขึ้นไดอยางไร 3. การทดสอบความจริง เราไดกลาวถึงการทดสอบความจริงไปบางแลวในหัวขอกอน ๆ โดยเฉพาะวิธีพิสูจนวาจริง เชน การ พิสูจนขอความตามความคิดของ แอร การทดสอบความจริงเปนเรื่องสําคัญ เพราะขอความที่เราใชอางเหตุ ผลไดคือขอความที่จริงหรือเท็จได และขอความดังกลาวนั้นก็คือขอความที่เรายอมรับหรือปฏิเสธได เชนเรา เชื่อวาสิ่งที่ปรากฏตอประสาทสัมผัสเปนจริง และเรามีขอความที่กลาวถึงประสบการณทางประสาทสัมผัส เชน “ดอกไมในแจกันทั้งหมดสีแดง” ขอความนี้อาจจะจริงหรือเท็จก็ได เราจะทดสอบไดอยางไรวาขอความ นี้จริงหรือเท็จ ขอความแตละประเภทก็อาจมีวิธีทดสอบความจริงที่แตกตางกัน การทดสอบความจริงของ ขอความที่เปนที่ยอมรับกันแบงออกเปน 3 วิธี ซึ่งเหมาะแกขอความแตละประเภทที่สัมพันธกับวิธีการนั้น ๆ 3.1 การตรวจสอบโดยความสอดคลองกับขอเท็จจริงทางประสบการณ (The correspondence Test) วิธีที่นิยมกันมากที่สุดในการทดสอบความจริงก็คือ การตรวจสอบจากประสบการณ วิธีการนี้รัสเซลล (Bertrand Russell) ไดเสนอไว คือใหตรวจสอบความคิดที่อยูในใจกับสิ่งหรือเหตุการณที่เกิดขึ้น หากมโนทัศน กับสิ่งหรือประสบการณที่เกิดขึ้นสอดคลองกันก็ถือไดวามโนทัศนนั้นจริง เชนถามีผูมาบอกวาเกาอี้ตัวโปรด ของเราขาหักเสียแลว และเมื่อเราไปดูก็ปรากฏวาเกาอี้ขาหัก คําพูดของผูที่มาบอกก็เปนความจริง แตถาเกาอี้ ยังอยูในสภาพเดิมคําพูดดังกลาวก็เท็จ เหตุการณตาง ๆ สวนใหญก็ตรวจสอบไดโดยวิธีนี้ ถาพนักงานบอก วาสินคาที่ทานกําลังหาอยูที่ชองถัดไป ทานก็ตรวจสอบไดโดย “ไปดู” ที่ชองนั้น ถามีสินคาดังกลาวคําพูดก็ จริง ถาไมมีก็เท็จ “มีคนใสเกลือลงไปในกระปุกน้ําตาล ตรวจสอบไดโดย “ชิมดู” “ชีพจรของเขาเตนผิดปกติ” ตรวจสอบไดโดย “จับชีพจร” “เนื้อนี้กลิ่นไมดีแลว” ตรวจสอบไดโดย “ดมดู” ละมุดผลนี้ สุกแลว ตรวจสอบได โดย “กดดูวานิ่มหรือไมและดมดูวาหอมหรือไม”
  • 136. 127 การตรวจสอบดวยวิธีนี้มีขอควรระวังคือ ประการแรกมโนทัศนกับปรากฏการณมิไดสอดคลองกัน อยางสมบูรณทุกแงทุกมุม ภาพในใจเปนสิ่งที่ใจเราสรางขึ้นตามความตองการหรือความสนใจ จึงเลือก ลักษณะเพียงบางสวนบางอยางมารวมกันเขาเปนรูปเปนราง ที่จะใชในการคิดเรื่องนั้น ๆ ได และสิ่งที่อยูใน โลกแหงประสาทสัมผัสก็ถูกประสาทสัมผัสของเราบิดเบือนได เราอาจสรุปไดแตเพียงวาเมื่อระดับของความ สอดคลองระหวางมโนทัศนกับสิ่งภายนอกสูง ความนาเชื่อวาจะเปนจริงก็สูง เมื่อความสอดคลองระหวาง มโนทัศนกับสิ่งภายนอกต่ําความนาเชื่อวาจะเปนเท็จก็สูง และเราตัดสินจริง หรือเท็จตามระดับความนาเชื่อ ดังกลาว ประการที่สองตามความเปนจริงการรับรูทางประสาทสัมผัสของเรามิใชการรับรูโลกภายนอกโดยตรง เชนเรารับรูรูปรางของเกาอี้ ในลักษณะเปนภาพของเกาอี้ที่ปรากฏตอตาของเรามิไดรับรูตัวเกาอี้โดยตรง เมื่อเรา สัมผัสเกาอี้เราก็รับรูความเย็น ความแข็ง ความเรียบ รูปทรง ซึ่งเปนความรูสึกของเราตอเกาอี้ การเปรียบเทียบ ภาพในใจของเรากับสิ่งภายนอกจึงเปนเพียงการเปรียบเทียบภาพในใจกับความรูสึกทางประสาทสัมผัสของเรา ที่มีตอสิ่งภายนอก เราเพียงแต “เชื่อวา” ความรูสึกของเราจะสอดคลองหรือเปน “ตัวแทน” ของสิ่งภายนอก โดยเราไมอาจเปรียบเทียบมโนทัศนกับสิ่งภายนอกวาสอดคลองกันหรือไมไดจริงตามที่เราตองการการเปรียบเทียบ จึงเปนการเปรียบเทียบมโนทัศนซึ่งเปนสิ่งที่เกิด“ในใจ”กับความรูสึกทางประสาทสัมผัสซึ่งก็เปนสิ่งที่เกิด “ในใจ” ดวยกัน หากมีความสอดคลองกันถึงระดับหนึ่งเราก็ตัดสินวา “จริง” หากไมสอดคลอง หรือระดับความ สอดคลองยังไมสูงพอก็ตัดสินวา “เท็จ” การตรวจสอบดวยวิธีนี้จึงเปนวิธีที่มิไดใหความแนนอนเต็มที่ 3.2 การตรวจสอบโดยดูความเขากันไดอยางกลมกลืน (The Coherence – Test) การตรวจสอบ ดวยวิธีนี้เปนการแกปญหาของการตรวจสอบดวยวิธีดูความสอดคลองกับโลกภายนอกดังกลาวขางตน ซึ่งเปน การใชขอเท็จจริง (fact) เปนเครื่องตัดสิน การดูความเขากันไดอยางกลมกลืนเปนการพิจารณาวาขอเท็จจริง จะถือไดวาเปนความจริงก็ตอเมื่อเขากันไดอยางกลมกลืนกับขอเท็จจริงอื่น ๆ ที่ไดรับการยอมรับวาจริงเชนกัน เชนถามีขอความวา “มีปลาฉลามในแมน้ําปง”ขอความนี้เราไมจําเปนตองตรวจสอบดวยการดูความสอดคลอง กับขอเท็จจริงในโลกภายนอกเพราะขอเท็จจริงที่วาปลาฉลามเปนปลาน้ําเค็มซึ่งอยูในน้ําจืดไมไดและขอเท็จจริง ที่วาแมน้ําปงเปนแมน้ําที่น้ําจืด ขอความที่ยืนยันขอเท็จจริงวา มีปลาฉลามในแมน้ําปงจึงเขากันไมไดกับ ขอเท็จจริง 2 ขอที่กลาวแลว จึงตัดสินไดวาขอความดังกลาว “เท็จ” แตถามีขอความวา “มีกุงมังกรในอาวไทย” เราจะใชวิธีดูความเขากันไดดังกลาวไดยาก เพราะกุงมังกรอยูในน้ําเค็มทั้งอาวไทยและทะเลอันดามันตางก็ มีน้ําเค็ม แมวาเราจะรูมากอนวากุงมังกรอยูในทะเลอันดามัน ก็ไมเปนการเขากันไมไดกับขอความวามี กุงมังกรในอาวไทย เวนแตจะมีขอเท็จจริงอื่นที่ทําใหกุงมังกรไมอาจอยูในทะเลอื่นไดนอกจากทะเลอันดามัน “กําสรวลศรีปราชญแตงในสมัยสมเด็จพระนารายณมหาราช” ขอความนี้ไมสอดคลองกับขอเท็จจริง หรือขอความวา “การเดินทางของบุคคลในเรื่องกําสรวลศรีปราชญไปตามแมน้ําเจาพระยาซึ่งปจจุบันคือ คลองบางกอกนอยและคลองบางกอกใหญ” กับขอเท็จจริงหรือขอความวา“แมน้ําเจาพระยาสวนที่ตัดระหวาง ปากคลองบางกอกนอยกับปากคลองบางกอกใหญขุดในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชกอนสมัยสมเด็จ พระนารายณมหาราช” และ “ไมมีใครที่ตองการเดินทางออม” และหากมีขอเท็จจริงแยงวา “การเดิน
  • 137. 128 ทางออมก็เพื่อใหผานสวนผลไมที่ตองการซื้อไวเปนเสบียง” แตขอเท็จจริงดังกลาวก็จะแยงกับขอเท็จจริง ที่วา “ตลอดริมฝงแมน้ํายานธนบุรีเปนสวนผลไม” และ “เสบียงดังกลาวสามารถเตรียมมาจากกรุงศรีอยุธยา ได” และ “ระยะทางที่ออมกินเวลามากเกินกวาควรจะเสียเวลา” การตรวจสอบดวยความเขากันไดอยางกลมกลืนวิธีที่ใชหาความรูไดอยางกวางขวางโดยเฉพาะใน กรณีที่ไมอาจใชการสังเกตโดยตรงตามวิธีตรวจสอบจากความสอดคลอง ความรูที่สําคัญซึ่งตองอาศัยวิธีการนี้ ไดแก ประวัติศาสตร ซึ่งเปนเรื่องที่ผานมาแลวและไมอาจยอนไปสังเกตหรือมีประสบการณตรงไดกับ เหตุการณ ปจจุบัน ที่เราไมมีประสบการณโดยตรง ตองอาศัยขอมูลจากสื่อตาง ๆ ซึ่งขอมูลเหลานั้นบางขอมูลอาจเท็จ หรือเปนขอมูลที่เสกสรรปนแตงขึ้น และเราตองตรวจสอบขอมูลหรือขอเท็จจริงนั้นดวยขอมูลหรือขอเท็จจริง อื่นที่เรารูวาจริง อันตรายของการใชวิธีตรวจสอบจากการดูความเขากันไดก็คือ ขอเท็จจริงใหมซึ่งเท็จอาจเขากันได ดีกับขอเท็จจริงชุดเดิมที่เท็จและเราเชื่อ หรือขอเท็จจริงใหมซึ่งจริงอาจเขากันไมไดกับขอเท็จจริงชุดเดิม ทําให เชื่อวาขอเท็จจริงใหมนั้นเท็จนอกจากนั้นการปนขอเท็จจริงใหเขากันไดอยางกลมกลืนเปนระบบก็เปนสิ่งที่ทําได นักปรัชญา นักเทววิทยา นักรัฐศาสตร นักเศรษฐศาสตร นักประวัติศาสตรลวนแตเปนผูที่มีความสามารถใน การปนขอมูลใหเขากันเปนระบบ แมแตการสรางอุดมการณ (ideology) คือความคิดอันเปนจุดหมายสูงสุด พรอมทั้งวิธีปฏิบัติที่จะไปสูจุดหมายนั้นก็เปนสิ่งที่นํามาเชื่อมโยงกับขอเท็จจริงทางประวัติศาสตรและสังคมแลว ทําใหเกิดประวัติศาสตรทฤษฎีใหมขึ้นดังเชนกรณีการอธิบายประวัติศาสตรแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism)ของมารกซ เปนตนระบบทั้งหมดอาจเขากันไดอยางกลมกลืนดียิ่ง แตสอดคลองกับความเปนไป ของโลกเพียงเล็กนอย 3.3 การตรวจสอบดวยหลักปฏิบัตินิยม (The Pragmatic – Test) การตรวจสอบดวยหลักปฏิบัติ นิยมมีสวนคลายกับการตรวจสอบดวยการดูความเขากันไดอยางกลมกลืนในแงที่ไมตองดูความสอดคลอง กับโลกภายนอกแตพิจารณาตามหลักการซึ่งเปนความคิดลวน ๆ คือดูสมเหตุสมผลตามหลักตรรกวิทยา คําวา ปฏิบัติตามความหมายที่นักปฏิบัตินิยมใช เปนคําที่มีความหมายเฉพาะมิไดใชในความหมาย กวางดังที่ใชกันอยูทั่วไป คนจํานวนมากมักเขาใจผิดวาลัทธิคําสอนใดที่มีการปฏิบัติก็เปนปฏิบัตินิยมทั้งหมด คําวา “ปฏิบัติ” ที่ใชในลัทธิปฏิบัตินิยมเปนคําที่ใชอธิบายเรื่องความหมายของคํา และเรื่องความจริงกับการ ทดสอบความจริง ไมเกี่ยวกับการปฏิบัติอื่น เชน การปฏิบัติราชการ การปฏิบัติศีลธรรม การปฏิบัติตรงตาม ทฤษฎีหรือไม การปฏิบัติตอกันระหวางบุคคลในสังคม การปฏิบัติการรบ การปฏิบัติตอคนไข ฯลฯ การเขาใจ ที่มาของคําคํานี้อาจชวยใหเขาใจคําวา “ปฏิบัติ” ตามความหมายเฉพาะของปฏิบัตินิยมไดชัดเจน แนวคิดเกี่ยวกับปฏิบัตินิยมเกิดจากความคิดของเพิรซ (Charles S. Peirce) ซึ่งไดตีพิมพบทความ เพื่อตอบคําถามวา “ความคิดมีความหมายได เพราะอะไร” ในป ค.ศ. 1878 เขาสนใจที่มาและลักษณะของ ความหมายขอสรุปของเขาก็คือ“ความคิดจะมีความหมายเมื่อทําใหเกิดสิ่งที่แตกตางจากเดิมขึ้นในประสบการณ ของเรา” “ความคิดของเราเกี่ยวกับสิ่งใดก็คือความคิดของเราเกี่ยวกับผลทางประสาทสัมผัสของสิ่งนั้น” เชนถา
  • 138. 129 เราพูดวา “น้ําแข็งเย็น” หรือ “เปลวไฟรอน” ความคิดทั้งสองนี้มีความหมายก็เพราะความคิดดังกลาวสัมพันธ กับประสบการณที่เราจะไดรับเมื่อแตะตองน้ําแข็งหรือเปลวไฟ ซึ่งเปนสิ่งที่คาดคะเนและปฏิบัติแลวเกิดผลตาม การคาดคะเนได หากไมสามารถแตะตองน้ําแข็งหรือเปลวไฟได ขอความดังกลาวก็ไรความหมาย คําอธิบายดังกลาวขางตนเปนเพียงทฤษฎีเกี่ยวกับความหมายมิไดยืนยันอะไรเกี่ยวกับความจริงเจมส (William James) เปนผูที่มองเห็นวาทฤษฎีความหมายดังกลาวเทากับบอกวิธีตรวจสอบความจริงไวดวยในตัว ในป ค.ศ. 1898 เจมสไดเสนอทฤษฎีปฏิบัตินิยมของเขาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอรเนีย เบอรกลีย วา “คา ความจริงของความคิดใด ๆ กําหนดไดจากผลของความคิดนั้น ความคิดที่เปนจริงนําไปสูผลที่ปรารถนา” อาจสรุปความคิดนี้ไดวา “ถาความคิดใดใชปฏิบัติการได ความคิดนั้นก็จริง” เพิรซเรียกทฤษฎีของเขาวา Pragmatism ครั้นทราบวาเจมสเปลี่ยนทฤษฎีความหมายของเขาไป เปนทฤษฎีการตรวจสอบความจริง เขาก็รูสึกไมพอใจ เขาจึงเปลี่ยนชื่อทฤษฎีความหมายของเขาเสียใหมวา Pragmaticism ซึ่งเขากลาววานาเกลียดพอที่จะไมมีใครแอบลักขโมยทฤษฎีของเขาไปอีก ปจจุบันเราเรียก ทฤษฎีของเจมส และ ดิวอี้ (Dewey) วา Pragmatism และเรียกทฤษฎีของเพิรซวา Pragmaticism วิธีตรวจสอบแบบปฏิบัตินิยมเปนวิธีที่ใชในการแกปญหาแบบลองถูกลองผิด ซึ่งเราใชกันอยูใน ชีวิตประจําวัน เปนวิธีดูวาความคิดและสมมติฐานที่เราตั้งไวใชไดหรือไม เชน รถยนตของทานเกิดเครื่องดับ กะทันหัน ทานคิดวาเปนเพราะขั้วแบตเตอรี่หลวม จึงลองขยับขั้วแบตเตอรี่ดูปรากฏวาไมหลวม ลองบีบแตร แตรก็ดัง สมมติฐานที่ตั้งไวจึงเปนสมมติฐานที่ไมจริงตามทฤษฎีปฏิบัตินิยม ทานตั้งสมมติฐานใหมวาอาจ เปนเพราะคอยลเสื่อม ทานจับคอยลดูก็ไมรอนจัด และทานทดสอบไฟฟาที่จายจากคอยลไปยังหัวเทียนก็ ปรากฏวาปกติ แสดงวาสมมติฐานของทานผิดอีกครั้งหนึ่ง ความคิดของทานจึงไมเปนความจริงตามทฤษฎี ปฏิบัตินิยม เพราะไมเกิดผลตามที่คาดไว เผอิญทานเหลือบไปเห็นเข็มวัดความรอนของเครื่องยนตขึ้นสูง มากและนึกไดวากอนเครื่องดับ เครื่องมีอาการน็อค ทานจึงสรุปวาน้ําในหมอน้ําอาจเหลือนอยเมื่อทานดูที่ ใตทองรถก็ปรากฏวามีน้ํารั่วจากทอน้ําที่มีรอยราว ตามทฤษฎีปฏิบัตินิยมสมมติฐานสุดทายของทานเปน ความจริง นั่นคือสิ่งที่ใชไดผลคือสิ่งที่จริง เจมสกลาววาวิธีทดสอบความจริงเพียงอยางเดียวของปฏิบัตินิยมก็คือดูวาอะไรที่ใชการไดดีที่สุด หากความคิดทางเทววิทยาสามารถเปนเชนนั้นได หากความคิดเรื่องพระเจาสามารถพิสูจนไดวา ใชการได ปฏิบัตินิยมจะปฏิเสธความมีอยูของพระเจาไดอยางไร ไมมีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธวาความคิดที่ใชปฏิบัติได สําเร็จผลเปนความคิดที่ “ไมจริง” ปญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความคิดนี้ก็คือ การที่ความคิดหรือสมมติฐานใดสามารถใหผลไดจริงในทาง ปฏิบัตินั้น เปนเพราะความคิดดังกลาวเปนจริงหรือวาเพราะปฏิบัติไดจึงเปนจริง หากเชื่อวาเพราะจริงจึงใช ปฏิบัติไดผล การปฏิบัติไดผลก็เปนเครื่องทดสอบความจริงได แตไมจําเปนตองเปนเชนนั้นเสมอไป เชน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต เชื่อวา “ถาประหารชีวิตคนที่วางเพลิงอัคคีภัยจะเกิดนอยลง” จึงสั่งประหารชีวิตคน ที่วางเพลิงทุกครั้งที่จับได ปรากฏวาอัคคีภัยเกิดนอยลงจริง ๆ หากคิดแบบปฏิบัตินิยมขอความขางตนก็เปน
  • 139. 130 ความจริง แตการประหารชีวิตดังกลาวอาจจะไมทําใหอัคคีภัยนอยลง หากมีผูทําใหเกิดเพลิงไหมโดยประมาท เพิ่มขึ้น และดวยความคิดดังกลาวขางตน ผูประมาทบางคนอาจถูกสงสัยและถูกประหารชีวิตในขอหา วางเพลิงทั้ง ๆ ที่มิไดทําเชนนั้น จึงเปนการทําใหเกิดผลสําเร็จในดานหนึ่งแตเกิดความเสียหายในอีกดานหนึ่ง ขอความดังกลาวจะนับวาจริงหรือเท็จ การที่ปฏิบัติไดผลแลวจึงยืนยันวาความคิดเปนจริงใชไดกับวิธีหาความจริงแบบลองถูกลองผิด แต ก็อาจไมเปนจริงได เชน ประธานาธิบดีปกจุงฮีปกครองแบบเผด็จการแลวทําใหเกาหลีเจริญ” ขอความนี้เปน จริงตามทฤษฎีปฏิบัตินิยม ซึ่งก็หมายความวา การปกครองแบบเผด็จการเปนการปกครองที่ทําใหประเทศ เจริญ นั่นคือหากขอความดังกลาวเกิดผลจริงทฤษฎีปฏิบัตินิยมจะมีประโยชนก็เมื่อตั้งเปนกฎได แตเราจะเห็น ไดวาตั้งเปนกฎไมได แตถาไมตั้งเปนกฎคือจริงเฉพาะกรณีประธานาธิบดีปกจุงฮี การยืนยันความจริงของ ขอความก็ไมมีประโยชนเพราะเปนสิ่งที่เกิดแลว ไมจําเปนตองหาหลักอะไรมายืนยันอีก การพิสูจนความจริงแบบปฏิบัตินิยม เมื่อพิจารณาในเชิงตรรกวิทยาเทากับเปนการพิสูจนจากผล ไปหาเหตุ คือเอาผลที่เกิดจริงไปยืนยันวาเหตุที่อางจริง แตผลอาจเกิดจากเหตุดังกลาวหรือจากเหตุอื่นก็ได ในทางกลับกันเรามักพิสูจนความจริงของเหตุโดยดูวาเมื่อมีเหตุดังกลาวแลวเกิดผลเสมอไปหรือไมคือดูทั้งเหตุ และผลที่สัมพันธกันหลาย ๆ ครั้ง และอาจดูวาเมื่อไมมีเหตุนั้นผลยังคงเกิดหรือไม เพราะอาจมีสิ่งอื่นที่เปน ขอมูลที่ไมไดสังเกต เชน “เศรษฐกิจดี คนจึงมีเงินจับจายใชสอยมาก” ถาพิจารณาจากหลักการปฏิบัตินิยม เมื่อพบวาคนมีเงินจับจายใชสอยมากก็อาจยืนยันวาขอความดังกลาวจริง แตตามความเปนจริงเศรษฐกิจ อาจไมดี แตรัฐกระจายเงินลงไปสูประชาชนทําใหมีเงินจับจายใชสอยมาก ซึ่งไมหมายความวาเศรษฐกิจดีจริง วิธีการของปฏิบัตินิยมไมอาจใชหาความจริงได และการตรวจสอบสิ่งที่เชื่อวาจริง โดยดูผลก็ไมอาจบอกไดวา ความสัมพันธระหวางเหตุกับผลในขอความที่พิสูจนเปนความสัมพันธที่แทจริงหรือไม การตรวจสอบแบบปฏิบัตินิยมอาจใชไดดีในการลองถูกลองผิด และในการลองถูกลองผิดก็ตองรู ขอมูลจํานวนมากที่สุด จึงจะใชวิธีปฏิบัตินิยมไดดี และ “ความจริง” ในความหมายที่พวกปฏิบัตินิยมใชก็ เปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามผลที่คาดไวหรือตั้งความปรารถนาไว ซึ่งถาเปนเชนนั้นก็ตั้งกฎไมได และการ พิสูจนความจริงก็ไมมีประโยชนเพราะหากเกิดผลแลวก็รูอยูแลวไมมีความจําเปนตองยืนยันความจริงของขอความ นั้นๆอีกขอความที่เกี่ยวกับความจริงเชนวิทยาศาสตร หรือจริยศาสตร ไมอาจพิสูจนไดดวยวิธีการปฏิบัตินิยม ซึ่งไมถือวามีอะไรที่เปนความจริงที่แนนอนตายตัว 4. ที่มาอื่น ๆ ของความรู นอกจากความรูที่มาจากประสบการณและความรูกอนประสบการณซึ่งมีวิธีตรวจสอบความเปนจริง ของความรูแบบตาง ๆ ดังกลาวแลว ยังมีความรูจากแหลงอื่นซึ่งมีผูเชื่อวาเปนความรูดวยเชนกัน และมักมีการ อางถึงและโตแยงกันเกี่ยวกับความรูเหลานั้น จึงควรนํามากลาวโดยสังเขปดังตอไปนี้ 4.1 แหลงขอมูลที่อางได (authority) แหลงขอมูลที่อางไดอาจเปนบุคคล หรือเอกสารในรูปแบบ ตาง ๆ ซึ่งเปนแหลงของขาวสาร ขอมูล ความรูที่เกิดจากความคิด การอธิบาย การตีความ ทฤษฎี แหลงขอมูล
  • 140. 131 ซึ่งเราถือวาเปนแหลงที่นาเชื่อถือหรืออางไดนั้นเปนความรูซึ่งเราไมไดพบเองโดยตรง แตอาศัยประสบการณ หรือความคิดของผูอื่นซึ่งอาจถัดจากเราไปชั้นเดียว สองชั้น สามชั้น หรือสืบทอดกันมาหลายชั้น ยิ่งหางไกล จากประสบการณตรงของเรามากชั้นเพียงไร ก็ยิ่งนาเชื่อถือนอยลง เพราะการอธิบายตอ ๆ กันมานั้นมี โอกาสที่ขอมูลเปลี่ยนแปรไปได และการสืบคนวาขอมูลเปลี่ยนที่ชั้นไหน หรือเปนขอมูลเท็จหรือไมเปนเรื่องที่ ทําไดยาก การพึ่งความรูของผูอื่นเปนเรื่องจําเปน เพราะเราไมอาจมีประสบการณตรงไดในหลาย ๆ เรื่อง เชน เหตุการณในประวัติศาสตร เหตุการณทางชีววิทยาที่เปนเหตุการณพิเศษซึ่งเกิดซ้ําไดยาก ประสบการณในที่ที่ เรายากจะไปถึง ประสบการณในเรื่องที่เราไมมีความรูที่จะวิเคราะหและวินิจฉัยได ความรูในตําราและความรู ที่ครูสอน ที่พอแมเลาใหฟง ลวนเปนความรูที่เรามีโอกาสมีประสบการณตรงไดยาก ความรูเหลานี้หากจะเชื่อ ก็ตองตรวจสอบกอน แมวาบางกรณีที่แหลงขอมูลขัดกันเราอาจตรวจสอบไดยาก และเลือกเชื่อฝายใดฝาย หนึ่งไดยาก โดยเฉพาะความรูที่เราไมเคยมีประสบการณหรือไดศึกษามากอน เรารับความรูชนิดนี้เปนอันมาก เพราะมนุษยไดสรางและสะสมมานับเปนเวลารอย ๆ ป จึงเปนไป ไมไดที่คนคนเดียวในปจจุบันจะมีความรูที่คนในอดีตมากมาย พากเพียรคนหาและสะสมมาตลอดชีวิตของเขา รุนแลวรุนเลาไดอยางบริบูรณ แมความรูเพียงบางสวนก็ยังเปนเรื่องยากที่จะมีประสบการณตรงได แตเมื่อ จะตองรับความรูที่ผูอื่นสรางสมไว ก็จําเปนตองตรวจสอบอยางรอบคอบ 4.2 สัญชาตญาณ (instinct) สัญชาตญาณเคยเปนคําที่นิยมใชอธิบายรูปแบบของพฤติกรรมของ มนุษยและสัตว ซึ่งเปนพฤติกรรมที่มิไดเกิดจากการสั่งสอน เชน สัตวที่พรากจากแมตั้งแตยังเล็ก เมื่อมีลูกก็ เลี้ยงลูกและเลี้ยงลูกเปน นกกระจาบและผึ้งทํารังเหมือน ๆ กัน แตก็มีพฤติกรรมบางอยาง เชนการ รวมกันลาสัตวของสิงโต และหมาไน ซึ่งไมอาจแนใจไดวาเปนพฤติกรรมจากการเรียนรูสืบทอดกันมาหรือเปน สัญชาตญาณ พฤติกรรมบางอยางของคน เชน การเลี้ยงลูก เปนสัญชาตญาณของแมหรือเปนผลจากการ อบรมโดยการกลอมเกลาทางสังคม ในปจจุบันเราอางความรูชนิดนี้นอยลง และใหความสําคัญแกการศึกษา อบรมมากขึ้น แตเรื่องนี้ก็เปนเรื่องสําคัญในจิตวิทยาแบบของฟรอยดซึ่งยังคงเปนคําอธิบายในเรื่องที่ยังหา คําตอบไดไมชัดเจน เชนเรื่องสัญชาตญาณความตาย (deathinstinct) หรือการทําตามแรงขับทางเพศ 4.3 ประสบการณเหนือผัสสะ (Extrasensory Perception หรือ Supersensory Perception) ประสบการณเหนือผัสสะ เปนคําที่พูดถึงประสบการณพิเศษของคนบางคน ที่ชัดเจนเหมือนผานทางผัสสะ เชน เห็นภาพเหตุการณในอนาคตโทรจิตลางสังหรณ เรื่องนี้มีทั้งบุคคลที่เปนพยานยืนยันและมีนักวิทยาศาสตร สนใจพิสูจนกันมาก (คลายความสนใจในเรื่อง UFO) นิยมใชศัพทยอวา ESP ประสบการณชนิดนี้ที่สําคัญ ไดแก ประสบการณที่พนประสาทสัมผัสซึ่งเกิดแกบุคคลที่ปฏิบัติธรรม เชน ตาทิพย หูทิพย เห็นสิ่งที่มีสภาวะ เปนจิต เชน ผีสางเทวดา ความรูชนิดนี้จัดเปนความรูและมีวิธีการศึกษาและฝกฝน เชนความรูที่พนขอบเขต ของประสาทสัมผัส และอยูในขอบเขตของจิต ผูที่เชื่อเรื่องจิตยังใหความสําคัญแกความรูชนิดนี้ การรูโลก ของแบบ (Idea หรือ Form) ของเปลโตก็คอนไปในลักษณะนี้ แตความรูชนิดนี้ก็เปนเรื่องที่ตรวจสอบได
  • 141. 132 เฉพาะกลุมผูที่ฝกฝนเรื่องจิต มิใชความรูที่จะตรวจสอบไดทั่วไป เราจึงไมรูแนวาความรูชนิดนี้มีจริงหรือไม และ ผูที่อางวารูมีประสบการณเหนือผัสสะจริงหรือไม 4.4 การระลึกชาติ (Anamnesis หรือ Recollection) การระลึกชาติเปนความรูที่สืบเนื่องมาจาก ชาติกอน เชนในแนวคิดของ ปธาโกรัสและเปลโต ในศาสนาพราหมณ ความคิดเรื่องนี้มาจากความคิดเรื่อง การเวียนวายตายเกิด ในปรัชญาตะวันตกความคิดเกี่ยวกับความรูที่ติดตัวมาตั้งแตเกิด (innate idea) เนน ปญหาญาณวิทยาที่โตแยงกันในสมัยใหม แตในปจจุบันปญหานี้มีผูสนใจนอยลง 4.5 อัชฌัติกญาณ (intuition) อัชฌัติกญาณ เปนความรูที่เกิดขึ้นเองโดยไมผานประสบการณ การคิดหรือการอางเหตุผลใด ๆ เปนความคิดใหมที่เกิดขึ้นโดยไมไดอางเหตุผลจากความคิดที่มีอยู เชน การ ตรัสรูของพระพุทธเจา การรูแจงที่เกิดจากขบปริศนาแตกตามความคิดของพุทธศาสนาแบบเย็น ความคิด สรางสรรคทางศิลปะ เปนตน ปญหาของความรูแบบนี้คือคาดไมไดวาเมื่อไรจะเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นหรือไม และ เดสการต (Descartes) เปนนักปรัชญาผูหนึ่งที่ใหความสําคัญแกความรูชนิดนี้ 4.6 การเปดเผยของพระเจา (Revelation) ความรูแบบนี้เปนความรูที่เชื่อกันในศาสนาเทวนิยม เชน คําทํานายของเทพอพอลโลในศาสนาของชาวกรีก การเปดเผยของพระเจาในคริสตศาสนาและ ศาสนาพราหมณ ปญหาของความรูแบบนี้ก็คือไมอยูในอํานาจของมนุษย ตองขึ้นกับพระเจาหรือสิ่ง เหนือธรรมชาติที่มีอํานาจ
  • 142. 133 บทที่ 9 ปรัชญาในวิถีชีวิต ปญหาปรัชญาสาขาตาง ๆ ที่ไดกลาวมาแลวเปนปญหาที่เกี่ยวของกับมนุษยทั้งสิ้น เปนคําถาม และคําตอบในระดับวิชาการก็มี ในระดับความเชื่อก็มี ความคิดความเชื่อที่แตกตางกันทําใหสามารถแบง คนตามกลุมความคิดความเชื่อได เชน เปนวัตถุนิยม เปนจิตนิยม เชื่อในความจริงสากล ไมเชื่อในความจริง สากล ใหความสําคัญแกเหตุผลมาก ใหความสําคัญแกประสาทสัมผัสมาก การเขาใจความคิดความเชื่อ ดังกลาวก็ทําใหเขาใจมนุษยมากขึ้น ความแตกตางทางความคิด ความเชื่อและการกระทําเปนสิ่งที่วิเคราะห ไดในเชิงปรัชญา ปรัชญาสาขาที่เราเพิ่งกลาวไปคือจริยศาสตรยิ่งเปนสาขาที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของมนุษย ยิ่งกวาสาขาตาง ๆ ที่ไดกลาวมาแลว ในที่นี้จะยกปญหาทางจริยศาสตรที่เกี่ยวของกับวิถีชีวิตมนุษยมาสัก ปญหาหนึ่ง เพื่อจะใหเห็นวาจริยศาสตรเขามาเกี่ยวของกับชีวิตอยางไร และเพื่อเปนแนวทางใหเห็นการ วิเคราะห การโตแยงและการตอบปญหาทางจริยศาสตร ซึ่งจะชวยใหเขาใจจริยศาสตรยิ่งขึ้นและสามารถ ศึกษาปญหาเชิงประยุกตอื่น ๆ ตอไป ในสังคมไทยซึ่งเปนสังคมพุทธเรารูจักศีล5กันเปนอยางดี ศีลขอแรกคือพึงละเวนการฆาสัตว เรามัก พูดเรื่องนี้กันอยางกวาง ๆ ไมคอยไดวิเคราะหแยกแยะลงไปสูกรณีเฉพาะตาง ๆ ซึ่งเมื่อวิเคราะหแลวอาจเกิด ความคิดที่แตกตางกันได ปญหาเรื่อง การทําลายชีวิตมนุษย เปนปญหาหนึ่งทางจริยศาสตรที่ประกอบดวย ปญหายอยๆแตละปญหามีการโตแยงและคําตอบที่แตกตางกันหลักการพื้นฐานทางจริยศาสตรที่เปนที่มาของ ปญหานี้ก็คือความคิดวา ชีวิตมนุษยเปนสิ่งที่มีคามากที่สุด การทําลายชีวิตจึงเปนสิ่งที่ผิดหรือชั่ว การรักษา ชีวิต การทําใหชีวิตดํารงอยูเปนความถูกตองและดี ศาสนาตาง ๆ สอนเชนนี้และการเชื่อในทางตรงขาม นับเปนความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฐิ แตเราก็อาจตั้งคําถามไดวา เปนความจริงอยางไมมีขอแมเลยหรือไมวา ไมมีสักกรณีเดียวที่การทําลายชีวิตเปนสิ่งที่ถูกตองหรือควรกระทํา เชนการทําลายชีวิตผูที่กําลังจะเอาชีวิต เรา การทําลายชีวิตโจรที่กําลังจะใชระเบิดฆาคนจํานวนมาก การทําลายชีวิตผูรายที่ฆาเด็กเพื่อกินตับ เชน กรณีซีอุยเมื่อสี่สิบปกวาที่แลว การที่ทหารฆาขาศึกในสมรภูมิ กรณีเหลานี้และอาจมีกรณีอื่น ๆ อีกมากที่ การทําลายชีวิตเปนเรื่องที่มีทั้งผูที่เห็นดวยและไมเห็นดวย เราจะลองเลือกมาพิจารณาสักสองสามปญหา 1. ปญหาการฆาตัวตายหรืออัตวินิบาตกรรม (Suicide) เราอาจยอมรับวาการฆาตกรรมเปนสิ่งที่ผิดเพราะการฆาตกรรมเนนการเอาชีวิตผูอื่นซึ่งเราไมมีสิทธิ กฎหมายจึงถือเปนการละเมิดสิทธิในชีวิตของผูอื่น พระพุทธศาสนาอาจตอบตางออกไป เชนตอบโดยหลักการ วาจงอยาทําแกผูอื่นในสิ่งที่ไมตองการใหผูอื่นทําแกเรา คือชีวิตใครใครก็รัก เรารักชีวิตเราและไมอยากให ใครทํารายหรือทําลายเราก็ไมควรทําเชนนั้นแกผูอื่น หรืออาจตอบโดยหลักหนทางที่เปนอุปสรรคแกการไปสู นิพพานคือการฆาทําใหคนคุนเคยกับการทําตามโทสะซึ่งเปนอกุศลมูลมากขึ้น การตกเปนทาสของโทสะ
  • 143. 134 เปนอุปสรรคของความหลุดพน แตถาเราฆาตัวเองโดยเราเต็มใจจะถือวาผิดหรือไม หรือถาเรายอมตายเพื่อ ผูอื่นหรือเพื่อสิ่งที่สําคัญเชนประเทศชาติ การฆาตัวตายในกรณีเชนนั้นจะนับเปนสิ่งนาสรรเสริญหรือไม นักปรัชญาบางคนสนับสนุนความคิดนี้ เชน ฮิวม (Hume) แตบางคนก็คัดคานเชน คานท (Kant) 1.1 เหตุผลคัดคานวาการฆาตัวตายผิดศีลธรรม เหตุผลที่ใชแยงการฆาตัวตายมีอยู 4 ขอคือ การฆาตัวตายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล เหตุผลจาก ฝายศาสนา เหตุผลแบบกระทบตอเนื่อง และเหตุผลในดานความยุติธรรม 1.)การฆาตัวตายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล เหตุผลคัดคานการฆาตัวตายประการหนึ่งก็คือ การโตแยงวาเปนการกระทําที่ไรเหตุผล หรือ เปนการกระทําของคนที่มีความผิดปกติทางจิตหรืออารมณ ไมมีคนปกติคนใดที่คิดฆาตัวตาย การฆาตัวตายไมวากรณีใด ๆ ไมมีเหตุผลทั้งสิ้นและเปนการกระทําที่ผิด ศีลธรรม การฆาตัวตายเนื่องจากจิตใจผิดปกติเชนเปนโรคจิตแบบซึมเศราอาจนับเปนการกระทําที่ไรเหตุผล แตการฆาตัวตายของผูที่ไตรตรองอาจไมใชการกระทําที่ไรเหตุผล การฆาตัวตายของ สืบ นาคะเสถียร จะนับเปนการกระทําที่ไรเหตุผลหรือไม การตัดสินใจดื่มน้ําเฮมล็อกของโสกราตีสซึ่งแมจะเปนการลงโทษ ประหารชีวิต แตหากโสกราตีสตองการหนีก็สามารถหนีไปได กรณีดังกลาวโสกราตีสไมหนีและยอมดื่มน้ํา เฮมล็อก กรณีนี้โสกราตีสเปนคนจิตใจผิดปกติที่เลือกตายมากกวาหนีหรือไม โสกราตีสอางเหตุผลมากมายจน คนอื่น ๆ ไมสามารถโตแยงได การกระทําของโสกราตีสจึงไมนาจะจัดอยูในขายเปนการกระทําที่ไรเหตุผล1 อาจจะมีผูไมเห็นดวยกับเหตุผลของโสกราตีสแตยากที่จะปฏิเสธวาคําพูดของโสกราตีสไมมีเหตุผล กรณีของผูที่วิ่งเขารับกระสุนแทนคนอื่นหรือลงนอนทับระเบิดเพื่อรักษาชีวิตคนสวนใหญ นอกจาก ไมใชการกระทําที่ไรเหตุผลแลวบางคนยังถือวาการฆาตัวตายเชนนั้นเปนเกียรติและเปนความกลาหาญ แมแต กรณีที่คนฆาตัวตายเพราะเห็นวาชีวิตของตนทําประโยชนแกสังคมไมได หรือตองทนทุกขทรมานแสนสาหัส ก็มีผูเห็นวาการกระทําเชนนั้นไมผิดหรือนาสรรเสริญ แมวาจะมีผูไมเห็นดวยกับความคิดดังกลาว แตก็พูด ไมไดวาการกระทํานั้นทําโดยไรเหตุผล 2.)เหตุผลจากฝายศาสนา ศาสนาสวนใหญเห็นวาการฆาตัวตายเปนสิ่งที่ผิดเชนในคริสต ศาสนาถือวาชีวิตของมนุษยมิใชของตนแตเปนของพระเจา มนุษยจึงมิไดมีสิทธิในชีวิตอยางแทจริง ตาม ทรรศนะของคานทนอกจากมนุษยไมมีสิทธิฆาตัวตายเพราะชีวิตมิใชของตนแลวมนุษยยังมีหนาที่ในฐานะที่ เปนมนุษยคือหนาที่ทางศีลธรรม การฆาตัวตายเปนการละทิ้งหนาที่จึงเปนการกระทําที่ผิด มนุษยมีสิทธิ์ใน ชีวิตตนเฉพาะสิทธิในการรักษาชีวิต การทําลายชีวิตเปนการใชสิทธิในชีวิตทําลายสิทธิในชีวิตซึ่งเปนเหตุผล ที่แยงตัวเอง แมแตตนไมก็ยังรักษาตัวเองเมื่อเกิดแผล สัตวพยายามรักษาแผลเพื่อจะมีชีวิตอยู หากคนเรา ตองตัดแขนหรือขาเพื่อรักษาชีวิตก็นับเปนการใชสิทธิในชีวิตอยางถูกตอง เพราะเปนการยอมเสียอวัยวะเพื่อ รักษาชีวิต แตการฆาตัวตายไมเปนเชนนั้น คนที่ฆาตัวตายเลวรายยิ่งกวาพืชและสัตว 1 อานเหตุการณตอนนี้ไดใน”ไครโต” (Crito) ของเปลโต
  • 144. 135 พระพุทธศาสนาซึ่งไมใชศาสนาที่นับถือพระเจา มีความเห็นวาการฆาตัวตายก็เทากับการฆา คน เพราะเปนการทําลายชีวิตคน แมคนผูนั้นคือตนเองก็ตาม คนที่ฆาตัวตายไดถือวามีจิตใจโหดเหี้ยมและ เปนคนมีจิตเศราหมอง จึงทําลายไดแมชีวิตที่ตัวเองรักที่สุด จิตใจเชนนี้จะตองไปเกิดในภพและภูมิต่ํา นําไปสูความทุกขยิ่งกวา ทานวาคนเชนนี้จะตองเกิดมาฆาตัวตายอีก 500 ชาติ คนเชนนั้นยังกระทําโดยไม คํานึงถึงคนรอบขางที่รักและมีบุญคุณแกตนหรือเปนบุคคลที่ตองพึ่งพาอาศัยตน ทําใหคนเหลานั้นมีทุกข เปนกรรมซ้ําซอนขึ้นไปอีก ควรจะเอาชีวิตไปทําสิ่งที่มีคาไดอีกมาก ดีกวาตายเสียอยางไรประโยชน ตายดวย ความไมเขาใจความจริงของชีวิต เหตุผลจากฝายศาสนานั้น ศาสนิกชนยอมรับไดงาย แตผูที่ไมนับถือ ศาสนาหรือศาสนิกชนตางศาสนาอาจไมยอมรับ เชน คนที่ไมนับถือพระเจาก็อาจไมยอมรับวาชีวิตเปนของ พระเจา และสิทธิในชีวิตไมเกี่ยวของกับพระเจา คนที่ไมนับถือพระพุทธศาสนาอาจไมยอมรับกฎแหงกรรม และความดีชั่วตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนาก็คงถือวาไดบอกทางแหงความดีแลว การรับหรือไมรับ คําสั่งสอนเปนเรื่องของแตละบุคคลที่จะเลือกทางและผลของการเดินตามทางที่เลือก 3.)เหตุผลแบบกระทบตอเนื่อง การอางเหตุผลแบบนี้คลายกับเกมโดมิโนคือหากยอมรับการ ฆาตัวตายวาถูกตองหรือไมผิดศีลธรรมก็จะตองยอมรับการฆาแบบอื่น ๆ ตอไปดวย เชน การทําแทง การทํา การุณยฆาต (mercy killing) การลงโทษประหารชีวิต เปนตน การอางเหตุผลแบบนี้เปนความบกพรองทาง ตรรกวิทยาเพราะไมมีความจําเปนอะไรที่การยอมรับการทําลายชีวิตในเรื่องหนึ่งจะทําไดตองยอมรับอีก เรื่องหนึ่ง เชนการยอมรับเรื่องการทําแทงก็ไมจําเปนตองยอมรับเรื่องอื่นเชนการฆาพอแม 4.)เหตุผลดานความยุติธรรม เหตุผลขอนี้คือการอางวาผูที่ตองพึ่งพาอาศัยบุคคลที่ฆาตัวตาย เปนผูตองไดรับโทษอยางไมเปนธรรม เชน ผูที่ฆาตัวตายทําใหภรรยา ลูกตองยากลําบาก ตองโศกเศรา และ สังคมก็อาจไมชวยเหลือ บุคคลเหลานี้ตองรับโทษโดยไมไดทําความผิด หลักการที่ผูฆาตัวตายใชอางไดคือ เสรีภาพสวนบุคคลแตหลักการดังกลาวนี้ขัดกับหลักความยุติธรรม คือเปนความอยุติธรรมตอผูบริสุทธิ์หาก ยึดหลักเสรีภาพสวนบุคคลในกรณีที่หลักการขัดแยงกันเชนนี้ การฆาตัวตายดังกลาวก็เปนการเห็นแกตัว และการกระทําโดยเห็นแกตัวโดยที่ทําใหผูอื่นเดือดรอนยอมถือวาผิดศีลธรรม 1.2 เหตุผลฝายสนับสนุนการฆาตัวตาย ฝายสนับสนุนการฆาตัวตายในที่นี้มิไดหมายถึงฝายที่เห็นวาการฆาตัวตายทุกกรณีเปนสิ่งที่ดีเพราะ ยากที่คนที่มีสติสัมปชัญญะจะคิดเชนนั้น เปนแตกลุมนี้บางคนเห็นวาการฆาตัวตายในบางกรณีเปนการ กระทําที่ทําได หรืออาจเปนการกระทําที่นาสรรเสริญ ฉะนั้นในเรื่องปกติคนเหลานี้ก็มิไดสนับสนุนการฆา ตัวตาย ผูที่อยูในฝายนี้อาจแบงเปนสองกลุมคือ กลุมที่อางสิทธิในรางกายและชีวิต กับกลุมประโยชนนิยม 1.) สิทธิในรางกายและชีวิต ในปจจุบันคนเราเชื่อวาคนแตละคนมีสิทธิในชีวิต ซึ่งโดยปกติแลว เราใชในความหมายที่วาเรามีเสรีภาพในการจัดการตาง ๆ เกี่ยวกับรางกายและชีวิตของเราตราบเทาที่ไมได ทําใหผูอื่นเดือดรอน ในทางตรงขามเรามีเสรีภาพที่จะไมถูกละเมิดสิทธิในชีวิต ผูอื่นจะละเมิดสิทธิในชีวิต โดยการทํารายเราไมได ผูที่เชื่อเชนนี้บางคนถึงกับเชื่อวาในเมื่อเรามีสิทธิในชีวิตของเรา ในรางกายของเรา
  • 145. 136 เราก็สามารถจัดการชีวิตมิใชทําลาย ดังนั้นเราจึงหามการละเมิดชีวิตของกันและกัน คนทั่วไปไมเนนวาสิทธิ ในชีวิต หมายถึงสิทธิในการทําลายชีวิตตน เพราะเทากับเปนการทําลายสิทธินั้น การใชสิทธิในชีวิตในการ ทําลายชีวิตเปนการกระทําที่แยงตัวเอง แตถาจะถือวาผิดศีลธรรม ผูใชเหตุผลนี้ก็อาจแยงวาการตัดสิน ดังกลาวเปนเรื่องเหตุผล มิใชเรื่องศีลธรรม 2.) หลักประโยชนนิยม หลักประโยชนนิยมเปนหลักที่วัดวาการกระทํามีศีลธรรมหรือไมโดยดู ผลการกระทําวาเปนประโยชนมากหรือนอย การกระทําที่เปนประโยชนถือเปนการกระทําที่ดี หลักประโยชน นิยมเปนหลักการที่ตัดสินโดยการชั่งน้ําหนัก การไดผลประโยชนและเสียผลประโยชน นักประโยชนนิยมมักจะ อางเหตุผลดังนี้ ในกรณีเชน มนุษยไมอาจทําการที่เปนประโยชนแกสวนรวมได ซึ่งเทากับเปนภาระของ สังคม หากคนเชนนี้ฆาตัวตายเพื่อจะไมเปนภาระแกสังคม นอกจากไมผิดแลวยังเปนการกระทําที่นา สรรเสริญดวย หรือในกรณีที่คนเราตองทนทุกขแสนสาหัสและไมอาจทําประโยชนแกสังคมได การฆา ตัวตายเปนทางออกที่ดี เพราะทําใหพนทุกข แมสังคมเสียประโยชนก็เปนการเสียประโยชนเพียงนอยนิด เพราะบุคคลนั้นไมมีความสามารถที่จะทําประโยชนแกสังคมอีก มีแตจะเปนภาระ นอกจากนั้นบางกรณีที่ เปนการสละชีวิตเพื่อใหสวนรวมไดประโยชนหรือเปนไปในทางดีขึ้น เชน ผูกลาหาญที่สละชีวิตเพื่อชาติก็ นับเปนการกระทําที่ดี ปญหาดังกลาวเปนเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป คนที่ฆาตัวตายมักไมมีโอกาสไดเขาใจเหตุผล เหลานี้ หรือเขาใจแตพายแพตออารมณที่รุนแรง หากไดศึกษาเหตุผลเหลานี้ก็จะเปนการเตรียมพรอมทาง ใจที่จะใหคนเราคิดจากหลายแงมุมและมีความคิดที่รอบคอบกอนการตัดสินใจ 2. ปญหาเรื่องการฆาเพื่อปกปองคนบริสุทธิ์ ปญหาการฆาเพื่อปกปองคนบริสุทธิ์เปนปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตอีกปญหาหนึ่ง ผูบริสุทธิ์ หมายถึงผูที่ไมไดทําความผิดใด ๆ โดยทั่วไปถือกันวาการฆาผูบริสุทธิ์เปนความผิดศีลธรรมอยางรายแรง และ การฆาผูที่จะฆาผูบริสุทธิ์เพื่อรักษาชีวิตผูบริสุทธิ์จากผูรายก็มักถือกันวาเปนการกระทําที่ถูกตอง ผูบริสุทธิ์ที่วา นี้อาจรวมถึงตัวเราเอง ซึ่งไมไดทําผิดคิดรายอะไร ในกรณีที่มีผูพยายามจะฆาเราหากเราฆาเขาเพื่อปองกันตัว สังคมก็มักถือวาเปนสิ่งที่ไมผิด แตก็มีทรรศนะที่ถือวา ใครจะฆาใครไมไดเลย แมผูนั้นกําลังจะถูกฆา หรือแม จะเปนการฆาผูรายเพื่อชวยชีวิตคนบริสุทธิ์ ทรรศนะที่ถือวาการฆาคนทําไมไดเลยเชน ทรรศนะของศาสนาเชน ศาสนาคริสต ทรรศนะของ คานท และพวกสันติภาพนิยม (Pacifism) ทรรศนะเหลานี้ถือวาการฆาเปนสิ่งที่ผิดเสมอ แมเห็นคนฆาคน บริสุทธิ์เชน เด็กทารกไรเดียงสา สตรีที่ไมมีทางตอสู ก็ไมอาจใชวิธีฆาผูนั้นเพื่อชวยคนบริสุทธิ์ได เพราะเปน การทําความผิดซ้ําเหมือนลางโคลนดวยโคลน หรือลางเลือดดวยเลือด แมคนกําลังจะฆาเรา เราอาจตอสูได แตตองไมฆาผูที่มุงจะฆาเรา ตามทรรศนะเหลานี้การลงโทษประหารชีวิตอาชญากรก็เปนสิ่งที่ไมถูกตอง นอกจากเหตุผลที่วาการฆาผูที่จะฆาผูบริสุทธิ์เปนการกระทําที่ผิดเพราะการฆาผิดเสมอ ทรรศนะ ของคริสตศาสนา คานทและทรรศนะของรุซโซ อางวา ผูอื่นมิใชผูใหชีวิตแกผูนั้นจึงไมมีสิทธิทําลายชีวิตผูนั้น
  • 146. 137 ผูรายไมมีสิทธิ์ทําลายชีวิตผูอื่นและเราก็ไมมีสิทธิทําลายชีวิตผูรายแตทวาในความเปนจริงนักศาสนาเองก็ปฏิบัติ ตามที่สอนไดยากและอาจไมเห็นดวยอยางจริงใจในสิ่งที่ตนสอนเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือหากยอมใหฆาเพื่อ รักษาชีวิตผูบริสุทธิ์ไดก็จะมีการยอมรับการฆาในกรณีอื่น ๆ ตามมาเชน การทําแทง การฆาคนเพื่อประโยชน สวนรวม แตเหตุผลดังกลาวก็เปนการอางแบบผลกระทบตอเนื่องหรือโดมิโน ซึ่งไมมีความจําเปนทั้งทาง เหตุผลและขอเท็จจริงวาจะตองเกิดขึ้นเชนนั้น การไมฆาคนไมวากรณีใด ๆ นั้นอาจเปนสิ่งที่ทุกคนเห็นพองตองกันไดเพราะหลักสิทธิในชีวิตตาม ความคิดแบบตะวันตกหรือหลักคุณคาของชีวิตตามแบบศาสนาตะวันออก เปนสิ่งที่คนแทบทุกคนยอมรับ และถาทุกคนยึดถือหลักนี้ ก็จะไมมีใครฆาใครเลย การไมฆาใครไมวากรณีใด ๆ จะเปนที่ยอมรับก็ในเงื่อนไข เชนนี้คือทุกคนจิตใจดีหมด การฆาก็ไมเกิดขึ้น แตสังคมมีการฆา คือมีผูละเมิดหลักการดังกลาว แมวาคนที่ ฆาคนอื่นมีนอยกวาคนที่ไมฆาก็ตาม ดวยเหตุดังกลาวจึงมีผูไมเห็นดวยกับการไมฆาใครเลยไมวากรณีใด ๆ ทรรศนะแยงดังกลาวมีเหตุผลดังนี้ ความเห็นดังกลาวขางตนมิไดพิจารณาวาสังคมจริง ๆ ไมไดเปนสังคมสมบูรณที่ทุกคนเปนคนดี และไมละเมิดหลักสิทธิในชีวิต หรือหลักคุณคาของชีวิต และมีคนที่ไมเคารพสิทธิหรือไมยอมรับคุณคาชีวิต ของผูอื่น แมวาคนเหลานี้จะมีจํานวนนอยก็ตาม ดังนั้นแมวาหลักคุณคาของชีวิตจะคุมครองรักษาชีวิตของ คนทุกคน แตคนเราก็มีสิทธิหรือมีพันธะทางศีลธรรม (moral obligation) ที่จะปกปองชีวิตของผูบริสุทธิ์ซึ่ง รวมถึงชีวิตของตนดวย เมื่อประจักษวาผูอื่นมิไดยอมรับนับถือคุณคาของชีวิตมนุษย นอกจากนั้นความ ดีงามในการปกปองชีวิตของผูบริสุทธิ์ มีน้ําหนักทางศีลธรรมมากกวาความชั่วในการฆาบุคคลที่พยายามจะ ฆาหรือลงมือฆาผูบริสุทธิ์ ในแงนี้คนที่พยายามฆาหรือฆาผูอื่นไดทําลายสิทธิที่จะใหผูอื่นยอมรับคุณคาแหง ชีวิตของตน เพราะการที่ตนเปนผูไมนับถือคุณคาของชีวิตและสิทธิในชีวิตของผูอื่น ตามทรรศนะนี้ ใครไม ควรฆาใครเวนแตเพื่อปกปองผูบริสุทธิ์ซึ่งรวมทั้งตัวเองดวย และการฆาผูรายดวยเหตุผลดังกลาวเปนสิ่งที่ ทําได และเปนพันธะทางศีลธรรมที่ตองกระทํา 3. การปลอยใหตายตามวาระ (allowing someone to die) การอนุเคราะหใหตาย (Mercy Death และ การเมตตาใหตาย (Mercy Killing) 3.1 การปลอยใหตายตามวาระ การปลอยใหตายตามวาระเปนปญหาที่เกิดขึ้น ในกรณีที่การยืดชีวิตยังเปนไปไดดวยเทคโนโลยี ทางการแพทย แตคนไขไมมีโอกาสรอด กลาวคือคนไขมีชีวิตอยูไดดวยเทคโนโลยี มิใชอยูไดตามธรรมชาติ กรณีเชนนี้ควรปลอยใหคนไขตายไปตามวาระหรือตามอายุขัยโดยใหตายอยางสบาย สงบ และอยางมีศักดิ์ศรี การตายดังกลาวเปนการปลอยไปตามธรรมชาติโดยไมมีการกระทําใด ๆ ที่เปนการทําใหตายแตเปนการเลิก การกระทําที่จะยืดชีวิตตอไป เชนไมใชวิธีการอื่น ๆ หรือทําการรักษาใด ๆ ตอไป และปลอยใหคนไขตายไป ตามธรรมชาติโดยไมใชเทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตรทางการแพทยใด ๆ เขาไปเกี่ยวของกับการตาย ทั้งนี้มิได
  • 147. 138 หมายความวาจะใหคนไขตายไปดวยความทุกขทรมาน และจะเลิกใชเทคโนโลยีและความรูทางวิทยาศาสตร ในกรณีนี้ก็ตอเมื่อไมมีประโยชนใด ๆ ตอคนไข ปญหานี้และปญหาที่คลายคลึงกันคือปญหาการอนุเคราะหใหตาย (mercy death) และปญหา การเมตตาใหตาย (mercy killing) เปนปญหาที่มีการโตแยงกันมากขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 20 นี้ เนื่องจาก ความกาวหนาดานเทคโนโลยีทางการแพทยทําใหมนุษยมีอายุยืนขึ้นกวาแตกอน เชนแตกอนเมื่อหัวใจหรือ ปอดเสียสภาพการทํางานคนจะตายในไมชา แตปจจุบันมีอุปกรณชวยหายใจและทําใหหัวใจเตน ยาก็ดีขึ้น มีการปลูกถายอวัยวะเครื่องฟอกไตและอุปกรณอื่น ๆ อีกมากมายที่ทําใหคนไขอยูตอไปไดเรื่อยๆ การยืดชีวิตนี้ ทําใหเกิดปญหาชีวิตที่คงอยูแตไมอาจรักษาใหดีขึ้นได เชน คนที่ไตเสียเมื่อกอนปคริสตศักราช 1960 ตอง ตายทั้งสิ้น แตหลังจากนั้นก็สามารถมีชีวิตอยูไดระยะหนึ่ง และระยะการมีชีวิตอยูไดก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตาม ความเจริญทางการแพทยที่เพิ่มขึ้น คนบางคนปรับตัวกับสภาพที่ตองอยูกับเครื่องได และยินดีที่มีชีวิตอยู แตบางคนเห็นวาหากตองอยูในสภาพเชนนั้นใหตายเสียจะดีกวา คนไขโรคมะเร็งที่ไมมีทางหาย และตอง รักษาดวยเคมีบําบัดอาจตองเจ็บปวดทรมานจนเห็นวาใหตายโดยไมตองรักษาจะดีกวา การยืดชีวิตแตทําใหชีวิตนั้นอยูในสภาพเทากับตายแลว มีคุณภาพชีวิตต่ําลงมาก หรือมีชีวิตที่ทุกข ทรมานนั้น เปนสิ่งที่ดีสําหรับมนุษยหรือวาควรปลอยใหตายไปตามธรรมชาติจะดีกวา โดยเฉพาะการพยายาม ยืดชีวิตและพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทยโดยอาศัยคนไขเปนเครื่องมือศึกษานั้นเปนสิ่งที่ถูกตองหรือไมเปน การทดลองกับมนุษยหรือไม และเปนการทําเพื่อคนไขหรือเพื่อแพทยเหลานี้เปนปญหาทางจริยศาสตรที่บุคลากร ทางการแพทยจะตองตอบและคําตอบก็มีทั้งสนับสนุนและคัดคานการกระทําดังกลาว 3.1.1 เหตุผลของฝายคัดคาน เหตุผลที่ใชคัดคานการปลอยใหตายตามวาระมาจากหลักการวาชีวิตเปนสิ่งมีคาควรรักษาไว จนถึงที่สุด ไมวาชีวิตนั้นจะอยูในสภาพใดก็ถือวาเปนสิ่งที่มีคุณคากับหลักการที่วาบุคลากรทางการแพทยมี หนาที่ชวยชีวิต การไมชวยชีวิตถือเปนการทําลายชีวิตอยางหนึ่ง ซึ่งเปนการทําผิดหลักการดังกลาว ขอโตแยง ทั้งฝายการแพทยและฝายศีลธรรม มีประเด็นสําคัญ ๆ ดังนี้ 1.)การปลอยใหตายเปนการทอดทิ้งคนไข ผูที่มีแนวคิดนี้เห็นวาการไมใชวิธีการใด ๆ หรือการหยุดใชวิธีการใด ๆ ที่ทําใหชีวิตของคนไขที่ กําลังจะตายจะเปนการยืดเวลาเพียงเล็กนอยเทากับเปนการปฏิเสธที่จะใหการรักษา คนเหลานี้รูสึกวาหาก บุคลากรทางการแพทยไมยอมรักษาก็เทากับทอดทิ้งคนไขและครอบครัวใหเดือดรอนและเปนทุกข เรื่องที่บุคลากรทางการแพทยเลิกการรักษาเพราะเห็นวาไมมีประโยชนอะไรที่จะรักษาตอไปนั้น เปนความจริงทั้งในอดีตและปจจุบันแตก็ไมมีเหตุผลอะไรที่จะตองเปนเชนนั้นเหตุดังกลาวเกิดจากการมุงพิจารณา แตเฉพาะดานการรักษาและทําใหหายจากโรคจนเกินไปและพิจารณาดานการทําใหคนไขสบายและดานการดูแล คนไขนอยเกินไป ผูปวยใกลตายควรไดรับการดูแลใหเจ็บปวดทรมานนอยลงและตายอยางมีความสุข สงบ
  • 148. 139 และสมศักดิ์ศรีความเปนมนุษยมากกวาจะตายตามธรรมชาติอยางทุกขทรมานทั้ง ๆ ที่การแพทยและการ พยาบาลดูแลสามารถชวยคนไขใหจากไปโดยไมตองเผชิญภาวะเลวรายดังกลาว การตายเปนธรรมชาติแต ก็ไมจําเปนที่ผูปวยจะตองเจ็บปวดทรมานตามธรรมชาติกอนตายในเมื่อมนุษยสามารถใชธรรมชาติในการ ลดความทุกขและเพิ่มความสุขได และมนุษยไมควรถูกทอดทิ้งดวยการเลิกรักษา แตควรไดรับตามดูแล อยางเต็มที่ไปจนวาระสุดทาย แพทยแผนโบราณที่ไมมีความเจริญทางเทคโนโลยีเชนปจจุบันก็ยังเฝาดูแล คนไขของเขาจนสิ้นลม 2.)ความเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษา การปลอยใหคนไขตายเร็วเกินไปนอกจากจะเปนการไมพยายามรักษา และทําใหแพทยถือเปน เหตุผลที่จะไมรักษาคนไขไดงายขึ้นมักปรากฏอยูเนืองๆวาคนไขที่แพทยลงความเห็นวาอยูไดไมเกินระยะเวลา เดือนหนึ่งหรือสองเดือนกลับอยูไดอีกหลายปเพราะคนไขพยายามหาทางรักษาตอไป ในสมัยกอนการที่แพทย พยายามรักษาคนไข ทําใหแพทยคิดหายาใหม ๆ หรือวิธีใหม ๆ มารักษา ในเมื่อคิดวาคนไขไมมีทางรอด การพยายามหาทางรักษาก็ยังมีโอกาสรอด แตถาไมพยายามจะยิ่งไมมีทางรอด ยาใหม ๆ พัฒนามาโดย ตลอดก็เพราะความพยายามรักษาคนไขใหมีชีวิตสูโรคไดนานที่สุด 3.)เราจะเลือกความตายไมได ผูใชวิชาทางการแพทยโดยทั่วไปถือวาวิชาแพทยมีไวเพื่อชวยชีวิตจึงเปนไปไมไดที่จะเลือกความ ตาย แพทยจะตองเลือกชีวิตคือหาทางใหคนไขไมตาย ถาหากยอมใหมีการเลือกความตายไดแมแตนอย หลักการพื้นฐานของแพทยดังกลาวก็ไรความหมาย และหากเปนเชนนั้นแพทยก็จะไมเปนที่ไววางใจของ คนไขอีกตอไป เพราะไมรูวาเมื่อไรแพทยจะเลือกความตายใหแกตน ความคิดดังกลาวนี้มีขอแยงสองขอคือ ขอแรก “การเลือกความตาย” กับ “การยอมรับความตาย” เมื่อเลี่ยงไมไดนั้นตางกัน กรณีที่พูดถึงนี้แพทยมิไดเลือกระหวางความตายกับความรอดชีวิต แตเลือกที่จะ ยอมรับความตายเมื่อหมดทางรักษา ประการที่สองคนไขอาจมิไดตองการใหแพทยใชความพยายามทุกวิถีทาง ที่จะรักษาเสมอไป และคนไขเองก็ควรมีสิทธิที่จะปฏิเสธการรักษาได ความหมายดังกลาวอาจเปนการทรมาน คนไข และคนไขควรมีสิทธิที่จะเลือกรักษาหรือไมรักษาก็ได 4.)การปลอยใหตายเปนการลวงล้ําแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจา แนวคิดนี้มาจากความเชื่อวาพระเจาสรางมนุษย ดังนั้นพระเจาเทานั้นที่มีสิทธิจะเอาชีวิตมนุษย ไปได มนุษยดวยกันจะปลอยใหใครตายไมได ยิ่งทําลายชีวิตเสียเองก็ยิ่งไมได มนุษยตองพยายามทุกวิถีทางที่ จะรักษาชีวิตเพื่อนมนุษยไวใหได จนกวาพระเจาจะใหมนุษยผูนั้นตายจึงจะถึงเวลาของผูนั้น เหตุผลดังกลาวนี้อาจจะอางเพื่อสนับสนุนหรือคัดคานการปลอยใหตายตามวาระก็ได กลาวคือ อางวาพระเจาตองการใหมนุษยตาย ดังนั้นการพัฒนาดานเภสัชกรรมก็เปนการลวงล้ําแผนของพระเจาที่มีมา แตตนเปนอยางมาก พระเจาไมอยากใหมนุษยอยูค้ําฟา การผลิตยาเพื่อยืดชีวิตมนุษยจึงเปนการลวงล้ํา
  • 149. 140 แผนของพระเจาการอางเหตุผลนี้ขัดกับเหตุผลขางตน ที่ขัดกันก็เพราะไมรูวาพระเจามีแผนอยางไรในเรื่อง การปลอยใหตายตามวาระ นอกจากนั้นจะเริ่มรักษาเมื่อใดหยุดเมื่อใดก็มิใชการตัดสินพระทัยของพระเจา แตคือแพทยหรือคนไข พระเจาใหมนุษยเลือกได มนุษยจึงไมอาจปดความรับผิดชอบใหเรื่องนี้เปนการเลือก ของพระเจา 3.1.2 เหตุผลสนับสนุน 1.) สิทธิในรางกายและชีวิตของปจเจกบุคคล สิทธิในรางกายและชีวิตของปจเจกบุคคลมักจะอางจากฝายคนไขเพื่อจะรักษาสิทธินั้นตามหลักการ นี้คนแตละคนมีสิทธิในชีวิตและรางกายของตนคนจึงมีสิทธิที่จะทําลายชีวิตตนเสียเองใหผูอื่นทําลาย ใหปลอย ใหตายหรือในทางตรงขามจะรักษาไวเองหรือใหผูอื่นดูแลรักษาก็ได ดังนั้นในกรณีการปลอยใหตายตามวาระ จึงเปนไปไดเมื่อคนไขยินยอม (แตไมใชกรณีที่คนไขขอรอง ซึ่งเปนเรื่องการอนุเคราะหใหตาย (mercy death)) การพิจารณาเฉพาะสิทธิของคนไขในการรักษาเปนปญหา ลองนึกถึงกรณีเด็กไมชอบกินยา ถา เด็กนั้นปวยและไมยอมกินยา พอแมก็ยอมไมมีสิทธิกรอกยา เด็กนั้นก็อาจตายเพราะโรคได แตโดย ความสัมพันธเปนพอแมลูกกัน พอแมมีสิทธิ์ในตัวลูก พอแมก็มีสิทธิกรอกยาลูกได สังคมถือวาเปนการทํา เพื่อใหลูกหายจากโรค ไมใชการละเมิดสิทธิในรางกาย เราตองไมลืมวาญาติพี่นองที่เฝาไข ออกคา รักษาพยาบาล แพทยที่ดูแลรักษา ยอมเปนผูมีสวนในชีวิตคนไข ก็นาจะมีสิทธิในการตัดสินใจดวยเชนกัน โดยเฉพาะกรณีคนไขไมรูสึกตัว ใครจะเปนผูตัดสิน ในทางกลับกันหากพิจารณาสิทธิของคนไขนอยเกินไป แพทยก็จะกลายเปนเจาชีวิตของคนไข เชน แพทยอาจเห็นวาคนไขที่เปนมะเร็งระยะสุดทายไมมีทางรอด และจะปลอยใหตายไปตามธรรมชาติ โดยเห็นวาหากใชวิธีรักษาตาง ๆ ก็จะเปนการทรมานคนไขแตถาวิธี ดังกลาวชวยยืดอายุได ก็อาจมีคนไขที่ยอมทุกขทรมานเพื่อจะมีชีวิตอยูใหนานที่สุด การเลือกที่จะปลอยให ตายจึงอาจกลายเปนการลิขิตชีวิตคนไขโดยประกาศิตของแพทยและญาติ ซึ่งแมในกรณีที่คนไขไมรูสึกตัว ก็ ยากที่จะใหทุกคนเห็นดวย แมญาติที่ตัดสินใจเชนนั้น ในหลาย ๆ กรณีก็คงรูสึกผิดและไมสบายใจที่เปนผูสั่ง ใหญาติผูเปนที่รักจบชีวิตลง 2.) การลดระยะเวลาที่จะทุกขทรมานลง เหตุผลอีกประการหนึ่งใชสนับสนุนการปลอยใหตายตามวาระก็คือเปนการชวยใหคนไขไมตอง ทุกขทรมานอีกตอไป คือระยะเวลาที่จะตองทนทุกขทรมานสั้นลง เทคโนโลยีทางการแพทยในปจจุบันเปน การยืดเวลาตายโดยคนไขตองทุกขทรมานมากกวาจะเปนการยืดชีวิตใหมีความสุขตอไป การยืดชีวิตที่เปน การยืดความเจ็บปวดทรมานจะมีคุณคาอันไดแกชีวิต การปลอยใหคนไขตายไปตามสภาวะของโรคนาจะ เปนความมีมนุษยธรรมมากกวาการทรมานดวยเครื่องมือยืดชีวิต แตหากคิดเชนนี้ความพยายามจะรักษาก็ จะนอยลง ซึ่งอาจรวมถึงกรณีที่เทคโนโลยีสามารถลดความเจ็บปวดทรมานและทําใหคนไขมีชีวิตตอไปอยาง มีความสุขพอควรแกอัตภาพได แพทยอาจจะตัดสินใจหยุดการรักษาหรือไมพยายามหาวิธีอื่นที่อาจดีกวามา รักษาคนไขและกรณีเชนนั้นจะเปนการทอดทิ้งคนไขซึ่งเปนสิ่งที่แพทยไมควรกระทํา
  • 150. 141 3.) สิทธิที่จะตายอยางสมศักดิ์ศรีของมนุษย เหตุผลอีกประการหนึ่งที่มักใชสนับสนุนความคิดเรื่องการปลอยใหตายตามวาระก็คือ มนุษย ควรมีสิทธิที่จะตายอยางสมศักดิ์ศรีแทนที่จะตองตายในสภาพทุกขทรมาน เต็มไปดวยอุปกรณตาง ๆ จนเห็น ไดชัดวาความเปนมนุษยที่มีในตอนที่เกิดแทบจะไมเหลือ เปนการตายอยางนาอนาถ แมรางกายก็ทรุดโทรม จนเหลือเปนเพียงซากที่มีแตหนังหุมกระดูก การที่จะใหมนุษยตายอยางสมศักดิ์ศรีในที่นี้ทําใหมีเหตุผลที่จะปลอยใหตายตามวาระ ทําตาม คําขอรองใหทําลายชีวิต หรือแมแตเมตตาชวยทําลายชีวิตให โดยอางเหตุดังกลาว แนวคิดเชนนี้จึงเปนโอกาส ใหแพทยไมตองพยายามและไมพยายามที่จะรักษาชีวิตคนไขไวใหนานที่สุดเทาที่จะทําได และการตาย อยางสมศักดิ์ศรีของมนุษยก็ตองไมพิจารณางาย ๆ เชนนั้น ในปจจุบันการดูแลรักษาคนไขใกลตายใหได ตายอยางสมศักดิ์ศรีของมนุษยมิใชดูเพียงรูปกายภายนอก หรือสมรรถภาพของมนุษยเทานั้น แตอยูที่ไดรับ การดูแลใหตายอยางมีความสุขที่สุดเทาที่จะเปนไปได ซึ่งมิใชเปนเพียงการรักษาทางการแพทยแตตอง คํานึงถึงปจจัยทางจิตใจซึ่งรวมถึงความรูสึกนึกคิดและความเลื่อมใสศรัทธาของคนไขดวย 3.2 การอนุเคราะหใหตาย (mercy death) การอนุเคราะหใหตายคือการทําใหชีวิตของผูใดผูหนึ่งสิ้นสุดลงโดยคําขอรองของผูนั้น ซึ่งมักจะเกิด จากการที่ผูนั้นทนความเจ็บปวดทรมานไมไหว หรือเพราะไมปรารถนาจะมีชีวิตอยูตอไปอีก การขอใหทําให ตายดังกลาวมักจะใหใชชีวิตที่ไมเจ็บปวด หรือเจ็บปวดนอยหรือหมดความเจ็บปวดเร็วมากที่สุด บางกรณี เกิดจากการที่ผูปรารถนาจะฆาตัวตายใจไมแข็งพอที่จะลงมือกับตัวเอง หรืออยูในสภาพที่ไมอาจลงมือดวย ตัวเองไดเชนไมมีเรี่ยวแรง หรือเปนอัมพาต เหตุผลในกรณีนี้มีทั้งคัดคานและสนับสนุน เหตุผลตาง ๆ ก็คลายคลึงกับการฆาตัวตาย และการ ปลอยใหตายตามวาระจึงจะนํามากลาวเฉพาะในสวนที่เกี่ยวของกับเรื่องนี้ สวนคําอธิบายความหมายและ ความคิดเกี่ยวกับเหตุผลดังกลาวจะไมกลาวซ้ําอีก แตการอนุเคราะหใหตายก็มีขอตางกับการฆาตัวตาย และการปลอยใหตายตามวาระ เนื่องจากมีผูอื่นเปนผูฆา 3.2.1 เหตุผลคัดคาน 1.) ความไรเหตุผลของการอนุเคราะหใหตาย การอางเหตุผลนี้ก็เชนเดียวกับเรื่องการฆาตัวตายคือเปนการกระทําที่ผูกระทํามิไดใชเหตุผล แตเปนการกระทําจากอารมณ หรือจิตใจที่อยูในสภาวะไมปกติ การขอความอนุเคราะหจากผูอื่นใหฆาก็มา จากสาเหตุทํานองเดียวกัน เชน คนที่เคยเปนนักกีฬา แตตองกลายเปนอัมพาตและยอมรับสภาพเชนนั้น ไมได ซึ่งหากบําบัดรักษาตอไปก็อาจชินกับความผิดปกติ หรืออาจคอย ๆ ดีขึ้นโดยลําดับและอาจเปลี่ยนใจ ไมตองการตาย จึงไมควรใหความอนุเคราะหแกคนเหลานี้ในเรื่องดังกลาว แตการกลาววาการขอความ อนุเคราะหใหฆาเปนการกระทําของคนในสภาวะไรเหตุผลก็ไมจริงเสมอไป บางคนอาจทนสูกับสภาวะที่
  • 151. 142 เลวรายมานานจนรูสึกทุกขยากแสนสาหัส และคิดวาการมีชีวิตอยูไมมีอะไรที่เปนความหวังอีกตอไป คน เหลานี้อาจไตรตรองอยางรอบคอบแลวจึงตัดสินใจขอความอนุเคราะห การกระทําโดยไตรตรองดังกลาว ยากที่จะวาเปนการกระทําในสภาวะไรเหตุผล 2.) เหตุผลดานศาสนา เหตุผลในการหามทําลายชีวิตของศาสนาที่ถือวาพระเจาเปนผูใหและวางแผนชีวิตมนุษยก็คือ มนุษยไมเปนเจาของชีวิตจึงไมมีสิทธิที่จะทํารายหรือทําลายชีวิตของตน แมจะใหผูอื่นเปนผูทําลายก็ไมมีสิทธิ์ การขอความอนุเคราะหใหผูอื่นทําลายชีวิตจึงทําไมไดถาทําก็ผิดศีลธรรม สวนศาสนาที่ไมถือวาชีวิตเปนของ พระเจาเชนพระพุทธศาสนา ก็ถือวาชีวิตในชาตินี้เปนผลของกรรม คือเกิดจากกรรมเกา และเกิดมาเพื่อใช กรรมเกาและทํากรรมใหม ซึ่งควรจะเปนการทํากรรมดี การฆาตัวตายเปนการเลี่ยงการใชกรรมในโลกนี้ เหมือนลูกหนี้ที่หนีหนี้ และการฆาแมวาจะฆาตัวเองก็เปนกรรมหนักเชนเดียวกับฆาผูอื่น การฆาเองก็ดี ขอใหผูอื่นฆาก็ดีจึงผิดศีลธรรม ถึงจะตายแลวก็ยังตองรับกรรมยิ่งกวาเกาเพราะทํากรรมชั่วเพิ่ม สวนผูที่ฆาตามคําขอ แมผูถูกฆาจะเต็มใจ ซึ่งตางกับฆาโดยทั่วไปที่ผูถูกฆาไมเต็มใจ แตการ ฆาก็ผิดทั้งสิ้น ผูถูกขอรองจึงไมควรทําตามเพราะถึงแมผูถูกฆาจะเต็มใจในขณะนั้นก็อาจเปนเพราะความ หลงผิดไปชั่วขณะเมื่อฆาแลวก็เปลี่ยนใจไมได แตถาไมยอมฆาเขาอาจเปลี่ยนใจภายหลัง ยังพอแมลูกเมีย ญาติพี่นองที่ผูกพันอยูจะตองเศราโศกเสียใจ ผูฆาจึงเทากับกอกรรมตอเขาเหลานั้นอีกชั้นหนึ่ง การขอความ อนุเคราะหใหตายจึงผิดทั้งผูขอและผูทําตามที่ขอ เหตุผลฝายศาสนานี้ผูที่ไมนับถือศาสนา ไมเชื่อพระเจา ไมเชื่อกรรมคงจะยอมรับไดยาก แต เปนเรื่องชัดเจนและยอมรับไดในหมูผูนับถือศาสนาแตละแบบ 3.) การเกิดผลกระทบตอเนื่อง แนวคิดนี้เชื่อวาถายินยอมใหการอนุเคราะหใหตายเปนสิ่งที่ถูกตองก็จะสงผลกระทบตอเนื่องไป ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการทําลายชีวิตเชน การเมตตาใหตายหรือการทําแทง เปนตน เพราะหากการขอรองให ฆาเปนสิ่งที่ทําได กรณีผูที่ไมสามารถขอรองเชนคนที่อยูในอาการตรีทูต (Coma) ก็อาจยอมใหฆาเสียดวย ความเมตตาของแพทยเปนตน การเปดโอกาสใหหนอยหนึ่งก็ยอมเปนการเปดโอกาสมากขึ้นได 4.) เหตุผลดานความยุติธรรม หากการขอความอนุเคราะหใหฆาเปนสิ่งที่ถูกตองได การฆาในกรณีเชนนี้ยอมเปนภาระที่เพิ่มขึ้น และอาจเปนความสบายใจของผูกระทํา เพราะการทําลายชีวิตผูอื่นยอมไมใชสิ่งที่ใครจะทําไดโดยไมรูสึกสลด หดหู จึงเปนการไมเปนธรรมตอบุคคลเหลานี้ เพราะแพทยจะตองทําถาการขอรองของคนไขเปนสิ่งที่ถูกตอง นอกจากนั้นยังอาจไมเปนธรรมตอครอบครัว ญาติพี่นอง และคนรักที่ไมตองการเห็นคนที่ตนรักจากไปโดย มิใชการตายตามธรรมชาติแตเปนการตายกอนวาระ เพียงการปลอยใหตายตามวาระก็กอความรูสึกไม สบายใจอยูแลว ยิ่งเปนการฆากอนวาระมิใชการตายตามธรรมชาติก็เปนเรื่องที่ทําใจไดยาก
  • 152. 143 5.) ความเปนไปไดที่จะคนพบวิธีรักษา ตราบใดที่คนเรายังไมตาย โอกาสในการรักษาและโอกาสที่จะมีอาการดีขึ้นก็ยังมีอยู แตเมื่อ ตายแลวโอกาสก็หมด คนเราไมควรสิ้นหวังจนกวาจะไมสามารถมีความหวังได โรคเรื้อรัง และโรคที่ไม หายขาด อาจประทังชีวิตไวดวยยาและเทคโนโลยี จนกระทั่งมียารักษา โรคทั้งหลายลวนเปนโรคที่ไมพบยา รักษามากอน ถามนุษยไมมีความพยายามจะรักษา ยาและวิธีการรักษาใหม ๆ ก็ไมเกิดขึ้น บางคนอาจตาย ไปกอนจะคนพบวิธี แตคนที่อยูจนพบวิธีรักษาก็อาจรอดชีวิต โรคเปนเหตุใหเกิดยารักษาโรค ถาปลอยใหคน ตายไดงาย ๆ โดยไมมีความพยายามรักษา วิชาแพทยก็ไมมีประโยชน แตเรื่องนี้ก็ตองคิดดวยวา การที่ตอง รักษาโรคอยูเปนเวลานานเปนความสิ้นเปลืองมาก ผูที่ไมสามารถจายคารักษาไดมีมาก หากตองทุกขทรมาน โดยไมมีโอกาสรักษา คนเหลานี้ก็อาจรูสึกวาตายเสียจะดีกวาทนทุกขเชนนั้น 6.) ยังมีทางเลือกที่จะตายอยางมีความสุข (Hospice) สวนหนึ่งของการที่คนไขอยากตายอาจจะมาจากการดูแลรักษาของแพทยและพยาบาลที่ใหความ เอาใจใสและเมตตาตอคนไขไมเพียงพอ ซึ่งอาจมีสาเหตุมากมาย เชน บุคลากรไมเพียงพอ ไมเขาใจปญหา สวนตัวของคนไข มีความเชื่อตางกันและปฏิบัติไมถูกตองตามความเชื่อ คนไขไมมีเงินมากพอที่จะใหใช อุปกรณและยาที่มีคุณภาพ เราควรมุงแกปญหาเหลานี้มากกวาที่จะหาวิธีที่จะทําใหการอนุเคราะหใหตาย และการเมตตาใหตายเปนสิ่งที่ถูกศีลธรรมหรือถูกกฎหมาย แทนที่จะทําลายชีวิตคนไข หรือใหคนไขอยู อยางทุกขทรมาน ทางเลือกที่จะทําใหคนไขตายอยางมีความสุขจะเนนการใหความเคารพตอชีวิตมนุษย รักษาและปกปอง ทําใหชีวิตดีขึ้นโดยใหความพึงพอใจ เลี่ยงความเจ็บปวดทําใหชีวิตดีที่สุดเทาที่จะทําได ใหสามารถสรางสรรคไดในระดับที่จะทําไดตามสภาวะแหงรางกายของคนไขซึ่งจะตองใหคนไขไดทราบตาม ความเปนจริง และตองปฏิบัติตอคนไขอยางมนุษย มิใชอยางรางกายที่โรคทวมตัว ใหคนไขและครอบครัวได มีเสรีภาพที่จะใชชีวิตในชวงที่เหลือรวมกันอยางมีความสุขใหคนไขไดตายอยางสมศักดิ์ศรีมนุษยดวยความเห็น อกเห็นใจมิใชดวยการฆา วิธีนี้เปนการลดความเจ็บปวด ความทุกขและความรูสึกวาชีวิตไรคาไมรูจะอยูไปเพื่อ อะไรที่เกิดขึ้นกับคนไข แนวทางนี้อาจชวยลดการฆาโดยอนุเคราะหโดยกรุณาลงจนถึงไมตองกระทําเลยใน ที่สุด แตวิธีนี้ก็อาจไมไดผลกับโรครายแรงบางชนิดและกับคนที่ไมตองการรักษาไมวาวิธีใด ๆ 3.2.2 เหตุผลสนับสนุน 1.) เสรีภาพและสิทธิสวนบุคคล ขอนี้เปนเหตุผลสําคัญที่สุดที่ผูซึ่งเห็นดวยกับการอนุเคราะหใหตายใช กลาวคือ บุคคลควรมี สิทธิที่จะตัดสินใจวาเมื่อไรจะอยูเมื่อไรจะตาย หากผูใดไมประสงคจะมีชีวิตอยูตอไปและขอตายก็ควรจัดการ ใหเขา เนื่องจากเปนการเลือกที่เสรีและมีเหตุผล สิ่งที่เราจะตองทําก็คือ ทําตามความประสงคของเขาดวย ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และความเมตตา มิใชความมุงรายใด ๆ ความคิดเชนนี้ก็อาจมีผูแยงวา คําขอ ดังกลาวหากจะตองทําตามก็เปนการจํากัดเสรีภาพของผูกระทําตามคําขอ ผูที่ประสงคจะตายอาจมีสิทธิ์ใน การเลือกที่จะตาย แตสิทธินั้นก็ไมควรฉุดเอาผูอื่นเขาไปเกี่ยวของในการเลือกดวย
  • 153. 144 2.) สิทธิของมนุษยกับสิทธิของสัตว ในวัฒนธรรมฝรั่งเรามักจะเห็นวาเมื่อสัตวตองทุกขทรมานมาก ๆ เขาจะฆาสัตวนั้นดวยวิธีที่ให ตายโดยเร็วที่สุด เพื่อจะใหพนความทรมาน การกระทําเชนนั้นถือเปนความเมตตาตอสัตว จึงเห็นวาการ อนุเคราะหใหตายก็เปนการกระทําเชนเดียวกัน จึงนับเปนความกรุณา และเปนสิ่งที่ไมผิดศีลธรรม เปนการ กระทําดวยจิตใจดีงาม ขอนี้ชาวตะวันตกอาจจะโตแยงก็เพราะชาวตะวันตกนั้นใหความสําคัญแกมนุษยสูงกวาสัตวมาก เนื่องจากวัฒนธรรมดังกลาวมาจากคริสตศาสนาที่เชื่อวาพระเจาสรางมนุษยใหคลายพระเจามากที่สุดตรงที่มี วิญญาณเปนอมตะแตสรางสัตวใหมนุษยใช ศีลของฝรั่งจึงพูดแตการหามฆามนุษยและการปฏิบัติตอ มนุษยตองดีกวาสัตวมาก ขออางขางตนที่เทียบกับสัตวจึงอาจไมเปนที่ยอมรับ คือถาจะใหตายตามคําขอก็ ตองไมใชใหพนทรมานเชนเดียวกับที่เมตตากระทําตอสัตว ในพระพุทธศาสนาศีลขอปาณาติบาต หามทั้งการฆามนุษยและสัตว แมวาการฆามนุษยจะ บาปกวาฆาสัตว แตก็ไดใหความสําคัญแกสัตวไวในฐานะเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตายดวยกันทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงไมนิยมฆาสัตวใหพนทุกขดังกลาว เพราะทุกขเกิดจากกรรมของสัตวนั้นที่เขาจะตองชดใชกรรม ความเปนเพื่อนทุกขแสดงไดดวยการเมตตา ดูแลใหเขาทุกขนอยลง และมีความสุขมากเทาที่จะเปนได หาก จะตายก็ตองใหตายไปเอง คือดูแลกันไปจนกวาจะตาย สัตวที่ฝรั่งฆานั้นจะแนใจไดอยางไรวาตัวไหนยินดี ทรมานมากกวาตาย หากไมยินดีตายก็จะไมเปนการอนุเคราะห หากจะวาเมตตาใหตาย สัตวที่ไมตองการ ตายก็คงไมยินดีรับความเมตตา พระพุทธศาสนามีแตจะใหประคับประคองรักษากันไปตามที่จะทําได จนกวาสัตวนั้นจะจากไป ไมคิดวาสัตวจะยินดีตายหรือไม แตที่แนนอนก็คือไมวาคนหรือสัตว ชีวิตเปนสิ่งที่ รักมากที่สุด 3.3 การกรุณาใหตายหรือการุณยฆาต (mercy killing) การกรุณาใหตายมีสวนเหมือนกับการอนุเคราะหใหตายคือมีการทําลายชีวิต แตตางกันคือการ อนุเคราะหใหตายนั้นเกิดจากการที่ผูตายขอรอง แตการกรุณาใหตายนั้นผูตายไมไดขอรอง สวนมากเพราะ ไมสามารถจะขอรองได เชนเจ็บปวยจนไมมีสติ เปนความเขาใจของผูกระทําวาผูปวยมีความประสงค เชนนั้น เชนเดียวกับกรณีการฆาสัตวที่ทุกขทรมานซึ่งไดกลาวไปแลววา ฝรั่งวาสัตวนั้นขอรองที่จะตาย มากกวาทรมาน จึงอนุเคราะห แตถาเปนการเขาใจเอาวาสัตวนั้นคงจะขอรองเชนนั้น การฆาก็เปนการ กรุณาใหตาย การกรุณาใหตายเปนการตัดสินของผูกระทําวาชีวิตของผูถูกกระทํา หรือไดรับการกรุณานั้น ไมมีคา ไมเปนคนที่สมบูรณ ขาดความรูความคิด สมควรที่จะฆาเสียดวยความกรุณาที่จะใหเขาพนสภาวะนั้น ถาเปน ชาวคริสตก็เพื่อใหวิญญาณที่เปนอมตะของเขาไดไปอยูกับพระเจา ซึ่งจะดีกวาสภาพไมเต็มคนเชนนั้น การ กรุณาใหตายจึงหมายถึงความจงใจที่จะปลิดชีวิตของผูใดผูหนึ่ง โดยวิธีการที่จะใหผูนั้นตายทันทีดวยความ
  • 154. 145 เมตตาเพื่อจะยุติชีวิตที่ทุกขทรมานหรืออยูไปอยางไรความหมาย ขอที่ตางกับการปลอยใหตาย และการ อนุเคราะหใหตายก็คือมิไดมีความยินยอมจากผูตาย และอาจไมรูแมแตวาผูตายตองการหรือไม 3.3.1 เหตุผลขัดแยง เหตุผลที่จะแยงการกรุณาใหตายสวนมากใชเหตุผลแยงการอนุเคราะหใหตายได เหตุผลสําคัญ ๆ ที่ใชแยงการกรุณาใหตายมีดังนี้ 1.) การละเมิดหลักการเกี่ยวกับคุณคาของชีวิต การกรุณาใหตายเปนการละเมิดคุณคาของชีวิต เพราะการฆาผูที่มิไดขอรองใหฆาโดยเขาใจ วาเปนความประสงคของผูนั้น ซึ่งไมทราบวาเปนจริงหรือไม มีคาเทากับฆาผูบริสุทธิ์ ตางกับการฆาเพื่อ ปองกันผูบริสุทธิ์ การฆาขาศึกในสงครามหรือการประหารชีวิตนักโทษ การกรุณาใหตายยังเปนการฆาโดย ไตรตรองไวกอน และไมวาจะมีแรงจูงใจอยางไรก็เปนการฆาตกรรม ในการอนุเคราะหใหตายนั้นผูตายยังมี สติสัมปชัญญะและขอรองใหฆาคือแสดงวามีความยินยอม แตในการกรุณาใหตายนั้น ผูตายไมสามารถจะ แสดงความยินยอมหรือไมยินยอมได ไมผิดกับฆาทารก การที่ผูตายไมไดใหความยินยอมพรอมใจและตองอาศัยสภาพภายนอกในการตัดสินวาชีวิต ของผูนั้นมีความหมายหรือมีคาหรือไมนั้น ทําใหเกิดปญหามากมายคือ ใครมีสิทธิตัดสินวาชีวิตใดมีคาหรือ มีความหมายหรือไม ใชมาตรฐานอะไรในการตัดสิน มาตรฐานเชนนั้นจะนําไปใชกับคนชราที่หลงลืมหรือไม เพราะอาจเปนคนไรคาในสังคมที่นิยมคนหนุมสาว เราจะใหมีการตัดสินเชนนี้หรือไม ถายอมจะใหใครเปน ผูตัดสิน 2.) ความเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษา ขอนี้ก็เชนเดียวกับที่ไดอางมาแลวในเรื่องกอน ๆ คือ ยังมีทางเปนไปไดที่จะพบวิธีรักษาโรคของ คนไข การทําลายชีวิตเปนการปดกั้นโอกาสของคนไข โอกาสในการรักษาโรค และโอกาสคนพบวิธีการรักษาโรค ซึ่งหากสามารถทําไดสําเร็จ คนไขก็อาจทุเลาหรือหายปวย ถาทําลายชีวิตเสียแลวโอกาสเชนนั้นก็มีไมไดอีก 3.3.2 เหตุผลสนับสนุน 1.) กรุณาใหพนสภาพตายทั้งเปน (Living Dead) ผูที่สนับสนุนการกรุณาใหตายถือวาตนมิไดละเมิดหลักการเกี่ยวกับชีวิตเพราะคนที่จะไดรับ ความกรุณาใหตายนั้นมิไดอยูในสภาพของมนุษยอยางสมบูรณ แตทวาเปนเพียง “อินทรียภาพที่ยังคงอยู ได” คือ เปนเพียงโครงขายของอวัยวะและเซลล แมวาคนเหลานี้จะยังไมถึงกับ “สมองตาย” แตสมองก็อาจ เสียหายแทบทั้งหมดแมวาฟนได แตสมองที่เสียหายก็ทําใหไมอาจดําเนินชีวิตอยางปกติไดอีกจึงมีชีวิตอยู เหมือนพืชเหมือนผัก ไมอาจแสดงบุคลิกภาพ ความรูสึกนึกคิด ดังนั้นการทําลายชีวิตเชนนี้จึงเปนความ กรุณา
  • 155. 146 ขอคัดคานเหตุผลนี้ก็คือไมวาจะฆาในสภาพใดก็เปนการฆาทั้งสิ้นเพราะไมมีเกณฑทางการแพทย หรือทางกฎหมายใดๆยอมรับวาไมใชการฆาคน การปลอยใหตายไปตามวาระก็ยังใหความรูสึกที่ดีกวาการฆา โดยความกรุณา 2.) ภาระทางอารมณและการเงิน คนที่สมองเสียหายหรือเจ็บปวยเปนเวลานาน ๆ ยอมเปนภาระทางการเงินและทางอารมณแก คนในครอบครัวและแกสังคม ภาระดังกลาวมักจะเปนภาระหนักจนบางคนเห็นวาการรักษาชีวิตคนเหลานี้ ไวไมไดอะไร เพราะคนที่อยูในภาวะเชนนั้นก็ไมไดอะไรจากการมีชีวิตอยูนอกจากเพียงมีชีวิตตอไปอยางไรคา ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือ การเงินไมควรใชเปนขออางในเรื่องชีวิตมนุษยและภาวะทางอารมณ เชนความทุกขใจก็ไมควรปลดเปลื้องดวยการทําลายชีวิตมนุษย 3.) คนไขปรารถนาที่จะตาย เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ใชสนับสนุนการกรุณาใหตาย ก็คือหากคนไขที่สมองเสียหายสามารถ ติดตอสื่อสารกับเราได เขาก็จะเลือกใหทําใหตายมากกวาจะอยูเปนภาระแกครอบครัวและสังคมหรือมีชีวิต อยูอยางอินทรียภาพที่ไรสติสัมปชัญญะ ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือ เราไมอาจรูไดวาเปนเชนนี้หรือไมเพราะคนเหลานี้ไมอาจสื่อสารได 4.) ความเปนไปไดที่จะมีมาตรการควบคุมทางกฎหมาย การอนุเคราะหใหตายและการกรุณาใหตาย ในแงหนึ่งมีผูถือวาเปนการตายอยางสมศักดิ์ศรี ของมนุษยที่ไมตองดํารงอยูอยางนาสังเวช แตในอีกแงหนึ่งก็ถือวาเปนการตายอยางไมสมศักดิ์ศรีของมนุษย คือตายอยางไมเปนธรรมชาติเพราะตองถูกฆา แทนที่จะไดตายอยางมีผูดูแลเอาใจใสและมีความสุขตามที่ รางกายจะมีได หากใหมีการกระทําเชนนั้นไดโดยถือวาถูกตองเชนออกเปนกฎหมายก็เทากับผูที่จะตองตาย ถูกสังคมย่ํายีเชนหากมีกฎหมายวาคนที่ปวยถึงระดับนั้น ๆ หรือมีอายุเทานั้น ๆ จะตองไดรับความกรุณาให ตาย ผูที่ตองการอวัยวะของเขาไปปลูกถายก็จะแยงกันเหมือนแรงลงศพ ลูกหลานก็รอมรดก และรูสึกโลงที่ พนภาระทางการเงิน และยังอาจเปนหนทางใหแกแคนโดยอางความกรุณาดังกลาว ขอคัดคานในเรื่องนี้ก็คือเราอาจหามาตรการมิใหเกิดการเอาการตายดวยวิธีดังกลาวไปใชประโยชน และใหเปนการตายอยางสมศักดิ์ศรีได เชนกฎหมายตองมีลักษณะเปนการอนุญาตมิใชคําสั่งหรือการบังคับให ตองทํา ตองไมมีอะไรเปนความลับ ตองมีลายลักษณอักษร ตองมีการขอและมีคณะผูพิจารณา ตองมีแพทย หลาย ๆ คนตองมีระยะเวลารอดูอาการ การปลอมแปลงเอกสารถือเปนความผิดทางอาญา มีขอกําหนด เกี่ยวกับการบังคับคนไข การกระทําที่ถือวาเปนการกระทําอันเลวรายตอคนไขอยูในพระราชบัญญัติการ กรุณาใหตาย ขอคัดคานดังกลาวอาจคัดคานไดคือ แมวาจะมีขอกําหนดที่เปนมาตรการควบคุมแตก็คงไม ชวยปองกันมิใหเกิดการกรุณาใหตายโดยที่ผูตายมิไดประสงคเทาใดนัก และการใหรัฐมีอํานาจที่จะทําการ
  • 156. 147 ดังกลาวไดก็เปนอํานาจที่ยากจะควบคุมมิใหใชเกินขอบเขต คนที่ชวยเหลือตัวเองไมได และคนบริสุทธิ์ ไรเดียงสาก็จะยิ่งไมไดรับความคุมครอง ปญหาที่เราไดกลาวมาแลวคือปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตคนเปนปญหาหนึ่งในวิถีชีวิตมนุษย แมปญหาเกี่ยวกับการทําลายชีวิตที่กลาวมาแลวนี้ก็ยังเปนเพียงสวนเดียวซึ่งนํามากลาวโดยสังเขป ยังมีปญหา เกี่ยวกับการทําลายชีวิตปญหาอื่น ๆ อีกเชน การทําแทง การลงโทษประหารชีวิต สงคราม นอกจากปญหาการทําลายชีวิตแลว ยังมีปญหาที่เกี่ยวกับชีวิต เชน เพศและการแตงงาน ซึ่ง แตละปญหามีปญหายอย ๆ เชนเดียวกับเรื่องการทําลายชีวิต มีปญหาที่เกี่ยวกับการแพทยซึ่งเกี่ยวของกับ ความเจ็บปวยของมนุษย ปญหาธุรกิจซึ่งเกี่ยวของกับวิถีชีวิตดานการมีกินมีใช ปญหาสภาพแวดลอมซึ่ง เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวมนุษย ปญหาการเมือง กฎหมาย การศึกษา ซึ่งเกี่ยวของกับสังคมมนุษย ปญหา เกี่ยวกับศิลปะและศาสนาซึ่งเกี่ยวของกับความเชื่อ อารมณและจิตใจของมนุษย ปญหาที่กลาวมาแลวและ ปญหาอื่น ๆ อีกมากลวนมีรายละเอียด มีปญหายอย ๆ ที่ตองศึกษาเชนเดียวกับเรื่องการทําลายชีวิตที่ยกมา เปนตัวอยาง ปรัชญาจึงเปนเรื่องที่อยูในวิถีชีวิตของเรา และเราใชปรัชญาในการดําเนินชีวิตมากบางนอยบาง โดยมีความรูความเขาใจบาง ดําเนินไปตามความควบคุมบังคับของสังคมโดยไมมีความรู ความเขาใจบาง โดยเขาใจอยางตื้นเขินบาง ปรัชญายังคงไมหางเหินจากวิถีชีวิตของเรา
  • 157. 148148
  • 158. 149 บทที่ 10 บทสรุป เราไดศึกษาปญหาปรัชญาที่เปนปญหาหลัก ๆ ทั้งดานเมตาฟสิกส จริยศาสตร และญาณวิทยา มาแลวพอสมควร ปญหาที่ศึกษาทุกปญหามีคําตอบมากกวาหนึ่งคําตอบ แมคําตอบที่ไดนํามาพิจารณากัน ในหนังสือเลมนี้ ก็เปนเพียงบางคําตอบ ยังมีคําตอบอื่น ๆ อีก ซึ่งทุกคําตอบก็มีเหตุผลเชนเดียวกับคําตอบที่ เราไดศึกษากันมานี้ จึงเห็นไดวาปรัชญาเปนปญหาที่มีขอโตแยงกันและหาความเห็นที่เปนเอกฉันทไมได ความเห็นเหลานี้บางความเห็นก็ถูกอัธยาศัย ถูกใจ ถูกรสนิยมของเรา เพราะธรรมชาติและสภาพแวดลอมที่ เราพอใจเหมือนหรือเอนเอียงไปทางนั้น บางคําตอบก็ไมถูกอัธยาศัย ไมถูกใจเรา รูสึกวาไมมีเหตุผล หรือไม นาเชื่อถือแตคําตอบเชนนั้นก็อาจถูกอัธยาศัยคนอื่น ๆ ที่มีธรรมชาติหรือลักษณะนิสัยและอยูในสภาพแวดลอม ที่เอนเอียงไปในทางนั้นเชนคนที่ขาดแคลนความสุขทางวัตถุมักจะเห็นดวยกับวัตถุนิยมมากกวาจิตนิยมเปนตน ตามปกติเมื่อศึกษาวิชาใดเรามักจะตองการคําตอบที่ตายตัว ชัดเจน ในสมัยโบราณวิชาที่ตอบสนอง ความตองการนี้ก็คือคณิตศาสตร คนสมัยกอนจึงถือวาคณิตศาสตรเปนวิชาที่ใหความจริงที่แนนอนและถือ เปนตนแบบในการแสวงหาความรูของมนุษย และเนื่องจากคณิตศาสตรเปนวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความจริง กอนประสบการณ จึงเกิดการหาความรูโดยการหาความจริงเบื้องตนที่แนนอนตายตัวจากอัชฌัติกญาณ เพื่อจะนํามาขยายตอดวยวิธีการทางคณิตศาสตรเชนเดียวกับที่เรขาคณิตเริ่มตนดวยสิ่งที่เห็นจริงแลวหรือสัจพจน (axion) แลวขยายเปนทฤษฎีบทตางๆไดมากมาย สมัยกลางก็ใชขอความจากพระคัมภีรไบเบิลเปนจุดเริ่มตน ดังกลาว แตในปจจุบันเมื่อมีเรขาคณิตแบบที่ไมใชของยูคลิด (Non – Euclidean Geometry) และเกิด เลขระบบฐานอื่น ๆ ที่ไมใชฐาน 10 เราก็เห็นไดวาคณิตศาสตรเปนเพียงระบบความคิดทางตรรกวิทยาระบบ หนึ่งเทานั้น หรืออาจถือวาเปนเกมทางสมอง เชนเดียวกับการเลนฟุตบอลที่เลนตามกฎชุดหนึ่ง ๆ ที่ตกลงกันไว ความรูทางคณิตศาสตรจึงแนนอนในกรอบขอยอมรับเบื้องตนที่เปนสัจพจนของระบบนั้น ๆ วิชาอื่นที่สําคัญเชนวิทยาศาสตรซึ่งเคยถือวาแนนอนตายตัวก็ปรากฏวาโดยลักษณะของวิชาที่หา ความจริงจากประสบการณก็เปนวิชาที่ไมตายตัวดังที่เราไดอภิปรายกันมาแลว นอกจากนั้นความรูเกี่ยวกับ ความจริงที่เล็กมาก ๆ หรือใหญมาก ๆ ซึ่งยังอยูพนวิสัยที่จะศึกษาและตรวจสอบก็ยังเปนความจริงที่ไมแนนอน เชนความจริงเกี่ยวกับลักษณะของจักรวาล กําเนิดของจักรวาล หรือความจริงทางจุลชีววิทยา ความจริง เกี่ยวกับจิตเปนตน ความรูทั้งหลายตั้งแตตนคริสตศตวรรษที่ 20 เปนตนมา แทบจะไมมีดานใดที่มีความรู แนนอนตายตัว มีแตความไมแนนอนและอยูในระหวางการคนหาทั้งสิ้น ความคิดและทฤษฎีในเรื่องเหลานั้น ก็แตกตางกัน ความคิดที่วาความรูตองแนนอนตายตัวและวิชาตาง ๆ ใหความรูที่แนนอนตายตัวนั้นดูเหมือน จะผิดไปจากความจริง แตก็เปนความคิดที่ระบบการศึกษาของไทยทําใหเกิดขึ้นในใจผูเรียนมาตั้งแตเด็ก จน เปนนิสัยที่จะไมชอบความไมแนนอนตายตัว ทั้ง ๆ ที่สิ่งไมแนนอนตายตัวก็เปนความรูหากธรรมชาติมีลักษณะ ที่ไมแนนอนตายตัว เราใหความสําคัญแกสถิต (static) มากกวาพลวัต (dynamic)เราจึงขาดความพยายามจะ หาความรูเรื่องพลวัต และพยายามทําใหพลวัตกลายเปนสถิตซึ่งขัดกับธรรมชาติ
  • 159. 150 ในเมื่อวิทยาศาสตรซึ่งหาความรูในขอบเขตของประสบการณที่เชื่อกันวาชัดเจนแนนอนยังไมตายตัว เชนนี้ ปรัชญาซึ่งหาความรูไปไกลกวาขอบเขตของประสาทสัมผัส ไปสูเรื่องนามธรรมเชน ความจริงสูงสุดหรือ คุณคาก็ยอมจะมีความไมชัดเจนและมีขอโตแยงกันยิ่งกวา แตปรัชญาแมมีขอโตแยงกันแตก็มิใชเปนไปอยาง เดาสุมและไรระเบียบ หากแตพยายามจะหาเหตุผลอยางชัดเจนเปนขั้นเปนตอนจนถึงที่สุด จนกระทั่งผูที่ไม ฉลาดและไมใชความคิดเหตุผลอยางเต็มที่ไมอาจเปนนักปรัชญาได ความรูที่แตกตางยอมเปนอันตรายแกความรูที่ยึดถือกันอยางแนนแฟนโดยไมสงสัยซักถามหาความ จริง เพราะทําใหสิ่งที่ยึดถือนั้นสั่นคลอนได และทําใหคนเรารูสึกวาจะหมดที่ยึดซึ่งเราเคยยึดเกาะและพึ่งพา อาศัย แตการที่เรายึดสิ่งใดไวโดยไมเปลี่ยนนั้นก็อาจทําใหเราเสื่อมลงเพราะโลกที่เปลี่ยนไปอาจทําใหสิ่งที่เรา ยึดถือตายตัวเชนนั้นไมเหมาะกับความเปลี่ยนแปลงความแตกตางอาจนําไปสูความเสียหายก็ได แตก็อาจนําไปสู ความเจริญก็ได ถาไมเกิดประชาธิปไตยโลกก็คงเปนสมบูรณาญาสิทธิราชย และคงเปนสมบูรณาญาสิทธิราชย ชนิดที่ไมมีการปรับปรุง เพราะไมมีแรงผลักดัน และอาจจะเปนสมบูรณาญาสิทธิราชยที่เลวรายก็ได แตเมื่อมี ประชาธิปไตยเกิดขึ้นสมบูรณาญาสิทธิราชยก็ตองมีความระมัดระวังและปรับปรุงในจุดเดนและลดจุดออนลง เพื่อจะดํารงอยูตอไปได แมประชาธิปไตยก็เชนกันถาไมมีสังคมนิยมมาเปนคูแขงหรือขอแตกตางก็จะนําไปสู ประชาธิปไตยในระบบธนาธิปไตย คณาธิปไตย หรือเผด็จการของคนสวนใหญได นําไปสูทุนนิยมผูกขาดที่มี การหลอกลวงและขูดรีดอยางมโหฬารได ความแตกตางทําใหเราเห็นวาทุกระบบตางก็มีขอดีและขอบกพรอง ทําใหเรามองเห็นขอเสียหรือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้น ไมเชื่อมั่นไปอยางตาบอด มีใจเผื่อไวสําหรับความลมเหลว มีความระมัดระวังในการ กาวไปตามความคิดใดความคิดหนึ่ง มีศรัทธาอยางมีเหตุผล ซึ่งก็คือตั้งอยูในความ “ไมประมาท” และมี “สติ” ความแตกตางยังทําใหเรารูวาปญหาใด ๆ ก็ตามมิใชแตมีทางออกเทานั้นแตยังมีทางออกที่เปน ทางเลือกใหเราหลายทาง แมวาในทุกๆทางตางก็มีขอดีขอเสียแตนั่นก็เปนเรื่องปกติของธรรมชาติที่มีขอจํากัด ตราบใดที่เรามองเห็นทุกชองทาง และเห็นทั้งขอดี ขอเสีย เราก็มีโอกาสแสวงหาขอดี และเลี่ยงขอเสียได ความไมแนนอนและความแตกตางจึงเปนธรรมชาติที่เราสามารถอยูรวมดวยไดโดยปลอดภัยและใชประโยชน ได บอน้ําที่อยูนิ่ง ๆ ก็มีภัย แตถาเรารูภัยของมันบอน้ําก็ไมเปนภัยและเปนประโยชนแกเรา ในเมื่อเราเลี่ยง ความแตกตางไมไดทางที่ดีที่สุดก็คือยอมรับและศึกษาใหเขาใจใหมากที่สุด เพื่อแสวงหาประโยชนจากความ แตกตางนั้น ความแตกตางทางปรัชญานั้นมิใชวาจะทําใหคนเราตัดสินใจไมไดวาจะเลือกปรัชญาระบบใด เพราะ การนําปรัชญาระบบใดไปใชขึ้นกับความพึงพอใจและศรัทธาตอระบบปรัชญานั้น และความพึงพอใจก็มักมา กับสถานการณอันเปนที่เกิดของระบบปรัชญานั้น เชนปรัชญาประชาธิปไตยของ จอหน ล็อค เปนที่ถูกใจ ของบรรดาชนชั้นกลางซึ่งเปนพอคาและมีอํานาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งปรารถนาจะหลุดพนจากอํานาจกษัตริย และศาสนจักร อันจะทําใหมีอํานาจทางเศรษฐกิจอยางเสรี สามารถทํากําไรไดมากขึ้นจากแรงงานที่มีให ขูดรีดอยางเหลือเฟอ สวนปรัชญาสังคมนิยมของคารล มารกซ เปนที่ถูกใจของชนชั้นกรรมาชีพที่ตองการ
  • 160. 151 ปฏิวัติโลกใหเปนสังคมนิยม เพื่อจะใหสังคมมีความเสมอภาคทางชนชั้น เพราะเปนสังคมสมัยที่ชนชั้น กรรมาชีพลําบากยากแคนและถูกนายทุนกดขี่ขูดรีดแรงงาน ปรัชญาของนักบุญ อะควีนัสใชในระบบ การศึกษาของยุโรปสมัยกลาง เชนเดียวกับปจจุบันปรัชญาปฏิบัตินิยมนิยมใชเปนปรัชญาการศึกษาของ ประเทศประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ปรัชญากฎหมายแบบปฏิฐานนิยม (positivism) มีอิทธิพลอยางสําคัญ ตอสํานักกฎหมายแบบสํานักกฎหมายบานเมือง (positive law) ที่นิยมกันในปจจุบัน อาจกลาวไดวาทั้ง การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย ลวนแตเปนการเลือกแนวคิดทางปรัชญามาใช ปฏิบัติทั้งสิ้น ขอเท็จจริงดังกลาวแสดงวาความแตกตางทางปรัชญาจึงไมเปนเหตุใหไมสามารถนําระบบ ปรัชญาไปใชได ความแตกตางทางปรัชญานั้นเมื่อวิเคราะหถึงที่สุดแลวก็คือความแตกตางทางความเชื่อ เพราะระบบ ปรัชญาทั้งหลายคือระบบความคิดที่เกิดจากการถามและตอบปญหาจนถึงที่สุด จนถึงสิ่งที่ไมอาจถามตอไปได และสิ่งนั้นก็คือความเชื่อที่อยูลึกที่สุดที่เปนฐานรองรับความเชื่ออื่น ๆ ดุจเดียวกับสัจพจนเปนความเชื่อหรือ ขอยอมรับที่เปนฐานลางสุดของเรขาคณิตที่รองรับขอพิสูจนความเชื่อตอ ๆ มาของเรขาคณิต ความเชื่อพื้นฐาน ที่สุดของวัตถุนิยมก็คือความเชื่อวานอกจากสารแลวไมมีอะไรอื่นอีกที่เปนความจริง สวนความเชื่อพื้นฐาน ที่สุดของจิตนิยมก็คือความเชื่อวานอกจากสสารแลวยังมีความจริงอื่นที่จริงยิ่งกวาและสําคัญกวาสสารความจริง นั้นมีลักษณะเปนจิตภาพหรือนามธรรม เมื่อเปนเชนนี้เราก็รูวาปญหาของการโตแยงในเรื่องตาง ๆ ที่เปน เรื่องสําคัญนั้นมักจะมาจากความเชื่อพื้นฐานดังกลาวตางกัน ถาเปลี่ยนความเชื่อพื้นฐานของฝายใดฝาย หนึ่งได การโตแยงก็จบไดงาย แตถาเปลี่ยนไมไดเราก็รูวาความขัดแยงจะดํารงอยูตอไปเพราะความเชื่อ พื้นฐานตางกัน ความรูเชนนี้ทําใหแกปญหาไดตรงจุด ความเชื่อที่ตางกันนี้อาจมีตั้งแตระดับตื้น ๆ เชน คนเราอาจรูขอเท็จจริงตรงกัน แตความเชื่อที่ตางกัน ทําใหตัดสินและมีพฤติกรรมตางกัน เชนคนสองคนอาจรูขอเท็จจริงเกี่ยวกับสถานบันเทิงตรงกัน คนหนึ่งอาจ เห็นวาเปนแหลงความสุขและไปเที่ยวสถานบันเทิงเปนประจําสวนอีกคนหนึ่งอาจเห็นวาเปนแหลงอบายมุข และรังเกียจแมแตจะเฉียดเขาไปใกล หากคนสองคนนี้พูดกันเกี่ยวกับสถานบันเทิงก็ยอมตองขัดแยงกัน ปรัชญาทําใหเราเห็นวาความเชื่อเปนเรื่องสําคัญและเปนเรื่องยากที่จะเปลี่ยน แมแตนักบุญอะควีนัส ผูเสนอขอพิสูจนความมีอยูของพระเจาโดยใชเหตุผลก็ยังกลาววาขอพิสูจนของทานแมจะมีเหตุผลสักเพียงไรก็ ไมทําใหคนที่ไมมีศรัทธาในพระเจาหันมายอมรับนับถือพระเจา แตจะทําใหคนที่ศรัทธาในพระเจาอยูแลวมี ศรัทธาแนนแฟนยิ่งขึ้นคนเรามักพูดวาจะเชื่อเรื่องใดก็ตอเมื่อมีเหตุผล แตสวนมากมักจะหาเหตุผลมาสนับสนุน ความเชื่อเสียมากกวา คนที่เชื่อวิทยาศาสตรมิไดเชื่อเพราะวิทยาศาสตรมีเหตุผล แตเชื่อเหตุผลในขอบเขตที่ วิทยาศาสตรเชื่อ ซึ่งตางกับเหตุผลในขอบเขตที่ผูอื่นเชนนักศาสนาเชื่อ ปญหาขัดแยงที่เกิดขึ้นในสังคม ทุกวันนี้ ไมวาปญหาใหญหรือเล็กลวนมาจากความเชื่อแทบทั้งสิ้น ปญหาความเขาใจขอเท็จจริงผิดมีไมมาก รัฐบาลกับฝายคาน ผูกอการรายในภาคใตกับฝายตรงขาม ความขัดแยงระหวางศาสนา ระหวางสํานักใน ศาสนาเดียวกัน ระหวางนักคากําไรกับคนเครงศาสนา นักการเมืองกับนักวิชาการ คนเหลานี้ลวนแตมีความ
  • 161. 152 เชื่อตางกัน และมองอีกฝายหนึ่งในแงราย หากไมมีการปรับความเชื่อใหประนีประนอมกันได ก็ยากที่จะ แกปญหาได เพราะไมวาฝายใดฝายหนึ่งจะทําอะไร จะพูดอะไร อีกฝายหนึ่งก็จะนําไปพิจารณาจากความ เชื่อของตน นักปรัชญาซึ่งศึกษาปญหาชนิดนี้ก็อาจไมใจกวางกวาคนทั่วไปมากนัก แตอยางนอยก็จะใจกวาง กวาเมื่อกอนที่จะไดศึกษาปรัชญา สามารถรับฟงและเขาใจผูที่มีความเชื่อตางกับตนไดมากกวา ปรัชญา อาจขจัดความขัดแยงไมได แตอาจชวยลดความขัดแยงได ปรัชญาทําใหคนเราพยายามแสวงหาความจริง และความกระจางดวยการชักถามหาเหตุผล ความเชื่อที่ขาดรากฐานทางเหตุผลอาจสั่นคลอนไดงายดวย คําถามทางปรัชญา จึงอาจเปนภัยตอความเชื่อเชนนั้นมากบางนอยบาง แตไมใชความตั้งใจของปรัชญาที่ จะทําลายผูอื่น ปรัชญาอาจทําใหผูมีศรัทธารูสึกหงุดหงิดที่ถูกตั้งคําถาม แตถาจะรักษาศรัทธานั้นไวก็ตอง พยายามตอบดวยเหตุผล ในแงนี้ปรัชญาก็ชวยใหศรัทธานั้นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเหตุผลมากขึ้น ปรัชญามีแต ขอดี ไมมีอะไรเสียหาย ปรัชญาจะเสียหายก็เมื่อผูใชปรัชญานําวิธีการและความรูไปใชดวยจิตใจที่มุงทําราย ผูอื่นมากกวาจะมุงคนหาความกระจางในเรื่องที่เปนจริงและดีงาม หากผูใชมีจิตใจเชนนั้น ไมวาวิชาใดก็เปน ผลรายไดทั้งสิ้น วิชาก็เหมือนมีดที่ใชตัด จะตัดดีหรือตัดรายก็อยูที่ใจของคน
  • 162. 153 บรรณานุกรม Armitage,Angus,TheWorldofCopernicus. NewYork:TheNewAmericanLibraryofWorldLiterature,Inc. 1963. Ayer, A. J. Language Truth and Logic. Middlesex : Penguin Books, Ltd. 1971. Christian, J. L. Philosophy. New York : Holt, Rinehart and Winston. 1977. Copleston, F. A History of Philosophy . New York : Image Books, 1963. Einstein, Albert, Essays in Science New York : Philosophical Library, 1934. Ewing,A.C.TheFundamentalQuestionsofPhilosophy London:Routledge&KeganPaulLtd.1951. Hamilton,E.andCairns,H.TheColledtedDialoguesofPlato.NewJersey:PrincetonUniversityPress, 1971. Hoernle’, R.F. .Idealism. London : Hodder & Stroughton, 1924. Hospers, John, Human Conduct. New York : Harcourt Brace Jovanovich, Inc. 1982. Hull, David. The Philosophy of Biological Science. New Jersey : Prentice – Hall Inc.1974. O’connor, D. J. Free Will. New York : Double day & Company, Inc. 1971. Renou, Louis. Hinduism. London : Prentice – Hall, 1961. Sellars, W. and Hospers, J.Readings in Ethical TheoryNew York : Appleton – Century – Crofts, 1970. กรมศิลปากร. ปญหาพระยามิลินท. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2483. ปรีชา ชางขวัญยืน. อุตมรัฐ . เปลโต แตง. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2523. ปรีชา ชางขวัญยืนและสมภาร พรมทา,บรรณาธิการ.มนุษยกับศาสนา.กรุงเทพฯ:โครงการตําราคณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,2543. ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. รวมบทความปรัชญา เอกสารอัดสําเนา. กรุงเทพฯ : คณะอักษรศาสตร, มปป. สุนทร ณ รังษี. พุทธปรัชญาจากพระไตรปฎก. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2541. เสถียร โพธินันทะ. เมธีตะวันออก. พิมพครั้งที่ 7 กรุงเทพฯ : สรางสรรคบุคส, 2544. อดิศักดิ์ ทองบุญ. ปรัชญาอินเดีย. พิมพครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2546.