Upload
Download free for 30 days
Login
Submit Search
การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์ผลงานมิวสิกเพลง วีดีโอ ด้วยโปรแกรมต่างๆ
Download as DOCX, PDF
0 likes
629 views
leemeanshun minzstar
การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์ผลงานมิวสิกเพลง วีดีโอ ด้วยโปรแกรมต่างๆ
Education
Read more
1 of 36
Download now
Download to read offline
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
More Related Content
PDF
TEDx Manchester: AI & The Future of Work
Volker Hirsch
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
TEDx Manchester: AI & The Future of Work
Volker Hirsch
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
More from leemeanshun minzstar
(20)
PDF
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
DOCX
โฮมเพจวารสาร
leemeanshun minzstar
DOCX
เหนือ ท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
เหนือ เที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
เหนือ ท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
โรงเรียนมัธยมสังคีตวิทยา กรุงเทพมหานคร
leemeanshun minzstar
DOCX
ภาคเหนือ เที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
ภาคตะวันออก เที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
การท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
ภาคตะวันตก เที่ยว
leemeanshun minzstar
DOCX
การจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
leemeanshun minzstar
DOCX
กลยุทธ์การจัดการความรู้สำหรับการรับประกันคุณภาพ
leemeanshun minzstar
DOCX
Wiki
leemeanshun minzstar
DOCX
Wiki (บันทึกอัตโนมัติ)
leemeanshun minzstar
DOCX
Rm tqm1
leemeanshun minzstar
DOCX
Rm tqm1.
leemeanshun minzstar
DOCX
Rm tqm
leemeanshun minzstar
DOCX
Kms
leemeanshun minzstar
DOCX
Iisd
leemeanshun minzstar
PDF
Constitution2550
leemeanshun minzstar
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล
leemeanshun minzstar
โฮมเพจวารสาร
leemeanshun minzstar
เหนือ ท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
เหนือ เที่ยว
leemeanshun minzstar
เหนือ ท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
โรงเรียนมัธยมสังคีตวิทยา กรุงเทพมหานคร
leemeanshun minzstar
ภาคเหนือ เที่ยว
leemeanshun minzstar
ภาคตะวันออก เที่ยว
leemeanshun minzstar
การท่องเที่ยว
leemeanshun minzstar
ภาคตะวันตก เที่ยว
leemeanshun minzstar
การจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
leemeanshun minzstar
กลยุทธ์การจัดการความรู้สำหรับการรับประกันคุณภาพ
leemeanshun minzstar
Wiki
leemeanshun minzstar
Wiki (บันทึกอัตโนมัติ)
leemeanshun minzstar
Rm tqm1
leemeanshun minzstar
Rm tqm1.
leemeanshun minzstar
Rm tqm
leemeanshun minzstar
Kms
leemeanshun minzstar
Iisd
leemeanshun minzstar
Constitution2550
leemeanshun minzstar
การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์ผลงานมิวสิกเพลง วีดีโอ ด้วยโปรแกรมต่างๆ
1.
การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์ผลงานมิวสิกเพลง วีดีโอ ด้วยโปรแกรมต่างๆ ถ้าจะพูดถึงในโลกออนไลน์ในปัจจุบัน ก็จะมีดีเจจานวนมากแจ้งเกิดในแวดวงออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งสามารถแบ่งเป็นดีเจได้หลายแบบเลยทีเดียว ทั้งดีเจตามห้องต่างๆเช่นแคมฟร็อกการีน่าซึ่งเราก็จะเห็นหน้าตาและรูปร่างรวมทั้งอื่นๆของดีเจแต่ละคนที่มีบุคลิกแตกต่างกัน ดีเจตามวิทยุทางเน็ทดีเจตามผับดีเจรีมิกซ์เพลงในเว็บชื่อดังเช่นovermix
zo2 ncc dnc เป็นต้น หรือดีเจรีมิกเพลงชื่อดังทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติชาวไทยอาทิmthzt4ikunz โยชิ อมดู อมตัง ซัมเมอร์ เมาดีฟ dj checkdj nu ลียอนซุนเป็นต้น ชาวต่างชาติอาทิavicii bl3ndtestto ซึ่งดีเจ(DJย่อมาจากDisc Jokey) อีกหนึ่งอาชีพดนตรี ที่มีภาพลักษณ์สุดเท่ห์หมุนแผ่นอยู่หลังคอนโซลคอยปรับนู่นปรับนี่ 1. เปิดแผ่นคืองานหลัก เปิดเพลงให้คนฟังเป็นงานหลัก มีการเอาเพลงมาต่อกันให้เนียนที่เรียกว่าการ “Mix”หรือ“Mixing” โดยอาจจะมีการใส่Effectเพิ่มสีสันเข้าไปนิดๆหน่อยๆแต่ไม่ได้เป็นคนสร้างเพลงใหม่ขึ้นมาแต่อย่างใด 2. DJ แบ่งย่อยออกเป็นหลายสาย เช่นDJ จัดรายการวิทยุหรือDJ ที่เปิดแผ่นตามคลับ ซึ่งแบ่งยิบย่อยไปตามแนวดนตรีที่ถนัดต่างๆอีกอาทิHouse DJ,Hip-hopDJ แต่โดยเนื้อแท้แล้วคือการเปิดเพลงเพื่อEntertain ผู้คนเหมือนกัน 3. สายสแครชต้องHip-hopDJ ในจานวน DJ หลายสายHip-hopDJ จะดูหวือหวามากที่สุด เพราะนิยมเปิดแผ่นพร้อมสร้างสีสันไปด้วยโดยการเพิ่มลูกเล่น“การสแครช”หรือ“การเกาแผ่น”(Scratching) ซึ่งถ้าใครหลงใหลการ Scratch จนถือเป็นอีกเครื่องดนตรีหนึ่งก็แนะนาให้ลงลึกในสายนี้ 4. Remix ไม่ใช่Mix ที่เห็น DJ บางคนเอาเพลงที่มีอยู่แล้วมาทาดนตรีใหม่แต่งเติมเพิ่มเข้าไปนั้นเรียกว่าการ “Remix” ซึ่งคนที่ทา Remix เรียกว่า“Remixer”(อย่าสับสนกับการMix ที่เป็นการต่อเพลง) 5. มี DJ ที่เป็นศิลปินด้วย? DJ บางคนก็สร้างเพลงใหม่ขึ้นมาเป็นของตัวเองเลยกลายสถานะเป็นศิลปินซึ่งเป็น DJ ที่มีความสามารถทางการประพันธ์ดนตรี เป็นMusic Composerอยู่ในตัวด้วย 6. DJ คือDJ ไม่ใช่นักทาเพลง ทั้งการRemix และการComposeเพลงขึ้นมาใหม่โดยเนื้อแท้แล้วคืองานของMusic Composer(นักประพันธ์ดนตรี หรือนักเรียบเรียงเสียงประสาน)ถ้าใครอยากทาอะไรพวกนี้ไม่แนะนาให้เรียน DJ แต่ให้เรียนวิชาดนตรี จะถูกต้องตรงตามความต้องการมากกว่า 7. Fake DJ มีอยู่เกลื่อน เครื่องไม้เครื่องมือปัจจุบันสามารถทาหน้าที่มิกซ์เพลงแทนDJได้ทุกอย่าง การรีมิกซ์เพลงคืออะไรคาศัพท์น่ารู้แยกออกมาเป็นดังนี้ Re หมายถึง อีกครั้ง ทาใหม่ ย้อนกลับ ย้อนหลัง Mix หมายถึง ผสม รวม ปนกัน ทาให้เป็นเนื้อเดียวผสมพันธ์ เพลงหมายถึงถ้อยคาที่นักประพันธ์เรียงร้อยหรือเรียบเรียงขึ้นซึ่งประกอบด้วยเนื้อร้องทานอง จังหวะ ทาให้เกิดความไพเราะสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ฟังมีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ ทั้งด้านการเลือกสรรคาที่ใช้ในการแต่ง การเรียบเรียงประโยคและการใช้โวหารเพลงนั้นอาจให้ข้อคิดแก่ผู้ฟังในการดาเนินชีวิตด้วยสาเนียงขับร้องทานองดนตรี กระบวนวิธีราระบาโดยเพลงสร้างสรรค์จากเครื่องดนตรีหรือการขับร้อง ดนตรี (music)คือ เสียงและโครงสร้างที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งมนุษย์ใช้ประกอบกิจกรรมศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง(ซึ่งรวมถึงท่วงทานองและเสียงประสาน)จังหวะและคุณภาพเสียง(ความต่อเนื่องของเสี
2.
ยง พื้นผิวของเสียงความดังค่อย)นอกจากดนตรีจะใช้ในด้านศิลปะได้แล้วยังสามารถใช้ในด้านสุนทรียศาสตร์ การสื่อสาร ความบันเทิงรวมถึงใช้ในงานพิธีการต่างๆได้ ประเภทของดนตรี
แบ่งออกเป็นดังนี้ ดนตรีไทย ดนตรีสากล ดนตรีโฟล์กดนตรีคลาสสิกดนตรีสวิงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ดนตรียุคโรแมนติก ดนตรีไทยเป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศต่างๆเช่นอินเดีย, จีน, อินโดนีเซียและอื่นๆ เครื่องดนตรีมี4 ประเภทดีด สี ตี เป่า ประวัติ ในสมัยกรุงสุโขทัยดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลานาและร้องเล่นวรรณคดี"ไตรภูมิพระร่วง"กล่าวถึงเครื่องดนตรี ได้แก่ ฆ้อง กลอง ฉิ่งแฉ่ง(ฉาบ) บัณเฑาะว์พิณซอปี่ไฉน ระฆัง กรับและกังสดาล สมัยกรุงศรีอยุธยามีวงปี่พาทย์ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้าเหมือนเช่นสมัยกรุงสุโขทัยแต่เพิ่มระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงปี่พาทย์จึงประกอบด้วยระนาดเอกปี่ในฆ้องวงใหญ่ กลองทัด ตะโพนฉิ่ง ส่วนวงมโหรีพัฒนาจากวงมโหรีเครื่องสี่ เป็นมโหรีเครื่องหกเพิ่มขลุ่ยและรามะนารวมเป็นมีซอสามสายกระจับปี่ ทับ (โทน)รามะนาขลุ่ยและกรับพวง ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มจากรัชกาลที่1เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก1ลูกรวมเป็น2 ลูกตัวผู้เสียงสูงตัวเมียเสียงต่า รัชกาลที่ 2ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสายคู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้ าฟาด และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยบุหลันลอยเลื่อนรัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้าพัฒนามาจากเปิงมางของมอญพอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอกและฆ้องวงเล็กให้คู่กับฆ้องวงใหญ่ รัชกาลที่4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่พร้อมการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก รัชกาลที่5สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงคิดค้นวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ประกอบการแสดงละครดึกดาบรรพ์ในรัชกาลที่ 6 นาวงดนตรีของมอญเข้าผสมเรียกวงปี่พาทย์มอญโดยหลวงประดิษฐไพเราะ(ศรศิลปบรรเลง) มีการนาอังกะลุงเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรกและนาเครื่องดนตรีต่างชาติเช่นขิมออร์แกนของฝรั่งมาผสมเป็นวงเครื่องสายผสม แล้วจึงเป็นดนตรีไทยที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบันนี้ทั้งความแตกต่างระหว่างวงต่างๆผู้ประพันธ์ท่านต่างๆ เพลงดนตรีไทย แบ่งได้เป็น 4 แบบคือ เพลงหน้าพาทย์ ได้แก่เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงต่างๆทั้งของมนุษย์ ของสัตว์ของวัตถุต่างๆอื่น ๆ เพลงขับร้องที่เรียกว่าเพลงรับร้องก็ด้วยบรรเลงรับจากการร้องคือเมื่อคนร้องได้ร้องจบไปแล้วแต่ละท่อน ดนตรีก็ต้องบรรเลงรับในท่อนนั้นๆโดยมากมักเป็นเพลงอัตรา 3ชั้นและเพลงเถาเช่นเพลงจระเข้หางยาว 3ชั้นเพลงสี่บท3 ชั้น และเพลงบุหลันเถาเป็นต้น เพลงละครหมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบการแสดงโขนละครและมหรสพต่างๆซึ่งหมายเฉพาะเพลงที่มีรัองและดนตรีรับเท่า นั้นเพลงละครได้แก่เพลงอัตรา2ชั้นเช่น เพลงเวสสุกรรมเพลงพญาโศกหรือชั้นเดียวเช่นเพลงนาคราชเพลงตะลุ่มโปงเป็นต้น เพลงเบ็ดเตล็ดได้แก่ เพลงเล็กๆสั้นๆ สาหรับใช้บรรเลงเป็นพิเศษเช่นบรรเลงต่อท้ายเพลงใหญ่เป็นเพลงลูกบทหรือเพลงภาษา ต่าง ๆซึ่งบรรเลงเพื่อสนุกสนาน ดนตรีสากลเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก เริ่มจากการที่ชาวยุโรปมีการบันทึกทานองเพลงที่เป็นแบบแผนเดียวกันโดยใช้สัญลักษณะที่เรียกว่าโน้ตสากล และใช้กับเครื่องดนตรีสากลที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ประวัติความเป็นมาของดนตรีสากล
3.
ดนตรีสากลเป็นดนตรีประเภทหนึ่งที่ชาวตะวันตกได้นามาเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก จึงทาให้ชนหลายชาติหลายภาษาสามารถเล่นดนตรีสากลได้เครื่องดนตรีสากลที่ใช้กันในชนชาติต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานเดียวกันชนิดเดียวกันมีการบันทึกทานองเพลงโดยใช้สัญลักษณ์เดียวกัน ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้บันทึกทานองเพลงเรียกว่าโน้ตสากล โน้ตสากลใช้เพื่อบันทึกทานองเพลงเพื่อกันลืมและเป็นการกาหนดทานองเพลงว่าจะใช้เสียงสั้นยาวเพียงใด หรือเน้นเสียงหนักเบาตรงช่วงใดนอกจากนี้โน้ตสากลยังมีความหมายอื่นๆ อีกมากมายรูปแบบของดนตรีสากลในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็จะแตกต่างกันออกไป ดนตรีสากลได้พัฒนาทั้งรูปแบบของเพลงและเครื่องดนตรีมาสู่ยุคปัจจุบันเป็นที่นิยมทั่วโลก ดนตรีโฟล์ก:Folkmusic)มีความหมายที่แตกต่างหลากหลายอาทิ เพลงพื้นบ้านหรือเพลงท้องถิ่น(Traditionalmusic)ซึ่งมักจะจัดอยู่ในดนตรีประเภทเวิลด์มิวสิกด้วย ดนตรีโฟล์กสามารถหมายถึงดนตรีที่นาดนตรีพื้นบ้านมาประกอบในดนตรีร่วมสมัยโดยมักจะแสดงโดยนักดนตรีอาชีพ แนวเพลงใกล้เคียงเช่นโฟล์กร็อก,อีเลกทริกโฟล์กและโพรเกสซีฟโฟล์ก ในวัฒนธรรมอเมริกาดนตรีโฟล์กจะมีความหมายถึงดนตรีแนว อเมริกันโฟล์กมิวสิกรีไววอล(Americanfolkmusicrevival) ตัวอย่างเช่นศิลปินอย่างวูดีกัธรี,ลีดเบลลี,พีทซีเกอร์,แรมบลิน แจ็ก
เอลเลียต,บ็อบ ดีแลน,ฟิล ออชส์, ทอม แพกซ์ทันและโจนแอน บาเอซที่ได้รับความนิยมและช่วยส่งเสริมในการเขียนเนื้อเพลงในทศวรรษ 1950และ1960 ที่ทาให้เกิดแนวเพลงอย่างอิงลิชโฟล์กรีไววอลในทศวรรษ1960มีตัวอย่างศิลปินเช่นแม็กนาคาร์ทา,แฟร์พอร์ตคอนเวนชัน,สตีเลย์ สแปน, ราล์ฟแม็กเทลล์,โดนาแวนและฟลีตวูดแม็ก ดนตรีคลาสสิก(Classicalmusic)เป็นรูปแบบหนึ่งของดนตรี ซึ่งมักจะหมายถึงดนตรีที่เป็นศิลปะของตะวันตก การแสดงดนตรีคลาสสิกจะใช้เครื่องดนตรี 4กลุ่มกลุ่มแรกคือเครื่องสาย(String) แบ่งออกเป็น ไวโอลินวิโอลาเชลโลและดับเบิลเบสกลุ่มที่สองคือ เครื่องลมไม้ (Woodwind) เช่นฟลูต คลาริเน็ตโอโบบาสซูน ปิคโคโลกลุ่มที่สามคือเครื่องลมทองเหลือง (Brass) เช่นทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบา เฟรนช์ฮอร์นกลุ่มที่สี่คือ เครื่องกระทบ(Percussion)เช่นกลองทิมปานีฉาบกลองใหญ่ (Bass Drum)กิ๋ง(Triangle)เมื่อเล่นรวมกันเป็นวงเรียกว่าวงดุริยางค์หรือออร์เคสตรา(Orchestra)ซึ่งมีผู้อานวยเพลง(conductor) เป็นผู้ควบคุมวง ประวัติและเวลา ดนตรีคลาสสิกแบ่งออกเป็นยุคดังนี้ ยุคกลาง(Medieval or MiddleAge) พ.ศ. 1019 -พ.ศ. 1943)ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคกลาง หรือดนตรียุคกลางถือว่าเป็นจุดกาเนิดของดนตรีคลาสสิกเริ่มต้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.1019(ค.ศ. 476) ซึ่งเป็นปีล่มสลายของจักรวรรดิโรมันดนตรีในยุคนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา คาดกันว่ามีต้นกาเนิดมาจากดนตรีในยุคกรีกโบราณรูปแบบเพลงในยุคนี้เน้นที่การร้องโดยเฉพาะเพลงสวด(Chant) ในตอนปลายของยุคกลางเริ่มมีการร้องเพลงแบบสอดทานองประสานด้วย ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) พ.ศ.1943 -พ.ศ. 2143)เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงศิลปะและฟื้นฟูศิลปะโบราณยุคโรมันและกรีกแต่ดนตรียังคงเน้นหนักไปทางศาสนา เพียงแต่เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายขึ้นลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายยุคกลางในสมัยศิลป์ ใหม่ เพลงร้องยังคงนิยมกันแต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น
4.
ยุคบาโรค(Baroque)พ.ศ. 2143- พ.ศ.
2293)ยุคนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีการกาเนิดอุปรากรในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2143 (ค.ศ. 1600) และสิ้นสุดลงเมื่อโยฮันน์เซบาสเทียนบาคเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293(ค.ศ. 1750) แต่บางครั้งก็นับกันว่าสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ.1730) เริ่มมีการเล่นดนตรีเพื่อการฟังมากขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงนิยมการเล่นเครื่องดนตรีประเภทออร์แกนมากขึ้น แต่ก็ยังคงเน้นหนักไปทางศาสนานักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เช่นบาค วีวัลดีเป็นต้น ยุคคลาสสิก(Classical)พ.ศ. 2293- พ.ศ. 2363)เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดมีกฎเกณฑ์แบบแผน รูปแบบและหลักในการเล่นดนตรีอย่างชัดเจน ศูนย์กลางของดนตรียุคนี้คือประเทศออสเตรียโดยเฉพาะที่กรุงเวียนนาและเมืองมานไฮม์(Mannheim) เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ที่สุดเริ่มมีการผสมวงที่แน่นอน คือ วงเชมเบอร์มิวสิกและวงออร์เคสตราซึ่งในยุคนี้มีการใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท และยังถือเป็นแบบแผนของวงออร์เคสตราในปัจจุบันนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เช่น โมซาร์ทเป็นต้น ยุคโรแมนติก(Romantic) พ.ศ.2363 - พ.ศ. 2443)เป็นยุคที่มีเริ่มมีการแทรกของอารมณ์ในเพลงมีการเปลี่ยนอารมณ์ การใช้ความดังความค่อยที่ชัดเจนทานองจังหวะลีลาที่เน้นไปยังอารมณ์ความรู้สึกซึ่งต่างจากยุคก่อนๆ ที่ยังไม่มีการใส่อารมณ์ในทานองนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เช่นเบทโฮเฟิน ชูเบิร์ต โชแปง วากเนอร์ บราห์มส์ไชคอฟสกี้เป็นต้น ยุคอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism)พ.ศ.2433 -พ.ศ. 2453)พัฒนารูปแบบโดยนักดนตรีฝรั่งเศสมีเดอบูว์ซีเป็นผู้นา ลักษณะดนตรีของยุคนี้เต็มไปด้วยจินตนาการอารมณ์ที่เพ้อฝันประทับใจ ต่างไปจากดนตรีสมัยโรแมนติกที่ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ ยุคศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน (20th CenturyMusic พ.ศ. 2443 - ปัจจุบัน)นักดนตรีเริ่มแสวงหาดนตรีที่ไม่ขึ้นกับแนวทางในยุคก่อนจังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่าเดิมไม่มีโน้ตสาคัญเกิดขึ้น (Atonal) ระยะห่างระหว่างเสียงเริ่มลดน้อยลงไร้ท่วงทานองแต่นักดนตรีบางกลุ่มก็หันไปยึดดนตรีแนวเดิม เรียกว่านีโอคลาสสิก(Neo-Classic)นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เช่นอิกอร์ สตราวินสกี้เป็นต้น ดนตรีสวิง(Swingmusic)หรือบางครั้งรู้จักในชื่อสวิงแจ๊ซ (อังกฤษ:swingjazz) หรือเรียกง่ายๆว่าสวิง (อังกฤษ:swing) เป็นเพลงแจ๊ซประเภทหนึ่งที่พัฒนาในต้นคริสต์ทศวรรษ1930และเด่นชัดขึ้นในปี 1935 ในสหรัฐอเมริกาสวิงใช้ส่วนจังหวะที่แข็งแรงมั่นคงที่ช่วยนาท่อนนาที่ใช้เครื่องดนตรีอย่างเครื่องทองเหลือง อย่างเช่นทรัมเปตและทรอมโบนหรือเครื่องเป่าไม้อย่างแซกโซโฟนและคลาริเนตหรือเครื่องสายอย่างไวโอลินและกีตาร์ การใช้ทานอ งจากกลางๆไปสู่ทานองเร็วและจังหวะเพลงแบบสวิงไทม์วงสวิงมักจะมีคนโซโล่ที่จะแสดงคีตปฏิภาณเมโลดี้ใหม่ๆ ในการเรียบเรียงเพลงนอกจากนั้นผู้นาวงกับการเต้นราแบบสวิงอย่าง เบนนีกูดแมนและเคานต์ เบซี เป็นที่โดดเด่นในกระแสเพลงป็อปอเมริกันในช่วงปี 1935ถึง1945 อีกด้วย ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (Electronicmusic) เป็นดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในการผลิตขึ้นมาโดยทั่วไปแล้วความโดดเด่นของดนตรีสา มารถเกิดขึ้นโดยใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้ าอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีเครื่องไฟฟ้ า[2] ตัวอย่างเช่นเสียงที่เกิดจากTelharmonium, Hammondorganและกีตาร์ไฟฟ้ าส่วนดนตริอีเล็กทรอนิกส์แท้ ๆสามารถใช้เครื่อง Theremin,เครื่องสังเคราะห์เสียงและคอมพิวเตอร์ ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนประกอบในดนตรีอาร์ตตะวันตกตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960และได้รับความนิยมในเวลาต่อมา ในปัจจุบันดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ใช้หลากหลายแนวเพลงตั้งแต่ดนตรีอาร์ตทดลองหรือดนตรีป็อปอย่างเช่นเพลงแดนซ์
5.
ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (Electronicdancemusic) ในที่นี้หมายถึงดนตรีเต้นราประเภทอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการสืบทอดมาจากดนตรีประเภทดิสโก้ในยุค 70ดนตรีประเภทนี้มีต้นกาเนิดมาจากไนต์คลับในยุค80 มีการใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อย่างเครื่องสังเคราะห์เสียงดรัมแมชชีนและ sequencer เพลงแดนซ์ส่วนใหญ่ถูกแต่งขึ้นมาโดยคอมพิวเตอร์
และเครื่องสังเคราะห์เสียงไม่ค่อยนิยมใช้เครื่องดนตรีจริง โดยจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัลหรือเสียงอิเล็กทรอนิกส์บีต4/4 ช่วงระหว่าง120บีตต่อนาที ไปจนถึง 200 บีตต่อนาที เพลงประเภทเทคโนแทรนซ์และเฮาส์ได้รับความนิยมมาก แนวเพลง ดนตรีแดนซ์ มีหมวดหมู่ย่อยอยู่หลายประเภทเช่นเทคโนเฮาส์แทรนซ์อิเล็กโทรเบรกบีตฮาร์ดคอร์ ดรัมแอนด์เบสอิตาโลดิสโก้ และยูโรบีตเป็นต้ น สตีฟฮิลเลจ และ มิเควทท์กิเรอดี ได้แยกแยะดนตรีประเภทอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ด้วยบีตต่อนาที(bpm)[1] ดังนี้ 60–90 bpm—ฮิปฮอปและดับ 90–120 bpm—ฮิปฮอปที่เร็วขึ้นและ บิ๊ก บีท/ทริป ฮอป 120–135bpm— เฮาส์ 135–155bpm— เทคโน 155–180bpm— ดรัมแอนด์เบส/จังเกิล 180 bpmขึ้นไป— ฮาร์ดคอร์แกบเบอร์ เทคโน (:Techno) เป็นรูปแบบของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์[1] ที่เกิดขึ้นในดีทรอยต์รัฐมิชิแกนในสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ1980 ครั้งแรกได้บันทึกไปใช้คาtechnoในการอ้างอิงถึงประเภทของเพลงในปี 1988สไตล์จานวนมากของเทคโนตอนนี้มีอยู่แต่ดีทรอยต์เทคโนถูกมองว่าเป็นรากฐานซึ่งจานวนของแนวเพลงย่อยที่ได้ถูกสร้างขึ้น[ แรกเริ่มเทคโนได้รวมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในสไตล์ของศิลปินเช่นคราฟต์เวิร์ก(Kraftwerk)จอร์โจโมรอดเดร์ (GiorgioMoroder) และ เยลโลแมจิกออร์เคสตรา(YellowMagicOrchestra) พร้อมกับแนวเพลงแอฟริกันอเมริกันรวมทั้งฟังก์ อิเล็กหรอชิคาโกเฮาส์ และอิเล็กทริกแจ๊ส[ นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลรูปแบบมากมายและบทเพลงที่ไม่มีฅัวต้น[6] ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในอเมริกาในปลายยุค สังคมทุนนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือThe Third Wave(เดอะเธิร์ดเวฟ)โดยอัลวินทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) โปรดิวเซอร์เพลงผู้บุกเบิกวานแอตกินส์(JuanAtkins) กล่าวถึงการถ้อยคา"เทคโนเรเบลส์"(technorebels)ของทอฟเลอร์ ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาได้ใช้คาเทคโนที่จะอธิบายดนตรีสไตล์เขาที่ได้ช่วยสร้างไว้ ผสมผสานเอกลักษณ์ได้รับอิทธิพลจากแนวเทคโนกับสุนทรียะที่เรียกว่าอัฟโฟรฟิวเจอร์ริสม์(afrofuturism)โปรดิวเซอร์เช่นเดอร์ริก เมย์ (DerrickMay) ในการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณออกจากร่างกายไปยังเครื่องจักรกลที่มักจะเป็นต้นเหตุของความหลงใหลที่เป็นหลักการแสดงออก จากจิตวิญญาณเทคโนโลยีในกรณีนี้:"เทคโนแดนซ์มิวสิกสิ้นหวังเช่นไรอโดร์โน เห็นว่าเป็นผลการทาให้เหินห่างของการนาเครื่องจักรมาใช้แทนคนในจิตสานึกที่ทันสมัย" เฉพาะรูปแบบแล้วโดยทั่วไปเทคโนได้ผลิตแบบบรรเลงดนตรีอย่างซ้าๆในการใช้งานอย่างต่อเนื่องของชุดดีเจ จังหวะเสียงกลองส่วนใหญ่มักจะอยู่ในเวลาปานกลาง(4/4)ที่เวลาถูกตั้งค่ากับกลองเบสในแต่ละจังหวะโน้ตสี่ส่วน
6.
จังหวะเล่นย้อนหลังจะเป็นเสียงกลองเล็กหรือเสียงตบมือในสองและสี่จังหวะของท่อนและเปิดเสียงฉาบเพื่อการทาให้เกิดเสียงในทุกค รั้งต่อวินาทีที่ท่อนแปด จังหวะมีค่อนข้างที่จะแตกต่างกันไประหว่างประมาณ120จังหวะต่อนาที(จังหวะโน้ตสี่ส่วนเท่ากับ120 ต่อนาที)และ 150
ครั้งต่อนาทีที่ขึ้นอยู่กับสไตล์ของเทคโนใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเทคโนโลยีในการผลิตเพลง เช่นดรัมแมชชีน เครื่องสังเคราะห์เสียงและดิจิทัลออดิโอเวิร์กสเตชันถูกมองว่าเป็นสิ่งสาคัญของสุนทรียะของเพลง หลายโปรดิวเซอร์เพลงได้ใช้ เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แบบย้อนยุคในการสร้างสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นเทคโนเสียงจริง ดรัมแมชชีนในทศวรรษ1980 เช่น ทีอาร์-808ของโรแลนด์และ ทีอาร์- 909 มีราคาแพงมากและการเลียนแบบซอฟต์แวร์ย้อนยุคของเทคโนโลยีดังกล่าวได้อยู่ในความแพร่หลายในหมู่โปรดิวเซอร์ ผู้สื่อข่าวเพลงและแฟนเพลงเทคโนได้คัดเลือกในการนาไปใช้คา; ดังนั้นความแตกต่างที่ชัดเจนสามารถทาระหว่างที่เกี่ยวข้องบางครั้งแต่สไตล์มักจะแตกต่างจากคุณภาพเช่น เทคเฮาส์และแทรนซ์ "เท คโน"ยังสับสนกับการอธิบายทั่วไปเช่นดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ เทคโน แหล่งกาเนิดทางรูปแบบ ดนตรีอิเล็กโทรอินดัสเตรียลซินธ์ป็อปชิคาโกเฮาส์ฟังก์ ไฮ-เอ็นอาร์จี แหล่งกาเนิดทางวัฒนธรรม กลางทศวรรษ1980ดีทรอยต์รัฐมิชิแกนสหรัฐอเมริกา เครื่องบรรเลงสามัญ คีย์บอร์ด,เครื่องสังเคราะห์เสียง,ซีเควนเซอร์,ดรัมแมชชีน,ซามเพลอ รูปแบบอนุพันธุ์ IDM, แทรนซ์, เอซิดเฮาส์,ฮาร์ดคอร์ แนวย่อย เอซิด, มินิมอล, วองกี้,อินดัสเทรียล์ แนวประสาน ไมโครเฮาส์,เทคเฮาส์,เทคเทรนซ์,เทคสเตป ทัศนียภาพในระดับภูมิภาค Detroittechno, Nortec,Schranz,YorkshireBleepsandBass, Jtek อื่น ๆ Electronicmusicalinstrument,computermusic,recordlabels,raves, free party, teknival เฮาส์ (Housemusic) เป็นแนวเพลงหนึ่งของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์เกิดในช่วงต้นทศวรรษที่1980 โดยมีต้นกาเนิดมาจากเมืองชิคาโก[17] รัฐอิลินอยส์ประเทศสหรัฐอเมริกาแรกเริ่มเดิมทีเป็นที่นิยมในดิสโก้เทคสาหรับชาวแอฟริกัน- อเมริกัน,ละตินอเมริกันและสังคมเกย์ในสมัยกลางทศวรรษที่1980ที่เมืองชิคาโก ต่อมาจึงกระจายความนิยมไปยังนิวยอร์ก,นิวเจอร์ซีย์,ดีทรอยต์และไมอามีจนกระทั่งถึงยุโรปก่อนจะมีบทบาทสาคัญแก่แนวเพลงป็อ ปและเพลงแดนซ์ทั่วโลก
7.
แนวดนตรีเฮาส์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากองค์ประกอบของดนตรีโซลและฟังก์ในช่วงกลางยุค1970 เฮาส์มีลักษณะโดดเด่นในการนาเอาการเคาะเพอคัสชั่น(percussion)แบบดิสโก้มาใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ดรัมเบสในทุกๆบีต (beat) แล้วพัฒนาเป็นแนวดนตรีแนวใหม่โดยผสมไลน์เบสของเครื่องสังเคราะห์เสียงอิเล็กทรอนิก,กลองอิเล็กทรอนิก, เอฟเฟกต์อิเล็กทรอนิก,แซมเปิลฟังก์และป็อปรวมไปถึงการใช้เสียงก้องและเสียงร้องดีเลย์ องค์ประกอบทางดนตรี เฮาส์เป็นแนวดนตรีที่มีอัตราจังหวะความเร็วระดับสูง(uptempo)เพื่อสาหรับการเต้น แม้ว่ามาตรฐานสาหรับเพลงเต้นในยุคสมัยใหม่หรือยุคโมเดิร์นนั้นจะมีอัตราจังหวะความเร็วอยู่ในระดับปานกลาง(mid-tempo) ซึ่งอยู่ในช่วงความเร็วระหว่าง118และ135 บีตต่อนาที
อย่างไรก็ตามเฮาส์ในยุคเริ่มแรกจะมีอัตราจังหวะความเร็วที่ช้ากว่า ลักษณะเด่นขององค์ประกอบทั่วไปของแนวดนตรีเฮาส์คือการมีคิกดรัมในทุกๆบีทหรือโฟร์-ออน-เดอะ-ฟลอร์บีทในอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งโดยปกติจะใช้ดรัมแมชชีนหรือแซมเพลอร์ในการสร้างสรรค์เพลง เสียงของคิกดรัมถูกเสริมโดยคิกฟิลล์ที่หลายหลายผนวกเข้ากับดรอปเอ้าท์ที่ถูกยืดออกร่องเสียงกลองถูกเติมเต็มด้วยฉาบแบบไฮ- แฮท ที่มักจะมีไฮ-แฮทเปิดบนโน้ตแปดนอกบีท(eighthnote off-beats) ในแต่ละคิกเสมอๆรวมไปถึงสแนร์ดรัมหรือเสียงตบบนบีทที่สองและสี่ของทุกๆบาร์ด้วย รูปแบบนี้ได้รับอิทธิพลมาจากจังหวะของเสียงกลองในการเต้น'โฟร์-ออน-เดอะ-ฟลอร์'ของยุค1960และมือกลองดิสโก้ในยุค1970 โปรดิวเซอร์มักจะแบ่งเสียงกลองตัวอย่างเป็นชั้นๆทาให้สามารถสร้างเสียงที่มีความซับซ้อนได้มากขึ้น พวกเขายังปรับการมิกซ์ของระบบเสียงในคลับขนาดใหญ่รวมทั้งเน้นเรื่องการลดความถี่ในช่วงระดับปานกลางซึ่งเป็นความถี่ระดับพื้น ฐานของเสียงมนุษย์และไลน์เครื่องดนตรีระหว่างเบสและไฮ-แฮทอีกด้วย โปรดิวเซอร์ใช้แหล่งเสียงที่หลากหลายแตกต่างกันออกไปในแนวดนตรีเฮาส์ ตั้งแต่เสียงต่อเนื่องหรือการซ้าการต่อเนื่องไลน์อิเลคโทรนิคบนเครื่องสังเคราะห์เสียงเช่น โรแลนด์เอสเอช- 101 หรือทีบี303 เพื่อบันทึกหรือเก็บตัวอย่างการแสดงสดของมือเบสอิเลคโทรนิคหรือเพียงเพื่อกรองเสียงตัวอย่างจากการบันทึกระบ บเสียงสเตอริโอของเพลงคลาสสิกฟังก์หรือเพลงอื่นๆเบสไลน์ของเฮาส์ค่อนข้างจะชอบใช้โน้ตที่ตกอยู่ในช่วงซิงเกิล- ออคเทฟซึ่งก็คือในช่วงความแตกต่างระหว่างโน้ตตัวแรกกับตัวที่แปดในโน้ตคู่แปด ในขณะที่ดิสโก้เบสไลน์จะสลับระหว่างโน้ตในออคเทฟ-เซพาเรตและมักจะขยายช่วงเสียงให้กว้างขึ้น ผลงานเพลงแนวเฮาส์ในช่วงแรกๆนาเอาส่วนต่างๆของเบสไลน์จากเพลงดิสโก้ในยุคก่อนมาใช้เช่นโปรดิวเซอร์ มาร์ค'ฮอตรอด' ทรอลแลนที่เลียนแบบส่วนเบสไลน์จากเพลงอิตาเลียนดิสโก้ที่ชื่อ'ฟีลกู๊ด(แครอทแอนด์บีท)' โดยอิเลคทราทซึ่งร้องร่วมกับทารา บัทเลอร์ เพื่อสร้างผลงานทางดนตรี 'ยัวร์ เลิฟ'ของเขาเองในปี 1986 ร้องโดยเจมีพริ้นซิเพิลในขณะที่แฟรงกี นักเคิลส์ได้ใช้โน้ตเดียวกันมาสร้าง'ยัวร์ เลิฟ'ในเวอร์ชันของเขาที่ซึ่งประสบความสาเร็จมากกว่าในปี 1987 ซึ่งได้พริ้นซิเพิลมาช่วยร้องให้เช่นกัน เสียงอิเลคโทรนิคและตัวอย่างจากการบันทึกเสียงจากเพลงชนิดต่างๆเช่น แจ๊ส,บลูและซินธ์ป็อปมักจะถูกใส่ลงไปในฐานเสียงของดรั มบีทและซินธ์เบสไลน์แนวดนตรีเฮาส์อาจรวมเอาดิสโก้,โซล หรือเพลงสวดวิงวอนพระเจ้าและการเคาะเพอคัสชั่นอย่างแทมเบอรีนมาใช้ การมิกซ์เพลงของเฮาส์ยังรวมถึงการซ้า,การตัดทอนเสียง, การลัดจังหวะดนตรีและการขาดตอนของลูปคอร์ทดนตรีซึ่งมักจะประกอบด้วย5-7คอร์ทในจังหวะ4-บีท เทคโนและแทรนซ์ซึ่งถูกพัฒนามาเรื่อยๆร่วมกับเฮาส์ได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานของบีทร่วมกันแต่จะพยายามหลบเลี่ยงอารมณ์แบบอิทธิพ ลทางดนตรีสดและอิทธิพลทางแนวเพลงละตินหรือเพลงของคนดาซึ่งมักจะนิยมแหล่งเสียงและการเข้าถึงเสียงแบบเสียงสังเคราะห์มา กกว่า
8.
ประวัติ ผู้บุกเบิก เดอะ พาราไดส์การาจไนท์คลับในมหานครนิวยอร์ก แนวดนตรีเฮาส์เป็นผลผลิตที่พัฒนามาจากดิสโก้ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างโซล,อาร์แอนด์บีและฟังก์เข้ากับข้อความการเฉลิมฉลอ งรื่นเริงที่สื่อถึงการเต้นราความรักและเพศทั้งหมดนี้ถูกรวมเข้าด้วยกันด้วยการจัดการแบบซ้าๆกับเสียงเบสอันสม่าเสมอของดรัมบีท การรวมเสียงในเพลงดิสโก้บางเพลงนั้นสร้างขึ้นจากเครื่องสังเคราะห์เสียงและดรัมแมชชีน การประพันธ์เพลงบางบทก็เป็นแบบอิเลคโทรนิคเกือบทั้งหมดดังตัวอย่างของจอร์จิโอโมโรเดอร์กับผลงานในปลายทศวรรษที่ 1970 เช่นเพลงฮิตของดอนนาซัมเมอร์ชื่อ
'ไอฟีล เลิฟ'จากปี 1977และอีกหลายผลงานดิสโก้-ป็อปของเดอะ ไฮ-เอ็นอาร์จี กรุ๊ปไลม์ ในช่วงต้นทศวรรษที่1980 เฮาส์ยังได้รับอิทธิพลจากเทคนิคการมิกซ์และการตัดต่อซึ่งถูกค้นพบโดยดีเจดิสโก้ โปรดิวเซอร์และวิศวกรเสียงอย่างวอลเตอร์ กิบบอนส์, ทอม มูล์ตัน,จิม เบอร์เกส,แลร์รีย์ลีแวน,รอนฮาร์ดี้, เอ็มแอนด์เอ็มและอีกหลายๆคนที่ได้สร้างการจัดการเคาะของการบันทึกเพลงดิสโก้ที่มีอยู่ให้ซ้าได้มากขึ้นและยาวขึ้น ส่วนโปรดิวเซอร์ของเฮาส์ในยุคเริ่มแรกอย่างแฟรงกี้ นักเกิ้ลส์นั้นได้สร้างสรรค์การประพันธ์ดนตรีที่คล้ายกันจากการสแครชโดยใช้แซมเพลอร์,เครื่องสังเคราะห์เสียง, ซีเควนเซอร์และดรัมแมชชีน เพลงเต้นราอิเลคโทรนิคที่มีมนต์สะกดอย่าง'ออนแอนด์ออน' สร้างขึ้นในปี 1984 โดยดีเจชาวชิคาโกเจสซี ซวนเดอร์ซึ่งร่วมแต่งเพลงโดยวินซ์ลอว์เรนซ์มีองค์ประกอบที่กลายเป็นตัวหลักของเฮาส์ในยุคแรกเช่น เครื่องสังเคราะห์เสียงเบส303กับเสียงร้องน้อยๆซึ่งบางครั้งถูกกล่าวอ้างให้เป็น'การบันทึกแนวดนตรีเฮาส์ชิ้นแรก' แม้ว่าตัวอย่างอื่นๆจากยุคเดียวกันอย่างเพลง'มิวสิกอีสเอะ คีย์'(1985) ของเจ.เอ็ม. ซิลค์ก็เคยได้รับการเรียกเช่นนั้น ศัพทมูลวิทยา ประวัติของคาว่าเฮาส์นั้นยังคงเป็นที่โต้แย้งกันศัพท์คานี้อาจมีที่มาจากไนต์คลับในชิคาโกที่ชื่อเดอะแวร์เฮาส์ ซึ่งเปิดให้บริการในช่วงปี 1977ถึง1982เดอะแวร์เฮาส์มีผู้อุดหนุนหลักคือเหล่าบรรดาชาวเกย์แอฟริกัน- อเมริกันและชายชาวละตินที่มาเพื่อเต้นราในเพลงดิสโก้ซึ่งเปิดโดยดีเจประจาคลับอย่างแฟรงกี้นักเกิ้ลส์ แม้ว่านักเกิ้ลส์จะออกจากคลับไปในปี 1982และคลับได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นมิวสิกบ๊อกซ์แล้วก็ตามแต่คาว่าเฮาส์ซึ่งเป็นชื่อย่อของ
9.
แวร์เฮาส์ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่ชาวชิคาโก มันเปรียบเหมือนการเลือกสรรเพลงแบบนักเกิ้ลส์เมื่อครั้งยังเป็นดีเจในช่วงก่อนที่จะเป็นผู้ผลิตผลงานทางดนตรีซึ่งยังไม่ได้เริ่มจนกว่าเ ดอะ แวร์เฮาส์ได้ทาการปิดกิจการลงในสารคดีของบีบีซีชื่อปั๊มอัพ เดอะ
วอลุ่มนักเกิ้ลส์ได้กล่าวไว้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินคาว่า แนวดนตรีเฮาส์ก็ตอนที่เขาได้เห็นประโยคที่ว่า'เราเล่นแนวดนตรีเฮาส์'บนป้ ายตรงหน้าต่างของบาร์แห่งหนึ่งในชิคาโกฝั่งใต้ คนๆหนึ่งในรถเขาได้หยอกล้อว่า'คุณรู้มั้ยนั่นน่ะเป็นแนวดนตรีที่คุณเล่นเมื่อสมัยที่อยู่ที่เดอะแวร์เฮาส์!'ดีเจชาวชิคาโกฝั่งใต้ ลีโอนาร์ด'รีมิกซ์'รอยย์ ได้กล่าวในคาแถลงส่วนตัวว่าที่เขาได้ทาป้ ายบนหน้าต่างร้านแบบนั้นก็เพราะมันเป็นแนวดนตรีที่เขาเล่นที่อาจจะเจอได้ในบ้านใครบาง คนอย่างในกรณีของเขาคือการบันทึกแผ่นเสียงโซลและดิสโก้ของแม่ของเขา การบันทึกแผ่นเสียงของชิปอี.ในปี 1985 ที่ชื่อ 'อิส'สเฮาส์'อาจมีส่วนช่วยในการขยายความของรูปแบบใหม่ของดนตรีอิเลคโทรนิคนี้ อย่างไรก็ตามชิปอี.ได้ให้ความไว้วางใจแก่สมาคมเดอะนักเกิ้ลส์โดยกล่าวว่า ชื่อมาจากแนวคิดของการตั้งป้ ายของการบันทึกเสียงที่ร้านแผ่นเสียงเดอะอิมพอสเทสอีทีซีที่ซึ่งเป็นที่ๆเขาใช้ทางานในช่วงต้นยุค 1980 เพลงต่างๆมากมายที่ดีเจนักเกิ้ลส์ได้เคยเปิดแผ่นที่เดอะแวร์เฮาส์ถูกตั้งป้ ายขึ้นว่า 'ดังได้ฟังณ.เดอะแวร์เฮาส์' ซึ่งถูกเรียกสั้นๆง่ายๆว่าเฮาส์บรรดาผู้สนับสนุนภายหลังได้ถามถึงเพลงใหม่ๆซึ่งชิป อี.ได้แจ้งว่าเป็นความต้องการที่ทางร้านได้พยายามจะหาโดยการสะสมเพลงฮิตใหม่ๆของคลับ แลร์รีย์เฮิร์ดหรือ 'มิสเตอร์ ฟิงเกอร์ส'กล่าวว่าคาว่าเฮาส์ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่าดีเจหลายคนได้สร้างสรรค์งานเพลงของเขาที่บ้านโดยการใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงและดรัมแมชชีนร วมไปถึงโรแลด์ทีอาร์-808,ทีบี-909และเครื่องสังเคราะห์เสียง-ซีเควนเซอร์ เบสไลน์ทีบี303 เครื่องสังเคราะห์เสียงเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างสรรค์แนวเพลงย่อยอย่างเอซิดเฮาส์ ฮวนแอทคินส์ ผู้เริ่มสร้างแนวเพลงเทคโนของดีทรอยต์อ้างว่าคาว่าเฮาส์ สะท้อนให้เห็นถึงการประสานอย่างเฉพาะตัวของตัวเพลงกับดีเจ'เพลงเหล่านั้นคือการบันทึกแผ่นเสียงเฮาส์ของพวกเขา (เหมือนกับร้านอาหารที่จะต้องมีน้าสลัดเป็นของตัวเอง)' ชิคาโก:ต้นทศวรรษที่1980- ปลายทศวรรษที่1980 เฮาส์มีวิวัฒนาการมาจากแนวดนตรีที่มีอัตราจังหวะความเร็วระดับสูงอย่างอาร์แอนด์บีและเพลงดิสโก้ในบ้าน, โรงรถและคลับต่างๆของชิคาโกแรกเริ่มมีไว้สาหรับผู้ที่เที่ยวคลับแบบคลับใต้ดินมากกว่าพวกที่มีการโฆษณาอย่างเปิดเผย ทาให้การบันทึกแผ่นเสียงค่อนข้างมีกรอบความคิดที่กว้างกว่าและยาวกว่าดนตรีที่มักเปิดหรือออกอากาศในวิทยุ นักดนตรีเฮาส์จะใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงแบบอะนาล็อกและซีเควนเซอร์เพื่อสร้างและจัดองค์ประกอบทางอิเลคโทรนิคและทดลองแซ มเปิลเพลงของพวกเขาโดยรวมเอาเครื่องดนตรีสดพื้นถิ่นกับการเคาะเพอคัสชั่นบวกกับเสียงร้องแนวโซลกับเครื่องสังเคราะห์เสียงอิเลค โทรนิคที่ถูกวางโปรแกรมเอาไว้ผนวกเข้ากับบีทบอกซ์ ร้านเพลงหลักๆส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีซิงเกิ้ลไวนิลขนาด12นิ้วเนื่องจากว่ามันไม่ค่อยมีตัวแทนจาหน่ายแผ่นเสียงเหล่านี้ ร้านเพลงในชิคาโกเช่นอิมพอสเทสอีทีซี, สเตทสตรีทเร้กคอร์ท,จูเนียร์'สมิวสิกช็อปและแกรมมาโฟน เร้กคอร์ทเป็นผู้จัดสรรรายใหญ่ของเพลงเหล่านี้ร้านอิมพอสเทสอีทีซีเชื่อว่าเป็นสถานที่ๆคาว่าเฮาส์ถูกนามาใช้เรียกเป็นชื่อย่อของ แวร์เฮาส์ ดนตรีหลักๆในสมัยนั้นยังคงเป็นดิสโก้จนถึงช่วงต้นทศวรรษที่1980เมื่อดรัมแมชชีนเดี่ยวตัวแรกได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น เพลงเฮาส์เริ่มมีข้อได้เปรียบในการใช้มิกซ์เซอร์กับดรัมแมชชีนซึ่งถือเป็นการส่งเสริมชื่อเสียงให้กัยบรรดาดีเจแต่ละคน ดีเจคลับใต้ดินอย่างรอนฮาร์ดี้และนักวิทยุเดอะฮอต มิกซ์5ได้เปิดแผ่นเพลงอิตาโลดิสโก้อย่าง'เดอร์ตี้ทอล์ก'และ'เอ็มบีโอธีม' โดย
10.
เคลนเอ็ม.บี.โอ., เพลงบีบอย ฮิพฮอพในยุดแรกๆเช่น'ฮิพฮอพ,บี
บ็อป (ด๊อน สต๊อป) ' ของแมน แฟร์ริช,แอฟริกาแบมบาทา, เดอะ โซล โซนิกฟอร์ส'สแพลนเนตร้อค, ลุกกิ้งฟอร์ เดอะ เฟอร์เฟ็คบีทรวมไปถึงเพลงอิเลคโทรนิคโดยคราฟเวิร์ค; แนวเพลงเหล่านี้ต่างมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีแนวเฮาส์ของชิคาโก เจสซี ซวนเดอร์จาก'เจสเซย์ เร้กคอร์ท'ผู้ซึ่งมีเพลงคลับฮิตประเภทบีบอยฮิพฮอพอย่างเพลง'คัมทู มี' โดยเกวนโดลิน,'ดัม ดัม'และเพลงที่ได้รับอิทธิพลแบบอิตาโลดิสโก้อย่าง'อันเดอร์ คัพเวอร์'โดยดอกเตอร์ เดเรลิกท์ได้ปล่อย 'ออนแอนด์ออน' (1984) เฮาส์ฮิตแบบโฮมเมดของชิคาโกชิ้นแรกที่มีเนื้อเพลงขับกล่อมเบสไลน์และการเคาะเพอคัสชั่นราวกับมีมนต์สะกดซึ่งถือเป็นการปล่อยแ ผ่นบันทึกเสียงเฮาส์เพื่อออกขายสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ในปี 1985 แลนด์มาร์กของมิสเตอร์ ฟิงเกอร์สอย่าง'แคนยูฟิล อิท?'/'วอชชิ่ง แมชชีน'/'มิสเซอรี่ ออฟ เลิฟ' แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของแนวดนตรีประเภทแจ๊สเสียงชุ่มๆที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นจากโรแลนด์ทีอาร์-707และเครื่องสังเคราะห์เสียงจูโน่6 เพลงเหล่านี้ช่วยจุดประกายความนิยมแนวดนตรีย่อยประเภทดีปเฮาส์ซึ่งมีบีทที่ช้าลงมาถึงระดับ110-125bpm.ในปีเดียวกัน'อิส'ส เฮาส์'ของชิป อี.ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของชิคาโกเฮาส์ในปี 1986 'เอซิด แทร็กซ์' ของฟิวเจอร์แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของหนึ่งในแนวเพลงย่อยของเฮาส์อย่างเอซิดเฮาส์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง303แมชชีนของนักด นตรีชาวชิคาโกเช่นดีเจปิแอร์ ปี 1986นิค นิโคลสันหรือดีเจนิคนันสต็อปได้สร้าง'ออริจินัล','เฮาส์เนชั่น' และ 'แจ็ค มาย บอดี้' ขึ้น 'แจ็ค มาย บอดี้'ถูกจัดจาหน่ายให้แก่ 'เอสอาร์โอ เร้กคอร์ท'และกลายเป็นที่นิยมในบรรดาสาวกเฮาส์ซึ่งส่งผลให้เกิดรูปแบบการเต้นราของเฮาส์ที่เรียกว่า'แจ็ค''แจ็คมายบอดี้' ประกอบขึ้นด้วยเสียงดรัมบีทแบบธรรมดาที่ได้รับอิทธิพลจากคิกดรัมและสแนร์ดรัมที่พบใน 'เล็ท'สออลแชนท์' กับการสับแซมเปิลด้วยมือในท่อนที่ร้องว่า 'จา-จา-จาแจ็คมายบอดี้, แจ็ค มายบอดี้...' จวบจนปัจจุบัน 'แจ็ค มาย บอดี้' ยังคงเป็นคลาสสิกเฮาส์ที่ได้รับความนิยมชมชอบในบรรดาพวก'หัวเฮาส์' แผ่นบันทึกเสียงเฮาส์ในยุคเริ่มแรกนั้นได้แก่ 'ยัวร์ เลิฟ'ของเจมีพริ้นซิเพิลและแฟร้งกี้นักเกิ้ลส์,'ออนแอนด์ออน' โดยเจสซีซวนเดอร์ (1985) และ'เดอะ แจ็ค แทร็กซ์'ของชิป อี.ซึ่งเป็นการนาเอาเพลง'อิส'สเฮาส์'และ'ไทม์ ทู แจ๊ค' มารวมกันโดยใช้จังหวะดนตรีที่ซับซ้อน,เบสไลน์ง่ายๆ,เทคโนโลยีการแซมเปิลบวกกับเสียงร้องน้อยๆในปี 1985 เฮาส์ได้ครอบคลุมคลับต่างๆในชิคาโกส่วนหนึ่งใหญ่ๆคือการเล่นเพลงที่คลื่นวิทยุ102.7เอฟเอ็ม ดับเบิ้ลยูบีเอ็มเอกซ์ซึ่งได้โปรแกรมไดเร็กเตอร์อย่างลีมิเชลเป็นโต้โผใหญ่ผ่านทางดีเจประจาคลื่นของดับเบิ้ลยูบีเอ็มเอกซ์;เดอะฮอต มิกซ์5 การปฏิวัติทางดนตรีอิเลคโทรนิคได้มีส่วนช่วยในเรื่องของดนตรีและการเคลื่อนไหวด้วยเช่นการมีซีเควนเซอร์ที่ถูกและกระชับลง, มีดรัมแมชชีน(โรแลนด์ทีอาร์-909,ทีอาร์-808,ทีอาร์-707และละตินเพอคัสชั่นอย่างทีอาร์-727)รวมทั้งหน่วยเบสเช่นโรแลนด์ทีบี- 303 สิ่งเหล่านี้เพิ่มโอกาสให้แก่บรรดานักสร้างสรรค์เฮาส์ในการสร้างสรรค์เสียงของตนเอง แนวเพลงย่อยอย่างเอซิดเฮาส์ถูกพัฒนามาจากการทดลองโดยดีเจปิอแร์,แลร์รีย์เฮิร์ด(ดร.ฟิงเกอร์ส)และมาแชล เจฟเฟอร์สันด้วยดรัมแมชชีนและเครื่องสร้างจังหวะดนตรีแบบใหม่หลายๆเพลงที่แสดงถึงแนวดนตรีแบบชิคาโกเฮาส์นั้นถูกปล่อยออก มาโดยดีเจอินเตอร์เนชั่นนอล เร้กคอร์ทและแทร็กซ์เร้กคอร์ทในปี1985แทร็กซ์ได้ปล่อย'แจ๊ค เอะ เบส' และ'ฟังกิ้งวิทเดอะ ดรัม อะเกน'โดย ฟาร์เลย์แจ๊คมาสเตอร์ ฟังก์และในปีต่อมาแทร็กซ์ปล่อย 'โนเวย์แบ็ก'โดยอโดนิส,'แคนยู ฟีล อิท?' และ'วอชชิ้ง แมชชีน' ของ แลร์รีย์เฮิร์ด (ฟิงเกอร์ อิงซ์ ณ.ขณะนั้น)และเพลงสดุดีแนวเฮาส์อย่าง 'มูฟยัวร์ บอดี้' โดยมาแชล เจฟเฟอร์สันซึ่งช่วยเพิ่มกระแสความนิยมในตัวแนวดนตรีเฮาส์ไปสู่นอกเมืองชิคาโก
11.
ในปี 1987 เพลงของสตีฟ'ซิลค์'เฮอร์เล่ย์อย่าง'แจ๊คยัวร์
บอดี้' เป็นเพลงเฮาส์เพลงแรกที่ได้ก้าวเข้าสู่ยูเคท๊อป 40 ป็อปชาร์ตเป็นอันดับที่1 ซึ่งในปีนี้ยังมี 'ปั๊มอัพเดอะโวลุ่ม'ของ เอ็ม/เอ/อาร์/อาร์/เอส อีกหนึ่งเพลงที่ได้อันดับที่หนึ่งในปี 1989 เฮอร์เล่ย์เปลี่ยนเพลงบัลลาดนุ่มๆของโรเบอร์ตาแฟลคอย่าง'อู้ โอ้ ลุค เอ้าท์'ให้กลายเป็นเพลงเต้นราเอะอะอึกทึก 'ธีมฟร์อม เอส'เอกซ์เพลส'ของวงเอส'เอกซ์เพลสเป็นตัวอย่างหนึ่งของเพลงที่ได้รับอิทธิจากดิสโก้ในทานองแบบฟังกี้เอซิดเฮาส์ ในเพลงนี้ได้ใช้แซมเปิ้ลจากเพลงของโรสรอยซ์ที่ชื่อ'อีส อิท เลิฟยู อาร์ อาฟเตอร์'ที่เกิดจากโรแลนด์303เบสไลน์ในปี 1989'ไร้ด์ ออน ไทม์' ของ แบล็กบ๊อกซ์ซึ่งใช้แซมเปิ้ลแบบดิสโก้ฮิตจากเพลง'เลิฟเซนเซชั่น'ของโลเอตต้าฮอลโลเวย์ติดชาร์ตเป็นอันดับ1ในยูเค ท๊อป 40 นอกจากนี้เพลง'ปั๊มอัพ เดอะ แจม' ของ เทคโนโทรนิคยังเป็นหนึ่งในแผ่นบันทึกเสียงแนวเฮาส์ที่สามารถตีท๊อป10 บน ยูเอส ป๊ อป ชาร์ต หนึ่งปีถัดมาเพลง 'โว้ค'ของ มาดอนนาได้เข้ามาเป็นเพลงฮิตอันดับ1ทั่วโลกกลายเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดในดับเบิ้ลยูเอ ณ.เวลานั้นในปี 1992 เพลง'รีลีสเดอะ เพลสเชอร์'ของเลฟฟิวส์ช่วยเปิดตัวแนวเพลงย่อยน้องใหม่ที่เรียกว่าโปรเกรสซีฟเฮาส์ แนวดนตรีเฮาส์ยังมีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดข้อความเกี่ยวกับการเมืองการปกครองแก่กลุ่มบุคคลผู้ที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เป็นที่ยอมรั บทางสังคมอีกด้วย มันปรากฏต่อผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมกับสังคมหลักของอเมริกาได้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกใช้โดยกลุ่มชายชาวแอฟริกัน-อเมริกันแฟรงกี้ นักเกิ้ลส์ได้ทาการเปรียบเทียบในทางที่ดีของเฮาส์ว่าเป็นเสมือนกับโบสถ์ของผู้ที่ร่วงหล่นลงมาจากความสุภาพสง่างามในขณะที่มาแช ล เจฟเฟอร์สันเปรียบเฮาส์เป็นดั่งศาสนาเก่าแก่ที่ผู้คนต่างยินดีที่ได้กรีดร้องอย่างมีความสุข ดีปเฮาส์นั้นมีความคล้ายคลึงกับข้อความแห่งอิสรภาพหลากหลายข้อความสาหรับชุมชนคนผิวดาทั้งซีดีเฮาส์ 'พรอมิสต์แลนด์'ของ โจสมิธและ'ไอแฮฟ อะ ดรีม' ของดีบีต่างมีข้อความที่มีลักษณะคล้ายกับบทปาฐกถาอย่าง'ไอแฮฟ อะ ดรีม' ของ มาร์ตินลูเธอร์ คิง 'ซัมเดย์'โดยซีซี โรเจอร์ได้ผลักดันให้เกิดกอสเปลเฮาส์นอกจากนี้เฮาส์ยังมีความเกี่ยวเนื่องกับเพศที่มีความลึกลับ มันไปไกลถึงขนาดว่ามีความเพ้อคลั่งเกี่ยวกับการกระตุ้นทางเพศอันลึกลับเพลง 'เบบี้ว๊อนส์ ทู ไร้ด์'ของ เจมี พริ้นซิเพิลเริ่มจากการเป็นนักสวดแต่ที่น่าแปลกใจคือเนื้อหาของเพลงได้พูดถึงหญิงผู้ซึ่งเป็นภรรยาลับที่ต้องการให้ผู้ชาย'ขี่'เธอตลอดทั้ งเพลง เฮาส์แดนซ์เป็นแนวที่มีความเก่าแก่กว่าเฮาส์เสียอีกเนื่องจากมันเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่1980 ตอนปลายแห่งยุคดิสโก้อันเป็นช่วงเวลาของไนท์คลับอย่างแวร์เฮาส์ของชิคาโกและลอฟแอนด์พาราไดส์การาจจากนิวยอร์ก เฮาส์แดนซ์นาเอาองคืประกอบการเต้นมาจากหลากหลายแหล่งเช่นยุคลินดี้,แอฟริกัน,ละติน,บราซิลเลียน,แจ๊ส, แท๊ปและแม้กระทั่งสมัยนิยมอย่างโมเดิร์น เฮาส์แดนซ์เป็นที่ถูกถกเถียงกันเรื่อยมาว่าสามารถแตกออกเป็นสามสไตล์อันได้แก่ ฟุตเวิร์ค,แจ๊คกิ้งและลอฟติ้ง รวมไปถึงเทคนิคอันหลากหลายและสไตล์ย่อยอย่างสเก๊ตติ้ง,สต๊อมปิ้งและชัฟเฟิลลิ้ง นอกจากนี้ยังรวบรวมเอาการเคลื่อนไหวจากแหล่งต่างๆอย่างแว้กกิ้ง,โวกูอ้ง,คาโปเอร่า,แท๊ปและการเต้นราแบบละตินอย่างซัลซา ความหลากหลายที่กว้างขวางของการเคลื่อนไหวมาจาก แจ๊สและสไตล์ของบีบ๊อปหรือแม้กระทั่งจากการสืบสายมาจากแอฟริกันและละติน แนวดนตรีเฮาส์มักคานึงถึงสัมผัสทางกายและการเป็นอิสระจากโลกภายนอก หนึ่งในองค์ประกอบที่สาคัญของการเต้นแบบเฮาส์คือเทคนิคที่มาจากชิคาโกที่เกี่ยวข้องกับการหมุนลาตัวไป- กลับในลักษณะของการฉีก(ริปปิ้ง)ราวกับคลื่นยักษ์ได้ถาโถมเข้าใส่ เมื่อท่าทางแบบนี้ถูกกระทาซ้าๆพร้อมกับเร่งจังหวะให้ตรงกับบีทของเพลงจะเรียกว่า 'เดอะแจ๊ค' ฟุ๊ ตเวิร์คทั้งหมดของการเต้นราแบบเฮาส์นั้นถูกกล่าวไว้ว่าริเริ่มมาจากการที่เดอะแจ๊คย้ายศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงไปตามที่ว่าง เสียงจากดีทรอยต์:ต้นทศวรรษที่1980-ปลายทศวรรษที่1980
12.
ดีทรอยต์เทคโนได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อกลางทศวรรษที่1980 แม้ว่าดีทรอยต์เทคโนจะมีความแตกต่างในรูปแบบทางดนตรีของตัวเองอย่างชัดเจนแต่บรรดานักบุกเบิกก็ยังเป็นดังเครื่องมือในการนา ดนตรีแนวเฮาส์ออกสู่นานาชาติทั้งสองรูปแบบทางดนตรีต่างถูกพัฒนาขึ้นอย่างพร้อมๆกันจากปี 1985ถึง 1990และยังคนเป็นแนวเพลงที่มักมีความพ้องกัน ดีทรอยต์เทคโนพัฒนาขึ้นเมื่อดีเจแห่งตานานเดอะอิเลคทริฟายอิ้งโมโจจัดรายการวิทยุของตัวเอง เขาได้น้าวโน้มให้เกิดการผสมผสานเสียงจากหลากหลายแหล่งเข้ากับเสียงเอกลักษณ์ของดีทรอยต์เทคโนซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจา กอิเลคโทรนิกาชาวยุโรปอย่างคราฟเวิร์ค,อาร์ตออฟนอยส์หรือบีบอยฮิพฮอพยุคเริ่มแรกอย่างแมนพาร์ริช,ซาวโซนิก ฟอร์สและอิตาโลดิสโก้อย่างดอกเตอร์'สแคท,ริส,เคล็นเอ็ม.บี.โอ. เสียงนี้ได้รับการบุกเบิกโดยฮวนแอทคินส์,เดอร์ริกเมย์และเควิน ซวนเดอร์สันซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเดอะก็อดฟาเทอร์แห่งดีทรอยต์เทคโน ฮวนแอทคินส์ปล่อยงานเพลงชื่อ'โนยูเอฟโอ'ส'ที่เมโทรเพล็กซ์ เร้กคอร์ทซึ่งมีเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในชิคาโกและยังถูกมองว่าเป็นผลงานอันคลาสสิกเขาจึงตามด้วยการปล่อยเพลง 'เทคนิคคัเลอร์'ในปี
1986 เดอร์ริกเมย์หรือที่รู้จักกันในนามเมย์เดย์ปล่อยเพลง'นูดโฟโต้'ในปี 1986ในนาม'ทรานซแมท เร้กคอร์ท'ของเขาเองซึ่งเป็นการช่วยริเริ่มแนวเพลงดีทรอยต์เทคโนทั้งยังถูกเปิดหมุนเวียนไปตามฮอตมิกซ์ 5 เรดิโอดีเจมิกซ์ โชว์และคลับต่างๆของชิคาโกอีกด้วยหนึ่งปีถัดมาเขาได้ปล่อยสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งในเพลงสดุดีแบบคลาสสิกของเทคโนและเฮาส์ เพลงที่มีอิทธิพลสูงและเป็นต้นแบบต่อการพัฒนาต่อไปอย่าง'สตริงส์ออฟไลฟ์ 'ทรานซแมท เร้กคอร์ทยังคงปล่อยอีกหลายงานเพลงที่ประสบความสาเร็จอย่างล้นหลามอาทิเช่น 'วิกกิ้น'ในปี 1988นอกจากนี้ดอร์ริก เมย์ยังคงประสบความสาเร็จในการปล่อยเพลงในนามคูลแคท เร้กคอร์ทและอีกหลายรีมิกซ์สาหรับผู้จัดรายการใต้ดินและศิลปินหลัก บริษัทเคเอ็มเอส เรคอร์ทของเควินซวนเดอร์สันได้ส่งเสริมให้ปล่อยงานเพลงต่างๆที่เป็นทั้งเฮาส์และเทคโน เพลงเหล่านี้ได้รับการตอยรับอย่างดีในชิคาดกและถูกเปิดตามคลื่นวิทยุและตามคลับต่างๆมากมายเช่นงานบันทึกเสียงของเบลก แบ็กซ์เตอร์ในปี 1986อย่าง'เวนวียูสต์ ทู เพลย์/เวิร์คยัวร์ บอดี้','เบาวส์ยัวร์ บอดี้ทู เดอะ บ๊อกซ์' และ 'ฟอร์สฟิวด์'ของปี 1987, 'เดอะ ซาวน์/ฮาวทู เพล อาวเออร์ มิวสิก','เดอะกรู๊ฟแดท ว๊นสต๊อป'และรีมิกซ์เพลง'กรู๊ฟวิ้งวิทเอ้าท์อะเดาบ์' ในปี 1988 เมื่อเฮาส์ได้หลายมาเป็นกระแสนิยมของผู้ฟังทั่วไปกลุ่มศิลปินอินเนอร์ ซีตี้วิทปารีสเกรย์ของเควิน ซวนเดอร์สันได้ปล่อยเพลงฮิตอย่าง'บิ๊กฟัน'และ 'กู๊ดไลฟ์ 'ซึ่งถูกคัดเลือกโดยเวอร์จิ้นเร้กคอร์ทในที่สุดแต่ละอีพี/12 นิ้วซิงเกิ้ลถูกรีมิกซ์โดยไมค์'ฮิตแมน'วิลสันและสตีฟ'ซิลค์'เฮอร์เล่ย์แห่งชิคาโกและเดอร์ริก'เมย์เดย์'กับฮวนแอทคินส์แห่งดีทรอยต์ ในปี1989 เคเอ็มเอสปล่อยเพลงฮิตออกมาอีกหนึ่งเพลงซึ่งก็คือ'ร้อคออฟ เดอะ บีท' ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นธีมของคลับเต้นราต่างๆในชิคาโก สหราชอาณาจักร:ปลายทศวรรษที่1980-ต้นทศวรรษที่1990 ในประเทศอังกฤษการเจริญเติบโตของแนวดนตรีเฮาส์สามารถแบ่งออกมาได้เป็นช่วงของเพลง 'ซัมเมอร์ ออฟ เลิฟ'ในปี 1988/9 เฮาส์ปรากฏตัวอยู่ในอังกฤษนานพอๆกับที่ปรากฏตัวอยู่ในชิคาโก เฮาส์เริ่มโตมาจากอังกฤษตอนเหนือก่อนจะลงมายังตอนกลางและตอนตะวันออกเฉียงใต้ตามลาดับแนวดนตรีเฮาส์พบเมื่อปี 1982 โดยแฟกตอรี เรคคอร์ดส์เดอะ ฮาเซียนดาในเมืองแมนเชสเตอร์กลายมันเป็นส่วนขยายของแนวเพลงประเภทนอร์ทเทิร์นโซลและถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาเพลงเต้นหลั กๆของคลับในอังกฤษ
13.
ในปี 1986 คลับเริ่มเจอปัญหาครั้งใหญ่เมื่อฝูงชนจานวนมากเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆเมื่อไรก็ตามที่ดีเจประจาคลับอย่างพิกเกอรฺ์ริ่ง, ปาร์คและดาซิลวาเริ่มเล่นแนวดนตรีเฮาส์ สถานที่พบปะผู้คนแบบใต้ดินและค่าคืนแห่งดีเจย์เริ่มกระจายไปทั่วทุกสารทิศในสหราชอาณาจักรดังตัวอย่างเช่น ปาร์ตี้ส่วนตัวที่จัดขึ้นโดยมิสมันนี่เพนนียุคเริ่มแรกในเบอร์มิ่งแฮมและหลายๆสถานที่พบปะผู้คนในลอนดอน แนวดนตรีเฮาส์ถูกเผยแพร่ในประเทศอังกฤษจากการทัศนาจรในปีเดียวกันกับนักเกิ้ลส์,เจฟเฟอร์สัน,ฟิงเกอร์สอิงซ์
(เฮิร์ด) และอโดนิสที่ได้จัดการทัศนาจรดีเจย์นานาชาติหนึ่งในทานองเพลงสดุดีของยุคเริ่มแรกอย่าง 'พรอมิสต์แลนด์'โดยโจ สมิธถูกนามาร้องใหม่โดยเดอะสไตล์เคาน์ซิลและติดชาร์ตภายในหนึ่งอาทิตย์ทานองเพลงเฮาส์แบบอังกฤษออกมาครั้งแรกเมื่อปี 1986 ซึ่งได้แก่ 'คาริโน'โดยที-คอย ชาวยุโรปต่างอ้าแขนรับเฮาส์เข้าสู่อ้อมอกและเริ่มจองดีเจเฮาส์ชาวอเมริกันแห่งตานานมาเล่นในคลับใหญ่ๆเช่นมินิสทรี ออฟ ซาวน์ที่ซึ่งดีเจประจาอย่างดีเจฮาร์เวย์ได้ดึงเอาแลร์รีย์ลีแวนเข้ามา เมืองเบอร์มิ่งแฮม, แมนเชสเตอร์และลอนดอนต่างเปิดแนวดนตรีเฮาส์ตามสถานีเพลงใต้ดินอันผิดกฎหมายโดยดีเจจาเป็นที่ช่วยสันบสนุนแนวเพลงประเ ภทนี้ซึ่งเป็นนิยมชมชอบแต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากกระแสดนตรีหลัก หนึ่งในค่ายเพลงเฮาส์และเทคโนอังกฤษที่เก่าแก่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดในยุคนั้นคือเนตเวิร์คเร้กคอร์ทหรือที่รู้จักกันในนามคูลแคท เร้กคอร์ทผู้ซึ่งมีส่วนช่วยในการแนะนาเพลงเต้นราแบบอาตาเลียนและอเมริกันรวมทั้งการโปรโมตเพลงเต้นแบบอังกฤษแก่ชาวอังกฤษ เฮาส์ยังถูกพัฒนาที่อิบิซาอีกด้วยในช่วงทศวรรษที่1970ได้มีการขัดขวางการจัดปาร์ตี้ที่มีคนหมู่มากช่วงกลางทศววษที่1980 เฮาส์แบบบาเลริกมิกซ์ได้เกิดขึ้นหลายๆคลับอย่างแอมนีเชียมีดีเจอัสฟรีโด้ที่คอยเปิดเพลงมิกซ์ของร็อก,ป็อป,ดิสโก้และเฮาส์ คลับเหล่านี้ที่ซึ่งถูกเสริมเติมเชื้อเพลิงแห่งความปิติยินดีด้วยเสียงเพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์เริ่มจะมีอิทธิพลต่อวงการอังกฤษ ในช่วงปลายปี 1987 ดีเจพอล โอเคนโฟลและแดนนี่แรมปลิ้งต่างเริ่มนาเอาเสียงอิบิซาไปใช้ในคลับอังกฤษอย่าง ฮาเซียนดาในแมนเชสเตอร์และคลับในลอนดอนเช่นชูมในเซาท์วาร์ค,เฮเว่น,ฟิวเจอร์และสเปคตรัม ในสหรัฐอเมริกาดนตรีต่างถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างเสียงที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น มันรุดหน้าไปไกลกว่าแค่กลองเสียงและแซมเปิ้ลสั้นๆ ที่นิวยอร์กนักแสดงอย่างมาติโนแอนด์มาโตสและเบลสได้สร้างดิสโก้เฮาส์ที่ข้ามไป-มาระหว่างเพลงในชิคาโกมาแชล เจฟเฟอร์สันได้ฟอร์มกลุ่มเฮาส์ชื่อเท็นซิตี้(ที่มาจากคาว่าอินเท็นซิตี้)ขึ้น ในดีทรอยต์เสียงดนตรีแบบโปรโต- เทคโนเริ่มปรากฏในการบันทึกเพลงของฮวนแอทคินส์,เดอร์ริกเมย์และเควินซวนเดอร์สัน แอทคินส์ สมาชิกผู้ก่อตั้งไซบอตรอนได้ออกอัลบั้มที่ชื่อ โมเดล500 กับงานเพลง'โนยูเอฟโอ' ในปี 1985 ซึ่งต่อมากลาบเป็นเพลงฮิตระดับภาคตามด้วยเพลงอีกเป็นโหลบนทรานสแมท,เมโทนเพล็กซ์และฟราจาย หนึ่งในบรรดาเพลงที่แปลกประหลาดสุดคือเพลง'สตริงส์ออฟไลฟ์ 'โดยเดอร์ริกเมย์ ซึ่งเป็นแนวเพลงเฮาส์ที่ฟังดูมืดมนและตรึงเครียดมากขึ้น'เทคโน-สแครช'ที่ปล่อยออกมาโดยเดอะไคน้ท์ออฟ เดอะ เทิร์นอะเบิล ในปี 1984 มีเสียงเทคโนที่คล้ายคลึงกับไซบอตรอนผู้จัดการของไน้ท์คลับแฟคตอรี่,โทนี่ วิลสันเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ช่วยโปรโมตวัฒนธรรมทางดนตรีแนวเอซิดเฮาส์บนรายการทีวีประจาสัปดาห์ของเขาเดอะ มิดแลนด์ยังน้อมรับเอาเฮาส์ในยุคปลายทศวรรษที่1980เข้ามารใช้กับสถานที่ชุมนุมคนใต้ดินเช่น อาคารจอดรถและสถานีเต้นราที่ถูกกฎหมายอย่างสถาบันดิ๊กเบธ(ปัจจุบันคือ 'เดอะ ซังชัวรี่'บ้านของซันดิสเซนทัล) สหรัฐอเมริกา:ปลายทศวรรษที่1980- ต้นทศวรรษที่1990[แก้]
14.
กลับไปที่สหรัฐอเมริกาเรื่องราวชองเฮาส์ยังไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่าการเป็นคลับจานวนเล็กๆในชิคาโก,ดีทรอยต์,นิวยอร์กและนิว เจอร์ซี่ พาราไดส์การาจในนิวยอร์กยังคนเป็นคลับลาดับต้นๆแม่ว่าเข้าจะได้ ท็อดดเทอร์รี่
ผู้ซึ่งงานโคเวอร์ของเขาที่นาเอา 'คลาส แอ็กชั่น' ของแลร์รี่ ลีแวนมามิกซ์กับ'วีคเก้น' โดยสาธิตแบบต่อเนื่องจากดิสโก้ใต้ดินไปเป็นเสียงเฮาส์แบบใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากฮิพฮอพในเรื่องของการแซมเปิ้ลที่เร็วขึ้นและไลน์เ บสที่หยาบๆเมื่อฮิพฮอพได้กลายเป็นเพลงที่ควรเล่นวิทยุทางเลือกอื่นที่เหลืออยู่คือร๊ อคคันทรี่ หรืออาร์แอนด์บี อิทธิพลอื่นที่มากจากนิวยอร์กจะเป็นพวกฮิพฮอพ,เร้กเก้และสังคมชาวละตินหลายๆโปรดิวเซอร์และดีเจยักษ์ใหญ่อย่างอีริคโมริโย, โรเจอร์ ซานเชสซ์,จูเนียร์ วาสเกซ,แดนนี่ เตนักเลียและโจนาธานปีเตอร์ส ต่างเริ่มปรากฏตัวด้วยเสียงที่มีความเจ๋งอันทาให้เกิดวิวัฒนาการในแนวเพลงประเภทอื่นเป็นครั้งแรก(ทริบอลเฮาส์, โปรเกรสซีฟเฮาส์และฟังกี้เฮาส์)โปรดิวเซอร์เช่นมาสเตอร์สแอทเวิร์คและเคอรี่ แชนเดลอร์เริ่มนาทางเสียงที่ฟังเป็นการาจมากขึ้นซึ่งได้ถูกหยิบยืมมาใช้โดย'บุคคลภายนอก'จากโลกของแจ๊ส, ฮิพฮอพและพวกดาวน์บีทหรือแม้กระทั่งพวกที่คลั่งไคล้เฮาส์ด้วยกัน ในช่วงปลายทศวรรษที่1980นูกรู๊ฟเร้กคอร์ดได้ยืดเวลาออกไปโดยการไม่ปล่อยงานของเรจิบูเรลและราโน่ บูเรลหรือที่รู้จักกันภายใต้ชื่อบูเรลพร้อมๆกันกับพวกดีเจย์และโปรดิวเซอร์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันในสถานที่ใต้ดินของนิวยอร์ก บูเรลเป็นผู้รับผิดชอบเสียงแบบใต้ดินของนิวยอร์กและยังเป็นแชมป์ ที่โต้เถียงไม่ได้เลยของเฮาส์สไตล์นี้ กว่าสามสิบเพลงที่ปล่อยออกมาภายใต้ชื่อของพวกเขาเป็นเหมือนหลักฐานแห่งความสาเร็จในปัจจุบันนู กรู๊ฟ เร้กคอร์ทยังคงปล่อยงานเพลงของบูเรลออกมาสู่ตลาดซึ่งทาเงินได้สูงกว่า100ดอลล่าร์ต่อแผ่นในตลาดเปิดอีกด้วย เพลงสวดวิงวอนและอาร์แอนด์บีได้ส่งอิทธิพลไปยังงานของอลิ-อัสอย่างเพลง'ไทม์พาสออน' (ทานอง) ในปี 1993และ'ฟอลโล่ มี'เป็นอันดับต่อมาซึ่งได้รับการเปิดทั้งทางวิทยุและในคลับอีกหนึ่งงานฮิตของอเมริกาที่ได้รับเล่นในวิทยุคือซิงเกิ้ลอย่าง'ไทม์ฟอร์ เดอะ เพอร์คูเลเตอร์'โดยคาจเมร์ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นแบบของแนวเพลงย่อยอย่างเก็ตโต้เฮาส์คาจเมร์เป็นผู้ริเริ่มเดอะคาจวล แอนด์ รีลีฟเมื่อต้นทศวรรษที่1990ศิลปินใหม่ๆเฮาส์ของชิคาโกได้เกิดขึ้นอย่างดีเจฟังก์ผู้จัดการงานบันทึกเสียงของชิคาโกที่เรียกว่า แดนซ์ มาเนียซึ่งจะส่งเสริมเก็ตโต้เฮาส์เป็นหลักเก็ตโต้เฮาส์และเอซิดเฮาส์เป็นแนวเพลงย่อยของเฮาส์ที่ถือกาเนิดขึ้นในชิคาโก ยุคปลายทศวรรษที่1980- ทศวรรษที่1990[แก้] ในอังกฤษได้มีการทดลองแนวดนตรีประเภทนี้มากขึ้นเฮาส์และเรฟคลับอย่างลาโคต้า,มิส มันนี่เพนนี'ส์และครีมปรากฏตัวทั่วประเทศอังกฤษเพื่อเป็นผู้อุปถัมภ์งานเฮาส์และงานเต้นราต่างๆ แนวความคิด'การชิลเอ้าท์'ถูกพัฒนาขึ้นที่ประเทศนี้ด้วยอัลบั้มของแอมเบี้ยนเฮาส์อย่างเดอะเคแอลเอฟ'ส์ชิลเอ้าท์และอะนาลอก บับเบิ้ลบาธ โดยเอเฟ็กซ์ ทวิน ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองการเต้นแนวๆแบบใหม่ได้เกิดขึ้นในนิวยอร์กวงดนตรีอย่างดี-ไลต์ได้ขยายอิทธิพลของเฮาส์ต่อนานาชาติ สองแนวเพลงที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจในยุคนี้ได้แก่'ลิตเติ้ลฟลัฟฟี คลาวด์ส'ของออบซึ่งได้แซมเปิ้ลเสียงอันเป็นเอกลักษณ์จาก ริกกี้ลี โจนส์และเพลงของเดอะแฮปปี้ มันเดย์อย่าง'โร้ทฟอร์ ลักค์(รฟล) 'ซึ่งภายหลังถูกนามาแปลงเป็นเพลงเต้นโดยพอล โอเคนโฟลด์ กฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยของประชาชนของประเทศอังกฤษฉบับปี 1994 กล่าวถึงการที่รัฐบาลพยายามจะแบนงานเต้นราแบบเรฟที่เล่นเพลงประเภทที่มีบีทซ้าๆกันโดยมีการสาธิตการ'ตัดบิล'ซึ่งไร้ผลเป็นจาน วนมากแม้ว่าบิลจะกลายมาเป็นกฎหมายในเดือนพฤศจิกายนปี 1994แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ดนตรียังคงเติบโตและเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆยิ่งเมื่อได้เกิดปรากฏการณ์ทางดนตรีอย่างพวกเลฟฟิวด์กับงาน'รีลีสเดอะ เพลสเชอร์'ซึ่งได้นาดับและเร้กเก้เข้ามาในแนวเพลงเฮาส์ในการบันทึกเสียงเพื่อการค้าได้มิกซ์เอาอาร์แอนด์บีเข้ากับไลน์เบสที่เข้มขึ้น
15.
เฮาส์ได้ถูกหล่อหลอมด้วยอิทธิพลหลายอย่างรวมไปถึงวัฒนธรรมทางคลับอย่างดิสโก้คลับในช่วงทศวรรษที่1970 เฮาส์คลับก็ได้ข้องเกี่ยวกับยาเสพติดจานวนมหาศาลที่บรรดานักเต้นใช้กันเพื่อเพิ่มบรรยากาศและประสบการณ์ทางการเต้นเช่น อามิล ไนเตรด,เอ็มดีเอ็มเอ, เคตามินและแอลเอสดี คลับรุ่นใหม่ๆอย่างมิส
มันนีเพนนี'ส์,ครีมของลิเวอร์พูล(ไม่ใช่คลับใต้ดินที่ชื่อซี.อาร์.อี.เอ.เอ็ม) และ เดอะ มินิสทรี ออฟ ซาวน์ได้เปิดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สาหรับเพลงเพื่อการค้าค่ายเพลงใหญ่ๆหลายค่ายเริ่มเปิดซุปเปอร์คลับ ขึ้นเพื่อโปรโมตงานของพวกเขาสามซุปเปร์คลับใหญ่ๆเริ่มได้รับการสปอนเซอร์โดยอาหารประเภทฟาสฟู้ ด, เครื่องดื่มอัดลมและบริษัทเสื้อผ้าใบปลิวของคลับต่างๆในอิบิซาเริ่มใส่โลโก้จองบริษัทต่างๆเข้าไป แนวเพลงย่อยแนวใหม่อย่างชิคาโกฮาร์ดเฮาส์ถูกพัฒนาขึ้นโดยดีเจเช่นแบดบอย บิล, ดีเจลินวู้ด,ดีเจไอรีณ,ริขาร์ด'ฮัมป์ ตี้' วิชชั่นและดีเจเอ็นรี่โดยมิกซ์เอาชิคาโกเฮาส์,ฟังกี้เฮาส์และฮาร์ดเฮาส์เข้าด้วยกัน ย่างเข้าช่วงปลายทศวรรษที่1990ก้าวสู่ทศวรรษที่2000โปรดิวเซอร์อย่างดาฟต์พังก์,แคสเซียส,เซนต์.เจอร์เมนและดีเจฟอลคอน เริ่มผลิตเสียงแนวใหม่ออกมาจากเฮาส์ของปารีสพวกเขาได้วางฐานงานเอาไว้เพื่อสิ่งที่รู้จักกันในนาม การเคลื่อนไหวของเฮาส์แบบฝรั่งเศสโดยการรวบรวมเอา ปรัชญาแบบ'เหลี่ยมคมที่ชัดขึ้นแต่ยังคงซึ่งความเป็นโซล'ของชิคาโกเฮาส์กับเสียงดนตรีของเพลงฟังก์และดิสโก้จากยุค 1970 การก้าวหน้าพัฒนาระดับสูงสุดในช่วงเวลาหนึ่งนั้นของเทคนิคกระบวนการผลิต (อย่างสิ่งบางอย่างอาจล้าสมัยจึงไม่เป็นที่ยิสมในกระแสดนตรีหลัก)รวมไปถึงเสียงจากเครื่องสังเคราะห์เสียงแบบอะนาลอก พวกเขาได้เริ่มสร้างมาตรฐานเพื่อที่จะได้ครอบคลุมแนวเพลงเฮาส์ที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาฟ ฟังก์ที่ช่วยในเรื่องของความก้าวหน้าของประเภทเพลงในหลายๆด้านรวมไปถึงการที่พวกเขาได้นิยามการแสดงของเฮาส์ขึ้นมาใหม่ ก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวดนตรีอิเลคโทรนิคส่วนใหญ่โดยเฉพาะเฮาส์และอีดีเอ็มที่ดีเจได้นามาแสดงมักจะถูกสร้างขึ้นในสตูดิโอ วางกดลงไปในไวนิลแล้วนามาเล่นบนระบบเสียงขนาดยักษ์อย่างไรก็ตามในช่วงเดบิวท์ทัวร์ของพวกเขาดาฟ พังค์เลือกที่จะนาสตูดิโอของพวกเขาไปด้วยแล้วแสดงสดทุกเพลงบนเกียร์แบบอะนาลอก100เปอร์เซ็นต์ จวบจนปัจจุบันนี้พวกเขายังคงใช้เครื่องมือบางอย่างที่พวกเขาได้เคยใช้ในการแสดงทัวร์ครั้งนั้น เมื่อป็อปก้าวเข้าสู่เฮาส์[แก้] แม้แนวดนตรีเฮาส์จะหนักไปทางการเต้นแต่เฮาส์ก็เริ่มก้าวเข้าสู้วงการเพลงป็อปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ด้วยดนตรีแนวเฮาส์สไตล์ใหม่ที่รู้จักกันดีว่า ป็อปเฮาส์ดนตรีเฮาส์กับป๊ อปได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงปี 1987-1989 กับศิลปินอย่างครัช,โคลด์คัต,แย๊ส,เพนท์เฮาส์4,ป็อปสตาร์, บอมบ์ เดอะ เบส, เอส- เอกซ์เพลสและแบล๊คบ๊อกซ์ซึ่งเป็นกลุ่มศิลปินแนวป็อปเฮาส์จากอิตาลี. ศตวรรษที่21:ช่วงทศวรรษที่2000[แก้] นายกเทศมนตรีของชิคาโกริชาร์ดเอ็มดาเล่ย์ประกาศให้วันที่ 10สิงหาคม2005 เป็นวัน'รวมพลเฮาส์'เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแนวดนตรีเฮาส์ครบ21ปี (ในความเป็นจริงคือ21ปีแห่งการก่อตั้งแทร็กซ์เร้กคอร์ท) จากการประกาศครั้งนี้ได้ทาให้ชิคาโกได้เป็นที่จดจาว่าเป็น'ต้นกาเนิดของแนวดนตรีเฮาส์'และที่ว่าผู้สร้างสรรค์แนวเพลงนี้ขึ้นมา'ได้รับแ รงบันดาลใจจากความรักที่มีต่อเมืองกับความฝันที่เชื่อว่าสักวันเพลงของพวกเขาจะกลายเป็นข้อความแห่งสันติภาพและการรวมเป็นห นึ่งเดียวของโลก'ดีเจอย่างแฟรงกี้นักเกิ้ลส์,มาแชลเจฟเฟอร์สัน,พอล จอห์นสันและมิกกี้โอลิเวอร์ต่างฉลองการประกาศในครั้งนี้ที่ เดอะ ซัมเมอร์ แดนซ์ ซีรีส์ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรมของชิคาโก กลางทศวรรษที่2000ประเภทเพลงผสมอย่างอิเล็กโทรเฮาส์,ดาร์กเฮาส์,ฟิดเจ็ทเฮาส์และเทคเฮาส์ได้ปรากฏขึ้น การผสมผสานแนวดนตรีครั้งนี้เกิดจากการข้ามสไตล์ทางดนตรีโดยศิลปินอย่างเดนนิสเฟอร์เรอร์และบูก้า
16.
เชดด้วยสไตล์การผลิตที่มีวิวัฒนาการมาจากโซลฟูลเฮาส์ของนิวยอร์กที่มีอยู่ก่อนเก่าผนวกกับรากฐานใหม่ของเทคโน ดีเจต่างๆในวันนี้ต่างมีความสามารถในการผสมผสานแนวเพลงย่อยประเภทต่างๆของเฮาส์ด้วยการแชร์องค์ประกอบทางดนตรีที่ดีเยี่ย มเข้าด้วยกัน เมื่อถึงช่วงปลายทศวรรษที่2000แนวดนตรีเฮาส์ยังคงมีอิทธิพลต่อเพลงในคลับทั่วโลก ทั้งยังได้เห็นการกลับมาของเฮาส์ในกระแสแนวดนตรีหลักกับงานของโปรดิวเซอร์อย่างจัสติน,เดวิดกูเอ็ตต้าและเบนนี่ บีนาซซิที่ทาให้เพลงเฮาส์ที่เบาขึ้นเจือจางลงมีความรู้สึกแบบยูโรแดนซ์กลับเข้ามาติดอเมริกันท๊อป 40 ชาร์ต ด้วยแนวดนตรีที่มั่นคงแต่เบาบางทาให้ประสบความสาเร็จท่ามกลางกระแสแนวดนตรีหลัก การพัฒนาทางแนวความคิดโดยโปรดิวเซอร์ของเฮาส์ได้ส่งผลกระทบไปยังโลกแห่งป๊
อปและฮิพฮอพด้วย ด้วยการเปิดตัวของโวคอเดอร์และออโต้ทูนที่ถูกนามาใช้เป็นครั้งแรกโดยดาฟ พังค์รวมทั้งการเป็นที่นิยมโดยทั่วไปของสถานีทาเพลงแบบดิจิตอลและเทคนิคการผลิตแบบใหม่อย่างไซด์เชนนิ่งและเฮฟวี่ คอมเพรสชั่นเฮาส์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางดนดรีของอเมริกามากขึ้นและมากขึ้น เฮาส์ แหล่งกำเนิดทำงรูปแบบ ดิสโก้, อิเล็กโทร, บูกี, โพสต์พังก์,ไฮเอ็นอาร์จี แหล่งกำเนิดทำงวัฒนธรรม ต้นทศวรรษที่1980 ชิคาโก,สหรัฐอเมริกา เครื่องบรรเลงสำมัญ แซมเพลอร์, ดรัมแมชชีน, เครื่องสังเคราะห์เสียง, คีย์บอร์ด, ซีเควนเซอร์ รูปแบบอนุพันธุ์ เรฟ• ยูเอสการาจ(ศัพท์ที่มีต้นกาเนิดจากสหราชอาณาจักรซึ่งใช้เรียกแนวดนตรีเฮาส์ แต่ไม่ได้ใช้ในสหรัฐอเมริกา) แนวย่อย แอซิดเฮาส์ •Balearic House •ชิคาโกเฮาส์•ดาร์กเฮาส์•ดรีมเฮาส์•ดิสโกเฮาส์•ดิวาเฮาส์•อิเล็กโทรเฮาส์•ยูโรเฮาส์•กรินด์เฮาส์•ฮาร์ดแบ็ก•ฮ าร์ดเฮาส์•ไมโครเฮาส์•มินิมัลเฮาส์•โพรเกรซซิฟเฮาส์•ไทรบัลเฮาส•โวคัลเฮาส์ แนวประสาน อัลเทเนทีฟแดนซ์ •แอมเบียนต์เฮาส์• ดีปเฮาส์•ดาวน์เทมโป• ฟังกี้เฮาส์•อิเล็กทรอนิกร็อก•เกตโตเฮาส•เฮาส์- ป็อป • ฮิปเฮาส •ละตินเฮาส์•แมดเชสเตอร์ • นีโอโซล• เท็กเฮาส์•ลิควิดฟังก์ ทัศนียภาพในระดับภูมิภาค
17.
ชิคาโก•ซานฟรานซิสโก•นิวยอร์ก•นิวเจอร์ซีย์• ดีทรอยต์• ไมอามี
•ฝรั่งเศส•อิตาลี • สหราชอาณาจักร•เกาหลีใต้ ทรานซ์ (Trance) เป็นแนวเพลงอีเลกโทรนิกแด๊นซ์ที่พัฒนาในทศวรรษ1990มีจังหวะอยู่ราว128และ160บีพีเอ็ม เมโลดี้ใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงที่รวมรูปแบบต่างๆของดนตรีอีเลกโทรนิก อย่างเช่นดนตรีแอมเบียนต์ เทคโนและดนตรีเฮาส์ยังมีการอธิบายว่าแทรนซ์มีเมโลดี้คลาสสิกบนจังหวะจังเกิล คาว่าแทรนซ์ (อังกฤษ:Trance)ไม่แน่ชัดเรื่องที่มา แต่มีบางกระแสบอกว่ามาจากชื่ออัลบั้มของKlausSchulze ที่ชื่อ Trancefer (1981)หรือศิลปินแทรนซ์ยุคแรกอย่างDance2 Trance เพลงแนวแทรนซ์มักเล่นในไนต์คลับสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนในเมือง และแทรนซ์ยังถูกจัดเป็นหนึ่งในดนตรีคลับ ทรานซ์ แหล่งกาเนิดทางรูปแบบ เทคโน เฮาส์ ดนตรีอิเล็กทรอนิกอาร์ต ดนตรีอินดัสเทรียล ดนตรีแอมเบียนต์ แหล่งกาเนิดทางวัฒนธรรม ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่1990ที่เยอรมัน เครื่องบรรเลงสามัญ คีย์บอร์ด เครื่องสังเคราะห์เสียงซีเควนเซอร์ ดรัมแมชชีนซามเพลอ รูปแบบอนุพันธุ์ ไซเคเดลิกแทรนซ์ แนวย่อย แอซิดแทรนซ์ คลาสสิกแทรนซ์-ยูโรแทรนซ์-ฮาร์ดแทรนซ์-โพรเกรซซิฟแทรนซ์- อัปลิฟทิ่งแทรนซ์ - เทกแทรนซ์ อิเล็กโทร (Electro) ชื่อเรียกอื่นอิเล็กโทรฟังก์ (electro-funk) หรืออิเล็กโทรบูกี (electro- boogie)เป็นแนวดนตรีของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการใช้ดรัมแมชชีนทีอาร์-808(TR-808) และแซมพลิงของฟังก์ในการบันทึกโดยทั่วไปจะมีดรัมแมชชีนและเสียงอิเล็กทรอนิกส์อย่างหนักโดยไม่มีเสียงร้องแต่ถ้านักร้องที่มีอยู่จะ ร้องในลักษณะไร้อารมณ์ มักจะผ่านการบิดเบือนจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เช่นโวคอเดอร์และทอล์กบ็อกซ์ คือความแตกต่างที่สาคัญระหว่างอย่างอิเล็กโทรและแนวเพลงที่โดดเด่นก่อนหน้าคือดิสโก้ ซึ่งเสียงอิเล็กทรอนิกส์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประพันธ์ดนตรี นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนก่อนหน้าอย่างบูกี ที่มุ่งเน้นเสียงร้องน้อยลงและเน้นจังหวะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตจากดรัมแมชชีน อิเล็กโทร แหล่งกาเนิดทางรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์,อิเล็กโทรป็อป,บูกี,ฮิปฮอป,
18.
แหล่งกาเนิดทางวัฒนธรรม ต้นคริสต์ทศวรรษ1980 ในยุโรปญี่ปุ่นและ สหรัฐอเมริกา(นิวยอร์กและดีทรอยต์) เครื่องบรรเลงสามัญ
เครื่องสังเคราะห์เสียงดรัมแมชชีนVocoderแซมเพลอร์ รูปแบบอนุพันธุ์ ไมแอมีเบส ElectroclashFreestyle แนวย่อย อิเล็กโทรฮ็อปเทคโนเบสSkweee แนวประสาน Ghettotech เบรกบีตฮาร์ดคอร์ (Breakbeathardcore) เป็นแนวเพลงแดนซ์ได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงแอซิดเฮาส์และเบรกบีตที่เกิดขึ้นปลายทศวรรษ1980 เริ่มแพร่กระจายใน สหราชอาณาจักรในต้นทศวรรษ1990s เพลงแนวเบรกบีตฮาร์ดคอร์มักเล่นในไนต์คลับในสหราชอาณาจักร และเบรกบีตฮาร์ดคอร์ยังถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งในดนตรีเรฟ เบรกบีตฮำร์ดคอร์ แหล่งกาเนิดทางรูปแบบ เทคโน อิตาโลเฮาส์ เอซิดเฮาส์ เบรกบีตเทคนิค แหล่งกาเนิดทางวัฒนธรรม ปลายคริสต์ทศวรรษที่1980s; ในสหราชอาณาจักร เครื่องบรรเลงสามัญ เครื่องสังเคราะห์เสียง-ดรัมแมชีน - Sequencer-คีย์บอร์ด -แซมเพลอร์ รูปแบบอนุพันธุ์ โอลด์สคูลจังเกิล แฮบปี่ ฮาร์ดคอร์ ดรัมแอนด์เบส(: Drum and bass มักย่อว่าd&b, DnB, dnb, d'n'b, drum n bass, drum & bass) เป็นแนวเพลงแด๊นซ์ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันว่า จังเกิลที่เกิดขึ้นปลายทศวรรษ1980มีลักษณะจังหวะเบรกบีทที่รวดเร็ว(ความเร็วอยู่ระหว่าง160–180 bpm) กับไลน์เบสย่อยที่หนักหน่วง
19.
ดรัมแอนด์เบสแตกย่อยมาจากยูเคเรฟในช่วงต้นๆยุค 90 และต้นช่วงต้นๆ
มีการเปลี่ยนแปลงสไตล์สิ่งประกอบหลายๆอย่าง จากแนวดนตรีหลากหลายแนว ดรัมแอนด์เบส แหล่งกาเนิดทางรูปแบบ เบรกบีท -เรฟ -เทคโน -ฮิปฮอป -ดั๊บ - แด๊นซ์ฮอลล์ - รักกา- แจ๊ส แหล่งกาเนิดทางวัฒนธรรม ต้นยุค1990 ในลอนดอน และบริสทอล, สหราชอาณาจักร เครื่องบรรเลงสามัญ เครื่องสังเคราะห์เสียง-ดรัมแมชีน - Sequencer-คีย์บอร์ด -แซมเพลอ- คอมพิวเตอร์ส่วนตัว แนวย่อย ดาร์กคอร์ -ดาร์กสเต็ป- ดรัมฟังก์ - ฮาร์ดสเต็ป- อินเทลลิเจนท์ดรัมแอนด์เบส- แจ๊ซสเต็ป -จัมป์ -อัพ- เนอร์โรฟังก์ - เทคสเต็ป-เทคโน-ดรัมแอนด์เบส แนวประสาน ลิควิดฟังก์ -รักกาจังเกิล-อินดัสเตรียลดรัมแอนด์เบส- รักกาคอร์ ทัศนียภาพในระดับภูมิภาค แซมเบส ยูโรบีต (Eurobeat)เป็นแนวเพลงเต้นที่เล่นด้วยเครื่องดนตรีไฟฟ้ าแนวหนึ่ง ลักษณะโดยสังเขปเป็นเพลงที่สร้างจากเครื่องดนตรีไฟฟ้ าเช่นsysthesiser เป็นหลัก จังหวะ 4/4 มีความเร็วประมาณ120ถึง 160 BPM. โครงสร้างของเพลงประกอบด้วยท่อนอินโทรทานองAทานองB ท่อนซาบิ(ท่อนฮุค) ซ้าทานอง 2 ถึง3 รอบ. แบบดั้งเดิมเรียกว่าHi-NRGแต่หลังจากนิตยสารเพลงชื่อเรคคอร์ดมิเร่อร์ ของอังกฤษ เปลี่ยนชื่อของการจัดลาดับความนิยมของเพลงแนว Hi-NRGจาก"Hi-NRGChart"เป็น "EUROBEAT Chart" ทางญี่ปุ่นจึงคุ้นเคยกับชื่อนี้ Eurobeat แหล่งกาเนิดทางรูปแบ บ 1985–1989:แดนซ์ป็อป บริติชป็อปมิวสิก อิตาโลดิสโก้ 1987–ปัจจุบัน: ดนตรีเฮาส์/ไฮ- เอ็นอาร์จี เพลงที่มีองค์ประกอบที่ชวนให้นึกถึงอิตาโลดิสโก้ ที่ผลิตส่วนใหญ่อยู่ในอิตาลีที่ค่อนข้างจะเฉ พาะสาหรับญี่ปุ่น
20.
แหล่งกาเนิดทางวัฒนธ รรม 1985–1989:สหราชอาณาจักร 1987–ปัจจุบัน: อิตาลี และญี่ปุ่น เครื่องบรรเลงสามัญ
เครื่องสังเคราะห์เสียงดรัมแมชชีน,กีตาร์ไฟฟ้ า รูปแบบอนุพันธุ์ J-pop,Eurodance,Italo dance ทัศนียภาพในระดับภูมิภาค ช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ1980:สหราชอาณาจักร กลางทศวรรษ1980ถึงวันนี้:ญี่ปุ่น(ปลายทศวรรษ1990จนถึงวันนี้SuperEurobeat) อื่น ๆ Para Para Initial D, Dance Dance Revolution ยุคโรแมนติก(ค.ศ.1810-1910) เป็นยุคของดนตรีคลาสสิกในช่วงศตวรรษที่19 ซึ่งเน้นอารมณ์ของดนตรีมากกว่าความสมดุลของบทตอน และเน้นความเป็นตัวตนของคีตกวีมากกว่ากฎเกณฑ์ทางดนตรีที่มีมาแต่เดิม คาว่า"โรแมนติก"ถูกประยุกต์ใช้ในวงการดนตรีปี ค.ศ.1810ซึ่งเอามาจากวงการวรรณกรรมมีความหมายว่า อารมณ์ที่รุนแรงของมนุษย์โดยลักษณะดนตรีแบบโรแมนติกนี้เริ่มขึ้นในงานของนักประพันธ์เพลงและนักดนตรีชื่อลุดวิจฟาน เบโธเฟน(LudwigvanBeethoven)ดนตรียุคโรแมนติกนั้นเริ่มต้นด้วยเพลงขับร้องและเพลงเปียโนสั้นๆ ต่อมาเป็นเพลงสาหรับวงออร์เคสตรา ลักษณะดนตรีของยุคโรแมนติก ดนตรียุคโรแมนติกมีลักษณะของแนวทานองที่เต็มไปด้วยการบรรยายความรู้สึกมีแนวทานองเด่นชัด ลักษณะการแบ่งวรรคตอนเพลงไม่ตายตัว การประสานเสียงได้พัฒนาต่อจากยุคคลาสสิกทาให้เกิดการคิดคอร์ดใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อใช้แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกมีการนาคอร์ดที่เสียงไม่กลมกลืนมาใช้มากขึ้น มีการใช้โน้ตนอกคอร์ดบันไดเสียงที่มีโน้ตครึ่งเสียง(ChromaticScale) การเปลี่ยนบันไดเสียงหนึ่งไปอีกบันไดเสียงหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง การประสานเสียงแบบโฮโมโฟนี(Homophony) ยังคงเป็นลักษณะเด่นสืบเนื่องมาจากยุคคลาสสิกการใช้เสียงดัง-เบามีตั้งแต่pppไปจนถึง fff คีตลักษณ์ของเพลง(form) ยังคงเป็นแบบSonata Formแบบยุคคลาสสิกแต่มีความยืดหยุ่นของโครงสร้าง ในยุคนี้ดนตรีบรรเลงและบทเพลงสาหรับเปียโนเป็นที่นิยมประพันธ์กันมากขึ้น ลักษณะของวงออร์เคสตราจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามแต่ผู้ประพันธ์เพลงจะกาหนด เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงสาหรับชาวบ้านเป็นที่นิยมประพันธ์กันแต่เพลงโบสถ์ก็ยังคงมีการประพันธ์อยู่เช่นกัน ในลักษณะของเพลงแมสที่ใช้เพื่อประกอบศาสนพิธีและเพลงเรควีเอ็มที่ใช้ในพิธีศพ สาหรับบทเพลงโอเปร่าและเพลงร้องก็มีพัฒนาการควบคู่ไปเนื้อร้องมีตั้งแต่การล้อการเมืองความรักกระจุ๋มกระจิ๋ม ไปจนถึงเรื่องโศกนาฏกรรมความเชื่อส่วนบุคคล การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
21.
บทประพันธ์ที่สาคัญในยุคโรแมนติก 1.ประเภทซิมโฟนี (Symphony) SymphonyNo. 3
(Eroica)- เบโธเฟน SymphonyNo. 6 (Pastoral)- เบโธเฟน SymphonyNo. 9 (Choral)- เบโธเฟน SymphonyNo. 8,in B minor(Unfinished)-ชูเบิร์ต SymphonyNo. 4 (Italian) - เมนเดลโซห์น SymphonyNo. 3 (Rhenish) - ชูมันน์ SymphonyNo. 1-4 - บราห์มส์ SymphonyNo. 6 (Pathetique)-ไชคอฟสกี้ SymphonyNo. 9 (Fromthe New World)- ดโวชาค 2.ประเภทคอนแชร์โต (Concerto) PianoConcerto No.5 (Emperor)-เบโธเฟน PianoConcerto in B-flat minor-ไชคอฟสกี้ PianoConcerto in AminorOp.16 - กรีก PianoConcerto No.2 -ราคมานินอฟ Violin Concertoin D, Op.61- เบโธเฟน Violin Concertoin E minor,Op.64- เมนเดลโซห์น Violin Concertoin D major,Op.77- บราห์มส์ Violin Concertoin D major,Op.35- ไชคอฟสกี้ 3.ประเภทโอเปร่า(Opera) 3.1 SeriousOpera Carmen- บิเซต์ Aida -แวร์ดี La Traviata -แวร์ดี Madama Butterfly -ปุชชีนี (Puccini) Tristan and Isolde- วากเนอร์ WilliamTell-รอสชินี 3.2 ComicOpera The Barber ofSeville -รอสชินี The Barthered Bride- รอสซินี The Doctor Despite Himself-กูโนด์ 4.ประเภทดนตรีบรรยายเรื่องราว(ProgramMusic)แบ่งย่อยได้ 4 ชนิดคือ 4.1 ConcertOverture HabridesOverture - เมนเดลโซห์น
22.
Overture1812 - ไชคอฟสกี้ Romeoand
Juliet- ไชคอฟสกี้ 4.2 Incidental Music A MidsummerNight'sDream - เมนเดลโซห์น The Planets- โฮลสต์ PeerGynt -กรีก Scheherazade-ริมสกี-คอร์สคอฟ The Carnival of the Animals - แซงต์-ซองส์ 4.3 ProgramSymphony Dante - ลิซท์ Faust- ลิซท์ Haroldin Italy - แบร์ลิออส Romeoand Juliet- แบร์ลิออส SymphonyFantastique - แบร์ลิออส 4.4 Tone Poem(SymphonicPoem) Don Juan -สเตราส์ Don Quixote- สเตราส์ Finlandia-ซิบิเลียส The Moldau - สเมนตานา 5.ประเภทบัลเลต์(Ballet) Borelo -ราเวล CinderellaBallet- โปรโกเฟียฟ Romeoand Juliette -โปรโกเฟียฟ The SleepingBeauty-ไชคอฟสกี้ Swanlake-ไชคอฟสกี้ 6.ประเภทแชมเบอร์มิวสิค (ChamberMisic) PianoQuintetin AMajor, Op.114-ชูเบิร์ต StringQuintetin C D.956 (2 violins, viola,2 cellos)- ชูเบิร์ต StringSextet in Bb Op.18(Spring)- บราห์มส์ 7.ประเภทโซนาตา(Sonata) PianoSonata inC minor(Pathetique)-เบโธเฟน PianoSonata inBb minor- โชแปง Violin SonataOp.47 (Kreutzer) - โชแปง 8.ประเภทอื่นๆ 8.1 บทเพลงร้องและเพลงสาหรับเปียโน
23.
Erikonig- ชูเบิร์ต Nocturne in
EbMajor Op.9 No.2 -โชแปง EtudesOp.10 - โชแปง 8.2 บทเพลงแมส Missa Solemnis-เบโธเฟน Requiem- แบร์ลิออส Requiem- แวร์ดี GermanRequiem –บราห์มส์ ประโยชน์ของเสียงดนตรี พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาด้านอารมณ์ พัฒนาด้านภาษา พัฒนาด้านร่างกาย พัฒนาด้านปัญญา พัฒนาด้านความเป็นเอกบุคคล พัฒนาด้านสุนทรีย์ พัฒนาสมองให้มีความคิดที่ดี เครื่องดนตรี คืออุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาหรือปรับจากอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อใช้งานสาหรับการผลิตเสียงดนตรี หรือสร้างเสียงสาหรับใช้ประกอบในการร้องราทาเพลงโดยหลักการแล้ว อุปกรณ์ใดก็ตามที่สามารถนามาใช้ผลิตเสียงดนตรี ย่อมเรียกว่า เครื่องดนตรี ได้ทั้งสิ้นผู้ที่ใช้เครื่องดนตรีนั้นเรียกว่านักดนตรี เครื่องดนตรีไทยคือเครื่องดนตรี ที่สร้างสรรค์ขึ้นตามศิลปวัฒนธรรมดนตรีของไทยที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนไทยโดยนิยมแบ่งตามอากัปกิริยา ของการบรรเลงเครื่องดีดเครื่องสีเครื่องตีเครื่องเป่า เครื่องดนตรีหลักๆได้แก่ ปี่ ซอ ซออู้ ซอด้วง ระนาดฆ้อง จะเข้ ฉิ่งฉาบกลองยาวโหม่งและ กรับ ประวัติ[แก้] เครื่องดนตรีไทยเกิดจากชนชาติไทยเองและการเลียนแบบชนชาติอื่นๆ ที่อยุ่ใกล้ชิดโดยเริ่มตั้งแต่สมัยโบราณที่ไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของประเทศจีนในปัจจุบัน ทาให้เครื่องดนตรีไทยและจีนมีการแลกเปลี่ยนเลียนแบบกันนอกจากนี่ยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด ที่ชนชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนที่จะมาพบวัฒธรรมอินเดียซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีน สาหรับชื่อเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะเรียนตามคาโดดในภาษาไทยเช่นเกราะโกร่งกรับฉิ่ง ฉาบขลุ่ย พิณเปี๊ยะซอ ฆ้องและกลองต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีให้พัฒนาขึ้นโดยนาไม้ที่ทาเหมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้เครื่องดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนาฆ้องหลายๆใบมาทาเป็นวงเรียกว่าฆ้องวงเป็นต้น
24.
นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทางดนตรีของอินเดียมอญเขมรในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ได้แก่ พิณสังข์ ปี่ไฉนบัณเฑาะว์กระจับปี่ จะเข้
โทน(ทับ) เป็นต้นต่อมาเมื่อมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไทยได้นาบทเพลงและเครื่องดนตรีบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทยเช่นกลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายูเปิงมางของมอญและกลองยาวของไทยใหญ่ที่พม่านามาใช้ รวมทั้งขิมม้าล่อและกลองจีน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของจีนเป็นต้น ต่อมาไทยมีความสัมพันธ์ชาวกับตะวันตกและอเมริกาก็ได้นากลองฝรั่งเช่นกลองอเมริกัน และเครื่องดนตรีอื่นๆเช่นไวโอลีนออร์แกนมาใช้บรรเลงในวงดนตรีของไทย จากประวัติเครื่องดนตรีไทยดังกล่าวสามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีไทยได้เป็น 4สมัยดังนี้ สมัยสุโขทัย[แก้] ชาวไทยมีความสนุกสนานกับการเล่นดนครีและร้องเพลงกันมากดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงหลักที่ 1ว่า "ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์เสียงพิณเสียงเลื้อนเสียงขับใครจักมักเล่นเล่นใครจักมักหัวหัวใครจักมักเลื้อนเลื้อน" ซึ่งแลดงถึงการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตีเป่าดีดและสีคือ กลอง ปี่ พิณ และเครื่องดนตรีทีมีสายไว้สีได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกันในหลักศิลาจารึกในวัดพระยืนจังหวัดลาพูนที่จารึกไว้ว่า "ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียนตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลองปี่สรไนพิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาลมรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้องอีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้านทั่งทั้งนครหริภุญชัยแล"ซึ่งแสดงถึงเครื่องดนตรีบรรเลงในวงดนตรี และประชาชนนามาเล่นเพื่อความสนุกสนานครึกครื้นกัน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในสมัยนั้นได้แก่ วงแตรสังข์ ที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธีต่างๆประกอบด้วยเครื่องดนตรีแตรฝรั่งแตรงอนปี่ไฉนแก้วกลองชนะบัณเฑาะว์และมโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบด้วยปี่ในฆ้องวง ตะโพนกลองทัด และฉิ่งนอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีเช่นพิณและซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย สมัยอยุธยา[แก้] เป็นช่วงที่บ้านเมืองมีศึกสงครามอยู่ตลอดเวลาจึงทาให้ดนตรีไทยไม่เจริญก้าวหน้ามากนักยังคงมีเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ เครื่องห้าเท่าเดิมจนมาเพิ่มระนาดเอกภายหลังในตอนปลายสมัยอยุธยาส่วนวงดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นได้แก่ วงมโหรี ที่บรรเลงโดยผู้หญิงเพื่อขับกล่อมถวายแด่พระมหากษัตริย์ประกอบด้วยเครื่องดนตรี กระจับปี่ ซอสามสายโทน(ทับ)กรับรามะนา ขลุ่ยและฉิ่งแต่ต่อมาได้นาจะเข้ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของมอญมาประสมแทนกระจับปี่ เพื่อให้ทานองได้ละเอียดลออและไพเราะกว่า และวงเครื่องสายประกอบด้วยเครื่องดนตรี ซอด้วงซออู้ จะเข้ ขลุ่ยโทน(ทับ) และฉิ่ง สมัยธนบุรี[แก้] มีวงดนตรี 3 ประเภทเช่นเดียวกับสมัยอยุธยาคือวงปี่พาทย์วงมโหรี และวงเครื่องสายแต่มีเครื่องดนตรีของชาติต่างๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิดดังปรากฏในหมายกาหนดการของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทยพิณพาทย์รามัญมโหรีไทยฝรั่งมโหรีญวนเขมรผลัดเปลี่ยนกันสมโภช 2เดือนกับ12 วัน” ในงานสมโภชพระแก้วมรกตเป็นต้น เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่15ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้ องกันประเทศเสียโดยมากวงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่าได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้นสันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง สมัยรัตนโกสินทร์
25.
ความก้าวหน้าทางดนตรีมากเริ่มจากสมัยรัชกาลที่1ได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์เป็น2ลูกและเพิ่มระนาดในวงมโหรีปี่พาทย์อีก 1 ราง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่2เริ่มมีปี่พาทย์บรรเลงประกอบเสภาจึงได้นาเปิงมางมาติดข้างสุกถ่วงเสียงให้ต่าลงเรียกว่าสองหน้า ใช้ประกอบการบรรเลงประกอบเสภาและได้เพิ่มฆ้องวงในวงมโหรีด้วยในสมัยรัชกาลที่
3มีผู้สร้างระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นมา ทาให้เกิดวงปี่พาทย์เครื่องคู่ขึ้นในสมัยนั้นซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีระนาดทีเปลี่ยนชื่อเป็นระนาดเอก เพื่อให้เข้าคู่กับระนาดแบบใหม่ที่เพิ่มราง1 รางและสร้างขนาดใหญ่เรียกว่าระนาดทุ้มและฆ้องวงใหญ่ เพื่อให้เข้าคู่กับฆ้องวงเล็กที่สร้างขนาดเล็กลงเรียกว่าฆ้องวงเล็กนอกจากนี่ยังมีการนาปี่นอกเข้ามาผสมเข้าคู่กับปี่ใน และเครื่องดนตรีเดิมคือตะโพนกลองทัดและฉิ่งเช่นเดิมรวมทั้งมีวงมโหรีเครื่องคู่เกิดขึ้นโดยมีการนาระนาดทุ้มฆ้องวงเล็ก และขลุ่ยหลีบให้เข้าคู่กับเครื่องดนตรีที่มีอยู่เดิมในสมัยรัชกาลที่4วงปี่พาทย์มีความเจริญมากโดยเจ้านายขุนนางข้าราชการ ต่างก็มีวงปี่พาทย์ประจาบ้านกันและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระราชดาริให้นาลวดเหล็กเล็กๆ ที่ทอดพระเนตรจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กลไกข้างในมีลวดเส้นเล็กๆสั้นบ้างยาวบ้างปักเรียงกันถี่ ๆ เป็นวงกลมคล้ายหวีตรงกลางมีแกนหมุนและเหล็กเขี่ยเส้นลวดเหล็กเหล่านั้นผ่านไปโดยรอบที่พระองค์ทรงเรียกว่านาฬิกาเขี่ยหวี ซึ่งมีเสียงดังกังวานมาสร้างเป็นระนาดทุ้มเหล็กและระนาดเหล็กที่เล็กกว่าและมีเสียงสูงกว่ามาเพิ่มเข้าในวงปี่พาทย์ และเรียกวงปี่พาทย์นี้ว่าวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องดนตรี ระนาดทุ้มเหล็กและระนาดเอกเหล็กที่ทาด้วยทองเหลืองเรียกว่าระนาดทองและนาซอด้วงและซออู้มาผสมในวงมโหรีด้วยเรียกว่า มโหรีเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่5ได้เกิดวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อบรรเลงประกอบละครวงปี่พาทย์นี้มีชื่อเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่าเพราะได้ดัดเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังมาก เสียงสูงและเสียงเล็กแหลมออกจนหมดและระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวมรวมทั้งยังนาฆ้องชัยหรือฆ้องหุ่ยมา7ลูก เทียบเสียงเรียงลาดับตีห่างๆคล้ายกับเบสของฝรั่งเพิ่มเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 6การดนตรีมีความเจริญขึ้นมาก โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งกรมมหรสพกรมบัญชาการกรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวงกลองเครื่องสายฝรั่งหลวงและกรมช่างมหาดเล็กสาหรับสร้างและซ่อมสิ่งที่เป็นศิลปะต่างๆ และพระองค์ยังโปรดเกล้าฯให้สร้างเครื่องปี่พาทย์ประดับมุกและประดับงาขึ้น 2ชุด ประดับเป็นลวดลายวิจิตร มีอักษรพระปรมาภิไธยม.ว.ซึ่งงดงามมีค่ายิ่งในสมัยรัชกาลที่ 7พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งวงเครื่องสาย ส่วนพระองค์ขึ้นโดยพระองค์ทรงซอด้วงและพระบรมราชินีทรงซออู้ พร้อมทั้งเจ้านายอีกหลายพระองค์อยู่ในวงนั้นนอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงราตรีประดับดาวเถาเพลงเขมรละออองค์เถาและเพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3ชั้น ต่อมาเมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475การดนตรีไทยได้ค่อยๆเสื่อมลงจนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่2 ไปแล้ว จึงได้มีการฟื้นฟูดนตรีไทยขึ้นใหม่จนมาถึงปัจจุบันนี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปรีชาสามารถทางดนตรีสากลและพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นหลายเพลงด้วยแต่พระองค์ยังทรงสนพระทัยการดนตรีไทย โดยพระราชทานทุนให้พิมพ์เพลงไทยเป็นโน้ตสากลออกจาหน่ายจนเป็นที่นิยมของวงการดนตรีทั่วไป เครื่องดนตรีไทยแบ่งตามภาคต่างๆ ของประเทศ เครื่องดนตรีแต่ละภาคเป็นดนตรีพื้นบ้านที่ถ่ายทอดกันมาด้วยวาจาซึ่งเรียนรู้ผ่านการฟังมากกว่าการอ่าน และเป็นสิ่งที่พูดต่อกันมาแบบปากต่อปากโดยไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จึงเป็นลักษณะการสืบทอดทางวัฒนธรรมของชาวบ้านตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นกิจกรรมการดนตรีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทางาน และช่วยสร้างสรรค์ความรื่นเริงบันทิงเป็นหมู่คณะและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น
26.
ซึ่งจะทาให้เกิดความรักสามัคคีกันในท้องถิ่นและปฏิบัติสืบทอดต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ทางพื้นบ้านของท้องถิ่นนั้นๆสืบต่อไป เครื่องดนตรีของไทยสามารถแบ่งออกตามภูมิภาคต่างๆของไทยได้ ดังนี้ เครื่องดนตรีภาคกลางประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทดีดสี ตี
เป่า โดยเครื่องดีดได้แก่ จะเข้และจ้องหน่องเครื่องสี ได้แก่ ซอด้วงและซออู้ เครื่องตีได้แก่ ระนาดเอกระนาดทุ้มระนาดทองระนาดทุ้มเล็กฆ้องโหม่ง ฉิ่ง ฉาบและกรับเครื่องเป่าได้แก่ ขลุ่ยและปี่ ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีภาคกลางคือวงปี่พาทย์ของภาคกลางจะมีการพัฒนาในลักษณะผสมผสานกับดนตรีหลวง โดยมีการพัฒนาจากดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวงพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องดนตรี มากขึ้นจนเป็นวงดนตรีที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีการขับร้องที่คล้ายคลึงกับปี่พาทย์ของหลวง ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายโยงทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมราษฎร์และหลวง เครื่องดนตรีภาคเหนือในยุคแรกจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทตีได้แก่ ท่อนไม้กลวงที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในเรื่องภูตผีปีศาจและเจ้าป่า เจ้าเขาจากนั้นได้มีการพัฒนาโดยนาหนังสัตว์มาขึงที่ปากท่อนไม้กลวงไว้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่ากลอง ต่อมามีการพัฒนารูปแบบของกลองให้แตกต่างออกไปเช่นกลองที่ขึงปิดด้วยหนังสัตว์เพียงหน้าเดียวได้แก่ กลองรามะนากลองยาว กลองแอวและกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์ทั้งสองหน้าได้แก่ กลองมองเซิงกลองสองหน้าและตะโพนมอญ นอกจากนี้ยังมีเครื่องตีที่ทาด้วยโลหะเช่นฆ้อง ฉิ่ง ฉาบส่วนเครื่องดนตรีประเภทเป่าได้แก่ ขลุ่ยย่ะเอ้ ปี่แนปี่มอญ ปีสรไน และเครื่องสีได้แก่ สะล้อลูก5 สะล้อลูก4 และ สะล้อ3 สายและเครื่องดีดได้แก่ พิณเปี๊ยะและซึง 3 ขนาด คือซึงน้อย ซึงกลาง และซึงใหญ่ สาหรับลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีภาคเหนือคือมีการนาเครื่องดนตรีประเภทดีดสี ตี เป่า มาผสมวงกันให้มีความสมบูรณ์และไพเราะโดยเฉพาะในด้านสาเนียงและทานองที่พลิ้วไหวตามบรรยากาศ ความนุ่มนวลอ่อนละมุนของธรรมชาตินอกจากนี้ยังมีการผสมทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ และยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในราชสานักทาให้เกิดการถ่ายโยงและการบรรเลงดนตรีได้ทั้งในแบบราชสานักของคุ้มและวัง และแบบพื้นบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เครื่องดนตรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)มีวิวัฒนาการมายาวนานนับพันปี เริ่มจากในระยะต้น มีการใช้วัสดุท้องถิ่นมาทาเลียนสียงจากธรรมชาติป่าเขาเสียงลมพัดใบไม้ไหวเสียงน้าตกเสียงฝนตก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสั้นไม่ก้องในระยะต่อมาได้ใช้วัสดุพื้นเมืองจากธรรมชาติมาเป่าเช่นใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญ้าปล้องไม้ไผ่ ทาให้เสียงมีความพลิ้วยาวขึ้นจนในระยะที่3 ได้นาหนังสัตว์และเครื่องหนังมาใช้เป็นวัสดุสร้างเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะและรูปร่างสวยงามขึ้นเช่นกรับเกราะระนาดฆ้อง กลอง โปง โหวดปี พิณโปงลางแคนเป็นต้น โดยนามาผสมผสานเป็นวงดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานที่มีลักษณะเฉพาะตามพื้นที่ 3กลุ่ม คือ กลุ่มอีสานเหนือและอีสานกลางจะนิยมดนตรีหมอลาที่มีการเป่าแคนและดีดพิณประสานเสียงร่วมกับการขับร้อง ส่วนกลุ่มอีสานใต้จะนิยมดนตรีกันตรึมซึ่งเป็นดนตรีบรรเลงที่ไพเราะของชาวอีสานใต้ที่มีเชื้อสายเขมร นอกจากนี้ยังมีวงพิณพาทย์และวงมโหรีด้วยชาวบ้านแต่ละกลุ่มก็จะบรรเลงดนตรีเหล่านี้กันเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง ใช้ประกอบการละเล่นการแสดงและพิธีกรรมต่างๆเช่นลาผีฟ้ าที่ใช้แคนเป่าในการรักษาโรค และงามศพแบบอีสานที่ใช้วงตุ้มโมงบรรเลง นับเป็นลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านอีสานที่แตกต่างจากภาคอื่นๆhttp://www.youtube.com/watch?v=wm9AJSz39CY&feature =share เครื่องดนตรีภาคใต้มีลักษณะเรียบง่าย มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากวัสดุใกล้ตัวซึ่งสันนิษฐานว่าดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมของภาคใต้น่าจะมาจากพวกเงาะซาไก
27.
ที่ใช้ไม้ไผ่ลาขนาดต่างๆกันตัดออกมาเป็นท่อนสั้นบ้างยาวบ้าง แลัวตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกับหุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืชใช้ตีประกอบการขับร้องและเต้นรา จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีแตรกรับกลองชนิดต่างๆเช่นรามะนาที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงมโนราซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตลอดจนเครื่องเป่าเช่น ปี่นอกและเครื่องสีเช่นซอด้วง ซออู้ รวมทั้งความเจริญทางศิลปะการแสดงและดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราชจนได้ชื่อว่าละคร ในสมัยกรุงธนบุรีนั้นล้วนได้รับอิทธิพลมาจากภาคกลางนอกจากนี้ยังมีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ประกอบการละเล่นแสดงต่างๆเช่นดนตรีโนราดนตรีหนังตะลุงที่มีเครื่องดนตรีหลักคือกลองโหม่ง
ฉิ่ง และเครื่องดนตรีประกอบผสมอื่นๆดนตรีลิเกป่าที่ใช้เครื่องดนตรีรามะนาโหม่งฉิ่งกรับปี่ และดนตรีรองเง็ง ที่ได้รับแบบอย่างมาจากการเต้นราของชาวสเปนหรือโปรตุเกสมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยมีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วยไวโอลิน รามะนาฆ้อง หรือบางคณะก็เพิ่มกีต้าร์เข้าไปด้วยซึ่งดนตรีรองเง็งนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิมตามจังหวัดชายแดนไทย- มาเลเซียดังนั้นลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้จะได้รับอิทธิพลมาจากดินแดนใกล้เคียงหลายเชื้อชาติ จนเกิดการผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากภาคอื่นๆโดยเฉพาะในเรื่องการเน้นจังหวะและลีลาที่เร่งเร้าหนักแน่น และคึกคักเป็นต้น รายชื่อเครื่องดนตรีไทยแบ่งตามการบรรเลง เครื่องดีดได้แก่กระจับปี่ จะเข้ ซึง พิณเพียะ พิณน้าเต้า ไหซอง เครื่องสี ได้แก่ ซอ ได้แก่ ซออู้, ซอด้วง,ซอสามสาย,ซอสามสายหลีบ,ซอกันตรึม สะล้อ รือบับ เครื่องเป่าได้แก่ ขลุ่ยได้แก่ ขลุ่ยหลิบขลุ่ยเพียงออขลุ่ยอู้ ขลุ่ยกรวดขลุ่ยนกแคน ปี่ ได้แก่ ปี่นอก ปี่กลางปี่ใน ปี่ไฉน ปี่ชวา ปี่มอญ ปี่อ้อ ปี่จุม ปี่มอญ ปี่ซอ โหวด เครื่องตี ได้แก่ กลองแขก กลองสะบัดชัย กลองสองหน้า กลองทัด กลองมลายู กลองยาว กลองมโหระทึก กลองมังคละ กรับได้แก่ กรับเสภากรับพวงฯลฯขิม ฆ้องมอญ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฉาบได้แก่ ฉาบเล็ก,ฉาบใหญ่ ฯลฯ ฉิ่ง ตะโพนได้แก่ ตะโพนไทย,ตะโพนมอญ โทน โปงลาง ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ระนาดเอก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดแก้ว รามะนา อังกะลุง เปิงมาง โหม่ง บัณเฑาะว์ เครื่องดนตรีสากลแบ่งตามหลักในการทาเสียงหรือวิธีการบรรเลงเป็น5ประเภทดังนี้ เครื่องสายเครื่องดนตรีประเภทนี้ทาให้เกิดเสียงโดยการทาให้สายสั่นสะเทือนสายที่ใช้เป็นสายโลหะหรือสายเอ็น เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายแบ่งตามวิธีการเล่นเป็น2จาพวกคือ เครื่องดีดได้แก่ กีตาร์ แบนโจฮาร์ป เครื่องสีได้แก่ ไวโอลินวิโอลาเชลโลดับเบิลเบส เครื่องเป่าลมไม้เครื่องดนตรีประเภทนี้แบ่งตามวิธีทาให้เกิดเสียงเป็น2ประเภทคือ จาพวกเป่าลมผ่านช่องลมได้แก่ เรคอร์เดอร์ ปิคโคโลฟลูต จาพวกเป่าลมผ่านลิ้นได้แก่ คลาริเน็ตแซกโซโฟน เครื่องเป่าโลหะเครื่องดนตรีประเภทนี้ทาให้เกิดเสียงโดยการเป่าลมให้ผ่านริมฝีปากไปปะทะกับช่องที่เป่าได้แก่ ทรัมเป็ตทรอมโบน เป็นต้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดเครื่องดนตรีประเภทนี้เล่นโดยใช้นิ้วกดลงบนลิ้มนิ้วของเครื่องดนตรี ได้แก่ เปียโนเมโลเดียน คีย์บอร์ดไฟฟ้ าอิเล็กโทน เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
28.
เครื่องตีที่ทาทานองได้แก่ ไซโลไฟนเบลไลราระฆังราว เครื่องตีที่ทาจังหวะได้แก่ ทิมปานี
กลองใหญ่ กลองแตร็กทอมบา กลองชุดฉาบกรับลูกแซก วงดนตรีสากล วงซิมโฟนี(SymphonyOrchestra) เป็นวงดนตรีสากลขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีสากล 4กลุ่มประเภทของเครื่องดนตรีสากลได้แก่ กลุ่มเครื่องสาย กลุ่มเครื่องเป่าทองเหลืองเครื่องเป่าลมไม้ และเครื่องตีประกอบจังหวะ วงดนตรีลักษณะนี้จะมีผู้อานวยเพลงซึ่งทาหน้าที่ควบคุมการบรรเลงจะนั่งหรือยืนบรรเลงตามลักษณะของเครื่องดนตรี วงสติรงคอมโบ(StringCombo) เป็นวงดนตรีขนาดเล็กประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประมาณ 4–5 ชิ้น กล่าวคือมีกีตาร์ลีดกีตาร์เบสออร์แกนหรือคีย์บอร์ด และกลองชุดเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ของวัยรุ่นที่นิยมเล่นเพลงป๊ อปทั่วๆไป วงโยธวาทิต(MilitaryBand) เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรี 3ประเภทใหญ่ ๆคือ เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องเป่าทองเหลืองและเครื่องประกอบจังหวะ นิยมใช้เดินขบวนสวนสนามและบรรเลงประกอบพิธีการต่างๆตามโอกาสต== จังหวะสากล==วอลท์, รุมบ้า,ร็อก,ดิสโก้,ชะชะช่า แบ่งตำมประเภทวงที่บรรเลงและประเภทของกำรแสดง[แก้] เครื่องดนตรีเดี่ยว เปียโนสี่มือ,เปียโน เชมเบอร์มิวสิก วงดูโอการผสมวงดนตรีร่วมกัน2คนเช่น เปียโนกับไวโอลินหรือเปียโนกับนักร้อง วงทริโอการผสมวงดนตรีร่วมกัน3คนเช่นไวโอลิน 1,วิโอลา1, เชลโล่1 วงควอร์เต็ตการผสมวงดนตรีร่วมกัน4คน วงควินเต็ตการผสมวงดนตรีร่วมกัน5คนเช่น สตริงควินเต็ต(StringsQuintet)วงจะประกอบด้วยเครื่องสาย5ชิ้นไวโอลิน2, วิโอลา2,และเชลโล่1 วงเซ็กซ์เต็ตการผสมวงดนตรีร่วมกัน6คน วงซิมโฟนีออร์เคสตรา อุปรากร ละครบรอดเวย์ บัลเลต์ ขับร้อง ขับร้องเดี่ยว วงขับร้องประสานเสียง แบ่งตามโครงสร้างบทเพลง(Form)[แก้] คอนแชร์โต -Concerto ซิมโฟนี -[English:Symphony| French:Symphonie|German:Sinfonia] โซนาต้า-Sonata
29.
ฟิวก์ - Fugue
เป็นการประพันธ์เพลงที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากแขนงหนึ่งนิยมในยุคบาโรคจะเริ่มต้นด้วยทานองที่เรียกว่าSubject จากนั้นจะเปลี่ยนแปลงทานองเรียกว่า Answer พรีลูด-Preludeบทเพลงที่เป็นบทนาดนตรี มักใช้คู่กับเพลงแบบฟิวก์ หรือใช้บรรเลงนาเพลงชุด สาหรับงานเปียโนจะหมายถึงบทเพลงสั้นๆและบางครั้งมีความหมายเหมือนกับบทเพลงโหมโรงอุปรากรเช่นพรีลูดของวากเนอร์ โอเวอร์เจอร์ - Overture เพลงโหมโรงที่บรรเลงก่อนการแสดงอุปรากรหรือละครรวมถึงประพันธ์ขึ้นเดี่ยวๆ สาหรับบรรเลงคอนเสิร์ตโดยเฉพาะเรียกว่า ConcertOverture บัลลาด- Balladeเป็นบทประพันธ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวพบมากในงานเปียโน ลักษณะเหมือนการเล่าเรื่องหรือถ่ายทอดความรู้สึกแบบบทกวี เอทู๊ด - Etudeเป็นบทประพันธ์เพื่อฝึกหัดการบรรเลงด้วยเปียโนหรือไวโอลิน มาร์ช-March เป็นบทเพลงที่ประพันธ์เพื่อการเดินแถวต่อมาพัฒนาไปสู่บทเพลงที่ใช้บรรเลงคอนเสิร์ต วาริเอชั่น- Variations แฟนตาเซียหรือฟ็องเตซี - [Italian:Fantasia | French:Fantasy] น็อคเทิร์น - Nocturne/Notturno เป็นเพลงบรรเลงยามค่าคืนมีทานองเยือกเย็นอ่อนหวานจอห์นฟิลด์ริเริ่มประพันธ์สาหรับเปียโน ซึ่งต่อมาโชแปงได้พัฒนาขึ้น มินูเอ็ต - [French:Minuet |Italian:Menuet] เซเรเนด- Serenadeเพลงขับร้องหรือบรรเลงที่มีทานองเยือกเย็นอ่อนหวานมักเป็นบทเพลงที่ผู้ชายใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิง โดยยืนร้องใต้หน้าต่างในยามค่าคืน แคนนอน - Canon เป็นคีตลักษณ์ที่มีแบบแผนแน่นอนมีการบรรเลงทานองและการขับร้องที่เหมือนกันทุกประการ แต่เริ่มบรรเลงไม่พร้อมกันเรียกอีกชื่อว่า Round แคนแคน - Can-Canเป็นเพลงเต้นราสไตล์ไนท์คลับของฝรั่งเศสเกิดในช่วงศตวรรษที่ 19 คาปริซ-Capriceบทบรรเลงสาหรับเครื่องดนตรีที่มีลักษณะอิสระไม่อยู่ในกฎเกณฑ์มักมีชีวิตชีวา โพลก้า-Polkaเพลงเต้นราแบบหนึ่งมีกาเนิดมาจากชนชาติโบฮีเมียน ตารันเตลลา-Tarantellaการเต้นราแบบอิตาเลียนมีจังหวะที่เร็ว จิก -Gigueเป็นเพลงเต้นราของอิตาลีเกิดในศตวรรษที่18มักอยู่ท้ายบทของเพลงประเภทสวีต(Suite) กาวอท- Gavotte เป็นเพลงเต้นราของฝรั่งเศสในศตวรรษที่17มีรูปแบบแบบสองตอน (Two-parts) มักเป็นส่วนหนึ่งของเพลงประเภทสวีต(Suite) โพโลเนส- Polonaiseเป็นเพลงเต้นราประจาชาติโปแลนด์เกิดในราชสานักโชแปงเป็นผู้ประพันธ์เพลงลักษณะนี้สาหรับเปียโนไว้มาก สวีต- Suiteเพลงชุดที่นาบทเพลงที่มีจังหวะเต้นรามาบรรเลงต่อกันหลายๆบทพบมากในอุปรากรและบัลเลต์ อาราเบส- Arabesque เป็นดนตรีที่มีลีลาแบบอาหรับ ฮิวเมอเรสค์-Humoresqueเป็นบทประพันธ์สั้นๆมีลีลาสนุกสนานร่าเริงมีชีวิตชีวา ทอคคาต้า- Toccataบทเพลงสาหรับเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดมีทานองที่รวดเร็วอิสระในแบบฉบับของเคาน์เตอร์พอยท์ บากาเตล- Bagatelleเป็นคีตนิพนธ์ชิ้นเล็กๆสาหรับเปียโนมีจุดเด่นคือทานองจาได้ง่ายเช่นFurElise ดิแวร์ติเมนโต-Divertimento บทเพลงทางศาสนา-SacredMusic
30.
โมเต็ต- Motet เพลงขับร้องในพิธีกรรมของศาสนาคริสต์ใช้วงขับร้องประสานเสียงในการร้องหมู่ ภายหลังจึงเริ่มมีเครื่องดนตรีประกอบเสียงร้อง แพสชั่น
-Passion เพลงสวดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความทุกข์ยากของพระเยซู ออราทอริโอ- Oratorioเพลงขับร้อง บทร้องเป็นเรื่องขนาดยาวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มีลักษณะคล้ายอุปรากรแต่ไม่มีการแต่งกาย ไม่มีฉากและการแสดงประกอบ คันตาตา- Cantata เพลงศาสนาสั้นๆมีทั้งร้องในโบสถ์และตามบ้าน แมส - Mass เพลงร้องประกอบในศาสนพิธีของศาสนาคริสต์ เรควีเอ็ม- Requiemเพลงสวดเกี่ยวกับความตาย รายชื่อคีตกวีแบ่งตามยุค[แก้] ยุคกลาง เลโอแนง (Léonin,ประมาณค.ศ.1130-1180) เพโรแตง(Pérotinหรือ PerotinusMagnus, ประมาณค.ศ.1160-1220) จาคาโปดา โบโลนญา(JacapodaBologna) ฟรานเชสโกลานดินี(FrancescoLandini,ประมาณค.ศ.1325-1397) กิโยมเดอมาโชต์ (GuillaumedeMachaut,ประมาณค.ศ.1300-1377) ฟิลิปเปเดอวิทรี (PhillippedeVitry) โซลาช(Solage) เปาโลดา ฟิเรนเซ(Paoloda Firenze) ยุคเรเนสซองส์ จอห์น ดันสเตเบิล(John Dunstable) กิโยมดูเฟย์(GuillaumeDufay) โยฮันเนสโอคีกัม (JohannesOckeghem) โทมัส ทัลลิส(ThomasTallis) จอสกินเดส์เพรซ์ (JosquindesPrez) ยาคอบโอเบร็คท์ (JacobObrecht) โคลดเลอเชิน (ClaudeLe Jeune) จิโอวันนี ปิแอร์ลุยจิ ดา ปาเลสตรินา(GiovanniPierluigidaPalestrina) วิลเลียมเบิร์ด(WilliamByrd) คลอดิโอมอนเทแวร์ดี(ClaudioMonteverdi) ออร์ลันโด้ ดิ ลัสโซ(OrlandodiLasso) คาร์โลเกซวลโด(CarloGesualdo) อาดริออง วิลแลร์ต(Adriane Willaert) ยุคบาโรค ดิทริชบุกส์เตฮูเด(DietrighBuxtehude,ประมาณค.ศ.1637-1707) โยฮันน์ พาเคลเบล(JohannPachelbel,ค.ศ.1653-1706)
31.
อเลสซานโดสการ์แลตตี(AlessandoScarlatti,ค.ศ.1660-1725) อันโตนีโอวีวัลดี(Antonio Vivaldi, ค.ศ.1678-1714) โยฮันน์
เซบาสเตียนบาค(Johann SebastianBach, ค.ศ. 1685-1750) เกออร์กฟรีดริคฮันเดล (GeorgFriedrichHändel,ค.ศ. 1685-1759) ฌอง-แบ๊ปติสต์ ลุลลี่(Jean BaptistLully) ฌอง ฟิลลิปราโม(Jean PhillippeRameau) เกออร์กฟิลลิปเทเลมันน์ (GeorgPhillipTelemann) เฮ็นรี่ เพอร์เซ็ล(HenryPurcell) ยุคคลาสสิก คริสตอฟวิลลิบัลด์กลุ๊ค(Christoph WillibaldGluck,ค.ศ.1750-1820) ฟรานซ์โยเซฟไฮเดิน (FranzJoseph Haydn, ค.ศ.1732-1809) โวล์ฟกังอมาเดอุสโมสาร์ท(WolfgangAmadeusMozart, ค.ศ. 1756-1791) ลุดวิกฟานบีโทเฟน (Ludwigvan Beethoven, ค.ศ. 1770-1827) คาร์ลฟิลลิปเอ็มมานูเอ็ล บาค (Carl PhillipEmanuelBach) โยฮันคริสเตียนบาค(Johann ChristianBach) ยุคโรแมนติก จิโออัคคิโนรอซสินี (GioacchinoRossini) ฟรานซ์ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (FranzPeter Schubert) เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz) เฟลิกซ์เมนเดลโซห์น-บาร์โธลดี(FelixMendelssohn-Batholdy) เฟรเดริกฟรองซัวส์โชแปง(FrédéricFrançoisChopin) นิกโคโลปากานินี(NiccolòPaganini) โรเบิร์ตอเล็กซานเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann) ฟรานซ์ลิซท์ (Franz Liszt) ริชาร์ดวากเนอร์ (RichardWagner) จูเซปเป แวร์ดี(GiuseppeVerdi) เบดริชสเมทานา(BedrichSmetana) โยฮันเนสบราห์มส์(JohannesBrahms) จอร์จ บิเซต์ (GeorgesBizet) ปีเตอร์ อิลยิชไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky) แอนโทนินดโวชาค(Antonín Dvořák) จิอาโคโมปุชชีนี (GiacomoPuccini) กุสตาฟมาห์เลอร์ (GustavMahler) เซียร์เกย์รัคมานีนอฟ(SergejRakhmaninov) ริชาร์ดสเตราส์(RichardStrauss)
32.
จีน ซิเบลิอุส (Jean
Sibelius) โยฮันน์ ชเตราสส์ที่หนึ่งบิดา (Johann Straussfather) โยฮันน์ ชเตราสส์ที่สองบุตร (Johann Straussson) ฌาร์คออฟเฟนบาค (JacquesOffenbach) ชาร์ลกูโนด์(CharlesGounod) อันโตนบรูคเนอร์ (Anton Bruckner) ฮูโก โวล์ฟ(HugoWolf) ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ โคล้ดเดอบุซซี (ClaudeDebussy) มอริซ ราเวล(Maurice Ravel) ยุคศตวรรษที่20-ปัจจุบัน ชาร์ลส์ไอฟส์ (CharlesIves) อาร์โนลด์เชินแบร์ก (Arnold Schoenberg) คาร์ลออร์ฟ (Carl Orff) เบลา บาร์ต็อก(Béla Bartók) โซลตันโคดาย(ZaltánKodály) อิกอร์ สตราวินสกี้(IgorStravinsky) อันโตนเวเบิร์น(Anton Webern) อัลบัน แบร์ก (Alban Berg) เซอร์เก โปรโคเฟียฟ(SergeiProkofiev) พอล ฮินเดมิธ (PaulHindemith) จอร์จ เกิร์ชวิน(GeorgeGershwin) อารอนคอปแลนด์ (Aaron Copland,ค.ศ.1900-1990) ดมิทรี ดมิทรีวิชชอสตาโควิช(Dmitri DmitrievichShostakovich, ค.ศ. 1906-1975) โอลิวิเยร์ เมสเซียง(OlivierMessiaen, ค.ศ.1908-1992) เอลเลียตคาร์เตอร์ (ElliottCarter, ค.ศ. 1908-ปัจจุบัน) วิโทลด์ลูโทสลาฟสกี้(WitoldLutoslawski) จอห์น เคจ (John Cage,ค.ศ. 1912-1992) ปิแอร์ บูแลซ(Pierre Boulez,ค.ศ. 1925-ปัจจุบัน) ลูชาโนเบริโอ(LucianoBerio, ค.ศ.1925-2003) คาร์ลไฮน์สต็อกเฮาเซน(KarlheinzStockhausen,ค.ศ. 1928-2006) ฟิลิปกลาส(PhilipGlass) ลุยจิ โนโน(LuigiNono) ยานนิสเซนาคิส(IannisXenakis,ค.ศ. 1922-2001) มิลตันแบ็บบิท (Milton Babbitt)
33.
วอล์ฟกังริห์ม (WolfgangRihm) อาร์โวแพรท (Arvo
Pärt) โซเฟียกุไบดูลินา(Sofia Gubaidulina) Giya Kancheli ยอร์กี ลิเกตี(György Ligeti) กชึชตอฟ แปนแดแรตสกี (Krzysztof Penderecki) ยอร์กี เคอร์ทัค (György Kurtag) เฮลมุต ลาเคนมานน์(HelmutLachenmann) สตีฟไรค์ (Steve Reich) จอห์น อดัมส์ (John Adams) John Zorn โตรุ ทาเคมิตสึ(Toru Takemitsu) Tan Dun Chen Yi UnsukChin ดูเพิ่มได้อีกที่คีตกวี คีตกวีชาวไทยที่ประพันธ์ดนตรีคลาสสิกในปัจจุบันที่มีงานดนตรีออกมาอย่างสม่าเสมอ[แก้] ณรงค์ฤทธิ์ธรรมบุตรwww.narongrit.com วีรชาติเปรมานนท์ จิรเดชเสตะพันธุ ณรงค์ปรางเจริญwww.narongmusic.com เด่นอยู่ประเสริฐ ภาธรศรีกรานนท์ บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธboonrut.blogspot.com วานิชโปตะวนิช อภิสิทธ์ วงศ์โชติ อติภพ ภัทรเดชไพศาล สุรัตน์เขมาลีลากุล นบ ประทีปะเสน สิรเศรษฐปันฑุรอัมพรwww.pantura-umporn.com วิบูลย์ตระกูลฮุ้น อโนทัย นิติพล ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่ เอริก ซาที (ErikSatie)
34.
คาร์ลเซอร์นี (Carl Czerny) โยฮันน์
ฟรีดริคฟรานซ์เบิร์กมุลเลอร์ (JohannFriedrichFranzBurgmüller) ฟรานซิสปูเลงค์ (FrancisPoulenc) ดนตรี เป็นคาภาษาไทยที่มีภาษาอังกฤษหลายคาโดยแต่ละคามีความหมายต่างๆกันคือ music musical instrument เพลงเป็นคาภาษาไทยที่มีภาษาอังกฤษหลายคาโดยแต่ละคามีความหมายต่างๆกันคือ song music tune melody นอกจากคาว่าเพลงแบ่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษหลายคาแล้วยังแบ่งเป็นหลากหลายเพลงดังนี้ เพลงไทยสากล modernThai song เพลงไทยเดิม traditional Thai song เพลงพื้นเมือง/เพลงลูกทุ่ง folksong เพลงสากล modernsong/westernsong เพลงชาติ national anthem เพลงสรรเสริญพระบารมี royal anthem เพลงยาว love poem เพลงสวด hymncarol เพลงกล่อม lullaby เพลงอิเล็กทรอนิกส์ electronics song แนวเพลง เป็นการจาแนกเพลงที่มีลักษณะพื้นฐานต่างๆร่วมกันโดยอาจไม่ได้คานึงถึงเกี่ยวกับด้านเพลงอย่างเดียว(เช่น ที่มาของเพลงและ เนื้อหาของเพลงเป็นต้น)อาจพูดได้ว่าแนวเพลงนั้นพิจารณาจากเทคนิครูปแบบบริบท ที่มา และเนื้อหาของเพลงเป็นต้น ประเภทของแนวเพลงอาจแบ่งเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ ดนตรีคลาสสิก กอสเปล แจ๊ส ลาติน บลูส์ โซล ริทึมแอนด์บลูส์ พังก์ ดิสโก้ ร็อก เมทัล ป็อป โฟล์ก คันทรี อิเล็กทรอนิกส์(ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์) สกา เร้กเก้ ฮิปฮอป (แร็ป) เวิลด์มิวสิก เพลงลูกทุ่ง รูปแบบของเพลงตามเครื่องดนตรีและเนื้อหา เพลงไทยเดิม เพลงไทยลูกกรุง เพลงไทยลูกทุ่ง หมอลา บ้างเรียกหมอลาซิ่ง เพลงเพื่อชีวิต เพลงไทยสากล เพลงสากล รูปแบบของเพลงตามจังหวะ เพลงบรรเลง คลาสสิก(Classic) ป๊ อป (POP) แจ๊ส (Jazz) ริทึมแอนด์บลูส์ (R&B) แร็พ(Rap) ฮิปฮอป (Hiphop) ร็อก (Rock) อิเล็คโทรนิค(Electronic) เทคโน อะคาเปลลา รูปแบบของเพลงตามเครื่องดนตรีและเนื้อหา เพลงไทยเดิมหมายถึงเพลงที่มีการขับร้องด้วยวิธีการแบบไทยเช่นการเอื้อนลงทรวงเป็นต้น พร้อมด้วยการบรรเลงดนตรีไทยไปด้วยในขณะที่กาลังขับร้องหรือบรรเลงเฉพาะดนตรีไม่มีการขับร้อง เครื่องดนตรีที่ใช้เป็นเครื่องดนตรีไทยที่ปรากฏในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการสันนิษฐานถึงที่มาของเครื่องดนตรีไทยในบางเครื่องว่ากาเนิดมาจากต่างชาติ แต่บรรพบุรุษไทยก็ได้เปลี่ยนแปลงและประยุกต์ให้เข้ากับเพลงไทยเดิม ลักษณะ คีตกวีหรือนักแต่งเพลงไทยเดิมจะแต่งทานองขึ้นก่อนแล้วจึงตั้งชื่อเพลงนั้น สาหรับเนื้อร้องบางครั้งจะเอาเนื้อร้องจากคาประพันธ์ที่ไพเราะในวรรณคดีต่างๆเช่นจากพระอภัยมณี พระลอขุนช้างขุนแผนฯลฯ มาใส่ การแต่งเพลงขึ้นตอนแรกจะมีจังหวะปานกลางแต่บางครั้งก็เอาทานองนั้นไปขยายให้ยาวขึ้นและยุบทานองให้สั้นลง
35.
แล้วนามาบรรเลงติดต่อกันโดยเริ่มทานองขยายก่อนด้วยจังหวะช้าเรียกว่าจังหวะ 3ชั้นต่อด้วยทานองเดิมจังหวะปานกลางเรียกว่า 2 ชั้น
และต่อด้วยทานองที่ยุบให้สั้นลงด้วยจังหวะเร็วเรียกว่าชั้นเดียวซึ่งเรียกว่าเพลงเถา ถ้านาไปบรรเลงเพียงจังหวะเดียวเรียกเพลงเกร็ดและนาเพลงเกร็ดหลายๆเพลงที่มีอัตราจังหวะเดียวกันมาบรรเลงติดต่อกันเรียกว่า เพลงตับ การเอื้อนมาจากการที่เพลงไทยอาศัยเนื้อร้องจากคาประพันธ์อื่นมาสวมใส่ทานองที่แต่งไว้แล้วทานองและเนื้อร้องจึงไม่พอดีกัน โดยใช้เสียง“เออ” หรือ“เอย”และลักษณะนี้เองทาให้เพลงไทยไม่เหมือนเพลงของชาติอื่นๆในโลก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเพลงไทยโดยเฉพาะและเหมาะสม เพลงลูกกรุง เป็นเพลงไทยสากลประเภทหนึ่งโดยเป็นเพลงที่บอกเล่าถ่ายทอด ความรู้สึกของสังคมและคนเมืองหลวงตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นการถ่ายทอดอารมณ์ การขับร้องน้าเสียงของกลุ่มนักร้อง นักแต่งเพลงและนักดนตรีจะมีรูปแบบประณีตละเอียดอ่อนออกมานุ่มนวล เนื้อร้องจะมีลักษณะเป็นร้อยแก้วร้อยกรอง มีความหมายสลับซับซ้อนยอกย้อน ประวัติ จากบางแหล่งข้อมูลเพลงลูกกรุงกาเนิดขึ้นเมื่อประมาณพ.ศ. 2474 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกาลังจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองฯในรัชกาลที่7บางแหล่งบอกปลายรัชกาลที่6ประมาณ พ.ศ. 2455 โดยการจ้างครูจากอิตาลีนาเครื่องสายสากลเข้ามาสอนแต่เพลงลูกกรุงเริ่มชัดเจนเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2475 โดยเริ่มมีแนวเพลงเนื้อร้องทานองและเครื่องดนตรีที่นามาบรรเลงประกอบเป็นไทยนาทานองเพลงของรัชกาลที่6 ที่นามาเรียบเรียงเสียงประสานใช้เครื่องดนตรีสากลบรรเลงประกอบเป็นเพลงในกิจการลูกเสือต่อมาได้มีการนาเพลง"ลาทีกล้วยไม้" ของขุนวิจิตรมาตรามาทาในจังหวะรุมบ้าเพลงแรกของไทยและบทเพลงของจิตรภูมิศักดิ์และอื่นๆซึ่งแต่ง และใช้เครื่องดนตรีสากลบรรเลงประกอบเป็นเครื่องบ่งบอกการกาเนิดของเพลงลูกกรุง ปี พ.ศ.2482 วงสุนทราภรณ์ก่อตั้งเป็นวงดนตรีวงใหญ่ ซึ่งทาให้สังคมเมืองในยุคนั้นเริ่มตื่นตัวการฟังเพลงผู้ฟังและค่ายเพลงต่างๆ เริ่มจัดประเภทเพลงสร้างนักร้องให้มีรูปแบบความเป็นคนเมืองหลวงนักดนตรี นักแต่งเพลงนักร้องต่างมีรูปแบบหาแฟชั่นนาสังคม ทั้งเรื่องแฟชั่นการแต่งกายมีคลับมีบาร์ แถวถนนราชดาเนินตามย่านชุมชนโรงแรมใหญ่ๆมีห้องบอลรูม เพื่อให้มีการจัดแสดงดนตรีประกอบและเริ่มมีการเปรียบเทียบระหว่างเพลงลูกทุ่งและเพลงลูกกรุง รายชื่อนักร้องเพลงลูกกรุง กนกวรรณด่านอุดม กรองทอง ทัศนพันธุ์ กอบกุลศรีสวัสดิ์ กุหลาบกฐินะสมิต กาธรสุวรรณปิยะศิริ กิ่งกาญจน์กาญจนา เกศิณี วงษ์ภักดี เกษมมิลินทจินดา ร.อ.ม.ล.ขาบ กุญชร คารณสัมปุณณานนท์ จวงจันทร์ จันทร์คณา(พรานบูรพ์) จันทรา คชหิรัญ จันทนา โอบายวาทย์ จันทนีย์อูนากูล จารัสสุวคนธ์ จิตติมา เจือใจ จิตราภรณ์ บุญญขันธ์ จิตราวดีจิตตเกษม จินตนาสุขสถิตย์ จิรภา ปัญจศิลป์ จิระ โหตระบุตร จีรศักดิ์ ปิ่นสุวรรณ จุรี รัตนหัตถ์ จุรี โอศิริ ฉลอง สิมะเสถียร ฉันทนากิติยาพันธุ์ เฉลาประสพศาสตร์ โฉมฉายอรุณฉาน ไฉไลไชยทา ชงโค ชมพูมาศ ชรินทร์ นันทนาคร ชรัมภ์ เทพชัย ชวลีช่วงวิทย์ ชะอวบฟองกระสินธุ์ ชัชฎาภรณ์ รักษณาเวศ ชัยรัตน์เทียบเทียม ชาญ เย็นแข ชาญวิทย์ผลประเสริฐ ชินใจโชติมา ชูศรี โรจนประดิษฐ์ เชาว์ แคล่วคล่อง ณรงค์ธนวังน้อย ดวงตาชื่นประโยชน์ ดอน สอนระเบียบ ดารารัตน์เกียรติเกิดสุข ดาวใจไพจิตร ดารงสุทธิพงษ์ ดาริ ประเสริฐสุวรรณ(บังเละ) ดาริ เลิศมหาคุณ ตะวันเจิดจิต เติบพันธุ์งาม ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ทนงศักดิ์ภักดีเทวา ทนายคชเสนีย์ ทรงชัยวรรณพงษ์ ทัศนัยชอุ่มงาม ทิพวัลย์ปิ่นภิบาล ทิวา เด่นประภา ทูล ทองใจ ธรรมรัตน์นวะมะรัตน์ ธานินทร์ อินทรเทพ นคร ถนอมทรัพย์(กุงกาดิน) นคร มงคลายน นงลักษณ์ โรจนพรรณ นพดฬชาวไร่เงิน นภาหวังในธรรม นริศ อารีย์ นฤพนธ์ ดุริยพันธ์ นันทวันเมฆใหญ่ นนทวรรธน์เรืองสกุล นันทา ปีตะนีละผลิน นิทัศน์ ละอองศรี นิรมล อิศรางกูรณอยุธยา เนตรทรายอลงกต แนบ เนตรานนท์
36.
บังอร อินทโสภณ บารุง
อ.น้อมพันธุ์ บุญช่วย กมลวาทิน บุญช่วยหิรัญสุนทร บุญส่งสุนทรโรหิต บุษบา รังสรรค์ บุษยารังสี เบญจ มินทร์ เบญจาตุงคะมณี ปทุมวดี โสภาพรรณ ประดิษฐ์อุตตะมัง ประทุมประทีปเสน ประพนธ์สุนทรจามร ม.ล.ประพันธ์ สนิทวงศ์ ประภาศรี ศรีคาภา ประมวลรัศมิทัต ประสานศรี สิงหานนท์ ประเสริฐศรี จันทน์อาภรณ์ ปรีชา บุณยเกียรติ พจนีย์อินทรมานนท์ พยงค์มุกดา พรเทพเทพรัตน์ พรรณี สกุลชาคร พร้อมบุญชูธง พราวตาดาราเรือง พัชราแวงวรรณ พันธุ์จันนกเขาขัน พันธุ์ทิพย์วิภาตะพันธุ์ พญ.พันทิวาสินรัชตานันท์ พิทยาบุณยรัตพันธุ์ พิมผกาวันดี พิมพ์ พวงนาค พิมพ์ใจพรหมมาลี พิศมัย วิไลศักดิ์ พูนสวัสดิ์ธีมากร เพ็ญแขกัลจาฤก เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เพลินพรรณเกียรตินิยม เพียงพิศศิริวิไล ไพจิตรอักษรณรงค์ ภักดิ์ มหาสารินันท์ มนต์ระวีสุทธีวรรณ์ มนตรี สีหเทพ มนูญ เทพประทาน มัณฑนาโมรากุล มานี มณีวรรณ มานีสุมนนัฏ มาริษาอมาตยกุล มีศักดิ์ นาครัตน์ แม่น ชลานุเคราะห์ ยรรยงเสลานนท์ โยคิณคุณากร รวงทอง ทองลั่นธม ระจิต ภิญโญวณิช ระวิวรรณสร้อยหงส์พรายรังษิยาบรรณกร รัชนีจันทรังษี รัตนสุดาวสุวัต ราจวนถิ่นธรรม รุ่งฤดีแพ่งผ่องใส รุ้งตะวันณ น่าน รุจี อุทัยกร ลดาวัลย์พรรณราย ล้วนควันธรรม ลัดดาศรีวรนันท์ ลัดดาวัลย์ประวัติวงศ์ ลินจง บุนนากรินทร์ ลินดา นภาพันธุ์ เลิศ ประสมทรัพย์ เลื่อนไวนุนาวิน ว.วัชญาน์ วงจันทร์ ไพโรจน์ วนิดานภาพร วนิสาเศวตรักษ์ วนีเนาว์เกียรติ วรนุชอารีย์ วัชระ ปานเอี่ยม วัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ วัลลภวิชชุกร วารุณี สุนทรีสวัสดิ์ วาสนาจงวิไล วาสนาทองศรี วิเชียรนีลิกานนท์ วินัย จุลละบุษปะ วินัยพันธุรักษ์ วิภา จันทรกูล วิระบารุงศรี วิสูตรตุงคะรัตน์ วีนัส พูนทรัพย์ วีระไชยสุกุมาร ศรวณี โพธิเทศ ศรีไสลสุชาตวุฒิ ศรีสอางค์ตรีเนตร ศรีสุดาเริงใจ ศรีสุดารัชตะวรรณ ศรีสวาทสุวรรณรื่น ศักดาอิทธิชัย ศันสนีย์ ศันสนีย์นาคพงศ์ ศิริจันทร์ อิศรางกูรณ อยุธยา ศิรินันท์ โรจนธรรม ศิริมาสุนทรรังษี ศุภชัย ไพจิตร เศรษฐาศิระฉายา เศวตชัยวิฑูรย์เทพ สเกนสุทธิวงศ์ สงวนรัตนทัศนีย์ ส่งศรี ยอห์นสัน สดใสแจ้งกิจ สดใสพันธุมโกมล สถาพรมุกดาประกร สมคิดเกษมศรี สมจิตตัดจินดา สมใจตัดจินดา สมชาติชนะโชติ สมบัติ กิ่งกาญจนวงศ์สมบัติเชษฐา สมบัติ เมทะนี สมพงษ์จันทรประภา สมพงษ์ พงษ์มิตร สมยศ ทัศนพันธุ์ สมศรี ม่วงศรเขียวสมสกุลยงประยูร สรรชัยโกรานนท์ สวลีผกาพันธุ์ สักกรินทร์ ปุญญฤทธิ์ สามารถบริบูรณ์เวช สาวดีเจริญวงศ์ สาวิตรี จินดากุลสิริ คุ้มอยู่ สีตลาเรืองศิริ สีนวลแก้วบัวสาย สุดาชื่นบาน สุเทพวงศ์กาแหง สุปาณี พุกสมบุญ สุพรรณบูรณะพิมพ์สุพรรณี ปิยสิรานนท์สุภาภรณ์ เทียบเทียม สุเมธองอาจ สุรสิทธิ์สัตยวงศ์ สุริยันบุญยศ สุวณีย์เนื่องนิยม สุวัจชัยสุทธิมา สุวารี เอี่ยมไอ เสน่ห์ โกมารชุน เสรีไทยบูรณพันธ์ แสงนภา บุญราศรี โสภิดาบุนนาค โสมอุษา องอาจ จิระพันธุ์ อดิเรกจันทร์เรือง อดุลย์กรีน อรณี กานต์โกศล อรวรรณวิเศษพงษ์ อรวรรณสร้อยหงส์พราย อรวีสัจจานนท์ อรสาทองทับ อรสาอิศรางกูรณ อยุธยา อรอุมา พรราศรี อโศก สุขศิริพรฤทธิ์ อ้อยอัจฉรา อ้อยใจ วลัยพรรณ อัมพรประสมศิลป์ อาณัติพุทธมาศ อารีย์นักดนตรี อุดมเขียนเอี่ยม อุดม ผ.เมฆเจริญ อุมาพร บัวพึ่ง อุไรวรรณคล้ายบรรเลง อุไรวรรณทรงงาม เอมอร วิเศษสุด เอื้อ สุนทรสนาน อานัต พุทธมาศ
Download