ชื่องานโครงงาน โครงการเริ่องอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม
ชื่อผู้จัดทาโครงงาน นายจักรกริช คิดเห็น ระดับชั้น ปวช 2/1 ปีการศึกษา 2554
แผนก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา นางสาวปรารถนา เจริญดี
บทคัดย่อ
จากข้อความข้างตนเป็นการยกตัวอย่างบางส่วนของการกระทาของมนุษย์ในปัจจุบัน
เท่านั้น จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ซึ่งถ้าไม่มีการ
กรองน้าเสียหรือการบาบัดน้าเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง จะก่อให้เกิดมลพิษทางน้า ซึ่งมี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ทั้งที่อยู่ในน้าและบนบก ทาให้ความหลากหลายของชนิดพันธุ์
ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นลดลง สัตว์น้าขาดออกซิเจนตายแล้วทาให้น้าเน่าเสีย มนุษย์ก็ต้อง
รับประทานสัตว์น้าที่มีสารเคมีเจือปนอยู่ในตัวสัตว์น้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรช่วยกันรักษา
สิ่งแวดล้อมทางน้า โดยการบาบัดน้าให้มีคุณภาพดีขึ้นก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง ด้วยเหตุนี้คณะ
ผู้จัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์จึงได้คิดประดิษฐ์อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษ
ทางน้าที่เกิดจากความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในสังคมยุคปัจจุบัน และยังรักษา
สิ่งแวดล้อมให้ดารงไว้
บทที่ 1
บทนา
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
น้ามีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิต ทั้งในด้านอุปโภคและบริโภคแต่ในปัจจุบันมนุษย์
ใช้น้าอย่างไม่คานึงถึงความสาคัญของน้า ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นเห็นแก่ตัว มักง่าย เช่น ใช้ในการชาระล้าง
ร่างกาย และสิ่งของเครื่องใช้แล้วก็ปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยไม่มี การกรองหรือการบาบัดก่อน
ปล่อยลงสู่แม่น้า ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางน้า
จากข้อความข้างตนเป็นการยกตัวอย่างบางส่วนของการกระทาของมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น จะเห็น
ได้ว่ามนุษย์นั้นปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ซึ่งถ้าไม่มีการกรองน้าเสียหรือการ
บาบัดน้าเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง จะก่อให้เกิดมลพิษทางน้า ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ
สิ่งมีชีวิต ทั้งที่อยู่ในน้าและบนบก ทาให้ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณ
นั้นลดลง สัตว์น้าขาดออกซิเจนตายแล้วทาให้น้าเน่าเสีย มนุษย์ก็ต้องรับประทานสัตว์น้าที่มีสารเคมีเจือปน
อยู่ในตัวสัตว์น้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้า โดยการบาบัดน้าให้มี
คุณภาพดีขึ้นก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง ด้วยเหตุนี้คณะผู้จัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์จึงได้คิดประดิษฐ์
อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางน้าที่เกิดจากความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของ
มนุษย์ในสังคมยุคปัจจุบัน และยังรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดารงไว้
จุดมุ่งหมายของโครงงาน
1. เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ล้างจานบาบัดน้าเสีย
2. เพื่อบาบัดน้าเสียที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้า
3. เพื่อเป็นแนวทางในการประดิษฐ์อ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย และผู้อื่นสามารถศึกษาและนาไปพัฒนา
ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
4. เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ ฝึกการคิดวิเคราะห์
สังเคราะห์และสร้างสรรค์
5. เพื่อฝึกการทางานเป็นหมู่คณะ
สมมติฐาน
อ่างล้างจานบาบัดน้าเสียสามารถทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมีคุณภาพดีขึ้นได้
นิยามเชิงปฏิบัติการ
คุณภาพของน้าที่ดีในการทดลองครั้งนี้ หมายถึง น้าที่ใส ไม่มีสี ไม่มีเศษตะกอน มีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่มี
สารตกค้าง ซึ่งทดสอบได้โดยใช้สารเคมี ใช้ประสาทสัมผัส ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และใช้
เครื่องมือวัดค่า pH
ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
1. น้าเหลือทิ้งจากการล้างจานที่นามาทดลองได้มาจากน้าล้างจานของร้านข้าวแกงในโรงเรียนวัด
ราชาธิวาส ร้านรัตนา ซึ่งเก็บในวันที่ 20 พ.ย. 2550 เวลา 13.20 น.
2. การตรวจสอบคุณภาพของน้าในที่นี้ ตรวจสอบสารที่ปนเปื้อนน้าเพียง 5 ชนิด ได้แก่ แป้ ง ,น้าตาล
โมเลกุลเดี่ยว , ไขมัน , โปรตีน , แคลเซียม
3. คุณภาพของน้าที่ได้จากการทดลองครั้งนี้ หมายถึง น้าที่ใส ไม่มีสี ไม่มีเศษตะกอน มีคุณสมบัติเป็น
กลาง ไม่มีสารตกค้าง ซึ่งทดสอบได้โดยใช้สารเคมี ใช้ประสาทสัมผัส ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็ก และใช้เครื่องมือวัดค่า pH
บทที่ 2
เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
มลพิษ หมายความว่า ของเสีย วัตถุอันตรายและมวลสารอื่นๆ รวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างเหล่านั้น ที่
ถูกปล่อยทิ้งจากแหล่งกาเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ
คุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือภาวะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้และให้หมายถึง รังสี ความ
ร้อน แสง เสียง คลื่น ความสั่นสะเทือน หรือเหตุราคาญอื่นๆ ที่เกิดหรือปล่อยออกจากแหล่งน้าต้นกาเนิด
มลพิษ
ของเสีย หมายความว่า ขยะมูลฝอยสิ่งปฏิกูล น้าเสีย อากาศเสีย มวลสาร หรือวัตถุอันตรายอื่นใด ซึ่งถูก
ปล่อยทิ้งหรือมีที่มาจากแหล่งกาเนิดมลพิษรวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่อยู่ในสภาพ
ของแข็งของเหลว หรือก๊าซ
น้าเสีย หมายความว่า ของเสียที่อยู่ในสภาพเป็นของเหลวรวมทั้งมวลสารที่ปะปนหรือปนเปื้อนอยู่ใน
ของเหลวนั้น
จาแนกประเภทของมลพิษทางน้า
มลพิษทางน้าสามารถจาแนกออกได้ดังนี้
1. น้าเน่า ได้แก่ น้าที่มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้าต่า มีสีดาคล้าและอาจส่งกลิ่นเหม็น น้าประเภทนี้
เป็นอันตรายต่อการบริโภค การประมง และทาให้สูญเสียคุณค่าทางการพักผ่อนของมนุษย์
2. น้าเป็นพิษ ได้แก่ น้าที่มีสารพิษเจือปนอยู่ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และ สัตว์น้า
เช่น สารประกอบของปรอท ตะกั่ว สารหนู แคดเมี่ยม ฯลฯ
3. น้าที่มีเชื้อโรค ได้แก่ น้าที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ เช่น เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อบิด เชื้อไข้ไทฟอยด์
เจือปนอยู่ เป็นต้น
4. น้าขุ่นข้น ได้แก่ น้าที่มีตะกอนดินและทรายเจือปนอยู่เป็นจานวนมากจนเป็นอันตรายต่อ สัตว์
น้า และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ของมนุษย์
5. น้าร้อน ได้แก่ น้าที่ได้รับการถ่ายเทความร้อนจากน้าทิ้ง จนมีอุณหภูมิที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นไปตาม
ธรรมชาติ ส่วนใหญ่เกิดจากการระบายน้าหล่อเย็นจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหล่งน้า ซึ่งจะมี
ผลกระทบต่อการดารงชีวิต และการแพร่พันธุ์ของสัตว์น้า ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
6. น้าที่มีกัมมันตภาพรังสี ได้แก่ น้าที่มีสารกัมมันตภาพรังสีเจือปนในระดับที่เป็นอันตราย
7. น้ากร่อย ได้แก่ น้าจืดที่เสื่อมคุณภาพเนื่องจากการละลายของเกลือในดินหรือน้าทะเลไหลหรือซึม
เข้าเจือปน
8. น้าที่มีคราบน้ามัน ได้แก่ น้ามันหรือไขมันเจือปนอยู่มาก
ลักษณะของมลพิษทางน้า
น้าที่เกิดภาวะมลพิษจะมีองค์ประกอบของคุณภาพน้าที่แตกต่างจากน้าดี ซึ่งจะมีดัชนีต่างๆ เป็นตัวบ่งบอก
สมารถแยกออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
1. ลักษณะทางกายภาพ
ลักษณะทางกายภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า มีดัชนี
บ่งบอกลักษณะทางกายภาพที่สาคัญได้แก่
1.1 อุณหภูมิ ( Temperature ) เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลโดยตรงและโดยอ้อมต่อการดารงชีวิตของสัตว์น้า
โดยปกติอุณหภูมิของน้าจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของอากาศ ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาล ระดับความสูงและ
สภาพภูมิประเทศ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงอาทิตย์กระแสลม ความลึก ปริมาณสาร
แขวนลอยหรือความขุ่นและสภาพแวดล้อมทั่ว ๆ ไปของแหล่งน้า สาหรับประเทศไทยอุณหภูมิจะแปรผัน
ในช่วง 20 – 30 องศาเซลเซียส การปล่อยน้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอุณหภูมิสูงลงสู่แหล่งน้าหรือน้า
จากระบบหล่อเย็นจะทาให้อุณหภูมิของน้าสูงกว่าระดับปกติตามธรรมชาติซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อสัตว์
น้าและระบบนิเวศวิทยาของแหล่งน้าบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้อุณหภูมิของน้ายังมีผลต่อสภาพแวดล้อม
ทางเคมีภาพ เช่น ออกซิเจนละลายในน้า คือ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้าจะลดลง ถ้าอุณหภูมิของน้า
สูงขึ้นในขณะเดียวกันขบวนการเมตตาโบลิซึมและการทางานของพวกจุลินทรีย์ต่างๆ ในน้าก็จะเพิ่มขึ้น
ดังนั้นจึงทาให้ความต้องการปริมาณออกซิเจนละลายในน้าสูงขึ้น จึงอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนออกซิเจน
ขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางอ้อม เช่น อุณหภูมิของน้าที่สูงขึ้นจะทาให้พิษของสารพิษต่าง ๆ มีความ
รุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิสูงช่วยเร่งการดูดซึมการแพร่กระจายของพิษสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามสารพิษบางชนิดจะมีพิษลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิไปทาปฏิกิริยาย่อย
สลายและกาจัดสารพิษออกนอกร่างกายได้เร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังทาให้ความต้านทานโรคของสัตว์น้า
เปลี่ยนแปลงไป เชื้อโรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายได้ดีในระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ( ไมตรี และ
คณะ , 2528 )
1.2 สี ( Colour ) การตรวจสีของน้าในบางครั้งนิยมปฏิบัติกัน เนื่องจากสามารถแสดงให้เห็นอย่างคร่าว ๆ
เกี่ยวกับกาลังการผลิต สภาพแวดล้อมและสารแขวนลอยที่มีอยู่ในแหล่งน้านั้น สีของน้าเกิดจากการสะท้อน
ของแสง จาแนกได้ 2 ประเภท คือ
1) สีจริง (True Colour )เป็นสีของน้าที่เกิดจากสารละลายชนิดต่างๆ อาจจะเป็นสารละลายจากพวกอนินท
รีย์สารหรือพวกอินทรีย์สารซึ่งทาให้เกิดสีของน้า สีจริงไม่สามารถแยกออกได้โดยการตกตะกอน และการ
กรอง
2) สีปรากฏ (Apparent colour ) เป็นสีของน้าที่เกิดขึ้นแล้วเราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่เกิดจาก
ตะกอนของน้า สารแขวนลอย เศษซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมในน้าก็เป็นตัวการสาคัญที่ก่อให้เกิดสีของน้า
ได้
1.3 ความขุ่น (Turbidity ) ความขุ่นของน้าจะแสดงให้เห็นว่ามีสารแขวนลอยอยู่มากน้อยเพียงใด สาร
แขวนลอยที่มีอยู่ เช่น ดินละเอียด อินทรีย์สารอนินทรีย์สาร แพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สารเหล่านี้จะ
กระจายและขัดขวางไม่ให้แสงส่องลงไปได้ลึก โดยสารเหล่านี้จะดูดซับเอาแสงไว้
1.4 กลิ่น (Oder ) กลิ่นจากน้าเสียส่วนมากแล้วมากจากก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในน้าเสีย
ก๊าซส่วนใหญ่จะเป็น H2S ที่เกิดจากจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน
1.5 รส ( Taste ) น้าสะอาดตามธรรมชาติจะไม่มีรส การที่น้ามีรสผิดไปเนื่องจากมีสารอินทรีย์หรือสารอนิ
นทรีย์ปะปนอยู่ เช่น น้าที่มีรสกร่อย ทั้งนี้เนื่องจากมีเกลือคลอไรด์ละลายอยู่ในน้านั้นในปริมาณสูง
2. ลักษณะทางเคมีภาพ
ลักษณะทางเคมีภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่เกิดจากการที่น้ามีสารเคมีเจือปนจนทาให้เกิด
สภาวะทางเคมีขึ้นในน้า มีดัชนีบ่งบอกลักษณะทางเคมีภาพที่สาคัญได้แก่
2.1 การนาไฟฟ้า (Conductivity ) เป็นลักษณะของน้าที่บอกถึงความสารถของน้าที่จะให้กระแสไฟฟ้าไหล
ผ่าน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารที่มีประจุไฟฟ้าในน้า ความนาไฟฟ้าไม่ได้เป็นค่าเฉพาะอิออนตัวใด
ตัวหนึ่ง แต่เป็นค่ารวมของอิออนทั้งหมดในน้า ค่านี้ไม่ได้บอกให้ทราบถึงชนิดของสารในน้า บอกแต่เพียง
ว่ามีการเพิ่มหรือลดของอิออนที่ละลายน้าเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าค่าความนาไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่ามีสารที่แตก
ตัวในน้าเพิ่มขึ้นหรือถ้าค่าความนาไฟฟ้าลดลงก็แสดงว่าสารที่แตกตัวได้ในน้าลดลง ความนาไฟฟ้านิยมวัด
ออกมาในรูปอัตราส่วนของความต้านทาน โดยหน่วยเป็น Microsiemen หรือ us/cm อุณหภูมิจะมีผลต่อการ
แตกตัวของอิออน อุณหภูมิสูง ค่าการแตกตัวจะมากขึ้น ความนาไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น
2.2 ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรดหรือด่างของน้า น้าที่มีสภาพเป็นกรดจะมีค่า
ความเป็นกรดเป็นด่างน้อยกว่า 7 และน้าที่เป็นด่างจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างมากกว่า 7 น้าคาม
ธรรมชาติจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.5 – 8.5 ซึ่งความแตกต่างของ pH ขึ้นอยู่กับลักษณะ
ของภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมหลายประการ เช่น ลักษณะของพื้นดินและหิน ปริมาณ ฝนตกตลอดจน
การใช้ที่ดินในบริเวณแหล่งน้า ระดับ pH ของน้าจะเปลี่ยนแปลงตาม pH ของดินด้วย นอกจากนี้สิ่งที่มีชีวิต
ในน้า เช่น จุลินทรีย์และแพลงก์ตอนพืช ก็สามารถทาให้ค่า pH ของน้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย
2.3 ออกซิเจนละลายในน้า ( Dissolved Oxygen;DO ) หมายถึง เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณออกซิเจนที่
ละลายในน้า ซึ่งออกซิเจนจะมีความสาคัญมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้า ปริมาณออกซิเจนในน้าจะเปลี่ยนแปลงไป
ตามอุณหภูมิของน้าและความกดดันของบรรยากาศ ในฤดูร้อนปริมาณของออกซิเจนที่ละลายในน้าน้อยลง
เพราะว่าอุณหภูมิสูงขณะเดียวกันที่การย่อยสลายและปฏิกิริยาต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ทาให้ความต้องการของ
ออกซิเจนเพื่อไปใช้กิจกรรมเหล่านั้นสูงไปด้วย ในแหล่งน้าธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ระหว่าง 5 –
7 มิลลิกรัมต่อลิตร
2.4 บีโอดี ( Biochemical Oxygen Demand;BOD ) เป็นค่าที่บอกถึงปริมาณของออกซิเจนที่ถูกใช้ในการย่อย
สลายอินทรีย์ชนิดที่ย่อยสลายได้ภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน โดยจุลินทรีย์ในช่วงเวลา 5 วันที่อุณหภูมิ 20
องศาเซลเซียส เป็นค่าที่นิยมใช้กันมากในการแสดงถึงความสกปรกมากน้อยเพียงใดของน้าเสียจากชุมชน
และโรงงานต่าง ๆ เป็นค่าที่สาคัญมากในการออกแบบและควบคุมระบบบาบัดน้าเสียโดยทางชีวภาพ
สามารถใช้บ่งบอกถึงค่าภาระอินทรีย์และใช้ในการหาประสิทธิภาพของระบบบาบัดน้าเสีย การวัดค่าของ
BOD ยังใช้สาหรับการตรวจสอบคุณภาพของน้าในแม่น้าลาคลองอีกด้วย
2.5 ซีโอดี ( Chemical Oxyhen Demand;COD ) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณของออกซิเจนที่ต้องการใช้ใน
การทาปฏิกิริยาออกซิไดซ์สารอินทรีย์ในน้า โดยใช้สารเคมีที่มีอานาจในการออกซิไดซ์ได้สูง เช่น โปแต
สเซียมไดโครเมต (K2Cr207) ในสภาพสารละลายที่เป็นกรด สารอินทรีย์ชนิดทั้งที่จุลินทรีย์ย่อยสลายได้
หรือไม่ได้จะถูกออกซิไดซ์หมด ค่าซีโอดีมักจะมากกว่าค่าบีโอดีอยู่เสมอ ค่าซีโอดีจึงเป็นค่าที่บ่งบอกถึง
ความสกปรกของน้าเช่นเดี่ยวกันกับค่าบีโอดี สาหรับประโยชน์ของการหาค่า COD คือใช้เวลาของการ
วิเคราะห์น้อย สามารถหาค่าได้เลยในห้องปฏิบัติการ แต่สาหรับ BOD ต้องใช้เวลาถึง 5 วัน จึงจะทราบผล
3. ลักษณะทางชีวภาพ
ลักษณะทางชีวภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่เกิดจากการมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งปะปน
ในน้า และเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์น้าได้ดัชนีบ่งบอกลักษณะทางชีวภาพ ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช-สัตว์
แบคทีเรียที่ทาให้เกิดโรคติดต่อทางน้าและอาหาร เชื้อไวรัส เชื้อราและพวกหนอนพยาธิต่าง ๆ
ผลกระทบเนื่องจากมลพิษทางน้า
1. ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม
2. ผลกระทบต่อการประมง
3. ผลกระทบต่อการสาธารณสุข ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
4. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
5. ผลกระทบต่อการผลิตน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค
6. ผลกระทบต่อการคมนาคม
7. ผลกระทบต่อทัศนียภาพ
8. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
น้าเสีย หมายถึง น้าที่มีสารใด ๆ หรือสิ่งปฏิกูลที่ไม่พึงปรารถนาปนอยู่ การปนเปื้อนของสิ่งสกปรกเหล่านี้
จะทาให้คุณสมบัติของน้าเปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถนากลับมาใช้ประโยชน์ได้สิ่ง
ปนเปื้อนที่อยู่ในน้าเสีย ได้แก่ น้ามัน ไขมัน ผลซักฟอก สบู่ ยาฆ่าแมลง สารอินทรีย์ที่ทาให้เกิดการเน่าเหม็น
และเชื้อโรคต่าง ๆ สาหรับแหล่งที่มาของน้าเสียพอจะแบ่งได้เป็น 2 แหล่งใหญ่ ๆ ดังนี้
1. น้าเสียจากแหล่งชุมชน มาจากกิจกรรมสาหรับการดารงชีวิตของคนเรา เช่น อาคารบ้านเรือน หมู่บ้าน
จัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม ตลาดสด โรงพยาบาล เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าความเน่าเสียของคูคลอง
เกิดจากน้าเสียประเภทนี้ ถึงกรรมวิธีในการบาบัดน้าเสีย การบาบัดน้าเสียให้เป็นน้าที่สะอาดก่อนปล่อยทิ้ง
เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาแม่น้าลาคลองเน่าเสีย โดยอาศัยกรรมวิธีต่างๆ เพื่อลดหรือทาลายความ
สกปรกที่ปนเปื้อนอยู่ในห้องน้า ได้แก่ ไขมัน น้ามัน สารอินทรีย์สารอนินทรีย์สารพิษ รวมทั้งเชื้อโรคต่าง
ๆให้หมดไปหรือให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้าก็จะไม่ทาให้แหล่งน้านั้นเน่าเสียอีกต่อไป
ขั้นตอนในการบาบัดน้าเสีย
เนื่องจากน้าเสียมีแหล่งที่มาแตกต่างกันจึงทาให้มีปริมาณและความสกปรกของน้าเสียแตกต่างกันไปด้วย
ในการปรับปรุงคุณภาพของน้าเสียจาเป็นจะต้องเลือกวิธีการที่เหมาะสมสาหรับกรรมวิธีในการปรับปรุง
คุณภาพของน้าเสียนั้นก็มีหลายวิธีด้วยกัน โดยพอจะแบ่งขั้นตอนในการบาบัดออกได้ดังนี้
การบาบัดน้าเสียขั้นเตรียมการ (Pretreatment )
เป็นการกาจัดของแข็งขนาดใหญ่ออกเสียก่อนที่น้าเสียจะถูกปล่อยเข้าสู่ระบบบาบัดน้าเสีย เพื่อป้ องกัน
การอุดตันท่อน้าเสียและเพื่อไม่ทาความเสียหายให้แก่เครื่องสูบน้า การบาบัดในขั้นนี้ ได้แก่ การดักด้วย
ตะแกรง เป็นการกาจัดของแข็งขนาดใหญ่โดยใช้ตะแกรง ตะแกรงที่ใช้โดยทั่วไปมี 2 ประเภทคือ ตะแกรง
หยาบและตะแกรงละเอียด การบดตัดเป็นการลดขนาดหรือปริมาตรของแข็งให้เล็กลง ถ้าสิ่งสกปรกที่ลอยมา
กับน้าเสียเป็นสิ่งที่เน่าเปื่อยได้ต้องใช้เครื่องบดตัดให้ละเอียด ก่อนแยกออกด้วยการตกตะกอน การดักกรวด
ทรายเป็นการกาจัดพวกกรวดทรายทาให้ตกตะกอนในรางดักกรวดทราย โดยการลดความเร็วน้าลง การ
กาจัดไขมันและน้ามันเป็นการกาจัดไขมันและน้ามันซึ่งมักอยู่ในน้าเสียที่มาจากครัว โรงอาหาร ห้องน้า ปั้ม
น้ามัน และโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิดโดยการกักน้าเสียไว้ในบ่อดักไขมันในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้น้ามัน
และไขมันลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้าแล้วใช้เครื่องตักหรือกวาดออกจากบ่อ
การบาบัดน้าเสียขั้นที่สอง (Secondary Treatment )
เป็นการกาจัดน้าเสียที่เป็นพวกสารอินทรีย์อยู่ในรูปสารละลายหรืออนุภาคคอลลอยด์ โดยทั่วไปมักจะ
เรียกการบาบัด ขั้นที่สองว่า “ การบาบัดน้าเสียด้วยขบวนการทางชีววิทยา ” เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ต้อง
อาศัยจุลินทรีย์ในการย่อยสลายหรือทาลายความสกปรกในน้าเสีย การบาบัดน้าเสียในปัจจุบันนี้อย่างน้อย
จะต้องบาบัดถึงขั้นที่สองนี้ เพื่อให้น้าเสียที่ผ่านการบาบัดแล้วมีคุณภาพมาตรฐานน้าทิ้งที่ทางราชการ
กาหนดไว้การบาบัดน้าเสียด้วยขบวนการทางชีววิทยาแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ขบวนการที่ใช้ออกซิเจน
เช่น ระบบบ่อเติมอากาศ ระบบแคติเวคเตดสลัดจ์ ระบบแผ่นหมุนชีวภาพ ฯลฯ และ ขบวนการที่ไม่ใช้
ออกซิเจน เช่น ระบบถังกรองไร้อากาศ ระบบถังหมักตะกอน ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของจุลินทรีย์ที่ทา
หน้าที่ย่อยสลาย
การบาบัดน้าเสียขั้นสูง ( Advanced Treatment )
เป็นการบาบัดน้าเสียที่ผ่านการบาบัดในขั้นที่สองมาแล้ว เพื่อกาจัดสิ่งสกปรกบางอย่างที่ยังเหลืออยู่ เช่น
โลหะหนัก หรือเชื้อโรคบางชนิดก่อนจะระบายทิ้งลงสู่แหล่งน้าสาธารณะ การบาบัดขั้นนี้มักไม่นิยมปฏิบัติ
กัน เนื่องจากมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง นอกจากผู้บาบัดจะมีวัตถุประสงค์ในการนาน้าที่บาบัด
แล้วกลับคืนมาใช้อีกครั้ง ประมาณ75%
เครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช
พิสูจน์ว่า เส้นใยพืชชนิดใดมีประสิทธิภาพในการกรองของเสียได้มากที่สุด โดยเส้นใยของพืชที่
นามาใช้ในการทดลองมีดังนี้
1. ผักตบชวา
2. กาบกล้วย
3. เปลือกมะพร้าว
4. ผักกระเฉด
โดยการเทน้าทิ้งจากครัวลงในภาชนะที่มีเส้นใยชนิดต่าง ๆ สังเกตและวัดค่า pH ของน้า โดยทาการ
ทดลอง 2 ชุด ชุดแรกจะใช้เส้นใยตามธรรมชาติ และชุดที่ 2 จะใช้เส้นใยที่ได้จากการปั่น ผลการศึกษาพบว่า
เส้นใยของผักตบชวาที่มีในธรรมชาติมีประสิทธิภาพในการกรองน้าที่ดีที่สุด รองลงมาคือเส้นใยของกาบ
กล้วยตามธรรมชาติ เส้นใยกาบกล้วยที่ได้จากการปั่น เส้นใยผักกระเฉดที่ได้จากการปั่น เส้นใยผักกระเฉด
จากธรรมชาติ เส้นใยเปลือกมะพร้าวจากธรรมชาติ เส้นใยผักตบชวาจากการปั่น และเส้นใยเปลือกมะพร้าว
จากการปั่น ตามลาดับ โดยค่า pH ไม่แตกต่างกัน
ชุดเครื่องกรองน้าอย่างง่าย
น้าคลองมีสารที่ไม่ละลายน้าปนอยู่และแม้จะตั้งทิ้งไว้เป็นเวลานาน สารเหล่านั้นก็ยังไม่ตกตะกอน แต่
เราสามารถใช้สารส้มเป็นตัวทาให้สารเหล่านั้นรวมตัวกันจมสู่ก้นภาชนะได้วิธีนี้เรียกว่า การทาให้
ตกตะกอน ซึ่งยังคงเป็นวิธีที่ใช้กันมาก เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายน้อย
วิธีการกรองเป็นวิธีที่ใช้แยกสารที่ไม่ละลายน้าออกจากน้าหรือของเหลวเมื่อเราเทน้าหรือของเหลวผ่าน
กระดาษกรอง น้าหรือของเหลวจะผ่านกระดาษกรองลงไป ส่วนสารที่ไม่ละลายน้ามีขนาดใหญ่กว่ารูของ
กระดาษกรองจึงไม่สามารถผ่านกระดาษกรองได้ ปัจจุบันมีการประดิษฐ์เครื่องกรองที่ใช้วัสดุต่าง ๆ
กัน เครื่องกรองบางชนิดใช้ไส้กรองซึ่งทาด้วยเซรามิกส์ที่มีรูพรุนขนาดเล็ก บางชนิดใช้สารดูดซับสีและ
สารเจือปนในน้า เพื่อทาให้น้ามีความสะอาดมากขึ้น บางชนิดใส่ถ่านกัมมันต์ ( คือ ถ่านชนิดหนึ่งที่ได้รับ
การเพิ่มคุณภาพมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ถ่านกัมมันต์ทาจากแกลบ กะลามะพร้าว ขี้เลื่อย ชาน
อ้อย กระดูกหรือเขาสัตว์) เพื่อดูดสีและกลิ่น นอกจากนี้เครื่องกรองบางชนิดอาจใส่วัสดุหลาย ๆ ชนิดผสม
กันก็ได้ โดยเครื่องกรองน้าคลองจัดทาขึ้นเพื่อช่วยลดปัญหาน้าขุ่นจากตะตอนดิน และสามารถนาน้า ที่
กรองได้มาใช้อุปโภคภายในบ้านโดยการแกว่งน้าคลองปริมาตร 4,000 cm3 ด้วยสารส้ม 5 กรัม รอ
จนกระทั่งสารแขวนลอยตกตะกอน เปิดน้าให้ไหลผ่านชุดเครื่องกรองน้า 2 ชุด ซึ่งแต่ละชุดมีวัสดุ ชั้น
กรองเรียงกันตามลาดับจากด้านล่างถึงด้านบนของชุดกรองน้าเรียงกัน คือ ใยแก้ว กรวดหยาบ กรวด
ละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทรายหยาบ ทรายละเอียด และใยแก้ว โดยมีอัตราส่วนของชั้นกรองที่เหมาะสมที่สุด
คือ 1:100:90:80:90:90:1 ตามลาดับ พบว่า ลักษณะของน้าที่กรองได้เป็นสีใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และมีตะกอน
ปนอยู่ในน้าน้อยมาก
บทที่ 3
วัสดุอุปกรณ์และขั้นตอนวิธีในการดาเนินงาน
วัสดุอุปกรณ์
 ชนิดวัสดุที่นามาทาตัวเครื่องล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม จานวน
1. น๊อต 10 ตัว
2. ถังน้า 2 ถัง
3. เหล็กฉากขนาด 40 cm 8 ท่อน
4. เหล็กฉากขนาด 53 cm 8 ท่อน
5. เหล็กฉากขนาด 110 cm 4 ท่อน
6. อ่างล้างจาน ( สแตนเลส ) เหลือใช้แล้ว 1 อ่าง
7. สเปย์( สีส้มสะท้อนแสง ) 1 กระป๋ อง
8. สเปย์( สีชมพูสะท้อนแสง ) 1 กระป๋ อง
9. สติกเกอร์ ( สีส้มสะท้อนแสง ) 1 แผ่น
10. กุญแจแหวน 1 อัน
11. เลื่อย 1 อัน
12. พลาสติกใส 4 เมตร
 ชนิดของวัสดุที่นามาทาเครื่องกรองน้าจากเส้นใยธรรมชาติ
1. ผักตบชวา 1 กิโลกรัม
2. ตะกร้าพลาสติก 5 ใบ
3. ผ้าขาวบาง 2 เมตร
 ชนิดของวัสดุที่นามาทาเครื่องกรองน้าแบบง่าย
1. ถังพลาสติกใส ๆ 1 ถัง
2. ใยแก้ว 1 ถัง
3. กรวดหยาบ 2 กิโลกรัม
4. กรวดละเอียด 2 กิโลกรัม
5. ทรายหยาบ 2 กิโลกรัม
6. ทรายละเอียด 2 กิโลกรัม
7. ถ่านกัมมันต์ 1 ถุงใหญ่
 ชนิดของวัสดุที่ใช้ในการทดสอบหาสิ่งมีชีวิต สารปนเปื้อนในน้า
1. บิ๊กเกอร์ขนาด 1,000 ml 9 ใบ
2. บิ๊กเกอร์ขนาด 250 ml 9 ใบ
3. หลอดทดลองขนาดเล็ก 9 หลอด
4. หลอดหยดสาร 5 อัน
5. แท่งแก้วคนสาร 5 อัน
6. ที่วางหลอดทดลอง 2 อัน
7. สารละลายไอโอดีน 20 ลบ.ซม.
8. สารละลายไบยูเร็ต 20 ลบ.ซม.
9. สารละลายเบเนดิกส์ 20 ลบ.ซม.
10. สารละลายกรดซัลฟิวริก 20 ลบ.ซม.
11. สารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต 20 ลบ.ซม.
12. กุ้งฝอย 1 ถุง
13. ไรแดง 1 ถุง
14. เครื่องวัดค่า pH 1 ถุง
15. น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ตัวอย่างที่ 1 5 กก.
16. ที่กั้นลม 1 อัน
17. ตะแกรงเหล็ก 1 อัน
18. ตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 อัน
19. ที่หนีบหลอดทดลอง 1 อัน
 ชนิดของวัสดุที่นามาทาป้ ายนิเทศ และอุปกรณ์ตกแต่ง
1. ฟิวเจอร์บอร์ด 3 แผ่น
2. สีไม้ 48 แท่ง 1 กล่อง
3. สีเมจิก 1 กล่อง
4. เทปกาวสีชมพู 1 ม้วน
5. สติ๊กเกอร์สีเขียว 1 แผน
6. เทปกาวสองหน้า 1 ม้วน
7. กรรไกร 1 อัน
8. คัตเตอร์ 1 เล่ม
9. กาว 1 ขวด
10. กระดาษสี 7 แผ่น
ขั้นตอนและวิธีการดาเนินงาน
ตอนที่ 1 ผลิตอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
- ขั้นทาตัวโครงงานสร้างของอุปกรณ์ล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม
- ขั้นทาชุดกรองน้าของอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม
ตอนที่ 2 การเก็บน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
ตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) ก่อนผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
- ขั้นใช้ประสาทสัมผัส
- ขั้นใช้กระบวนการทางเคมี
- ขั้นใช้เครื่องมือวัดค่า pH
- ขั้นใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
ตอนที่ 4 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) หลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
- ขั้นน้าผ่านชุดกรองของอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
- ขั้นการทดสอบคุณภาพน้า
- ใช้ประสาทสัมผัส
- ใช้กระบวนการทางเคมี
- ใช้เครื่องมือวัดค่า pH
- ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
ตอนที่ 1 การทาอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
ขั้นที่ 1 การทาตัวโครงสร้างของอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
1.1 ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 53 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน
ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 40 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน
ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 110 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน
1.2 นาเหล็กฉากที่ยาว 40 เซนติเมตร มาต่อกับเหล็กฉากที่ยาว 53 เซนติเมตร จากนั้นนาเหล็กฉาก
ขนาด 40 เซนติเมตร มาต่อเข้าอีก และนาเหล็กฉากขนาด 53 เซติเมตร มาต่อเข้าอีก สลับความยาวไปมา
เป็นรูปสี่เหลี่ยม ( โดยทั้งหมด ใช้น๊อตเป็นตัวเชื่อมติด ) โดยเป็นที่สาหรับวางอ่างล้างจาน
1.3 นาเหล็กฉากยาว 110 เซนติเมตร 4 ท่อนแต่ละท่อนมาต่อเป็นขาของอุปกรณ์ล้างจานรักษา
สิ่งแวดล้อม โดยนาเหล็กฉากที่ยาว 110 เซนติเมตร แต่ละอันไปต่อเข้ากับมุมของโครงเหล็กที่ประกอบ
เป็นรูปสี่เหลี่ยมในข้อ 1.2 ( โดยใช้น๊อตเป็นตัวเชื่อมติด )
1.4 เมื่อได้เป็นรูปร่างแล้วจากนั้นนาเหล็กฉากยาว 40 เซนติเมตร และ 53 เซนติเมตร อย่างละ 2 ท่อน
แล้วต่อ เป็นรูปสี่เหลี่ยมสลับความยาวไปมาเหมือนกันดังข้อ 1.2 บริเวณตรงกลางของขาตัวอุปกรณ์โดย
ระยะห่างระหว่างสี่เหลี่ยมสาหรับวางอ่างล้างจาน และสี่เหลี่ยมที่สาหรับวางเครื่องกรองน้าจากเส้นใย
พืช ห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร
1.5 จากนั้นนาเหล็กฉากยาว 40 เซนติเมตร 2 ท่อน โดยนาแต่ละท่อนมาต่อให้เข้ากับเหล็ก
ฉาก 40 เซนติเมตร ที่ประกอบเป็นชั้นสาหรับวางชุดกรองน้าจากเส้นใยพืช โดยความห่าง
ประมาณ 30 เซนติเมตร
1.6 เมื่อได้ชั้นวางที่กรองน้าจากเส้นใยพืชแล้ว ต่อมาก็ประกอบชั้นวางสาหรับชุดกรองน้า แบบง่าย โดยทา
วิธีการเดียวกันกับชั้นวางชุดเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช แต่ระห่างระหว่างชั้นวางชุดเครื่องกรองน้าจาก
เส้นใยพืชกับชั้นว่างชุดเครื่องกรองน้าแบบง่ายในขั้นตอนที่ 1.4 และ 1.5 ห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร
1.7 เมื่อได้ตัวเครื่องกรองน้าแล้วก็นาอ่างล้างจานเหลือใช้มาวางบนชั้นสาหรับวางอ่างล้างจาน (ชั้นบนสุด )
ขั้นที่ 2 การทาชุดเครื่องกรองน้าแบบง่าย
1. นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ มาล้างกับน้าสะอาดเพื่อให้สิ่ง
สกปรกที่ปนเปื้อนออกให้หมด
2. นาไปตากแดดรอให้แห้ง
3. นาถังพลาสติกสีใสมาเจาะรูที่ก้นของถังโดยวนเป็นรูปวงกลม โดยใช้ค้อนตอกตะปูลงไปให้เป็นรู
4. ตัดมุ้งลวดและผ้าขาวบางให้มีขนาดพอดีกับก้นของถัง นามาซ้อนกัน และนาไปรองไว้ที่ก้นของที่กรอง
น้า เพื่อสาหรับไม่ให้พวกชั้นกรองหลุดตามน้ามาโดยใช้ผ้าขาวบางรองไว้ก้นสุดตามด้วย มุ้งลวด
5. นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ที่ตากแดดไว้เมื่อแห้งแล้วให้นาแต่
ละชนิดไปชั่งกิโล เพื่อจะได้แบ่งให้ได้อัตราส่วนที่เท่ากันแล้วนามาใส่ในถังสีขาวไว้ดังที่ศึกษามาจาก
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย
6. นาใยแก้ว นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ มาจัดใส่ลงในถังที่ได้
เตรียมไว้แล้ว ซึ่งจะนาวัสดุที่ใช้ทาชุดกรองน้าแบบง่ายใส่ลงในถังที่เตรียมไว้ โดยใช้ใยแก้ว กรวดหยาบ
กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทรายหยาบ ทรายละเอียด และใยแก้ว โดยเรียงลาดับจากด้นล่างสู่ด้านบนของ
ถัง โดยมีอัตราส่วนของชุดกรองคือ 1:100:90:80:90:90:1 ( ตามลาดับ )
7. นาชุดกรองน้าอย่างง่ายไปวางไว้บนชั้นสาหรับวางชุดกรองน้าอย่างง่าย
ขั้นที่ 3 การทาชุดเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช
1. นาผักตบชวาที่เก็บมาจากท่าน้าวัดราชาธิวาส มาปอกเปลือกออกให้เหลือแต่เส้นใย พร้อมนาไปล้างน้าใน
น้าสะอาด แล้วสับให้เป็นท่อนเล็ก ๆ
2. นาถังพลาสติกสีใสมาเจาะรูที่ก้นของถังเป็นรูปวงกลม
3. นาผ้าขาวบางปูลงไปในถังพลาสติกสีใสเป็นชั้นที่ 1
4. นาผักตบชวาที่หั่นเป็นท่อน ๆ ใส่ลงในถังพลาสติกใสเป็นชั้นที่ 2
5. นาใยแก้วใส่ลงไปในถังพลาสติกสีใส โดยปิดเส้นใยผักตบชวาให้มิดเป็นชั้นที่ 3
6. นาหินสีขาวใส่ลงไปในถังพลาสติกสีใสเป็นชั้นที่ 4
7. เมื่อได้ชุดกรองน้าจากเส้นใยพืช แล้วก็นาชุดกรองน้าจากเส้นใยพืชไปวางไว้ในชั้นสาหรับวางไว้ในชั้น
สาหรับวางเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช ( ชั้นที่ 2 )
ตอนที่ 2 การเก็บน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
ขั้นที่ 1 เตรียมขวดสาหรับใส่น้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจาน 5 ขวด
ขั้นที่ 2 เก็บจากร้านข้าวแกงรัตนา โรงอาหารโรงเรียนวัดราชาธิวาส ตักน้าในกะละมังที่ใช้ล้างจานใส่
ขวดให้เต็ม 5 ขวด
ตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของน้า ( อย่างง่าย ) ก่อนผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
1. โดยการใช้อวัยวะ
1.1 ตาเปล่า สังเกตลักษณะของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล
1.2 จมูก ใช้ดมกลิ่นของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล
2. ใช้สารเคมี / กระบวนการทางเคมี
2.1 การตรวจสอบไขมันในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- นาพู่กันที่สะอาดมาจุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานไปถูกับกระดาษสีขาวประมาณ 5 –
6 ครั้ง จากนั้นยกกระดาษไปที่ที่มีแสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ บันทึกผล
2.2 การตรวจสอบโปรตีนในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงไปในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ
หยดสารละลายคอปเปอร์(2)ซัลเฟต จานวน 5 หยด และสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 10
หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
2.3 การตรวจสอบหาแป้ งในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายไอโอดีนจานวน 1 หยด สังเกตผลการทดลอง และบันทึกผล
2.4 การตรวจหาน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (กูลโคส ) ในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลาง จานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายเบเนดิกต์จานวน 5 หยด จากนั้นนาไปต้มในน้าเดือด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประมาณ 2
นาที สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
2.5 การตรวจสอบหาแคลเซียมในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายซัลฟิวริก จานวน 5 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
3. ใช้สิ่งมีชีวิต ได้แก่ กุ้งฝอยกับไรแดง
3.1 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้น
ใช้ตะแกรงตักไรแดงประมาณ 1 ช้อนชา สังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไรและบันทึกผล
3.2 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้น
ใช้ตะแกรงตักกุ้งฝอยประมาณ 10 ตัวตักลงในบีกเกอร์แล้วสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นาน
เท่าไรโดยใช้นาฬิกาจับเวลา และบันทึกผล
4. ใช้เครื่องมือวัดค่า pH
- นาน้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้
หัวของเครื่องมือวัดค่า pH จุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน และรอจนกว่าตัวเลขบนหน้าปัดของ
เครื่องจะคงที่แล้วบันทึกผล
ตอนที่ 4 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) หลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
ขั้นที่ 1 เทน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
ขั้นที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพของน้า ( อย่างง่าย ) ที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน หลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้าง
จานบาบัดน้าเสีย
1. โดยการใช้อวัยวะ
1.1 ตาเปล่า สังเกตลักษณะของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล
1.2 จมูก ใช้ดมกลิ่นของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล
2. ใช้สารเคมี / กระบวนการทางเคมี
2.1 การตรวจสอบไขมันในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- นาพู่กันที่สะอาดมาจุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานไปถูกับกระดาษสีขาวประมาณ 5 –
6 ครั้ง จากนั้นยกกระดาษไปที่ที่มีแสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ บันทึกผล
2.2 การตรวจสอบโปรตีนในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงไปในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ
หยดสารละลายคอปเปอร์(2)ซัลเฟต จานวน 5 หยด และสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 10
หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
2.3 การตรวจสอบหาแป้ งในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายไอโอดีนจานวน 1 หยด สังเกตผลการทดลอง และบันทึกผล
2.4 การตรวจหาน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (กูลโคส ) ในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลาง จานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายเบเนดิกต์จานวน 5 หยด จากนั้นนาไปต้มในน้าเดือด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประมาณ 2
นาที สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
2.5 การตรวจสอบหาแคลเซียมในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
- หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด
สารละลายซัลฟิวริก จานวน 5 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล
3. ใช้สิ่งมีชีวิต ได้แก่ กุ้งฝอยกับไรแดง
3.1 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ตะแกรงตักไร
แดงประมาณ 1ช้อนชา สังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไร และบันทึกผล
3.2 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ตะแกรงตัก
กุ้งฝอยประมาณ 10 ตัวตักลงในบีกเกอร์แล้วสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไรโดยใช้
นาฬิกาจับเวลา และบันทึกผล
4. ใช้เครื่องมือวัดค่า pH
- นาน้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ หัวของ
เครื่องมือวัดค่า pH จุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน และรอจนกว่าตัวเลขบนหน้าปัดของเครื่องจะ
คงที่แล้วบันทึกผล
บทที่ 4
ผลการทดลอง
ตารางที่ 1 แสดงลักษณะทางกายภาพของน้าก่อนผ่านการบาบัด และหลังผ่านการบาบัดจากอ่าง ล้าง
จานบาบัดน้าเสีย
ตาราง 2 แสดงผลการทดสอบทางเคมีของน้าก่อนผ่าน และหลังผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
ตารางที่ 4 แสดงพฤติกรรม และความเป็นอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
ก่อนผ่านการบาบัด และหลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
บทที่ 5
สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองครั้งนี้พบว่า อ่างล้างจานบาบัดน้าเสียสามารถทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมี
คุณภาพดีขึ้น โดยสังเกตผลของการเปรียบเทียบการทดลองระหว่างน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก่อนผ่าน
การรกรอง และหลังจากผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย พบว่า น้าหลังผ่านการกรองจากอ่างล้าง
จานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอนปนอยู่ในน้า มีกลิ่นคาวของอาหารเหลืออยู่น้อยมาก ไม่พบ
สารปนเปื้อนในน้า น้ามีคุณสมบัติเป็นกลาง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้าสามารถดารงชีวิตอยู่ได้
ซึ่งสนับสนุนกับสมมุติฐานที่ว่า น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบาบัดจากอ่างล้าง
จานบาบัดน้าเสีย
อภิปรายผลการทดลอง
จากการทดลองพบว่า เมื่อนาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานเทผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีชุดกรองน้าอยู่
ด้านล่างทั้งหมด 2 ชุด ชุดแรกเป็นกรองน้าจากเส้นใยพืชซึ่งเป็นเส้นใยของผักตบชวาและ เส้นใยของ
ผักตบชวานั้นมีลักษณะเป็นรูพรุนที่ถี่มากคล้ายฟองน้า ผักตบชวานั้นสามารถดักตะกอนเล็กๆ และคราบ
ไขมันที่มากับน้า ซึ่งเส้นใยของผักตบชวามีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 1 วัน ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนทุกวัน
มิฉะนั้นเส้นใยของผักตบชวาจะเน่าแล้วทาให้น้าที่ผ่านชั้นกรองเสีย ส่วนชุดกรองชั้นที่สองเป็นชุดกรองน้า
อย่างง่าย ซึ่งกรองน้าอย่างง่ายนี้ประกอบด้วย ใยแก้ว กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทราบหยาบ
ทรายละเอียด และใยแก้ว ตามลาดับ โดยมีอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1:100:90:80:90:90:1 ตามลาดับ ซึ่ง
ทั้งหมดนี้มีคุณสมบัติในการกรองน้าคลองให้ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีคุณสมบัติเป็นกลาง ดังนั้นเมื่อนาน้าที่
เหลือจากการล้างจาน ก่อนผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็นคาว
อาหาร และมีกลิ่นน้ายาล้างจาน ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไม่สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ มีค่า pH คือ 6.9 แต่เมือ
น้าที่เหลือจากการล้างจานได้ผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย น้านั้นมีลักษณะใส ไม่มีกลิ่น ไม่มี
เศษตะกอนปนเปื้อนอยู่ในน้า มีกลิ่นเหม็นคาวอาหารน้อยมาก ไม่มีสารตกค้าง มีคุณสมบัติเป็นกลางและ
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก เมื่อน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานได้ผ่านชั้น
กรองจากเส้นใยพืชคือผักตบชวา เส้นใยจากผักตบชวาจะกรองสิ่งปฏิกูลหรือเศษอาหารเล็กๆ ที่มากับน้า
และนอกจากนี้เส้นใยของผักตบชวา มีคุณสมบัติในการกรองน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน กล่าวคือเส้นใย
ของผักตบชวาจะทาหน้าที่กรองสารอาหารที่มากับน้า จากนั้นน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะไหลไปในชุด
กรองน้าแบบง่าย ทาให้น้ามีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีคุณสมบัติเป็นกลางและเมื่อน้าได้ผ่านการบาบัดก็
สามารถปล่อยทิ้งลงสู่แม่น้าได้แต่ไม่ใช่ว่าน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานหลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจาน
บาบัดน้าเสียจะสะอาดจนสามารถมาใช้ประโยชน์ได้ แต่เป็นเพียงการทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมี
คุณภาพที่ดีขึ้นเท่านั้นและเนื่องจากตัวอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีระบบไหลเวียนของน้ายังไม่ดีเท่าที่ควร
เหตุเพราะถ้ามีการล้างจานในปริมาณมาก ๆ อ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย จะไม่สามารถรับน้าในปริมาณมากๆ
ได้
จากการทดสอบคุณภาพของน้าหลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มี
ตะกอนปนอยู่ในน้า มีกลิ่นคาวของอาหารเหลืออยู่น้อยมาก ไม่พบสารอาหารปนเปื้อนในน้า มีคุณสมบัติ
เป็นกลาง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้าสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสนับสนุนกับสมมติฐาน
ที่ว่า น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงานวิทยาศาสตร์
1. ได้ผลิตอ่างล้างจานที่ช่วยลดมลพิษทางน้าไว้ใช้เอง
2. ช่วยลดปัญหาการปล่อยน้าเน่าเสียและสิ่งปฏิกูลลงสู่แม่น้าลาคลองและยังรักษาสิ่งแวดล้อม
3. ได้ฝึกทักษะต่าง ๆ กระบวนการแก้ปัญหา และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
4. ฝึกการทางานเป็นหมู่คณะ
แนวทางในการศึกษาต่อ
1. คณะผู้จัดทาได้จัดทาโครงงานเรื่องอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อมขึ้นเพื่อลดปัญหาการปล่อยมลพิษลงสู่
แหล่งน้า อ่างล้างจานนี้ยังไม่เหมาะสมสาหรับใช้งานภายในครัวเรือนเท่าไรนัก เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาด
ใหญ่ ดังนั้นสาหรับผู้ที่สนใจโครงงานชิ้นนี้สามรถนาโครงงานชิ้นนี้ไปเป็นแนวทางในการศึกษาต่อและ
พัฒนาให้มีขนาดเล็กลงกว่านี้และสามารถใช้งานได้จริงในทุกครัวเรือน
2. ถ้ามีการล้างจานจานวนมากน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก็มาก ก็จะทาให้ถังเก็บน้าไม่พอ น้าจะเกิน จึง
ควรพัฒนาในเรื่องระบบการไหลของน้า
เอกสารอ้างอิง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , วิทยาศาสตร์เล่ม 1 คุรุสภา,กรุงเทพฯ. 2541

1384945915

  • 1.
    ชื่องานโครงงาน โครงการเริ่องอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม ชื่อผู้จัดทาโครงงาน นายจักรกริชคิดเห็น ระดับชั้น ปวช 2/1 ปีการศึกษา 2554 แผนก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา นางสาวปรารถนา เจริญดี บทคัดย่อ จากข้อความข้างตนเป็นการยกตัวอย่างบางส่วนของการกระทาของมนุษย์ในปัจจุบัน เท่านั้น จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ซึ่งถ้าไม่มีการ กรองน้าเสียหรือการบาบัดน้าเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง จะก่อให้เกิดมลพิษทางน้า ซึ่งมี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ทั้งที่อยู่ในน้าและบนบก ทาให้ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นลดลง สัตว์น้าขาดออกซิเจนตายแล้วทาให้น้าเน่าเสีย มนุษย์ก็ต้อง รับประทานสัตว์น้าที่มีสารเคมีเจือปนอยู่ในตัวสัตว์น้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรช่วยกันรักษา สิ่งแวดล้อมทางน้า โดยการบาบัดน้าให้มีคุณภาพดีขึ้นก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง ด้วยเหตุนี้คณะ ผู้จัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์จึงได้คิดประดิษฐ์อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษ ทางน้าที่เกิดจากความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในสังคมยุคปัจจุบัน และยังรักษา สิ่งแวดล้อมให้ดารงไว้
  • 2.
    บทที่ 1 บทนา ที่มาและความสาคัญของโครงงาน น้ามีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิต ทั้งในด้านอุปโภคและบริโภคแต่ในปัจจุบันมนุษย์ ใช้น้าอย่างไม่คานึงถึงความสาคัญของน้าซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นเห็นแก่ตัว มักง่าย เช่น ใช้ในการชาระล้าง ร่างกาย และสิ่งของเครื่องใช้แล้วก็ปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยไม่มี การกรองหรือการบาบัดก่อน ปล่อยลงสู่แม่น้า ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางน้า จากข้อความข้างตนเป็นการยกตัวอย่างบางส่วนของการกระทาของมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น จะเห็น ได้ว่ามนุษย์นั้นปล่อยน้าเสียลงสู่แม่น้า ลาคลอง โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ซึ่งถ้าไม่มีการกรองน้าเสียหรือการ บาบัดน้าเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง จะก่อให้เกิดมลพิษทางน้า ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ สิ่งมีชีวิต ทั้งที่อยู่ในน้าและบนบก ทาให้ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณ นั้นลดลง สัตว์น้าขาดออกซิเจนตายแล้วทาให้น้าเน่าเสีย มนุษย์ก็ต้องรับประทานสัตว์น้าที่มีสารเคมีเจือปน อยู่ในตัวสัตว์น้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้า โดยการบาบัดน้าให้มี คุณภาพดีขึ้นก่อนปล่อยลงสู่แม่น้า ลาคลอง ด้วยเหตุนี้คณะผู้จัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์จึงได้คิดประดิษฐ์ อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางน้าที่เกิดจากความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของ มนุษย์ในสังคมยุคปัจจุบัน และยังรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดารงไว้ จุดมุ่งหมายของโครงงาน 1. เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ล้างจานบาบัดน้าเสีย 2. เพื่อบาบัดน้าเสียที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้า 3. เพื่อเป็นแนวทางในการประดิษฐ์อ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย และผู้อื่นสามารถศึกษาและนาไปพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป 4. เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ ฝึกการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และสร้างสรรค์ 5. เพื่อฝึกการทางานเป็นหมู่คณะ สมมติฐาน
  • 3.
    อ่างล้างจานบาบัดน้าเสียสามารถทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมีคุณภาพดีขึ้นได้ นิยามเชิงปฏิบัติการ คุณภาพของน้าที่ดีในการทดลองครั้งนี้ หมายถึง น้าที่ใสไม่มีสี ไม่มีเศษตะกอน มีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่มี สารตกค้าง ซึ่งทดสอบได้โดยใช้สารเคมี ใช้ประสาทสัมผัส ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และใช้ เครื่องมือวัดค่า pH ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า 1. น้าเหลือทิ้งจากการล้างจานที่นามาทดลองได้มาจากน้าล้างจานของร้านข้าวแกงในโรงเรียนวัด ราชาธิวาส ร้านรัตนา ซึ่งเก็บในวันที่ 20 พ.ย. 2550 เวลา 13.20 น. 2. การตรวจสอบคุณภาพของน้าในที่นี้ ตรวจสอบสารที่ปนเปื้อนน้าเพียง 5 ชนิด ได้แก่ แป้ ง ,น้าตาล โมเลกุลเดี่ยว , ไขมัน , โปรตีน , แคลเซียม 3. คุณภาพของน้าที่ได้จากการทดลองครั้งนี้ หมายถึง น้าที่ใส ไม่มีสี ไม่มีเศษตะกอน มีคุณสมบัติเป็น กลาง ไม่มีสารตกค้าง ซึ่งทดสอบได้โดยใช้สารเคมี ใช้ประสาทสัมผัส ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ขนาดเล็ก และใช้เครื่องมือวัดค่า pH
  • 4.
    บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง มลพิษ หมายความว่าของเสีย วัตถุอันตรายและมวลสารอื่นๆ รวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างเหล่านั้น ที่ ถูกปล่อยทิ้งจากแหล่งกาเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ คุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือภาวะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้และให้หมายถึง รังสี ความ ร้อน แสง เสียง คลื่น ความสั่นสะเทือน หรือเหตุราคาญอื่นๆ ที่เกิดหรือปล่อยออกจากแหล่งน้าต้นกาเนิด มลพิษ ของเสีย หมายความว่า ขยะมูลฝอยสิ่งปฏิกูล น้าเสีย อากาศเสีย มวลสาร หรือวัตถุอันตรายอื่นใด ซึ่งถูก ปล่อยทิ้งหรือมีที่มาจากแหล่งกาเนิดมลพิษรวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่อยู่ในสภาพ ของแข็งของเหลว หรือก๊าซ น้าเสีย หมายความว่า ของเสียที่อยู่ในสภาพเป็นของเหลวรวมทั้งมวลสารที่ปะปนหรือปนเปื้อนอยู่ใน ของเหลวนั้น จาแนกประเภทของมลพิษทางน้า มลพิษทางน้าสามารถจาแนกออกได้ดังนี้ 1. น้าเน่า ได้แก่ น้าที่มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้าต่า มีสีดาคล้าและอาจส่งกลิ่นเหม็น น้าประเภทนี้ เป็นอันตรายต่อการบริโภค การประมง และทาให้สูญเสียคุณค่าทางการพักผ่อนของมนุษย์ 2. น้าเป็นพิษ ได้แก่ น้าที่มีสารพิษเจือปนอยู่ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และ สัตว์น้า เช่น สารประกอบของปรอท ตะกั่ว สารหนู แคดเมี่ยม ฯลฯ 3. น้าที่มีเชื้อโรค ได้แก่ น้าที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ เช่น เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อบิด เชื้อไข้ไทฟอยด์ เจือปนอยู่ เป็นต้น 4. น้าขุ่นข้น ได้แก่ น้าที่มีตะกอนดินและทรายเจือปนอยู่เป็นจานวนมากจนเป็นอันตรายต่อ สัตว์ น้า และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ 5. น้าร้อน ได้แก่ น้าที่ได้รับการถ่ายเทความร้อนจากน้าทิ้ง จนมีอุณหภูมิที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นไปตาม ธรรมชาติ ส่วนใหญ่เกิดจากการระบายน้าหล่อเย็นจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหล่งน้า ซึ่งจะมี ผลกระทบต่อการดารงชีวิต และการแพร่พันธุ์ของสัตว์น้า ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ 6. น้าที่มีกัมมันตภาพรังสี ได้แก่ น้าที่มีสารกัมมันตภาพรังสีเจือปนในระดับที่เป็นอันตราย 7. น้ากร่อย ได้แก่ น้าจืดที่เสื่อมคุณภาพเนื่องจากการละลายของเกลือในดินหรือน้าทะเลไหลหรือซึม เข้าเจือปน
  • 5.
    8. น้าที่มีคราบน้ามัน ได้แก่น้ามันหรือไขมันเจือปนอยู่มาก ลักษณะของมลพิษทางน้า น้าที่เกิดภาวะมลพิษจะมีองค์ประกอบของคุณภาพน้าที่แตกต่างจากน้าดี ซึ่งจะมีดัชนีต่างๆ เป็นตัวบ่งบอก สมารถแยกออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ 1. ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า มีดัชนี บ่งบอกลักษณะทางกายภาพที่สาคัญได้แก่ 1.1 อุณหภูมิ ( Temperature ) เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลโดยตรงและโดยอ้อมต่อการดารงชีวิตของสัตว์น้า โดยปกติอุณหภูมิของน้าจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของอากาศ ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาล ระดับความสูงและ สภาพภูมิประเทศ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงอาทิตย์กระแสลม ความลึก ปริมาณสาร แขวนลอยหรือความขุ่นและสภาพแวดล้อมทั่ว ๆ ไปของแหล่งน้า สาหรับประเทศไทยอุณหภูมิจะแปรผัน ในช่วง 20 – 30 องศาเซลเซียส การปล่อยน้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอุณหภูมิสูงลงสู่แหล่งน้าหรือน้า จากระบบหล่อเย็นจะทาให้อุณหภูมิของน้าสูงกว่าระดับปกติตามธรรมชาติซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อสัตว์ น้าและระบบนิเวศวิทยาของแหล่งน้าบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้อุณหภูมิของน้ายังมีผลต่อสภาพแวดล้อม ทางเคมีภาพ เช่น ออกซิเจนละลายในน้า คือ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้าจะลดลง ถ้าอุณหภูมิของน้า สูงขึ้นในขณะเดียวกันขบวนการเมตตาโบลิซึมและการทางานของพวกจุลินทรีย์ต่างๆ ในน้าก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงทาให้ความต้องการปริมาณออกซิเจนละลายในน้าสูงขึ้น จึงอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนออกซิเจน ขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางอ้อม เช่น อุณหภูมิของน้าที่สูงขึ้นจะทาให้พิษของสารพิษต่าง ๆ มีความ รุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิสูงช่วยเร่งการดูดซึมการแพร่กระจายของพิษสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามสารพิษบางชนิดจะมีพิษลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิไปทาปฏิกิริยาย่อย สลายและกาจัดสารพิษออกนอกร่างกายได้เร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังทาให้ความต้านทานโรคของสัตว์น้า เปลี่ยนแปลงไป เชื้อโรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายได้ดีในระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ( ไมตรี และ คณะ , 2528 ) 1.2 สี ( Colour ) การตรวจสีของน้าในบางครั้งนิยมปฏิบัติกัน เนื่องจากสามารถแสดงให้เห็นอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับกาลังการผลิต สภาพแวดล้อมและสารแขวนลอยที่มีอยู่ในแหล่งน้านั้น สีของน้าเกิดจากการสะท้อน ของแสง จาแนกได้ 2 ประเภท คือ 1) สีจริง (True Colour )เป็นสีของน้าที่เกิดจากสารละลายชนิดต่างๆ อาจจะเป็นสารละลายจากพวกอนินท รีย์สารหรือพวกอินทรีย์สารซึ่งทาให้เกิดสีของน้า สีจริงไม่สามารถแยกออกได้โดยการตกตะกอน และการ กรอง 2) สีปรากฏ (Apparent colour ) เป็นสีของน้าที่เกิดขึ้นแล้วเราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่เกิดจาก ตะกอนของน้า สารแขวนลอย เศษซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมในน้าก็เป็นตัวการสาคัญที่ก่อให้เกิดสีของน้า
  • 6.
    ได้ 1.3 ความขุ่น (Turbidity) ความขุ่นของน้าจะแสดงให้เห็นว่ามีสารแขวนลอยอยู่มากน้อยเพียงใด สาร แขวนลอยที่มีอยู่ เช่น ดินละเอียด อินทรีย์สารอนินทรีย์สาร แพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สารเหล่านี้จะ กระจายและขัดขวางไม่ให้แสงส่องลงไปได้ลึก โดยสารเหล่านี้จะดูดซับเอาแสงไว้ 1.4 กลิ่น (Oder ) กลิ่นจากน้าเสียส่วนมากแล้วมากจากก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในน้าเสีย ก๊าซส่วนใหญ่จะเป็น H2S ที่เกิดจากจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน 1.5 รส ( Taste ) น้าสะอาดตามธรรมชาติจะไม่มีรส การที่น้ามีรสผิดไปเนื่องจากมีสารอินทรีย์หรือสารอนิ นทรีย์ปะปนอยู่ เช่น น้าที่มีรสกร่อย ทั้งนี้เนื่องจากมีเกลือคลอไรด์ละลายอยู่ในน้านั้นในปริมาณสูง 2. ลักษณะทางเคมีภาพ ลักษณะทางเคมีภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่เกิดจากการที่น้ามีสารเคมีเจือปนจนทาให้เกิด สภาวะทางเคมีขึ้นในน้า มีดัชนีบ่งบอกลักษณะทางเคมีภาพที่สาคัญได้แก่ 2.1 การนาไฟฟ้า (Conductivity ) เป็นลักษณะของน้าที่บอกถึงความสารถของน้าที่จะให้กระแสไฟฟ้าไหล ผ่าน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารที่มีประจุไฟฟ้าในน้า ความนาไฟฟ้าไม่ได้เป็นค่าเฉพาะอิออนตัวใด ตัวหนึ่ง แต่เป็นค่ารวมของอิออนทั้งหมดในน้า ค่านี้ไม่ได้บอกให้ทราบถึงชนิดของสารในน้า บอกแต่เพียง ว่ามีการเพิ่มหรือลดของอิออนที่ละลายน้าเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าค่าความนาไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแสดงว่ามีสารที่แตก ตัวในน้าเพิ่มขึ้นหรือถ้าค่าความนาไฟฟ้าลดลงก็แสดงว่าสารที่แตกตัวได้ในน้าลดลง ความนาไฟฟ้านิยมวัด ออกมาในรูปอัตราส่วนของความต้านทาน โดยหน่วยเป็น Microsiemen หรือ us/cm อุณหภูมิจะมีผลต่อการ แตกตัวของอิออน อุณหภูมิสูง ค่าการแตกตัวจะมากขึ้น ความนาไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 2.2 ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรดหรือด่างของน้า น้าที่มีสภาพเป็นกรดจะมีค่า ความเป็นกรดเป็นด่างน้อยกว่า 7 และน้าที่เป็นด่างจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างมากกว่า 7 น้าคาม ธรรมชาติจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.5 – 8.5 ซึ่งความแตกต่างของ pH ขึ้นอยู่กับลักษณะ ของภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมหลายประการ เช่น ลักษณะของพื้นดินและหิน ปริมาณ ฝนตกตลอดจน การใช้ที่ดินในบริเวณแหล่งน้า ระดับ pH ของน้าจะเปลี่ยนแปลงตาม pH ของดินด้วย นอกจากนี้สิ่งที่มีชีวิต ในน้า เช่น จุลินทรีย์และแพลงก์ตอนพืช ก็สามารถทาให้ค่า pH ของน้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย 2.3 ออกซิเจนละลายในน้า ( Dissolved Oxygen;DO ) หมายถึง เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณออกซิเจนที่ ละลายในน้า ซึ่งออกซิเจนจะมีความสาคัญมากต่อสิ่งมีชีวิตในน้า ปริมาณออกซิเจนในน้าจะเปลี่ยนแปลงไป ตามอุณหภูมิของน้าและความกดดันของบรรยากาศ ในฤดูร้อนปริมาณของออกซิเจนที่ละลายในน้าน้อยลง เพราะว่าอุณหภูมิสูงขณะเดียวกันที่การย่อยสลายและปฏิกิริยาต่าง ๆ จะเพิ่มมากขึ้น ทาให้ความต้องการของ ออกซิเจนเพื่อไปใช้กิจกรรมเหล่านั้นสูงไปด้วย ในแหล่งน้าธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ระหว่าง 5 – 7 มิลลิกรัมต่อลิตร 2.4 บีโอดี ( Biochemical Oxygen Demand;BOD ) เป็นค่าที่บอกถึงปริมาณของออกซิเจนที่ถูกใช้ในการย่อย
  • 7.
    สลายอินทรีย์ชนิดที่ย่อยสลายได้ภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน โดยจุลินทรีย์ในช่วงเวลา 5วันที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็นค่าที่นิยมใช้กันมากในการแสดงถึงความสกปรกมากน้อยเพียงใดของน้าเสียจากชุมชน และโรงงานต่าง ๆ เป็นค่าที่สาคัญมากในการออกแบบและควบคุมระบบบาบัดน้าเสียโดยทางชีวภาพ สามารถใช้บ่งบอกถึงค่าภาระอินทรีย์และใช้ในการหาประสิทธิภาพของระบบบาบัดน้าเสีย การวัดค่าของ BOD ยังใช้สาหรับการตรวจสอบคุณภาพของน้าในแม่น้าลาคลองอีกด้วย 2.5 ซีโอดี ( Chemical Oxyhen Demand;COD ) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณของออกซิเจนที่ต้องการใช้ใน การทาปฏิกิริยาออกซิไดซ์สารอินทรีย์ในน้า โดยใช้สารเคมีที่มีอานาจในการออกซิไดซ์ได้สูง เช่น โปแต สเซียมไดโครเมต (K2Cr207) ในสภาพสารละลายที่เป็นกรด สารอินทรีย์ชนิดทั้งที่จุลินทรีย์ย่อยสลายได้ หรือไม่ได้จะถูกออกซิไดซ์หมด ค่าซีโอดีมักจะมากกว่าค่าบีโอดีอยู่เสมอ ค่าซีโอดีจึงเป็นค่าที่บ่งบอกถึง ความสกปรกของน้าเช่นเดี่ยวกันกับค่าบีโอดี สาหรับประโยชน์ของการหาค่า COD คือใช้เวลาของการ วิเคราะห์น้อย สามารถหาค่าได้เลยในห้องปฏิบัติการ แต่สาหรับ BOD ต้องใช้เวลาถึง 5 วัน จึงจะทราบผล 3. ลักษณะทางชีวภาพ ลักษณะทางชีวภาพ หมายถึง ลักษณะของมลพิษทางน้าที่เกิดจากการมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งปะปน ในน้า และเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์น้าได้ดัชนีบ่งบอกลักษณะทางชีวภาพ ได้แก่ แพลงก์ตอนพืช-สัตว์ แบคทีเรียที่ทาให้เกิดโรคติดต่อทางน้าและอาหาร เชื้อไวรัส เชื้อราและพวกหนอนพยาธิต่าง ๆ ผลกระทบเนื่องจากมลพิษทางน้า 1. ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม 2. ผลกระทบต่อการประมง 3. ผลกระทบต่อการสาธารณสุข ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ 4. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม 5. ผลกระทบต่อการผลิตน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 6. ผลกระทบต่อการคมนาคม 7. ผลกระทบต่อทัศนียภาพ 8. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม น้าเสีย หมายถึง น้าที่มีสารใด ๆ หรือสิ่งปฏิกูลที่ไม่พึงปรารถนาปนอยู่ การปนเปื้อนของสิ่งสกปรกเหล่านี้ จะทาให้คุณสมบัติของน้าเปลี่ยนแปลงไปจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถนากลับมาใช้ประโยชน์ได้สิ่ง ปนเปื้อนที่อยู่ในน้าเสีย ได้แก่ น้ามัน ไขมัน ผลซักฟอก สบู่ ยาฆ่าแมลง สารอินทรีย์ที่ทาให้เกิดการเน่าเหม็น และเชื้อโรคต่าง ๆ สาหรับแหล่งที่มาของน้าเสียพอจะแบ่งได้เป็น 2 แหล่งใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. น้าเสียจากแหล่งชุมชน มาจากกิจกรรมสาหรับการดารงชีวิตของคนเรา เช่น อาคารบ้านเรือน หมู่บ้าน จัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม ตลาดสด โรงพยาบาล เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าความเน่าเสียของคูคลอง
  • 8.
    เกิดจากน้าเสียประเภทนี้ ถึงกรรมวิธีในการบาบัดน้าเสีย การบาบัดน้าเสียให้เป็นน้าที่สะอาดก่อนปล่อยทิ้ง เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาแม่น้าลาคลองเน่าเสียโดยอาศัยกรรมวิธีต่างๆ เพื่อลดหรือทาลายความ สกปรกที่ปนเปื้อนอยู่ในห้องน้า ได้แก่ ไขมัน น้ามัน สารอินทรีย์สารอนินทรีย์สารพิษ รวมทั้งเชื้อโรคต่าง ๆให้หมดไปหรือให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้าก็จะไม่ทาให้แหล่งน้านั้นเน่าเสียอีกต่อไป ขั้นตอนในการบาบัดน้าเสีย เนื่องจากน้าเสียมีแหล่งที่มาแตกต่างกันจึงทาให้มีปริมาณและความสกปรกของน้าเสียแตกต่างกันไปด้วย ในการปรับปรุงคุณภาพของน้าเสียจาเป็นจะต้องเลือกวิธีการที่เหมาะสมสาหรับกรรมวิธีในการปรับปรุง คุณภาพของน้าเสียนั้นก็มีหลายวิธีด้วยกัน โดยพอจะแบ่งขั้นตอนในการบาบัดออกได้ดังนี้ การบาบัดน้าเสียขั้นเตรียมการ (Pretreatment ) เป็นการกาจัดของแข็งขนาดใหญ่ออกเสียก่อนที่น้าเสียจะถูกปล่อยเข้าสู่ระบบบาบัดน้าเสีย เพื่อป้ องกัน การอุดตันท่อน้าเสียและเพื่อไม่ทาความเสียหายให้แก่เครื่องสูบน้า การบาบัดในขั้นนี้ ได้แก่ การดักด้วย ตะแกรง เป็นการกาจัดของแข็งขนาดใหญ่โดยใช้ตะแกรง ตะแกรงที่ใช้โดยทั่วไปมี 2 ประเภทคือ ตะแกรง หยาบและตะแกรงละเอียด การบดตัดเป็นการลดขนาดหรือปริมาตรของแข็งให้เล็กลง ถ้าสิ่งสกปรกที่ลอยมา กับน้าเสียเป็นสิ่งที่เน่าเปื่อยได้ต้องใช้เครื่องบดตัดให้ละเอียด ก่อนแยกออกด้วยการตกตะกอน การดักกรวด ทรายเป็นการกาจัดพวกกรวดทรายทาให้ตกตะกอนในรางดักกรวดทราย โดยการลดความเร็วน้าลง การ กาจัดไขมันและน้ามันเป็นการกาจัดไขมันและน้ามันซึ่งมักอยู่ในน้าเสียที่มาจากครัว โรงอาหาร ห้องน้า ปั้ม น้ามัน และโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิดโดยการกักน้าเสียไว้ในบ่อดักไขมันในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อให้น้ามัน และไขมันลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้าแล้วใช้เครื่องตักหรือกวาดออกจากบ่อ การบาบัดน้าเสียขั้นที่สอง (Secondary Treatment ) เป็นการกาจัดน้าเสียที่เป็นพวกสารอินทรีย์อยู่ในรูปสารละลายหรืออนุภาคคอลลอยด์ โดยทั่วไปมักจะ เรียกการบาบัด ขั้นที่สองว่า “ การบาบัดน้าเสียด้วยขบวนการทางชีววิทยา ” เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ต้อง อาศัยจุลินทรีย์ในการย่อยสลายหรือทาลายความสกปรกในน้าเสีย การบาบัดน้าเสียในปัจจุบันนี้อย่างน้อย จะต้องบาบัดถึงขั้นที่สองนี้ เพื่อให้น้าเสียที่ผ่านการบาบัดแล้วมีคุณภาพมาตรฐานน้าทิ้งที่ทางราชการ กาหนดไว้การบาบัดน้าเสียด้วยขบวนการทางชีววิทยาแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ขบวนการที่ใช้ออกซิเจน เช่น ระบบบ่อเติมอากาศ ระบบแคติเวคเตดสลัดจ์ ระบบแผ่นหมุนชีวภาพ ฯลฯ และ ขบวนการที่ไม่ใช้ ออกซิเจน เช่น ระบบถังกรองไร้อากาศ ระบบถังหมักตะกอน ฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของจุลินทรีย์ที่ทา หน้าที่ย่อยสลาย การบาบัดน้าเสียขั้นสูง ( Advanced Treatment ) เป็นการบาบัดน้าเสียที่ผ่านการบาบัดในขั้นที่สองมาแล้ว เพื่อกาจัดสิ่งสกปรกบางอย่างที่ยังเหลืออยู่ เช่น โลหะหนัก หรือเชื้อโรคบางชนิดก่อนจะระบายทิ้งลงสู่แหล่งน้าสาธารณะ การบาบัดขั้นนี้มักไม่นิยมปฏิบัติ
  • 9.
    กัน เนื่องจากมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง นอกจากผู้บาบัดจะมีวัตถุประสงค์ในการนาน้าที่บาบัด แล้วกลับคืนมาใช้อีกครั้งประมาณ75% เครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช พิสูจน์ว่า เส้นใยพืชชนิดใดมีประสิทธิภาพในการกรองของเสียได้มากที่สุด โดยเส้นใยของพืชที่ นามาใช้ในการทดลองมีดังนี้ 1. ผักตบชวา 2. กาบกล้วย 3. เปลือกมะพร้าว 4. ผักกระเฉด โดยการเทน้าทิ้งจากครัวลงในภาชนะที่มีเส้นใยชนิดต่าง ๆ สังเกตและวัดค่า pH ของน้า โดยทาการ ทดลอง 2 ชุด ชุดแรกจะใช้เส้นใยตามธรรมชาติ และชุดที่ 2 จะใช้เส้นใยที่ได้จากการปั่น ผลการศึกษาพบว่า เส้นใยของผักตบชวาที่มีในธรรมชาติมีประสิทธิภาพในการกรองน้าที่ดีที่สุด รองลงมาคือเส้นใยของกาบ กล้วยตามธรรมชาติ เส้นใยกาบกล้วยที่ได้จากการปั่น เส้นใยผักกระเฉดที่ได้จากการปั่น เส้นใยผักกระเฉด จากธรรมชาติ เส้นใยเปลือกมะพร้าวจากธรรมชาติ เส้นใยผักตบชวาจากการปั่น และเส้นใยเปลือกมะพร้าว จากการปั่น ตามลาดับ โดยค่า pH ไม่แตกต่างกัน ชุดเครื่องกรองน้าอย่างง่าย น้าคลองมีสารที่ไม่ละลายน้าปนอยู่และแม้จะตั้งทิ้งไว้เป็นเวลานาน สารเหล่านั้นก็ยังไม่ตกตะกอน แต่ เราสามารถใช้สารส้มเป็นตัวทาให้สารเหล่านั้นรวมตัวกันจมสู่ก้นภาชนะได้วิธีนี้เรียกว่า การทาให้ ตกตะกอน ซึ่งยังคงเป็นวิธีที่ใช้กันมาก เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายน้อย วิธีการกรองเป็นวิธีที่ใช้แยกสารที่ไม่ละลายน้าออกจากน้าหรือของเหลวเมื่อเราเทน้าหรือของเหลวผ่าน กระดาษกรอง น้าหรือของเหลวจะผ่านกระดาษกรองลงไป ส่วนสารที่ไม่ละลายน้ามีขนาดใหญ่กว่ารูของ กระดาษกรองจึงไม่สามารถผ่านกระดาษกรองได้ ปัจจุบันมีการประดิษฐ์เครื่องกรองที่ใช้วัสดุต่าง ๆ กัน เครื่องกรองบางชนิดใช้ไส้กรองซึ่งทาด้วยเซรามิกส์ที่มีรูพรุนขนาดเล็ก บางชนิดใช้สารดูดซับสีและ สารเจือปนในน้า เพื่อทาให้น้ามีความสะอาดมากขึ้น บางชนิดใส่ถ่านกัมมันต์ ( คือ ถ่านชนิดหนึ่งที่ได้รับ การเพิ่มคุณภาพมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ถ่านกัมมันต์ทาจากแกลบ กะลามะพร้าว ขี้เลื่อย ชาน อ้อย กระดูกหรือเขาสัตว์) เพื่อดูดสีและกลิ่น นอกจากนี้เครื่องกรองบางชนิดอาจใส่วัสดุหลาย ๆ ชนิดผสม กันก็ได้ โดยเครื่องกรองน้าคลองจัดทาขึ้นเพื่อช่วยลดปัญหาน้าขุ่นจากตะตอนดิน และสามารถนาน้า ที่ กรองได้มาใช้อุปโภคภายในบ้านโดยการแกว่งน้าคลองปริมาตร 4,000 cm3 ด้วยสารส้ม 5 กรัม รอ จนกระทั่งสารแขวนลอยตกตะกอน เปิดน้าให้ไหลผ่านชุดเครื่องกรองน้า 2 ชุด ซึ่งแต่ละชุดมีวัสดุ ชั้น กรองเรียงกันตามลาดับจากด้านล่างถึงด้านบนของชุดกรองน้าเรียงกัน คือ ใยแก้ว กรวดหยาบ กรวด ละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทรายหยาบ ทรายละเอียด และใยแก้ว โดยมีอัตราส่วนของชั้นกรองที่เหมาะสมที่สุด
  • 10.
    คือ 1:100:90:80:90:90:1 ตามลาดับพบว่า ลักษณะของน้าที่กรองได้เป็นสีใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และมีตะกอน ปนอยู่ในน้าน้อยมาก บทที่ 3 วัสดุอุปกรณ์และขั้นตอนวิธีในการดาเนินงาน วัสดุอุปกรณ์  ชนิดวัสดุที่นามาทาตัวเครื่องล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม จานวน 1. น๊อต 10 ตัว 2. ถังน้า 2 ถัง 3. เหล็กฉากขนาด 40 cm 8 ท่อน 4. เหล็กฉากขนาด 53 cm 8 ท่อน 5. เหล็กฉากขนาด 110 cm 4 ท่อน 6. อ่างล้างจาน ( สแตนเลส ) เหลือใช้แล้ว 1 อ่าง 7. สเปย์( สีส้มสะท้อนแสง ) 1 กระป๋ อง 8. สเปย์( สีชมพูสะท้อนแสง ) 1 กระป๋ อง 9. สติกเกอร์ ( สีส้มสะท้อนแสง ) 1 แผ่น 10. กุญแจแหวน 1 อัน 11. เลื่อย 1 อัน 12. พลาสติกใส 4 เมตร  ชนิดของวัสดุที่นามาทาเครื่องกรองน้าจากเส้นใยธรรมชาติ
  • 11.
    1. ผักตบชวา 1กิโลกรัม 2. ตะกร้าพลาสติก 5 ใบ 3. ผ้าขาวบาง 2 เมตร  ชนิดของวัสดุที่นามาทาเครื่องกรองน้าแบบง่าย 1. ถังพลาสติกใส ๆ 1 ถัง 2. ใยแก้ว 1 ถัง 3. กรวดหยาบ 2 กิโลกรัม 4. กรวดละเอียด 2 กิโลกรัม 5. ทรายหยาบ 2 กิโลกรัม 6. ทรายละเอียด 2 กิโลกรัม 7. ถ่านกัมมันต์ 1 ถุงใหญ่  ชนิดของวัสดุที่ใช้ในการทดสอบหาสิ่งมีชีวิต สารปนเปื้อนในน้า 1. บิ๊กเกอร์ขนาด 1,000 ml 9 ใบ 2. บิ๊กเกอร์ขนาด 250 ml 9 ใบ 3. หลอดทดลองขนาดเล็ก 9 หลอด 4. หลอดหยดสาร 5 อัน 5. แท่งแก้วคนสาร 5 อัน 6. ที่วางหลอดทดลอง 2 อัน 7. สารละลายไอโอดีน 20 ลบ.ซม.
  • 12.
    8. สารละลายไบยูเร็ต 20ลบ.ซม. 9. สารละลายเบเนดิกส์ 20 ลบ.ซม. 10. สารละลายกรดซัลฟิวริก 20 ลบ.ซม. 11. สารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต 20 ลบ.ซม. 12. กุ้งฝอย 1 ถุง 13. ไรแดง 1 ถุง 14. เครื่องวัดค่า pH 1 ถุง 15. น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ตัวอย่างที่ 1 5 กก. 16. ที่กั้นลม 1 อัน 17. ตะแกรงเหล็ก 1 อัน 18. ตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 อัน 19. ที่หนีบหลอดทดลอง 1 อัน  ชนิดของวัสดุที่นามาทาป้ ายนิเทศ และอุปกรณ์ตกแต่ง 1. ฟิวเจอร์บอร์ด 3 แผ่น 2. สีไม้ 48 แท่ง 1 กล่อง 3. สีเมจิก 1 กล่อง 4. เทปกาวสีชมพู 1 ม้วน 5. สติ๊กเกอร์สีเขียว 1 แผน 6. เทปกาวสองหน้า 1 ม้วน 7. กรรไกร 1 อัน 8. คัตเตอร์ 1 เล่ม 9. กาว 1 ขวด 10. กระดาษสี 7 แผ่น
  • 13.
    ขั้นตอนและวิธีการดาเนินงาน ตอนที่ 1 ผลิตอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย -ขั้นทาตัวโครงงานสร้างของอุปกรณ์ล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม - ขั้นทาชุดกรองน้าของอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม ตอนที่ 2 การเก็บน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) ก่อนผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย - ขั้นใช้ประสาทสัมผัส - ขั้นใช้กระบวนการทางเคมี - ขั้นใช้เครื่องมือวัดค่า pH - ขั้นใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ตอนที่ 4 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) หลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย - ขั้นน้าผ่านชุดกรองของอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย - ขั้นการทดสอบคุณภาพน้า - ใช้ประสาทสัมผัส - ใช้กระบวนการทางเคมี - ใช้เครื่องมือวัดค่า pH - ใช้การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ตอนที่ 1 การทาอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย ขั้นที่ 1 การทาตัวโครงสร้างของอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย 1.1 ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 53 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 40 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน ตัดเหล็กฉากให้มีขนาดยาว 110 เซนติเมตร จานวน 4 ท่อน 1.2 นาเหล็กฉากที่ยาว 40 เซนติเมตร มาต่อกับเหล็กฉากที่ยาว 53 เซนติเมตร จากนั้นนาเหล็กฉาก ขนาด 40 เซนติเมตร มาต่อเข้าอีก และนาเหล็กฉากขนาด 53 เซติเมตร มาต่อเข้าอีก สลับความยาวไปมา เป็นรูปสี่เหลี่ยม ( โดยทั้งหมด ใช้น๊อตเป็นตัวเชื่อมติด ) โดยเป็นที่สาหรับวางอ่างล้างจาน
  • 14.
    1.3 นาเหล็กฉากยาว 110เซนติเมตร 4 ท่อนแต่ละท่อนมาต่อเป็นขาของอุปกรณ์ล้างจานรักษา สิ่งแวดล้อม โดยนาเหล็กฉากที่ยาว 110 เซนติเมตร แต่ละอันไปต่อเข้ากับมุมของโครงเหล็กที่ประกอบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมในข้อ 1.2 ( โดยใช้น๊อตเป็นตัวเชื่อมติด ) 1.4 เมื่อได้เป็นรูปร่างแล้วจากนั้นนาเหล็กฉากยาว 40 เซนติเมตร และ 53 เซนติเมตร อย่างละ 2 ท่อน แล้วต่อ เป็นรูปสี่เหลี่ยมสลับความยาวไปมาเหมือนกันดังข้อ 1.2 บริเวณตรงกลางของขาตัวอุปกรณ์โดย ระยะห่างระหว่างสี่เหลี่ยมสาหรับวางอ่างล้างจาน และสี่เหลี่ยมที่สาหรับวางเครื่องกรองน้าจากเส้นใย พืช ห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร
  • 15.
    1.5 จากนั้นนาเหล็กฉากยาว 40เซนติเมตร 2 ท่อน โดยนาแต่ละท่อนมาต่อให้เข้ากับเหล็ก ฉาก 40 เซนติเมตร ที่ประกอบเป็นชั้นสาหรับวางชุดกรองน้าจากเส้นใยพืช โดยความห่าง ประมาณ 30 เซนติเมตร 1.6 เมื่อได้ชั้นวางที่กรองน้าจากเส้นใยพืชแล้ว ต่อมาก็ประกอบชั้นวางสาหรับชุดกรองน้า แบบง่าย โดยทา วิธีการเดียวกันกับชั้นวางชุดเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช แต่ระห่างระหว่างชั้นวางชุดเครื่องกรองน้าจาก เส้นใยพืชกับชั้นว่างชุดเครื่องกรองน้าแบบง่ายในขั้นตอนที่ 1.4 และ 1.5 ห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร
  • 16.
    1.7 เมื่อได้ตัวเครื่องกรองน้าแล้วก็นาอ่างล้างจานเหลือใช้มาวางบนชั้นสาหรับวางอ่างล้างจาน (ชั้นบนสุด) ขั้นที่ 2 การทาชุดเครื่องกรองน้าแบบง่าย 1. นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ มาล้างกับน้าสะอาดเพื่อให้สิ่ง สกปรกที่ปนเปื้อนออกให้หมด 2. นาไปตากแดดรอให้แห้ง 3. นาถังพลาสติกสีใสมาเจาะรูที่ก้นของถังโดยวนเป็นรูปวงกลม โดยใช้ค้อนตอกตะปูลงไปให้เป็นรู 4. ตัดมุ้งลวดและผ้าขาวบางให้มีขนาดพอดีกับก้นของถัง นามาซ้อนกัน และนาไปรองไว้ที่ก้นของที่กรอง น้า เพื่อสาหรับไม่ให้พวกชั้นกรองหลุดตามน้ามาโดยใช้ผ้าขาวบางรองไว้ก้นสุดตามด้วย มุ้งลวด 5. นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ที่ตากแดดไว้เมื่อแห้งแล้วให้นาแต่ ละชนิดไปชั่งกิโล เพื่อจะได้แบ่งให้ได้อัตราส่วนที่เท่ากันแล้วนามาใส่ในถังสีขาวไว้ดังที่ศึกษามาจาก โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย 6. นาใยแก้ว นาทรายหยาบ ทรายละเอียด กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ มาจัดใส่ลงในถังที่ได้ เตรียมไว้แล้ว ซึ่งจะนาวัสดุที่ใช้ทาชุดกรองน้าแบบง่ายใส่ลงในถังที่เตรียมไว้ โดยใช้ใยแก้ว กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทรายหยาบ ทรายละเอียด และใยแก้ว โดยเรียงลาดับจากด้นล่างสู่ด้านบนของ
  • 17.
    ถัง โดยมีอัตราส่วนของชุดกรองคือ 1:100:90:80:90:90:1( ตามลาดับ ) 7. นาชุดกรองน้าอย่างง่ายไปวางไว้บนชั้นสาหรับวางชุดกรองน้าอย่างง่าย ขั้นที่ 3 การทาชุดเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช 1. นาผักตบชวาที่เก็บมาจากท่าน้าวัดราชาธิวาส มาปอกเปลือกออกให้เหลือแต่เส้นใย พร้อมนาไปล้างน้าใน น้าสะอาด แล้วสับให้เป็นท่อนเล็ก ๆ 2. นาถังพลาสติกสีใสมาเจาะรูที่ก้นของถังเป็นรูปวงกลม 3. นาผ้าขาวบางปูลงไปในถังพลาสติกสีใสเป็นชั้นที่ 1 4. นาผักตบชวาที่หั่นเป็นท่อน ๆ ใส่ลงในถังพลาสติกใสเป็นชั้นที่ 2 5. นาใยแก้วใส่ลงไปในถังพลาสติกสีใส โดยปิดเส้นใยผักตบชวาให้มิดเป็นชั้นที่ 3 6. นาหินสีขาวใส่ลงไปในถังพลาสติกสีใสเป็นชั้นที่ 4 7. เมื่อได้ชุดกรองน้าจากเส้นใยพืช แล้วก็นาชุดกรองน้าจากเส้นใยพืชไปวางไว้ในชั้นสาหรับวางไว้ในชั้น สาหรับวางเครื่องกรองน้าจากเส้นใยพืช ( ชั้นที่ 2 ) ตอนที่ 2 การเก็บน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ขั้นที่ 1 เตรียมขวดสาหรับใส่น้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจาน 5 ขวด ขั้นที่ 2 เก็บจากร้านข้าวแกงรัตนา โรงอาหารโรงเรียนวัดราชาธิวาส ตักน้าในกะละมังที่ใช้ล้างจานใส่ ขวดให้เต็ม 5 ขวด
  • 18.
    ตอนที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของน้า( อย่างง่าย ) ก่อนผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย 1. โดยการใช้อวัยวะ 1.1 ตาเปล่า สังเกตลักษณะของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล 1.2 จมูก ใช้ดมกลิ่นของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล 2. ใช้สารเคมี / กระบวนการทางเคมี 2.1 การตรวจสอบไขมันในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - นาพู่กันที่สะอาดมาจุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานไปถูกับกระดาษสีขาวประมาณ 5 – 6 ครั้ง จากนั้นยกกระดาษไปที่ที่มีแสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ บันทึกผล 2.2 การตรวจสอบโปรตีนในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงไปในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ หยดสารละลายคอปเปอร์(2)ซัลเฟต จานวน 5 หยด และสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 10 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 2.3 การตรวจสอบหาแป้ งในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายไอโอดีนจานวน 1 หยด สังเกตผลการทดลอง และบันทึกผล 2.4 การตรวจหาน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (กูลโคส ) ในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลาง จานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายเบเนดิกต์จานวน 5 หยด จากนั้นนาไปต้มในน้าเดือด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประมาณ 2 นาที สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 2.5 การตรวจสอบหาแคลเซียมในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายซัลฟิวริก จานวน 5 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 3. ใช้สิ่งมีชีวิต ได้แก่ กุ้งฝอยกับไรแดง 3.1 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้น ใช้ตะแกรงตักไรแดงประมาณ 1 ช้อนชา สังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไรและบันทึกผล
  • 19.
    3.2 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้น ใช้ตะแกรงตักกุ้งฝอยประมาณ 10 ตัวตักลงในบีกเกอร์แล้วสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นาน เท่าไรโดยใช้นาฬิกาจับเวลา และบันทึกผล 4. ใช้เครื่องมือวัดค่า pH - นาน้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ประมาณ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ หัวของเครื่องมือวัดค่า pH จุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน และรอจนกว่าตัวเลขบนหน้าปัดของ เครื่องจะคงที่แล้วบันทึกผล ตอนที่ 4 การตรวจสอบคุณภาพน้า ( อย่างง่าย ) หลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย ขั้นที่ 1 เทน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย ขั้นที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพของน้า ( อย่างง่าย ) ที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน หลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้าง จานบาบัดน้าเสีย 1. โดยการใช้อวัยวะ 1.1 ตาเปล่า สังเกตลักษณะของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล 1.2 จมูก ใช้ดมกลิ่นของน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานแล้วบันทึกผล 2. ใช้สารเคมี / กระบวนการทางเคมี 2.1 การตรวจสอบไขมันในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - นาพู่กันที่สะอาดมาจุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานไปถูกับกระดาษสีขาวประมาณ 5 – 6 ครั้ง จากนั้นยกกระดาษไปที่ที่มีแสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ บันทึกผล 2.2 การตรวจสอบโปรตีนในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงไปในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และ หยดสารละลายคอปเปอร์(2)ซัลเฟต จานวน 5 หยด และสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ประมาณ 10 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 2.3 การตรวจสอบหาแป้ งในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน
  • 20.
    - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายไอโอดีนจานวน 1 หยด สังเกตผลการทดลอง และบันทึกผล 2.4 การตรวจหาน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว (กูลโคส ) ในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลาง จานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายเบเนดิกต์จานวน 5 หยด จากนั้นนาไปต้มในน้าเดือด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ประมาณ 2 นาที สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 2.5 การตรวจสอบหาแคลเซียมในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน - หยดน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานลงในหลอดทดลองขนาดกลางจานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหยด สารละลายซัลฟิวริก จานวน 5 หยด สังเกตผลการทดลองและบันทึกผล 3. ใช้สิ่งมีชีวิต ได้แก่ กุ้งฝอยกับไรแดง 3.1 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ตะแกรงตักไร แดงประมาณ 1ช้อนชา สังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไร และบันทึกผล 3.2 นาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ตะแกรงตัก กุ้งฝอยประมาณ 10 ตัวตักลงในบีกเกอร์แล้วสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตสามารถดารงชีวิตได้นานเท่าไรโดยใช้ นาฬิกาจับเวลา และบันทึกผล 4. ใช้เครื่องมือวัดค่า pH - นาน้าที่เหลือทิ้งจาการล้างจานใส่ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นใช้ หัวของ เครื่องมือวัดค่า pH จุ่มลงไปในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน และรอจนกว่าตัวเลขบนหน้าปัดของเครื่องจะ คงที่แล้วบันทึกผล บทที่ 4 ผลการทดลอง ตารางที่ 1 แสดงลักษณะทางกายภาพของน้าก่อนผ่านการบาบัด และหลังผ่านการบาบัดจากอ่าง ล้าง จานบาบัดน้าเสีย ตาราง 2 แสดงผลการทดสอบทางเคมีของน้าก่อนผ่าน และหลังผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย
  • 21.
    ตารางที่ 4 แสดงพฤติกรรมและความเป็นอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน ก่อนผ่านการบาบัด และหลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง จากการทดลองครั้งนี้พบว่า อ่างล้างจานบาบัดน้าเสียสามารถทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมี คุณภาพดีขึ้น โดยสังเกตผลของการเปรียบเทียบการทดลองระหว่างน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก่อนผ่าน การรกรอง และหลังจากผ่านการกรองจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย พบว่า น้าหลังผ่านการกรองจากอ่างล้าง จานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอนปนอยู่ในน้า มีกลิ่นคาวของอาหารเหลืออยู่น้อยมาก ไม่พบ สารปนเปื้อนในน้า น้ามีคุณสมบัติเป็นกลาง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้าสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสนับสนุนกับสมมุติฐานที่ว่า น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบาบัดจากอ่างล้าง จานบาบัดน้าเสีย อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลองพบว่า เมื่อนาน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานเทผ่านอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีชุดกรองน้าอยู่ ด้านล่างทั้งหมด 2 ชุด ชุดแรกเป็นกรองน้าจากเส้นใยพืชซึ่งเป็นเส้นใยของผักตบชวาและ เส้นใยของ ผักตบชวานั้นมีลักษณะเป็นรูพรุนที่ถี่มากคล้ายฟองน้า ผักตบชวานั้นสามารถดักตะกอนเล็กๆ และคราบ ไขมันที่มากับน้า ซึ่งเส้นใยของผักตบชวามีอายุการใช้งานได้ไม่เกิน 1 วัน ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนทุกวัน มิฉะนั้นเส้นใยของผักตบชวาจะเน่าแล้วทาให้น้าที่ผ่านชั้นกรองเสีย ส่วนชุดกรองชั้นที่สองเป็นชุดกรองน้า อย่างง่าย ซึ่งกรองน้าอย่างง่ายนี้ประกอบด้วย ใยแก้ว กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่านกัมมันต์ ทราบหยาบ ทรายละเอียด และใยแก้ว ตามลาดับ โดยมีอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1:100:90:80:90:90:1 ตามลาดับ ซึ่ง
  • 22.
    ทั้งหมดนี้มีคุณสมบัติในการกรองน้าคลองให้ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นมีคุณสมบัติเป็นกลาง ดังนั้นเมื่อนาน้าที่ เหลือจากการล้างจาน ก่อนผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็นคาว อาหาร และมีกลิ่นน้ายาล้างจาน ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไม่สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ มีค่า pH คือ 6.9 แต่เมือ น้าที่เหลือจากการล้างจานได้ผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย น้านั้นมีลักษณะใส ไม่มีกลิ่น ไม่มี เศษตะกอนปนเปื้อนอยู่ในน้า มีกลิ่นเหม็นคาวอาหารน้อยมาก ไม่มีสารตกค้าง มีคุณสมบัติเป็นกลางและ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก เมื่อน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานได้ผ่านชั้น กรองจากเส้นใยพืชคือผักตบชวา เส้นใยจากผักตบชวาจะกรองสิ่งปฏิกูลหรือเศษอาหารเล็กๆ ที่มากับน้า และนอกจากนี้เส้นใยของผักตบชวา มีคุณสมบัติในการกรองน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน กล่าวคือเส้นใย ของผักตบชวาจะทาหน้าที่กรองสารอาหารที่มากับน้า จากนั้นน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะไหลไปในชุด กรองน้าแบบง่าย ทาให้น้ามีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีคุณสมบัติเป็นกลางและเมื่อน้าได้ผ่านการบาบัดก็ สามารถปล่อยทิ้งลงสู่แม่น้าได้แต่ไม่ใช่ว่าน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานหลังผ่านการกรองจากอ่างล้างจาน บาบัดน้าเสียจะสะอาดจนสามารถมาใช้ประโยชน์ได้ แต่เป็นเพียงการทาให้น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานมี คุณภาพที่ดีขึ้นเท่านั้นและเนื่องจากตัวอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีระบบไหลเวียนของน้ายังไม่ดีเท่าที่ควร เหตุเพราะถ้ามีการล้างจานในปริมาณมาก ๆ อ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย จะไม่สามารถรับน้าในปริมาณมากๆ ได้ จากการทดสอบคุณภาพของน้าหลังผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มี ตะกอนปนอยู่ในน้า มีกลิ่นคาวของอาหารเหลืออยู่น้อยมาก ไม่พบสารอาหารปนเปื้อนในน้า มีคุณสมบัติ เป็นกลาง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้าสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสนับสนุนกับสมมติฐาน ที่ว่า น้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบาบัดจากอ่างล้างจานบาบัดน้าเสีย ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ได้ผลิตอ่างล้างจานที่ช่วยลดมลพิษทางน้าไว้ใช้เอง 2. ช่วยลดปัญหาการปล่อยน้าเน่าเสียและสิ่งปฏิกูลลงสู่แม่น้าลาคลองและยังรักษาสิ่งแวดล้อม 3. ได้ฝึกทักษะต่าง ๆ กระบวนการแก้ปัญหา และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4. ฝึกการทางานเป็นหมู่คณะ แนวทางในการศึกษาต่อ 1. คณะผู้จัดทาได้จัดทาโครงงานเรื่องอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อมขึ้นเพื่อลดปัญหาการปล่อยมลพิษลงสู่ แหล่งน้า อ่างล้างจานนี้ยังไม่เหมาะสมสาหรับใช้งานภายในครัวเรือนเท่าไรนัก เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาด ใหญ่ ดังนั้นสาหรับผู้ที่สนใจโครงงานชิ้นนี้สามรถนาโครงงานชิ้นนี้ไปเป็นแนวทางในการศึกษาต่อและ พัฒนาให้มีขนาดเล็กลงกว่านี้และสามารถใช้งานได้จริงในทุกครัวเรือน 2. ถ้ามีการล้างจานจานวนมากน้าที่เหลือทิ้งจากการล้างจานก็มาก ก็จะทาให้ถังเก็บน้าไม่พอ น้าจะเกิน จึง ควรพัฒนาในเรื่องระบบการไหลของน้า
  • 23.