บทที่ 6
สมบัติเชิงกายภาพของสสาร
อ.ณภัทรษกร สารพัฒน์
คุณสมบัติของของไหล
คุณสมบัติของของแข็ง
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
สะพานพระรามแปด ข้ามแม่น้าเจ้าพระยา
วิศวกรใช้ความรู้เกี่ยวกับสมบัติเชิงกลของวัสดุ
oเลือกวัตถุที่มีสมบัติสภาพยืดหยุ่นเหมาะสมกับงาน
 ทนต่อแรงภายนอกได้มาก (ทาให้รูปร่างเปลี่ยนได้ยาก)
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
สถานะของสสาร มี 3 สถานะ คือ
Solid
Liquid
Gas
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
สถานะของสสาร มี 4 สถานะ
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
สถานะของสสาร มี 3 สถานะคือ
 ของแข็ง เป็ นสถานะที่มีรูปร่างและปริมาตรคงที่ในอุณหภูมิปกติ
oก้อนหิน, ไม้, ยาง , ดินสอ, เทียนไข และเหล็กเป็ นต้น
 ของเหลว เป็ นสถานะที่มีรูปร่างไม่คงที่แน่นอนในอุณหภูมิปกติ จะเปลี่ยน
ตามภาชนะที่บรรจุอยู่ แต่มีปริมาตรคงที่
oน้า, น้ามัน, ปรอท และ แอลกอฮอล์ เป็ นต้น
 แก๊ส เป็ นสถานะที่มีรูปร่างและปริมาตรไม่คงที่แน่นอนในอุณหภูมิปกติ มี
การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รูปร่างและปริมาตรจะเหมือนกับรูปร่างที่บรรจุ
oของเหลวและแก๊ส เรียกรวมกันว่าของไหล
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
• สภาพยืดหยุ่นของของแข็ง
o วัสดุที่มีการเปลี่ยนรูปร่างเมื่อมีแรงกระทา
สามารถคืนกลับตัวสู่รูปร่างเดิมเมื่อหยุด
ออกแรงกระทา เรียกว่า “สภาพยืดหยุ่น
(elasticity)”
o วัสดุเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างถาวร โดยผิววัสดุไม่
มีการฉีกขาดหรือแตกหัก เรียกสมบัตินี้ ว่า
“สภาพพลาสติก ( plasticity )”
สภาพยืดหยุ่นของของแข็ง
o เมื่อ ดึงวัสดุชนิดต่าง เช่น เส้นลวด
 ก่อนสปริงถูกดึง
 สปริงถูกยืดจนใกล้ขีดจากัดสภาพยืดหยุ่น
 สปริงถูกยืดจนเกินขีดจากัดสภาพยืดหยุ่น
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
Force
Force
สภาพยืดหยุ่นของของแข็ง
o เมื่อ ดึงวัสดุชนิดต่าง เช่น เส้นลวด
 จุด a คือ ขีดจำกัดกำรแปรผันตรง
(Proportional limit) ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ำย
ที่ควำมยำวเส้นลวดยืดออก แปรผันตรงกับ
ขนำดของแรงดึง
 จุด b คือขีดจำกัดสภำพยืดหยุ่น (Elastic
limit) ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ำยที่เส้นลวดยืด
ออกแล้วกลับสู่สภำพเดิม แต่แรงดึงไม่แปรผัน
ตรงกับระยะยืด
 จุด C คือ จุดแตกหัก (Breaking point)
หมำยถึงตั้งแต่จุด b เป็นต้นไป ถ้ำดึงต่อไปก็
ถึงจุด c ซึ่งเป็นจุดที่เส้นวัสดุขำด
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
กฎของฮุก ( Hooke’ s law)
o เมื่อออกแรงดึงหรือกดสปริง พบว่ำแรงที่กระทำต่อสปริง F มีควำมสัมพันธ์กับควำม
ควำมยำวที่เปลี่ยน
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
แรงที่ทาให้วัตถุผิดรูป
สมบัติเชิงกลของของแข็ง
o แรงดึง (tensile force)
F FA
o แรงอัด (forces of compression)
F FA
o แรงเฉือน (shear force)
F
F
Dx
h
ความเค้น และ ความเครียด
o ความเค้น ( Stress )
• แรงต้านภายในเนื้อวัสดุที่มีต่อแรงภายนอกที่มากระทาต่อหน่วยพื้นที่ (ผลหารของแรง
ภายในต่อพื้นที่)
 เพื่อความง่าย พูดถึงความเค้นในรูปของแรงภายนอกที่มากระทาต่อหนึ่งหน่วย
พื้นที่
• พิจารณาพื้นที่หน้าตัดดังรูป
แรงเค้นปกติและแรงเค้นเฉือน
DF
DA DF
DA
DFn
DFt
o ความเค้นปกติ (Normal Stress)
เป็ นความเข้มของแรง หรือแรงภายในต่อพื้นที่
 แรงภายใน (แรงเค้น คือ แรงยึดระหว่างโมเลกุลที่เพิ่มขึ้น)
ความเค้นเป็ น ปริมาณ สเกลาร์ มีหน่วยในระบบเอสไอเป็ นนิวตันต่อ
ตารางเมตร ( N/m2) หรือ พาสคัล ( Pa )
𝜎 = lim
Δ𝐴→0
∆𝐹𝑛
∆𝐴
𝜎 =
𝑑𝐹𝑛
𝑑𝐴
ความเค้น (Stress)
o ความเค้นปกติ (Normal Stress), ความเค้นตามยาว
• วัตถุที่มีรูปร่างสม่าเสมอ คงที่ตลอด
• เกิดความเค้นปกติ คงที่กระจายอย่างสม่าเสมอตลอดพื้นที่หน้าตัด
𝜎 =
𝐹𝑛
𝐴
𝑑𝐹𝑛 = 𝜎𝑑𝐴
ความเค้น (Stress)
o ความเค้นตามยาว (longitudinal stress )
o ความเค้นแบบดึง (tensile stress )
F FA
o ความเค้นแบบอัด ( compressive stress )
F FA
ความเค้น (Stress)
• ความเค้นเฉือน (Shear Stress)
• ถ้าวัตถุมีรูปร่างสม่าเสมอจะได้ว่า
ความเค้น (Stress)
DF
DA
DFn
DFt
𝜏 = lim
Δ𝐴→0
∆𝐹𝑡
∆𝐴
=
𝑑𝐹𝑡
𝑑𝐴
𝑑𝐹𝑡 = 𝜏𝑑𝐴 𝜏 =
𝐹𝑡
𝐴
o ความเค้นเฉือน (Shear Stress)
• การเคลื่อนที่ผ่านกันของวัตถุเมื่อ
ได้รับความเค้นเฉือน
F
F
𝜏 =
𝐹𝑡
𝐴
A F
F
A
ความเค้น (Stress)
• ความเครียดเฉือน (Shear Strain)
ความเครียด (Strain)
o ความเครียดมี 2 ลักษณะ คือ
• ความเครียดตามยาว หรือ ความเครียดเชิงเส้น (linear Strain)
DL=L-L0
FF
L0
L
F
F
Dx
h
 ความเครียด (Strain) คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ
(Deformation) เมื่อมีแรงภายนอกมากระทา (เกิดความเค้น)
o การเปลี่ยนรูปแบบอิลาสติกหรือความเครียดแบบคืนรูป
• ยางยืด, สปริง
o การเปลี่ยนรูปแบบพลาสติกหรือความเครียดแบบคงรูป
ความเครียด (Strain)
• ความเครียดตามยาว หรือ ความเครียดเชิงเส้น (linear Strain)
– ความเครียด ณ ตาแหน่ง ใด ๆ
ความเครียด (Strain)
DL=L-L0
FF
L0
L
เมื่อ
• DL คือ ความยาวที่เปลี่ยนไปจากเดิม
• L0 คือ ความยาวเดิมก่อนถูกแรงกระทา
ความเครียดเชิงเส้น (linear Strain) คือ 𝜀 =
Δ𝐿
𝐿0
• วัสดุมีพื้นที่หน้าตัดคงที่ตลอดความยาว
– ความเครียดตามยาวที่เกิดขึ้นจะมีค่าคงที่
ความเครียด (Strain)
FF
L0
L
ดังนั้น ความเครียดเชิงเส้นเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ
𝜀 =
Δ𝐿
𝐿0
• ความเครียดเฉือน (Shear Strain)
– ใช้กับกรณีที่แรงกระทามีลักษณะเป็ นแรงเฉือน
ความเครียด (Strain)
เมื่อ
• g คือ tan(q)≈q (หน่วย radian ในกรณีที่มุมเล็กๆ)
• Dx คือ ระยะที่เคลื่อนไป(displacement)
• h คือ ระยะห่างระหว่างระนาบ
ความเครียดเฉือน (Shear Strain)
:
𝛾 =
Δ𝑥
ℎ
F
F
Dx
qh
A
• Thomas Young ( ค.ศ. 1773 –
1829) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ สาเร็จ
การศึกษาทางแพทย์ แต่สนใจในวิชาฟิสิกส์
โดยเฉพาะเรื่องแสง ได้ดารงตาแหน่ง
ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ ของ The Royal
Institution และมีผลงานในวิชาฟิสิกส์
มากมาย เช่นการค้นพบการแทรกสอดของ
แสง เป็นคนแรกที่ทดลองวัดความยาวคลื่น
ของแสงสีต่าง ๆ และ เป็นผู้พบว่า ภายใน
ขีดจากัดสภาพยืดหยุ่น อัตราส่วน
ระหว่างความเค้นและความเครียดของ
วัสดุหนึ่ง ๆ จะมีค่าคงตัวเสมอ
ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด
ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด
ความเครียดเชิงเส้น (Tensile Strain) คือ 𝜀 =
Δ𝐿
𝐿0
ความเค้นตามยาว (Tensile Stress ) 𝜏 =
𝐹
𝐴
FF
L0
L
AA
o Tensile Modulus
𝐸 =
𝑇𝑒𝑛𝑠𝑖𝑙𝑒 𝑆𝑡𝑟𝑒𝑠𝑠
𝑇𝑒𝑛𝑠𝑖𝑙𝑒 𝑆𝑡𝑟𝑎𝑖𝑛
=
𝐹 𝐴
∆𝐿 𝐿0
ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด
ความเครียดเฉือน (Shear Strain) คือ 𝜀 =
Δ𝑥
ℎ
ความเค้นเฉือน (Shear Stress ) 𝜏 =
𝐹
𝐴
• Shear Modulus
𝑆 =
𝑆ℎ𝑒𝑎𝑟 𝑆𝑡𝑟𝑒𝑠𝑠
𝑆ℎ𝑒𝑎𝑟 𝑆𝑡𝑟𝑎𝑖𝑛
=
𝐹 𝐴
∆𝑥 ℎ
F
F
Dx
qh
A
• มอดูลัสของยังของวัสดุบางชนิด
– บ่งบอกถึงความแข็งแรง
• ทนต่อแรงภายนอกได้มาก
วัสดุ มอดุลัสของยัง , E ( x 1011 N/m2 )
ตะกั่ว 0.16
แก้ว 0.55
อลูมิเนียม 0.70
ทองเหลือง 0.91
ทองแดง 1.1
เหล็ก 1.9
เหล็กกล้า 2.0
ทังสเตน 3.6
• มอดูลัสเชิงปริมาตร (Bulk Modulus)
– อัตราส่วนระหว่าง ความเค้นปริมาตร กับ
ความเครียดปริมาตร
– ปริมาณที่แสดงถึง สภาพยืดหยุ่นปริมาตร
– เครื่องหมายลบ แสดงถึง ความดันเพิ่มขึ้น
เป็ นบวก ปริมาตรก็จะลดลง
– มีหน่วยเป็น N / m2
volume stress
volume strain
i i
F PAB
V V
V V
D D
    
D D
ความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด
ในการทดลองหาค่ามอดูลัสโดยใช้น้าหนัก 450 กิโลกรัม แขวนไว้ที่ปลาย
ลวดเหล็กยาว 2 เมตร พื้นที่หน้าตัด 0.15 ตารางเซนติเมตรปรากฏว่า
ลวดยืดออก 0.3 เซนติเมตร จงหาความเค้น ความเครียด และค่ามอดูลัส
ของยังของลวดเหล็กนี้
ตัวอย่าง
45o kg
วัตถุหนัก 100 นิวตัน แขวนด้วยลวดโลหะซึ่งมีความยาวเดิมเท่ากับ 1
เมตร มีพื้นที่หน้าตัดเท่ากับ 100 ตารางเซนติเมตร ถ้าลวดโลหะนี้มีค่า
มอดูลัสของยังเท่ากับ 20x1010 นิวตันต่อตารางเมตร ลวดนี้จะยืดออก
เท่าใด
ตัวอย่าง
100 N
ลวดเหล็กเส้นหนึ่งยาว 4 เมตร มีพื้นที่หน้าตัด 5x10–5 ตารางเมตร จง
หาว่าแรงดึงที่ทาให้ลวดเส้นนี้ยืดออก 0.02x10–2 เมตร มีค่ากี่นิวตัน
(ค่ามอดูลัสของยังของลวดเหล็กเท่ากับ 2x1011 นิวตันต่อตารางเมตร)
ตัวอย่าง
คุณสมบัติของของไหลที่อยู่นิ่ง
o ความดัน
o ความหนาแน่น
o กฎของปาสคาล
o เครื่องวัดความดัน
o แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมิดิส
ของไหลคืออะไร ?
ของไหล (Fluid) หมายถึง สสารที่สามรถไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
ได้ และจะมีรูปร่างไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุของไหลอยู่ ในที่นี้ก็คือ
ของเหลวและแก๊ส
สมบัติต่างๆ ของของไหล ได้แก่
o ความหนาแน่น
o ความดัน
o ความตึงผิว
o พลศาสตร์ของไหลo แก๊ส
o ของเหลว
ของไหลประกอบไปด้วยของเหลวและแก๊ส
ต่างกันที่ความสามรถในการถูกบีบอัด
(Compressibility)
อะไรที่ถูกบีบอัดได้มากกว่า?
ความหนาแน่น คือ : 𝝆 =
𝒎
𝑽
ในระบบ SI ความหนาแน่น มีหน่วยเป็ น kg/m3
น้ามีความหนาแน่น 1,000 kg/m3 = 1
g/cm3
ความหนาแน่น
1. ความหนาแน่น (Density)
2. หมายถึง ปริมาณมวลสารในหนึ่งหน่วยปริมาตร
o 𝑚 คือ มวลของสาร
o 𝑉 คือ ปริมาตรของสาร
o 𝜌 คือ ความหนาแน่นของสาร
เมื่อ :
ความหนาแน่น
ความหนาแน่นของสารบางชนิดที่อุณหภูมิ 0oC และความดันหนึ่งบรรยากาศ
สามารถแสดงได้ดังตาราง
สาร (ของแข็ง) ความหนาแน่น(x 103 kg/m3)
โฟม 0.1
ไม้ 0.3 - 0.9
น้าแข้ง 0.917
คอนกรีต 2.3
แก้ว 2.4 – 2.8
อะลูมิเนียม 2.7
เหล็ก 7.8
ความหนาแน่นคือ:𝝆=
𝒎
𝑽
ความหนาแน่น
ความหนาแน่นของสารบางชนิดที่อุณหภูมิ 0oC และความดันหนึ่งบรรยากาศ
สามารถแสดงได้ดังตาราง
สาร (ของแข็ง) ความหนาแน่น(x 103
kg/m3)
ตะกั่ว 11.3
ทอง 19.3
คาร์บอนไดออกไซด์ 1.98
ฮีเลียม 0.179
อากาศ 1.21
น้ามันเบนซิน 0.68
เอทิลแอลกอฮอล์ 0.79 ความหนาแน่นคือ:𝝆=
𝒎
𝑽
ความหนาแน่น
ความหนาแน่นของสารบางชนิดที่อุณหภูมิ 0oC และความดันหนึ่งบรรยากาศ
สามารถแสดงได้ดังตาราง
สาร (ของแข็ง) ความหนาแน่น(x 103 kg/m3)
น้า (4 oC) 1
น้าทะเล 1.024
ปรอท 13.6
ความหนาแน่น คือ : 𝝆 =
𝒎
𝑽
o น้าบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 4oC
ความหนาแน่น
2. ความหนาแน่นสัมพัทธ์ (Relative Density)
หมายถึง อัตราส่วนระหว่างความหนาแน่นของสารนั้นกับความ
หนาแน่นของสารอ้างอิง โดยทั่วไปนิยมใช้ความหนาแน่นของน้า
บริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 4oC (rน้า(4C) = 1.000 x 103 kg/m3) เป็ น
ความหนาแน่นอ้างอิง
ความหนาแน่น
3. ในอดีตอัตราส่วนระหว่างความหนาแน่นของสารกับความหนาแน่นของน้า
ถูกเรียกว่า ความถ่วงจาเพาะ(Specific Gravity)
แต่ในปัจจุบันเรารียกว่า ความหนาแน่นสัมพัทธ์ของสาร
ความถ่วงจาเพาะ หรือ ความหนาแน่นสัมพัทธ์
ความถ่วงจาเพาะของสารใด คือ
ความหนาแน่นของสารนั้น
ความหนาแน่นของน้า
ความถ่วงจาเพาะของสารใด
หรือ ความหนาแน่นสัมพัทธ์ =
rmatter
rwater
o แก๊สฮีเลียมมวล 70 กิโลกรัม
o แก๊สฮีเลียมที่มีปริมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร
นายมานะเดินทางด้วยบอลลูนบรรจุแก๊ส โดยก่อนเดินทางเขาบรรจุแก๊ส
ฮีเลียมที่มีปริมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร และ มวล 70 กิโลกรัม จงหาว่า
ขณะนั้นแก๊สฮีเลียมในบอลลูนมีความหนาแน่นเท่าได
ตัวอย่าง
ความหนาแน่น คือ : 𝝆 =
𝒎
𝑽
𝜌 =
70
350
𝑘𝑔
𝑚3
=
1
5
𝑘𝑔 𝑚3
𝜌 = 0.2 𝑘𝑔 𝑚3 Ans
ความดัน
พิจารณาวัตถุหนึ่งที่อยู่ภายในของไหล
• เกิดอะไรขึ้นเมื่อวัตถุจมอยู่ในของไหล?
ของไหลจะออกแรงกระทาในแนวตั้งฉากกับพื้นผิว
ที่มันสัมผัส(ไม่ว่าพื้นผิวจะมีทิศไปทางใด)
• แรงนี้มาจากไหน?
จากการที่โมเลกุลเคลื่อนที่ชนกันและชนกับ
สิ่งแวดล้อมที่พวกมันอยู่
ความดัน
ความดัน(Pressure : P) ถูกนิยามไว้คือ แรง(ในทิศตั้งฉาก) ที่กระทาต่อ
หนึ่งหน่วยพื้นที่
ความดัน คือ : P =
𝑭⊥
𝑨
หน่วยของความดัน คือ N/m2 หรือ
เรียกว่า pascal(Pa) โดยที่
1 Pa = 1 N/m2
ในบางครั้งเราอาจใช้หน่วย
บรรยากาศ (Atmosphere,
atm) โดย
1 atm = 1.013 x 105 Pa
ความดัน
o P คือ ความดันที่เกิดจากของเหลวกระทาบนพื้นที่ A มี
หน่วยเป็นนิวตันต่อตารางเมตร (N/m2)
o F คือ แรงที่ของเหลวกระทาในแนวตั้งฉากบนพื้นที่ A มี
หน่วยเป็นนิวตัน (N)
o A คือ พื้นที่ผนังภาชนะ มีหน่วยเป็นตารางเมตร (m2)
สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับหน่วยของความดัน
1 Pa = 1 N/m2
1 bar = 105 N/m2
1 Torr = 1 มิลลิเมตรปรอท
1 atm = 1.013 x 105 N/m2 = 760 มิลลิเมตร
ปรอท
ให้หาแรงที่กระทาโดยอากาศที่ด้านหนึ่งของกาแพงที่มีพื้นที่ 10 m2
ตัวอย่าง
𝑭 = 𝑷𝑨
𝑭 𝒂𝒕𝒎
จากนิยามของความดัน เราได้ว่า :
𝐹 = (1.01 × 105 𝑁 𝑚2)(10 𝑚2)
F = 1.01 × 105
𝑁 Ans
จะเห็นได้ว่า แรงที่เกิดขึ้นนี้มีขนาดที่มากพอที่
สามารถทาให้กาแพงพังทลายลงมาได้แต่ที่กาแพง
ไม่พังทลายลงมาก็เพราะว่าอากาศออกแรงกระทา
กับกาแพงในด้านตรงกันข้ามด้วยแรงที่เท่ากันทา
ให้แรงลัพธ์เป็ นศูนย์
ความดัน
Misconception : แรง กับ ความดัน
สมมติว่าเข็มแหลมนิ้วจิ้มอยู่ไหล่ของนักเรียน เพื่อนนักเรียนออกแรง
กระทากับเข็มและนิ้วด้วยแรงที่เท่ากับ นักเรียนจะรู้สึกอย่างไร?
แรงบอกเราว่าวัตถุเคลื่อนที่แบบมีความเร่งหรือไม่
ความดันบอกเราถึงความรู้สึกเมื่อมีแรงมากกระทา
Force accelerate. Pressure cut.
นักเรียนจะรู้สึกเจ็บมากกว่าเมื่อ
ออกแรงกระทากับเข็ม
ความดันและแรงไม่เหมือนกัน
ก
ข
คาถามชวนคิด
ทาไมมีดที่แหลมคมจึงผ่าหรือหั่นสิ่งของได้ดีกว่ามีดที่ทื่อ?
Small
Area
Large
Area
Same Force, F
คาถามชวนคิด
ทาไมชายคนนี้สามารถนั่งบนเตียงตะปูแหลมได้
เขาเป็ น superman หรือ?
สิ่งที่ต้องคานึง คือ จะต้องมีหลายจุดที่สัมผัสกับร่างกาย
ของเรา (นั่นคือมีเข็มหลายอันวางอยู่อย่างหนาแน่น หรือมี
เศษแก้วเล็กๆ จานวนมาก) ทั้งนี้เพื่อให้น้าหนักของเขา
กระจายไปทั่วพื้นที่เพื่อลดความดันที่กระทาแต่ละจุดไม่ให้
มากพอที่จะทะลุผิวหนังได้
ความดัน
ความดันขึ้นกับปริมาณหรือไม่?
ถ้าภาชนะใหญ่กว่าเดิมความดันแก๊สจะลดลงเนื่องจาก พื้นที่ผิวที่โมเลกุลแก๊ส
วิ่งเข้าชนมีขนาดใหญ่ขึ้น (โมเลกุลต้องเดินทางไกลขึ้น)
𝑷 ∝
𝟏
𝑽
ความดัน
ความดันเนื่องจากน้าหนักของของไหล
จะเห็นว่าความดันของของไหลขึ้นกับความหนาแน่น กับ ความลึก
พิจารณาของไหลในภาชนะดังรูป
ความดันที่ความลึก h มีค่าเท่ากับน้าหนัก
ของของไหลที่อยู่เหนือพื้นที่ A ในแนวดิ่ง
𝑷 =
𝑭
𝑨
=
𝒎𝒈
𝑨
=
𝝆𝑽 𝒈
𝑨
=
𝝆𝑨𝒉 𝒈
𝑨
𝑷 = 𝝆𝒈𝒉
ภาชนะดังรูปมีพื้นที่ก้นภาชนะ 0.05 ตารางเมตร มีของเหลวบรรจุอยู่สูง
10 เซนติเมตร ถ้าของเหลวมีปริมาตร 0.006 ลูกบาศก์เมตร และ มีมวล
5.4 กิโลกรัม ความดันที่ของเหลวกระทาต่อก้นภาชนะเป็นกี่นิวตันต่อ
ตารางเมตร
ตัวอย่าง
o จากสมการความดันเนื่องจากน้าหนักของของไหล
𝑃 = 𝜌𝑔ℎ =
𝑚
𝑉
𝑔ℎ เมื่อ ρ =
𝑚
𝑉
𝑃 =
5.4 𝑘𝑔
0.006 𝑚3
× 10 𝑚 𝑠2
× 0.1𝑚
𝑃 = 900 𝑁 𝑚2
Ans
ความดันที่ของเหลวกระทาต่อก้นภาชนะเป็ น 900 นิวตันต่อตารางเมตร
• ดังนั้นเมื่อแท่นค่า จะได้ว่า
A = 0.05 m2
V = 0.006 m3
m = 4.5 kg
h=10cm
g=10m/s2
คาถามชวนคิด
แก้วที่เติมน้าจนเต็มมีความดันที่ก้นแก้วเป็ น P น้ามี
ความหนาแน่นเท่ากับ 1000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
เมื่อเทน้าออกจนหมดแล้วเติม ethyl alcohol ที่มี
ความหนาแน่น 806 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จนเต็ม
ความดันที่ก้นแก้วจะเป็ นเช่นไร
ก) น้อยกว่า P
ข) เท่ากับ P
ค) มากกว่า P
ง) สรุปไม่ได้
C2H5OHH2O
Pน้า Pเอทิลแอลกอฮอล์
ความดัน
ความดันเนื่องจากน้าหนักของของไหล
รูปร่างของภาชนะที่ใช้บรรจุไม่มีผลต่อความดัน
(ก) ความดันภายในของไหลขึ้นอยู่กับความลึกจากผิวของไหลเท่านั้นรูปร่างของ
ภาชนะไม่มีความสาคัญต่อย่างใด
(ข) ในกรณีที่ความลึกต่างกัน ของไหลจะเกิดการเคลื่อนที่จนความดันที่ระดับ
เดียวกันเท่ากันในที่สุด
(ก)
(ข)
𝑷 𝒂𝒕𝒎 = 𝟏 𝒂𝒕𝒎 = 𝟏. 𝟎𝟏𝟑 × 𝟏𝟎 𝟓 𝑷𝒂
ความดัน
ลึกลงไป
ความดันเพิ่มขึ้น
สูงขึ้นไป
ความดันลดลง
เพราะเหตุใด?
น้าหนักอากาศ
ความดันเนียงจาก
น้าหนักของอากาศ
ความดันบรรยากาศ (Atmospheric Pressure) คือ น้าหนัก
ของอากาศที่กดทับเราอยู่ต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่
o ดังนั้นความดันที่ความลึก h รวมมีค่าเท่ากับ
o ที่ความลึกเท่ากัน ความดันของของไหล
จะมีค่าเท่ากัน
o สาหรับภาชนะเปิดดังรูป ความดันที่ผิวมีค่าเท่าไร ?
𝑃𝑎𝑡𝑚 = 1 𝑎𝑡𝑚 = 1.013 × 105
𝑃𝑎
ความดัน
รูปร่างของภาชนะที่ใช้บรรจุไม่มีผลต่อความดัน
𝑷 𝒕𝒐𝒕 = 𝑷 𝒇𝒍𝒖𝒊𝒅 + 𝑷 𝒂𝒕𝒎
h
ความดัน
ความดันเกจ และ ความดันสมบูรณ์
o เรามักเรียกความดันที่แต่กต่างไปจากความดันบรรยากาศว่า
ความดันเกจ (Gauge pressure)
o และความดันรวม (ความดันบรรยากาศ+ความดันอื่นๆ) ว่า
ความดันสัมบูรณ์ (absolute pressure)
ดังนั้น จาก 𝑷 𝒕𝒐𝒕 = 𝑷 𝒇𝒍𝒖𝒊𝒅 + 𝑷 𝒂𝒕𝒎 จะได้ว่า
𝑷 𝒕𝒐𝒕 = 𝑷 𝒈𝒂𝒖𝒈𝒆 + 𝑷 𝒂𝒕𝒎
𝑷 𝒂𝒕𝒎
o 𝑷 𝑨 = 𝝆𝒈𝒉 + 𝑷 𝒂𝒕𝒎
𝒉
𝝆
ความดัน
ความดันเกจ และ ความดันสมบูรณ์
o ตัวอย่างของการใช้ความดันเกจคือการวัดลมยาง
• ถ้าความดันภายในยางรถยนต์
มีขนาดเท่ากับความ ดัน
บรรยากาศ ยางจะแบน ความ
ดันภายในยางรถยนต์จะต้องมี
ขนาดมากกว่าความดัน
บรรยากาศจึงจะสามารถพยุง
รถอยู่ได้ปริมาณที่เราสนใจคือผลต่างระหว่าง
ความดันภายในกับความดันภายนอก
a) ให้หาความดันที่ความลึก 2.5 เมตร ของน้าในสระว่ายน้า
b) ให้หาความดันรวมที่ความลึกนั้น
ตัวอย่าง
• ความลึก 2.5
เมตร
• r=103 kg/m3
a) ความดันเนียงจากน้าหนักของน้าอย่างเดียว
𝑷 𝒘𝒂𝒕𝒆𝒓 = 𝝆𝒈𝒉
= 𝟏𝟎 𝟑 𝒌𝒈 𝒎 𝟑 𝟏𝟎 𝒎 𝒔 𝟐 𝟐. 𝟓 𝒎
𝑷 𝒘𝒂𝒕𝒆𝒓 = 𝟐. 𝟓 × 𝟏𝟎 𝟒 𝑵 𝒎 𝟐 Ans
b) ความดันรวมคือความดันเนื่องจากน้าหนักของน้าและความดันบรรยากาศ
𝑷 𝒕𝒐𝒕 = 𝑷 𝒘𝒂𝒕𝒆𝒓 + 𝑷 𝒂𝒕𝒎
= 𝟐. 𝟓 × 𝟏𝟎 𝟒 𝑵 𝒎 𝟐 + 𝟏. 𝟎𝟏 × 𝟏𝟎 𝟓 𝑵 𝒎 𝟐
𝑷 𝒕𝒐𝒕 = 𝟏. 𝟐𝟔 × 𝟏𝟎 𝟓
𝑵 𝒎 𝟐
Ans
ตัวอย่าง : แรงที่กระทาต่อเขื่อน(The Force on a Dam)
• น้าในเขื่อนมีความสูง H ซึ่งเขื่อนมีความกว้าง w ดังรูป จงหาแรงลัพธ์
ของน้าที่กระทาต่อผนังเขื่อน
?
ตัวอย่าง : แรงที่กระทาต่อเขื่อน(The Force on a Dam)
o เนื่องจากความดันแปรผันกับความลึกจึงไม่สามารถหาค่าแรง
ลัพธ์จากผลคูณของความดันกับพื้นที่ได้( F=PA ) แต่จะ
แก้ปัญหาโดยใช้สมการ dF = P dA และสมการ
𝑷 = 𝑷 𝟎 + 𝝆𝒈𝒉 จะได้ว่า 𝒅𝑭 = 𝑷𝒅𝑨
𝒅𝑭 = 𝝆𝒈𝒅𝑨 𝒅𝑭 = 𝝆𝒈 𝑯 − 𝒚 𝒘𝒅𝒚
ดังนั้นแรงลัพธ์ที่กระทาต่อผนังเขื่อนคือ
𝑭 =
𝟎
𝑯
𝝆𝒈 𝑯 − 𝒚 𝒘𝒅𝒚 𝑭 =
𝟏
𝟐
𝝆𝒈𝒘𝑯 𝟐 #
แมนอมิเตอร์
1. ก่อนวัด “ระดับของของเหลวทั้งสองข้างในหลอดรูปตัวยูเท่ากัน”
2. ตอนวัด “ระดับของของเหลวทั้งสองข้างในหลอดรูปตัวยูไม่เท่ากัน
แต่ข้างไหนจะสูงหรือต่ากว่ากันขึ้นอยู่กับความดัน Pแก๊ส และ Pอากาศ ดังนี้
แมนอมิเตอร์ คือ ประกอบไปด้วยหลอดรูปตัวยู ที่
บรรจุของเหลวไว้ภายในโดยที่ปลายขาข้างหนึ่ง
ของหลอดจะเตรียมไว้สาหรับต่อเข้ากับภาชนะ
บรรจุแก๊สที่ต้องการวัดส่วนปลายขาอีกข้างหนึ่งจะ
เป็นปลายเปิดสู่อากาศ ที่หลักการวัดดังนี้
แมนอมิเตอร์
2.1 ถ้าความดัน Pแก๊ส > Pอากาศ แล้ว ระดับ
ของเหลวทั้งสองข้างในหลอดรูปตัวยูเป็ นดังนี้
จากความรู้ที่ว่า
1. ที่ระดับความลึกเท่ากันความดันใน
ของเหลวมีค่าเท่ากัน
2. ความดันที่ระดับใดๆ จะเกิดจากของไหล
(แก๊สก็ได้) ที่อยู่เหนือระดับนั้นกดลงพื้นที่
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
Pอากาศ +rgh = Pแก๊ส
จะได้
Pแก๊ส = Pอากาศ +rgh
Pแก๊ส
Pอากาศ
ระดับอ้างอิง
xy
แมนอมิเตอร์
2.2 ถ้าความดัน Pแก๊ส < Pอากาศ แล้ว ระดับ
ของเหลวทั้งสองข้างในหลอดรูปตัวยูเป็ นดังนี้
จากความรู้ที่ว่า
1. ที่ระดับความลึกเท่ากันความดันใน
ของเหลวมีค่าเท่ากัน
2. ความดันที่ระดับใดๆ จะเกิดจากของไหล
(แก๊สก็ได้) ที่อยู่เหนือระดับนั้นกดลงพื้นที่
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
Pอากาศ = Pแก๊ส + rgh
จะได้
Pแก๊ส = Pอากาศ - rgh
Pแก๊ส
Pอากาศ
ระดับอ้างอิง
xy
สิ่งที่ควรทราบ
1. ความดันของแก๊สจะเท่ากันทุกจุดใน
ภาชนะที่บรรจุ
2. เราใช้แมนอมิเตอร์วัดความดันโดย
ค่าความดันสามารถอ่านได้โดยตรง
จากความสูงของลาของเหลว
การคานาณหาความดันจากหลอดแก้วรูปตัวยู
o ลองพิจารณาของเหลว A และ B ที่ไม่
ปนกัน (ไม่ทาปฏิกิริยาต่อกัน) ถูก
บรรจุลงในหลอดแก้วรูปตัวยู พบว่า
ของเหลว A และ B จะแยกชั้นกัน
โดยของเหลวที่มีความหนาแน่นน้อย
จะอยู่ด้านบน ส่วนของเหลวที่มี
ความหนาแน่นมากกว่าจะอยู่
ด้านล่าง (rA > rB) ดังรูป
Pอากาศ
ระดับอ้างอิง
x y
ของเหลว A มีความหนาแน่น rA
ของเหลว B มีความหนาแน่น rB
hB
hA
มีขั้นตอนการคานวณดังนี้
1. หารอยต่อของของเหลวที่ระดับต่าสุด
2. กาหนดระดับอ้างอิงของหลอดแก้วรูปตัวยูให้อยู่ใน
แนวเดียวกับรอยต่อของเหลวที่ระดับต่าสุดในข้อ 1.
3. ใช้หลักการที่ว่า
a) ที่ระดับความลึกเท่ากัน ความดันในของเหลวมีค่า
เท่ากัน
b) ความดันที่ระดับใดๆ จะเกิดจากของไหล(แก๊สก็
ได้) ที่อยู่เหนือระดับนั้นกดลงบนพื้นที่
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
Pอากาศ + rBghB = Pอากาศ + rAghA
สิ่งควรทราบ
1. ถ้าขาแต่ละข้างของหลอดแก้วตัว
ยูเท่ากัน แล้ว
a) ปริมาตรที่เลื่อนขึ้น = ปริมาตร
ที่เลื่อนลง
b) ความสูงที่เลื่อนขึ้น = ความสูง
ที่เลื่อนลง
2. ถ้าขาแต่ละข้างของหลอดแก้วตัวยู
ไม่เท่ากัน แล้ว
a) ปริมาตรที่เลื่อนขึ้น = ปริมาตรที่
สิ่งควรทราบ
4. หลังจากได้พิจารณาของเหลว A และ
B ที่ไม่ปนกัน(ไม่ทาปฏิกิริยาต่อกัน)
ถูกบรรจุในหลอดแก้วรูปตัวยู เรา
พอจะขยายแนวคิดไปสู่ของเหลว
3. เมื่อบรรจุของเหลวชนิดเดียวกันลงใน
หลอดรูปตัวยูพบว่าระดับของ
ของเหลวทั้งสองข้างในหลอดรูปตัวยู
จะมีระดับเท่ากันเสมอไม่ว่าขาแต่ละ
ข้างของหลอดรูปตัวยูจะเท่ากัน
หรือไม่ก็ตามทั้งนี้เนื่องจากความดัน
บรรยากาศ (Pอากาศ) กดเท่ากัน ดังรูป
หลอดแก้วรูปตัวยูบรรจุน้า ใส่น้ามันชนิดหนึ่งซึ่งไม่ละลายน้าและมีความ
หนาแน่น 0.8 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ที่ด้านขวาสูง 10 เซนติเมตร
ระดับผิวของน้าด้านซ้ายมือจะต่ากว่าระดับผิวบนของน้ามันด้านขวามือ
เท่าใด
ตัวอย่าง
𝑷 𝑨 = 𝑷 𝑩
𝑷 𝟎 + 𝝆 𝒘 𝒈𝒉 𝒘 = 𝑷 𝟎 + 𝝆 𝒐 𝒈𝒉 𝒐
𝒉 𝒘 =
𝝆 𝒐 𝒈𝒉 𝒐
𝝆 𝒘 𝒈
𝒉 𝒘 =
𝟎. 𝟖 𝒈/𝒄𝒎 𝟑 𝟎. 𝟏 𝒎
𝟏 𝒈/𝒄𝒎 𝟑
𝒉 𝒘 = 𝟎. 𝟎𝟖 𝒎
𝒙 = 𝟎. 𝟏 𝒎 − 𝟎. 𝟎𝟖 𝒎 = 𝟎. 𝟎𝟐 𝒎 = 𝟐 𝒄𝒎
P0
• ความหนาแน่นน้ามัน ro
• ความหนาแน่นน้า rw
ระดับอ้างอิง
ho=0.1m
hw
A B
x
P0
หลอดแก้วรูปตัวยู ด้านซ้ายมีพื้นที่หน้าตัดเป็นสี่เท่าของด้านขวา ตอนเริ่ม
บรรจุน้าความหนาแน่น 1,000 kg/m3 ต่อมาเติมน้ามันซึ่งมีความ
ถ่วงจาเพาะ 0.8 ลงในหลอดด้านขวา โดยลาน้ามันสูง 12 cm จงหาว่า
น้าในหลอดด้านซ้ายจะสูงเท่าใด
ตัวอย่าง
𝑷 𝑨 = 𝑷 𝑩
𝒉 𝒘 =
𝝆 𝒐 𝒉 𝒐
𝝆 𝒘
𝝆 𝒘 𝒈𝒉 𝒘 = 𝝆 𝒐 𝒈𝒉 𝒐
𝒉 𝒘 = 𝟎. 𝟖 𝟏𝟐 𝒄𝒎
P0
ระดับอ้างอิง
ho=12cm
hw
A B
P0
o เมื่อ ความถ่วงจาเพาะ 0.8 คือ ro/rw
𝒉 𝒘 = 𝟗. 𝟔 𝒄𝒎 Ans
แบรอมิเตอร์ปรอทของทอริเซลลี
แบรอมิเตอร์ปรอทของทอริเซลลี คือ หลอดแก้วตรงยาวปลายด้านหนึ่งปิดส่วน
ปลายอีกด้านหนึ่งเปิด บรรจุปรอทจนเต็มหลอด แล้วคว่าหลอดลงไปในภาชนะที่มี
ปรอทบรรจุอยู่ โดยไม่ให้อากาศเข้าไปในหลอดแก้ว ดังรูป
Pa Pa
ระดับอ้างอิง
ช่องว่างเหนือหลอดแก้ว
เป็นสุญญากาศ (P = 0)
h h
x y xy
แบรอมิเตอร์ปรอทของทอริเซลลี
จากความรู้ที่ว่า
1. ที่ระดับความลึกเท่ากันความดันในของเหลวมีค่าเท่ากัน
2. ความดันที่ระดับใดๆ จะเกิดจากของไหล (แก๊สก็ได้) ที่อยู่เหนือระดับนั้นกด
ลงพื้นที่
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
ความดันบรรยากาศที่กระทาบนผิวปรอท = ความดันเนื่องจากน้าหนักของปรอทที่สูง h
จะได้
เมื่อ Pa แทนความดันบรรยากาศ r แทนความหนาแน่นปรอท
g แทนความเร่งโน้มถ่วงโลก h แทนความสูงของปรอทที่วัดได้ในแนวดิ่งเท่านั้น
Pa = rgh
นอกหลอดแก้ว
ในหลอดแก้ว
แบรอมิเตอร์ปรอทของทอริเซลลี
สิ่งที่ควรทราบ
1. เราอาจใช้ความสูง h ของปรอทแทนความดันได้
2. พบว่าเมื่อความดันปกติความสูง h ของปรอทเท่ากับ 750 มิลลิเมตร
แสดงว่า Pa = 750 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
= 76 เซนติเมตรปรอท (cmHg)
= 1 บรรยากาศ
สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
1. เราอาจใช้ของเหลวอื่นๆ แทนปรอทได้
o ถ้าของเหลวเป็นปรอทแล้วถูกเรียกว่า “แบรอมิเตอร์ปรอท”
o ถ้าของเหลวเป็นน้าแล้วถูกเรียกว่า “แบรอมิเตอร์น้า”
แบรอมิเตอร์ปรอทของทอริเซลลี
2. ลองพิจารณาหลอดแก้วตรงยาวปลายด้านหนึ่งเปิดอีกด้านหนึ่งเปิด บรรจุ
ของเหลวจนเต็มหลอดแล้วคว่าหลอดลงไปในภาชนะที่มีของเหลวชนิดนั้น ดัง
รูป
สิ่งที่ควรเน้นคือ h แทนความสูงของของเหลวที่วัดในแนวดิ่งเท่านั้น
II. เมื่อช่องว่างเหนือของเหลวใน
หลอดแก้วมีแก๊สหรืออากาศเล็ด
ลอดเข้าไปตอนคร่าหลอด (P ≠
0)
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
จะได้ Pa = P + rgh
I. เมื่อช่องว่างเหนือของเหลวใน
หลอดแก้วเป็นสุญญากาศ (P =
0)
ที่ระดับอ้างอิง Px = Py
จะได้ Pa = rgh
Pa Pa
ระดับอ้างอิง
h h
x y xy
เครื่องวัดความดัน - บาโรมิเตอร์
เมื่อความดันบรรยากาศมีค่าเป็น
1 atm = 1.013 x
105 Pa
ความสูงของปรอทจะเท่ากับ
𝒉 =
𝑷 𝒂𝒕𝒎
𝝆 𝑯𝒈 𝒈
=
𝟏. 𝟎𝟏𝟑 × 𝟏𝟎 𝟓 𝑷𝒂
𝟏𝟑. 𝟔 × 𝟏𝟎 𝟑 𝒌𝒈/𝒎 𝟑 𝟗. 𝟖 𝒎/𝒔 𝟐
𝒉 = 𝟎. 𝟕𝟔 𝒎 = 𝟕𝟔𝟎 𝒎𝒎 เราจึงมีอีกหน่วยคือ mmHg
คาถามชวนคิด
นักศึกษาคิดว่าถ้าใช้น้าแทนปรอทในบาโรมิเตอร์
จะเป็ นไปได้หรือไม่ ?
ใช้ได้ แต่ทว่าความสูงของหลอดแก้วจะต้องสูงมาก
เพราะความหนาแน่นของน้าน้อยกว่าความหนาแน่นของปรอท ซึ่งอาจทาให้
ใช้งานจริงๆ ไม่ได้
𝒉 =
𝑷 𝒂𝒕𝒎
𝝆 𝑯 𝟐 𝒐 𝒈
=
𝟏. 𝟎𝟏𝟑 × 𝟏𝟎 𝟓 𝑷𝒂
𝟏. 𝟎 × 𝟏𝟎 𝟑 𝒌𝒈/𝒎 𝟑 𝟗. 𝟖 𝒎/𝒔 𝟐
𝒉 = 𝟏𝟎. 𝟑𝟒 𝒎
เครื่องอัดไฮดรอลิก (Hydraulic Press)
หลักการ
กฎของพาสคัล กล่าวไว้ว่า “เมื่อเพิ่มความดัน ณ ตาแหน่งใดๆ ใน
ของเหลวที่อยู่นิ่งในภาชนะปิ ด ความดันที่เพิ่มขึ้นจะถ่ายทอดไปยังทุกๆ จุดใน
ของเหลว”
กฎของพาสคัล สามารถใช้อธิบายการทางานของเครื่องกลผ่อนแรงที่
รู้จักกันอยู่ทั่วไปคือ เครื่องอัดไฮดรอลิก (Hydraulic Press)
เครื่องอัดไฮดรอลิก (Hydraulic Press)
ความดัน(P) จะถูกถ่ายทอดหรือส่งต่อตามท่อไป
ยังทุกๆ จุด จากลูกสูบเล็กไปยังลูกสูบใหญ่
𝑭𝒊𝒏
𝑨𝒊𝒏
=
𝑭 𝒐𝒖𝒕
𝑨 𝒐𝒖𝒕
𝑷𝒊𝒏 = 𝑷 𝒐𝒖𝒕
เครื่องอัดไฮดรอลิก (Hydraulic Press)
𝑷𝒊𝒏 = 𝑷 𝒐𝒖𝒕 หรือ
𝑭 𝒊𝒏
𝑨𝒊𝒏
=
𝑭 𝒐𝒖𝒕
𝑨 𝒐𝒖𝒕
กฎของปาสคาล : ระบบไฮดรอลิก
ความดันมีค่าเท่ากัน 𝑷 𝟏 = 𝑷 𝟐
𝑭 𝟏
𝑨 𝟏
=
𝑭 𝟐
𝑨 𝟐
𝑭 𝟏
𝑭 𝟐
=
𝑨 𝟏
𝑨 𝟐
ถ้า 𝑨 𝟐 มากกว่า 𝑨 𝟏
𝑭 𝟐 มากกว่า 𝑭 𝟏 เช่นกัน
ดังนั้นเราได้เครื่องผ่อนแรงแล้ว เย้ๆ !!!
ตัวอย่างการใช้กฎของพาสคัล
• เมื่อปริมาตรเท่ากัน นั่นคือ
A1Dx1 = A2Dx2
• จากสมการ F1/A1 = F2/A2 และ A1Dx1 = A2Dx2 รวมทั้งสอง
สมการเข้าด้วยกันจะได้
– F1Dx1 = F2Dx2 ซึ่งหมายความว่า W1 = W2
– นี่คือกฎการอนุรักษ์พลังงาน (Conservation of Energy)
กฎของปาสคาล : กฎการอนุรักษ์พลังงาน
ระบบไฮดรอลิกถูกนาไปใช้ในเก้าอี้หมอฟัน หมอฟันต้องการยกคนไข้โดย
การออกแรงเหยียบลงบนลูกสูบเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ให้
หาแรงที่หมอฟันจะออก ถ้าคนไข้และเก้าอี้หนักรวมกัน 120 กิโลกรัม ถือ
ว่าอยู่บนลูกสูบใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร
ตัวอย่าง
𝑭 𝟏
𝑭 𝟐
=
𝑨 𝟏
𝑨 𝟐
เริ่มจาก
𝑭 𝟏 =
𝑨 𝟏
𝑨 𝟐
𝑭 𝟐
ระบบไฮดรอลิกถูกนาไปใช้ในเก้าอี้หมอฟัน หมอฟันต้องการยกคนไข้โดย
การออกแรงเหยียบลงบนลูกสูบเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ให้
หาแรงที่หมอฟันจะออก ถ้าคนไข้และเก้าอี้หนักรวมกัน 120 กิโลกรัม ถือ
ว่าอยู่บนลูกสูบใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร
ตัวอย่าง
𝑭 𝟏 =
𝝅𝒓 𝟐
𝝅𝑹 𝟐
𝒎𝒈
=
𝒓
𝑹
𝟐
𝟏𝟐𝟎 𝒌𝒈 𝟏𝟎 𝒎/𝒔 𝟐
=
𝟏
𝟓
𝟐
𝟏𝟐𝟎 𝒌𝒈 𝟏𝟎 𝒎/𝒔 𝟐
= 𝟒𝟓 𝑵 ***เห็นได้ว่ามีการผ่อนแรง ***
ในแต่ละครั้งที่เหยียบ ลูกสูบเล็กให้เคลื่อนที่เป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร
ถามว่าถ้าเราต้องการให้ลูกสูบใหญ่เคลื่อนที่ได้ระยะทางหนึ่ง จะต้องเหยียบ
ลูกสูบเล็กกี่ครั้ง
(ต่อ)ตัวอย่าง
o แม้ว่าแรงที่กระทากับลูกสูบทั้งสองอันต่างกัน แต่งานที่เกิดจากลูกสูบทั้งสองมี
ค่าเท่ากัน
ดังนั้น 𝑾𝒊𝒏 = 𝑾 𝒐𝒖𝒕
หรือ 𝑭 𝟏 𝒅 𝟏 = 𝑭 𝟐 𝒅 𝟐 𝒅 𝟐 =
𝑭 𝟏
𝑭 𝟐
𝒅 𝟏
( 𝑑1 ระยะที่ลูกสูบเล็กเคลื่อนที่ และ 𝑑2 ระยะที่ลูกสูบใหญ่เคลื่อนที่)
ดังนั้น 𝒅 𝟐 =
𝟒𝟖
𝟏, 𝟐𝟎𝟎
𝟏𝟎 𝒄𝒎 = 𝟎. 𝟒 𝒄𝒎
เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการให้ลูกสูบใหญ่เคลื่อนที่ 10 cm
ต้องเหยียบทั้งหมด 𝒏 =
𝟏𝟎
𝟎.𝟒
= 𝟐𝟓 ครั้ง #
แรงลอยตัว(Buoyant Force) คือ แรงลัพธ์ (ผลรวมของแรง
ทั้งหมด) ที่ของเหลวกระทาต่อวัตถุที่อยู่ในของเหลว ถูกเขียนแทนด้วย
สัญลักษณ์ “FB” มีหน่วยเป็ นนิวตัน (N)
หลักของอาร์คิมีดิส(Archimedes principle) ซึ่งกล่าวไว้ว่า
“วัตถุใดๆ ที่จมอยู่ในของเหลวทั้งก้อน หรือจมอยู่เพียงบางส่วนจะถูกแรงลอยตัว
กระทา และขนาดของแรงลอยตัวจะเท่ากับขนาดน้าหนักของไหลที่ถูกวัตถุนั้น
แทนที่”
แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
ข้อสังเกต
จากหลักของอาร์คิมิดีส (Archimedes principle) ทาให้เรา
ทราบว่า ถ้าวัตถุใดๆ ที่จมอยู่ในของเหลวทั้งก้อนหรือจมอยู่เพียงบางส่วน
แล้วจะทาให้
1. ถูกแรงลอยตัวกระทาแน่ๆ
2. ขนาดของแรงลอยตัวจะเท่ากับขนาดน้าหนักของของไหล
ที่ถูกวัตถุนั้นแทนที่
แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
แต่ไม่ว่าจะจมหรือลอย เรารู้ว่าน้าหนักของวัตถุเมื่อชั่งในน้าจะมี
ค่าน้อยกว่าเมื่อชั่งในอากาศ สาเหตุก็เพราะ
แรงลอยตัว (Buoyant force)
ผู้ค้นพบและอธิบายหลักการนี้เป็นคนแรก คือ อาร์คิมิดิส (Archimedes)
วัตถุที่อยู่ในของไหลจะมีแรงลอยตัวที่มีทิศ
ขึ้นและมีขนาดเท่ากับน้าหนักของของไหลที่
ถูกแทนที่โดยวัตถุ
แรงลอยตัวและหลักของอาร์คิมีดิส
สมมุติให้
FB แทนแรงลอยตัวที่กระทาต่อวัตถุ
rวัตถุ แทนความหนาแน่นของวัตถุ
rของเหลว แทนความหนาแน่นของเหลว
Vวัตถุ แทนปริมาตรวัตถุทั้งก้อน
Vจม แทนปริมาตรวัตถุทั้งก้อน
ปริมาตรวัตถุทั้งก้อน(Vจม)
ความหนาแน่นของเหลว
(rของเหลว)
ความหนาแน่นของวัตถุ(rวัตถุ)
ปริมาตรวัตถุทั้งก้อน
(Vวัตถุ)
หลักของอาร์คิมีดิสเขียนได้ดังนี้
ขนาดแรงลอยตัว = ขนาดน้าหนักของของเหลวที่ถูกวัตถุแทนที่
หรือ ขนาดแรงลอยตัว = ขนาดน้าหนักของของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับวัตถุส่วนจม
จะได้ FB = rของเหลวVของวัตถุที่จมg ……(1)
จาก (1) และ (2)
จากรูป เมื่ออยู่ในสภาวะสมดุล
FB = mg
จะได้ FB = rวัตถุVวัตถุg ……(2)
rของเหลวVของวัตถุที่จมg = rวัตถุVวัตถุg
ดังนั้น
𝝆วัตถุ
𝝆ของเหลว
=
Vของเหลว
Vวัตถุ
วิเคราะห์การจมการลอยของวัตถุดังนี้
ถ้าเราลองคานวณโดยสูตร
𝝆วัตถุ
𝝆ของเหลว
=
Vของเหลว
Vวัตถุ
ในกรณี 𝝆วัตถุ = 𝝆ของเหลว จะได้ Vของเหลว = Vวัตถุ
1. ถ้า rวัตถุ= rของเหลว แล้ว วัตถุจะลอยอยู่ในระดับพอดีใน
ของเหลวนั้น ดังรูป
ข้อสังเกต :
วิเคราะห์การจมการลอยของวัตถุดังนี้
ถ้าเราลองคานวณโดยสูตร
𝝆วัตถุ
𝝆ของเหลว
=
Vของเหลว
Vวัตถุ
ในกรณี 𝝆วัตถุ < 𝝆ของเหลว จะได้ Vของเหลว < Vวัตถุ
2. ถ้า rวัตถุ< rของเหลว แล้ว วัตถุจะลอยโดยมีบางส่วนของวัตถุ
ลอยเหนือผิวของเหลวนั้น ดังรูป
ข้อสังเกต :
วิเคราะห์การจมการลอยของวัตถุดังนี้
ถ้าเราลองคานวณโดยสูตร
𝝆วัตถุ
𝝆ของเหลว
=
Vของเหลว
Vวัตถุ
ในกรณี 𝝆วัตถุ > 𝝆ของเหลว จะได้ Vของเหลว > Vวัตถุ ซึ่งเป็ นไปไม่ได้
แสดงว่าถ้าเราใช้สูตร
𝝆วัตถุ
𝝆ของเหลว
=
Vของเหลว
Vวัตถุ
คานวณ แล้วได้ Vของเหลว > Vวัตถุ
แล้วให้บอกเลยว่า วัตถุจะจมไปเรื่อยๆ เนื่องจาก FB < 𝒎𝒈
3. ถ้า rวัตถุ> rของเหลว แล้ว วัตถุจะจมลงในของเหลวไปจนถึงก้น
ภาชนะที่บรรจุของเหลวนั้น ดังรูป
ข้อสังเกต :
น้าแข็งมีความหนาแน่น 0.92x103 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลอยอยู่ใน
น้าทะเลที่มีความหนาแน่น 1.04x103 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จงหาว่า
น้าแข็งจมน้าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์
ตัวอย่าง
 𝑭 𝑩 = 𝒎𝒈
• พิจารณาที่สมดุล
𝝆 𝒔𝒆𝒂 = 𝟏. 𝟎𝟒 × 𝟏𝟎 𝟑
𝒌𝒈/𝒎 𝟑
𝝆𝒊𝒄𝒆 = 𝟎. 𝟗𝟐 × 𝟏𝟎 𝟑 𝒌𝒈/𝒎 𝟑
 𝝆 𝒔𝒆𝒂 𝑽 𝒔𝒆𝒂 𝒈 = 𝝆𝒊𝒄𝒆 𝑽𝒊𝒄𝒆 𝒈

𝑽 𝒔𝒆𝒂
𝑽 𝒊𝒄𝒆
=
𝝆 𝒊𝒄𝒆
𝝆 𝒔𝒆𝒂

𝑽 𝒔𝒆𝒂
𝑽 𝒊𝒄𝒆
=
𝟎.𝟗𝟐
𝟏.𝟎𝟒
= 𝟎. 𝟖𝟖𝟓
• ดังนั้นเมื่อคิดเป็ นเปอร์เซ็นต์
𝟖𝟖. 𝟓% Ans
ทรงกระบอกยาว 5 เซนติเมตร พื้นที่หน้าตัด 2.5 ลูกบาศก์เซนติเมตร มี
ความหนาแน่น 0.75 เท่าของความหนาแน่นน้า เมื่อทรงกระบอกอันนี้ไป
วางบนน้า อยากทราบว่าทรงกระบอกจะจมน้าลึกกี่เซนติเมตร
ตัวอย่าง
 𝑭 𝒚 = 𝟎 → 𝑭 𝑩 = 𝒎𝒈
• พิจารณาที่สมดุล
 𝝆 𝑾 𝑽 𝑾 𝒈 = 𝝆 𝑶 𝑽 𝑶 𝒈

𝑨×𝒉
𝑨×𝟓
=
𝟎.𝟕𝟓𝝆 𝑾
𝝆 𝑾
 𝒉 = 𝟎. 𝟕𝟓 × 𝟓
• ดังนั้นทรงกระบอกจะจมน้าลึก
𝟎. 𝟑𝟕𝟓 𝒄𝒎 Ans
ℎ
5 𝑐𝑚
𝑚𝑔 𝐹𝐵
ท่อนไม้รูปลูกบาศก์มีปริมาตร 1 ลูกบาศก์เมตร นาไปลอยในน้าเมื่อออกแรงกด 2 กิโล
นิวตัน ปรากฏว่า ผิวบนอยู่สูงจากระดับน้า 20 เซนติเมตร จงหาความถ่วงจาเพาะของ
ท่อนไม้ กาหนดให้ความหนาแน่นของน้าเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ
g = 10 เมตรต่อวินาที2
ตัวอย่าง
 𝑭 𝒚 = 𝟎 → 𝑭 𝑩 = 𝑭 + 𝒎𝒈
• พิจารณาที่สมดุล จากรูป
 𝝆
น้ำ
𝑽
น้ำ
𝒈 = 𝑭 + 𝝆ไม้ 𝑽ไม้ 𝒈
 𝝆ไม้ =
𝝆
น้ำ
𝑽
น้ำ
𝒈−𝑭
𝑽
ไม้ 𝒈
• ดังนั้นความถ่วงจาเพาะของท่อนไม้ คือ
𝟎. 𝟔 Ans
0.2 𝑚
0.8 𝑚
𝐹 = 2 𝑘𝑁
 𝝆ไม้ =
𝟏𝟎 𝟑 𝟏×𝟏×𝟎.𝟖 𝟏𝟎 −𝟐𝟎𝟎𝟎 𝑵
𝟏 𝟏𝟎
 𝝆ไม้ = 𝟔𝟎𝟎 𝒌𝒈/𝒎 𝟑

บทที่ 6 สมบัติของสาร