วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 1
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2559 เวลา 8.30 - 10.00 น.
ตอนที่ 1 แบบระบายตัวเลขที่เป็นคาตอบ จานวน 10 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน รวม 20 คะแนน
1. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) = 2𝑥3
+ 𝑎𝑥2
+ 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็นจานวนจริง
ถ้า 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบชอง 𝑃(𝑥) แล้ว 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 12 2. 24 3. 32 4. 40 5. 46
2. จานวนเต็มบวก 𝑛 > 2 ที่น้อยที่สุดที่หารด้วย 18 และ 24 แล้วเหลือเศษ 2 มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. [73, 77] 2. [78, 82] 3. [83, 87]
4. [88, 92] 5. [93, 97]
3. กาหนดให้ 𝐴, 𝐵 ∈ (0,
𝜋
2
) ถ้า tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 แล้ว 𝐴 + 𝐵 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 𝜋
4
2. 𝜋
3
3. 3𝜋
4
4. 4𝜋
3
5. 5𝜋
4
12 Aug 2017
2 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
4. ถ้า 𝑎⃑ = 2𝑖⃑ − 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑ และ 𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑ = 3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑ แล้ว (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 2. −2 3. 2
4. 3 5. 2√21
5. กาหนดให้จุด (6, 4) อยู่บนวงกลม C ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางสองเส้นของวงกลม C คือส่วนของเส้นตรง
2𝑥 + 𝑦 = 5 และ 𝑥 + 3𝑦 = 10 แล้วรัศมีของวงกลมยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. √21 หน่วย 2. √24 หน่วย 3. 5 หน่วย
4. √26 หน่วย 5. 6 หน่วย
6. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ log |𝑥 − 2|(𝑥−5)
= 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 5 3. 6 4. 8 5. 9
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 3
7. ถ้าผลการเรียนคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เป็นดังตารางต่อไปนี้
แล้วจานวนเปอร์เซ็นต์ของผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 68 2. 71 3. 74 4. 77 5. 80
8. กาหนดให้ 𝑆 = {1, 2, 3, … , 8, 9} 𝒲 = { 𝐴 | 𝐴 ⊂ 𝑆 และ 𝐴 มีสมาชิก 4 ตัว }
ถ้าสุ่มหยิบเซตหนึ่งเซตจาก 𝒲 แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เซตที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2
9
2. 1
3
3. 4
9
4. 1
2
5. 5
9
9. ความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะไปดูหนังและไปซื้อของในวันอาทิตย์เป็น 0.7 และ 0.6 ตามลาดับ ถ้าดวงพรจะทา
กิจกรรมอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แล้วความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะทากิจกรรมทั้ง 2 อย่างเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.1 2. 0.2 3. 0.3 4. 0.4 5. 0.5
คะแนนที่ได้
(จากคะแนนเต็ม 100)
เกณฑ์การให้น้าหนัก
ในการคิดคะแนน
การบ้าน 85 20%
สอบกลางภาค 65 40%
สอบปลายภาค 70 40%
4 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
10. ถ้าลาดับ 𝑎 𝑛 =
(3+2𝑛)13(5+𝑛)2
(1−2𝑛)15 แล้ว n
lim 𝑎 𝑛 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. −
1
2
3. −
1
4
4. 0 5. 1
2
ตอนที่ 2 แบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือก 1 คาตอบที่ถูกที่สุด จานวน 20 ข้อ ข้อละ 4 คะแนน รวม 80 คะแนน
11. ถ้า 𝑧 เป็นจานวนเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 𝑧 + |
𝑧̅−1
𝑧−1
| = −3 + 2𝑖
แล้ว |𝑧| มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. √10 3. √13
4. 2√5 5. 4
12. ให้ 𝐴 = { 𝑥 | 𝑥 เป็นจานวนเต็มที่อยู่ในช่วง [−10, 10] } 𝐵 = { 𝑥 | (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 }
จานวนสมาชิกของ 𝐴 ∩ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 14 3. 16 4. 18 5. 21
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 5
13. กาหนดให้ 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑛 โดยที่ 𝑛 หาร 3,399 แล้วเหลือเศษ 24
จานวนสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11
14. ไฮเพอร์โบลารูปหนึ่งมีโฟกัสอยู่ที่จุด (−7, 1) และ (5, 1) ถ้าเส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลานี้ขนานกับ
เส้นตรง √2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลาคือข้อใดต่อไปนี้
1. (𝑥+1)2
24
−
(𝑦−1)2
12
= 1 2. (𝑥+1)2
12
−
(𝑦−1)2
24
= 1 3. (𝑥−1)2
12
−
(𝑦+1)2
24
= 1
4. (𝑥 + 1)2
−
(𝑦−1)2
2
= 1 5. (𝑥 − 1)2
−
(𝑦+1)2
2
= 1
15. กาหนดรูปสี่เหลี่ยม ABCD ดังรูป
โดยมีด้าน BC, AC และ AD ยาวเท่ากับ 5, 7 และ 8 หน่วยตามลาดับ
มี BÂD = 90° และ CB̂A = 120°
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ACD เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 22 ตารางหน่วย
2. 24 ตารางหน่วย
3. 28 ตารางหน่วย
4. 28√2 ตารางหน่วย
5. 28√3 ตารางหน่วย
120°
A
B
C
D
5
7
8
6 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
16. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑣̅ = (sin 80° + sin20°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗
และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = sin 70° + sin10° แล้ว |𝑣̅|2
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 5 4. 6 5. 7
17. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ (log 100𝑥)2
+ 2 log100 𝑥 + 2 = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11
1000
2. 101
1000
3. 11
100
4. 101 5. 110
18. กาหนดระบบสมการ 𝐴𝑋 = 𝐵 เมื่อ 𝐴 = [
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
] , 𝑋 = [
𝑥
𝑦
𝑧
] และ 𝐵 = [
3
3
−4
]
ถ้า [
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
3
3
−4
] ~ [
1 2 1
0 1 0
0 0 1
3
−3
5
] แล้ว det(𝐴) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −8 2. −4 3. −1 4. 4 5. 8
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 7
19. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎9 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมีผลต่างร่วม 𝑑 > 0
และ 𝑏1 , 𝑏2 , 𝑏3 , … , 𝑏9 เป็นลาดับเรขาคณิต ซึ่งมีอัตราส่วนร่วม 𝑟 > 0
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. det [
𝑎1 𝑎2 𝑎3
𝑎4 𝑎5 𝑎6
𝑎7 𝑎8 𝑎9
] = 𝑑 ข. det [
𝑏1 𝑏2 𝑏3
𝑏4 𝑏5 𝑏6
𝑏7 𝑏8 𝑏9
] = 𝑟
ค. det [
2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3
2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6
2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9
] = 2 𝑑
ง. det [
𝑏1
2
𝑏2
2
𝑏3
2
𝑏4
2
𝑏5
2
𝑏6
2
𝑏7
2
𝑏8
2
𝑏9
2
] = 𝑟2
จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2
4. 3 5. 4
20. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 }
จานวนสับเซต 𝐶 ของ 𝐴 ซึ่ง 𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 32 2. 48 3. 64 4. 80 5. 96
21. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเท่ากับ 60 และ 10 คะแนน ตามลาดับ ถ้านักเรียนที่สอบได้คะแนนน้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13%
แล้วนักเรียนที่สอบได้ 50 คะแนน จะมีตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15.87 2. 24.13 3. 34.13
4. 47.61 5. 50
8 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
22. ตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 40 คน เป็นดังนี้
ถ้าข้อมูลชุดนี้มีมัธยฐานเท่ากับ 17.5 คะแนน แล้วค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 16.50 คะแนน 2. 16.75 คะแนน 3. 17.25 คะแนน
4. 17.50 คะแนน 5. 17.75 คะแนน
23. ถ้า 𝑓 เป็นฟังก์ชันซึ่งมีกราฟดังรูป
แล้ว
3
0
 (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 10
3. 12 4. 16
5. 32
24. ถ้า 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนาม และกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5
แล้ว
5
2
 (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2
− 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 94 2. 104 3. 158 4. 258 5. 264
ช่วงคะแนน ความถี่
1 – 5
6 – 10
11 – 15
16 – 20
21 – 25
26 – 30
4
𝑎
6
𝑏
10
4
0 1 3
Y
X
พื้นที่ 6 ตารางหน่วย
พื้นที่ 16 ตารางหน่วย
𝑦 = 𝑓(𝑥)
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 9
25. กาหนดให้ 𝑎 𝑛 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมี 𝑎1 = 2 และผลต่างร่วมเท่ากับ −
2
9
ถ้า 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛 แล้วจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ 𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11
26. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎 𝑛 , … เป็นอนุกรมเรขาคณิต ถ้า 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 =
211
9
และ



1i
𝑎𝑖 = 27 แล้วจานวนจริง 𝑥 ซึ่งทาให้
11
1

i
|𝑎𝑖 − 𝑥| มีค่าน้อยที่สุด เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 64
81
2. 1 3. 16
9
4. 32
27
5. 64
27
27. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนามดีกรีสาม ซึ่งมีค่าวิกฤตที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) < 0
ข. 𝑓(4√3) = 2𝑓(0)
ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) = 2𝑓(0)
ง. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ 𝑓(−2) , 𝑓(−1) , 𝑓(0) , 𝑓(1) , 𝑓(2) เท่ากับ 𝑓(0)
จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2
4. 3 5. 4
10 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
28. ถ้า 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่ทาให้ 2100
2100−𝑚
เป็นจานวนเต็มบวก
แล้วผลบวกของสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 99(299) 2. 100(299) + 1 3. 99(2100) + 1
4. 100(2100
) 5. 101(2101)
29. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, … , 99, 100 } และ 𝐵 = { 𝑘 ∈ 𝐴 | (
cos
5𝜋
8
− 𝑖 sin
5𝜋
8
cos
3𝜋
4
− 𝑖 sin
3𝜋
4
)
𝑘
= 𝑖 } โดยที่ 𝑖2
= −1
จานวนสมาชิกของ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 7 3. 9 4. 11 5. 13
30. กาหนดให้ 𝑆 = { −2 , −1 , 0 , 1 , 2 } 𝐴 = [
0 1
−1 1
] 𝑊 = { [
𝑎 𝑏
𝑐 𝑑
] | 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑆}
ถ้าสุ่มเมทริกซ์จากเซต 𝑊 มา 1 เมทริกซ์ แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เมทริกซ์ 𝐵 ซึ่ง 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 17
625
2. 19
625
3. 21
625
4. 23
625
5. 25
625
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 11
เฉลย
1. 5 7. 2 13. 5 19. 1 25. 3
2. 1 8. 5 14. 2 20. 5 26. 4
3. 3 9. 3 15. 1 21. 1 27. 4
4. 1 10. 3 16. 2 22. 1 28. 3
5. 4 11. 4 17. 1 23. 3 29. 2
6. 5 12. 2 18. 5 24. 4 30. 2
แนวคิด
1. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) = 2𝑥3
+ 𝑎𝑥2
+ 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็นจานวนจริง
ถ้า 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบชอง 𝑃(𝑥) แล้ว 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 12 2. 24 3. 32 4. 40 5. 46
ตอบ 5
𝑃(𝑥) เป็นพหุนามกาลังสาม ที่มี 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบ
ดังนั้น 𝑃(𝑥) ต้องอยู่ในรูป 𝑘(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3) เมื่อ 𝑘 เป็นจานวนจริง
และจากพจน์กาลังสามของ 𝑃(𝑥) คือ 2𝑥3
ดังนั้น 𝑘 = 2 → 𝑃(𝑥) = 2(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3)
จะกระจาย 𝑃(𝑥) แล้วเทียบสัมประสิทธิ์ก็ได้ แต่สังเกตว่าถ้าแทน 𝑥 = 1 ก็จะได้ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 ได้เหมือนกัน
2. จานวนเต็มบวก 𝑛 > 2 ที่น้อยที่สุดที่หารด้วย 18 และ 24 แล้วเหลือเศษ 2 มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. [73, 77] 2. [78, 82] 3. [83, 87]
4. [88, 92] 5. [93, 97]
ตอบ 1
ต้องหาจานวนที่น้อยที่สุด ที่หารด้วย 18 และ 24 ลงตัว แล้วเอามาบวก 2 ก็จะทาให้หารแล้วเหลือเศษ 2
จานวนที่น้อยที่สุด ที่หารด้วย 18 และ 24 ลงตัว = ค.ร.น. ของ 18 และ 24
→ จะได้ ค.ร.น. = 6 × 3 × 4 = 72
→ จะได้ 𝑛 = 72 + 2 = 74 อยู่ในช่วงของ ข้อ 1. [73, 77]
3. กาหนดให้ 𝐴, 𝐵 ∈ (0,
𝜋
2
) ถ้า tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 แล้ว 𝐴 + 𝐵 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 𝜋
4
2. 𝜋
3
3. 3𝜋
4
4. 4𝜋
3
5. 5𝜋
4
ตอบ 3
มี tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 → สามารถหา tan(𝐴 + 𝐵) =
tan 𝐴 + tan 𝐵
1 − tan 𝐴 tan 𝐵
=
2 + 3
1 − (2)(3)
=
5
−5
= −1
และจาก 0 < 𝐴 <
𝜋
2
0 < 𝐵 <
𝜋
2
ดังนั้น 0 < 𝐴 + 𝐵 < 𝜋 จาก tan(𝐴 + 𝐵) = −1 จะได้ 𝐴 + 𝐵 =
3𝜋
4
𝑃(𝑥) = 2𝑥3
+ 𝑎𝑥2
+ 𝑏𝑥 + 𝑐 = 2(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3)
2(13) + 𝑎(12) + 𝑏(1) + 𝑐 = 2(1 + 1)(1 + 2)(1 + 3)
2 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 48
𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 46
แทน 𝑥 = 1
6 18 24
3 4
12 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
4. ถ้า 𝑎⃑ = 2𝑖⃑ − 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑ และ 𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑ = 3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑ แล้ว (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 2. −2 3. 2
4. 3 5. 2√21
ตอบ 1
(𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑)
5. กาหนดให้จุด (6, 4) อยู่บนวงกลม C ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางสองเส้นของวงกลม C คือส่วนของเส้นตรง
2𝑥 + 𝑦 = 5 และ 𝑥 + 3𝑦 = 10 แล้วรัศมีของวงกลมยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. √21 หน่วย 2. √24 หน่วย 3. 5 หน่วย
4. √26 หน่วย 5. 6 หน่วย
ตอบ 4
เส้นผ่านศูนย์กลางวงกลม จะตัดกันที่จุดศูนย์กลางวงกลมเสมอ → หาจุดตัดเส้นตรง
จะได้จุดศุนย์กลางวงกลม = จุดตัดเส้นตรง = (1, 3)
ดังนั้น รัศมี = ระยะจากจุดศุนย์กลาง ไปจุดไหนก็ได้บนวงกลม
= ระยะจาก (1, 3) ไป (6, 4)
= √(6 − 1)2 + (4 − 3)2 = √26
6. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ log |𝑥 − 2|(𝑥−5)
= 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 5 3. 6 4. 8 5. 9
ตอบ 5
= (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑ + (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑏⃑⃑ + (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑐⃑
= (𝑎⃑ × 𝑎⃑) ∙ 𝑐⃑ + (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑ + (𝑐⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑
= 0̅ ∙ 𝑐⃑ + (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑ + 0̅ ∙ 𝑎⃑
= (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑
= −(𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑
= −(3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑) ∙ (2𝑖⃑− 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑)
= −((3)(2) + (2)(−1) + (−1)(1)) = −3
กระจาย (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ ในการบวกเวกเตอร์
หมุน × และ ∙ ค่าไม่เปลี่ยน
𝑢⃑⃑ × 𝑢⃑⃑ = 0̅
0̅ ∙ 𝑢⃑⃑ = 0
𝑢⃑⃑ × 𝑣⃑ = −(𝑢⃑⃑ × 𝑣⃑)
2𝑥 + 𝑦 = 5 …(1)
𝑥 + 3𝑦 = 10 …(2)
(1) × 3 : 6𝑥 + 3𝑦 = 15 …(3)
(3) − (2) : 5𝑥 = 5
𝑥 = 1
(1) : 2(1) + 𝑦 = 5
𝑦 = 3
ระยะระหว่าง (𝑥1, 𝑦1) และ (𝑥2, 𝑦2)
= √(𝑥2 − 𝑥1)2 + (𝑦2 − 𝑦1)2
log |𝑥 − 2|(𝑥−5)
= 0
|𝑥 − 2|(𝑥−5)
= 100
|𝑥 − 2|(𝑥−5)
= 1
log แบบไม่มีฐาน คือ log ฐาน 10
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 13
ผลยกกาลัง เป็น 1 ได้ 3 กรณี คือ ฐาน = 1 , เลขชี้กาลัง = 0 (เมื่อ ฐาน ≠ 0) , (−1) 𝑐
เมื่อ 𝑐 เป็นเลขคู่
จะได้ผลบวกคาตอบ = 3 + 1 + 5 = 9
7. ถ้าผลการเรียนคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เป็นดังตารางต่อไปนี้
แล้วจานวนเปอร์เซ็นต์ของผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 68 2. 71 3. 74 4. 77 5. 80
ตอบ 2
จากสูตรค่าเฉลี่ยถ่วงน้าหนัก จะได้ =
∑ 𝑤 𝑖 𝑥 𝑖
∑ 𝑤 𝑖
=
(20)(85) + (40)(65) + (40)(70)
20 + 40 + 40
=
1700 + 2600 + 2800
100
=
7100
100
= 71
8. กาหนดให้ 𝑆 = {1, 2, 3, … , 8, 9} 𝒲 = { 𝐴 | 𝐴 ⊂ 𝑆 และ 𝐴 มีสมาชิก 4 ตัว }
ถ้าสุ่มหยิบเซตหนึ่งเซตจาก 𝒲 แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เซตที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2
9
2. 1
3
3. 4
9
4. 1
2
5. 5
9
ตอบ 5
𝑛(𝑆) = จานวนแบบทั้งหมด = จานวนสับเซตของ 𝑆 ที่มีสมาชิก 4 ตัว
→ เลือก 4 ตัว จากสมาชิกของ 𝑆 (ซึ่งมี 9 ตัว) จะเลือกได้ (9
4
) แบบ
𝑛(𝐸) = จานวนแบบที่โจทย์สนใจ = จานวนสับเซตของ 𝑆 ที่มีสมาชิก 4 ตัว ที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก
→ เหลือให้เลือกแค่ 1, 2, 3, … , 8 (ทั้งหมด 8 ตัว) เลือกมา 4 ตัว จะเลือกได้ (8
4
) แบบ
จะได้ความน่าจะเป็น =
𝑛(𝐸)
𝑛(𝑆)
=
(8
4)
(9
4)
=
8 ∙ 7 ∙ 6 ∙ 5
4 ∙ 3 ∙ 2 ∙ 1
9 ∙ 8 ∙ 7 ∙ 6
4 ∙ 3 ∙ 2 ∙ 1
=
5
9
9. ความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะไปดูหนังและไปซื้อของในวันอาทิตย์เป็น 0.7 และ 0.6 ตามลาดับ ถ้าดวงพรจะทา
กิจกรรมอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แล้วความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะทากิจกรรมทั้ง 2 อย่างเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.1 2. 0.2 3. 0.3 4. 0.4 5. 0.5
ตอบ 3
จากโจทย์ จะได้ 𝑃(ดูหนัง) = 0.7 และ 𝑃 (ซื้อของ) = 0.6
ทาอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แสดงว่า 𝑃 (ดูหนัง หรือ ซื้อของ) = 1
คะแนนที่ได้
(จากคะแนนเต็ม 100)
เกณฑ์การให้น้าหนัก
ในการคิดคะแนน
การบ้าน 85 20%
สอบกลางภาค 65 40%
สอบปลายภาค 70 40%
|𝑥 − 2| = 1
𝑥 − 2 = 1 , −1
𝑥 = 3 , 1
|𝑥 − 2| = −1
ค่าสัมบูรณ์เป็นลบไม่ได้
ไม่มีคาตอบ
𝑥 − 5 = 0
𝑥 = 5
( 𝑥 = 5 จะได้ฐาน |𝑥 − 2| ≠ 0)
14 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
ใช้สูตร Inclusive – Exclusive : 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)
จะได้ 𝑃 (ดูหนัง หรือ ซื้อของ) = 𝑃(ดูหนัง) + 𝑃 (ซื้อของ) − 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ)
1 = 0.7 + 0.6 − 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ)
ดังนั้น 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ) = 0.3
10. ถ้าลาดับ 𝑎 𝑛 =
(3+2𝑛)13(5+𝑛)2
(1−2𝑛)15 แล้ว n
lim 𝑎 𝑛 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. −
1
2
3. −
1
4
4. 0 5. 1
2
ตอบ 3
จัดรูป 𝑎 𝑛 โดยดึง 𝑛 จากทั้งเศษและส่วนออกมาตัดกัน
(3+2𝑛)13(5+𝑛)2
(1−2𝑛)15 =
(𝑛(
3
𝑛
+ 2))
13
(𝑛(
5
𝑛
+ 1))
2
(𝑛(
1
𝑛
− 2))
15
=
𝑛13 (
3
𝑛
+ 2)
13
𝑛2 (
5
𝑛
+ 1)
2
𝑛15 (
1
𝑛
− 2)
15
=
(
3
𝑛
+ 2)
13
(
5
𝑛
+ 1)
2
(
1
𝑛
− 2)
15 → ดังนั้น n
lim 𝑎 𝑛 =
(0+2)13(0+1)2
(0−2)15 =
213
−215 = −
1
4
11. ถ้า 𝑧 เป็นจานวนเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 𝑧 + |
𝑧̅−1
𝑧−1
| = −3 + 2𝑖
แล้ว |𝑧| มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. √10 3. √13
4. 2√5 5. 4
ตอบ 4
จะได้ |𝑧| = √(−4)2 + 22 = √20 = 2√5
𝑧 + |
𝑧̅−1
𝑧−1
| = −3 + 2𝑖
𝑧 + |
𝑧̅−1̅
𝑧−1
| = −3 + 2𝑖
𝑧 + |
𝑧−1̅̅̅̅̅̅
𝑧−1
| = −3 + 2𝑖
𝑧 +
| 𝑧−1̅̅̅̅̅̅ |
| 𝑧−1 |
= −3 + 2𝑖
𝑧 + 1 = −3 + 2𝑖
𝑧 = −4 + 2𝑖
สังยุคของจานวนจริง จะได้เท่าเดิม → 1̅ = 1
ดึงสังยุคออกนอกการลบ
กระจายค่าสัมบูรณ์ในการคูณ
จากสมมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ | 𝑧 − 1̅̅̅̅̅̅̅ | = | 𝑧 − 1 |
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 15
12. ให้ 𝐴 = { 𝑥 | 𝑥 เป็นจานวนเต็มที่อยู่ในช่วง [−10, 10] } 𝐵 = { 𝑥 | (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 }
จานวนสมาชิกของ 𝐴 ∩ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 14 3. 16 4. 18 5. 21
ตอบ 2
แก้หา 𝐵 → จะแบ่งกรณีให้รู้เครื่องหมายของ 𝑥 เพื่อใช้สมบติ |𝑥| = {
𝑥 , 𝑥 ≥ 0
−𝑥 , 𝑥 < 0
ในการถอดค่าสัมบูรณ์
กรณี 𝑥 ≥ 0 : กรณี 𝑥 < 0 :
กรณีนี้คือ 𝑥 ≥ 0 → จะเหลือคาตอบคือ [4, ∞) กรณีนี้คือ 𝑥 < 0 → จะได้คาตอบคือ [−8, −2]
รวมสองกรณี จะได้ 𝐵 = [−8, −2] ∪ [4, ∞)
𝐴 ∩ 𝐵 = เอา 𝐵 เฉพาะที่อยู่ในช่วง [−10, 10] → [−8, −2] จะมี 7 ตัว
→ [4, 10] จะมี 7 ตัว
13. กาหนดให้ 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑛 โดยที่ 𝑛 หาร 3,399 แล้วเหลือเศษ 24
จานวนสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11
ตอบ 5
แสดงว่า ถ้าเอา 3399 มาหักเศษ 24 ออก ผลที่เหลือจะต้องหารด้วย 𝑛 ลงตัว
นั่นคือ 𝑛 ต้องหาร 3399 – 24 = 3375 ลงตัว
เนื่องจาก 3375 แยกตัวประกอบได้เป็น 33
∙ 53
ดังนั้น 𝑛 ต้องอยู่ในรูป 3 𝑎
∙ 5 𝑏
เมื่อ 𝑎, 𝑏 ∈ {0, 1, 2, 3}
จะเห็นว่าเลือก 𝑎 และ 𝑏 ได้ตัวละ 4 แบบ (คือ 0 ถึง 3) ดังนั้น จะมี 3 𝑎
∙ 5 𝑏
ได้ทั้งหมด 4 × 4 = 16 แบบ
นอกจากนี้จะเห็นว่า 𝑛 ต้องมากกว่า 24 ด้วย (ไม่งั้น 𝑛 จะหารแล้วเหลือเศษ 24 ไม่ได้)
ดังนั้น ต้องหัก 3 𝑎
∙ 5 𝑏
ที่ ≤ 24 ออกด้วย ซึ่งจะมี 30
∙ 50
= 1 , 31
∙ 50
= 3 , 32
∙ 50
= 9
30
∙ 51
= 5 , 31
∙ 51
= 15
ทั้งหมด 5 แบบ → เหลือจานวนแบบ = 16 − 5 = 11 แบบ
(𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9
(𝑥 + 5)( 𝑥 − 5) ≥ −9
𝑥2
− 25 ≥ −9
𝑥2
− 16 ≥ 0
(𝑥 + 4)(𝑥 − 4) ≥ 0
(𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9
(𝑥 + 5)(−𝑥 − 5) ≥ −9
−𝑥2
− 5𝑥 − 5𝑥 − 25 ≥ −9
0 ≥ 𝑥2
+ 10𝑥 + 16
0 ≥ (𝑥 + 8)(𝑥 + 2)
−4 4
+ − +
−8 −2
+ − +
รวม 14 ตัว
16 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
14. ไฮเพอร์โบลารูปหนึ่งมีโฟกัสอยู่ที่จุด (−7, 1) และ (5, 1) ถ้าเส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลานี้ขนานกับ
เส้นตรง √2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลาคือข้อใดต่อไปนี้
1. (𝑥+1)2
24
−
(𝑦−1)2
12
= 1 2. (𝑥+1)2
12
−
(𝑦−1)2
24
= 1 3. (𝑥−1)2
12
−
(𝑦+1)2
24
= 1
4. (𝑥 + 1)2
−
(𝑦−1)2
2
= 1 5. (𝑥 − 1)2
−
(𝑦+1)2
2
= 1
ตอบ 2
จุดโฟกัสเรียงตัวในแนวนอน → เป็นไฮเพอร์โบลาแนวนอน ดังรูป
จะได้รูปสมการคือ (𝑥−ℎ)2
𝑎2 −
(𝑦−𝑘)2
𝑏2 = 1
จะได้ระยะโฟกัส 𝑐 =
5−(−7)
2
= 6 แทนในสูตร 𝑐2
= 𝑎2
+ 𝑏2
โจทย์ให้เส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลา (𝑥−ℎ)2
𝑎2 −
(𝑦−𝑘)2
𝑏2 = 1 ขนานกับเส้นตรง
แทน (2) ใน (1) จะได้
และ จุดศูนย์กลางต้องอยู่ตรงกลางระหว่างจุดโฟกัสทั้งสอง จะได้จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (
−7+5
2
,
1+1
2
) = (−1, 1)
แทน 𝑎2
, 𝑏2
, ℎ , 𝑘 ใน (𝑥−ℎ)2
𝑎2 −
(𝑦−𝑘)2
𝑏2 = 1 จะได้สมการไฮเพอร์โบลาคือ (𝑥+1)2
12
−
(𝑦−1)2
24
= 1
15. กาหนดรูปสี่เหลี่ยม ABCD ดังรูป
โดยมีด้าน BC, AC และ AD ยาวเท่ากับ 5, 7 และ 8 หน่วยตามลาดับ
มี BÂD = 90° และ CB̂A = 120°
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ACD เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 22 ตารางหน่วย
2. 24 ตารางหน่วย
3. 28 ตารางหน่วย
4. 28√2 ตารางหน่วย
5. 28√3 ตารางหน่วย
ตอบ 1
ใช้กฎของ cos กับ ∆ABC เพื่อหา BA → ถ้าให้ BA = 𝑥 จะได้
√2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0
√2𝑥 + 5 = 𝑦
ความชัน = √2
จะได้เส้นกากับคือ (𝑥−ℎ)2
𝑎2 −
(𝑦−𝑘)2
𝑏2 = 0
(𝑥−ℎ)2
𝑎2 =
(𝑦−𝑘)2
𝑏2
𝑏2
𝑎2
(𝑥 − ℎ)2
= (𝑦 − 𝑘)2
±
𝑏
𝑎
(𝑥 − ℎ) = 𝑦 − 𝑘
ความชัน =
𝑏
𝑎
, −
𝑏
𝑎
𝑏2
𝑎2 = 2
𝑏2
= 2𝑎2
…(2)
62
= 𝑎2
+ 2𝑎2
36 = 3𝑎2
12 = 𝑎2
62
= 𝑎2
+ 𝑏2
…(1)
𝐹1(−7, 1) 𝐹2(5, 1)
→ ขนานกัน ความชันจะเท่ากัน →
𝑏
𝑎
= √2
→ แทนใน (2) จะได้ 𝑏2
= 2(12) = 24
72
= 𝑥2
+ 52
− 2(𝑥)(5) cos 120°
49 = 𝑥2
+ 25 − 10𝑥 (−
1
2
)
120°
A
B
C
D
5
7
8
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 17
ลากเส้นประเพิ่มดังรูป จะได้ EF = BE = 3
และจะได้ CB̂E เหลือ 120° − 90° = 30°
ใน ∆CBE จะได้ sin30° =
CE
BC
จะได้ CF = CE + EF = 2.5 + 3 = 5.5
ดังนั้น พื้นที่ ∆ACD =
1
2
× AD × CF
=
1
2
× 8 × 5.5 = 22
16. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑣̅ = (sin 80° + sin20°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗
และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = sin 70° + sin10° แล้ว |𝑣̅|2
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 5 4. 6 5. 7
ตอบ 2
ใช้สูตร sin 𝐴 + sin 𝐵 = 2 sin
𝐴+𝐵
2
cos
𝐴−𝐵
2
จัดรูปผลบวกของ sin ในโจทย์ก่อน ดังนี้
ดังนั้น 𝑣̅ = (√3 sin50°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗ และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = √3 sin 40°
จะเห็นว่า ถ้ามี |𝑣̅|2
cos2
𝜃 อีกตัวมาบวก จะดึง |𝑣̅|2
แล้วใช้สูตร sin2
𝜃 + cos2
𝜃 = 1 เพื่อหาสิ่งที่โจทย์ถามได้
ซึ่งเราหา |𝑣̅|2
cos2
𝜃 ได้จากการดอท → 𝑣̅ ∙ 𝑖⃗ = |𝑣̅||𝑖⃗| cos 𝜃 = |𝑣̅| cos 𝜃
เอา (1) + (2) จะได้
(ความยาว เป็นลบไม่ได้)
1
2
=
CE
5
2.5 = CE
30°
A
B
C
D
5
7
E
F
3
8
0 = 𝑥2
+ 5𝑥 − 24
0 = (𝑥 − 3)(𝑥 + 8)
𝑥 = 3 , −8
โคฟังก์ชัน
sin2
𝜃 + cos2
𝜃 = 1
sin80° + sin20° = 2 sin
80°+20°
2
cos
80°−20°
2
= 2 sin50° cos 30°
= 2 sin50°
√3
2
= √3 sin50°
sin70° + sin10° = 2 sin
70°+10°
2
cos
70°−10°
2
= 2 sin40° cos 30°
= 2 sin40°
√3
2
= √3 sin40°
|𝑣̅||𝑖⃗| sin 𝜃 = √3 sin40°
|𝑣̅| sin 𝜃 = √3 sin40°
|𝑣̅|2
sin2
𝜃 = 3 sin2
40° …(1)
|𝑢̅ × 𝑣̅| = |𝑢̅||𝑣̅| sin 𝜃
𝑢̅ ∙ 𝑣̅ = |𝑢̅||𝑣̅| cos 𝜃
[
√3 sin50°
𝑎
𝑏
] ∙ [
1
0
0
] = |𝑣̅| cos 𝜃
√3 sin50° = |𝑣̅| cos 𝜃
3 sin2
50° = |𝑣̅|2
cos2
𝜃 …(2)
|𝑣̅|2
sin2
𝜃 + |𝑣̅|2
cos2
𝜃 = 3 sin2
40° + 3 sin2
50°
|𝑣̅|2
(sin2
𝜃 + cos2
𝜃) = 3(sin2
40° + cos2
40°)
|𝑣̅|2
= 3
18 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
17. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ (log 100𝑥)2
+ 2 log100 𝑥 + 2 = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11
1000
2. 101
1000
3. 11
100
4. 101 5. 110
ตอบ 1
จะได้ผลบวกคาตอบ = 10−2
+ 10−3
=
1
100
+
1
1000
=
10 + 1
1000
=
11
1000
18. กาหนดระบบสมการ 𝐴𝑋 = 𝐵 เมื่อ 𝐴 = [
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
] , 𝑋 = [
𝑥
𝑦
𝑧
] และ 𝐵 = [
3
3
−4
]
ถ้า [
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
3
3
−4
] ~ [
1 2 1
0 1 0
0 0 1
3
−3
5
] แล้ว det(𝐴) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −8 2. −4 3. −1 4. 4 5. 8
ตอบ 5
แปลง [
1 2 1
0 1 0
0 0 1
3
−3
5
] กลับเป็นระบบสมการ จะได้
จะเอา 𝑥, 𝑦, 𝑧 ไปแทนใน แล้วหา 𝑎, 𝑏, 𝑐 ก็ได้ แต่ใช้กฎของเครเมอร์กับค่า 𝑥 จะหา det(𝐴) ได้โดยตรง
จาก [
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
3
3
−4
] ใช้กฎของเครเมอร์ จะได้ 𝑥 =
|
3 2 1
3 0 −1
−4 2 −2
|
|
𝑎 2 1
𝑏 0 −1
𝑐 2 −2
|
𝑥 + 2𝑦 + 𝑧 = 3 …(1)
𝑦 = −3 …(2)
𝑧 = 5 …(3)
𝑥 + 2(−3) + 5 = 3
𝑥 = 4
แทน (2), (3) ใน (1) :
4 =
0+8+6−0+6+12
det(𝐴)
det(𝐴) =
32
4
= 8
(log 100𝑥)2
+ 2 log100 𝑥 + 2 = 0
(log 100 + log 𝑥)2
+ 2 log100 𝑥 + 2 = 0
log 𝑀𝑁 = log 𝑀 + log 𝑁
(log 102
+ log 𝑥)2
+ 2 log102 𝑥 + 2 = 0
(2 log 10 + log 𝑥)2
+
2
2
log10 𝑥 + 2 = 0
(2 + log 𝑥)2
+ log 𝑥 + 2 = 0
𝐴2
+ 𝐴 = 0
𝐴(𝐴 + 1) = 0
𝐴 = 0 , −1
2 + log 𝑥 = 0 , −1
log 𝑥 = −2 , −3
𝑥 = 10−2
, 10−3
log 𝑎 𝑏 𝑀 𝑁
=
𝑁
𝑏
log 𝑎 𝑀
log ไม่มีฐาน คือ ฐาน = 10
เปลี่ยนตัวแปร ให้ 2 + log 𝑥 = 𝐴
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 19
19. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎9 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมีผลต่างร่วม 𝑑 > 0
และ 𝑏1 , 𝑏2 , 𝑏3 , … , 𝑏9 เป็นลาดับเรขาคณิต ซึ่งมีอัตราส่วนร่วม 𝑟 > 0
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. det [
𝑎1 𝑎2 𝑎3
𝑎4 𝑎5 𝑎6
𝑎7 𝑎8 𝑎9
] = 𝑑 ข. det [
𝑏1 𝑏2 𝑏3
𝑏4 𝑏5 𝑏6
𝑏7 𝑏8 𝑏9
] = 𝑟
ค. det [
2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3
2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6
2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9
] = 2 𝑑
ง. det [
𝑏1
2
𝑏2
2
𝑏3
2
𝑏4
2
𝑏5
2
𝑏6
2
𝑏7
2
𝑏8
2
𝑏9
2
] = 𝑟2
จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2
4. 3 5. 4
ตอบ 1
ก. |
𝑎1 𝑎2 𝑎3
𝑎4 𝑎5 𝑎6
𝑎7 𝑎8 𝑎9
|
𝐶3 − 𝐶2
=
|
𝑎1 𝑎2 𝑑
𝑎4 𝑎5 𝑑
𝑎7 𝑎8 𝑑
|
𝐶2 − 𝐶1
=
|
𝑎1 𝑑 𝑑
𝑎4 𝑑 𝑑
𝑎7 𝑑 𝑑
| = 0 → ก. ผิด
ข. |
𝑏1 𝑏2 𝑏3
𝑏4 𝑏5 𝑏6
𝑏7 𝑏8 𝑏9
| = |
𝑏1 𝑏1 𝑟 𝑏1 𝑟2
𝑏4 𝑏4 𝑟 𝑏4 𝑟2
𝑏7 𝑏8 𝑏9
| = 𝑏1 𝑏4 |
1 𝑟 𝑟2
1 𝑟 𝑟2
𝑏7 𝑏8 𝑏9
| = 0 → ข. ผิด
ค. 2 𝑎1 , 2 𝑎2 , 2 𝑎3 , 2 𝑎4 , … คือ 2 𝑎1 , 2 𝑎1+𝑑
, 2 𝑎1+2𝑑
, 2 𝑎1+3𝑑
, …
คือ 2 𝑎1 , 2 𝑎1 ∙ 2 𝑑
, 2 𝑎1 ∙ 22𝑑
, 2 𝑎1 ∙ 23𝑑
, …
→ เป็นลาดับเรขาคณิต (คูณเพิ่มทีละ 2 𝑑
)
ซึ่งจากข้อ ข. ถ้าเอาลาดับเรขาคณิตมาใส่เมทริกซ์ จะได้ det = 0 ดังนั้น |
2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3
2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6
2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9
| = 0 → ค. ผิด
ง. 𝑏1
2
, 𝑏2
2
, 𝑏3
2
, 𝑏4
2
, … คือ 𝑏1
2
, (𝑏1 𝑟)2
, (𝑏1 𝑟2)2
, (𝑏1 𝑟3)2
, …
คือ 𝑏1
2
, 𝑏1
2
𝑟2
, 𝑏1
2
𝑟4
, 𝑏1
2
𝑟6
, …
→ เป็นลาดับเรขาคณิต (คูณเพิ่มทีละ 𝑟2
)
ซึ่งจากข้อ ข. ถ้าเอาลาดับเรขาคณิตมาใส่เมทริกซ์ จะได้ det = 0 ดังนั้น |
𝑏1
2
𝑏2
2
𝑏3
2
𝑏4
2
𝑏5
2
𝑏6
2
𝑏7
2
𝑏8
2
𝑏9
2
| = 0 → ง. ผิด
ลาดับเลขคณิต พจน์ที่ติดกัน จะห่างกัน = 𝑑 สองหลักเหมือนกัน → det = 0
ลาดับเรขาคณิต พจน์ที่ติดกัน จะคูณเพิ่มทีละ 𝑟
ดึง 𝑏1 ออกจากแถว 1 , ดึง 𝑏4 ออกจากแถว 2
สองแถวเหมือนกัน → det = 0
20 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
20. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 }
จานวนสับเซต 𝐶 ของ 𝐴 ซึ่ง 𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 32 2. 48 3. 64 4. 80 5. 96
ตอบ 5
𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว → แสดงว่า ต้องเลือก 2 ตัวจาก 4 ตัวใน 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 } มาไว้ใน 𝐶
→ เลือกได้ (4
2
) แบบ
และเนื่องจาก 𝐶 ⊂ 𝐴 ดังนั้น สมาชิกส่วนที่เหลือของ 𝐶 ต้องมาจาก 𝐴 เท่านั้น
ที่เหลือใน 𝐴 คือ 1, 2, 7, 8 มี 4 ตัว → แต่ละตัวเลือก เอา หรือ ไม่เอา ให้ 𝐶 ได้ตัวละ 2 แบบ
→ เลือกได้ 24
แบบ
ดังนั้น จานวนแบบของ 𝐶 คือ (4
2
) × 24
=
4 ∙ 3
2
× 16 = 96
21. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเท่ากับ 60 และ 10 คะแนน ตามลาดับ ถ้านักเรียนที่สอบได้คะแนนน้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13%
แล้วนักเรียนที่สอบได้ 50 คะแนน จะมีตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15.87 2. 24.13 3. 34.13
4. 47.61 5. 50
ตอบ 1
ใช้สูตร 𝑧𝑖 =
𝑥 𝑖 − 𝑥̅
𝑠
แปลง 70 คะแนน เป็นค่ามาตรฐาน
จะได้ 𝑧 =
70 − 60
10
= 1
โจทย์ให้ น้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13%
แสดงว่า พื้นที่ทางซ้าย 𝑧 = 1 คือ 0.8413
จะได้ พื้นที่จากแกนกลางถึง 𝑧 = 1 คือ 0.8413 − 0.5 = 0.3413 ดังรูป
แปลง 50 คะแนนเป็นค่ามาตรฐาน จะได้ 𝑧 =
50 − 60
10
= −1
จากความสมมาตร จะได้พื้นที่จากแกนกลางถึง 𝑧 = −1 คือ 0.3413 ด้วย
ดังนั้น จะเหลือพื้นที่ทางซ้าย = 0.5 − 0.3413 = 0.1587
ดังนั้น จะมี 15.87% ได้น้อยกว่า 50 คะแนน → ตรงกับ 𝑃15.87
1
0.8413
1
= 0.8413 – 0.5
= 0.3413
−1
0.3413
= 0.5 − 0.3413
= 0.1587
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 21
22. ตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 40 คน เป็นดังนี้
ถ้าข้อมูลชุดนี้มีมัธยฐานเท่ากับ 17.5 คะแนน แล้วค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 16.50 คะแนน 2. 16.75 คะแนน 3. 17.25 คะแนน
4. 17.50 คะแนน 5. 17.75 คะแนน
ตอบ 1
สร้างช่องความถี่สะสมดังรูป
โจทย์ให้จานวนนักเรียน = 40 คน → 24 + 𝑎 + 𝑏 = 40
มัธยฐาน = 17.5 อยู่ในช่วง 16 – 20 จะได้
จากสูตรมัธยฐาน Med = 𝐿 + (
𝑁
2
− 𝐹 𝐿
𝑓 𝑀𝑒𝑑
) 𝐼
หา 𝑥̅ → ประมาณแต่ละชั้นด้วยจุดกึ่งกลางชั้น
ช่วงคะแนน ความถี่
1 – 5
6 – 10
11 – 15
16 – 20
21 – 25
26 – 30
4
𝑎
6
𝑏
10
4
𝐿 = 15.5
𝐼 = 20.5 – 15.5 = 5
𝑓 𝑀𝑒𝑑 = 𝑏
𝐹𝐿 = 10 + 𝑎
𝑎 = 16 − 𝑏 …(∗)
ช่วงคะแนน ความถี่ ความถี่สะสม
1 – 5
6 – 10
11 – 15
16 – 20
21 – 25
26 – 30
4
𝑎
6
𝑏
10
4
4
4 + 𝑎
10 + 𝑎
10 + 𝑎 + 𝑏
20 + 𝑎 + 𝑏
24 + 𝑎 + 𝑏
17.5 = 15.5 + (
40
2
− (10+𝑎)
𝑏
) (5)
2 = (
20 − (10+16−𝑏)
𝑏
) (5)
2𝑏 = (20 − 26 + 𝑏)(5)
2𝑏 = −30 + 5𝑏
30 = 3𝑏
10 = 𝑏
จาก (∗)
→ แทนใน (∗) : 𝑎 = 16 − 10 = 6
ช่วงคะแนน ความถี่ (𝑓𝑖) จุดกึ่งกลางชั้น (𝑥𝑖) 𝑓𝑖 𝑥𝑖
1 – 5
6 – 10
11 – 15
16 – 20
21 – 25
26 – 30
4
6
6
10
10
4
3
8
13
18
23
28
12
48
78
180
230
112
660 จะได้ 𝑥̅ =
∑ 𝑓𝑖 𝑥 𝑖
𝑁
=
660
40
= 16.5
22 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
23. ถ้า 𝑓 เป็นฟังก์ชันซึ่งมีกราฟดังรูป
แล้ว
3
0
 (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 10
3. 12 4. 16
5. 32
ตอบ 3
แบ่งการอินทิเกรตเป็นช่วง เพื่อให้รู้เครื่องหมายบวกลบ แล้วใช้สมบัติ |𝑎| = {
𝑎 , 𝑎 ≥ 0
−𝑎 , 𝑎 < 0
ถอดค่าสัมบูรณ์
3
0
 (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 =
1
0
 ( |𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 +
3
1
 (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥
=
1
0
 (−𝑓(𝑥) − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 +
3
1
 ( 𝑓(𝑥) − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥
=
1
0
 −2𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 +
3
1
 0 𝑑𝑥
= −2
1
0
 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 + 0
= −2 (−6) = 12
24. ถ้า 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนาม และกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5
แล้ว
5
2
 (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2
− 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 94 2. 104 3. 158 4. 258 5. 264
ตอบ 4
โจทย์ให้กราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5
พิจารณาค่าที่โจทย์ถาม จะเห็นว่ามี 2𝑥 และ 𝑥2
− 1 → ถ้าให้ 𝑢 = 𝑥2
− 1 จะได้ 𝑢′
= 2𝑥
ให้ 𝑣 = 𝑓(𝑥) จะได้ 2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2
− 1)𝑓′(𝑥) = (𝑢′)(𝑣) + (𝑢)(𝑣′)
= (𝑢𝑣)′
ดังนั้น
5
2
 (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2
− 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 = 𝑢𝑣 |
5
2
= (𝑥2
− 1)𝑓(𝑥) |
5
2
= (52
− 1)𝑓(5) − (22
− 1)𝑓(2)
= (24) (11) − (3) (2)
= 258
0 1 3
Y
X
พื้นที่ 6 ตารางหน่วย
พื้นที่ 16 ตารางหน่วย
𝑦 = 𝑓(𝑥)
จากกราฟ ช่วง (0, 1) → 𝑓(𝑥) เป็นลบ
ดังนั้น |𝑓(𝑥)| = −𝑓(𝑥)
ช่วง (1, 3) → 𝑓(𝑥) เป็นบวก
ดังนั้น |𝑓(𝑥)| = 𝑓(𝑥)
จากกราฟ (พื้นที่ใต้
แกน X จะเป็นลบ)
สูตรดิฟผลคูณ
จาก (∗)
ที่ 𝑥 = 2 จะได้ 𝑦 = 3(2) − 4 = 2
ที่ 𝑥 = 5 จะได้ 𝑦 = 3(5) − 4 = 11
แสดงว่า 𝑓(2) = 2
และ 𝑓(5) = 11 ด้วย …(∗)
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 23
25. กาหนดให้ 𝑎 𝑛 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมี 𝑎1 = 2 และผลต่างร่วมเท่ากับ −
2
9
ถ้า 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛 แล้วจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ 𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11
ตอบ 3
26. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎 𝑛 , … เป็นอนุกรมเรขาคณิต ถ้า 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 =
211
9
และ



1i
𝑎𝑖 = 27 แล้วจานวนจริง 𝑥 ซึ่งทาให้
11
1

i
|𝑎𝑖 − 𝑥| มีค่าน้อยที่สุด เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 64
81
2. 1 3. 16
9
4. 32
27
5. 64
27
ตอบ 4
จากสูตรอนุกรมเรขาคณิตอนันต์ จะได้



1i
𝑎𝑖 =
𝑎1
1−𝑟
= 27 …(∗)
และจากสูตรอนุกรมเรขาคณิต จะได้
𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 =
𝑎1(1−𝑟5)
1−𝑟
=
211
9
จากสมบัติของค่ากลางในเรื่องสถิติ
11
1

i
|𝑎𝑖 − 𝑥| จะมีค่าน้อยที่สุด เมื่อ 𝑥 = มัธยฐานของข้อมูล 𝑎1 , 𝑎2 , … , 𝑎11
มีข้อมูล 11 ตัว → มัธยฐานอยู่ตัวที่ 𝑁+1
2
=
11+1
2
= 6 → มัธยฐาน = 𝑎6
ซึ่งจากสูตรลาดับเรขาคณิต 𝑎 𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1
จะได้ 𝑎6 = 𝑎1 𝑟6−1
= 9 (
2
3
)
5
=
25
33 =
32
27
𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024
2 𝑎1 ∙ 2 𝑎2 ∙ 2 𝑎3 ∙ … ∙ 2 𝑎 𝑚 ≥ 1024
2 𝑎1+𝑎2+𝑎3+ … +𝑎 𝑚 ≥ 210
𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎 𝑚 ≥ 10
𝑚
2
(2𝑎1 + (𝑚 − 1)𝑑) ≥ 10
𝑚
2
(2(2) + (𝑚 − 1) (−
2
9
)) ≥ 10
2𝑚 −
𝑚2−𝑚
9
≥ 10
18𝑚 − (𝑚2
− 𝑚) ≥ 90
0 ≥ 𝑚2
− 19𝑚 + 90
0 ≥ (𝑚 − 9)(𝑚 − 10)
จาก 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛
ฐาน 2 เหมือนกัน คูณกัน → เอาเลขชี้กาลังมาบวกกัน
ตัดฐาน 2 ทั้งสองข้าง (ฐาน > 1 → ไม่ต้องกลับ มากกว่า ↔ น้อยกว่า)
จากสูตรอนุกรมเลขคณิต
โจทย์ให้ 𝑎1 = 2 , 𝑑 = −
2
9
9 10
+ − + จะได้ 𝑚 ∈ [9, 10]
→ จานวนเต็มบวก 𝑚 น้อยสุด = 9
27(1 − 𝑟5
) =
211
9
1 − 𝑟5
=
211
243
32
243
= 𝑟5
2
3
= 𝑟
จาก (∗)
→ แทนใน (∗) จะได้ 𝑎1
1−
2
3
= 27
𝑎1 = 27(1 −
2
3
) = 9
24 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
27. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนามดีกรีสาม ซึ่งมีค่าวิกฤตที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) < 0
ข. 𝑓(4√3) = 2𝑓(0)
ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) = 2𝑓(0)
ง. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ 𝑓(−2) , 𝑓(−1) , 𝑓(0) , 𝑓(1) , 𝑓(2) เท่ากับ 𝑓(0)
จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2
4. 3 5. 4
ตอบ 4
จาก 𝑓(𝑥) มีดีกรี 3 จะได้ 𝑓′(𝑥) มีดีกรี 2
ค่าวิกฤตเกิดที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 ดังนั้น สมการ 𝑓′(𝑥) = 0 มีคาตอบคือ 4, −4
จะได้ 𝑓′(𝑥) ต้องอยู่ในรูป 𝑎(𝑥 + 4)(𝑥 − 4)
= 𝑎𝑥2
− 16𝑎 เมื่อ 𝑎 เป็นจานวนจริงใดๆ ที่ 𝑎 ≠ 0
ดิฟต่อจะได้ 𝑓′′(𝑥) = 2𝑎𝑥 อินทิเกรตจะได้ 𝑓(𝑥) =
𝑎𝑥3
3
− 16𝑎𝑥 + 𝑐
ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) = 2𝑎(−4) ∙ 2𝑎(4) = −64𝑎2
< 0 → ก. ถูก
ข. 𝑓(4√3) =
𝑎(4√3)
3
3
− 16𝑎(4√3) + 𝑐 2𝑓(0) = 2 (
𝑎(03)
3
− 16𝑎(0) + 𝑐)
= 64√3𝑎 − 64√3𝑎 + 𝑐 = 2( 𝑐)
= 𝑐 = 2𝑐
จะเห็นว่า 𝑐 ≠ 2𝑐 ดังนั้น 𝑓(4√3) ≠ 2𝑓(0) → ข. ผิด
ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) =
𝑎(−4)3
3
− 16𝑎(−4) + 𝑐 +
𝑎(4)3
3
− 16𝑎(4) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐
เท่ากับ 2𝑓(0) ที่เคยทา
ในข้อ ข. → ค. ถูก
ง. ค่าเฉลี่ย =
𝑓(−2) + 𝑓(−1) + 𝑓(0) + 𝑓(1) + 𝑓(2)
5
สังเกตว่า 𝑥 ทุกตัวที่อยู่ใน 𝑓(𝑥) =
𝑎𝑥3
3
− 16𝑎𝑥 + 𝑐 ถูกยกกาลังคี่ ( 𝑥3
, 𝑥1
)
ดังนั้น 𝑓(𝑘) กับ 𝑓(−𝑘) จะตัดกันได้เสมอ (เหมือนกับ 𝑓(−4) + 𝑓(4) ในข้อ ค.)
𝑓(−2) + 𝑓(2) =
𝑎(−2)3
3
− 16𝑎(−2) + 𝑐 +
𝑎(2)3
3
− 16𝑎(2) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐
𝑓(−1) + 𝑓(1) =
𝑎(−1)3
3
− 16𝑎(−1) + 𝑐 +
𝑎(1)3
3
− 16𝑎(1) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐
และ 𝑓(0) =
𝑎(03)
3
− 16𝑎(0) + 𝑐 = 𝑐
ดังนั้น 𝑓(−2)+𝑓(−1)+𝑓(0)+𝑓(1)+𝑓(2)
5
=
𝑓(−2)+𝑓(2) + 𝑓(−1)+𝑓(1) + 𝑓(0)
5
=
2𝑐 + 2𝑐 + 𝑐
5
=
5𝑐
5
= 𝑐 = 𝑓(0) → ง. ถูก
(เมื่อ 𝑎 ≠ 0 → 𝑎2
จะเป็นบวกเสมอ)
ตัดกันได้ ตัดกันได้
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) 25
28. ถ้า 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่ทาให้ 2100
2100−𝑚
เป็นจานวนเต็มบวก
แล้วผลบวกของสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 99(299) 2. 100(299) + 1 3. 99(2100) + 1
4. 100(2100
) 5. 101(2101)
ตอบ 3
2100
− 𝑚 ต้องเป็นตัวประกอบที่เป็นบวก ของ 2100
ตัวประกอบที่เป็นบวกของ 2100
จะมี 20
, 21
, 22
, … , 299
, 2100
ดังนั้น 2100
− 𝑚 = 20
, 21
, 22
, … , 299
, 2100
𝑚 = 2100
− 20
, 2100
− 21
, 2100
− 22
, … , 2100
− 299
, 2100
− 2100
ดังนั้น ผลบวก 𝑚 = (2100
− 20
) + (2100
− 21
) + (2100
− 22
) + … + (2100
− 299
)
= 100(2100) − (20
+ 21
+ 22
+ ⋯ + 299)
= 100(2100) − (
299(2)−20
2−1
)
= 100(2100) − (2100
− 1)
= 100(2100) − 2100
+ 1
= 99(2100) + 1
29. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, … , 99, 100 } และ 𝐵 = { 𝑘 ∈ 𝐴 | (
cos
5𝜋
8
− 𝑖 sin
5𝜋
8
cos
3𝜋
4
− 𝑖 sin
3𝜋
4
)
𝑘
= 𝑖 } โดยที่ 𝑖2
= −1
จานวนสมาชิกของ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 7 3. 9 4. 11 5. 13
ตอบ 2
จัดรูปให้เป็นเชิงขั้วก่อน
cos
5𝜋
8
− 𝑖 sin
5𝜋
8
= cos
5𝜋
8
+ 𝑖 sin (−
5𝜋
8
) = cos (−
5𝜋
8
) + 𝑖 sin(−
5𝜋
8
) = cis (−
5𝜋
8
)
cos
3𝜋
4
− 𝑖 sin
3𝜋
4
= cos
3𝜋
4
+ 𝑖 sin (−
3𝜋
4
) = cos (−
3𝜋
4
) + 𝑖 sin(−
3𝜋
4
) = cis (−
3𝜋
4
)
ดังนั้น
cos
5𝜋
8
− 𝑖 sin
5𝜋
8
cos
3𝜋
4
− 𝑖 sin
3𝜋
4
=
cis(−
5𝜋
8
)
cis(−
3𝜋
4
)
= cis (−
5𝜋
8
− (−
3𝜋
4
)) = cis (
−5𝜋 + 6𝜋
8
) = cis
𝜋
8
แทนในสมการเงื่อนไขของ 𝐵 จะได้ (cis
𝜋
8
)
𝑘
= 𝑖
เงื่อนไขของ 𝐵 คือ 𝑘 ∈ 𝐴 ดังนั้น 1 ≤ 16𝑛 + 4 ≤ 100
ใช้ไม่ได้ ( 𝑚 ต้องเป็นบวก)
0, 1, … , 99 มี 100 ตัว
อนุกรมเรขาคณิต 𝑆 𝑛 =
𝑎 𝑛 𝑟 − 𝑎1
𝑟 − 1
sin(−𝜃) = − sin 𝜃
cos(−𝜃) = cos 𝜃เปลี่ยนให้เครื่องหมายตรงกลางเป็นบวก เปลี่ยนมุมให้ตรงกับมุมของ sin
cis
𝑘𝜋
8
= cis
𝜋
2
𝑘𝜋
8
= 2𝑛𝜋 +
𝜋
2
; เมื่อ 𝑛 เป็นจานวนเต็ม
𝑘 = 16𝑛 + 4
𝑖
−
3
16
≤ 𝑛 ≤
96
16
−
3
16
≤ 𝑛 ≤ 6 → 𝑛 = 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 → มีทั้งหมด 7 จานวน
26 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59)
30. กาหนดให้ 𝑆 = { −2 , −1 , 0 , 1 , 2 } 𝐴 = [
0 1
−1 1
] 𝑊 = { [
𝑎 𝑏
𝑐 𝑑
] | 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑆}
ถ้าสุ่มเมทริกซ์จากเซต 𝑊 มา 1 เมทริกซ์ แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เมทริกซ์ 𝐵 ซึ่ง 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 17
625
2. 19
625
3. 21
625
4. 23
625
5. 25
625
ตอบ 2
ให้ 𝐵 = [
𝑎 𝑏
𝑐 𝑑
] แทนในเงื่อนไจ 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 จะได้ [
0 1
−1 1
] [
𝑎 𝑏
𝑐 𝑑
] = [
𝑎 𝑏
𝑐 𝑑
] [
0 1
−1 1
]
เทียบสมาชิกตาแหน่งต่อตาแหน่ง จะได้ระบบสมการ
จะเห็นว่า (3) ซ้ากับ (1) และ (2) (แทน 𝑐 = −𝑏 จาก (1) ลงใน (3) จะได้ −𝑎 − 𝑏 = −𝑑
และ (4) ซ้ากับ (1) (เอา (4) มาตัด 𝑑 ทั้งสองข้าง จะได้เหมือน (1) )
ดังนั้น สนใจแค่ (1) และ (2) ก็พอ เพราะถ้า (1) กับ (2) จริง จะทาให้ (3) และ (4) จริงโดยอัตโนมัติ
และจาก 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ {−2, −1, 0, 1, 2} จะได้ 𝑎, 𝑏, 𝑐. 𝑑 ที่สอดคล้องกับ (1) และ (2) ดังนี้
กรณี 𝑏 = −2 : จาก (1) จะได้ 𝑐 = 2 และจาก (2) จะได้
กรณี 𝑏 = −1 : → 𝑐 = 1 และ กรณี 𝑏 = 0 : → 𝑐 = 0 และ
กรณี 𝑏 = 1 : → 𝑐 = −1 และ กรณี 𝑏 = 2 : → 𝑐 = −2 และ
รวมทุกกรณี จะได้จานวนแบบ = 3 + 4 + 5 + 4 + 3 = 19 แบบ → 𝑛(𝐸) = 19
หาจานวนแบบทั้งหมด 𝑛(𝑆) → 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 แต่ละตัวเป็น −2, −1, 0, 1, 2 ได้ตัวละ 5 แบบ
ดังนั้น 𝑛(𝑆) = 54
= 625 → จะได้ความน่าจะเป็น =
19
625
เครดิต
ขอบคุณ ข้อสอบ และเฉลยคาตอบ จาก อ.ปิ๋ง GTRmath
ขอบคุณ คุณ Chonlakorn Chiewpanich ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร
ขอบคุณ คุณ คณิต มงคลพิทักษ์สุข (นวย) ผู้เขียน Math E-book สาหรับเฉลยข้อ 16.
[
𝑐 𝑑
−𝑎 + 𝑐 −𝑏 + 𝑑
] = [
−𝑏 𝑎 + 𝑏
−𝑑 𝑐 + 𝑑
]
𝑐 = −𝑏 …(1)
𝑑 = 𝑎 + 𝑏 …(2)
−𝑎 + 𝑐 = −𝑑 …(3)
−𝑏 + 𝑑 = 𝑐 + 𝑑 …(4)
𝑎 + 𝑏 = 𝑑 → ซ้ากับ (2) )
𝑑 = 𝑎 − 2
−2 = 0 − 2
−1 = 1 − 2
0 = 2 − 2
𝑑 = 𝑎 − 1
−2 = −1 − 1
−1 = 0 − 1
0 = 1 − 1
1 = 2 − 1
𝑑 = 𝑎
−2 = −2
−1 = −1
0 = 0
1 = 1
2 = 2
𝑑 = 𝑎 + 1
−1 = −2 + 1
0 = −1 + 1
1 = 0 + 1
2 = 1 + 1
𝑑 = 𝑎 + 2
0 = −2 + 2
1 = −1 + 2
2 = 0 + 2
3 แบบ
3 แบบ
4 แบบ
4 แบบ 5 แบบ

Ctms15912

  • 1.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 1 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 59) วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2559 เวลา 8.30 - 10.00 น. ตอนที่ 1 แบบระบายตัวเลขที่เป็นคาตอบ จานวน 10 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน รวม 20 คะแนน 1. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) = 2𝑥3 + 𝑎𝑥2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบชอง 𝑃(𝑥) แล้ว 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 12 2. 24 3. 32 4. 40 5. 46 2. จานวนเต็มบวก 𝑛 > 2 ที่น้อยที่สุดที่หารด้วย 18 และ 24 แล้วเหลือเศษ 2 มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้ 1. [73, 77] 2. [78, 82] 3. [83, 87] 4. [88, 92] 5. [93, 97] 3. กาหนดให้ 𝐴, 𝐵 ∈ (0, 𝜋 2 ) ถ้า tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 แล้ว 𝐴 + 𝐵 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 𝜋 4 2. 𝜋 3 3. 3𝜋 4 4. 4𝜋 3 5. 5𝜋 4 12 Aug 2017
  • 2.
    2 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 4. ถ้า 𝑎⃑ = 2𝑖⃑ − 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑ และ 𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑ = 3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑ แล้ว (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −3 2. −2 3. 2 4. 3 5. 2√21 5. กาหนดให้จุด (6, 4) อยู่บนวงกลม C ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางสองเส้นของวงกลม C คือส่วนของเส้นตรง 2𝑥 + 𝑦 = 5 และ 𝑥 + 3𝑦 = 10 แล้วรัศมีของวงกลมยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. √21 หน่วย 2. √24 หน่วย 3. 5 หน่วย 4. √26 หน่วย 5. 6 หน่วย 6. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ log |𝑥 − 2|(𝑥−5) = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 4 2. 5 3. 6 4. 8 5. 9
  • 3.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 3 7. ถ้าผลการเรียนคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เป็นดังตารางต่อไปนี้ แล้วจานวนเปอร์เซ็นต์ของผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 68 2. 71 3. 74 4. 77 5. 80 8. กาหนดให้ 𝑆 = {1, 2, 3, … , 8, 9} 𝒲 = { 𝐴 | 𝐴 ⊂ 𝑆 และ 𝐴 มีสมาชิก 4 ตัว } ถ้าสุ่มหยิบเซตหนึ่งเซตจาก 𝒲 แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เซตที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 2 9 2. 1 3 3. 4 9 4. 1 2 5. 5 9 9. ความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะไปดูหนังและไปซื้อของในวันอาทิตย์เป็น 0.7 และ 0.6 ตามลาดับ ถ้าดวงพรจะทา กิจกรรมอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แล้วความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะทากิจกรรมทั้ง 2 อย่างเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0.1 2. 0.2 3. 0.3 4. 0.4 5. 0.5 คะแนนที่ได้ (จากคะแนนเต็ม 100) เกณฑ์การให้น้าหนัก ในการคิดคะแนน การบ้าน 85 20% สอบกลางภาค 65 40% สอบปลายภาค 70 40%
  • 4.
    4 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 10. ถ้าลาดับ 𝑎 𝑛 = (3+2𝑛)13(5+𝑛)2 (1−2𝑛)15 แล้ว n lim 𝑎 𝑛 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −1 2. − 1 2 3. − 1 4 4. 0 5. 1 2 ตอนที่ 2 แบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือก 1 คาตอบที่ถูกที่สุด จานวน 20 ข้อ ข้อละ 4 คะแนน รวม 80 คะแนน 11. ถ้า 𝑧 เป็นจานวนเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 𝑧 + | 𝑧̅−1 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 แล้ว |𝑧| มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 3 2. √10 3. √13 4. 2√5 5. 4 12. ให้ 𝐴 = { 𝑥 | 𝑥 เป็นจานวนเต็มที่อยู่ในช่วง [−10, 10] } 𝐵 = { 𝑥 | (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 } จานวนสมาชิกของ 𝐴 ∩ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 14 3. 16 4. 18 5. 21
  • 5.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 5 13. กาหนดให้ 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑛 โดยที่ 𝑛 หาร 3,399 แล้วเหลือเศษ 24 จานวนสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11 14. ไฮเพอร์โบลารูปหนึ่งมีโฟกัสอยู่ที่จุด (−7, 1) และ (5, 1) ถ้าเส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลานี้ขนานกับ เส้นตรง √2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลาคือข้อใดต่อไปนี้ 1. (𝑥+1)2 24 − (𝑦−1)2 12 = 1 2. (𝑥+1)2 12 − (𝑦−1)2 24 = 1 3. (𝑥−1)2 12 − (𝑦+1)2 24 = 1 4. (𝑥 + 1)2 − (𝑦−1)2 2 = 1 5. (𝑥 − 1)2 − (𝑦+1)2 2 = 1 15. กาหนดรูปสี่เหลี่ยม ABCD ดังรูป โดยมีด้าน BC, AC และ AD ยาวเท่ากับ 5, 7 และ 8 หน่วยตามลาดับ มี BÂD = 90° และ CB̂A = 120° พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ACD เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 22 ตารางหน่วย 2. 24 ตารางหน่วย 3. 28 ตารางหน่วย 4. 28√2 ตารางหน่วย 5. 28√3 ตารางหน่วย 120° A B C D 5 7 8
  • 6.
    6 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 16. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑣̅ = (sin 80° + sin20°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗ และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = sin 70° + sin10° แล้ว |𝑣̅|2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 1 2. 3 3. 5 4. 6 5. 7 17. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ (log 100𝑥)2 + 2 log100 𝑥 + 2 = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 11 1000 2. 101 1000 3. 11 100 4. 101 5. 110 18. กาหนดระบบสมการ 𝐴𝑋 = 𝐵 เมื่อ 𝐴 = [ 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 ] , 𝑋 = [ 𝑥 𝑦 𝑧 ] และ 𝐵 = [ 3 3 −4 ] ถ้า [ 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 3 3 −4 ] ~ [ 1 2 1 0 1 0 0 0 1 3 −3 5 ] แล้ว det(𝐴) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −8 2. −4 3. −1 4. 4 5. 8
  • 7.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 7 19. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎9 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมีผลต่างร่วม 𝑑 > 0 และ 𝑏1 , 𝑏2 , 𝑏3 , … , 𝑏9 เป็นลาดับเรขาคณิต ซึ่งมีอัตราส่วนร่วม 𝑟 > 0 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก. det [ 𝑎1 𝑎2 𝑎3 𝑎4 𝑎5 𝑎6 𝑎7 𝑎8 𝑎9 ] = 𝑑 ข. det [ 𝑏1 𝑏2 𝑏3 𝑏4 𝑏5 𝑏6 𝑏7 𝑏8 𝑏9 ] = 𝑟 ค. det [ 2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3 2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6 2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9 ] = 2 𝑑 ง. det [ 𝑏1 2 𝑏2 2 𝑏3 2 𝑏4 2 𝑏5 2 𝑏6 2 𝑏7 2 𝑏8 2 𝑏9 2 ] = 𝑟2 จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2 4. 3 5. 4 20. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 } จานวนสับเซต 𝐶 ของ 𝐴 ซึ่ง 𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 32 2. 48 3. 64 4. 80 5. 96 21. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 60 และ 10 คะแนน ตามลาดับ ถ้านักเรียนที่สอบได้คะแนนน้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13% แล้วนักเรียนที่สอบได้ 50 คะแนน จะมีตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 15.87 2. 24.13 3. 34.13 4. 47.61 5. 50
  • 8.
    8 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 22. ตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 40 คน เป็นดังนี้ ถ้าข้อมูลชุดนี้มีมัธยฐานเท่ากับ 17.5 คะแนน แล้วค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 16.50 คะแนน 2. 16.75 คะแนน 3. 17.25 คะแนน 4. 17.50 คะแนน 5. 17.75 คะแนน 23. ถ้า 𝑓 เป็นฟังก์ชันซึ่งมีกราฟดังรูป แล้ว 3 0  (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 6 2. 10 3. 12 4. 16 5. 32 24. ถ้า 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนาม และกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5 แล้ว 5 2  (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2 − 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 94 2. 104 3. 158 4. 258 5. 264 ช่วงคะแนน ความถี่ 1 – 5 6 – 10 11 – 15 16 – 20 21 – 25 26 – 30 4 𝑎 6 𝑏 10 4 0 1 3 Y X พื้นที่ 6 ตารางหน่วย พื้นที่ 16 ตารางหน่วย 𝑦 = 𝑓(𝑥)
  • 9.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 9 25. กาหนดให้ 𝑎 𝑛 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมี 𝑎1 = 2 และผลต่างร่วมเท่ากับ − 2 9 ถ้า 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛 แล้วจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ 𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11 26. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎 𝑛 , … เป็นอนุกรมเรขาคณิต ถ้า 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 = 211 9 และ    1i 𝑎𝑖 = 27 แล้วจานวนจริง 𝑥 ซึ่งทาให้ 11 1  i |𝑎𝑖 − 𝑥| มีค่าน้อยที่สุด เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 64 81 2. 1 3. 16 9 4. 32 27 5. 64 27 27. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนามดีกรีสาม ซึ่งมีค่าวิกฤตที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) < 0 ข. 𝑓(4√3) = 2𝑓(0) ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) = 2𝑓(0) ง. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ 𝑓(−2) , 𝑓(−1) , 𝑓(0) , 𝑓(1) , 𝑓(2) เท่ากับ 𝑓(0) จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2 4. 3 5. 4
  • 10.
    10 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 28. ถ้า 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่ทาให้ 2100 2100−𝑚 เป็นจานวนเต็มบวก แล้วผลบวกของสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 99(299) 2. 100(299) + 1 3. 99(2100) + 1 4. 100(2100 ) 5. 101(2101) 29. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, … , 99, 100 } และ 𝐵 = { 𝑘 ∈ 𝐴 | ( cos 5𝜋 8 − 𝑖 sin 5𝜋 8 cos 3𝜋 4 − 𝑖 sin 3𝜋 4 ) 𝑘 = 𝑖 } โดยที่ 𝑖2 = −1 จานวนสมาชิกของ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 5 2. 7 3. 9 4. 11 5. 13 30. กาหนดให้ 𝑆 = { −2 , −1 , 0 , 1 , 2 } 𝐴 = [ 0 1 −1 1 ] 𝑊 = { [ 𝑎 𝑏 𝑐 𝑑 ] | 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑆} ถ้าสุ่มเมทริกซ์จากเซต 𝑊 มา 1 เมทริกซ์ แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เมทริกซ์ 𝐵 ซึ่ง 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 17 625 2. 19 625 3. 21 625 4. 23 625 5. 25 625
  • 11.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 11 เฉลย 1. 5 7. 2 13. 5 19. 1 25. 3 2. 1 8. 5 14. 2 20. 5 26. 4 3. 3 9. 3 15. 1 21. 1 27. 4 4. 1 10. 3 16. 2 22. 1 28. 3 5. 4 11. 4 17. 1 23. 3 29. 2 6. 5 12. 2 18. 5 24. 4 30. 2 แนวคิด 1. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) = 2𝑥3 + 𝑎𝑥2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบชอง 𝑃(𝑥) แล้ว 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 12 2. 24 3. 32 4. 40 5. 46 ตอบ 5 𝑃(𝑥) เป็นพหุนามกาลังสาม ที่มี 𝑥 + 1 , 𝑥 + 2 และ 𝑥 + 3 เป็นตัวประกอบ ดังนั้น 𝑃(𝑥) ต้องอยู่ในรูป 𝑘(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3) เมื่อ 𝑘 เป็นจานวนจริง และจากพจน์กาลังสามของ 𝑃(𝑥) คือ 2𝑥3 ดังนั้น 𝑘 = 2 → 𝑃(𝑥) = 2(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3) จะกระจาย 𝑃(𝑥) แล้วเทียบสัมประสิทธิ์ก็ได้ แต่สังเกตว่าถ้าแทน 𝑥 = 1 ก็จะได้ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 ได้เหมือนกัน 2. จานวนเต็มบวก 𝑛 > 2 ที่น้อยที่สุดที่หารด้วย 18 และ 24 แล้วเหลือเศษ 2 มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้ 1. [73, 77] 2. [78, 82] 3. [83, 87] 4. [88, 92] 5. [93, 97] ตอบ 1 ต้องหาจานวนที่น้อยที่สุด ที่หารด้วย 18 และ 24 ลงตัว แล้วเอามาบวก 2 ก็จะทาให้หารแล้วเหลือเศษ 2 จานวนที่น้อยที่สุด ที่หารด้วย 18 และ 24 ลงตัว = ค.ร.น. ของ 18 และ 24 → จะได้ ค.ร.น. = 6 × 3 × 4 = 72 → จะได้ 𝑛 = 72 + 2 = 74 อยู่ในช่วงของ ข้อ 1. [73, 77] 3. กาหนดให้ 𝐴, 𝐵 ∈ (0, 𝜋 2 ) ถ้า tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 แล้ว 𝐴 + 𝐵 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 𝜋 4 2. 𝜋 3 3. 3𝜋 4 4. 4𝜋 3 5. 5𝜋 4 ตอบ 3 มี tan 𝐴 = 2 และ tan 𝐵 = 3 → สามารถหา tan(𝐴 + 𝐵) = tan 𝐴 + tan 𝐵 1 − tan 𝐴 tan 𝐵 = 2 + 3 1 − (2)(3) = 5 −5 = −1 และจาก 0 < 𝐴 < 𝜋 2 0 < 𝐵 < 𝜋 2 ดังนั้น 0 < 𝐴 + 𝐵 < 𝜋 จาก tan(𝐴 + 𝐵) = −1 จะได้ 𝐴 + 𝐵 = 3𝜋 4 𝑃(𝑥) = 2𝑥3 + 𝑎𝑥2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 = 2(𝑥 + 1)(𝑥 + 2)(𝑥 + 3) 2(13) + 𝑎(12) + 𝑏(1) + 𝑐 = 2(1 + 1)(1 + 2)(1 + 3) 2 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 48 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 46 แทน 𝑥 = 1 6 18 24 3 4
  • 12.
    12 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 4. ถ้า 𝑎⃑ = 2𝑖⃑ − 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑ และ 𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑ = 3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑ แล้ว (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −3 2. −2 3. 2 4. 3 5. 2√21 ตอบ 1 (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ (𝑎⃑ + 𝑏⃑⃑ + 𝑐⃑) 5. กาหนดให้จุด (6, 4) อยู่บนวงกลม C ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางสองเส้นของวงกลม C คือส่วนของเส้นตรง 2𝑥 + 𝑦 = 5 และ 𝑥 + 3𝑦 = 10 แล้วรัศมีของวงกลมยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. √21 หน่วย 2. √24 หน่วย 3. 5 หน่วย 4. √26 หน่วย 5. 6 หน่วย ตอบ 4 เส้นผ่านศูนย์กลางวงกลม จะตัดกันที่จุดศูนย์กลางวงกลมเสมอ → หาจุดตัดเส้นตรง จะได้จุดศุนย์กลางวงกลม = จุดตัดเส้นตรง = (1, 3) ดังนั้น รัศมี = ระยะจากจุดศุนย์กลาง ไปจุดไหนก็ได้บนวงกลม = ระยะจาก (1, 3) ไป (6, 4) = √(6 − 1)2 + (4 − 3)2 = √26 6. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ log |𝑥 − 2|(𝑥−5) = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 4 2. 5 3. 6 4. 8 5. 9 ตอบ 5 = (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑ + (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑏⃑⃑ + (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑐⃑ = (𝑎⃑ × 𝑎⃑) ∙ 𝑐⃑ + (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑ + (𝑐⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑ = 0̅ ∙ 𝑐⃑ + (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑ + 0̅ ∙ 𝑎⃑ = (𝑐⃑ × 𝑏⃑⃑) ∙ 𝑎⃑ = −(𝑏⃑⃑ × 𝑐⃑) ∙ 𝑎⃑ = −(3𝑖⃑ + 2𝑗⃑ − 𝑘⃑⃑) ∙ (2𝑖⃑− 𝑗⃑ + 𝑘⃑⃑) = −((3)(2) + (2)(−1) + (−1)(1)) = −3 กระจาย (𝑎⃑ × 𝑐⃑) ∙ ในการบวกเวกเตอร์ หมุน × และ ∙ ค่าไม่เปลี่ยน 𝑢⃑⃑ × 𝑢⃑⃑ = 0̅ 0̅ ∙ 𝑢⃑⃑ = 0 𝑢⃑⃑ × 𝑣⃑ = −(𝑢⃑⃑ × 𝑣⃑) 2𝑥 + 𝑦 = 5 …(1) 𝑥 + 3𝑦 = 10 …(2) (1) × 3 : 6𝑥 + 3𝑦 = 15 …(3) (3) − (2) : 5𝑥 = 5 𝑥 = 1 (1) : 2(1) + 𝑦 = 5 𝑦 = 3 ระยะระหว่าง (𝑥1, 𝑦1) และ (𝑥2, 𝑦2) = √(𝑥2 − 𝑥1)2 + (𝑦2 − 𝑦1)2 log |𝑥 − 2|(𝑥−5) = 0 |𝑥 − 2|(𝑥−5) = 100 |𝑥 − 2|(𝑥−5) = 1 log แบบไม่มีฐาน คือ log ฐาน 10
  • 13.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 13 ผลยกกาลัง เป็น 1 ได้ 3 กรณี คือ ฐาน = 1 , เลขชี้กาลัง = 0 (เมื่อ ฐาน ≠ 0) , (−1) 𝑐 เมื่อ 𝑐 เป็นเลขคู่ จะได้ผลบวกคาตอบ = 3 + 1 + 5 = 9 7. ถ้าผลการเรียนคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เป็นดังตารางต่อไปนี้ แล้วจานวนเปอร์เซ็นต์ของผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ ด.ช. จ้อย เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 68 2. 71 3. 74 4. 77 5. 80 ตอบ 2 จากสูตรค่าเฉลี่ยถ่วงน้าหนัก จะได้ = ∑ 𝑤 𝑖 𝑥 𝑖 ∑ 𝑤 𝑖 = (20)(85) + (40)(65) + (40)(70) 20 + 40 + 40 = 1700 + 2600 + 2800 100 = 7100 100 = 71 8. กาหนดให้ 𝑆 = {1, 2, 3, … , 8, 9} 𝒲 = { 𝐴 | 𝐴 ⊂ 𝑆 และ 𝐴 มีสมาชิก 4 ตัว } ถ้าสุ่มหยิบเซตหนึ่งเซตจาก 𝒲 แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เซตที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 2 9 2. 1 3 3. 4 9 4. 1 2 5. 5 9 ตอบ 5 𝑛(𝑆) = จานวนแบบทั้งหมด = จานวนสับเซตของ 𝑆 ที่มีสมาชิก 4 ตัว → เลือก 4 ตัว จากสมาชิกของ 𝑆 (ซึ่งมี 9 ตัว) จะเลือกได้ (9 4 ) แบบ 𝑛(𝐸) = จานวนแบบที่โจทย์สนใจ = จานวนสับเซตของ 𝑆 ที่มีสมาชิก 4 ตัว ที่ไม่มีเลข 9 เป็นสมาชิก → เหลือให้เลือกแค่ 1, 2, 3, … , 8 (ทั้งหมด 8 ตัว) เลือกมา 4 ตัว จะเลือกได้ (8 4 ) แบบ จะได้ความน่าจะเป็น = 𝑛(𝐸) 𝑛(𝑆) = (8 4) (9 4) = 8 ∙ 7 ∙ 6 ∙ 5 4 ∙ 3 ∙ 2 ∙ 1 9 ∙ 8 ∙ 7 ∙ 6 4 ∙ 3 ∙ 2 ∙ 1 = 5 9 9. ความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะไปดูหนังและไปซื้อของในวันอาทิตย์เป็น 0.7 และ 0.6 ตามลาดับ ถ้าดวงพรจะทา กิจกรรมอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แล้วความน่าจะเป็นที่ดวงพรจะทากิจกรรมทั้ง 2 อย่างเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0.1 2. 0.2 3. 0.3 4. 0.4 5. 0.5 ตอบ 3 จากโจทย์ จะได้ 𝑃(ดูหนัง) = 0.7 และ 𝑃 (ซื้อของ) = 0.6 ทาอย่างน้อย 1 อย่างแน่นอน แสดงว่า 𝑃 (ดูหนัง หรือ ซื้อของ) = 1 คะแนนที่ได้ (จากคะแนนเต็ม 100) เกณฑ์การให้น้าหนัก ในการคิดคะแนน การบ้าน 85 20% สอบกลางภาค 65 40% สอบปลายภาค 70 40% |𝑥 − 2| = 1 𝑥 − 2 = 1 , −1 𝑥 = 3 , 1 |𝑥 − 2| = −1 ค่าสัมบูรณ์เป็นลบไม่ได้ ไม่มีคาตอบ 𝑥 − 5 = 0 𝑥 = 5 ( 𝑥 = 5 จะได้ฐาน |𝑥 − 2| ≠ 0)
  • 14.
    14 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) ใช้สูตร Inclusive – Exclusive : 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵) จะได้ 𝑃 (ดูหนัง หรือ ซื้อของ) = 𝑃(ดูหนัง) + 𝑃 (ซื้อของ) − 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ) 1 = 0.7 + 0.6 − 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ) ดังนั้น 𝑃 (ดูหนัง และ ซื้อของ) = 0.3 10. ถ้าลาดับ 𝑎 𝑛 = (3+2𝑛)13(5+𝑛)2 (1−2𝑛)15 แล้ว n lim 𝑎 𝑛 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −1 2. − 1 2 3. − 1 4 4. 0 5. 1 2 ตอบ 3 จัดรูป 𝑎 𝑛 โดยดึง 𝑛 จากทั้งเศษและส่วนออกมาตัดกัน (3+2𝑛)13(5+𝑛)2 (1−2𝑛)15 = (𝑛( 3 𝑛 + 2)) 13 (𝑛( 5 𝑛 + 1)) 2 (𝑛( 1 𝑛 − 2)) 15 = 𝑛13 ( 3 𝑛 + 2) 13 𝑛2 ( 5 𝑛 + 1) 2 𝑛15 ( 1 𝑛 − 2) 15 = ( 3 𝑛 + 2) 13 ( 5 𝑛 + 1) 2 ( 1 𝑛 − 2) 15 → ดังนั้น n lim 𝑎 𝑛 = (0+2)13(0+1)2 (0−2)15 = 213 −215 = − 1 4 11. ถ้า 𝑧 เป็นจานวนเชิงซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 𝑧 + | 𝑧̅−1 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 แล้ว |𝑧| มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 3 2. √10 3. √13 4. 2√5 5. 4 ตอบ 4 จะได้ |𝑧| = √(−4)2 + 22 = √20 = 2√5 𝑧 + | 𝑧̅−1 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 𝑧 + | 𝑧̅−1̅ 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 𝑧 + | 𝑧−1̅̅̅̅̅̅ 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 𝑧 + | 𝑧−1̅̅̅̅̅̅ | | 𝑧−1 | = −3 + 2𝑖 𝑧 + 1 = −3 + 2𝑖 𝑧 = −4 + 2𝑖 สังยุคของจานวนจริง จะได้เท่าเดิม → 1̅ = 1 ดึงสังยุคออกนอกการลบ กระจายค่าสัมบูรณ์ในการคูณ จากสมมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ | 𝑧 − 1̅̅̅̅̅̅̅ | = | 𝑧 − 1 |
  • 15.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 15 12. ให้ 𝐴 = { 𝑥 | 𝑥 เป็นจานวนเต็มที่อยู่ในช่วง [−10, 10] } 𝐵 = { 𝑥 | (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 } จานวนสมาชิกของ 𝐴 ∩ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 14 3. 16 4. 18 5. 21 ตอบ 2 แก้หา 𝐵 → จะแบ่งกรณีให้รู้เครื่องหมายของ 𝑥 เพื่อใช้สมบติ |𝑥| = { 𝑥 , 𝑥 ≥ 0 −𝑥 , 𝑥 < 0 ในการถอดค่าสัมบูรณ์ กรณี 𝑥 ≥ 0 : กรณี 𝑥 < 0 : กรณีนี้คือ 𝑥 ≥ 0 → จะเหลือคาตอบคือ [4, ∞) กรณีนี้คือ 𝑥 < 0 → จะได้คาตอบคือ [−8, −2] รวมสองกรณี จะได้ 𝐵 = [−8, −2] ∪ [4, ∞) 𝐴 ∩ 𝐵 = เอา 𝐵 เฉพาะที่อยู่ในช่วง [−10, 10] → [−8, −2] จะมี 7 ตัว → [4, 10] จะมี 7 ตัว 13. กาหนดให้ 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑛 โดยที่ 𝑛 หาร 3,399 แล้วเหลือเศษ 24 จานวนสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11 ตอบ 5 แสดงว่า ถ้าเอา 3399 มาหักเศษ 24 ออก ผลที่เหลือจะต้องหารด้วย 𝑛 ลงตัว นั่นคือ 𝑛 ต้องหาร 3399 – 24 = 3375 ลงตัว เนื่องจาก 3375 แยกตัวประกอบได้เป็น 33 ∙ 53 ดังนั้น 𝑛 ต้องอยู่ในรูป 3 𝑎 ∙ 5 𝑏 เมื่อ 𝑎, 𝑏 ∈ {0, 1, 2, 3} จะเห็นว่าเลือก 𝑎 และ 𝑏 ได้ตัวละ 4 แบบ (คือ 0 ถึง 3) ดังนั้น จะมี 3 𝑎 ∙ 5 𝑏 ได้ทั้งหมด 4 × 4 = 16 แบบ นอกจากนี้จะเห็นว่า 𝑛 ต้องมากกว่า 24 ด้วย (ไม่งั้น 𝑛 จะหารแล้วเหลือเศษ 24 ไม่ได้) ดังนั้น ต้องหัก 3 𝑎 ∙ 5 𝑏 ที่ ≤ 24 ออกด้วย ซึ่งจะมี 30 ∙ 50 = 1 , 31 ∙ 50 = 3 , 32 ∙ 50 = 9 30 ∙ 51 = 5 , 31 ∙ 51 = 15 ทั้งหมด 5 แบบ → เหลือจานวนแบบ = 16 − 5 = 11 แบบ (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 (𝑥 + 5)( 𝑥 − 5) ≥ −9 𝑥2 − 25 ≥ −9 𝑥2 − 16 ≥ 0 (𝑥 + 4)(𝑥 − 4) ≥ 0 (𝑥 + 5)(|𝑥| − 5) ≥ −9 (𝑥 + 5)(−𝑥 − 5) ≥ −9 −𝑥2 − 5𝑥 − 5𝑥 − 25 ≥ −9 0 ≥ 𝑥2 + 10𝑥 + 16 0 ≥ (𝑥 + 8)(𝑥 + 2) −4 4 + − + −8 −2 + − + รวม 14 ตัว
  • 16.
    16 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 14. ไฮเพอร์โบลารูปหนึ่งมีโฟกัสอยู่ที่จุด (−7, 1) และ (5, 1) ถ้าเส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลานี้ขนานกับ เส้นตรง √2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลาคือข้อใดต่อไปนี้ 1. (𝑥+1)2 24 − (𝑦−1)2 12 = 1 2. (𝑥+1)2 12 − (𝑦−1)2 24 = 1 3. (𝑥−1)2 12 − (𝑦+1)2 24 = 1 4. (𝑥 + 1)2 − (𝑦−1)2 2 = 1 5. (𝑥 − 1)2 − (𝑦+1)2 2 = 1 ตอบ 2 จุดโฟกัสเรียงตัวในแนวนอน → เป็นไฮเพอร์โบลาแนวนอน ดังรูป จะได้รูปสมการคือ (𝑥−ℎ)2 𝑎2 − (𝑦−𝑘)2 𝑏2 = 1 จะได้ระยะโฟกัส 𝑐 = 5−(−7) 2 = 6 แทนในสูตร 𝑐2 = 𝑎2 + 𝑏2 โจทย์ให้เส้นกากับเส้นหนึ่งของไฮเพอร์โบลา (𝑥−ℎ)2 𝑎2 − (𝑦−𝑘)2 𝑏2 = 1 ขนานกับเส้นตรง แทน (2) ใน (1) จะได้ และ จุดศูนย์กลางต้องอยู่ตรงกลางระหว่างจุดโฟกัสทั้งสอง จะได้จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = ( −7+5 2 , 1+1 2 ) = (−1, 1) แทน 𝑎2 , 𝑏2 , ℎ , 𝑘 ใน (𝑥−ℎ)2 𝑎2 − (𝑦−𝑘)2 𝑏2 = 1 จะได้สมการไฮเพอร์โบลาคือ (𝑥+1)2 12 − (𝑦−1)2 24 = 1 15. กาหนดรูปสี่เหลี่ยม ABCD ดังรูป โดยมีด้าน BC, AC และ AD ยาวเท่ากับ 5, 7 และ 8 หน่วยตามลาดับ มี BÂD = 90° และ CB̂A = 120° พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ACD เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 22 ตารางหน่วย 2. 24 ตารางหน่วย 3. 28 ตารางหน่วย 4. 28√2 ตารางหน่วย 5. 28√3 ตารางหน่วย ตอบ 1 ใช้กฎของ cos กับ ∆ABC เพื่อหา BA → ถ้าให้ BA = 𝑥 จะได้ √2𝑥 − 𝑦 + 5 = 0 √2𝑥 + 5 = 𝑦 ความชัน = √2 จะได้เส้นกากับคือ (𝑥−ℎ)2 𝑎2 − (𝑦−𝑘)2 𝑏2 = 0 (𝑥−ℎ)2 𝑎2 = (𝑦−𝑘)2 𝑏2 𝑏2 𝑎2 (𝑥 − ℎ)2 = (𝑦 − 𝑘)2 ± 𝑏 𝑎 (𝑥 − ℎ) = 𝑦 − 𝑘 ความชัน = 𝑏 𝑎 , − 𝑏 𝑎 𝑏2 𝑎2 = 2 𝑏2 = 2𝑎2 …(2) 62 = 𝑎2 + 2𝑎2 36 = 3𝑎2 12 = 𝑎2 62 = 𝑎2 + 𝑏2 …(1) 𝐹1(−7, 1) 𝐹2(5, 1) → ขนานกัน ความชันจะเท่ากัน → 𝑏 𝑎 = √2 → แทนใน (2) จะได้ 𝑏2 = 2(12) = 24 72 = 𝑥2 + 52 − 2(𝑥)(5) cos 120° 49 = 𝑥2 + 25 − 10𝑥 (− 1 2 ) 120° A B C D 5 7 8
  • 17.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 17 ลากเส้นประเพิ่มดังรูป จะได้ EF = BE = 3 และจะได้ CB̂E เหลือ 120° − 90° = 30° ใน ∆CBE จะได้ sin30° = CE BC จะได้ CF = CE + EF = 2.5 + 3 = 5.5 ดังนั้น พื้นที่ ∆ACD = 1 2 × AD × CF = 1 2 × 8 × 5.5 = 22 16. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 เป็นจานวนจริง ถ้า 𝑣̅ = (sin 80° + sin20°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗ และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = sin 70° + sin10° แล้ว |𝑣̅|2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 1 2. 3 3. 5 4. 6 5. 7 ตอบ 2 ใช้สูตร sin 𝐴 + sin 𝐵 = 2 sin 𝐴+𝐵 2 cos 𝐴−𝐵 2 จัดรูปผลบวกของ sin ในโจทย์ก่อน ดังนี้ ดังนั้น 𝑣̅ = (√3 sin50°)𝑖⃗+ 𝑎𝑗⃗+ 𝑏𝑘⃑⃗ และ |𝑣̅ × 𝑖⃗| = √3 sin 40° จะเห็นว่า ถ้ามี |𝑣̅|2 cos2 𝜃 อีกตัวมาบวก จะดึง |𝑣̅|2 แล้วใช้สูตร sin2 𝜃 + cos2 𝜃 = 1 เพื่อหาสิ่งที่โจทย์ถามได้ ซึ่งเราหา |𝑣̅|2 cos2 𝜃 ได้จากการดอท → 𝑣̅ ∙ 𝑖⃗ = |𝑣̅||𝑖⃗| cos 𝜃 = |𝑣̅| cos 𝜃 เอา (1) + (2) จะได้ (ความยาว เป็นลบไม่ได้) 1 2 = CE 5 2.5 = CE 30° A B C D 5 7 E F 3 8 0 = 𝑥2 + 5𝑥 − 24 0 = (𝑥 − 3)(𝑥 + 8) 𝑥 = 3 , −8 โคฟังก์ชัน sin2 𝜃 + cos2 𝜃 = 1 sin80° + sin20° = 2 sin 80°+20° 2 cos 80°−20° 2 = 2 sin50° cos 30° = 2 sin50° √3 2 = √3 sin50° sin70° + sin10° = 2 sin 70°+10° 2 cos 70°−10° 2 = 2 sin40° cos 30° = 2 sin40° √3 2 = √3 sin40° |𝑣̅||𝑖⃗| sin 𝜃 = √3 sin40° |𝑣̅| sin 𝜃 = √3 sin40° |𝑣̅|2 sin2 𝜃 = 3 sin2 40° …(1) |𝑢̅ × 𝑣̅| = |𝑢̅||𝑣̅| sin 𝜃 𝑢̅ ∙ 𝑣̅ = |𝑢̅||𝑣̅| cos 𝜃 [ √3 sin50° 𝑎 𝑏 ] ∙ [ 1 0 0 ] = |𝑣̅| cos 𝜃 √3 sin50° = |𝑣̅| cos 𝜃 3 sin2 50° = |𝑣̅|2 cos2 𝜃 …(2) |𝑣̅|2 sin2 𝜃 + |𝑣̅|2 cos2 𝜃 = 3 sin2 40° + 3 sin2 50° |𝑣̅|2 (sin2 𝜃 + cos2 𝜃) = 3(sin2 40° + cos2 40°) |𝑣̅|2 = 3
  • 18.
    18 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 17. ผลบวกของคาตอบทั้งหมดของสมการ (log 100𝑥)2 + 2 log100 𝑥 + 2 = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 11 1000 2. 101 1000 3. 11 100 4. 101 5. 110 ตอบ 1 จะได้ผลบวกคาตอบ = 10−2 + 10−3 = 1 100 + 1 1000 = 10 + 1 1000 = 11 1000 18. กาหนดระบบสมการ 𝐴𝑋 = 𝐵 เมื่อ 𝐴 = [ 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 ] , 𝑋 = [ 𝑥 𝑦 𝑧 ] และ 𝐵 = [ 3 3 −4 ] ถ้า [ 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 3 3 −4 ] ~ [ 1 2 1 0 1 0 0 0 1 3 −3 5 ] แล้ว det(𝐴) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. −8 2. −4 3. −1 4. 4 5. 8 ตอบ 5 แปลง [ 1 2 1 0 1 0 0 0 1 3 −3 5 ] กลับเป็นระบบสมการ จะได้ จะเอา 𝑥, 𝑦, 𝑧 ไปแทนใน แล้วหา 𝑎, 𝑏, 𝑐 ก็ได้ แต่ใช้กฎของเครเมอร์กับค่า 𝑥 จะหา det(𝐴) ได้โดยตรง จาก [ 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 3 3 −4 ] ใช้กฎของเครเมอร์ จะได้ 𝑥 = | 3 2 1 3 0 −1 −4 2 −2 | | 𝑎 2 1 𝑏 0 −1 𝑐 2 −2 | 𝑥 + 2𝑦 + 𝑧 = 3 …(1) 𝑦 = −3 …(2) 𝑧 = 5 …(3) 𝑥 + 2(−3) + 5 = 3 𝑥 = 4 แทน (2), (3) ใน (1) : 4 = 0+8+6−0+6+12 det(𝐴) det(𝐴) = 32 4 = 8 (log 100𝑥)2 + 2 log100 𝑥 + 2 = 0 (log 100 + log 𝑥)2 + 2 log100 𝑥 + 2 = 0 log 𝑀𝑁 = log 𝑀 + log 𝑁 (log 102 + log 𝑥)2 + 2 log102 𝑥 + 2 = 0 (2 log 10 + log 𝑥)2 + 2 2 log10 𝑥 + 2 = 0 (2 + log 𝑥)2 + log 𝑥 + 2 = 0 𝐴2 + 𝐴 = 0 𝐴(𝐴 + 1) = 0 𝐴 = 0 , −1 2 + log 𝑥 = 0 , −1 log 𝑥 = −2 , −3 𝑥 = 10−2 , 10−3 log 𝑎 𝑏 𝑀 𝑁 = 𝑁 𝑏 log 𝑎 𝑀 log ไม่มีฐาน คือ ฐาน = 10 เปลี่ยนตัวแปร ให้ 2 + log 𝑥 = 𝐴
  • 19.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 19 19. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎9 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมีผลต่างร่วม 𝑑 > 0 และ 𝑏1 , 𝑏2 , 𝑏3 , … , 𝑏9 เป็นลาดับเรขาคณิต ซึ่งมีอัตราส่วนร่วม 𝑟 > 0 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก. det [ 𝑎1 𝑎2 𝑎3 𝑎4 𝑎5 𝑎6 𝑎7 𝑎8 𝑎9 ] = 𝑑 ข. det [ 𝑏1 𝑏2 𝑏3 𝑏4 𝑏5 𝑏6 𝑏7 𝑏8 𝑏9 ] = 𝑟 ค. det [ 2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3 2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6 2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9 ] = 2 𝑑 ง. det [ 𝑏1 2 𝑏2 2 𝑏3 2 𝑏4 2 𝑏5 2 𝑏6 2 𝑏7 2 𝑏8 2 𝑏9 2 ] = 𝑟2 จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2 4. 3 5. 4 ตอบ 1 ก. | 𝑎1 𝑎2 𝑎3 𝑎4 𝑎5 𝑎6 𝑎7 𝑎8 𝑎9 | 𝐶3 − 𝐶2 = | 𝑎1 𝑎2 𝑑 𝑎4 𝑎5 𝑑 𝑎7 𝑎8 𝑑 | 𝐶2 − 𝐶1 = | 𝑎1 𝑑 𝑑 𝑎4 𝑑 𝑑 𝑎7 𝑑 𝑑 | = 0 → ก. ผิด ข. | 𝑏1 𝑏2 𝑏3 𝑏4 𝑏5 𝑏6 𝑏7 𝑏8 𝑏9 | = | 𝑏1 𝑏1 𝑟 𝑏1 𝑟2 𝑏4 𝑏4 𝑟 𝑏4 𝑟2 𝑏7 𝑏8 𝑏9 | = 𝑏1 𝑏4 | 1 𝑟 𝑟2 1 𝑟 𝑟2 𝑏7 𝑏8 𝑏9 | = 0 → ข. ผิด ค. 2 𝑎1 , 2 𝑎2 , 2 𝑎3 , 2 𝑎4 , … คือ 2 𝑎1 , 2 𝑎1+𝑑 , 2 𝑎1+2𝑑 , 2 𝑎1+3𝑑 , … คือ 2 𝑎1 , 2 𝑎1 ∙ 2 𝑑 , 2 𝑎1 ∙ 22𝑑 , 2 𝑎1 ∙ 23𝑑 , … → เป็นลาดับเรขาคณิต (คูณเพิ่มทีละ 2 𝑑 ) ซึ่งจากข้อ ข. ถ้าเอาลาดับเรขาคณิตมาใส่เมทริกซ์ จะได้ det = 0 ดังนั้น | 2 𝑎1 2 𝑎2 2 𝑎3 2 𝑎4 2 𝑎5 2 𝑎6 2 𝑎7 2 𝑎8 2 𝑎9 | = 0 → ค. ผิด ง. 𝑏1 2 , 𝑏2 2 , 𝑏3 2 , 𝑏4 2 , … คือ 𝑏1 2 , (𝑏1 𝑟)2 , (𝑏1 𝑟2)2 , (𝑏1 𝑟3)2 , … คือ 𝑏1 2 , 𝑏1 2 𝑟2 , 𝑏1 2 𝑟4 , 𝑏1 2 𝑟6 , … → เป็นลาดับเรขาคณิต (คูณเพิ่มทีละ 𝑟2 ) ซึ่งจากข้อ ข. ถ้าเอาลาดับเรขาคณิตมาใส่เมทริกซ์ จะได้ det = 0 ดังนั้น | 𝑏1 2 𝑏2 2 𝑏3 2 𝑏4 2 𝑏5 2 𝑏6 2 𝑏7 2 𝑏8 2 𝑏9 2 | = 0 → ง. ผิด ลาดับเลขคณิต พจน์ที่ติดกัน จะห่างกัน = 𝑑 สองหลักเหมือนกัน → det = 0 ลาดับเรขาคณิต พจน์ที่ติดกัน จะคูณเพิ่มทีละ 𝑟 ดึง 𝑏1 ออกจากแถว 1 , ดึง 𝑏4 ออกจากแถว 2 สองแถวเหมือนกัน → det = 0
  • 20.
    20 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 20. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 } 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 } จานวนสับเซต 𝐶 ของ 𝐴 ซึ่ง 𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 32 2. 48 3. 64 4. 80 5. 96 ตอบ 5 𝐶 ∩ 𝐵 มีสมาชิก 2 ตัว → แสดงว่า ต้องเลือก 2 ตัวจาก 4 ตัวใน 𝐵 = { 3, 4, 5, 6 } มาไว้ใน 𝐶 → เลือกได้ (4 2 ) แบบ และเนื่องจาก 𝐶 ⊂ 𝐴 ดังนั้น สมาชิกส่วนที่เหลือของ 𝐶 ต้องมาจาก 𝐴 เท่านั้น ที่เหลือใน 𝐴 คือ 1, 2, 7, 8 มี 4 ตัว → แต่ละตัวเลือก เอา หรือ ไม่เอา ให้ 𝐶 ได้ตัวละ 2 แบบ → เลือกได้ 24 แบบ ดังนั้น จานวนแบบของ 𝐶 คือ (4 2 ) × 24 = 4 ∙ 3 2 × 16 = 96 21. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 60 และ 10 คะแนน ตามลาดับ ถ้านักเรียนที่สอบได้คะแนนน้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13% แล้วนักเรียนที่สอบได้ 50 คะแนน จะมีตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 15.87 2. 24.13 3. 34.13 4. 47.61 5. 50 ตอบ 1 ใช้สูตร 𝑧𝑖 = 𝑥 𝑖 − 𝑥̅ 𝑠 แปลง 70 คะแนน เป็นค่ามาตรฐาน จะได้ 𝑧 = 70 − 60 10 = 1 โจทย์ให้ น้อยกว่า 70 คะแนน มี 84.13% แสดงว่า พื้นที่ทางซ้าย 𝑧 = 1 คือ 0.8413 จะได้ พื้นที่จากแกนกลางถึง 𝑧 = 1 คือ 0.8413 − 0.5 = 0.3413 ดังรูป แปลง 50 คะแนนเป็นค่ามาตรฐาน จะได้ 𝑧 = 50 − 60 10 = −1 จากความสมมาตร จะได้พื้นที่จากแกนกลางถึง 𝑧 = −1 คือ 0.3413 ด้วย ดังนั้น จะเหลือพื้นที่ทางซ้าย = 0.5 − 0.3413 = 0.1587 ดังนั้น จะมี 15.87% ได้น้อยกว่า 50 คะแนน → ตรงกับ 𝑃15.87 1 0.8413 1 = 0.8413 – 0.5 = 0.3413 −1 0.3413 = 0.5 − 0.3413 = 0.1587
  • 21.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 21 22. ตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 40 คน เป็นดังนี้ ถ้าข้อมูลชุดนี้มีมัธยฐานเท่ากับ 17.5 คะแนน แล้วค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 16.50 คะแนน 2. 16.75 คะแนน 3. 17.25 คะแนน 4. 17.50 คะแนน 5. 17.75 คะแนน ตอบ 1 สร้างช่องความถี่สะสมดังรูป โจทย์ให้จานวนนักเรียน = 40 คน → 24 + 𝑎 + 𝑏 = 40 มัธยฐาน = 17.5 อยู่ในช่วง 16 – 20 จะได้ จากสูตรมัธยฐาน Med = 𝐿 + ( 𝑁 2 − 𝐹 𝐿 𝑓 𝑀𝑒𝑑 ) 𝐼 หา 𝑥̅ → ประมาณแต่ละชั้นด้วยจุดกึ่งกลางชั้น ช่วงคะแนน ความถี่ 1 – 5 6 – 10 11 – 15 16 – 20 21 – 25 26 – 30 4 𝑎 6 𝑏 10 4 𝐿 = 15.5 𝐼 = 20.5 – 15.5 = 5 𝑓 𝑀𝑒𝑑 = 𝑏 𝐹𝐿 = 10 + 𝑎 𝑎 = 16 − 𝑏 …(∗) ช่วงคะแนน ความถี่ ความถี่สะสม 1 – 5 6 – 10 11 – 15 16 – 20 21 – 25 26 – 30 4 𝑎 6 𝑏 10 4 4 4 + 𝑎 10 + 𝑎 10 + 𝑎 + 𝑏 20 + 𝑎 + 𝑏 24 + 𝑎 + 𝑏 17.5 = 15.5 + ( 40 2 − (10+𝑎) 𝑏 ) (5) 2 = ( 20 − (10+16−𝑏) 𝑏 ) (5) 2𝑏 = (20 − 26 + 𝑏)(5) 2𝑏 = −30 + 5𝑏 30 = 3𝑏 10 = 𝑏 จาก (∗) → แทนใน (∗) : 𝑎 = 16 − 10 = 6 ช่วงคะแนน ความถี่ (𝑓𝑖) จุดกึ่งกลางชั้น (𝑥𝑖) 𝑓𝑖 𝑥𝑖 1 – 5 6 – 10 11 – 15 16 – 20 21 – 25 26 – 30 4 6 6 10 10 4 3 8 13 18 23 28 12 48 78 180 230 112 660 จะได้ 𝑥̅ = ∑ 𝑓𝑖 𝑥 𝑖 𝑁 = 660 40 = 16.5
  • 22.
    22 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 23. ถ้า 𝑓 เป็นฟังก์ชันซึ่งมีกราฟดังรูป แล้ว 3 0  (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 6 2. 10 3. 12 4. 16 5. 32 ตอบ 3 แบ่งการอินทิเกรตเป็นช่วง เพื่อให้รู้เครื่องหมายบวกลบ แล้วใช้สมบัติ |𝑎| = { 𝑎 , 𝑎 ≥ 0 −𝑎 , 𝑎 < 0 ถอดค่าสัมบูรณ์ 3 0  (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 = 1 0  ( |𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 + 3 1  (|𝑓(𝑥)| − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 = 1 0  (−𝑓(𝑥) − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 + 3 1  ( 𝑓(𝑥) − 𝑓(𝑥)) 𝑑𝑥 = 1 0  −2𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 + 3 1  0 𝑑𝑥 = −2 1 0  𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 + 0 = −2 (−6) = 12 24. ถ้า 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนาม และกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5 แล้ว 5 2  (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2 − 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 94 2. 104 3. 158 4. 258 5. 264 ตอบ 4 โจทย์ให้กราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ตัดกับกราฟของ 𝑦 = 3𝑥 − 4 ที่ 𝑥 = 2 และ 𝑥 = 5 พิจารณาค่าที่โจทย์ถาม จะเห็นว่ามี 2𝑥 และ 𝑥2 − 1 → ถ้าให้ 𝑢 = 𝑥2 − 1 จะได้ 𝑢′ = 2𝑥 ให้ 𝑣 = 𝑓(𝑥) จะได้ 2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2 − 1)𝑓′(𝑥) = (𝑢′)(𝑣) + (𝑢)(𝑣′) = (𝑢𝑣)′ ดังนั้น 5 2  (2𝑥𝑓(𝑥) + (𝑥2 − 1)𝑓′(𝑥)) 𝑑𝑥 = 𝑢𝑣 | 5 2 = (𝑥2 − 1)𝑓(𝑥) | 5 2 = (52 − 1)𝑓(5) − (22 − 1)𝑓(2) = (24) (11) − (3) (2) = 258 0 1 3 Y X พื้นที่ 6 ตารางหน่วย พื้นที่ 16 ตารางหน่วย 𝑦 = 𝑓(𝑥) จากกราฟ ช่วง (0, 1) → 𝑓(𝑥) เป็นลบ ดังนั้น |𝑓(𝑥)| = −𝑓(𝑥) ช่วง (1, 3) → 𝑓(𝑥) เป็นบวก ดังนั้น |𝑓(𝑥)| = 𝑓(𝑥) จากกราฟ (พื้นที่ใต้ แกน X จะเป็นลบ) สูตรดิฟผลคูณ จาก (∗) ที่ 𝑥 = 2 จะได้ 𝑦 = 3(2) − 4 = 2 ที่ 𝑥 = 5 จะได้ 𝑦 = 3(5) − 4 = 11 แสดงว่า 𝑓(2) = 2 และ 𝑓(5) = 11 ด้วย …(∗)
  • 23.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 23 25. กาหนดให้ 𝑎 𝑛 เป็นลาดับเลขคณิต ซึ่งมี 𝑎1 = 2 และผลต่างร่วมเท่ากับ − 2 9 ถ้า 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛 แล้วจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่น้อยที่สุดที่ทาให้ 𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 7 2. 8 3. 9 4. 10 5. 11 ตอบ 3 26. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎 𝑛 , … เป็นอนุกรมเรขาคณิต ถ้า 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 = 211 9 และ    1i 𝑎𝑖 = 27 แล้วจานวนจริง 𝑥 ซึ่งทาให้ 11 1  i |𝑎𝑖 − 𝑥| มีค่าน้อยที่สุด เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 64 81 2. 1 3. 16 9 4. 32 27 5. 64 27 ตอบ 4 จากสูตรอนุกรมเรขาคณิตอนันต์ จะได้    1i 𝑎𝑖 = 𝑎1 1−𝑟 = 27 …(∗) และจากสูตรอนุกรมเรขาคณิต จะได้ 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + 𝑎4 + 𝑎5 = 𝑎1(1−𝑟5) 1−𝑟 = 211 9 จากสมบัติของค่ากลางในเรื่องสถิติ 11 1  i |𝑎𝑖 − 𝑥| จะมีค่าน้อยที่สุด เมื่อ 𝑥 = มัธยฐานของข้อมูล 𝑎1 , 𝑎2 , … , 𝑎11 มีข้อมูล 11 ตัว → มัธยฐานอยู่ตัวที่ 𝑁+1 2 = 11+1 2 = 6 → มัธยฐาน = 𝑎6 ซึ่งจากสูตรลาดับเรขาคณิต 𝑎 𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 จะได้ 𝑎6 = 𝑎1 𝑟6−1 = 9 ( 2 3 ) 5 = 25 33 = 32 27 𝑏1 ∙ 𝑏2 ∙ 𝑏3 ∙ … ∙ 𝑏 𝑚 ≥ 1024 2 𝑎1 ∙ 2 𝑎2 ∙ 2 𝑎3 ∙ … ∙ 2 𝑎 𝑚 ≥ 1024 2 𝑎1+𝑎2+𝑎3+ … +𝑎 𝑚 ≥ 210 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎 𝑚 ≥ 10 𝑚 2 (2𝑎1 + (𝑚 − 1)𝑑) ≥ 10 𝑚 2 (2(2) + (𝑚 − 1) (− 2 9 )) ≥ 10 2𝑚 − 𝑚2−𝑚 9 ≥ 10 18𝑚 − (𝑚2 − 𝑚) ≥ 90 0 ≥ 𝑚2 − 19𝑚 + 90 0 ≥ (𝑚 − 9)(𝑚 − 10) จาก 𝑏 𝑛 = 2 𝑎 𝑛 ฐาน 2 เหมือนกัน คูณกัน → เอาเลขชี้กาลังมาบวกกัน ตัดฐาน 2 ทั้งสองข้าง (ฐาน > 1 → ไม่ต้องกลับ มากกว่า ↔ น้อยกว่า) จากสูตรอนุกรมเลขคณิต โจทย์ให้ 𝑎1 = 2 , 𝑑 = − 2 9 9 10 + − + จะได้ 𝑚 ∈ [9, 10] → จานวนเต็มบวก 𝑚 น้อยสุด = 9 27(1 − 𝑟5 ) = 211 9 1 − 𝑟5 = 211 243 32 243 = 𝑟5 2 3 = 𝑟 จาก (∗) → แทนใน (∗) จะได้ 𝑎1 1− 2 3 = 27 𝑎1 = 27(1 − 2 3 ) = 9
  • 24.
    24 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 27. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็นฟังก์ชันพหุนามดีกรีสาม ซึ่งมีค่าวิกฤตที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) < 0 ข. 𝑓(4√3) = 2𝑓(0) ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) = 2𝑓(0) ง. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ 𝑓(−2) , 𝑓(−1) , 𝑓(0) , 𝑓(1) , 𝑓(2) เท่ากับ 𝑓(0) จานวนข้อความที่ถูกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 0 (ไม่มีข้อความใดถูก) 2. 1 3. 2 4. 3 5. 4 ตอบ 4 จาก 𝑓(𝑥) มีดีกรี 3 จะได้ 𝑓′(𝑥) มีดีกรี 2 ค่าวิกฤตเกิดที่ 𝑥 = 4 และ 𝑥 = −4 ดังนั้น สมการ 𝑓′(𝑥) = 0 มีคาตอบคือ 4, −4 จะได้ 𝑓′(𝑥) ต้องอยู่ในรูป 𝑎(𝑥 + 4)(𝑥 − 4) = 𝑎𝑥2 − 16𝑎 เมื่อ 𝑎 เป็นจานวนจริงใดๆ ที่ 𝑎 ≠ 0 ดิฟต่อจะได้ 𝑓′′(𝑥) = 2𝑎𝑥 อินทิเกรตจะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥3 3 − 16𝑎𝑥 + 𝑐 ก. 𝑓′′(−4) ∙ 𝑓′′(4) = 2𝑎(−4) ∙ 2𝑎(4) = −64𝑎2 < 0 → ก. ถูก ข. 𝑓(4√3) = 𝑎(4√3) 3 3 − 16𝑎(4√3) + 𝑐 2𝑓(0) = 2 ( 𝑎(03) 3 − 16𝑎(0) + 𝑐) = 64√3𝑎 − 64√3𝑎 + 𝑐 = 2( 𝑐) = 𝑐 = 2𝑐 จะเห็นว่า 𝑐 ≠ 2𝑐 ดังนั้น 𝑓(4√3) ≠ 2𝑓(0) → ข. ผิด ค. 𝑓(−4) + 𝑓(4) = 𝑎(−4)3 3 − 16𝑎(−4) + 𝑐 + 𝑎(4)3 3 − 16𝑎(4) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐 เท่ากับ 2𝑓(0) ที่เคยทา ในข้อ ข. → ค. ถูก ง. ค่าเฉลี่ย = 𝑓(−2) + 𝑓(−1) + 𝑓(0) + 𝑓(1) + 𝑓(2) 5 สังเกตว่า 𝑥 ทุกตัวที่อยู่ใน 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥3 3 − 16𝑎𝑥 + 𝑐 ถูกยกกาลังคี่ ( 𝑥3 , 𝑥1 ) ดังนั้น 𝑓(𝑘) กับ 𝑓(−𝑘) จะตัดกันได้เสมอ (เหมือนกับ 𝑓(−4) + 𝑓(4) ในข้อ ค.) 𝑓(−2) + 𝑓(2) = 𝑎(−2)3 3 − 16𝑎(−2) + 𝑐 + 𝑎(2)3 3 − 16𝑎(2) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐 𝑓(−1) + 𝑓(1) = 𝑎(−1)3 3 − 16𝑎(−1) + 𝑐 + 𝑎(1)3 3 − 16𝑎(1) + 𝑐 → ตัดกันเหลือ 𝑐 + 𝑐 = 2𝑐 และ 𝑓(0) = 𝑎(03) 3 − 16𝑎(0) + 𝑐 = 𝑐 ดังนั้น 𝑓(−2)+𝑓(−1)+𝑓(0)+𝑓(1)+𝑓(2) 5 = 𝑓(−2)+𝑓(2) + 𝑓(−1)+𝑓(1) + 𝑓(0) 5 = 2𝑐 + 2𝑐 + 𝑐 5 = 5𝑐 5 = 𝑐 = 𝑓(0) → ง. ถูก (เมื่อ 𝑎 ≠ 0 → 𝑎2 จะเป็นบวกเสมอ) ตัดกันได้ ตัดกันได้
  • 25.
    วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1(ธ.ค. 59) 25 28. ถ้า 𝑆 เป็นเซตของจานวนเต็มบวก 𝑚 ที่ทาให้ 2100 2100−𝑚 เป็นจานวนเต็มบวก แล้วผลบวกของสมาชิกของ 𝑆 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 99(299) 2. 100(299) + 1 3. 99(2100) + 1 4. 100(2100 ) 5. 101(2101) ตอบ 3 2100 − 𝑚 ต้องเป็นตัวประกอบที่เป็นบวก ของ 2100 ตัวประกอบที่เป็นบวกของ 2100 จะมี 20 , 21 , 22 , … , 299 , 2100 ดังนั้น 2100 − 𝑚 = 20 , 21 , 22 , … , 299 , 2100 𝑚 = 2100 − 20 , 2100 − 21 , 2100 − 22 , … , 2100 − 299 , 2100 − 2100 ดังนั้น ผลบวก 𝑚 = (2100 − 20 ) + (2100 − 21 ) + (2100 − 22 ) + … + (2100 − 299 ) = 100(2100) − (20 + 21 + 22 + ⋯ + 299) = 100(2100) − ( 299(2)−20 2−1 ) = 100(2100) − (2100 − 1) = 100(2100) − 2100 + 1 = 99(2100) + 1 29. กาหนดให้ 𝐴 = { 1, 2, 3, … , 99, 100 } และ 𝐵 = { 𝑘 ∈ 𝐴 | ( cos 5𝜋 8 − 𝑖 sin 5𝜋 8 cos 3𝜋 4 − 𝑖 sin 3𝜋 4 ) 𝑘 = 𝑖 } โดยที่ 𝑖2 = −1 จานวนสมาชิกของ 𝐵 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 5 2. 7 3. 9 4. 11 5. 13 ตอบ 2 จัดรูปให้เป็นเชิงขั้วก่อน cos 5𝜋 8 − 𝑖 sin 5𝜋 8 = cos 5𝜋 8 + 𝑖 sin (− 5𝜋 8 ) = cos (− 5𝜋 8 ) + 𝑖 sin(− 5𝜋 8 ) = cis (− 5𝜋 8 ) cos 3𝜋 4 − 𝑖 sin 3𝜋 4 = cos 3𝜋 4 + 𝑖 sin (− 3𝜋 4 ) = cos (− 3𝜋 4 ) + 𝑖 sin(− 3𝜋 4 ) = cis (− 3𝜋 4 ) ดังนั้น cos 5𝜋 8 − 𝑖 sin 5𝜋 8 cos 3𝜋 4 − 𝑖 sin 3𝜋 4 = cis(− 5𝜋 8 ) cis(− 3𝜋 4 ) = cis (− 5𝜋 8 − (− 3𝜋 4 )) = cis ( −5𝜋 + 6𝜋 8 ) = cis 𝜋 8 แทนในสมการเงื่อนไขของ 𝐵 จะได้ (cis 𝜋 8 ) 𝑘 = 𝑖 เงื่อนไขของ 𝐵 คือ 𝑘 ∈ 𝐴 ดังนั้น 1 ≤ 16𝑛 + 4 ≤ 100 ใช้ไม่ได้ ( 𝑚 ต้องเป็นบวก) 0, 1, … , 99 มี 100 ตัว อนุกรมเรขาคณิต 𝑆 𝑛 = 𝑎 𝑛 𝑟 − 𝑎1 𝑟 − 1 sin(−𝜃) = − sin 𝜃 cos(−𝜃) = cos 𝜃เปลี่ยนให้เครื่องหมายตรงกลางเป็นบวก เปลี่ยนมุมให้ตรงกับมุมของ sin cis 𝑘𝜋 8 = cis 𝜋 2 𝑘𝜋 8 = 2𝑛𝜋 + 𝜋 2 ; เมื่อ 𝑛 เป็นจานวนเต็ม 𝑘 = 16𝑛 + 4 𝑖 − 3 16 ≤ 𝑛 ≤ 96 16 − 3 16 ≤ 𝑛 ≤ 6 → 𝑛 = 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 → มีทั้งหมด 7 จานวน
  • 26.
    26 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์1 (ธ.ค. 59) 30. กาหนดให้ 𝑆 = { −2 , −1 , 0 , 1 , 2 } 𝐴 = [ 0 1 −1 1 ] 𝑊 = { [ 𝑎 𝑏 𝑐 𝑑 ] | 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑆} ถ้าสุ่มเมทริกซ์จากเซต 𝑊 มา 1 เมทริกซ์ แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้เมทริกซ์ 𝐵 ซึ่ง 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้ 1. 17 625 2. 19 625 3. 21 625 4. 23 625 5. 25 625 ตอบ 2 ให้ 𝐵 = [ 𝑎 𝑏 𝑐 𝑑 ] แทนในเงื่อนไจ 𝐴𝐵 = 𝐵𝐴 จะได้ [ 0 1 −1 1 ] [ 𝑎 𝑏 𝑐 𝑑 ] = [ 𝑎 𝑏 𝑐 𝑑 ] [ 0 1 −1 1 ] เทียบสมาชิกตาแหน่งต่อตาแหน่ง จะได้ระบบสมการ จะเห็นว่า (3) ซ้ากับ (1) และ (2) (แทน 𝑐 = −𝑏 จาก (1) ลงใน (3) จะได้ −𝑎 − 𝑏 = −𝑑 และ (4) ซ้ากับ (1) (เอา (4) มาตัด 𝑑 ทั้งสองข้าง จะได้เหมือน (1) ) ดังนั้น สนใจแค่ (1) และ (2) ก็พอ เพราะถ้า (1) กับ (2) จริง จะทาให้ (3) และ (4) จริงโดยอัตโนมัติ และจาก 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ {−2, −1, 0, 1, 2} จะได้ 𝑎, 𝑏, 𝑐. 𝑑 ที่สอดคล้องกับ (1) และ (2) ดังนี้ กรณี 𝑏 = −2 : จาก (1) จะได้ 𝑐 = 2 และจาก (2) จะได้ กรณี 𝑏 = −1 : → 𝑐 = 1 และ กรณี 𝑏 = 0 : → 𝑐 = 0 และ กรณี 𝑏 = 1 : → 𝑐 = −1 และ กรณี 𝑏 = 2 : → 𝑐 = −2 และ รวมทุกกรณี จะได้จานวนแบบ = 3 + 4 + 5 + 4 + 3 = 19 แบบ → 𝑛(𝐸) = 19 หาจานวนแบบทั้งหมด 𝑛(𝑆) → 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 แต่ละตัวเป็น −2, −1, 0, 1, 2 ได้ตัวละ 5 แบบ ดังนั้น 𝑛(𝑆) = 54 = 625 → จะได้ความน่าจะเป็น = 19 625 เครดิต ขอบคุณ ข้อสอบ และเฉลยคาตอบ จาก อ.ปิ๋ง GTRmath ขอบคุณ คุณ Chonlakorn Chiewpanich ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ขอบคุณ คุณ คณิต มงคลพิทักษ์สุข (นวย) ผู้เขียน Math E-book สาหรับเฉลยข้อ 16. [ 𝑐 𝑑 −𝑎 + 𝑐 −𝑏 + 𝑑 ] = [ −𝑏 𝑎 + 𝑏 −𝑑 𝑐 + 𝑑 ] 𝑐 = −𝑏 …(1) 𝑑 = 𝑎 + 𝑏 …(2) −𝑎 + 𝑐 = −𝑑 …(3) −𝑏 + 𝑑 = 𝑐 + 𝑑 …(4) 𝑎 + 𝑏 = 𝑑 → ซ้ากับ (2) ) 𝑑 = 𝑎 − 2 −2 = 0 − 2 −1 = 1 − 2 0 = 2 − 2 𝑑 = 𝑎 − 1 −2 = −1 − 1 −1 = 0 − 1 0 = 1 − 1 1 = 2 − 1 𝑑 = 𝑎 −2 = −2 −1 = −1 0 = 0 1 = 1 2 = 2 𝑑 = 𝑎 + 1 −1 = −2 + 1 0 = −1 + 1 1 = 0 + 1 2 = 1 + 1 𝑑 = 𝑎 + 2 0 = −2 + 2 1 = −1 + 2 2 = 0 + 2 3 แบบ 3 แบบ 4 แบบ 4 แบบ 5 แบบ