ความรู้พื้นฐานในการวิจัย
การวิจัยคือการศึกษาอย่างเป็นระบบ และ มีระเบียบแบบแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่มีความถูกต้องเชื่อถือได้  สำหรับคำถามวิจัยที่กำหนดไว้  เพื่อความรู้ใหม่ซึ่งทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการ และเกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หัวใจของการวิจัย คือ“ตถตา”มันเป็นเช่นนั้นเองโว้ย!             (พุทธทาสภิกขุ)
วิธีการในการแสวงหาความรู้-เชื่อต่อๆกันมา(TRADITION)-เชื่อผู้มีอำนาจ (AUTHORITY)-เชื่อสัญชาตญาณ (INTUITION)-วิธีลองผิดลองถูก (TRIAL / ERROR) -วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC     METHOD)
Research/Scientific  ProcessPROBLEMHYPOTHESISTEST (DATA COLLECTION)ANALYSIS  OF  RESULTSCONCLUSIONYES             NO
จุดมุ่งหมายของการทำวิจัย๑. เพราะเป็นหน้าที่๒. เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ๓. เพื่อใช้ขอตำแหน่งทางวิชาการ๔. เพื่อเป็นรายได้๕. เพื่อให้ได้ความรู้
บูรณาการของขบวนการวิจัยบริการการสอน
เป้าหมายของการวิจัยแกัปัญหาความรู้      ใหม่การเรียนรู้
การจำแนกชนิดของการวิจัย1.ตามวัตถุประสงค์/เป้าหมาย 1.1 วิจัยพื้นฐาน (Basic  Research)1. 2 วิจัยประยุกต์ (Applied  Research)
2. ตามลักษณะของวิธีวิจัย2.1 การวิจัยภูมิหลัง (Historical)2.2 การวิจัยค้นหาข้อมูลเบื้องต้น (Exploratory)2.3 การวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive)2.4 การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical)
3. ตามกระบวนการเก็บข้อมูล3.1 การวิจัยแบบสังเกต (Observational)ก. Participatory Action Researchข. Non-Participatory Action Research 3.2 การวิจัยแบบสำรวจ (Survey)3.3 การวิจัยแบบทดลอง (Experimental)
4. ตามวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และการอธิบายผล4.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative)4.2 การวิจัยเชิงปริมาณ Quantitative)
5.ตามวัตถุประสงค์/เป้าหมาย/ผล 5.1 วิจัยพื้นฐาน (Basic  Research)5. 2 วิจัยประยุกต์ (Applied  Research)
6.ตามวิธีเก็บรวบรวมข้อมูล1.การศึกษาย้อนหลัง(Retrospective   Study)2. การศึกษาไปข้างหน้า(Prospective    Study)
 PROSPECTIVE/COHORT  RETROSPECTIVECROSS-SECTIONAL  STUDYEXPERIMENTALRETROSPECTIVE - PROSPECTIVE
PROSPECTIVE / COHORT  STUDYADVANTAGES:- KNOW  INCIDENCE,  NATURAL  HISTORY- LESS  DATA  BIAS- KNOW  OTHER  OUTCOMESDISADVANTAGES:- LARGE  NUBER  OF  SUBJECTS- LONG  FOLLOW-UP  TIME- EXPENSIVE- DIFFICULT  TO  CONTROL  EXTRANEOUS  FACTORS- POSSIBLE  BIAS  IN OUTCOME  ASSESSMENT.
RETROSPECTIVE / CASE-CONTROLADVANTAGES:- CAN  STUDY  THE  RARE  CONDITIONS- LESS  EXPENSIVE,  LESS  ETHICAL  PROBLEMS- NEED  LESS  SUBJECTS- INFORMATIONS  ARE  ALREADY  AVAILABLE- CAN  STUDY  MANY  EXPOSURES  DISADVANTAGES:- CAN  NOT  ASSESS  THE  TRUE  INCIDENCE- CAN  NOT  STUDY  THE  DISEASE  MECHANISM - PROBLEM  OF  SELECTING  CONTROL  SUBJECTS   AND  EXTRANEOUS  FACTORS.
7.ตามลักษณะของสิ่งที่ศึกษา7.1 วิจัยเอกสาร (Literary  Research)7.2 วิจัยคลินิก (Clinical  Research)7.3 วิจัยทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory    Research)
7.4 วิจัยด้วยสัตว์ทดลอง (Animal       Research)7.5 วิจัยชุมชน(Community      Research)7.6 วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Operational      Research)
8.ตามความลึกซึ้งของกระบวนการ8.1 Exploratory  Studya. Literature  Surveyb. Experience  Surveyc. Analysis  of  Insight-Stimulation     : New  Situation,  Marginal,        Transitional, Abnormal.
8.2 Descriptive/Observational       Studya. Cases, Situation  Studyb. Population (Whole  or Sample Study)
8.3 Analytical,  Correlational      Studya. Categorize  on theoretical,  practical,     empirical  grounds        b.  Generalize
8.4 Experimental  Studya. “After-only” experimentb.  “Before-After” experiment        - Single  group        - One  or  more  controls
9. ตามระดับของการควบคุม9.1 กรณีศึกษา (Case Study)9.2 วิจัยเอกสาร(Documentary)9.3 การวิจัยสนาม (Field Study)9.4 การสำรวจ (Survey Study)9.5 วิจัยเชิงปฏิบัติ (Action Res)9.6 วิจัยเชิงทดลอง (Experimental)
10. ตามสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้อง10.1 Monodisciplinary10.2 Interdisciplinary10.3 multidisciplinary
ความถูกต้องของการวิจัย(VALIDITY  OR  ACCURACY)1  INTERNAL  VALIDITY.  เป็นความถูกต้องของงานวิจัยในประชากรที่นำมาศึกษา (อาจจะนำไปใช้กับกลุ่มอื่นได้หรือ ไม่ได้)2  EXTERNAL  VALIDITY.  เป็นความถูกต้องของงานวิจัยที่สามารถนำผลไปใช้ได้ทั่วไป (GENERALIZATION).
ERRORVALIDITY
ความผิดพลาดในการวิจัย (Error)- คือความคลาดเคลื่อนของผลการวิจัย จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประชากร- แบ่งออกเป็น 2 ประเภท1. SYSTEMATIC  ERROR.2. RANDOM  ERROR,  BY CHANCE
1. ความคลาดเคลื่อนอย่างเป็นระบบ(SYSTEMATIC  ERROR)เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากอคติ (BIAS) - มีโอกาสเกิดความแปรปรวนไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากกว่า- มีโอกาสเกิดขึ้นได้เท่ากันในทุกกลุ่มของประชากร  และ- เกิดขึ้นได้แทบทุกขั้นตอนของการวิจัย.
อคติ หรือความเอนเอียง (BIAS)เกิดขึ้นได้บ่อยมาก แทบทุกขั้นตอนของการวิจัย โดยเฉพาะ ตั้งแต่  PLANNING, DESIGN,  POPULATION,  CONDUCT, SAMPLING,  TESTS,  ANALYSIS,  INTERPRETATION,  PUBLICATION.
2. ความคลาดเคลื่อนแบบสุ่ม,สิ่งรบกวน(RANDOM  ERROR  OR  NOISE)- มีโอกาสเกิดความแปรปรวนได้เท่าๆกันทุกทิศทาง- เกิดได้ในทุกกลุ่มประชากร- เกิดได้ทั้งในขั้นตอนการคัดเลือกตัวอย่างการวิจัย (SAMPLING  ERROR) และในขั้นตอนการเก็บข้อมูล- สามารถประเมินขนาดของความผิดพลาดได้โดยวิธีการทางสถิติ.
ความเที่ยง หรือความแม่นยำ (PRECISION)คือ ความสามารถของการวิจัยที่ได้ผลการศึกษาไกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด……….XSYSTEMATIC  ERROR. .. … . … . ...XRANDOM  ERROR. .  .  .   .  .  . .  . .  . . …  ..    . . . .X
Steps  in  Research  Practice1. SELECTION  OF  TOPICS2. INFORMATION  RETRIEVAL3. FORMULATION  OF  THEORY4. FORMULATION  OF  VARIABLES5. FORMULATION  OF  HYPOTHESIS 6. RESEARCH  DESIGN,  PROTOCOL
Steps  in  Reasearch  Practice7.  POPULATION, SAMPLING  8.  INSTRUMENTS, PROCEDURE  9.  PILOT  STUDY10. REVISION  OF  RESEARCH  PLAN   AND  PROTOCOL11. TESTING, DATA COLLECTION12. DATA  MANAGEMENT
13. DATA  ANALYSIS,  STATISTICS.14. INTERPRETATION, CONCLUSION.  15. PRESENTATION, PUBLICATION.
งานวิจัยที่ได้รับความสนใจ๑. ทันสมัย เหมาะกับสถานะการณ์๒. สามารถนำไปใช้ได้ทันที๓. มีประโยชน์ต่อกลุ่มประชากรที่กำลังต้อง    การความช่วยเหลือ๔. ปรับปรุงเครื่องมือ วิธีการ  วิเคราะห์ข้อ    เท็จจริง  ทำให้นำไปใช้ประโยชน์ได้ดี
คุณลักษณะของนักวิจัย๑. มีความสงสัย๒. มีวิจารณญาณ๓. มีใจกว้าง๔. ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ๕. มีความซื่อสัตย์๖. ขยันหมั่นเพียร๗. มีความสุขกับการทำงาน.
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้นักวิจัยประสบความสำเร็จ๑. มีศรัทธาที่จะทำงานวิจัย๒. มีความวิริยะ อุตสาหะ๓. มีผู้ร่วมงานที่ดี๔. การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา๕. ช่วงจังหวะเวลา ที่เหมาะสมกับแผนงาน
การเลือก RESEARCH  TOPIC A. ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดแนวความคิดเกี่ยวกับ     RESEARCH  QUESTION   B. แหล่งที่มาของ RESEARCH  QUESTION.
A. ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดRESEARCH  QUESTION1.ปรากฏการณ์ (PHENOMENA)2. ความสนใจอยากรู้ (CURIOSITY)3. แนวความคิดตามทฤษฎี (THEORETICAL    CONCEPT)4. อุดมการณ์ (IDEOLOGY)
B. แหล่งที่มาของRESEARCH  QUESTION1. ความสนใจส่วนตัว2. ข้อมูลข่าวสารจากผู้มีประสบการณ์3. สิ่งตีพิมพ์4. การประชุม,  สัมมนา
5. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทาง   สังคม และ เทคโนโลยี6. ผลจากการปฏิบัติงาน7. ผู้ให้ทุนวิจัย
จรรยาบรรณของนักวิจัยจรรยาบรรณหมายถึง “ หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรม และ จริยธรรมในการประกอบอาชีพ  ที่แต่ละสาขาวิชาชีพนั้นๆ  ประมวลขี้นไว้เป็นหลักให้สมาชิกปฏิบัติ เพื่อรักษาชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณของวิชาชีพของตน
HUMAN  EXPERIMENTATION….การใช้มนุษย์เป็นเครื่องทดลอง การปฏิบัติการใดๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บที่สังคมยังไม่รับรอง.
ผลเสียของการวิจัยเกินขอบเขต๑. ด้านมนุษยธรรม       - ผู้ป่วยไม่ทราบข้อเท็จจริง       - ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน
๒. ด้านมนุษยสัมพันธ์๓. ด้านเศรษฐกิจของผู้ป่วย  ครอบครัว    และสังคม๔. ด้านธรรมชาติ
จริยธรรมในการวิจัยข้อพิจารณา๑. ประเมินประโยชน์ และโทษที่อาจได้รับ๒. การคุ้มครองผู้ถูกทดลอง จากอันตราย    ที่อาจจะเกิดขึ้น๓. จริยธรรมของการเขียนรายงาน.
๑. ประเมินประโยชน์ และโทษที่อาจได้รับ๑.๑ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ      หรือไม่ ว่า “ Research  Question”เหมาะสมกับสถานการณ์ ๑.๒ มีความจำเป็นต้องใช้มนุษย์ในการ      ทดลองหรือไม่?๑.๓ โทษที่อาจจะเกิดจากการวิจัย มี?
๑. ประเมินประโยชน์ และโทษที่อาจได้รับ๑.๔ ประโยชน์ที่จะได้จากการวิจัย มี? ๑.๕ ผู้ถูกทดลองสามารถให้การยินยอม     โดยรู้ตัว และเต็มใจ หรือไม่?๑.๖ กรรมการจริยธรรม เห็นด้วยหรือไม่?
๒. การคุ้มครองผู้ถูกทดลองจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น๒.๑ อธิบายประโยชน์ และโทษ ให้ผู้ถูก      ทดลองทราบ๒.๒ ยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร๒.๓ รักษาความลับของผู้ป่วย๒.๔ ผู้วิจัยมีความสามารถ
จรรยาบรรณนักวิจัย9 ประการสภาวิจัยแห่งชาติ
๑. ซื่อสัตย์ และมีคุณธรรมในทางวิชาการ    และการจัดการ๒. ตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงาน     วิจัย๓. ต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่    ทำวิจัย๔. ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษา
๕. ต้องเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์    ที่ใชัเป็นตัวอย่างในการศึกษาวิจัย๖. ต้องมีอิสระทางความคิด  ปราศจากอคติ    ในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย๗. นำผลงานไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ๘. เคารพความเห็นทางวิชาการของผู้อื่น๙. มีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ.

Mt research