สงครามโลกครั้งที่ 2
(World War II หรือ Second World War)
สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945)
• เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง
20 ปี มีระยะเวลายาวนานถึง 6 ปี จึงยุติ
• เป็นสงครามครั้งรุนแรงและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้น ใช้เงินทุนมากที่สุด และ
ทาให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก
• ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง
พิสูจน์ให้เห็นว่า “สงครามไม่สามารถแก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้” การเจรจาหลัง
สงครามยุติ ก็ยิ่งก่อความไม่พอใจกับประเทศที่เกี่ยวข้อง เงื่อนหลายข้อที่เกิดจาก
สนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ ยังก่อปัญหาเพิ่มขึ้น จนทาให้สงครามโลกครั้งที่ 2
( World War II ) เกิดขึ้น
สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) (ต่อ)
• เป็น “สงครามแบบเบ็ดเสร็จ” ซึ่งได้นา
ทรัพยากรต่างๆ ไปใช้ในการสงครามโดยไม่
เลือกว่าเป็นของพลเรือนหรือทหาร
• สงครามในครั้งนี้ได้ขยายสมรภูมิรบออกไป
ทั่วโลก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดย
ครอบคลุมอาณาบริเวณทั้งในยุโรป แอฟริกา
เหนือ เอเชียตะวันออก และมหาสมุทร
แปซิฟิก เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง
ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่
ในโลก
Bar Chart
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรปมีคนตาย ราว ๆ 70 ล้านคน เป็นฝ่ายพันธมิตร ประมาณ 54 ล้านคน
ทหารที่เสียชีวิตมากที่สุดคือ โซเวียต คือ 10 ล้านคน พลเรือน ตายมากที่สุด คือเยอรมัน
ที่ถูกฆ่าโดยนาซี (ในค่ายกักกัน) 12 ล้านคน และชาวจีน 7 ล้าน 5 แสนคน
การแบ่งกลุ่มของประเทศคู่สงคราม
ประเทศผู้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) นาโดย นาซีเยอรมนี อิตาลี จักรวรรดิญี่ปุ่น
2. ฝ่ายสัมพันธมิตร (The Allied Power or The Allies ) ประกอบไปด้วย
แกนนาหลักคือ สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา
โดยมีประเทศที่เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรที่สาคัญอีก 2 ประเทศคือ จีน
และ ฝรั่งเศส ซึ่งประเทศทั้ง 5 นี้ ต่อมาได้เข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะ
มนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2
1. ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา
2. ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
3. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง
4. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ
5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ
6. ลัทธินิยมทางทหาร
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2
1. ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่
แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะ
สูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์
ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์
ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัด
ด้วยสัญญา และต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์
และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา
หน้าต้นของสนธิสัญญาแวร์ซาย
ฉบับภาษาอังกฤษ
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
2. ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เนื่องจากความไม่ยุติธรรมของ
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เกิดความรู้สึกอัปยศเสียศักดิ์ศรีของชาติ นาไปสู่การเกิดความรู้สึก
ชาตินิยมรุนแรงให้แก่ชนชาติเยอรมัน ทาให้ผู้นาเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซีเพื่อสร้าง
ประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับ เบนิโต มุโสลินี ผู้นาอิตาลีหันไปใช้ลันทธิฟาสซิสต์ ซึ่ง
เน้นความคิดชาตินิยมและขยายดินแดน รวมทั้งการนาสงครามเข้าไปในยุโรปต่างๆ ทาให้
เกิดกรณีพิพาทระหว่างประเทศและนาไปสู่สงคราม
มุโสลินี, ฮิตเลอร์ ผู้นาสูงสุดของเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
3. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตย
กับระบอบเผด็จการ ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 1 ทาให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น
เยอรมนีและอิตาลี นาไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบ
การปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน
4. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ เนื่องจากไม่มีกลไกอานาจหรือกองทัพ
ขององค์การที่จะบังคับให้ประเทศใดปฏิบัติตามได้ ทาให้ขาดอานาจในการ
ปฏิบัติการและขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศมหาอานาจอย่าง
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียดไม่ได้ร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จึงทา
ให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้
สงคราม
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็น
มหาอานาจเดิมในทวีปยุโรปและเป็นประเทศที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอ่อนแอลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากประสบกับ
ความเสียหายในช่วงสงครามมาก ดังนั้นเมื่อมีประเทศที่เข้มแข็งทางทหาร
เกิดขึ้นและรุกรานประเทศหรือดินแดนที่อ่อนแอกว่า อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงไม่
พร้อมที่จะทาตนเป็นผู้ปกป้องได้ ดังนั้นจึงใช้นโยบายรอมชอม ผลก็คือ
ประเทศที่มีกาลังทหารที่เข้มแข็งและมีนโยบายรุกรานจะทาอะไรได้ตามความ
พอใจของตนเอง
6. ลัทธินิยมทางทหาร การแข่งขันในการสะสมอาวุธเพื่อสร้างแสนยานุภาพ
ทาให้ประเทศมหาอานาจไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
วิกฤตการณ์สาคัญก่อนสงคราม
1. เยอรมนียกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ. 1936
2. สงครามอิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ค.ศ. 1936
3. สงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936 – 1939
4. เยอรมนีรวมออสเตรีย ค.ศ. 1938
5. เยอรมนีรวมเชคโกสโลวาเกีย ค.ศ. 1938
6. อิตาลียึดครองแอลเบเนีย ค.ศ. 1939
7. ปัญหาฉนวนโปแลนด์ ค.ศ. 1939
8. การขยายอานาจของญี่ปุ่นในเอเชีย ค.ศ. 1931 – 1939
ชนวนระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 2
• กองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์เมื่อ 1 กันยายน 1939 เนื่องจากโปแลนด์
ปฏิเสธที่จะยกเมืองท่าดานซิกและฉนวนโปแลนด์ในเยอรมนี อังกฤษ
และฝรั่งเศส ซึ่งมีสัญญาค้าประกันเอกราชของโปแลนด์ ได้ยื่นคาขาด
ให้เยอรมนี ถอนทหารออกจากโปแลนด์ แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ
ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2
• สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 สมัยรัฐบาล
ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
• เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทหารญี่ปุ่ นก็เข้า
เมืองไทยกระจายขึ้นทางฝั่งทะเลภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์
นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และสมุทรปราการ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ของร้องรัฐบาลไทยให้
ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อ ไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ และขอให้ระงับการ ต่อต้าน
ของคนไทยเสีย
ภาพการลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับ ทูตญี่ปุ่น
การยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่น
ในประเทศไทย พ.ศ. 2484
นโยบายยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
• ไทยทาสัญญาพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่ น
ในสงครามมหาเอเชียบูรพา
ในวันที่ 21 ธันวาคม 2484 ที่พระอุโบสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดารามและประกาศ
สงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อ
วันที่ 25 มกราคม 2485 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่
สงครามมหาเอเชียบูรพารวมเป็นส่วน
หนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2
ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
• ทูตไทยในสหรัฐอเมริกา คือ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์
สวัสดิวัฒน์ ผู้แทนไทยในอังกฤษไม่ยอมรับ จึงได้ร่วมมือกันตั้งขบวนการเสรีไทย
(Free Thai Movement) โดยติดต่อกับ นายปรีดี พนมยงค์ ในเมืองไทย
ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
• ญี่ปุ่ นแพ้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไทยประกาศสงครามเป็น
โมฆะ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและความประสงค์ของประชาชน
ชาวไทย ซึ่งสหรัฐอเมริการับรอง
• ต่อมาไทยได้เจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2489 และกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489
ผลของสงครามต่อไทย
• ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ
• ได้ดินแดนเชียงตุง ดินแดนเสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบองและสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่
อังกฤษกลับมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องคืนให้เจ้าอาณานิคมเมื่อสงครามสงบลง เพื่อ
แลกกับการเป็นฝ่ายชนะสงคราม และการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
• เกิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งดาเนินการต่อต้านรัฐบาลและญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของอังกฤษและ
อเมริกา มีส่วนสาคัญในการสนับสนุน การประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายญี่ปุ่นของไทยเป็น
โมฆะ แม้ว่าไทยจะร่วมกับญี่ปุ่นในการประกาศสงคราม แต่ความร่วมมืออย่างลับ ๆ ของไทยกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตรทาให้ไทยมีอานาจต่อรองในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามยุติ โดย
สหรัฐอเมริกาถือว่าไทยไม่เคยประกาศสงครามต่อประเทศของตน ขณะที่อังกฤษยังดาเนิน
นโยบายต่อไทยแตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา
ผลของสงครามต่อไทย (ต่อ)
• ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ลาดับที่ 55
• ไทยถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,900 คน บาท
เจ็บ ประมาณ 3,000 คน ทรัพย์สินเสียหายประมาณ 79 ล้านบาท
• ไทยต้องคืนดินแดนของอังกฤษที่ได้มาระหว่างสงครามให้ข้าวสารแก่อังกฤษ
ถึง 1.5 ล้านตัน และต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ
• เศรษฐกิจตกต่า
อดอฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นาสูงสุดของเยอรมัน เป็นผู้นากลุ่มนาซี ได้รับเลือกตั้งเข้ามา
เป็นผู้นาเพราะมีนโยบายทางชาตินิยม ซึ่งถูกใจประชาชน
ฮิตเลอร์ได้ประกาศเสริมสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นใหม่ ซึ่งเท่ากับ
เป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์
การรบที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์
(World War II: The Attack on Pearl Harbor)
การรบที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์
(Pearl Harbor)
• เป็นส่วนหนึ่งของ เขตสงครามแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2
• การโจมตีท่าเพิร์ล เป็นการโจมตีทางทหารอย่างจู่โจมของกองทัพเรือจักรวรรดิ
ญี่ปุ่นต่อฐานทัพเรือสหรัฐที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) การโจมตีครั้งนี้จึงเกิดขึ้นโดยฝ่าย
สหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัว และจาต้องป้องกันตัวเองอย่างฉุกละหุก การโจมตีนี้นาให้
สหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
สาเหตุของการโจมตี
• ผลสืบเนื่องมาจากสงครามจีน-ญี่ปุ่ นครั้งที่ 2 จุดเริ่มต้นของสงครามคือ จักรวรรดิญี่ปุ่นได้บุก
เข้ายึดครองดินแดนแมนจูเรียหลังเกิดกรณีมุกเดน เนื่องจากญี่ปุ่นได้เล็งเห็นผลประโยชน์ใน
ดินแดนแมนจูเรียหลายประการ หลังจากยึดครองสาเร็จก็แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดให้อยู่ภายใต้การ
นาของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยมีจักรพรรดิปูยี (อดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง1) ให้มา
เป็นผู้สาเร็จราชการแผ่นดินและเป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูเรียได้แต่เพียงในนามเท่านั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณรัฐจีนเป็นอย่างมากจึงได้ไปร้องเรียนขอ
ความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ
• เวลาต่อมาสันนิบาตชาติดาเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นสันนิบาตชาติก็ได้
ลงความเห็นเห็นว่า จักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นฝ่ายผิดและเป็นผู้รุกราน จึงออกแถลงการณ์ลิตตัน เพื่อ
ประณามการกระทาของญี่ปุ่นในการรุกรานแมนจูเรียและออกคาสั่งให้ญี่ปุ่นถอนกองทัพออก
จากดินแดนแมนจูเรีย ทาให้ญี่ปุ่นไม่พอใจพร้อมประกาศถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติไปโดย
สิ้นเชิง
สาเหตุของการโจมตี (ต่อ)
• จากที่สันนิบาตชาติทาอะไรกับญี่ปุ่นไม่ได้ ทาให้จีนผิดหวังและญี่ปุ่นก็เริ่มฮึกเหิมที่คิดจะทาการ
ยึดครองจีนต่อไปโดยไม่มีประเทศใดๆมาขัดขวาง และแล้วจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ได้ส่งกองทัพเข้าไป
รุกรานจีนได้อย่างเต็มตัว แม้กองทัพจีนจะพยายามต้านทานอย่างสุดกาลังแต่ก็ไม่อาจต้านทาน
กองกาลังแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ทาให้จีนต้องสูญเสียดินแดนให้กับญี่ปุ่น เช่น ปักกิ่ง เป่ยผิง เทียน
จิน เป็นต้น ในขณะเดียวกันเมืองนานกิงเองก็ได้ถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองและทาการสังหาร
หมู่ชาวจีนไปเป็นจานวนมาก สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวจีนเป็นอย่างมาก
• ใน ช่วงที่กองทัพจีนได้พ่ายแพ้กองทัพญี่ปุ่นมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และแล้วความหวังก็ได้
ปรากฏขึ้น เนื่องจากจีนได้เล็งเห็นประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นชาติมหาอานาจหนึ่งที่ สามารถ
ถ่วงดุลอานาจของจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ ดังนั้นจีนจึงส่งขอความช่วยเหลือไปยังสหรัฐฯทันที แม้ว่า
สหรัฐฯจะพยายามทาตัวเป็นกลางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามก็ตามแต่ก็ ยินดีให้ความช่วยเหลือ
กับจีนอย่างเต็มที่
สาเหตุของการโจมตี (ต่อ)
• ด้านสหรัฐฯ ภายใต้การนาโดยประธานาธิปดีรูสเวลท์ก็ได้ประกาศยุติการส่งออก
สินค้าไปยังญี่ปุ่น เช่น น้ามัน เหล็ก เป็นต้น ทาให้ญี่ปุ่นขาดปัจจัยในการบารุง
กองทัพโดยเฉพาะน้ามัน ทาให้การบุกเข้ายึดจีนต่อไปต้องหยุดชะงักลง จักรวรรดิ
ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงได้ส่งทูตไปเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอให้ส่งน้ามันต่อ แต่ว่าการเจรจา
ก็ล้มเหลวเพราะสหรัฐฯได้ยื่นคาขาดว่าให้ญี่ปุ่นยุติการยึด ครองจีน และถอนกาลัง
ออกจากอินโดจีนไป
• ด้วยเหตุข้างต้นทาให้ญี่ปุ่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจโจมตีที่อ่าว
เพิร์ลฮาเบอร์ที่เป็น ฐานทัพเรือสหรัฐฯประจาภาคพื้นทะเลแปซิพิกด้วยการเป็น
อย่างลับๆ เพื่อเปิดเส้นทางการขยายอานาจในภาคพื้นทะเลแปซิพิกแก่จักรวรรดิ
ญี่ปุ่น
เรือรบขนาดใหญ่สองลา คือ
เรือ ยู.เอส.เอส โอกลาโฮมา
(USS Oklahoma) และ ยู.เอส.เอส. -
แอริโซนา (USS Arizona)
ถูกทาลายจนย่อยยับ
ในการโจมตีนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ ายกองทัพสหรัฐอเมริกามาก
โดยเรือสงครามสูญเสีย 12 ลา เครื่องบิน 188 ลา ทหารอเมริกันเสียชีวิต 2,403 คน
และประชาชน 68 คน
โครงการแมนฮัตทัน (Manhattan Project)
• เป็นความพยายามในการออกแบบและพัฒนาอาวุธนิวเครียร์ลูกแรก ของ
สหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้รับความช่วยเหลือ
จากสหราชอาณาจักรและประเทศแคนาดา
• การค้นคว้าวิจัยนาโดยนักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันนาม
เจ โรเบิร์ต (J. Robert Oppenheimer)
หลังสหรัฐค้นพบว่าพรรคนาซีเยอรมัน
กาลังสร้างอาวุธคล้ายๆ กันอยู่
สิ้นสุดสงคราม
หลังการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ
• เป็นการโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลาย
สงครามโลกครั้งที่ 2
• เป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นามาใช้ในประวัติศาสตร์
การทาสงคราม
ระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโระชิมะ (Hiroshima) ของญี่ปุ่ น
มีชื่อรหัสว่า “ลิตเติลบอย (little boy)” ใช้ยูเรเนียม – 235
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945
รูปนี้เป็นแบบจาลองที่ทาขึ้น
หลังจากของจริงถูกนาไปใช้แล้ว
นับเป็นครั้งแรกที่อาวุธนิวเคลียร์ถูกนามาใช้ในสงคราม
เมฆรูปเห็ดสูง 18 กิโลเมตร ที่เกิดจากอาวุธนิวเคลียร์
ที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น
เมื่อปี พ.ศ. 2488 ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง
ระเบิดที่ใช้ถล่มเมือง นะงะซะกิ (Nagasaki)
ชื่อรหัส “แฟตแมน (Fat man)”
ใช้ พลูโตเนียม – 239 วันที่ 9 สิงหาคม 1945
Fat Man" เป็นระเบิดนิวเคลียร์ชนิดแกนพลูโตเนียม มีอานุภาพทาลายล้างเท่ากับ
ระเบิดทีเอ็นที (TNT) 21 กิโลตัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 750,000 คน
ผลจากการทิ้งระเบิดปรมาณู
• การระเบิดทาให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนของฮิโระชิมะ 140,000 คนและที่นะงะ
ซะกิ 80,000 คน โดยนับถึงปลายปี พ.ศ. 2488
• ในระยะต่อมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูก
ปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน
ผู้เสียชีวิตจากสารกัมมันตรังสี กัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นยัง
ส่งผลข้างเคียง เช่น เลือดจะไหลไม่หยุด,
ตาเป็นต้อกระจก
ผลจากการทิ้งระเบิดปรมาณู (ต่อ)
• หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อ
ฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
• ญี่ปุ่นลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการ
ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488
• ส่วนนาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
ในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488
• การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทาให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับ
หลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์
พลังงานนิวเคลียร์
• พลังงานนิวเคลียร์สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเราได้ ถ้าเราสามารถควบคุมมันและใช้ให้ถูกวิธี
ในทางกลับกัน มันยังสามารถกลายเป็นอาวุธสงครามที่มีอานุภาพร้ายแรงได้ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่
ครอบครองพลังงานนี้จะตัดสินใจใช้มันในทางที่ดีหรือไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ได้แต่หวัง
ว่าจะไม่มีการนาพลังงานเช่นนี้ไปใช้ในทางที่ผิดอีกต่อไป
• ในสมัยหลังสงคราม นักวิทยาศาสตร์ได้นาความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์นี้มาใช้ในเชิงสร้างสรรค์
คือ เอามาผลิตความร้อน เพื่อผลิตไฟฟ้ าต่ออีกที โดยใช้แท่งเชื้อเพลิงขนาดเล็กนิดเดียว ซึ่งน้อย
มากเมื่อเทียบกับปริมาณไม้หรือถ่านหินที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน ซึ่งเรียก
โรงไฟฟ้าแบบนี้ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือ โรงไฟฟ้าปรมาณู โรงไฟฟ้าแบบนี้ไม่ทาให้พื้นที่ป่า
สูญเสียไป
การทิ้งระเบิดปรมาณู ของสหรัฐ ที่ฮิโรซิมา ประเทศญี่ปุ่น
เป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2
1. ประเทศผู้แพ้สงครามต้องเสียเกียรติภูมิ ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามต้องเสีย
ดินแดน เสียอาณานิคม และต้องยังยินยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ฝ่าย
ชนะสงครามวางเงื่อนไขให้ปฏิบัติตาม
2. มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN :United Nations) เพื่อดาเนินงานแทน
องค์การสันนิบาตชาติ และเพื่อรักษาสันติภาพ
3. เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนของสองมหาอานาจจนนาไปสู่เกิดสงครามเย็น
(Cold War) ที่ดาเนินต่อมาอีก 45 ปี และการแบ่งกลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรี
ประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์ เป็นเห็นให้แต่ละชาติเร่งพัฒนาอาวุธสงคราม
ร้ายแรง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
4. การเกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
ต่างประกาศเอกราชของตนเองทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย และ แอฟริกา และ
บางประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่น เยอรมนี เกาหลี เวียดนาม
5. สภาพเศรษฐกิจตกต่าไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เนื่องมาจากการใช้จ่ายเงินไปกับ
สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างมหาศาล มีคนว่างงานจานวนมหาศาล เกิดการขาด
แคลนสิ่งอุปโภคบริโภคที่จาเป็น ธนาคารหลายพันแห่งปิดตัวลง
6. สหรัฐฯได้เข้าปกครองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 6 ปี
7. เกิดมหาอานาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ)
8. ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝ่ายสัมพันธมิตร
ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการนาอาวุธที่ทันสมัยและระเบิดปรมาณูมาใช้ ทาให้
มีผู้เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่า 40 ล้าน คน รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เป็นโรคจิต
โรคระบาด ขาดอาหาร หายสาบสูญ เป็นจานวนมาก
องค์การสหประชาชาติ (The United Nation)
1. การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ เพื่อดาเนินงานแทนองค์การสันนิบาตชาติ
ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและให้กลุ่มสมาชิกร่วมมือช่วย
เหลือกัน และสนับสนุนสันติภาพของโลก รวมทั้งการพัฒนาประเทศในด้านต่าง
ๆ ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเป็นสมาชิก
ผู้ก่อตั้งและมีกองทหารของสหประชาชาติ
องค์การสหประชาชาติ (The United Nation) (ต่อ)
2. ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รุสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา เซอร์
วินสตัน เชอร์ชิลส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และโจเซฟ สตาลิน ประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต
ประชุมกันเพื่อสร้างสันติภาพ
3. เกิดกฎบัตรแอตแลนติก วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1941 เพื่อจัดตั้งองค์การเพื่อทาหน้าที่รักษา
สันติภาพของโลก ต่อมาได้ร่วมมือกับประเทศผู้แพ้สงคราม ลงนามในปฏิญญาสหประชาชาติ
วันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1942 เป็นจุดเริ่มต้นของคาว่า สหประชาชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อดารง
ไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
4. ประเทศต่างๆ 51 ประเทศ ได้ลงนามรับรองกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่
24 ตุลาคม ค.ศ.1945 สานักงานใหญ่สหประชาชาติตั้งอยู่ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
วัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ
1. ธารงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ระงับกรณีพิพาท
โดยสันติวิธี
2. พัฒนาสัมพันธ์ไมตรีระหว่างประเทศ
3. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรมและสนับสนุน
การเคารพสิทธิมนุษยชน
4. เป็นศูนย์กลางความร่วมมือและประสานงานของชาติต่างๆ
โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ
โครงสร้างอานาจและหน้าที่อยู่บนพื้นฐานของ 6 องค์กรหลัก ได้แก่
• สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly) เป็นที่ประชุม
ใหญ่ของประเทศสมาชิก กาหนดกิจกรรมขององค์การ รับรายงานเรื่อง
ต่างๆ ควบคุมงบประมาณ เลือกบุคลากรในองค์กรต่างๆ
• คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) มี
หน้าที่การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ มีอานาจใน
การเข้าไปตรวจสอบข้อขัดแย้งใดๆที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงและ
สันติภาพ
โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ (ต่อ)
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) (ต่อ)
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยประเทศสมาชิก 15 ชาติ
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- สมาชิกถาวร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน
- สมาชิกไม่ถาวร ได้แก่ สมาชิกที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้ง 10 ประเทศ
ในการลงมติต้องได้รับเสียงไม่ต่ากว่า 9 เสียงและสมาชิกถาวรต้อง
ไม่ออกเสียงคัดค้าน มตินั้นจึงจะถือว่าผ่าน
• คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN Economic and Social
Council) ประสานงานให้ เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และ
วัฒนธรรม
โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ (ต่อ)
• คณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ (UN Trusteeship Council)
ให้คาปรึกษาการบริหารดินแดนในภาวะทรัสตี
• สานักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ (UN Secretariat) เป็นที่ทางาน
ของเลขาธิการสหประชาชาติ ปัจจุบัน คือ นาย พัน กีมุน ชาวเกาหลีใต้
เข้ารับตาแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ต่อจากโคฟี อันนัน
• ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
พิพากษาคดีข้อขัดแย้งทางกฎหมายของประเทศต่างๆ หรือหน่วยงานอื่น
องค์การพิเศษอื่นๆ
1. สหประชาชาติจัดตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามความจาเป็นกรณี เช่น สานักงานใหญ่
ข้าหลวงดาเนินงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัย (United Nations Commisiener for Refogees :
UNHCR) โครงการพัฒนาสหประชาชาติ (United Nations Development Project :
UNDP)
2. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ประสานงานกับทบวงชานัญพิเศษ เพื่อร่วมมือ
ดาเนินกิจกกรมระหว่างประเทศ ปฏิบัติงานเพื่อยกระดับความเป็นอยู่และ
สวัสดิภาพของประชาชนในประเทศต่างๆ เช่น องค์การอนามัยโลก (World
Health Organixation : WHO) องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (United Nations Education , Scientific and Cutural Organization :
UNESCO) กองทุนเงินระหว่างประเทศ (InternationalMonelary Fond : IMF)
บทบาทขององค์การสหประชาชาติ
บทบาทขององค์การสหประชาชาติ ที่สาคัญ 2 ประการ คือ
• บทบาทด้านการรักษาสันติภาพ คือ องค์การจะทาหน้าที่ในการระงับ
กรณีพิพาท และลดกาลังอาวุธโดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อป้องกันการ
นาไปสู่สงคราม
• บทบาทด้านการส่งเสริมและความร่วมมือกับนานาประเทศในการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคม โดยองค์การสหประชาชาติจะได้จัดตั้งสถาบันและ
องค์การชานัญพิเศษเพื่อทางานเฉพาะด้าน เช่น องค์การศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESSCO ซึ่งมี
บทบาทในการประกาศแหล่งมรดกโลกหรือบุคคลสาคัญของโลกเป็นต้น
ข้อจากัดบทบาทของสหประชาชาติ
1. ปัญหาการใช้สิทธิยับยั้ง
2. ปัญหาค่าใช้จ่ายขององค์การ
3. ปัญหาการขาดอานาจบังคับอย่างเด็ดขาด
4. ความจากัดในขอบเขตแห่งการดาเนินงาน
5. การขยายอานาจและแทรกแซงอานาจของประเทศมหาอานาจ
ไทยกับองค์การสหประชาชาติ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงบรรดาประเทศฝ่ายพันธมิตรได้จัดตั้งองค์การ
สหประชาชาติขึ้น ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ลาดับที่
55 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้
1. ทาสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2489 ยกดินแดนที่ได้มา
จากฝรั่งเศสในกรณีพิพาทอินโดจีน คือ ดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้าโขงละ
เขมรส่วนใน ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ คืนให้แก่ฝรั่งเศสดังเดิม
ฝรั่งเศสจึงตกลงที่จะเลิกคัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของ
ไทย
2. เปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต
ไทยกับองค์การสหประชาชาติ (ต่อ)
3. เปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐจีนเป็นครั้งแรก ในพ.ศ. 2497
4. ไทยได้เข้าร่วมสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้ องกันร่วมกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(สปอ.) หรือ SEATO เพื่อร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อีก 7 ประเทศ คือ
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และปากีสถาน
เพื่อต่อต้านการขยายตัวของฝ่ายคอมมิวนิสต์นับแต่นั้นมา ต่อมาองค์การนี้ได้ยุบเลิก
ไปใน พ.ศ. 2520
สงครามเย็น (Cold War)
ค.ศ. 1945 – 1991 หรือ พ.ศ. 2488 – 2534
เกี่ยวกับสงครามเย็น
• เป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบการเมืองที่ต่างกัน
ของ 2 อภิมหาอานาจ คือ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ
สหรัฐอเมริกากับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพ
โซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
• สงครามเย็นเป็นสงครามอุดมการณ์เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในโลก
เป็นการต่อสู้ทางจิตวิทยา โดยไม่ได้ใช้กาลังทหารและอาวุธโดยตรง แต่
ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทาลาย การประณาม การ
แข่งขันกันสร้างกาลังอาวุธ รวมถึงการแข่งขันกันสารวจอวกาศ และ
สะสมอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแสดงแสนยานุภาพของฝ่ ายตน
สาเหตุของสงครามเย็น
1. เกิดจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันของ
อภิมหาอานาจทั้งสอง คือ สหรัฐอเมริกา ผู้นาโลกฝ่ายเสรี การปกครองด้วย
ระบอบประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียตผู้นาโลกเผด็จการ ปกครองแบบ
คอมมิวนิสต์ ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดาเนินนโยบายต่างประเทศและ
ความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นา
ของโลก โดยทั้งสองประเทศพยายามแสวงหาผลผลประโยชน์และเขต
อิทธิพลในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้นาทาง
การเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ อังกฤษ เยอรมนี ได้หมดอานาจลงภายหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนั่นเอง
สาเหตุของสงครามเย็น (ต่อ)
2. การแข่งขันแสนยานุภาพ (การสะสมอาวุธนิวเคลียร์)
ขีปนาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียตเรือดาน้าของอเมริกาที่สามารถขน
ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียเอาไว้ได้ถึง 24 ลูก
ชนวนของสงครามเย็น
• สงครามเกิดจากโซเวียต (รัสเซีย) ไม่ยอมถอนกาลังทหารออกจาก
เยอรมันตามสัญญา
ฝ่ายของสงคราม
• แบ่งได้ 3 ฝ่าย ได้แก่
1. ฝ่ายโลกเสรี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เกาหลีใต้ เยอรมัน
ตะวันตก เวียดนามใต้ ไทย เป็นต้น
2. ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ได้แก่ สหภาพโซเวียต เกาหลีเหนือ เยอรมัน
ตะวันออก เวียดนามเหนือ ออสเตรีย เป็นต้น
3. ฝ่ายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Nam) ได้แก่ อินโดนีเซีย ยูโกสลาเวีย
สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศมหาอานาจยุคสงครามเย็น
1. สหภาพโซเวียต
• สหภาพโซเวียต ได้ดาเนินนโยบายขยายลัทธิคอมมิวนิสต์
เข้าไปในภาคตะวันตกประเทศของตน หลังจากผนวก
เอสโตเนีย ลัตเวีย อละลิทัวเนีย เพื่อใช้ประเทสเหล่านี้เป็น
รัฐกันชนกับกลุ่มค่ายโลกเสรียุโรปตะวันตก
• โดยสหภาพโซเวียตได้ดาเนินนโยบายลัทธิคอมมิวนิสต์
แบบใหม่ มีการพัฒนาคอมมิวนิสต์ให้เจริญก้าวหน้าทาให้
ประเทศอื่นๆหันหน้าเข้าลัทธิอย่างสันติวิธี
ประเทศมหาอานาจยุคสงครามเย็น (ต่อ)
2. สหรัฐอเมริกา
• หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาดาเนิน
นโยบายเพื่อสกัดกั้นการขยายลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่โซเวียตกาลังดาเนินการอยู่
• โดยได้มีการประกาศลัทธิทรูแมน และแผนการ
มาร์แชล เพื่อช่วยเหลือยุโรปตะวันตกและ
ตะวันออก ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลก
ครั้งที่ 2 และภัยคุกคามจากโลกคอมมิวนิสต์ โดย
ลัทธิทรูแมน ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของสงคราม
เย็นระหว่างโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา
ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์
ในยุคสงครามเย็น
1. ความขัดแย้งในเยอรมนี
• หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ การฟื้นฟูเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศ
ผู้แพ้สงคราม ทาให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับ
โซเวียต โดยสหรัฐต้องการฟื้นฟูเยอรมนีให้กลับสู่สภาพเดิม
โดยเร็ว ขณะที่โซเวียตพยายามขัดขวางและเรียกร้อง
ค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนี
• ในที่สุดประเทศมหาอานาจได้กาหนดให้เยอรมนีแบ่ง
ออกเป็น สองประเทศ คือ เยอรมนีตะวันตกปกครองด้วย
ระบอบเสรีประชาธิปไตย ส่วนเยอรมนีตะวันออกปกครอง
ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยมีกาแพงเบอร์ลินกั้นพรมแดน
ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์
ในยุคสงครามเย็น (ต่อ)
2. ความขัดแย้งในจีน
ความขัดแย้งในจีนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือสนับสนุน
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่อีกฝ่ายต้องการโค่นรัฐบาล
แมนจู โดยมี ดร.ซุนยัดเซน เป็นประธานาธิบดีคนแรก
ต่อมาเจียง ไค เช็ค เป็นผู้นาจีนได้ปราบปราม
คอมมิวนิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒จีนคอมมิวนิสต์
สามารถยึดอานาจได้สาเร็จ และประกาศตั้งสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน โซเวียดได้ประกาศรองรับ เหมา เจ๋อ ตุง
ส่วน เจียง ไค เช็ค กับทหารและประชาชนได้หนีไปอยู่
เกาะไต้หวันโดยสหรัฐประกาศสนับสนุน
เหมา เจ๋อ ตุง
ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์
ในยุคสงครามเย็น (ต่อ)
3. ความขัดแย้งในเกาหลี
• หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาอานาจได้ประชุมให้
อเมริกา เข้าปลดอาวุธญี่ปุ่นในเกาหลีตั้งแต่เส้นขนานที่
38 ลงมาทางใต้ และให้สหภาพโซเวียตเข้าปลดอาวุธ
ญี่ปุ่นตั้งแต่เส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ต่อมาประเทศทั้ง 2 ได้
จัดตั้งรัฐบาลขึ้น ตามระบอบการปกครองของตน ทาให้
เกิดเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ
• พ.ศ. 2493 เกาหลีเหนือได้รุกรานเกาหลีใต้ นับเป็นการ
เผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้ลงนามสงบศึกในปี พ.ศ. 2496
ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์
ในยุคสงครามเย็น (ต่อ)
4. ความขัดแย้งในอินโดจีน
พ.ศ. 2498 สหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าแทรกแซง
การเมืองภายในเวียดนาม โดยสนับสนุนให้
เวียตนามใต้ปกครองใต้ระบอบประชาธิปไตย
ส่งผลให้สหภาพโซเวียตและจีนสนับสนุนให้
เวียดนามเหนือปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์
ความขัดแย้งทางอุดมการ์ทางการเมืองนาไป
สู่สงครามที่ขยายตัวภายในประเทศอินโดจีน
การสิ้นสุดสงครามเย็น
• สงครามเย็นสิ้นสุดลงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อันเนื่องมาจากสภาวะตกต่า
ทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลทาให้ระบบคอมมิวนิสต์หมดความสาคัญลง
• ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและ
ท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียต ต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง มีผล
ทาให้สหภาพโซเวียต ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1991
• จากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ส่งผลให้มีการ สลายตัวของ
“กลุ่มโซเวียต” และ“องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” รวมทั้งองค์การโคมีคอน ซึ่งเป็น
องค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังคมนิยม ปรากฏการณ์นี้จึงทาให้การ
เผชิญหน้าระหว่าง ประเทศมหา อานาจตะวันออก–ตะวันตกได้สลายตัวลงด้วย
การสิ้นสุดสงครามเย็น (ต่อ)
• เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของ “สงครามเย็น” คือ การทาลายกาแพง
เบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 และการรวมประเทศ เยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ.
1990 การที่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหย่อนท่าที และเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซีย ยอมให้
ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดสาคัญของความขัดแย้งในยุโรป กลับมารวมกัน ได้ย่อมแสดงให้เห็น
ถึงความเข้าใจและมีไมตรีต่อกันที่กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
•
ผลของสงครามเย็น
เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันของประเทศมหาอานาจทั้ง 2 ฝ่าย ทาให้
สภาวการณ์เกิดการตึงเครียดจึงนาไปสู่เหตุการณ์ ดังนี้
1. การสะสมและเพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น เครื่องบินรบ ปืนต่อสู้อากาศยาน
ตลอดจนอาวุธต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพการทาลายล้างสูง
2. การเพิ่มอัตรากาลังพล เพื่อแสดงศักยภาพของกองทัพให้พร้อมรบอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกอง กาลังของกองทัพบกทั้งในยุโรปของประเทศ
ค่ายคอมมิวนิสต์และเสรีประชาธิปไตยเองก็ตาม
ผลของสงครามเย็น (ต่อ)
3. การสะสมอาวุธนิวเคลียร์
3.1 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตทาการทดลองและสร้างอาวุธนิวเคลียร์
หลายชนิด ได้มีการนาอาวุธนิวเคลียร์ไปติดตั้งเผชิญหน้ากันจนกลายเป็นภาวะ
ตึงเครียด เช่น วิกฤติการณ์คิวบา จากสภาพการณ์ดังกล่าวได้นาไปสู่การสะสม
อาวุธ แม้ประเทศที่ยังไม่มีนิวเคลียร์ก็เร่งสร้างและผลิตนิวเคลียร์เพื่อนาไปเพิ่ม
สมรรถภาพทางด้านการทหารและยุทธศาสตร์ให้กับประเทศของตนทาให้
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดภาวะดุลแห่งความกลัว (Balance of Terror)
ซึ่งทาให้ประเทศมหาอาจไม่กล้าเสี่ยงที่จะทาสงครามนิวเคลียร์กัน
ผลของสงครามเย็น (ต่อ)
3.2 การประลองอานาจจึงถูกเลี่ยงไปแสดงออกในรูปอื่น ๆ เช่น สงครามย่อยๆ หรือ
สงครามตัวแทน (Proxy War) ในภูมิภาคต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นสงคราม
เกาหลี สงครามเวียดนามในอินโดจีน หรือแม้กระทั่วสงครามอิสราเอลและ
ชาติอาหรับ
3.3 จากภาวะดังกล่าว จึงนาไปสู่การเจรจาเพื่อประสานประโยชน์ระหว่างประเทศใน
การลดกาลังรบ (Disarmament) คือ การจากัดอาวุธและกาลังพลในการรบ เพื่อ
ป้องกันภัยจากการรุกรานของประเทศอื่นๆ ที่มีแนวทางการปกครองที่ต่างกัน และ
เป็นการตระหนักถึงภัยของอานุภาพของการทาลายล้างจากอาวุธนานาชนิด
บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น
1. สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาที่คอยให้การสนับสนุนประเทศผู้แพ้สงครามในการพัฒนาด้าน
เศรษฐกิจ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและเยอรมนี จึงทาให้สองประเทศกลายเป็นประเทศ
มหาอานาจทางเศรษฐกิจเทียบเท่ากับสหรัฐ
จนส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐเอง โดยสหรัฐเริ่มเผชิญปัญหาขาดดุลการค้า นโยบาย
การค้าของสหรัฐจึงต้องมีความเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะที่เอื้ออารี กลายเป็น
ยึดถือหลักความเป็นธรรม ควบคู่กับการค้าเสรี และกาหนดนโยบายกีดกันทาง
การค้า เช่นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน เป็นต้น
บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ)
2. สาธารณรัฐประชาชนจีน
หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดจีนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก
อย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากศักยภาพในด้านความกว้างใหญ่ของพื้นที่และ
ประชากร ความสมบูรณ์ทางทรัพยากร โดยสิ่งหนึ่งที่ชี้วัดว่าจีนเป็นมหาอานาจ
ในเวทีโลกคือ จีนเป็น สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง
สหประชาชาติ เป็น 1 ใน 5 มหาอานาจซึ่งมีอานาจยับยั้งมติใดๆ นอกจากนี้ยัง
เป็น 1 ใน 5 มหาอานาจที่มีอาวุธนิวเคลียร์
บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ)
3. ญี่ปุ่ น
ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นมหาอานาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็วราว พ.ศ. 2520
เป็นผลมาจากความสามารถในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งทาให้ญี่ปุ่น
ได้เปรียบในการส่งออกสินค้า การส่งสินค้าออกที่เพิ่มขึ้นทาให้ญี่ปุ่นเพิ่มฐานการ
ผลิตนอกประเทศเพื่อหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนต่ากว่า
บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ)
4. สหภาพยุโรป
สมาชิกสหภาพยุโรปที่เรียกว่า G-4 เป็นแบบอย่างของการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่
นับได้ว่าประสบความสาเร็จเป็นอย่างมากเพราะเปรียบเหมือนประเทศเดียวกัน
ก่อให้เกิดยุโรปตลาดเดียวมีการเคลื่อนไหวของสินค้าอิสระเงินทุน การบริการ
และการกาหนดสกุลเงินยูโรเป็นเงินสกุลเดียว
สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์
1. แนวคิดเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์เป็นสภาพที่สังคมโลกที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันติดต่อเชื่อมโยง
ถึงกันผสมกลมกลืน และมีผลกระทบต่อกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าในจุดหนึ่งจุด
ใดของโลกย่อมถือว่าเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโลกที่เกี่ยวข้องกับทุกๆส่วนของ
โลก ไม่สามารถแยกออกโดดเดี่ยวได้
สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์
2. ปัจจัยที่สนับสนุนการเกิดกระแสโลกาภิวัติ
2.1. การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยมมี
การติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าบริการผ่านพรมแดนกัน
อย่างเสรี
2.2 ความเจริญก้าวหน้าเทคโนโลยีการสื่อสาร
โทรคมนาคมที่ทาให้การติดต่อสื่อสารระหว่าองค์การ
บุคคลที่อยู่คนละมุมโลกอย่างสะดวกรวดเร็วเหนือการ
ควบคุมของรัฐ
สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์
3. การแข่งขันด้านเศรษฐกิจ
การค้าเสรีทาให้เกิดการแข่งขันทาเศรษฐกิจ การลงทุนที่ไร้พรมแดนที่มิใช่การ
ลงทุนด้านอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดผลผลิตแต่เป็นการหากาไรจากตลาดหุ้นและ
ตลาดเงินนาไปสู่การปั่นหุ้น และการ ปั่นเงิน อันนาไปสู่การผันผวนของระบบ
การเงินทั่วโลก ซึ่งสงผลต่อผู้ผลิตสินค้าและการลงทุน
สังคมกับกระแสโลกาภิวัตน์
4. ความก้าวหน้าของเครื่องมือและการสื่อสาร
ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
มีผลให้บุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรสามารถติดต่อกันได้
โดยตรง การเผยแพร่ข้อมูลแนวคิด วัฒนธรรม การ
โฆษณา กว้างขวางขึ้น การควบคุมจากรัฐทาได้ลาบากขึ้น
5. วัฒนธรรมสากล
จากการที่ระบบการติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทา
ให้ข้อมูลข่าวสาร ความเชื่อ ค่านิยม ภาษา สัญลักษณ์ วิถี
ชีวิต สินค้าบริการทาได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ง่ายต่อ
การรับวัฒนธรรมจากสังคมอื่นมาใช้ นาไปสูการรับ
วัฒนธรรมที่แตกต่างมาปรับใช้ในวัฒนธรรมของตน
สังคมกับกระแสโลกาภิวัตน์ (ต่อ)
6. สิทธิมนุษยชน
องค์การสหประชาติได้มีมติประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วย
สิทธิมนุษยชน โดยมีสมาชิกทั้งหลายมีพันธะที่จะต้อง
เคารพและปฏิบัติตาม หากประเทศใดมีการละเมิด ก็จะถูก
บีบบังคับให้แก่ไขปรับปรุงโดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ
และสังคมเป็นเครื่องมือในการลงโทษ
7. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติได้ถูกทาลายลงอย่างลวดเร็วเพราะ
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมลพิษ
การทาลายชั้นบรรยากาศ พลังงานที่ไม่สามารถทดแทนได้
อย่างน้ามันก็หมดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้นานาชาติได้มีการ
ประชุมเพื่อวางแผนสภาพแวดล้อมของสังคมโลก

สงครามโลกครั้งที่ 2

  • 1.
  • 2.
    สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939 – 1945) • เป็นความขัดแย้งทางทหารระดับโลกซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียง 20 ปี มีระยะเวลายาวนานถึง 6 ปี จึงยุติ • เป็นสงครามครั้งรุนแรงและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้น ใช้เงินทุนมากที่สุด และ ทาให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก • ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พิสูจน์ให้เห็นว่า “สงครามไม่สามารถแก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้” การเจรจาหลัง สงครามยุติ ก็ยิ่งก่อความไม่พอใจกับประเทศที่เกี่ยวข้อง เงื่อนหลายข้อที่เกิดจาก สนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ ยังก่อปัญหาเพิ่มขึ้น จนทาให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ( World War II ) เกิดขึ้น
  • 3.
    สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939 – 1945) (ต่อ) • เป็น “สงครามแบบเบ็ดเสร็จ” ซึ่งได้นา ทรัพยากรต่างๆ ไปใช้ในการสงครามโดยไม่ เลือกว่าเป็นของพลเรือนหรือทหาร • สงครามในครั้งนี้ได้ขยายสมรภูมิรบออกไป ทั่วโลก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดย ครอบคลุมอาณาบริเวณทั้งในยุโรป แอฟริกา เหนือ เอเชียตะวันออก และมหาสมุทร แปซิฟิก เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ ในโลก
  • 4.
    Bar Chart สงครามโลกครั้งที่ 2ในยุโรปมีคนตาย ราว ๆ 70 ล้านคน เป็นฝ่ายพันธมิตร ประมาณ 54 ล้านคน ทหารที่เสียชีวิตมากที่สุดคือ โซเวียต คือ 10 ล้านคน พลเรือน ตายมากที่สุด คือเยอรมัน ที่ถูกฆ่าโดยนาซี (ในค่ายกักกัน) 12 ล้านคน และชาวจีน 7 ล้าน 5 แสนคน
  • 5.
    การแบ่งกลุ่มของประเทศคู่สงคราม ประเทศผู้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) นาโดย นาซีเยอรมนี อิตาลี จักรวรรดิญี่ปุ่น
  • 6.
    2. ฝ่ายสัมพันธมิตร (TheAllied Power or The Allies ) ประกอบไปด้วย แกนนาหลักคือ สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา โดยมีประเทศที่เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรที่สาคัญอีก 2 ประเทศคือ จีน และ ฝรั่งเศส ซึ่งประเทศทั้ง 5 นี้ ต่อมาได้เข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะ มนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
  • 7.
    สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 1. ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา 2.ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น 3. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง 4. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ 5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ 6. ลัทธินิยมทางทหาร
  • 8.
    สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 1. ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญาข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่ แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะ สูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์ ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัด ด้วยสัญญา และต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์ และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา หน้าต้นของสนธิสัญญาแวร์ซาย ฉบับภาษาอังกฤษ
  • 9.
    สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) 2.ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เนื่องจากความไม่ยุติธรรมของ สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เกิดความรู้สึกอัปยศเสียศักดิ์ศรีของชาติ นาไปสู่การเกิดความรู้สึก ชาตินิยมรุนแรงให้แก่ชนชาติเยอรมัน ทาให้ผู้นาเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซีเพื่อสร้าง ประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับ เบนิโต มุโสลินี ผู้นาอิตาลีหันไปใช้ลันทธิฟาสซิสต์ ซึ่ง เน้นความคิดชาตินิยมและขยายดินแดน รวมทั้งการนาสงครามเข้าไปในยุโรปต่างๆ ทาให้ เกิดกรณีพิพาทระหว่างประเทศและนาไปสู่สงคราม มุโสลินี, ฮิตเลอร์ ผู้นาสูงสุดของเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
  • 10.
    สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) 3.ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตย กับระบอบเผด็จการ ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ทาให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นาไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบ การปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน 4. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ เนื่องจากไม่มีกลไกอานาจหรือกองทัพ ขององค์การที่จะบังคับให้ประเทศใดปฏิบัติตามได้ ทาให้ขาดอานาจในการ ปฏิบัติการและขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศมหาอานาจอย่าง สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียดไม่ได้ร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จึงทา ให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้ สงคราม
  • 11.
    สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) 5.นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็น มหาอานาจเดิมในทวีปยุโรปและเป็นประเทศที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอ่อนแอลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากประสบกับ ความเสียหายในช่วงสงครามมาก ดังนั้นเมื่อมีประเทศที่เข้มแข็งทางทหาร เกิดขึ้นและรุกรานประเทศหรือดินแดนที่อ่อนแอกว่า อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงไม่ พร้อมที่จะทาตนเป็นผู้ปกป้องได้ ดังนั้นจึงใช้นโยบายรอมชอม ผลก็คือ ประเทศที่มีกาลังทหารที่เข้มแข็งและมีนโยบายรุกรานจะทาอะไรได้ตามความ พอใจของตนเอง 6. ลัทธินิยมทางทหาร การแข่งขันในการสะสมอาวุธเพื่อสร้างแสนยานุภาพ ทาให้ประเทศมหาอานาจไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
  • 12.
    วิกฤตการณ์สาคัญก่อนสงคราม 1. เยอรมนียกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ.1936 2. สงครามอิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ค.ศ. 1936 3. สงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936 – 1939 4. เยอรมนีรวมออสเตรีย ค.ศ. 1938 5. เยอรมนีรวมเชคโกสโลวาเกีย ค.ศ. 1938 6. อิตาลียึดครองแอลเบเนีย ค.ศ. 1939 7. ปัญหาฉนวนโปแลนด์ ค.ศ. 1939 8. การขยายอานาจของญี่ปุ่นในเอเชีย ค.ศ. 1931 – 1939
  • 13.
    ชนวนระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 • กองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์เมื่อ1 กันยายน 1939 เนื่องจากโปแลนด์ ปฏิเสธที่จะยกเมืองท่าดานซิกและฉนวนโปแลนด์ในเยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งมีสัญญาค้าประกันเอกราชของโปแลนด์ ได้ยื่นคาขาด ให้เยอรมนี ถอนทหารออกจากโปแลนด์ แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ
  • 14.
    ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 • สงครามโลกครั้งที่2 เกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 สมัยรัฐบาล ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี • เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทหารญี่ปุ่ นก็เข้า เมืองไทยกระจายขึ้นทางฝั่งทะเลภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และสมุทรปราการ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ของร้องรัฐบาลไทยให้ ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยเพื่อ ไปโจมตีพม่า และมลายูของอังกฤษ และขอให้ระงับการ ต่อต้าน ของคนไทยเสีย ภาพการลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม กับ ทูตญี่ปุ่น
  • 15.
  • 16.
  • 17.
    ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) •ไทยทาสัญญาพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่ น ในสงครามมหาเอเชียบูรพา ในวันที่ 21 ธันวาคม 2484 ที่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามและประกาศ สงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อ วันที่ 25 มกราคม 2485 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ สงครามมหาเอเชียบูรพารวมเป็นส่วน หนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2
  • 18.
    ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) •ทูตไทยในสหรัฐอเมริกา คือ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ ผู้แทนไทยในอังกฤษไม่ยอมรับ จึงได้ร่วมมือกันตั้งขบวนการเสรีไทย (Free Thai Movement) โดยติดต่อกับ นายปรีดี พนมยงค์ ในเมืองไทย
  • 19.
    ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) •ญี่ปุ่ นแพ้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ไทยประกาศสงครามเป็น โมฆะ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญและความประสงค์ของประชาชน ชาวไทย ซึ่งสหรัฐอเมริการับรอง • ต่อมาไทยได้เจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 และกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489
  • 20.
    ผลของสงครามต่อไทย • ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ • ได้ดินแดนเชียงตุงดินแดนเสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบองและสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่ อังกฤษกลับมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องคืนให้เจ้าอาณานิคมเมื่อสงครามสงบลง เพื่อ แลกกับการเป็นฝ่ายชนะสงคราม และการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ • เกิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งดาเนินการต่อต้านรัฐบาลและญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของอังกฤษและ อเมริกา มีส่วนสาคัญในการสนับสนุน การประกาศเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายญี่ปุ่นของไทยเป็น โมฆะ แม้ว่าไทยจะร่วมกับญี่ปุ่นในการประกาศสงคราม แต่ความร่วมมืออย่างลับ ๆ ของไทยกับ ฝ่ายสัมพันธมิตรทาให้ไทยมีอานาจต่อรองในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามยุติ โดย สหรัฐอเมริกาถือว่าไทยไม่เคยประกาศสงครามต่อประเทศของตน ขณะที่อังกฤษยังดาเนิน นโยบายต่อไทยแตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา
  • 21.
    ผลของสงครามต่อไทย (ต่อ) • ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติลาดับที่ 55 • ไทยถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,900 คน บาท เจ็บ ประมาณ 3,000 คน ทรัพย์สินเสียหายประมาณ 79 ล้านบาท • ไทยต้องคืนดินแดนของอังกฤษที่ได้มาระหว่างสงครามให้ข้าวสารแก่อังกฤษ ถึง 1.5 ล้านตัน และต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ • เศรษฐกิจตกต่า
  • 22.
    อดอฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นาสูงสุดของเยอรมันเป็นผู้นากลุ่มนาซี ได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นผู้นาเพราะมีนโยบายทางชาตินิยม ซึ่งถูกใจประชาชน ฮิตเลอร์ได้ประกาศเสริมสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นใหม่ ซึ่งเท่ากับ เป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์
  • 23.
  • 24.
    การรบที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor) • เป็นส่วนหนึ่งของเขตสงครามแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2 • การโจมตีท่าเพิร์ล เป็นการโจมตีทางทหารอย่างจู่โจมของกองทัพเรือจักรวรรดิ ญี่ปุ่นต่อฐานทัพเรือสหรัฐที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) การโจมตีครั้งนี้จึงเกิดขึ้นโดยฝ่าย สหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัว และจาต้องป้องกันตัวเองอย่างฉุกละหุก การโจมตีนี้นาให้ สหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
  • 25.
    สาเหตุของการโจมตี • ผลสืบเนื่องมาจากสงครามจีน-ญี่ปุ่ นครั้งที่2 จุดเริ่มต้นของสงครามคือ จักรวรรดิญี่ปุ่นได้บุก เข้ายึดครองดินแดนแมนจูเรียหลังเกิดกรณีมุกเดน เนื่องจากญี่ปุ่นได้เล็งเห็นผลประโยชน์ใน ดินแดนแมนจูเรียหลายประการ หลังจากยึดครองสาเร็จก็แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดให้อยู่ภายใต้การ นาของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยมีจักรพรรดิปูยี (อดีตจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง1) ให้มา เป็นผู้สาเร็จราชการแผ่นดินและเป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูเรียได้แต่เพียงในนามเท่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่สาธารณรัฐจีนเป็นอย่างมากจึงได้ไปร้องเรียนขอ ความช่วยเหลือไปยังสันนิบาตชาติ • เวลาต่อมาสันนิบาตชาติดาเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นสันนิบาตชาติก็ได้ ลงความเห็นเห็นว่า จักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นฝ่ายผิดและเป็นผู้รุกราน จึงออกแถลงการณ์ลิตตัน เพื่อ ประณามการกระทาของญี่ปุ่นในการรุกรานแมนจูเรียและออกคาสั่งให้ญี่ปุ่นถอนกองทัพออก จากดินแดนแมนจูเรีย ทาให้ญี่ปุ่นไม่พอใจพร้อมประกาศถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติไปโดย สิ้นเชิง
  • 26.
    สาเหตุของการโจมตี (ต่อ) • จากที่สันนิบาตชาติทาอะไรกับญี่ปุ่นไม่ได้ทาให้จีนผิดหวังและญี่ปุ่นก็เริ่มฮึกเหิมที่คิดจะทาการ ยึดครองจีนต่อไปโดยไม่มีประเทศใดๆมาขัดขวาง และแล้วจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ได้ส่งกองทัพเข้าไป รุกรานจีนได้อย่างเต็มตัว แม้กองทัพจีนจะพยายามต้านทานอย่างสุดกาลังแต่ก็ไม่อาจต้านทาน กองกาลังแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ทาให้จีนต้องสูญเสียดินแดนให้กับญี่ปุ่น เช่น ปักกิ่ง เป่ยผิง เทียน จิน เป็นต้น ในขณะเดียวกันเมืองนานกิงเองก็ได้ถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองและทาการสังหาร หมู่ชาวจีนไปเป็นจานวนมาก สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวจีนเป็นอย่างมาก • ใน ช่วงที่กองทัพจีนได้พ่ายแพ้กองทัพญี่ปุ่นมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และแล้วความหวังก็ได้ ปรากฏขึ้น เนื่องจากจีนได้เล็งเห็นประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นชาติมหาอานาจหนึ่งที่ สามารถ ถ่วงดุลอานาจของจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ ดังนั้นจีนจึงส่งขอความช่วยเหลือไปยังสหรัฐฯทันที แม้ว่า สหรัฐฯจะพยายามทาตัวเป็นกลางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามก็ตามแต่ก็ ยินดีให้ความช่วยเหลือ กับจีนอย่างเต็มที่
  • 27.
    สาเหตุของการโจมตี (ต่อ) • ด้านสหรัฐฯภายใต้การนาโดยประธานาธิปดีรูสเวลท์ก็ได้ประกาศยุติการส่งออก สินค้าไปยังญี่ปุ่น เช่น น้ามัน เหล็ก เป็นต้น ทาให้ญี่ปุ่นขาดปัจจัยในการบารุง กองทัพโดยเฉพาะน้ามัน ทาให้การบุกเข้ายึดจีนต่อไปต้องหยุดชะงักลง จักรวรรดิ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงได้ส่งทูตไปเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอให้ส่งน้ามันต่อ แต่ว่าการเจรจา ก็ล้มเหลวเพราะสหรัฐฯได้ยื่นคาขาดว่าให้ญี่ปุ่นยุติการยึด ครองจีน และถอนกาลัง ออกจากอินโดจีนไป • ด้วยเหตุข้างต้นทาให้ญี่ปุ่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจโจมตีที่อ่าว เพิร์ลฮาเบอร์ที่เป็น ฐานทัพเรือสหรัฐฯประจาภาคพื้นทะเลแปซิพิกด้วยการเป็น อย่างลับๆ เพื่อเปิดเส้นทางการขยายอานาจในภาคพื้นทะเลแปซิพิกแก่จักรวรรดิ ญี่ปุ่น
  • 28.
    เรือรบขนาดใหญ่สองลา คือ เรือ ยู.เอส.เอสโอกลาโฮมา (USS Oklahoma) และ ยู.เอส.เอส. - แอริโซนา (USS Arizona) ถูกทาลายจนย่อยยับ
  • 30.
    ในการโจมตีนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ ายกองทัพสหรัฐอเมริกามาก โดยเรือสงครามสูญเสีย 12ลา เครื่องบิน 188 ลา ทหารอเมริกันเสียชีวิต 2,403 คน และประชาชน 68 คน
  • 32.
    โครงการแมนฮัตทัน (Manhattan Project) •เป็นความพยายามในการออกแบบและพัฒนาอาวุธนิวเครียร์ลูกแรก ของ สหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้รับความช่วยเหลือ จากสหราชอาณาจักรและประเทศแคนาดา • การค้นคว้าวิจัยนาโดยนักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันนาม เจ โรเบิร์ต (J. Robert Oppenheimer) หลังสหรัฐค้นพบว่าพรรคนาซีเยอรมัน กาลังสร้างอาวุธคล้ายๆ กันอยู่
  • 33.
  • 34.
    ระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโระชิมะ (Hiroshima) ของญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า “ลิตเติลบอย (little boy)” ใช้ยูเรเนียม – 235 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 รูปนี้เป็นแบบจาลองที่ทาขึ้น หลังจากของจริงถูกนาไปใช้แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่อาวุธนิวเคลียร์ถูกนามาใช้ในสงคราม เมฆรูปเห็ดสูง 18 กิโลเมตร ที่เกิดจากอาวุธนิวเคลียร์ ที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2488 ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง
  • 35.
    ระเบิดที่ใช้ถล่มเมือง นะงะซะกิ (Nagasaki) ชื่อรหัส“แฟตแมน (Fat man)” ใช้ พลูโตเนียม – 239 วันที่ 9 สิงหาคม 1945 Fat Man" เป็นระเบิดนิวเคลียร์ชนิดแกนพลูโตเนียม มีอานุภาพทาลายล้างเท่ากับ ระเบิดทีเอ็นที (TNT) 21 กิโลตัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 750,000 คน
  • 36.
    ผลจากการทิ้งระเบิดปรมาณู • การระเบิดทาให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนของฮิโระชิมะ 140,000คนและที่นะงะ ซะกิ 80,000 คน โดยนับถึงปลายปี พ.ศ. 2488 • ในระยะต่อมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูก ปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ผู้เสียชีวิตจากสารกัมมันตรังสี กัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นยัง ส่งผลข้างเคียง เช่น เลือดจะไหลไม่หยุด, ตาเป็นต้อกระจก
  • 37.
    ผลจากการทิ้งระเบิดปรมาณู (ต่อ) • หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อ ฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 • ญี่ปุ่นลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการ ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 • ส่วนนาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 • การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทาให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับ หลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์
  • 38.
    พลังงานนิวเคลียร์ • พลังงานนิวเคลียร์สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเราได้ ถ้าเราสามารถควบคุมมันและใช้ให้ถูกวิธี ในทางกลับกันมันยังสามารถกลายเป็นอาวุธสงครามที่มีอานุภาพร้ายแรงได้ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ ครอบครองพลังงานนี้จะตัดสินใจใช้มันในทางที่ดีหรือไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ได้แต่หวัง ว่าจะไม่มีการนาพลังงานเช่นนี้ไปใช้ในทางที่ผิดอีกต่อไป • ในสมัยหลังสงคราม นักวิทยาศาสตร์ได้นาความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์นี้มาใช้ในเชิงสร้างสรรค์ คือ เอามาผลิตความร้อน เพื่อผลิตไฟฟ้ าต่ออีกที โดยใช้แท่งเชื้อเพลิงขนาดเล็กนิดเดียว ซึ่งน้อย มากเมื่อเทียบกับปริมาณไม้หรือถ่านหินที่ต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน ซึ่งเรียก โรงไฟฟ้าแบบนี้ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือ โรงไฟฟ้าปรมาณู โรงไฟฟ้าแบบนี้ไม่ทาให้พื้นที่ป่า สูญเสียไป
  • 39.
    การทิ้งระเบิดปรมาณู ของสหรัฐ ที่ฮิโรซิมาประเทศญี่ปุ่น เป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
  • 40.
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 1. ประเทศผู้แพ้สงครามต้องเสียเกียรติภูมิต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามต้องเสีย ดินแดน เสียอาณานิคม และต้องยังยินยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ฝ่าย ชนะสงครามวางเงื่อนไขให้ปฏิบัติตาม 2. มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN :United Nations) เพื่อดาเนินงานแทน องค์การสันนิบาตชาติ และเพื่อรักษาสันติภาพ 3. เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนของสองมหาอานาจจนนาไปสู่เกิดสงครามเย็น (Cold War) ที่ดาเนินต่อมาอีก 45 ปี และการแบ่งกลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรี ประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์ เป็นเห็นให้แต่ละชาติเร่งพัฒนาอาวุธสงคราม ร้ายแรง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
  • 41.
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) 4.การเกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ต่างประกาศเอกราชของตนเองทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย และ แอฟริกา และ บางประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่น เยอรมนี เกาหลี เวียดนาม 5. สภาพเศรษฐกิจตกต่าไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก เนื่องมาจากการใช้จ่ายเงินไปกับ สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างมหาศาล มีคนว่างงานจานวนมหาศาล เกิดการขาด แคลนสิ่งอุปโภคบริโภคที่จาเป็น ธนาคารหลายพันแห่งปิดตัวลง 6. สหรัฐฯได้เข้าปกครองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง 6 ปี 7. เกิดมหาอานาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต
  • 42.
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ต่อ) 8.ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝ่ายสัมพันธมิตร ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการนาอาวุธที่ทันสมัยและระเบิดปรมาณูมาใช้ ทาให้ มีผู้เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่า 40 ล้าน คน รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เป็นโรคจิต โรคระบาด ขาดอาหาร หายสาบสูญ เป็นจานวนมาก
  • 43.
    องค์การสหประชาชาติ (The UnitedNation) 1. การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ เพื่อดาเนินงานแทนองค์การสันนิบาตชาติ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและให้กลุ่มสมาชิกร่วมมือช่วย เหลือกัน และสนับสนุนสันติภาพของโลก รวมทั้งการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเป็นสมาชิก ผู้ก่อตั้งและมีกองทหารของสหประชาชาติ
  • 44.
    องค์การสหประชาชาติ (The UnitedNation) (ต่อ) 2. ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รุสเวลต์ แห่งสหรัฐอเมริกา เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และโจเซฟ สตาลิน ประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต ประชุมกันเพื่อสร้างสันติภาพ 3. เกิดกฎบัตรแอตแลนติก วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ.1941 เพื่อจัดตั้งองค์การเพื่อทาหน้าที่รักษา สันติภาพของโลก ต่อมาได้ร่วมมือกับประเทศผู้แพ้สงคราม ลงนามในปฏิญญาสหประชาชาติ วันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1942 เป็นจุดเริ่มต้นของคาว่า สหประชาชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อดารง ไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ 4. ประเทศต่างๆ 51 ประเทศ ได้ลงนามรับรองกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1945 สานักงานใหญ่สหประชาชาติตั้งอยู่ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
  • 45.
    วัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ 1. ธารงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ระงับกรณีพิพาท โดยสันติวิธี 2.พัฒนาสัมพันธ์ไมตรีระหว่างประเทศ 3. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรมและสนับสนุน การเคารพสิทธิมนุษยชน 4. เป็นศูนย์กลางความร่วมมือและประสานงานของชาติต่างๆ
  • 46.
    โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ โครงสร้างอานาจและหน้าที่อยู่บนพื้นฐานของ 6องค์กรหลัก ได้แก่ • สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly) เป็นที่ประชุม ใหญ่ของประเทศสมาชิก กาหนดกิจกรรมขององค์การ รับรายงานเรื่อง ต่างๆ ควบคุมงบประมาณ เลือกบุคลากรในองค์กรต่างๆ • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) มี หน้าที่การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ มีอานาจใน การเข้าไปตรวจสอบข้อขัดแย้งใดๆที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงและ สันติภาพ
  • 47.
    โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ (ต่อ) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UN Security Council) (ต่อ) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยประเทศสมาชิก 15 ชาติ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ - สมาชิกถาวร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน - สมาชิกไม่ถาวร ได้แก่ สมาชิกที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้ง 10 ประเทศ ในการลงมติต้องได้รับเสียงไม่ต่ากว่า 9 เสียงและสมาชิกถาวรต้อง ไม่ออกเสียงคัดค้าน มตินั้นจึงจะถือว่าผ่าน • คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN Economic and Social Council) ประสานงานให้ เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม
  • 48.
    โครงสร้าง องค์การสหประชาชาติ (ต่อ) •คณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ (UN Trusteeship Council) ให้คาปรึกษาการบริหารดินแดนในภาวะทรัสตี • สานักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ (UN Secretariat) เป็นที่ทางาน ของเลขาธิการสหประชาชาติ ปัจจุบัน คือ นาย พัน กีมุน ชาวเกาหลีใต้ เข้ารับตาแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ต่อจากโคฟี อันนัน • ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) พิพากษาคดีข้อขัดแย้งทางกฎหมายของประเทศต่างๆ หรือหน่วยงานอื่น
  • 49.
    องค์การพิเศษอื่นๆ 1. สหประชาชาติจัดตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามความจาเป็นกรณี เช่นสานักงานใหญ่ ข้าหลวงดาเนินงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัย (United Nations Commisiener for Refogees : UNHCR) โครงการพัฒนาสหประชาชาติ (United Nations Development Project : UNDP) 2. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ประสานงานกับทบวงชานัญพิเศษ เพื่อร่วมมือ ดาเนินกิจกกรมระหว่างประเทศ ปฏิบัติงานเพื่อยกระดับความเป็นอยู่และ สวัสดิภาพของประชาชนในประเทศต่างๆ เช่น องค์การอนามัยโลก (World Health Organixation : WHO) องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (United Nations Education , Scientific and Cutural Organization : UNESCO) กองทุนเงินระหว่างประเทศ (InternationalMonelary Fond : IMF)
  • 50.
    บทบาทขององค์การสหประชาชาติ บทบาทขององค์การสหประชาชาติ ที่สาคัญ 2ประการ คือ • บทบาทด้านการรักษาสันติภาพ คือ องค์การจะทาหน้าที่ในการระงับ กรณีพิพาท และลดกาลังอาวุธโดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อป้องกันการ นาไปสู่สงคราม • บทบาทด้านการส่งเสริมและความร่วมมือกับนานาประเทศในการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม โดยองค์การสหประชาชาติจะได้จัดตั้งสถาบันและ องค์การชานัญพิเศษเพื่อทางานเฉพาะด้าน เช่น องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESSCO ซึ่งมี บทบาทในการประกาศแหล่งมรดกโลกหรือบุคคลสาคัญของโลกเป็นต้น
  • 51.
    ข้อจากัดบทบาทของสหประชาชาติ 1. ปัญหาการใช้สิทธิยับยั้ง 2. ปัญหาค่าใช้จ่ายขององค์การ 3.ปัญหาการขาดอานาจบังคับอย่างเด็ดขาด 4. ความจากัดในขอบเขตแห่งการดาเนินงาน 5. การขยายอานาจและแทรกแซงอานาจของประเทศมหาอานาจ
  • 52.
    ไทยกับองค์การสหประชาชาติ สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงบรรดาประเทศฝ่ายพันธมิตรได้จัดตั้งองค์การ สหประชาชาติขึ้นประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ลาดับที่ 55 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้ 1. ทาสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2489 ยกดินแดนที่ได้มา จากฝรั่งเศสในกรณีพิพาทอินโดจีน คือ ดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้าโขงละ เขมรส่วนใน ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ คืนให้แก่ฝรั่งเศสดังเดิม ฝรั่งเศสจึงตกลงที่จะเลิกคัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของ ไทย 2. เปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต
  • 53.
    ไทยกับองค์การสหประชาชาติ (ต่อ) 3. เปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐจีนเป็นครั้งแรกในพ.ศ. 2497 4. ไทยได้เข้าร่วมสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้ องกันร่วมกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.) หรือ SEATO เพื่อร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อีก 7 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และปากีสถาน เพื่อต่อต้านการขยายตัวของฝ่ายคอมมิวนิสต์นับแต่นั้นมา ต่อมาองค์การนี้ได้ยุบเลิก ไปใน พ.ศ. 2520
  • 54.
    สงครามเย็น (Cold War) ค.ศ.1945 – 1991 หรือ พ.ศ. 2488 – 2534
  • 55.
    เกี่ยวกับสงครามเย็น • เป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและระบบการเมืองที่ต่างกัน ของ 2อภิมหาอานาจ คือ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ สหรัฐอเมริกากับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพ โซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 • สงครามเย็นเป็นสงครามอุดมการณ์เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในโลก เป็นการต่อสู้ทางจิตวิทยา โดยไม่ได้ใช้กาลังทหารและอาวุธโดยตรง แต่ ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทาลาย การประณาม การ แข่งขันกันสร้างกาลังอาวุธ รวมถึงการแข่งขันกันสารวจอวกาศ และ สะสมอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแสดงแสนยานุภาพของฝ่ ายตน
  • 56.
    สาเหตุของสงครามเย็น 1. เกิดจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันของ อภิมหาอานาจทั้งสอง คือสหรัฐอเมริกา ผู้นาโลกฝ่ายเสรี การปกครองด้วย ระบอบประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียตผู้นาโลกเผด็จการ ปกครองแบบ คอมมิวนิสต์ ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดาเนินนโยบายต่างประเทศและ ความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นา ของโลก โดยทั้งสองประเทศพยายามแสวงหาผลผลประโยชน์และเขต อิทธิพลในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้นาทาง การเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ อังกฤษ เยอรมนี ได้หมดอานาจลงภายหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนั่นเอง
  • 57.
    สาเหตุของสงครามเย็น (ต่อ) 2. การแข่งขันแสนยานุภาพ(การสะสมอาวุธนิวเคลียร์) ขีปนาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียตเรือดาน้าของอเมริกาที่สามารถขน ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียเอาไว้ได้ถึง 24 ลูก
  • 58.
    ชนวนของสงครามเย็น • สงครามเกิดจากโซเวียต (รัสเซีย)ไม่ยอมถอนกาลังทหารออกจาก เยอรมันตามสัญญา
  • 59.
    ฝ่ายของสงคราม • แบ่งได้ 3ฝ่าย ได้แก่ 1. ฝ่ายโลกเสรี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เกาหลีใต้ เยอรมัน ตะวันตก เวียดนามใต้ ไทย เป็นต้น 2. ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ได้แก่ สหภาพโซเวียต เกาหลีเหนือ เยอรมัน ตะวันออก เวียดนามเหนือ ออสเตรีย เป็นต้น 3. ฝ่ายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Nam) ได้แก่ อินโดนีเซีย ยูโกสลาเวีย สวิตเซอร์แลนด์
  • 60.
    ประเทศมหาอานาจยุคสงครามเย็น 1. สหภาพโซเวียต • สหภาพโซเวียตได้ดาเนินนโยบายขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ เข้าไปในภาคตะวันตกประเทศของตน หลังจากผนวก เอสโตเนีย ลัตเวีย อละลิทัวเนีย เพื่อใช้ประเทสเหล่านี้เป็น รัฐกันชนกับกลุ่มค่ายโลกเสรียุโรปตะวันตก • โดยสหภาพโซเวียตได้ดาเนินนโยบายลัทธิคอมมิวนิสต์ แบบใหม่ มีการพัฒนาคอมมิวนิสต์ให้เจริญก้าวหน้าทาให้ ประเทศอื่นๆหันหน้าเข้าลัทธิอย่างสันติวิธี
  • 61.
    ประเทศมหาอานาจยุคสงครามเย็น (ต่อ) 2. สหรัฐอเมริกา •หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาดาเนิน นโยบายเพื่อสกัดกั้นการขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่โซเวียตกาลังดาเนินการอยู่ • โดยได้มีการประกาศลัทธิทรูแมน และแผนการ มาร์แชล เพื่อช่วยเหลือยุโรปตะวันตกและ ตะวันออก ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 และภัยคุกคามจากโลกคอมมิวนิสต์ โดย ลัทธิทรูแมน ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของสงคราม เย็นระหว่างโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา
  • 62.
    ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ในยุคสงครามเย็น 1. ความขัดแย้งในเยอรมนี • หลังสงครามโลกครั้งที่๒ การฟื้นฟูเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศ ผู้แพ้สงคราม ทาให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับ โซเวียต โดยสหรัฐต้องการฟื้นฟูเยอรมนีให้กลับสู่สภาพเดิม โดยเร็ว ขณะที่โซเวียตพยายามขัดขวางและเรียกร้อง ค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนี • ในที่สุดประเทศมหาอานาจได้กาหนดให้เยอรมนีแบ่ง ออกเป็น สองประเทศ คือ เยอรมนีตะวันตกปกครองด้วย ระบอบเสรีประชาธิปไตย ส่วนเยอรมนีตะวันออกปกครอง ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยมีกาแพงเบอร์ลินกั้นพรมแดน
  • 63.
    ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ในยุคสงครามเย็น (ต่อ) 2. ความขัดแย้งในจีน ความขัดแย้งในจีนแบ่งเป็น2 ฝ่าย คือสนับสนุน สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่อีกฝ่ายต้องการโค่นรัฐบาล แมนจู โดยมี ดร.ซุนยัดเซน เป็นประธานาธิบดีคนแรก ต่อมาเจียง ไค เช็ค เป็นผู้นาจีนได้ปราบปราม คอมมิวนิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒จีนคอมมิวนิสต์ สามารถยึดอานาจได้สาเร็จ และประกาศตั้งสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โซเวียดได้ประกาศรองรับ เหมา เจ๋อ ตุง ส่วน เจียง ไค เช็ค กับทหารและประชาชนได้หนีไปอยู่ เกาะไต้หวันโดยสหรัฐประกาศสนับสนุน เหมา เจ๋อ ตุง
  • 64.
    ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ในยุคสงครามเย็น (ต่อ) 3. ความขัดแย้งในเกาหลี •หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาอานาจได้ประชุมให้ อเมริกา เข้าปลดอาวุธญี่ปุ่นในเกาหลีตั้งแต่เส้นขนานที่ 38 ลงมาทางใต้ และให้สหภาพโซเวียตเข้าปลดอาวุธ ญี่ปุ่นตั้งแต่เส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ต่อมาประเทศทั้ง 2 ได้ จัดตั้งรัฐบาลขึ้น ตามระบอบการปกครองของตน ทาให้ เกิดเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ • พ.ศ. 2493 เกาหลีเหนือได้รุกรานเกาหลีใต้ นับเป็นการ เผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี ในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้ลงนามสงบศึกในปี พ.ศ. 2496
  • 65.
    ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ในยุคสงครามเย็น (ต่อ) 4. ความขัดแย้งในอินโดจีน พ.ศ.2498 สหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าแทรกแซง การเมืองภายในเวียดนาม โดยสนับสนุนให้ เวียตนามใต้ปกครองใต้ระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้สหภาพโซเวียตและจีนสนับสนุนให้ เวียดนามเหนือปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ความขัดแย้งทางอุดมการ์ทางการเมืองนาไป สู่สงครามที่ขยายตัวภายในประเทศอินโดจีน
  • 66.
    การสิ้นสุดสงครามเย็น • สงครามเย็นสิ้นสุดลงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อันเนื่องมาจากสภาวะตกต่า ทางเศรษฐกิจเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลทาให้ระบบคอมมิวนิสต์หมดความสาคัญลง • ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและ ท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียต ต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง มีผล ทาให้สหภาพโซเวียต ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1991 • จากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ส่งผลให้มีการ สลายตัวของ “กลุ่มโซเวียต” และ“องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” รวมทั้งองค์การโคมีคอน ซึ่งเป็น องค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังคมนิยม ปรากฏการณ์นี้จึงทาให้การ เผชิญหน้าระหว่าง ประเทศมหา อานาจตะวันออก–ตะวันตกได้สลายตัวลงด้วย
  • 67.
    การสิ้นสุดสงครามเย็น (ต่อ) • เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของ“สงครามเย็น” คือ การทาลายกาแพง เบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 และการรวมประเทศ เยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990 การที่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหย่อนท่าที และเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซีย ยอมให้ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดสาคัญของความขัดแย้งในยุโรป กลับมารวมกัน ได้ย่อมแสดงให้เห็น ถึงความเข้าใจและมีไมตรีต่อกันที่กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง •
  • 68.
    ผลของสงครามเย็น เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันของประเทศมหาอานาจทั้ง 2 ฝ่ายทาให้ สภาวการณ์เกิดการตึงเครียดจึงนาไปสู่เหตุการณ์ ดังนี้ 1. การสะสมและเพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น เครื่องบินรบ ปืนต่อสู้อากาศยาน ตลอดจนอาวุธต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพการทาลายล้างสูง 2. การเพิ่มอัตรากาลังพล เพื่อแสดงศักยภาพของกองทัพให้พร้อมรบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกอง กาลังของกองทัพบกทั้งในยุโรปของประเทศ ค่ายคอมมิวนิสต์และเสรีประชาธิปไตยเองก็ตาม
  • 69.
    ผลของสงครามเย็น (ต่อ) 3. การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ 3.1สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตทาการทดลองและสร้างอาวุธนิวเคลียร์ หลายชนิด ได้มีการนาอาวุธนิวเคลียร์ไปติดตั้งเผชิญหน้ากันจนกลายเป็นภาวะ ตึงเครียด เช่น วิกฤติการณ์คิวบา จากสภาพการณ์ดังกล่าวได้นาไปสู่การสะสม อาวุธ แม้ประเทศที่ยังไม่มีนิวเคลียร์ก็เร่งสร้างและผลิตนิวเคลียร์เพื่อนาไปเพิ่ม สมรรถภาพทางด้านการทหารและยุทธศาสตร์ให้กับประเทศของตนทาให้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดภาวะดุลแห่งความกลัว (Balance of Terror) ซึ่งทาให้ประเทศมหาอาจไม่กล้าเสี่ยงที่จะทาสงครามนิวเคลียร์กัน
  • 70.
    ผลของสงครามเย็น (ต่อ) 3.2 การประลองอานาจจึงถูกเลี่ยงไปแสดงออกในรูปอื่นๆ เช่น สงครามย่อยๆ หรือ สงครามตัวแทน (Proxy War) ในภูมิภาคต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นสงคราม เกาหลี สงครามเวียดนามในอินโดจีน หรือแม้กระทั่วสงครามอิสราเอลและ ชาติอาหรับ 3.3 จากภาวะดังกล่าว จึงนาไปสู่การเจรจาเพื่อประสานประโยชน์ระหว่างประเทศใน การลดกาลังรบ (Disarmament) คือ การจากัดอาวุธและกาลังพลในการรบ เพื่อ ป้องกันภัยจากการรุกรานของประเทศอื่นๆ ที่มีแนวทางการปกครองที่ต่างกัน และ เป็นการตระหนักถึงภัยของอานุภาพของการทาลายล้างจากอาวุธนานาชนิด
  • 71.
    บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น 1. สหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาที่คอยให้การสนับสนุนประเทศผู้แพ้สงครามในการพัฒนาด้าน เศรษฐกิจ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเยอรมนี จึงทาให้สองประเทศกลายเป็นประเทศ มหาอานาจทางเศรษฐกิจเทียบเท่ากับสหรัฐ จนส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐเอง โดยสหรัฐเริ่มเผชิญปัญหาขาดดุลการค้า นโยบาย การค้าของสหรัฐจึงต้องมีความเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะที่เอื้ออารี กลายเป็น ยึดถือหลักความเป็นธรรม ควบคู่กับการค้าเสรี และกาหนดนโยบายกีดกันทาง การค้า เช่นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน เป็นต้น
  • 72.
    บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ) 2. สาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดจีนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจการเมืองโลก อย่างต่อเนื่องเนื่องมาจากศักยภาพในด้านความกว้างใหญ่ของพื้นที่และ ประชากร ความสมบูรณ์ทางทรัพยากร โดยสิ่งหนึ่งที่ชี้วัดว่าจีนเป็นมหาอานาจ ในเวทีโลกคือ จีนเป็น สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง สหประชาชาติ เป็น 1 ใน 5 มหาอานาจซึ่งมีอานาจยับยั้งมติใดๆ นอกจากนี้ยัง เป็น 1 ใน 5 มหาอานาจที่มีอาวุธนิวเคลียร์
  • 73.
    บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ) 3. ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นมหาอานาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็วราว พ.ศ. 2520 เป็นผลมาจากความสามารถในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งทาให้ญี่ปุ่น ได้เปรียบในการส่งออกสินค้า การส่งสินค้าออกที่เพิ่มขึ้นทาให้ญี่ปุ่นเพิ่มฐานการ ผลิตนอกประเทศเพื่อหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนต่ากว่า
  • 74.
    บทบาทประเทศมหาอานาจยุคหลังสงครามเย็น (ต่อ) 4. สหภาพยุโรป สมาชิกสหภาพยุโรปที่เรียกว่าG-4 เป็นแบบอย่างของการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่ นับได้ว่าประสบความสาเร็จเป็นอย่างมากเพราะเปรียบเหมือนประเทศเดียวกัน ก่อให้เกิดยุโรปตลาดเดียวมีการเคลื่อนไหวของสินค้าอิสระเงินทุน การบริการ และการกาหนดสกุลเงินยูโรเป็นเงินสกุลเดียว
  • 75.
    สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ 1. แนวคิดเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ โลกาภิวัตน์เป็นสภาพที่สังคมโลกที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันติดต่อเชื่อมโยง ถึงกันผสมกลมกลืน และมีผลกระทบต่อกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าในจุดหนึ่งจุด ใดของโลกย่อมถือว่าเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโลกที่เกี่ยวข้องกับทุกๆส่วนของ โลกไม่สามารถแยกออกโดดเดี่ยวได้
  • 76.
    สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ 2. ปัจจัยที่สนับสนุนการเกิดกระแสโลกาภิวัติ 2.1. การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยมมี การติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าบริการผ่านพรมแดนกัน อย่างเสรี 2.2ความเจริญก้าวหน้าเทคโนโลยีการสื่อสาร โทรคมนาคมที่ทาให้การติดต่อสื่อสารระหว่าองค์การ บุคคลที่อยู่คนละมุมโลกอย่างสะดวกรวดเร็วเหนือการ ควบคุมของรัฐ
  • 77.
    สภาพเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ 3. การแข่งขันด้านเศรษฐกิจ การค้าเสรีทาให้เกิดการแข่งขันทาเศรษฐกิจ การลงทุนที่ไร้พรมแดนที่มิใช่การ ลงทุนด้านอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดผลผลิตแต่เป็นการหากาไรจากตลาดหุ้นและ ตลาดเงินนาไปสู่การปั่นหุ้นและการ ปั่นเงิน อันนาไปสู่การผันผวนของระบบ การเงินทั่วโลก ซึ่งสงผลต่อผู้ผลิตสินค้าและการลงทุน
  • 78.
    สังคมกับกระแสโลกาภิวัตน์ 4. ความก้าวหน้าของเครื่องมือและการสื่อสาร ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว มีผลให้บุคคล กลุ่มบุคคลองค์กรสามารถติดต่อกันได้ โดยตรง การเผยแพร่ข้อมูลแนวคิด วัฒนธรรม การ โฆษณา กว้างขวางขึ้น การควบคุมจากรัฐทาได้ลาบากขึ้น 5. วัฒนธรรมสากล จากการที่ระบบการติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทา ให้ข้อมูลข่าวสาร ความเชื่อ ค่านิยม ภาษา สัญลักษณ์ วิถี ชีวิต สินค้าบริการทาได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ง่ายต่อ การรับวัฒนธรรมจากสังคมอื่นมาใช้ นาไปสูการรับ วัฒนธรรมที่แตกต่างมาปรับใช้ในวัฒนธรรมของตน
  • 79.
    สังคมกับกระแสโลกาภิวัตน์ (ต่อ) 6. สิทธิมนุษยชน องค์การสหประชาติได้มีมติประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วย สิทธิมนุษยชนโดยมีสมาชิกทั้งหลายมีพันธะที่จะต้อง เคารพและปฏิบัติตาม หากประเทศใดมีการละเมิด ก็จะถูก บีบบังคับให้แก่ไขปรับปรุงโดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และสังคมเป็นเครื่องมือในการลงโทษ 7. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติได้ถูกทาลายลงอย่างลวดเร็วเพราะ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมลพิษ การทาลายชั้นบรรยากาศ พลังงานที่ไม่สามารถทดแทนได้ อย่างน้ามันก็หมดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้นานาชาติได้มีการ ประชุมเพื่อวางแผนสภาพแวดล้อมของสังคมโลก