Upload
Download free for 30 days
Login
Submit search
สรุปเตรียมสอบปลัดอำเภอ
13 likes
4,400 views
ป
ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปเตรียมสอบปลัดอำเภอ
Education
Read more
1 of 272
Download now
Downloaded 136 times
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
Most read
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
Most read
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
Most read
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
234
235
236
237
238
239
240
241
242
243
244
245
246
247
248
249
250
251
252
253
254
255
256
257
258
259
260
261
262
263
264
265
266
267
268
269
270
271
272
More Related Content
PDF
5000 คำศัพท์อังกฤษ ดีมากๆๆๆๆๆ.pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
PPTX
Diabetes Mellitus
MD Abdul Haleem
PPTX
Hypertension
Ratheeshkrishnakripa
PPTX
Republic Act No. 11313 Safe Spaces Act (Bawal Bastos Law).pptx
maricelabaya1
PPTX
Power Point Presentation on Artificial Intelligence
Anushka Ghosh
PPSX
Nursing process
Dr. Binu Babu Nursing Lectures Incredibly Easy
PDF
Caça palavras - Bullying
Mary Alvarenga
PPTX
Anemia
Dr.Sabari Nathan
5000 คำศัพท์อังกฤษ ดีมากๆๆๆๆๆ.pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
Diabetes Mellitus
MD Abdul Haleem
Hypertension
Ratheeshkrishnakripa
Republic Act No. 11313 Safe Spaces Act (Bawal Bastos Law).pptx
maricelabaya1
Power Point Presentation on Artificial Intelligence
Anushka Ghosh
Nursing process
Dr. Binu Babu Nursing Lectures Incredibly Easy
Caça palavras - Bullying
Mary Alvarenga
Anemia
Dr.Sabari Nathan
What's hot
(20)
PDF
คู่มือปลัดอำเภอ
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PDF
แนวข้อสอบปลัด ข้อสอบจริงปี 2555
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลและเจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PDF
แนวข้อสอบเตรียมสอบเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 154 ข้อ
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเทศบาล
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบนักพัฒนาชุมชน เตรียมสอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบระเบียบงานสารบรรณ
ประพันธ์ เวารัมย์
DOC
บทที่ ๓ เพื่อนกัน
noi1
PDF
แนวสรุปนักพัฒนาชุมชน99
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PDF
PPT รามเกียรติ์ตอนนารายณ์ปราบนนทก
KruBowbaro
PDF
แนวข้อสอบภาค ก.ความรู้ความสามารถทั่วไป ชุดที่ 2 เตรียมสอบท้องถิ่น และ ก.พ.
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
สรุปย่อวิชาการศึกษา
Puripat Piriyasatit
PDF
แนวข้อสอบการวางแผน แผนงาน โครงการ
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แบบรายงานการสร้างนวัตกรรม โสภิญญา.pdf
SophinyaDara
PDF
แนวข้อสอบภาค ก กทม.
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PDF
แนวข้อสอบการการบริหาร วางแผนหรือโครงการในภาครัฐ
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบ ตำแหน่งบุคลากร นักทรัพยากรบุคคล
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PDF
แนวข้อสอบพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2537แก้ไขเพิ่มเต...
ประพันธ์ เวารัมย์
คู่มือปลัดอำเภอ
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล เจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
แนวข้อสอบปลัด ข้อสอบจริงปี 2555
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลและเจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
แนวข้อสอบเตรียมสอบเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 154 ข้อ
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเทศบาล
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบนักพัฒนาชุมชน เตรียมสอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบระเบียบงานสารบรรณ
ประพันธ์ เวารัมย์
บทที่ ๓ เพื่อนกัน
noi1
แนวสรุปนักพัฒนาชุมชน99
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
PPT รามเกียรติ์ตอนนารายณ์ปราบนนทก
KruBowbaro
แนวข้อสอบภาค ก.ความรู้ความสามารถทั่วไป ชุดที่ 2 เตรียมสอบท้องถิ่น และ ก.พ.
ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปย่อวิชาการศึกษา
Puripat Piriyasatit
แนวข้อสอบการวางแผน แผนงาน โครงการ
ประพันธ์ เวารัมย์
แบบรายงานการสร้างนวัตกรรม โสภิญญา.pdf
SophinyaDara
แนวข้อสอบภาค ก กทม.
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
แนวข้อสอบการการบริหาร วางแผนหรือโครงการในภาครัฐ
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบ ตำแหน่งบุคลากร นักทรัพยากรบุคคล
ประพันธ์ เวารัมย์ แบ่งปันความรู้ส่ความก้าวหน้า
แนวข้อสอบพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. 2537แก้ไขเพิ่มเต...
ประพันธ์ เวารัมย์
Ad
Similar to สรุปเตรียมสอบปลัดอำเภอ
(20)
DOC
Best practice
vorravan
PDF
supote
supoet
PDF
Book mark2551
benjawankid55
PDF
Bookmark2551
KRUPIYA
PDF
Book mark2551
Tiwchatree Mahaprom
PDF
Book mark2551
krumalinee
PDF
Book mark2551
wanna2555
PDF
Book mark2551
Krukanyakon--wong
PDF
Book mark2551
koowatinee
PDF
Book mark2551
Kanyakon
PDF
Book mark2551
wanlinee
PPT
Kung
guesta0b372
PPTX
บทที่๘
aofzasuper
PPTX
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
PPTX
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
PPTX
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
PPTX
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
PDF
ข้อสอบปลายภาค(นายอดิเทพ ไชยสิทธิ์)
Tum Aditap
PPT
17
sukuman139
PDF
ความรู้เกี่ยวกับนโยบายและแผน
ประพันธ์ เวารัมย์
Best practice
vorravan
supote
supoet
Book mark2551
benjawankid55
Bookmark2551
KRUPIYA
Book mark2551
Tiwchatree Mahaprom
Book mark2551
krumalinee
Book mark2551
wanna2555
Book mark2551
Krukanyakon--wong
Book mark2551
koowatinee
Book mark2551
Kanyakon
Book mark2551
wanlinee
Kung
guesta0b372
บทที่๘
aofzasuper
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
งานด๊อกเตอร์นะ
aofzasuper
ข้อสอบปลายภาค(นายอดิเทพ ไชยสิทธิ์)
Tum Aditap
17
sukuman139
ความรู้เกี่ยวกับนโยบายและแผน
ประพันธ์ เวารัมย์
Ad
More from ประพันธ์ เวารัมย์
(20)
PDF
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้และนักวิชาการจัดเก็บรายได้
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานธุรการ และนักจัดการงานทั่วไป สอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการประเมินครั้งที่ 2 เพื่อคัดเลือกพนักงานราชกา...
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ชุดที่ 2
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเจ้าพนักงาน/นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
สรุปแผนยุทธศาสตร์แผนกรมพัฒนาชุมชน
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
ประกาศรายชื่อมีสิทธิเข้ารับการประเมินฯ กำหนดวัน เวลา สถานที่ และระเบียบฯ เพื่...
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบท้องถิ่น 407 ข้อ
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
รวมแนวข้อสอบทีเคยออกชุดพิเศษ (แนวข้อสอบเก่า)
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
หัวข้อสอบเตรียมสอบ นักวิเคราะห์นโยบายบายและแผน สังกัดท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบท้องถิ่น บรรจุแต่งตั้งสังกัดอบต. เทศบาล อบจ. และเมืองพัทยา จำนวน 211...
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
สรุปพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และแก้ไขเพิ่มเติม ถึง ฉบ...
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
แนวข้อสอบ เตรียมสอบจังหวัดศรีสะเกษ (แนวข้อสอบเก่า)
ประพันธ์ เวารัมย์
PDF
นักวิชาการเกษตร(ปฏิบัติการ เชี่ยวชาญ)
ประพันธ์ เวารัมย์
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้และนักวิชาการจัดเก็บรายได้
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานธุรการ และนักจัดการงานทั่วไป สอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการประเมินครั้งที่ 2 เพื่อคัดเลือกพนักงานราชกา...
ประพันธ์ เวารัมย์
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ชุดที่ 2
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเจ้าพนักงาน/นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปแผนยุทธศาสตร์แผนกรมพัฒนาชุมชน
ประพันธ์ เวารัมย์
ประกาศรายชื่อมีสิทธิเข้ารับการประเมินฯ กำหนดวัน เวลา สถานที่ และระเบียบฯ เพื่...
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบท้องถิ่น 407 ข้อ
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
รวมแนวข้อสอบทีเคยออกชุดพิเศษ (แนวข้อสอบเก่า)
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบเจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ประพันธ์ เวารัมย์
หัวข้อสอบเตรียมสอบ นักวิเคราะห์นโยบายบายและแผน สังกัดท้องถิ่น
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบท้องถิ่น บรรจุแต่งตั้งสังกัดอบต. เทศบาล อบจ. และเมืองพัทยา จำนวน 211...
ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และแก้ไขเพิ่มเติม ถึง ฉบ...
ประพันธ์ เวารัมย์
แนวข้อสอบ เตรียมสอบจังหวัดศรีสะเกษ (แนวข้อสอบเก่า)
ประพันธ์ เวารัมย์
นักวิชาการเกษตร(ปฏิบัติการ เชี่ยวชาญ)
ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปเตรียมสอบปลัดอำเภอ
1.
เอกสารสรุปการสอบปลัดอาเภอนี้ ข้าพเจ้าจัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสอบ ปลัดอาเภอในปี 2559
ซึ่งมีการนาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาอ่านแล้วสรุปเป็นประเด็นตามความ เข้าใจของข้าพเจ้าเอง ข้อมูลจากสรุปนั้นมีการเอามาจากแหล่งต่างๆ ดังนี้ 1. เอกสารประกอบการติวสอบปลัดอาเภอต่างๆ จากอาจารย์เศรษฐา เณรสุวรรณ (ป.Mc) ปล.อาจารย์ที่ติว 2. คู่มือเตรียมสอบปลัดอาเภอ 2558 โดยกลุ่มราชสีห์ยุคใหม่ (เล่มสีฟ้ า+แนวข้อสอบเล่ม สีเหลือ) 3. หนังสืออื่นๆ การสอบปลัดอาเภอปี 2559 ข้าพเจ้าได้บรรลุผลตามความคาดหวังแล้ว และมีความตั้งใจ ที่จะเผยแพร่สรุปที่ได้จัดทาขึ้นนี้เพื่อให้ผู้ทีมีความตั้งใจจะสอบปลัดอาเภอทุกๆ ท่านได้นาไปใช้ ประโยชน์ในการสอบครั้งต่อๆไป นายกวีพงษ์เชิดชู ลาดับที่ 373/2559 หมายเหตุ พรก. ในสรุปนี้ข้าพเจ้าย่อมาจากพระราชกฤษฎีกานะครับ มิใช่ พระราชกาหนด
2.
การบริหารเบื้องต้น การบริหาร (Administration) -->
การทางานให้สาเร็จโดยใช้บุคคลอื่น "การบริหาร" (Administration) --> "ระบบราชการ" "การจัดการ" (Management) --> "เอกชน ภาคธุรกิจ" ทรัพยากรในการบริหาร - 4M - 6M ตลาด (Market) เครื่องจักร (Machine) ทฤษฎีในการบริหาร 1.ทฤษฎีระบบ --> องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน David Eston Input --> Process --> Output -----Feedback---- 2.ทฤษฎีแรงจูงใจ --> มนุษย์มีความต้องการเป็นลาดับขั้น Maslow - อยู่รอด - ปลอดภัย - ใฝ่หารัก - พรรคนิยม - อุดมคติ 3.ทฤษฎีกระบวนการบริหาร "POSDCoRB" --> Gulicd และ Urwick - Planning การวางแผน - Organizing การจัดองค์กร - Staffig การจัดคนเข้าทางาน
3.
- Directing การสั่งการ -
Coordinating การประสานงาน - Reporting การรายงาน - Budgeting งบประมาณ PA_POSDCoRB - Policy --> การกาหนดโทษ - Authoity --> การใช้อานาจ ระดับของผู้บริหารสมัยใหม่ ผู้บริหารระดับสูง (Top and Senior Manager) --> กาหนดวิสัยทัศน์กลยุทธ์ ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) --> กาหนดและนากลยุทธ์ไปปฏิบัติกระตุ้นและ สร้างทีมงาน ผู้บริหารระดับต้น/หัวหน้างาน (Supervisor) --> ฝึกสอน/พี่เลี้ยง แนะนา สอนงาน แก้ไขปัญหา
4.
การบริหารภาครัฐแนวใหม่ New Public Management นิยาม การนาเครื่องมือหรือเทคนิคทางการบริหารของเอกชนมาใช้ในการพัฒนาหรือปรับปรุงการทางาน ของภาคราชการ เหตุผลของการนามาใช้ -
กระแสโลกาภิวัฒน์ - ความเสื่อมถอยของระบบราชการและขาดธรรมาภิบาล การบริหารภาครัฐแนวใหม่ ถูกนามาใช้ในปี พ.ศ.2545 โดยถูกกาหนดอยู่ในกฎหมาย 2 ฉบับ คือ - พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ.2545 มาตรา 3/1 หลักในการบริหารของ "รัฐบาล" - พรก.หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 12 หลักในการบริหารของ "ส่วนราชการ" มาตรา 3/1 --> รัฐบาล 1. ประโยชน์สุขของประชาชน 2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของภาครัฐ 3. ความมีประสิทธิภาพ 4. ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ 5. ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 6. ลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานไม่จาเป็น 7. กระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น 8. กระจายอานาจการตัดสินใจ 9. อานวยความสะดวก 10. ตอบสนองความต้องการของประชาชน *ต้องมีผู้รับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร*
5.
มาตรา 12 -->
ส่วนราชการ 1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน 2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของภาครัฐ 3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า 4. ไม่มีขั้นตอนเกินความจาเป็น 5. ปรับปรุงส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์ 6. ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความต้องการ 7. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่าเสมอ
6.
การวางแผนเชิงกลยุทธ์ "Strategic Planning" ทหาร -->
ยุทธวิธี --> รบ เอกชน --> การวางแผนกลยุทธ์ --> เพื่อประสบความสาเร็จ ราชการ --> การวางแผนยุทธศาสตร์ --> เพื่อพัฒนางาน ความแตกต่างระหว่างแผนเชิงกลยุทธ์กับแผนทั่วไป การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การวางแผนทั่วไป ภาพรวม(กว้างๆ) แผนเฉพาะเรื่อง หลักการวางแผนเชิงกลยุทธ์ - องค์กรต้องการไปสู่จุดไหน Where do we want go? - ปัจจุบันอยู่ ณ จุดใด Where are we now? - เราจะไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้อย่างไร How do we get there? วางแผน --> นาไปปฏิบัติ --> ติดตามผล
7.
กระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์ มี 8ขั้นตอน 1.กาหนดภารกิจหลัก -->
Mission --> สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายในการดารงอยู่ขององค์กร 2.วิเคราะห์องค์กร --> SWOT--> จุดแข็ง จุดออ่อน โอกาส ภัยคุกคาม หรืออุปสรรค 3.กาหนดวิสัยทัศน์ --> Vision --> สิ่งที่อยากจะให้องค์กรเป็น ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า 4.กาหนดประเด็นยุทธ์ศาสตร์ --> Strategic Issues --> สิ่งที่ต้องคานึงถึง ต้องพัฒนา ต้องมุ่งเน้น 5.กาหนดเป้าประสงค์ --> Goal --> สิ่งที่องค์กรต้องการจะบรรลุ หรือองค์กรต้องการจะให้เกิดขึ้น 6.กาหนดตัวชี้วัด --> KPI --> สิ่งที่แสดงว่าองค์กรสามารถดาเนินงานได้บรรลุตามเป้าประสงค์ 7.กาหนดค่าเป้าหมาย --> Target --> ตัวเลขหรือค่าที่องค์กรต้องการดาเนินการให้บรรลุตามตัวชี้วัด 8.กาหนดกลยุทธ์ --> Strategy --> แนวทางหรือวิธีการที่องค์กรจะดาเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ ขั้นตอนที่ 1 การกาหนดภารกิจหลักขององค์กร (Mission) ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ SWOT วิเคราะห์จุดแข็ง - จุดอ่อน --> ภายในองค์กร -->ให้รู้จักเรา (S) (W) Internal วิเคราะห์โอกาส - อุปสรรค --> ภายนอก --> ให้รู้จักสภาพแวดล้อมภายนอก (O) (T) ขั้นตอนที่ 3 *วิสัยทัศน์ที่ดี 1. เป็นภาพฝันในอนาคต 2. เป็นสิ่งที่น่าสนใจสาหรับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง 3. มีความเป็นไปได้ที่จะให้เกิดขึ้น
8.
4. มีความชัดเจนเพียงพอที่จะใช้ในการวางแนวทางการพัฒนาองค์กร 5. สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น 6.
สื่อสารได้ง่ายและชัดเจน 7. กาหนดระยะเวลา ขั้นตอนที่ 4 การกาหนดประเด็นกลยุทธ์ - เอาข้อมูลมาจาก SWOT มาใช้ในการกาหนดประเด็นยุทธศาสตร์ เช่น จุดแข็ง (S) --> เสริมให้ดีขึ้น จุดอ่อน (W) --> แก้ไขให้ดีขึ้น "ต้องคานึงถึงการพัฒนา เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่กาหนด" ขั้นตอนที่ 5 การกาหนดเป้าประสงค์ (Goal) "สิ่งที่ต้องการให้เกิดในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์" *เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์และประเด็นยุทธศาสตร์ 1 ประเด็นยุทธศาสตร์ = 1 เป้าประสงค์ (นามธรรม) (รูปธรรม) ขั้นตอนที่ 6 การกาหนดตัวชี้วัด KPI "กาหนดสิ่งที่แสดงว่าองค์กรดาเนินการได้บรรลุตามเป้าประสงค์" ขั้นตอนที่ 7 การกาหนดค่าเป้าหมาย (Target) "กาหนดตัวเลขหรือค่าของตัวชี้วัด ที่องค์กรต้องการให้บรรลุตัวชี้วัด" ขั้นตอนที่ 8 การกาหนดกลยุทธ์ "แนวทาง/วิธีการในการดาเนินการ" *1กลยุทธ์สามารถกาหนดได้หลายโครงการ
9.
เครื่องมือทางการบริหารสมัยใหม่ 1. "การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good
Governance)" การปกครองที่เป็นธรรม ถูกต้องตามศีลธรรม หลักธรรมาภิบาล 1. นิติธรรม 2. คุณธรรม 3. โปร่งใส 4. มีส่วนร่วม 5. รับผิดชอบ 6. คุ้มค่า 2. การวิเคราะห์องค์กร (SWOT) ปัจจัยภายใน --> ควบคุมได้ ปัจจัยภายนอก --> ควบคุมไม่ได้ 3. การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) Public Sector Management Quality Award นิยาม "การประเมินและปรับปรุงตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการให้เท่าเทียมกับมาตรฐานสากล" PMQA มีทั้งหมด 7 ข้อ 1. การนาองค์กร 2. การวางแผนกลยุทธ์ 3. ให้ความสาคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4. วัด วิเคราะห์ และจัดการความรู้ 5. มุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล 6. จัดกระบวนการ 7. ผลการดาเนินงาน
10.
4. การจัดการความรู้ (Knowledge
Management : KM) นิยาม "การรวบรวมความรู้ที่มีในองค์กร ที่กระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ" ประเภทของ KM 1. อยู่ในตัวคน --> ไม่สามารถถ่ายทอดได้ (นามธรรม) เช่น ประสบการณ์ 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง --> ถ่ายทอดได้ (รูปธรรม) เช่น ทฤษฎี ทักษะการทางาน คู่มือต่างๆ องค์ประกอบ - คน - เทคโนโลยี - กระบวนการความรู้ แนวคิด - แผนผังอิชิคาวะ - แผนผังก้างปลา - ตัวแบบปลาตะเพียน 5. การประเมินสมรรถนะ (Competency) "พฤติกรรมที่องค์กรหรือหน่วยงาน ต้องการจากบุคคลากร เพราะเชื่อว่าถ้าทาในสิ่งที่กาหนด จะทาให้งานดีและ บรรลุเป้าหมาย" สมรรถนะของข้าราชการ 1. มุ่งผลสัมฤทธิ์ 2. เต็มใจให้บริการ 3. สั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ 4. ยึดมั่นในความถูกต้อง ชอบธรรม จริยธรรม 5. ทางานเป็นทีม
11.
6. การจัดทาคารับรองการปฏิบัติราชการ (Performance
Commitment) "การทาข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร" (หาผู้รับผิดชอบงาน) 7. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ (Result Base Management : RBM) --> ใช้ในราชการของสวีเดน "การบริหารที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ขององค์กร" ผลผลิต (Output) --> วัดค่าได้ (รูปธรรม) เช่น ปลูกมะม่วง ก็ต้องได้มะม่วง ผลลัพธ์ (Outcome) --> วัดค่าไม่ได้ (นามธรรม) เช่น ปลูกมะม่วง ผลที่ได้คือ ความอิ่มจากการกินมะม่วง หรือรสชาดจากมะม่วง ผลสัมฤทธิ์ = ผลผลิต + ผลลัพธ์ (Result) Output Outcome 8. การประเมินผลความสาเร็จรอบด้าน (Balance Scorecard : BSC) Kaplan และ Norton "Balance Scorecard" เอกชน ราชการ มุมมองด้านการเงิน (กาไร) = ประสิทธิผล มุมมองด้านลูกค้า = ความพึงพอใจ มุมมองด้านกระบวนการภายใน = ประสิทธิภาพ มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนา = การพัฒนาองค์กร 9. การเปรียบเทียบองค์กร (Benchmarking) --> มาจากสารวจที่ดิน "เปรียบเทียบเพื่อปรับปรุงให้เท่ากับคนอื่น หรือดีกว่าคนอื่น" การเปรียบเทียบแบ่งเป็น 4 ประเภท 1. ในองค์กร 2. คู่แข่ง 3. ตามหน้าที่ 4. ทั่วไป
12.
10. การออกแบบกระบวนการใหม่ (Re-Engineering) "รื้อระบบการทางาน" Re-Engineering 1.
เน้นความความสาคัญของลูกค้า 2. ผิดที่กระบวนงาน 3. เริ่มที่กระดาษเปล่า 11. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) "กระบวนการจัดการให้โอกาสเกิดความเสี่ยงลดลง" การจัดการความเสี่ยง 1. ยอมรับความเสี่ยง 2. ลดหรือควบคุมความเสี่ยง 3. กระจายความเสี่ยง/โอนความเสี่ยง 4. การเลี่ยงความเสี่ยง 12. การกาหนดตัวชี้วัด (Key Performance Indicators : KPI) "วัดผลการดาเนินงานว่าบรรลุตามเป้าหมาย"
13.
โครงการ ลักษณะของโครงการที่ดี 1. สามารถตอบสนองความต้องการ หรือแก้ปัญหาขององค์กรหรือหน่วยงานได้ 2.
มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถดาเนินงานและปฏิบัติได้ 3. รายละเอียดของโครงการที่สอดคล้องและสัมพันธ์กัน 4. เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการดาเนินงาน 5. นาไปปฏิบัติได้ สอดคล้องกับแผนงานหลักขององค์กรและประเมินผลได้ 6. ต้องกาหนดขึ้นจากข้อมูลที่เป็นจริง และได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ 7. ได้รับการสนับสนุนในด้านทรัพยากร และการบริหาร 8. มีระยะเวลาในการดาเนินงาน รูปแบบของโครงการ 1. ชื่อโครงการ 2. หลักการและเหตุผล 3. วัตถุประสงค์ มีได้มากกว่า 1 ข้อ ต้องคานึงถึงหลัก 5 ประการ (SMART) 1. S = ชัดเจนและเป็นไปได้ 2. M = วัดได้ 3. A = บรรลุผลได้ 4. R = เป็นเหตุเป็นผล 5. T = เวลา 4. เป้าหมาย 5. ขั้นตอนการดาเนินงาน 6. สถานที่ดาเนินการ 7. ระยะเวลา 8. งบประมาณ 9. การวัดและประเมินผลโครงการ 10. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 11. ผู้รับผิดชอบโครงการ เทคนิคการเขียนโครงการ 6W2H ประกอบด้วย 1. ทาทาไม Why 2. ทาอะไร What 3. ทาที่ไหน Where 4. ทาเมื่อไหร่ When 5. ใครทา Who 6. ทาเพื่อใคร Whom 7. ทาอย่างไร How 8. ทาเท่าไหร่ How much งบประมาณและทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ ใช้หลัก 4 E ประกอบด้วย 1. Economy ประหยัด 2. Efficiency ประสิทธิภาพ 3. Effectiveness ประสิทธิผล 4. Equity ความยุติธรรม
14.
แนวทางการเขียนโครงการ มี 2
แนวทาง 1. การเขียนโครงการแบบประเพณีนิยม (แบบดั้งเดิม) 6W2H ประกอบด้วย 1. Program ชื่อแผน 2. Project Title ชื่อโครงการ 3. Rationale for Project หลักการและเหตุผล 4. Objectives วัตถุประสงค์ 5. Targets เป้าหมาย 6. Procedure การเนินงาน 7. Duration ระยะเวลา 8. Bud jets and Resources งบประมาณ และทรัพยากร 9. Project Manager ผู้รับผิดชอบโครงการ 10. Sponsor หน่วยงานในการสนับสนุน 11. Project Evou การประเมินผลโครงการ 12. Expected Outcome ผลที่คาดว่าจะได้ 2. การเขียนแบบตารางเหตุผลสัมพันธ์ (Matrix) - Ultimate goal วัตถุประสงค์สูงสุด - Intermediate goal วัตถุประสงค์ระดับกลาง - Outputs วัตถุประสงค์ระดับล่าง
15.
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 นายกรัฐมนตรี -->
รักษาการ บังคับใช้ถัดจากวันประกาศ การแบ่งส่วนราชการ คานึงถึง 2 ประการ 1.คุณภาพ 2. ปริมาณงาน ระเบียบบริหารแผ่นดิน ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นส่วนกลาง (แบ่งอานาจ) (กระจายอานาจ)(รวมอานาจ)
16.
ส่วนที่ 1 ระเบียบ บริหารราชการส่วนกลาง ส่วนกลาง กระทรวง
ทบวง ที่มีฐานะเท่ากระทรวง ทบวง --> สังกัดสานักนายกสานักนายกรัฐมนตรี กรม/ส่วนราชการที่มีฐานะเท่ากรม สังกัด/ไม่สังกัด สานักนายก เป็นนิติบุคคล จัดตั้ง รวม โอน พรบ. ยุบ เปลี่ยนแปลงชื่อ พรก.
17.
ยกเว้น *ปัจจุบันมี 20 กระทรวง * *กลุ่มภารกิจ 1.
สานักนายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชา - - จัดตั้ง รวม โอน ขึ้นใหม่ที่ ไม่กาหนดตาแหน่ง อัตราของ ขรก. ลูกจ้างเพิ่มขึ้น พรก. จังหวัด นิติบุคคล อาเภอ ไม่เป็นนิติบุคคล สานักงานรัฐมนตรี ไม่มีฐานะเป็นกรม ไม่เป็นนิติบุคคล กฎกระทรวง ส่วนราชการระดับกรม 2 ส่วนราชการขึ้นไป อยู่ภายใต้กลุ่ม ภารกิจเดียวกัน หน.ภารกิจ ไม่ต่ากว่า อธิบดี นายกรัฐมนตรี บังคับบัญชา ขรก. รองนายกฯ รมต.ประจาสานักนายก ผู้ช่วยสั่ง * ปฏิบัติราชการ * ปลัดสานักนายก นิติบุคคลรองปลัดสานักนายก ผช.ปลัดสานักนายก เป็น ขรก.พลเรือนสามัญ
18.
หน้าที่ 1. ควบคุม ขรก.ในสานักนายก 2.
เป็นผู้บังคับบัญชา ขรก.ของส่วนราชการ ในสานักนายก รองจาก นายกฯ รองนายกฯ และรมต.ประจา สานักนายก 3.บังคับบัญชา ขรก.และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ ของสานักปลักสานักนายกฯ สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 1. 2. 3. 4. สานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สานักเลขาฯ นายก หน้าที่เกี่ยวกับการเมือง เลขาฯ นายก ผู้บังคับบัญชา ขรก.การเมือง รองเลขาฯ นายก ฝ่ายการเมือง ขรก.การเมือง รองเลขาฯ นายก ฝ่ายบริหาร ขรก.พลเรือน ผช.เลขาฯ นายก ขรก.พลเรือน หน้าที่เกี่ยวกับ ราชการในพระองค์** รัฐสภา ราชการของคณะรัฐมนตรี
19.
1. 2. 3. 2. กระทรวง/ทบวง ประกอบด้วย 3
ส่วน 1. 2. 3. การบังคับบัญชา 1. รมต. --> บังคับบัญชา + รับผิดชอบงานในกระทรวง 2. รมช. --> ช่วยสั่ง + ปฏิบัติราชการ --> ตามที่ รมต.มอบหมาย 3. ป.กระทรวง --> แปลงนโยบาย --> เป็นแนวทาง + แผนการปฏิบัติราชการ 4. รอง ป.กระทรวง --> ช่วยสั่ง + ปฏิบัติราชการ --> ที่ ป.กระทรวงมอบหมาย สานักงานรัฐมนตรี มีหน้าที่เกี่ยวกับ --> ราชการทางการเมือง 1. เลขารัฐมนตรี --> ผู้บังคับบัญชา --> ขรก.การเมือง 2. ผช.เลขา --> 1 คนหรือหลายคนก็ได้ --> ขรก.การเมือง เลขาฯ ครม. บังคับบัญชา ขรก. ขรก.พลเรือน รองเลขาฯ ครม. ขรก.พลเรือน ผช.เลขาฯ ครม. ขรก.พลเรือน สานักงานรัฐมนตรี ไม่มีฐานะเป็นกรม และไม่เป็นนิติบุคคล สานักงานปลัดกระทรวง มีฐานะเป็นกรม นิติบุคคล กรม นิติบุคคล
20.
สานักงานปลัดกระทรวง หน้าที่ 1. ราชการทั่วไปของกระทรวง +
ราชการที่ ครม.ไม่ได้กาหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใด ในสังกัด กระทรวงโดยเฉพาะ 2. กากับ + เร่งรัด การปฏิบัติราชการในกระทรวง --> ให้เป็นไปตามนโยบาย + แผนการปฏิบัติราชการ ของกระทรวง 3.ทบวง ราชการ --> สภาพ + ปริมาณงาน ไม่เหมาะที่จะจัดตั้งเป็นกระทรวง ประกอบด้วย 1. สานักงานรัฐมนตรี 2. สานักงานปลัดกระทรวง 3. กรม 4. กรม ผู้บังคับบัญชา 1. อธิบดี --> บังคับบัญชา ขรก. + รับผิดชอบการปฏิบัติราชการของกรม 2. รองอธิบดี 5. การปฏิบัติราชการแทน ปฏิบัติราชการแทน --> การมอบอานาจของผู้มีอานาจตามกฎหมาย --> ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา/ มอบให้ ผวจ. หลักเกณฑ์การมอบอานาจ 1. เมื่อมอบอานาจแล้ว --> ผู้รับมอบมีหน้าที่ต้องรับมอบ (ไม่สามารถปฎิเสธได้) 2. ผู้มอบ --> จะกาหนดให้ผู้รับมอบ --> มอบอานาจให้ผู้ดารงตาแหน่งอื่นต่อไปได้ 3. กรณี มอบให้ ผวจ. --> ครม. จะกาหนดหลักเกณฑ์ --> ให้ ผวจ. มอบอานาจให้ รองผวจ.+ปจ+หน. ส่วนฯ 4. การมอบต้องทาเป็นหนังสือ กรม กอง สนง.เลขานุการกรม
21.
5. การมอบ -->
ให้พิจารณา --> การอานวยความสะดวกแก่ประชาชน + ความรวดเร็วในการปฏิบัติ ราชการ + การกระจายความรับผิดชอบตามสภาพของตาแหน่งของผู้รับมอบอานาจ 6. เมื่อมอบแล้ว ผู้มอบมีหน้าที่ - กากับดูแล - ติดตามผลการปฏิบัติราชการ - มีอานาจแนะนา/แก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบได้ 6. การรักษาราชการแทน รักษาราชการแทน --> ผู้มีอานาจไม่อาจปฏิบัติราชการได้/ไม่มีผู้ดารงตาแหน่ง/มีแต่ไม่สามารถ ปฏิบัติราชการได้ 1. 2. 3. 4. นายกรัฐมนตรี ไม่มีรอง/มีแต่ทางานไม่ได้ครม.มอบ รมต. มีรองหลายคน ครม.มอบรองคนใดคนหนึ่ง รองนายก รมต. ไม่มี รมต.ช่วย/มีแต่ทางานไม่ได้ครม. --> มอบ รมต.คนใดคนหนึ่ง รมต.ช่วยหลายคน ครม. --> มอบ รมต.ช่วยคนใดคนหนึ่ง รมต.ช่วย เลขารัฐมนตรี ไม่มีเลขาฯ/มีแต่ทางานไม่ได้รมต. --> มอบ ขรก.ในกระทรวง ผช.เลขา หลายคน รมต.มอบ ผช.เลขา ป.กระทรวง ไม่มีรอง ป.กระทรวง/มีแต่ทางานไม่ได้ - รมต. --> แต่งตั้ง ขรก.ไม่ต่ากว่าอธิบดี/เทียบเท่า รอง ป.หลายคน รมต. --> แต่งตั้ง รองฯ รอง ป.กระทรวง นายก --> แต่งตั้ง กรณี สานักนายก กรณี สานักนายก ไม่มีรอง ป.กระทรวง ป.กระทรวง --> แต่งตั้ง ขรก. ไม่ต่ากว่า ผอ.กอง/เทียบเท่า
22.
5. *ผู้รักษาราชการแทน --> มีอานาจเช่นเดียวกับผู้ที่ตนแทน *ไม่บังคับใช้ในราชการทหาร 7.ราชการในต่างประเทศ **
กระทรวงแบ่งท้องที่เป็นเขต --> วัตถุประสงค์เพื่อ --> ปฏิบัติงานทางวิชาการ ** ผู้ตรวจราชการกระทรวง --> พิจารณาจาก --> สภาพและ ปริมาณงาน อธิบดี ไม่มีเลขาฯ/มีแต่ทางานไม่ได้ ป.กระทรวง --> แต่งตั้ง ขรก.ในกรม เทียบเท่ารองอธิบดี/หน.กอง รองหลายคน ป.กระทรวง --> แต่งตั้ง รองอธิบดี ราชการในต่างประเทศ รอง หน.คณะผู้แทน หน.คณะผู้แทน คณะผู้แทน
23.
การบริหารราชการส่วนภูมิภาค 1. จังหวัด ส่วนราชการที่ไม่ได้อยู่ในกากับ ของ
ผวจ. อานาจในการบังคับบัญชาของ ผวจ. 1. บังคับบัญชา ขรก.ฝ่ายบริหาร 2.กากับดูแลการปฏิบัติราชการ 3. ยับยั้งการกระทาใดๆ ของ ขรก ที่ขัดต่อกฎหมาย 4. ประสานงานและร่วมมือกับทหารฯลฯ 5.กากับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ 6. บรรจุ และแต่งตั้ง ลงโทษ ขรก ส่วนภูมิภาค คณะกรมการจังหวัด 1. ผวจ. ประธาน 2. รองผวจ. 1 คน รองประธาน 3. หน.ส่วนประจาจังหวัด เช่น ปจ. อัยการจังหวัด กรรมการ 4. หน.สนง.จังหวัด กรรมการและเลขา หน้าที่ 1. จัดทาแผนพัฒนาจังหวัดให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติ 2. ความต้องการของประชาชนในจังหวัด ตั้ง ยุบ เปลี่ยนแปลงเขต พรบ. นิติบุคคล ขรก.ครู No จังหวัดขรก.ใน สตง. ขรก.ในมหาลัย ขรก.ฝ่ายอัยการ ขรก.ตุลาการ ทหาร
24.
ผู้บังคับบัญชา 1. 2. *รอง ผวจ. -->
ป.มท. แต่งตั้งและสั่งบรรจุ *ผวจ. + รองผวจ. + นอ. = สังกัด ก.มท. + No --> กรมการปกครอง 3. 4. *คกก.ธรรมาธิบาล (ก.ธ.จ.) --> สอดส่องและเสนอแนะการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานของรัฐใน จังหวัด การแบ่งส่วนราชการ 1. สนง.จังหวัด --> มีหน้าที่ราชการทั่วไป + การวางแผนพัฒนาจังหวัด --> หน.สนง.จ. = ผู้บังคับบัญชา 2. ส่วนต่างๆ ที่กระทรวง ทบวง กรม จัดตั้งขึ้น --> เกี่ยวกับราชการ --> มีหน.ส่วนราชการเป็นผู้ปกครอง 2. อาเภอ ผวจ. รับผิดชอบราชการในจังหวัด และอาเภอ บังคับบัญชา ขรก.ฝ่ายบริหารในภูมิภาครับนโยบาย มาปฏิบัติ ปฏิบัติราชการแทน ผวจ. ผู้ช่วยสั่ง รอง ผวจ. ปจ. หน.ส่วนราชการประจาจังหวัด สังกัด กระทรวง ทบวง กรม ที่ส่งมาทาหน้าที่เป็น ผช. ตั้ง ยุบ เปลี่ยนแปลงเขต พรก. No นิติบุคคล
25.
การแบ่งส่วนราชการ การบังคับบัญชา 1. 2. 3. คณะบุคคลที่ทาหน้าที่ไกล่เกลี่ย 1. นอ. พนักงานอัยการประจาจังหวัด
/ ปอ.ที่ได้รับมอบหมาย --> ประธาน 2. บุคคล จากบัญชีรายชื่อ --> ที่นอ.จัดทาขึ้นโดยความเห็นชอบจากคณะกรมการจังหวัด --> ให้คู่พิพาท เลือกมาฝ่ายละ 1 คน อาเภอ สนง.อาเภอ หน.ส่วนระดับอาเภอ นอ. = ผู้ปกครอง หน.ส่วน = ผู้ปกครอง นอ. สังกัด มท. บริหารราชการในเขตอาเภอ ปจ. หน.ส่วน สังกัด กระทรวง ทบวง กรม ที่ส่งมาทาหน้าที่เป็น ผช. ช่วยเหลือ นอ. บังคับบัญชา ขรก.ในภูมิภาค ที่สังกัด กระทรวง ทบวง กรม เงื่อนไขในการไกล่เกลี่ย ทางแพ่ง ข้อพิพาทไม่เกิน 200,000 บาทหรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน มรดก ฝ่ ายหนึ่งมีภูมิลาเนาในเขตอาเภอ การไกล่เกลี่ย ทางอาญา ผู้ไกล่เกลี่ย ความผิดยอมความได้ไม่ใช่ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกิดในเขตอาเภอ นอ . ปอ.ที่ นอ.มอบหมาย คู่กรณียินยอม
26.
การรักษาราชการแทน --> ในอาเภอ 1.
ไม่มี นอ. --> ผวจ. แต่งตั้ง ปอ./หน.ส่วนประจาอาเภอ ผู้อาวุโส --> รักษาราชการแทน 2. มี นอ. แต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ --> นอ.แต่งตั้ง ปอ./หน.ส่วนอาเภอ --> รักษาราชการแทน 3. ผวจ. + นอ. --> ไม่ได้แต่งตั้งให้ผู้ใดรักษาราชการแทน --> ปอ./หน.ส่วนอาเภอ --> รักษาราชการแทน ส่วนราชการระดับอาเภอ --> 9 หน่วย 1. สนง.คลังจังหวัด ณ อาเภอ 2. สนง.ประมงอาเภอ 3. สนง.ปศุสัตว์อาเภอ 4. สนง. เกษตรอาเภอ 5. ที่ทาการปกครองอาเภอ 6. สนง.ที่ดินอาเภอ 7. สนง.พัฒนาชุมชนอาเภอ 8. เรือนจาอาเภอ 9. สนง.สาธารณสุขอาเภอ การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น มี 4 ส่วน 1. อบจ. 2. เทศบาล 3. สุขาภิบาล 4. ส่วนราชการอื่น ตามกฎหมายกาหนด ปัจจุบัน มี 3 ส่วน คือ 4.1 อบต. 4.2 กทม. 4.3 เมืองพัทยา
27.
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จานวนไม่เกิน
14 คน 1. นายกฯ ประธาน 2. นายกฯ กาหนด รมต. 1 คน รองประธาน 3. ผู้ซึ่งคณะกรรมการกระจายอานาจให้แก่ อปท.มอบหมาย 1 คน 4. ผู้ทรงคุณวุฒิ --> ไม่เกิน 10 คน - ครม. --> แต่งตั้ง ผู้ที่มีความรู้ + ความเชี่ยวชาญด้าน นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บริหารรัฐกิจ การบริหารธุรกิจ การเงินการคลัง สังคมวิทยา --> ด้านละ 1 คน - ครม. --> กาหนดให้ผู้ทรงฯ ไม่น้อยกว่า 3 คน แต่ไม่เกิน 5 คน --> ทางานเต็มเวลา 5. เลขาธิการ ก.พ.ร. --> เป็นกรรมการและเลขา **ดารงตาแหน่งคราวละ 4 ปี --> แต่งตั้งได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
28.
พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 นายกรัฐมนตรี -->
รักษาการ บังคับใช้ถัดจากวันประกาศ นิยาม “ขรก.พลเรือน” --> บุคคลซึ่งได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตาม พรบ.นี้ --> ได้รับเงินเดือน จากเงินงบประมาณในกระทรวง --> กรมฝ่ายพลเรือน *** พนักงานส่วนท้องถิ่น + ทหาร ไม่ใช่ฝ่ายพลเรือน ประเภทของ ขรก.พลเรือน 1. ขรก.พลเรือนสามัญ 2. ขรก.พลเรือนในพระองค์ “ปลัดกระทรวง” --> ป.สานักนายก + ป.ทบวง คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) คกก.ขรก.พลเรือน (ก.พ.) จานวน 10 – 12 คน โครงสร้าง 1. นายก/รองนายกฯ ที่นายกมอบหมาย ประธาน 2. ป.ก.คลัง 3. ผอ.สานักงบประมาณ 4. เลขา คกก.พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5. เลขา กพ. 6. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิ 1. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง จานวน ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน 2. เป็นผู้มีความรู้ด้าน 1. การบริหารทรัพยากรบุคคล 2. ด้านการบริหารและจัดการ 3. ด้านกฎหมาย กรรมการโดยตาแหน่ง
29.
3. วาระการดารงตาแหน่ง 3
ปี --> พ้นแล้วแต่งตั้งได้อีก สนง.กพ. หน้าที่ สนง.กพ. --> มี 14 ข้อ 7. จัดทายุทธศาสตร์ การดาเนินงาน การพัฒนาทรัพยากรบุคคล 9. ดาเนินการเกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวง ทุนรัฐบาล 10. ดูแลบุคลากรภาครัฐ และนักเรียนทุน 11. รับรองคุณวุฒิ 12. รักษา ทบ.ประวัติ และการควบคุม เกษียณอายุของ ขรก. 13. จัดทารายงานประจาปี เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ต่อ --> กพ. และครม. สานักงาน กพ. เลขา กพ. เป็นผู้บังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อนายก คณะอนุกรรมการสามัญ อ.กพ.กระทรวง อ.กพ.กรม อ.กพ.จังหวัด อ.กพ.ประจาส่วนราชการอื่น
30.
คณะอนุกรรมการสามัญ (อ.ก.พ.) ประเภท อ.ก.พ.
จานวน ประธาน รอง ผู้แทน ขรก. สนง. ก.พ. อนุกรรมการที่ ประธานแต่งตั้ง หน้าที่ จานวน ผู้ทรงคุณวุฒิ ขรก.ที่ดารงตาแหน่ง ผู้มีความรู้ จานวน ประเภท จานวน 1. อ.ก.พ. กระทรวง ไม่เกิน 11 คน รมต. ป. กระทรวง 1 คน ไม่เกิน 8 คน 1. ด้านการบริหารทรัพยากร บุคคล 2. ด้านการบริหารและการ จัดการ 3. ด้านกฎหมาย ไม่เกิน 3 คน ประเภทบริหารระดับสูง ใน กระทรวง ไม่เกิน 5 คน 1.กาหนดนโยบาย ระเบียบ 2.เกลี่ยอัตรากาลัง 3.ดาเนินการทางวินัยและ ให้ออก 2. อ.ก.พ. กรม " อธิบดี รองอธิบดี - ไม่เกิน 9 คน " ไม่เกิน 3 คน ประเภทบริหาร/อานวยการ ไม่เกิน 6 คน 1.กาหนดนโยบาย ระเบียบ 2.เกลี่ยอัตรากาลังในกรม 3.ดาเนินการทางวินัยและ ให้ออก 3. อ.ก.พ. จังหวัด " ผวจ. รอง ผวจ. - ไม่เกิน 9 คน " ไม่เกิน 3 คน ประเภทบริหาร/อานวยการ ไม่เกิน 6 คน 1.กาหนดนโยบาย ระเบียบ 2.ดาเนินการทางวินัยและ ให้ออก 3.ปฏิบัติตาม อ.ก.พ. กระทรวง/ อ.ก.พ. กรม มอบหมาย
31.
คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม คกก.พิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) -->
ทางานเต็มเวลา 1. คณะกรรมการ --> จานวน 7 คน --> ทางานเต็มเวลา 2. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง กรรมการคัดเลือก --> 4 คน ประกอบด้วย 1. ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธาน 2. รองประธานศาลฎีกา --> ที่ประธานมอบหมาย กรรมการ 3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน --> ก.พ.เลือก กรรมการ 4. เลขา ก.พ. เลขา คุณสมบัติของผู้จะได้รับคัดเลือก 1. มีสัญชาติไทย 2. อายุไม่ต่ากว่า 45 ปี วาระการดารงตาแหน่ง - ดารงตาแหน่ง 6 ปี --> นับแต่วันโปรดเกล้าฯ - ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว หน้าที่ 1. เสนอแนะ ดาเนินการด้านบริหารทรัพยากรบุคคล ในส่วนที่เกี่ยวกับพิทักษ์ระบบคุณธรรม 2. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ 3. วินิจฉัย เรื่องราวร้องทุกข์ 4. พิจารณาการคุ้มครองระบบคุณธรรม 5. ออกกฎ ก.พ.ค. 6. แต่งตั้ง กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ จุดประสงค์ของการจัดระเบียบ จุดประสงค์ของการจัดระเบียบ ขรก.พลเรือน ผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า
32.
ประเภทของ ขรก. คุณสมบัติของ ขรก.พลเรือน 1.
มีสัญชาติไทย 2. อายุไม่ต่ากว่า 18 ปีบริบูรณ์ 3. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลักษณะต้องห้าม 1. ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง 2. คนไร้/เสมือนไร้ 3. บ้า 4. โรคติดต่อร้ายแรง 5. อยู่ในระหว่างถูกพักราชการ/สั่งให้ออกจากราชการ ขรก.อาจได้รับเงินเพิ่ม หลักในการบรรจุคนเข้ารับราชการ 1. ความรู้ความสามารถ 2. ความเสมอภาค 3. ความเป็นธรรม 4. ประโยชน์ราชการ ประเภทของ ขรก.พลเรือน ขรก.พลเรือนสามัญ ขรก.พลเรือนในพระองค์ ได้รับเงินเพิ่ม ประจาอยู่ใน ตปท. ตาแหน่งในบางท้องที่ ตาแหน่งบางสายงาน ตาแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามระเบียบ ก.พ. --> ก.คลังเห็นชอบ
33.
*ครม. --> มีอานาจปรับเงินเดือนให้เหมาะสม
--> ไม่เกินร้อยละ 10 --> ตราเป็น พรก. --> เกินร้อยละ 10 --> ตราเป็น พรบ. ตาแหน่ง ขรก.พลเรือน --> 4 ประเภท 1. 2. 3. 4. อ.ก.พ.กระทรวง กาหนดตาแหน่งในส่วนราชการ จานวนเท่าใด ตาแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด ใช้หลัก 1. ประสิทธิภาพ 2. ประสิทธิผล 3. ความไม่ซ้าซ้อน 4. ประหยัด วิชาการ ปฏิบัติการ ชานาญการ ชานาญการพิเศษ (8ว) เชี่ยวชาญ ทรงคุณวุฒิ จ่าจังหวัด ป้ องกันจังหวัด ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ที่ปรึกษา ทั่วไป ปฏิบัติงาน ชานาญการ อาวุธโส ทักษะพิเศษ บริหาร ระดับต้น ระดับสูง รอง ป.กระทรวง ป. กระทรวง รอง อปค. อปค. ผวจ. ป.กระทรวง --> แต่งตั้ง รมต. --> แต่งตั้ง อานวยการ ระดับต้น ระดับสูง ผอ.กอง นอ.9 นอ.8 ปจ. อธิบดี --> แต่งตั้ง ป.กระทรวง --> แต่งตั้ง
34.
*ขรก. --> ประเภทบริหาร
--> ทางานครบ 4 ปี ผู้มีอานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง --> ย้าย/โอน ไปปฏิบัติหน้าที่อื่น กรณี ครม. --> อนุมัติให้คงอยู่ --> ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้อีก ไม่เกิน 2 ปี จรรยาบรรณ ขรก. 1. ยึดมั่น และยืนหยัดทาสิ่งที่ถูกต้อง 2. ซื่อสัตย์สุจริต และรับผิดชอบ 3. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 4. ไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม 5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน ความผิดทางวินัยร้ายแรง 1. ปฏิบัติ/ละเว้นการปฏิบัติ โดยมิชอบ --> เพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ใด/ การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ --> โดยทุจริต 2. ละทิ้ง/ทอดทิ้งหน้าที่ + ไม่มีเหตุผลอันสมควร --> ทาให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง 3. ทิ้งราชการติดต่อกัน --> เกิน 15 วัน + ไม่มีเหตุอันควร 4. ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง 5. ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง/ทาร้าย --> ประชาชน + ผู้ติดต่อราชการ + อย่างร้ายแรง 6. ทาผิดอาญาจนได้รับโทษจาคุก/หนักกว่าจาคุก + คาพิพากษาถึงที่สุด ยกเว้น ประมาทกับลหุโทษ 7. ละเว้นการกระทา/กระทาการใดๆ --> โดยไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ + ข้อห้าม --> เป็นเหตุให้เสียหายแก่ ราชการอย่าร้ายแรง 8. ทา/ไม่ทาใดๆ --> ที่ไม่ปฏิบัติตามที่ ก.พ. กาหนดให้เป็นความผิดร้ายแรง โทษทางวินัย --> 5 สถาน 1. ภาคทัณฑ์ 2. ตัดเงินเดือน โทษความผิดไม่ร้ายแรง 3. ลดเงินเดือน 4. ปลอดออก 5. ไล่ออก *การลงโทษให้ทาเป็นหนังสือ + เหมาะสมกับความผิด + ยุติธรรม + ปราศจากอคติ โทษความผิดร้ายแรง
35.
การออกจากราชการ 1. ตาย 2. พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จ
บานาญ 3. ลาออก 4. ถูกสั่งให้ออก 5. ถูกปลดออก/ไล่ออก พ้นจากราชการตามกฎหมายบาเหน็จ บานาญ ขรก. 1. พ้นเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ --> ในสิ้นปีงบประมาณ 2. ต้องการให้รับราชการต่อ --> ต่อไปได้ไม่เกิน 10 ปี ในตาแหน่ง 2.1 ประเภทวิชาการ ได้แก่ เชี่ยวชาญ + ทรงคุณวุฒิ 2.2 ประเภททั่วไป ได้แก่ อาวุธโส + ทักษะพิเศษ ลาออก ลาออก ยื่นหนังสือขอลาออก ต่อผู้บังคับบัญชา เหนือขึ้นไป 1 ชั้น ก่อนวันลาออก ไม่น้อยกว่า 30 วัน กรณี ผู้บังคับบัญชา ยับยั้ง ยับยั้งได้ไม่เกิน 90 วัน
36.
การลาออกที่มีผลนับแต่วันที่ลาออก (ออกได้ทันที) 1. เพื่อไปดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2.
ดารงตาแหน่งทางการเมือง 3. สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส./สว. 4. สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น/ผู้บริหารท้องถิ่น ให้ออก 1. ป่วย ทางานไม่ได้ 2. สมัครไปปฏิบัติงานใดๆ --> ตามความประสงค์ของทางราชการ 3. ขาดคุณสมบัติ 4. ทางานไม่มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล 5. หย่อนความสามารถ 6. ยุบเลิก/ยุบหน่วยงาน 7. ถูกสอบสวนกระทาความผิดร้ายแรง --> ถ้ารับราชการต่อไปจะเกิดความเสียหายแก่ราชการ 8. คาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก การอุทธรณ์ 1. ถูกให้ออกจากราชการ --> อุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. --> ภายใน 30 วัน 2. ก.พ.ค. จะวินิจฉัยเอง/ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยก็ได้ ระยะเวลาในการวินิจฉัยของ ก.พ.ค. 1. พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน --> นับแต่วันได้รับอุทธรณ์ 2. ขยายเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้ง --> ครั้งละไม่เกิน 60 วัน *ผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. --> ฟ้องศาลปกครองสูงสุด --> ใน 90 วัน นับแต่วัน ทราบคาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. การร้องทุกข์ ร้องทุกข์ ร้องต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป ร้องต่อ ก.พ.ค.
37.
อานาจในการวินิจฉัยร้องทุกข์ของ ก.พ.ค. 1. ไม่รับเรื่องร้องทุกข์ 2.
ยกคาร้อง 3. วินิจฉัยให้แก้ไขหรือยกเลิกคาสั่ง 4. เยียวยาความเสียหายของผู้ร้องทุกข์ 5. ดาเนินการอื่นใด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามระเบียบที่ ก.พ.ค. กาหนด ขรก.ในพระองค์ การบริหารงานบุคคล --> ตราเป็น พรก. เป็นไปตาม พระราชอัธยาศัย การแต่งตั้ง การพ้นจากตาแหน่ง
38.
พรบ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
พ.ศ.2545 ** ประเทศไทย มีทั้งหมด 20 กระทรวง ** ** สำนักนำยก ** มีหน่วยงานในสังกัด 1. สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรี 2. กรมประชาสัมพันธ์ 3. สานักงานคุ้มครองผู้บริโภค (ส่วนที่ขึ้นตรงต่อนายก) 4. สานักเลขาฯ นายกฯ 5. สานักเลขาฯ คณะรัฐมนตรี 6. สานักข่าวกรองแห่งชาติ 7. สานักงบประมาณ 8. สานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ 9. สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 10. สานักงาน ก.พ. 11. สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 12. สานักงานพัฒนาระบบราชการ (กพร.) 13. สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ** ส่วนรำชกำรไม่สังกัดสำนักนำยกฯ อยู่ในข้อบังคับของนำยก ** 1. สานักราชเลขาธิการ 2. สานักพระราชวัง 3. สานักงานพระพุทธศาสนา 4. สานักงานประสานงานโครงการในพระราชดาริ อยู่ในบังคับบัญชาของนายกฯ 5. สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 6. ราชบัณฑิตยสถาน 7. สานักงานตารวจแห่งชาติ 8. สานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 9. สานักงานอัยการสูงสุด 10. สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) อยู่ในบังคับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
39.
พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 นายกรัฐมนตรี -->
รักษาการ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ไม่บังคับใช้กับ 1. รัฐสภา และครม. 2. องค์กรที่ใช้อานาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ (องค์กรอิสระ) 3. การพิจารณาของนายกฯ หรือรมต. ในงานทางนโยบายโดยตรง 4. การพิจารณาคดีของศาล และการดาเนินงานของ จนท.ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดี และการวางทรัพย์ 5. การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ 6. การดาเนินงานเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ 7. ราชการทหาร/จนท.ปฏิบัติหน้าที่ทางยุทธการร่วมกับทหารในการป้ องกัน และรักษาความมั่นคง 8. การดาเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 9. กิจการของทางศาสนา นิยาม “วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง” --> การเตรียมการ + การดาเนินการของจนท. --> เพื่อจัดให้มี 1. คาสั่งทางปกครอง 2. กฎ และ 3. การดาเนินการใดๆในทางปกครอง “การพิจารณาทางปกครอง” --> การเตรียม + ดาเนินการของจนท. --> จัดให้มีคาสั่งทางปกครอง “คาสั่งทางปกครอง” --> 1. การใช้อานาจตามกฎหมายของ จนท. --> ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้น ระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลต่อ สถานภาพของสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราว หรือถาวร เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการ รับจดทะเบียน ยกเว้น การออกกฎ 2. กฎ = พรก. กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ มีผลบังคับเป็นการทั่วไป --> ไม่บังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
40.
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง --> จานวน
11 – 15 คน โครงสร้าง 1. ประธาน --> ครม.แต่งตั้ง --> ดารงตาแหน่ง 3 ปี 2. ป.สานักนายก 3. ป.มท. 4. เลขา ครม. 5. เลขา คกก.ก.พ. 6. เลขา คกก.กฤษฎีกา 7. ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 1. ครม. --> แต่งตั้งผู้ทรงฯ 2. วาระดารงตาแหน่ง --> 3 ปี 3. เมื่อพ้นแล้วได้รับแต่งตั้งได้อีก คุณสมบัติผู้ทรงฯ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทาง 1. นิติศาสตร์ 2. รปศ. 3. รัฐศาสตร์ 4. สังคมศาสตร์ 5. การบริหารราชการแผ่นดิน จนท.ต่อไปนี้จะทาการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ 1. เป็นคู่กรณีเอง 2. เป็นคู่หมั้น/คู่สมรสของคู่กรณีเอง 3. เป็นญาติของคู่กรณี --> พ่อ แม่ ผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ/พี่น้อง/ลูกพี่ ลูกน้อง นับได้เพียง 3 ชั้น/ญาติเกี่ยว พันธ์ทางการแต่งงาน --> นับได้เพียง 2 ชั้น 4. เป็น/เคยเป็น ผู้แทนโดยชอบธรรม/ผู้พิทักษ์/ผู้แทน/ตัวแทน ของคู่กรณี 5. เป็นเจ้าหนี้/ลูกหนี้/นายจ้างของคู่กรณี 6. กรณีอื่น
41.
การคัดค้าน ความเป็นกลางของ จนท. -
จนท.หยุดการพิจารณาเรื่องไว้ก่อน + แจ้งผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป 1 ชั้น - ที่ประชุมมีมติ 2 ใน 3 --> ให้ผู้ถูกคัดค้านทาหน้าที่ต่อไป --> กรรมการทาหน้าที่ต่อไปได้ *มติ --> ใช้วิธีการลงคะแนนลับ และให้เป็นที่สุด แต่งตั้งให้ทาการแทน 1. แต่งตั้งบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ ทาการแทน - ความตายของคู่กรณี/ความสามารถ/ความสามารถของคู่กรณี --> การกระทาแทนไม่ถือว่าสิ้นสุด เว้นแต่ ผู้รับสิทธิ์ตามกฎหมายของคู่กรณี/คู่กรณี --> ถอนการแต่งตั้ง 2. ผู้ยื่นคาขอมีผู้ร่วมเกิน 50 คน/คู่กรณีเกิน 50 คน --> ผู้ที่ถูกระบุชื่อ เป็นตัวแทนของคู่กรณี กรณี คู่กรณีเกิน 50 คน --> ไม่ได้กาหนดใครเป็นตัวแทน --> จนท.แต่งตั้งคนที่คู่กรณีฝ่ายข้างมาก เป็นตัวแทนร่วม **ตัวแทนร่วม --> ต้องเป็นบุคคลธรรมดา คาสั่งทางปกครอง 1. คาสั่งอนุญาต 2. คาสั่งลงโทษ ขรก. 3.ประกาศผลสอบ 4. คาสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน *** คาสั่งย้าย ขรก. และประกาศแจ้งเตือน --> ไม่ใช่คาสั่งทางปกครอง คู่กรณีมีโอกาสทราบข้อเท็จจริง และโต้แย้ง 1. คาสั่งทางปกครอง --> ให้คู่กรณีทราบข้อเท็จจริง + โต้แย้งได้ ยกเว้น จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ 2. ไม่บังคับใช้ในกรณี ดังนี้ - การบรรจุ + การเลื่อนเงินเดือน + การสั่งพักงาน/ให้ออกจากงาน + ให้พ้นจากตาแหน่ง - แจ้งผลการสอบ/การวัดผลความรู้/ความสามารถของบุคคล - ไม่ออกหนังสือเดินทางไป ตปท. - ไม่ตรวจลงตราหนังสือเดินทางของคนต่างด้าว - ไม่ออกใบอนุญาต/ไม่ต่อใบอนุญาตของคนต่างด้าว - สั่งเนรเทศ
42.
รูปแบบของคาสั่งทางปกครอง 1. หนังสือ -->
ระบุ ว/ด/ป ที่ทาคาสั่ง + ชื่อ + ตาแหน่ง + ลายมือชื่อของผู้ทาคาสั่ง 2. วาจา 3. การสื่อความหมายในรูปแบบอื่น อุทธรณ์คาสั่งทางปกครอง *คาอุทธรณ์ที่ออกโดย รมต. --> ไม่ต้องอุทธรณ์ --> ฟ้องศาลปกครองได้เลย - การอุทธรณ์ --> ไม่เป็นเหตุให้ทุเลา การบังคับตามคาสั่งทางปกครอง เว้นแต่ จะมีคาสั่งทุเลาโดยผู้มีอานาจ - กรณี เห็นด้วยกับคาอุทธรณ์ --> แก้ไขเปลี่ยนแปลง + ในกาหนดเวลาด้วย - กรณี ไม่เห็นด้วยกับคาอุทธรณ์ --> เร่งรายงานความเห็น + เหตุผล --> ไปยังผู้มีอานาจพิจารณาคาอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับอุทธรณ์ ผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ 1. 2. 3. ยื่นอุทธรณ์ต่อจนท.ผู้ทาคาสั่งทางปกครอง ภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับแจ้งคาสั่ง ทาเป็นหนังสือระบุข้อโต้แย้งจนท.พิจารณาคาอุทธรณ์โดยไม่ชักช้าไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันได้รับการอุทธรณ์ นายกฯ รมต. ผู้ทาคาสั่งเป็น หน.ส่วนที่ขึ้นตรงต่อนายกฯ /รมต. ปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง ป.ทบวง ผู้ทาคาสั่งเป็น อธิบดี/เทียบเท่า อธิบดี หน.ส่วน ที่มีฐานะ เป็นกรม ผู้ทาคาสั่งเป็น เลขาฯ กรม หน.ส่วนระดับกลาง หน.ส่วนประจาเขต
43.
4. คาสั่งทางปกครองให้ชาระเงิน - เมื่อถึงกาหนดแล้วไม่ชาระ -->
จนท.มีหนังสือแจ้งเตือน ให้ชาระในเวลาที่กาหนด --> ระยะเวลาต้องไม่ น้อยกว่า 7 วัน - เตือนล้วไม่ปฏิบัติตาม --> ยึด/อายัดทรัพย์และขายทอดตลาดเพื่อชาระหนี้ให้ครบถ้วน ผู้มีอาจยึดทรัพย์ 1. ป.กระทรวง --> ผู้ทาคาสั่ง เป็น จนท.ในสังกัด สนง.ป.กระทรวง 2. อธิบดี --> ผู้ทาคาสั่ง เป็น จนท.ในสังกัดของกรม 3. ผวจ. --> ผู้ทาคาสั่ง เป็น จนท.ของราชการส่วนภูมิภาค การฝ่ าฝืนคาสั่งที่กาหนดให้กระทา/ละเว้นการกระทา 1. จนท./บุคคลอื่นกระทาการแทน --> ชดใช้ค่าใช้จ่ายและยื่นเพิ่ม --> ร้อยละ 25 ต่อปี ของค่าใช้จ่ายดังกล่าว 2. ชาระค่าปรับ ตามจานวนที่สมควรแก่เหตุ --> ไม่เกิน 20,000 บาท/วัน จนท.ที่มีอานาจกาหนดค่าปรับ 1. รมต. ,คกก. ตามกฎหมายต่างๆ --> ไม่เกิน 20,000 บาท/วัน 2. ป.กระทรวง + อธิบดี (ทั่วประเทศ) + ผวจ.(ในเขตจังหวัด) --> ไม่เกิน 15,000 บาท/วัน 3. หน.ส่วนประจาจังหวัด (เฉพาะเขตจังหวัด) + นอ.(ในเขตอาเภอ) --> ไม่เกิน 10,000 บาท/วัน การแจ้งคาสั่ง การแจ้งให้ทราบโดยทางเสียง แสง/สัญญาณ (สัญญาณไฟจราจร) --> มีผลทันที่เมื่อแจ้ง การแจ้งเป็นหนังสือ 1. แจ้งโดยคนนาไปส่ง --> 1. ไม่ยอมรับ/ไม่พบ ให้ส่งกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะที่อยู่/ทางาน ในสถานที่นั้น 2. ไม่ยอมรับ --> ปิดประกาศในที่ที่เห็นได้ง่าย ณ สถานที่นั้น ต่อหน้า เจ้าพนักงาน (ตร. ,ขรก.ส่วนกลาง ,ขรก.ประจาจังหวัด , ขรก.ส่วนท้องถิ่น) ผู้ทาคาสั่งเป็น หน.ส่วนประจาจังหวัด นอ. ผู้บริหารท้องถิ่น ผวจ.
44.
2. แจ้งโดยส่งไปรษณีย์ -->
ส่งแบบไปรษณีย์ตอบรับ (AR) กรณี 1. ในประเทศ --> ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้ส่ง 2. ตปท. --> ภายใน 15 วัน นับแต่วันส่ง 3. ผู้รับเกิน 50 คน --> 1. ปิดประกาศ ณ ที่ทาการของ จนท. 2. ปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอาเภอที่ผู้รับมีภูมิลาเนา ถือว่าได้รับแจ้ง เมื่อพ้น 15 วัน นับแต่วันที่ได้แจ้ง 4. ไม่รู้ตัวผู้รับ/รู้ตัวแต่ไม่รู้ภูมิลาเนา/รู้ตัว รู้ภูมิลาเนา แต่ผู้รับเกิน 100 คน --> - ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องถิ่น ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อพ้น 15 วัน นับแต่วันที่แจ้ง 5. จาเป็นเร่งด่วน --> - ใช้วิธีส่งทางเครื่องโทรสารก็ได้แต่ต้องมีหลักฐานจากหน่วยงาน ที่จัดส่ง และต้องส่งคาสั่งตัวจริง ในทันทีที่สามารถจะส่งได้
45.
พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง นิยาม “สัญญาทางปกครอง” --> 1.
สัญญาที่อย่างน้อยฝ่ายหนึ่ง เป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือบุคคลที่ กระทาการแทนรัฐ และ 2. มีลักษณะเป็นสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทาบริการสาธารณะ หรือจัดให้มี สิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาจากทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างศาลปกครอง --> แบ่งเป็น 2 ชั้น อานาจของศาลปกครอง คดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครอง หรือ จนท.ของรัฐ กระทาการดังนี้ 1. กระทาการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การออกกฎ คาสั่ง 2. ละเลยต่อหน้าที่ หรือ ทางานล่าช้าเกินกาหนด 3. การกระทาการละเมิด 4. สัญญาทางปกครอง 5. คดีที่กาหนดให้ฟ้ องคดีต่อศาล เพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทาหรือละเว้นการกระทา 6. ข้อพิพาทที่กฎหมายกาหนดให้อยู่ในอานาจศาลปกครอง เรื่องที่ไม่อยู่ในอานาจศาลปกครอง 1. วินัยทหาร 2. ระเบียบข้าราชการฝ่ายบุคลากร 3. คดีที่อยู่ในอานาจของศาลอื่น ระยะเวลาในการฟ้ องคดีปกครอง ยื่นฟ้องภายใน 90 วัน --> นับแต่วันที่รู้ หรือควรรู้ถึงสาเหตุแห่งการฟ้องคดี ศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองชั้นต้น มีอานาจทั่วราชอาณาจักร ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองในภูมิภาค
46.
การยื่นคาฟ้ องคดี ให้ยื่นต่อ 1.
พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลปกครอง 2. ส่งไปรษณีย์ลงทะเบียน
47.
พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของ จนท. 2539 ................รักษาการ วันบังคับใช้………… นิยาม “จนท.”
--> ขรก. พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น “หน่วยงานของรัฐ” --> กระทรวง ทบวง กรม ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ความรับผิดทางละเมิดของ จนท. --> 2 ลักษณะ 1. ละเมิดที่มาจากการปฏิบัติหน้าที่ 1.1 จนท.กระทาต่อ เอกชน --> หน่วยงานต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย - ผู้เสียหาย ฟ้ องหน่วยงานได้โดยตรง --> ฟ้ อง จนท. ไม่ได้ - จนท.ไม่ได้สังกัดหน่วยงานใด --> ก.คลังรับผิด 1.2 จนท. กระทาต่อ หน่วยงานของรัฐ --> เรียกร้องค่าสินไหมจาก จนท. 2. ละเมิด --> ไม่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ - จนท.คลังรับผิด เป็นการเฉพาะตัว - ผู้เสียหาย --> ฟ้ อง จนท.ได้โดยตรง --> ฟ้ องหน่วยงานไม่ได้ วิธีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (จากหน่วยงานของรัฐ) 1. ดาเนินคดีต่อศาล 2. ยื่นคาร้องให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหาย **รวมแล้วขั้นตอนในการพิจารณา --> ต้องไม่เกิน 360 วัน ฟ้องคดีต่อ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ตามประเภทของคดี หน่วยงานพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน 180 วัน กรณีไม่เกิน รายงานปัญหาและอุปสรรค ให้ รมต. เจ้าสังกัดทราบเพื่อขอขยายเวลา รมต.อนุมัติขยายได้ อีกไม่เกิน 180 วัน ผู้เสียหายไม่พอใจผลการตัดสิน ของหน่วยงานราชการ ฟ้องศาลยุติธรรม/ ศาลปกครอง
48.
การไล่เบี้ยระหว่างหน่วยงาน กับ จนท.
(ละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่) 1. จนท. ชดใช้ให้หน่วยงาน --> เนื่องจากหน่วยงานได้จ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เสียหาย 2. จนท. จ่ายค่าทดแทน --> เนื่องจากละเมิดต่อหน่วยงาน ขอบเขตการไล่เบี้ย - - - - อายุความ การไล่เบี้ย 1. หน่วยงานของรัฐ กับ จนท. (กรณีใช้เงินแก่ผู้เสียหายแล้ว) 1 ปี นับแต่หน่วยงานของรัฐ ได้จ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เสียหาย 2. จนท. ละเมิด กับหน่วยงานของรัฐ 2 ปี นับแต่หน่วยงานฯ รู้ถึงความละเมิด และรู้ถึง จนท. 3. กรณี หน่วยงานต้องส่งเรื่องให้ ก.คลัง ตรวจสอบ หน่วยงานเห็นว่า จนท.ไม่ผิด แต่ ก.คลังตรวจสอบแล้วต้องรับผิด 1 ปี นับแต่หน่วยงานฯ มีคาสั่งตามความเห็นของ ก.คลัง หน่วยงานที่เสียหาย ออกคาสั่ง ให้ จนท.ผู้นั้นมาชาระเงินในเวลาที่กาหนด ทาด้วยความจงใจ ทาด้วยความประมาทอย่างร้ายแรง หน่วยงาน มีสิทธิให้ จนท. ชดใช้ค่า สินไหมแทนหน่วยงานของรัฐได้ คานึงถึง ความร้ายแรงของการกระทา ความเป็นธรรม ไม่ต้องใช้เต็ม จานวนก็ได้ ต้องชดใช้ค่าสินไหม เพียงใด การละเมิดเกิดจาก ความผิด ความบกพร่องของหน่วยงาน หักส่วนแห่งความรับผิด ดังกล่าวออกด้วย ละเมิดเกิดจาก จนท.หลายคน ห้าม นาหลักลูกหนี้ร่วม มาใช้บังคับ แต่ละคนรับผิดชอบ เฉพาะส่วนของตนเอง
49.
พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 คานิยาม หน่วยงานของรัฐ -->
ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาลในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี ฯลฯ คนต่างด้าว --> 1. บุคคลธรรมดา --> คนที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย 2. นิติบุคคล --> 1. บริษัทที่มีทุนเกินกึ่งหนี่ง เป็นของคนต่างด้าว 2. สมาคมที่สมาชิกเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว 3. สมาคมหรือมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของคนต่างด้าว 4. นิติบุคคล ตาม 1,2,3 มีผู้จัดการหรือกรรมการเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผย ** ข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์--> เปิดเผยต่อบุคคลใดไม่ได้เลยทุกกรณี ข้อมูลข่าวสารที่อาจไม่ให้เปิดเผยก็ได้ 1. เปิดแล้วจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2. เปิดแล้วจะทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ 3. ความเห็นหรือคาแนะนา ในหน่วยงานของรัฐในการดาเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ไม่รวมรายงาน ทางวิทยาการ รายงานข้อเท็จจริง/ข้อมูลข่าวสารที่นามาทาความเห็น 4. ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต/ความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งคนใด 5. รายงานทางการแพทย์เปิดแล้วรุกล้าสิทธิส่วนบุคคล 6. ข้อมูลที่กฎหมายไม่ให้เปิดเผย 7. กรณีอื่นๆ เอกสารประวัติศาสตร์ 1. ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์--> เมื่อครบ 75 ปี 2. ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐมีคาสั่งไม่เปิดเผย --> เมื่อครบ 20 ปี
50.
ประเภทของข้อมูลข่าวสาร 1. ข้อมูลข่าวสารที่ประกาศในราชกิจจาฯ (สิทธิที่ได้รู้) -
โครงสร้างและการจัดองค์กร - สรุปอาจหน้าที่ที่สาคัญและวิธีการดาเนินงาน - สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารหรือคาแนะนาในการติดต่อกับหน่วยงานราชการ - กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ คาสั่ง ฯ 2. ข้อมูลที่ให้ประชาชนเข้าตรวจดู (สิทธิตรวจดู) - ผลการพิจารณาหรือคาวินิจฉัยที่มีผลต่อเอกชน - นโยบายหรือการตีความที่ไม่เข้าข่ายต้องพิมพ์ลงในราชกิจจาฯ - แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจาปีของปีที่กาลังดาเนินงาน - คู่มือหรือคาสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีผลกระทบถึงสิทธิหน้าที่ ของเอกชน - สัญญาสัมปทาน สัญญาที่มีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือสัญญาร่วมทุนกับเอกชน ในการจัดทาบริการสาธารณะ - มติคณะรัฐมนตรี คณะกรรมกรรวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ขอให้เปิดเผย - - > อุทธรณ์ ภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง - - > อทุธรณ์ผ่าน คกก.วินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ ขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสาร - - > อุทธรณ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง - - > อทุธรณ์ผ่าน คกก.ข้อมูลข่าวสารของราชการ
51.
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 * ไม่บังคับกับ
- -> องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น * ส่วนราชการจะต้องดาเนินการโดยถือว่าประชาชน - -> เป็นศูนย์กลางที่จะได้รับการบริหารจากรัฐ * การกาหนดภารกิจของรัฐและส่วนราชการต้องสอดคล้องกับแนวนโยบาย - -> 1. แนวนโยบายแห่งรัฐ 2. นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา * เครื่องมือสาคัญในการบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ - -> แผนปฏิบัติราชการ หน่วยงานที่มีหน้าที่ร่วมกันจัดทาแผนการบริหารงานแผ่นดิน ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐบาล 1. สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2. สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 3. สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 4. สานักงบประมาณ หน่วยงานที่มีหน้าที่ร่วมกันพิจารณาจัดทาแผนนิติบัญญัติ 1. สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 2. สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อบรรลุเป้ าหมาย 7 ประการ ประกอบด้วย 1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน - กาหนดภารกิจต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน - ปฏิบัติภารกิจโดยซื่อสัตย์สุจริต ตรวจสอบได้ - ศึกษาวิเคราะห์ผลดี ผลเสีย รับฟังความคิดเห็นก่อนดาเนินการ - รับฟังความคิดเห็นและความพึงพอใจของประชาชน - แก้ไขปัญหาอุปสรรคการดาเนินงานโดยเร็ว
52.
2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ (กฤษฎีกา
+ เลขานายก) - การจัดทาแผนบริหารราชการแผ่นดิน/แผนปฏิบัติราชการ (แผนยุทธศาสตร์) - การบริหารราชการแบบบูรณาการ (ผู้ว่า CEO การจัดกลุ่มจังหวัด และ Cluster) - การพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization และ KM) - สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของภารกิจได้(คารับรองการปฏิบัติราชการ การประเมินผล) 3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ (เป็นไปตามหลักความโปร่งใส ความคุ้มค่าและความ รับผิดชอบ) (คกก.พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ + สานักงบประมาณ) - การจัดทาบัญชีต้นทุนในการบริการสาธารณะ - การมีแผนลดรายจ่าย - การประเมินความคุ้มค่า 4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจาเป็น - การมอบอานาจเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว - การนาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ โทรคมนาคม เพื่อลดขั้นตอนในการปฏิบัติ ประหยัดค่าใช้จ่าย - การจัดให้มีศูนย์บริการร่วม ศูนย์บริการร่วม - -> กระทรวง - -> ป.กระทรวง - -> ศาลากลางจังหวัด/ที่ว่าการอาเภอ/ - -> ผวจ./นอ. 5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์ - การทบทวนภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จาเป็น - การปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 6. ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ - การกาหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน - การจัดให้มีเครือข่ายสาระสนเทศกลาง - การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและการปฏิบัติราชการ - การตอบสนองและดาเนินการแก้ไขคาร้องเรียน 7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่าเสมอ - การประเมินผลราชการโดยคณะผู้ประเมินอิสระ - การจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษเป็นบาเหน็จความชอบ
53.
ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับทางราชการ พ.ศ. 2545 องค์กรที่รักษาความปลอดภัย 1.
สานักข่าวกรองแห่งชาติ --> สำนักนำยกรัฐมนตรี --> รักษำควำมปลอดภัยฝ่ายพลเรือน 2. ศูนย์รักษาความปลอดภัย --> กองบัญชำกำรทหำรสูงสุด --> รักษำควำมปลอดภัยฝ่ายทหาร ชั้นความลับ 1. ลับที่สุด (Top Secret) --> สีเหลือง เปิดเผย ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ประโยชน์แห่งรัฐ --> อย่ำงร้ำยแรงที่สุด 2. ลับมาก (Secret) --> สีแดง เปิดเผย ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ประโยชน์แห่งรัฐ --> อย่ำงร้ำยแรง 3. ลับ ( Confidential) --> สีนำเงิน เปิดเผย ก่อให้เกิด --> ควำมเสียหำยแก่ประโยชน์แห่งรัฐ **เครื่องหมำยแสดงชันควำมลับ --> ตัวอักษรให้ใช้ขนาดใหญ่กว่าตัวอักษรธรรมดา + ใช้สีแดง หรือสีอื่นที่ มองเห็นได้เด่นและชัดเจน การแสดงชั้นความลับ 1. เอกสำร --> แสดงชันควำมลับที่กลำงหน้ำกระดำษทังด้ำนบน และด้ำนล่ำง ของทุกหน้ำเอกสำร กรณี เอกสำรเข้ำปก -->แสดงไว้ที่ด้ำนนอก ปกหน้ำ ปกหลังด้วย 2. - ภำพเขียน ภำพถ่ำย แผนที่ แผนภูมิ แผนผัง และสำเนำ --> แสดงชันควำมลับเหมือนกับข้อ 1. - เอกสำรม้วนได้หรือพับได้ --> แสดงชันควำมลับให้เห็นขณะที่เอกสำรนันม้วนหรือพับอยู่ 3. จำนบันทึก แถบบันทึก ฟิล์มบันทึกภำพทุกประเภท --> แสดงไว้ที่ต้นและปลำยของข้อมูลข่ำวสำร บน วัสดุหรือบนภำชนะที่บรรจุ --> ถ้ำไม่สำมำรถแสดงได้ --> ให้เก็บไว้ในกล่องหรือหีบห่อ ที่มีเครื่องหมำย แสดงชันควำมลับ การปรับชั้นความลับ - กระทำโดยผู้มีอำนำจกำหนดชันควำมลับ - ผู้บังคับบัญชำตำมสำยงำน --> มีอำนำจปรับชันควำมลับได้ --> แต่ต้องแจ้งให้ผู้กำหนดชันควำมลับเดิม ทรำบ - กำรแก้ไขชันควำมลับ --> ขีดฆ่ำเครื่องหมำยแสดงชันควำมลับเดิม --> แล้วแสดงใหม่ **ข้อมูลควำมลับใด --> คกก.ให้เปิดเผยโดยไม่มีข้อจำกัด และเงื่อนไข --> ข่ำวสำรนันถูกยกเลิกชันควำมลับ
54.
ยกเว้น กำรฟ้องคดีต่อศำล และศำลสั่งเป็นอย่ำงอื่น ควบคุม นำยทะเบียนข้อมูลข่ำวสำรลับ
ข่ำวสำรลับในหน่วยงำนที่รับผิดชอบ รับผิดชอบ ทะเบียนข้อมูลข่าวสารลับ 1. ทะเบียนรับ 2. ทะเบียนส่ง 3. ทะเบียนควบคุมข่ำวสำรลับ *ทะเบียนควบคุมข่ำวสำรลับ --> ถือเป็นข้อมูลข่ำวสำรลับด้วย
55.
ระเบียบสำนักนำยกว่ำด้วยงำนสำรบรรณ 2526 ป.สำนักนำยกฯ -->
รักษำกำร ควำมหมำย งำนที่เกี่ยวกับกำรบริหำรงำนเอกสำร เริ่มตั้งแต่ กำรจัดทำ กำรรับ กำรส่ง เก็บรักษำ ยืม จนถึงทำลำย หนังสือรำชกำร --> คือเอกสำรที่เป็นหลักฐำนในรำชกำร 6 ประเภท 1. ไป - มำ ระหว่ำงส่วนรำชกำร 2. หนังสือส่วนรำชกำรไปถึงบุคคลภำยนอก 3. หนังสือจำกภำยนอกมำถึงส่วนรำชกำร 4. เอกสำรจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐำนทำงรำชกำร 5. เอกสำรจัดทำขึ้นตำมกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับ 6. ข้อมูลข่ำวสำร หรือหนังสือได้รับจำกระบบอิเล็กทรอนิกส์ ชนิดของหนังสือรำชกำร --> 6 ชนิด 1. หนังสือภำยนอก --> พิธีกำร + กระดำษตรำครุฑ --> ติดต่อระหว่ำงส่วนรำชกำร หรือถึงบุคคลภำยนอก 2. หนังสือภำยใน --> ใช้กระดำษบันทึกข้อควำม --> ติดต่อภำยในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัด เดียวกัน 3. หนังสือประทับตรำ --> ใช้กระดำษครุฑ --> หนังสือที่ใช้กำรประทับตรำ แทนกำรลงชื่อ --> ของ หัวหน้ำส่วนระดับกรมขึ้นไป --> ให้หัวหน้ำส่วนระดับกอง หรือได้รับมอบหมำย --> รับผิดชอบ ลงชื่อย่อกำกับตรำ *ใช้ระหว่ำงส่วนรำชกำร + ส่วนรำชกำร และส่วนรำชกำร + บุคคลภำยนอก มี 6 ประกำร 1. ขอรำยละเอียดเพิ่มเติม 2. ส่งสำเนำหนังสือ สิ่งของ เอกสำร 3. กำรตอบรับทรำบที่ไม่เกี่ยวกับรำยกำรสำคัญ หรือกำรเงิน 4. แจ้งผลงำนที่ดำเนินกำรไปแล้วให้หน่วยงำนที่เกี่ยวข้องทรำบ 5. เตือนเรื่องที่ค้ำง 6. เรื่องที่หัวหน้ำส่วนระดับกรมขึ้นไปกำหนด --> โดยทำเป็นคำสั่ง 4. หนังสือสั่งกำร --> มี 3 ชนิด 1. คำสั่ง --> ข้อควำมที่ผู้บังคับบัญชำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมำย
56.
2. ระเบียบ -->
ข้อควำมที่ได้วำงไว้ เพื่อเป็นหลักฐำนปฏิบัติงำนประจำ --> อำศัยอำนำจของกฎหมำย หรือไม่ก็ได้ 3. ข้อบังคับ --> อำนำจกำหนดโดยอำศัยอำนำจของกฎหมำย --> ที่บัญญัติให้ทำ *คำสั่ง + ระเบียบ + ข้อบังคับ --> ใช้กระดำษตรำครุฑ 5. หนังสือประชำสัมพันธ์ --> มี 3 ชนิด 1. ประกำศ --> ประกำศหรือชี้แจงให้ทรำบ หรือแนวทำงปฏิบัติ --> กระดำษตรำครุฑ 2. แถลงกำรณ์ --> แถลงเพื่อทำควำมเข้ำใจในกิจกำรของทำงรำชกำร --> กระดำษครุฑ 3. ข่ำว --> เห็นสมควรเผยแพร่ --> ไม่ใช่กระดำษครุฑ 6. หนังสือจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐำนในรำชกำร 1. หนังสือรับรอง --> กระดำษครุฑ 2. รำยงำนกำรประชุม 3. บันทึก --> ลูกน้องเสนอต่อผู้บังคับบัญชำ หรือลูกพี่สั่งลูกน้อง หรือข้อควำมทร่เจ้ำหน้ำที่ หรือหน่วยงำน ต่ำกว่ำกรม ติดต่อกันในกำรปฏิบัติรำชกำร --> กระดำษบันทึก 4. หนังสืออื่นๆ --> ภำพถ่ำย ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง ฯลฯ ควำมเร็วของหนังสือ --> 3 ประเภท 1. ด่วนที่สุด --> ปฏิบัติทันทีที่ได้รับหนังสือ 2. ด่วนมำก --> ปฏิบัติโดยเร็ว 3. ด่วน --> ปฏิบัติเร็วกว่ำปกติ เท่ำที่จะทำได้ *ใช้อักษรสีแดง *ขนำดตัวอักษร --> ไม่เล็กกว่ำพิมพ์โป้ ง 32 พอยท์ *บนหนังสือ และบนซอง *หนังสือต่ำงประเทศ --> ใช้กระดำษตรำครุฑ *หนังสือภำษำอังกฤษ --> ใช้ตำมแบบที่กำหนด *หนังสือภำษำอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ภำษำอังกฤษ --> เป็นไปตำมประเพณีนิยม ชั้นควำมลับ ลับที่สุด (Top Secret) --> เปิดเผยจะก่อให้เกิดควำมเสียหำย แก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่ำงร้ำยแรงที่สุด
57.
ลับมำก (Secret) -->
เปิดเผยจะก่อให้เกิดควำมเสียหำย แก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่ำงร้ำยแรง ลับ (Confidential) --> เปิดเผยจะก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ประโยชน์แห่งรัฐ *เอกสำรลับต้องประทับ หรือเขียนตัวอักษรตำมชั้นควำมลับที่กึ่งกลำงหน้ำกระดำษ ทั้งด้ำนบน และ ด้ำนล่ำง ของทุกหน้ำเอกสำรลับ กำรเก็บหนังสือ --> 3 กรณี 1. เก็บระหว่ำงปฏิบัติ --> เก็บหนังสือที่ยังปฏิบัติไม่เสร็จ ให้อยู่ในควำมรับผิดชอบของเจ้ำของเรื่อง 2. เก็บเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้ว --> เก็บหนังสือที่ปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่มีอะไรต้องปฏิบัติอีก 3. เก็บเพื่อใช้ในกำรตรวจสอบ --> เก็บหนังสือที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่จำเป็นต้องใช้ตรวจสอบเป็นประจำ อำยุกำรเก็บหนังสือ 1. ปกติ --> เก็บไว้ไม่น่อยกว่ำ 10 ปี เว้นแต่ 1.1 หนังสือสงวนเป็นควำมลับ --> ปฏิบัติตำมกฎระเบียบรักษำควำมปลอดภัยแห่งชำติ 1.2 หนังสือหลักฐำนทำงคดี + สำนวนของศำล + ของพนักงำนสอบสวน 1.3 หนังสือคุณค่ำทำงประวัติศำสตร์ + คุณค่ำทำงกำรศึกษำ + ค้นคว้ำวิจัย --> ให้เก็บไว้เป็นหลักฐำน ทำงประวัติศำสตร์ของชำติ หรือสำนักกฎหมำยแห่งชำติ 1.4 หนังสือปฏิบัติงำนเสร็จแล้ว และเป็นคู่สำเนำที่มีต้นเรื่อง --> ค้นได้จำกที่อื่น --> เก็บไว้ไม่น่อยกว่ำ 5 ปี 1.5 หนังสือธรรมดำสำมัญ ไม่มีควำมสำคัญ + เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ --> เมื่อดำเนิกำรเสร็จ --> ให้ เก็บไว้ไม่น้อยกว่ำ 1 ปี 1.6 หนังสือหรือเอกสำรเกี่ยวกับกำรเงิน --> เก็บไว้5 ปี *หนังสือเกี่ยวกับกำรเงิน --> ซึ่งไม่มีควำมจำเป็นต้องเก็บไว้ถึง 10 ปี หรือ 5 ปี --> ทำควำมตกลง กับก.คลัง 2. ทุกปีปฎิทิน --> ให้ส่วนรำชกำรจัดส่งหนังสือที่มีอำยุครบ 20 ปี นับจำกวันที่จัดทำ --> พร้อมทั้งบัญชี ส่งมอบ ครบ 20 ปี --> ให้สำนักหอจดหมำยแห่งชำติ กรมศิลปำกร --> ภำยในวันที่ 31 มกรำคม ของปีถัดไป ยกเว้น ต่อไปนี้ 2.1 หนังสือที่ต้องสงวนเป็นควำมลับ 2.2 หนังสือกฎหมำย ข้อบังคับ หรือระเบียบที่ออกใช้เป็นกำรทั่วไป 2.3 หนังสือที่ส่วนรำชกำรจำเป็นต้องเก็บไว้ที่ส่วนรำชกำรนั่น --> ให้จัดทำบัญชี หนังสือครบ 20 ปี ที่ ขอเก็บเอง --> ส่งมอบให้สำนักหอสมุดแห่งชำติ 3. บัญชีส่งมอบหนังสือครบ 20 ปี บัญชีหนังสือครบ 20 ปี กำรยืมหนังสือ ให้มีต้นฉบับและสำเนำคู่ฉบับ
58.
1. ยืมหนังสือที่ส่งเก็บแล้ว 2. ยืมหนังสือที่ปฏิบัติยังไม่แล้วเสร็จ *กำรยืมระหว่ำงส่วนรำชกำร
--> ผู้ยืมและผู้อนุญำต --> หัวหน้ำส่วนรำชกำรระดับกองขึ้นไป *ยืมหนังสือในหน่วยงำนเดียวกัน --> ผู้ยืมและผู้อนุญำต --> หัวหน้ำส่วนระดับแผนกขึ้นไป *ให้บุคคลภำยนอกยืมหนังสือไม่ได้เว้นแต่ จะให้ดูหรือคัดลอก --> ผู้ให้ยืม หัวหน้ำกองขึ้นไป กำรทำลำยหนังสือ 60 วัน หลังสิ้นปีปฏิทิน --> เจ้ำหน้ำที่สำรวจ --> จัดทำบัญชีของทำลำย --> เสนอหัวหน้ำระดับกรม --> แต่งตั้งคณะกรรมกำรทำลำยหนังสือ --> ประธำน + กรรมกำร อย่ำงน้อย 2 คน --> แต่งตั้งข้ำรำชกำรระดับ 3 มำตรฐำนครุฑ 1. ขนำด 3 cm. 2. ขนำด 1.5 cm. มำตรฐำนกระดำษ 1. A4 2. A5 3. A8 *สมุดส่งหนังสือ --> A5 *ใบรับหนังสือ --> A8 *บัตรตรวจค้น --> A5 คำขึ้นต้น – คำลงท้ำย - นำยก - ประธำนองคมนตรี - ประธำนศำลฎีกำ ฯลฯ ขึ้นต้น กรำบเรียน --> ลงท้ำย ขอแสดงควำมนับถืออย่ำงยิ่ง
59.
ระเบียบสำนักนำยกฯ ว่ำด้วยกำรพัสดุ พ.ศ.2535 ป.คลัง
--> รักษาการ ควำมหมำย การพัสดุ --> การจัดทาเอง การซื้อ การจ้าง การจ้างที่ปรึกษาฯ พัสดุ --> วัสดุครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง การซื้อ --> การซื้อพัสดุทุกชนิดที่มีการติดตั้ง ทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ แต่ไม่รวมถึงการหา พัสดุในลักษณะการจ้าง กวพ --> คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ --> ร้อยละ 25 กำรซื้อหรือกำรจ้ำง ทำได้ 6 วิธี 1. ตกลงรำคำ --> ซื้อหรือจ้าง ครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน 100,000 บาท 2. สอบรำคำ --> ซื้อหรือจ้าง ครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท 3. ประกวดรำคำ --> ซื้อหรือจ้าง ครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 2,000,000 บาท 4. วิธีพิเศษ --> ซื้อหรือจ้าง ครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท ทาได้เฉพาะกรณีดังนี้ 4.1 การซื้อโดยกรณีพิเศษ --> มีราคาเกิน 100,000บาท - พัสดุเร่งด่วน หากล่าช้าจะเสียหายแก่ทางราชการ - เป็นพัสดุที่ขายทอดตลาด - พัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ - พัสดุที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จาเป็น เร่งด่วน เพื่อประโยชน์แก่ทาง ราชการ และจาเป็นต้องซื้อเพิ่ม - พัสดุที่ต้องสั่งซื้อจาก ตปท. โดยตรง - พัสดุโดยลักษณะของการใช้งาน หรือต้องระบุเป็นยี่ห้อเฉพาะ เช่น อะไหล่ รถประจา ตาแหน่ง - ที่ดิน หรือ สิ่งปลูกสร้ำง ซึ่งต้องซื้อเฉพาะแห่ง - พัสดุที่ดาเนินการด้วยวิธีอื่นแล้วไม่เป็นผลดี 4.2 การจ้างโดยวิธีพิเศษ --> การจ้างครั้งหนึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท - จ้างช่างผู้มีฝีมือเฉพาะ หรือชานาญพิเศษ
60.
- จ้างซ่อมพัสดุที่ต้องถอด เพื่อให้รู้ถึงความเสียหายก่อน
จึงจะประเมินค่าซ่อมได้เช่น ซ่อม เครื่องจักร เครื่องมือกล ฯลฯ - งานที่ต้องทาเร่งด่วน หากช้าจะเกิดความเสียหาย - งานที่ต้องปกปิด เป็นความลับของทางราชการ - ต้องจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จาเป็น - งานที่ดาเนินการโดยวิธีอื่น แล้วไม่ได้ผลดี 5. วิธีกรณีพิเศษ --> การซื้อ/จ้าง จากส่วนราชการ หน่วยงานตาม กม.ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วน ท้องถิ่น/รัฐวิสาหกิจ ดังต่อไปนี้ - เป็นผู้ผลิตพัสดุ/ทาการจ้างเอง และนายกรัฐมนตรีอนุมัติให้ซื้อหรือจ้าง - กม/ครม. --> กาหนดให้ซื้อหรือจ้าง 6. วิธีประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์ ที่ก.คลัง กาหนด *วงเงินตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป กำรรำยงำนขอซื้อหรือขอจ้ำง จนท.พัสดุ --> จัดทารายงาน --> เสนอ หน.ส่วน --> ก่อนดาเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธี รำยกำรในกำรเสนอรำยงำนขอซื้อหรือขอจ้ำง (ยกเว้นที่ดินและสิ่งก่อสร้าง) 1. เหตุผล + ความจาเป็น 2. รายละเอียด 3. ราคากลาง ฯลฯ ภายในเวลา 2 ปีงบประมาณ 4. วงเงินที่จะซื้อ/จ้าง 5. เวลาที่ต้องการใช้/ให้งานแล้วเสร็จ 6. วิธีซื้อ/จ้าง และเหตุผลที่จะซื้อ/จ้างโดยวิธีนี้ 7. ข้อเสนอแนะอื่นๆ รำยกำรในกำรเสนอรำยงำนก่อนซื้อที่ดินหรือสิ่งก่อสร้ำง 1. เหตุผล + ความจาเป็น 2. รายละเอียด (เนื้อที่และท้องที่ที่ต้องการ) 3. ราคาประเมินในท้องที่นั้น 4. ราคาซื้อขายหรือสิ่งก่อสร้าง บริเวณที่ซื้อใกล้เคียงหลังสุด ประมาณ 3 ราย 5. วงเงินที่จะซื้อ 6. วิธีซื้อ และเหตุผลที่จะซื้อโดยวิธีนี้
61.
7. อื่นๆ *การเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อการจ้าง -->
ประกาศก่อนวันรับซองไม่น้อยกว่า 30 วัน *การประกวดนานาชาติ --> ประกาศก่อนวันรับซองไม่น้อยกว่า 60 วัน คกก.ในกำรจัดซื้อจัดจ้ำง 1. คกก.เปิดซองสอบราคา 2. คกก.รับและเปิดซองประกวดราคา 3. คกก.พิจารณาผลการประกวดราคา 4. คกก.จัดซื้อโดยวิธีพิเศษ 5. คกก.จัดจ้างโดยวิธีพิเศษ 6. คกก.ตรวจรับพัสดุ 7. คกก.ตรวจการจ้าง คกก.ทั้ง 7 คณะ ประกอบด้วย *เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ --> เพิ่มกรรมการได้อีกไม่เกิน 2คน อำนำจในกำรสั่งซื้อสั่งจ้ำง 1. ซื้อหรือจ้าง นอกจากวิธีพิเศษและวิธีกรณีพิเศษ เป็นอานาจของผู้ดารงตาแหน่งภายในวงเงิน ดังต่อไปนี้ - หน.ส่วน/ผวจ/อธิบดี --> ไม่เกิน 50,000,000 บาท - ป.กระทรวง --> เกิน 50,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000,000 บาท - รมต.เจ้ำสังกัด --> เกิน 100,000,000 บาท 2. ซื้อหรือจ้าง โดยวิธีพิเศษซึ่งหนึ่งเป็นอานาจของผู้ดารงตาแหน่ง และภายในวงเงิน ดังต่อไปนี้ - หน.ส่วน --> ไม่เกิน 25,000,000 บาท - ป.กระทรวง --> เกิน 25,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000,000 บาท - รมต.เจ้ำสังกัด --> เกิน 50,000,000 บาท ขรก. พนักงานราชการ พนักงาน… พนักงานของรัฐ แต่งตั้งจาก 1 คน อย่างน้อย 2 คน ประธาน กรรมการ
62.
* วิธีจ้ำงที่ปรึกษำ 1. วิธีตกลง -->
ทาในกรณีต่อไปนี้ - ค่าจ้างไม่เกิน 100,000 บาท - จ้างเพื่อทางานต่อเนื่องจากวานที่ได้ทาอยู่แล้ว - เป็นการจ้างที่มีจานวนจากัดไม่เหมาะแก่การคัดเลือก และมีค่าจ้างไม่เกิน 2,000,000 บาท - จ้างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ท้องถิ่น หรือมติคณะรัฐมนตรีให้การสนับสนุนดาเนินการจ้าง 2. วิธีคัดเลือก คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทางานนั้นให้เหลือน้อยราย เพื่อคัดเลือกรายที่ดีที่สุด อำนำจในกำรสั่งจ้ำงที่ปรึกษำ 1. หน.ส่วน --> ไม่เกิน 50,000,000 บาท 2. ป.กระทรวง --> เกิน 50,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000,000 บาท 3. รมต.เจ้าสังกัด --> เกิน 100,000,000 บาท กำรจ้ำงออกแบบและคุมงำน/วิธีจ้ำงและออกแบบและควบคุมงำน กำรจ้ำงออกแบบและควบคุมงำน ทาได้ 4 วิธี 1. วิธีตกลง --> ใช้กับการก่อสร้าง --> งบโครงการหนึ่งๆไม่เกิน 2,000,000 บาท 2. วิธีคัดเลือก --> ใช้กับการก่อสร้างอาคาร --> งบโครงการหนึ่งๆ เกิน 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 5,000,000 บาท 3. วิธีคัดเลือกแบบจากัดข้อกาหนด --> ใช้กับการก่อสร้างอาคาร --> งบโครงการหนึ่งๆ เกิน 5,000,000 บาท 4. วิธีพิเศษ --> มี 2 ลักษณะ 4.1 วิธีเลือกจ้าง --> ใช้กรณีจาเป็นเร่งด่วน + ความมั่นคงของชาติ --> ใช้วิธีอื่นล่าช้าและเกิดความ เสียหายแก่ราชการ ป.กระทรวง --> มีอานาจจ้างได้นามสมควร 4.2 จ้างโดยการประกวดแบบการว่าจ้างออกแบบอาคารที่มีลักษณะพิเศษ เป็นที่เชิดชูคุณค่าทางด้าน ศิลปกรรมหรือสถาปัตยกรรมของชาติ เช่น อนุสาวรีย์รัฐสภา สนามบิน อำนำจในกำรสั่ง สั่งได้ไม่จากัดวงเงินหน.ส่วนวิธีกรณีพิเศษ สั่งซื้อ สั่งจ้าง
63.
หน.ส่วน --> ไม่เกิน
10,000,000 บาท ป.กระทรวง --> เกิน 10,000,000 บาท ค่ำออกแบบและควบคุม อาคารที่งบก่อสร้างไม่เกิน 10,000,000 บาท --> ค่าออกแบบฯ ร้อยละ 2 ของงบประมาณในการสร้าง อาคารที่งบก่อสร้างเกิน 10,000,000 บาท --> ในส่วนที่เกิน 10,000,000 บาท คิดร้อยละ 1.75 กำรแลกเปลี่ยน *การแลกเปลี่ยนพัสดุ --> ทาไม่ได้เว้นแต่ หน.ส่วนเห็นว่ามีความจาเป็น โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. แลกเปลี่ยนครุภัณฑ์ประเภทและชนิดเดียวกัน --> แลกได้เว้นแต่ การแลกเปลี่ยนที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม --> ทาความตกลงกับสานักงานก่อน 2. แลกเปลี่ยนครุภัณฑ์ ต่างประเภทหรือต่างชนิดกัน --> ทาความตกลงกับสานักงานฯทุกกรณี 3. แลกเปลี่ยนวัสดุประเภทและชนิดเดียวกัน + ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม --> แลกได้ กำรแลกเปลี่ยนพัสดุ --> ทาได้2 กรณี 1. แลกเปลี่ยนกับเอกชน 2. แลกเปลี่ยนส่วนราชการกับส่วนราชการ กำรเช่ำ 1. เช่าสังหาริมทรัพย์ 2. เช่าอสังหาริมทรัพย์ กำรเช่ำที่ต้องจ่ำยเงินล่วงหน้ำ --> ได้เฉพาะที่มีระยะเวลาเช่าไม่เกิน 3 ปี โดยหลักเกณฑ์ 1. เช่าจากหน่วยงาน อปท. หรือรัฐวิสาหกิจ --> จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าเช่าที่สัญญา 2. เช่าจากเอกชน --> จ่ายได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของค่าเช่าทั้งสัญญา *การจ่ายเงินล่วงหน้า นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ --> ให้ทาการตกลงกับ ก.คลังก่อน กำรเช่ำอสังหำริมทรัพย์ --> ทาได้4 กรณี 1. เช่าที่ดิน --> เพื่อประโยชน์ในทางราชการ 2. เช่าสถานที่ --> เพื่อใช้เป็นที่ทาการ + จะใช้เป็นที่พักสาหรับผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านด้วยก็ได้ 3. เช่าสถานที่ --> เพื่อเป็นที่พักสาหรับผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน 4. เช่าสถานที่ --> เพื่อเป็นที่เก็บพัสดุของทางราชการ ในกรณีสถานที่เก็บไม่พอเพียง
64.
*การเช่า --> ใช้วิธีตกลงราคา ผู้มีอำนำจอนุมัติเช่ำ สัญญาเช่าไม่เกิน
20,000 บาท --> หน.ส่วนราชการเป็นผู้อนุมัติ สัญญาเช่าเกิน 20,000 บาท --> ทาความตกลงกับ ก.คลังก่อน หลักประกัน 1. เงินสด 2. เช็ค ที่ธนาคารสั่งจ่าย 3. หนังสือค้าประกันของธนาคารภายในประเทศ 4. หน.ค้าประกันของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5. พันธบัตรรัฐบาล คาสั่ง ด่วนที่สุด ที่ กค(กวพ.) 0421.3/ว.29 ลว 28 ส.ค. 58 แนวทำงปฏิบัติในกำรจัดหำวัสดุด้วยวิธีตลำดอิเล็กทรอนิกส์ (E-market) และวิธีประกวดรำคำ อิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) 1. ตกลงราคา --> ครั้งหนึ่งไม่เกิน 500,000 บาท 2. สอบราคา --> ครั้งหนึ่งเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท 3. ประกวดราคา --> ครั้งหนึ่งเกิน 2,000,000 บาท 4. ซื้อโดยวิธีพิเศษ --> เกิน 500,000 บาท --> แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 23 จ้างโดยวิธีพิเศษ --> เกิน 500,000 บาท --> แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 29 *การจัดหาพัสดุที่มีราคาเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท (สอบราคา) --> จัดหาด้วยวิธี ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (E-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) *การจัดซื้อพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน 2,000,000 บาท --> ใช้วิธี E-market หรือ E-bidding แล้วแต่ กรณี
65.
ระเบียบสำนักนำยกว่ำด้วยกำรพัสดุ ด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 รมต.คลัง
--> รักษาการ ไม่รวมกรณีดังต่อไปนี้ 1. การจ้างที่ปรึกษา 2. การจ้างออกแบบและควบคุมงาน 3. การซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษ 4. วิธีกรณีพิเศษที่สามารถทาได้ตามระเบียบอื่น ขั้นตอนกำรดำเนินกำรด้วยวิธีทำงอิเล็กทรอนิกส์ 1. เตรียมการ - หน.ส่วนราชการ --> แต่งตั้ง คกก. กาหนดร่างขอบเขตของงาน + ร่างเอกสารก่อนประกวดราคา --> เมื่อได้รับอนุมัติแล้วให้ประกาศทางเว็บไซต์ ของหน่วยงานและเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง --> ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วัน --> เพื่อให้คนทั่วไป เสนอแนะ วิจารณ์ หรือมีความคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร - ระหว่างดาเนินการตามข้อแรก --> หน.ส่วน แจ้งกรมบัญชีกลาง เพื่อแต่งตั้ง คกก.ประกวดราคา --> และคัดเลือกผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ จากทะเบียนที่มีอยู่ --> ทาหน้าที่ประมูลทาง อิเล็กทรอนิกส์ - อธิบดีกรมบัญชีกลางตั้ง คกก. 2. ยื่นซอง นาเสนอด้านเทคนิค - ผู้ประสงค์จะเสนอราคา --> ยื่นต่อคกก.ประกวด-->ผ่านหน่วยงานที่จะจัดหาพัสดุไม่น้อยกว่า3 วันนับแต่วันสุดท้ายของการแจกจ่าย / จาหน่ายเอกสาร --> ภายใน 30 วัน นับแต่วันแรกที่กาหนดให้ยื่นซอง - คกก.คัดเลือกเบื้องต้น - ผู้ต้องการเสนอราคาไม่ผ่านการคัดเลือก --> อุทธรณ์ต่อ หน.หน่วยจัดหาพัสดุภายใน 3 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง --> หน.หน่วยงาน พิจารณาให้เสร็จภายใน 7 วัน --> คาวินิจฉัยของ หน.หน่วยงาน ถือเป็นสิ้นสุด ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน มีโครงการ/ การก่อสร้าง 2,000,000 บาท ขึ้นไป ใช้ระเบียบนี้
66.
- มีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว -->
ให้ยกเลิกการดาเนินการทั้งหมด --> และเริ่มดาเนินการใหม่ หรือขออนุมัติ กวพ.อ. ดาเนินการจัดหาโดยวิธีอื่น 3. เสนอราคา - ผู้เสนอราคาแต่ละรายส่งตัวแทนไม่เกิน รายละ 3 คน - อธิบดีกรมบัญชีกลาง --> กาหนด เวลา สถานที่ และเวลาราชการ --> เริ่มกระบวนการเสนอ ราคาในเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที ไม่เกิน 60 นาที หาก มีผู้เสนอราคาต่าสุดเท่ากับหลายราย จนไม่อาจชี้ขาดได้ --> คกก.ประกวดขยายเวลาออกไป อีก 3 นาที และถ้าไม่อาจชี้ขาดได้ --> ขยายไปอีกครั้งละ 3 นาที --> จนกว่าจะได้ราคาต่าสุดเพียงรายเดียว
67.
อาญา กฎหมายอาญา จะย้อนหลังเป็นผลร้ายไม่ได้ ประเภทความผิดทางอาญา 1. อาญาแผ่นดิน
--> ทั่วไปและลหุโทษ 2. ความผิดต่อรัฐ --> ยอมความไม่ได้ 3. ความผิดยอมความได้ หรือความผิดส่วนตัว --> ยอมความได้ที่ในชั้นสอบสวน อัยการหรือ ศาล ก่อนคดีถึงที่สุด *อั้งยี่ --> สมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดาเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย *ซ่องโจร --> ผู้ใดคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทาความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด และความผิดนั้นมีกาหนด โทษจาคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ความผิดฐานกระทาชาเรา 1. ใช้อวัยวะเพศของผู้กระทา กับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก ของผู้อื่น 2. ใช้สิ่งอื่นใดกระทากับ อวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้อื่น *อนาจาร --> การกระทาที่ไม่สมควรทางเพศ โดยการกระทาต่อร่างกาย ของผู้ถูกกระทาโดยตรง เช่น จับ นม ความผิดเกี่ยวกับเพศ (ที่ยอมความได้) 1. ข่มขืนผู้มีอายุเกิน 15 ปี 2. กระทาอนาจารผู้มีอายุเกิน 15 ปี โดย - ไม่ใช่ที่สาธารณะ - ผู้ถูกกระทาไม่อันตรายสาหัส หรือตาย หรือผู้สืบสันดาน ลูกศิษย์ของครู ผู้ถูกควบคุมตามหน้าที่ ราชการ ผู้อยู่ในความปกครอง ผู้มีสิทธิ์ ผู้อนุบาล - พาบุคคลอายุเกิน 15 ปี ไปอนาจาร - ซ่อนเร้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ถูกพาไปอนาจาร
68.
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ลักทรัพย์ --> (เอาทรัพย์ผู้อื่น
+ ทุจริต) เอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต วิ่งราวทรัพย์ --> (ลักทรัพย์+ ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า) ลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ชิงทรัพย์ --> (ลักทรัพย์+ ใช้กาลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้น จะใช้กาลังประทุษร้าย) ลักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้น จะใช้กาลังประทุษร้าย เพื่อให้สะดวก แก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์ไป ปล้นทรัพย์ --> (ชิงทรัพย์+ ร่วมกระทา 3 คนขึ้นไป) กรรโชกทรัพย์ --> (ข่มขืนใจผู้อื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน + โดยขู่เข็ญ ว่าจะทาอันตรายต่อชีวิต หรือใช้กาลัง ประทุษร้าย) ข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น ทรัพย์สิน โดยใช้กาลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่ 3 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอม รีดเอาทรัพย์ --> (ข่มขืนใจให้ทรัพย์สิน + ขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ) ฉ้อโกง --> (ทุจริตหลอกลวง + ได้ทรัพย์สินผู้อื่น) --> ยอมความได้ยกเว้นโกงประชาชน ผู้ใดทุจริตหลอกลวงผู้อื่น ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ควรแจ้ง โดยการหลอกลวงดังกล่าว ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่ 3 ยักยอกทรัพย์ --> (ครอบครองทรัพย์ผู้อื่น + เบียดบังเอาทรัพย์โดยทุจริต) --> ยอมความได้ คอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังทรัพย์สิน เป็นของตน หรือบุคคลที่ 3โดยทุจริต รับของโจร --> (รับไว้ซึ่งทรัพย์ซึ่งรู้ว่าได้มาโดยทุจริต) ทาให้เสียทรัพย์ --> (ทาลายทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนา) --> ยอมความได้ ยกเว้น ทาลายของ สาธารณประโยชน์ และพระพุทธรูป หรือวัตถุทางศาสนา
69.
บุกรุก เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมด หรือแค่บางส่วนหรือเข้าไปกระทาการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครอง -->
ยอมความได้ยกเว้น บุกรุกโดยใช้กาลังหรือขู่ว่าจะใช้กาลังประทุษร้าย หรือมีอาวุธ หรือร่วมกระทาความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือในกลางคืน ความผิดลหุโทษ -->จาคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจาทั้งปรับ นิยาม 1. โดยทุจริต --> เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง และผู้อื่น 2. ทางสาธารณะ --> ทางบก หรือทางน้า สาหรับประชาชนใช้ในการจราจร และรวมถึงทางรถไฟ และ รถรางสาหรับประชาชนโดยสาร--> ไม่รวมทางอากาศ 3. สาธารณสถาน --> ประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปใช้ได้ เช่น ห้างสรรพสินค้า 4. ใช้กาลังประทุษร้าย --> ทาร้ายร่างกายหรือจิตใจของบุคคลอื่น ทั้งทางแรงกายและวิธีอื่น 5. เอกสารสิทธิ์ --> เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิ์ 6. เวลากลางคืน --> เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น การใช้กฎหมายอาญา 1. อาญาไม่มีผลย้อนหลังให้โทษแก่ผู้กระทาความผิด ผลย้อนหลังมี 2 กรณี - ถ้าบัญญัติในภายหลังว่าการกระทาไม่เป็นความผิด ให้ผู้นั้นพ้นจากการกระทาผิด - ถ้าคาพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว --> ให้ถือว่าไม่เคยต้องคาพิพากษาว่ากระทาความผิด และถ้า รับโทษอยู่ ให้โทษนั้นสิ้นสุด 2. กฎหมายใหม่ แตกต่างจากกฎหมายเก่า --> ให้ย้อนหลังที่เป็นคุณ 3. การบังคับใช้กฎหมายตามหลักดินแดน --> ไม่ว่าชาติใดถ้าทาความผิดในไทย ต้องรับโทษตาม กฎหมายไทย ทาความผิดนอกราชอาณาจักร ถือว่ากระทาความผิดในราชอาณาจักร - ทาผิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด --> ความผิดในราชอาณาจักร - ผลของความผิดเกิดในอาณาจักร แม้จะมีแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม - การตระเตรียม หรือพยายามทาความผิด แม้จะกระทานอกอาณาจักร แต่ผลของความผิดเกิดในอาณาจักร ถือว่าการตระเตรียมหรือพยายามกระทาความผิดนั้นได้ทาในอาณาจักร
70.
- ตัวการ ผู้สนับสนุน
ผู้ใช้ให้กระทา อยู่นอกอาณาจักร แต่กระทาความผิดในอาณาจักร ถือว่าทาผิดใน อาณาจักร การลงโทษสากลของศาล (กระทาความผิดนอกประเทศ จะต้องรับโทษในประเทศ) - ความมั่นคง ยกเว้น ความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ - การก่อการร้าย - การปลอมและการแปลง - ความผิดเกี่ยวกับเพศ - ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ในทะเลหลวง โทษทางกฎหมายอาญา มี 5 สถาน 1. ประหารชีวิต 2. จาคุก 3. กักขัง 4. ปรับ 5. ริบทรัพย์สิน โทษประหารชีวิต --> มิให้บังคับใช้กับผู้มีอายุต่ากว่า 18 ปี กรณี ผู้กระทาความผิดมีอายุต่ากว่า 18 ปี มีโทษประหารชีวิต ให้เป็นเป็นจาคุก 50 ปี วิธีการประหารชีวิต ฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย เปลี่ยนโทษจาคุกเป็นกักขัง ทาความผิดมีโทษจาคุกไม่เกิน 3 เดือน + ไม่เคยทาความผิดมาก่อน หรือได้รับโทษจาคุก --> แต่เป็น คดีลหุโทษหรือคดีประมาท --> ศาลจะพิจารณาให้กักขังไม่เกิน 3 เดือนแทน สถานที่กักขัง 1. ไม่ใช่เรือนจา สถานีตารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน 2. ศาลสั่งให้กักขังผู้กระทาความผิดไว้ในที่อาศัยของตนเอง หือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นได้ หรือ สถานที่อื่นที่อาจกักขังได้
71.
ระยะเวลาชาระค่าปรับ 1. ชาระใน 30
วัน นับแต่ศาลมีคาพิพากษา 2. ไม่ชาระใน 30 วัน --> ยึดทรัพย์ใช้ค่าปรับ หรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินหรือกักขังแทน ค่าปรับ 3. ศาลสงสัยว่าจะไม่จ่ายค่าปรับ --> ศาลเรียกประกันหรือสั่งให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อน กักขังแทนค่าปรับ 1. กักขังแทนค่าปรับ --> 500 บาท/วัน 2. ไม่ว่าจะผิดกี่กระทง --> กักขังได้ไม่เกิน 1 ปี 3. ศาลสั่งให้ปรับตั้งแต่ 80,000 ขึ้นไป --> กักขังได้เกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ผู้ต้องโทษปรับ - ศาลให้ทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ - โทษปรับ --> รอการลงโทษได้ ความระงับของโทษ ผู้กระทาความผิดตาย วิธีการเพื่อความปลอดภัย 1. กักกัน - อัยการ มีอานาจในการฟ้องโดยเฉพาะ --> ผู้เสียหายฟ้องให้กักกันไม่ได้คือการควบคุมผู้กระทา ความผิดติดนิสัย ไว้ภายในเขตกาหนด เพื่อป้ องกันการกระทาความผิดเพื่อดัดนิสัย และฝึกหักอาชีพ - หลักในการกาหนดการกักกัน 1. เคยถูกศาลสั่งให้กักกันมาแล้ว 2. เคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจาคุกไม่ต่ากว่า 6 เดือน มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ในความผิดเกี่ยวกับ ความสงบสุข ก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เงินตรา เพศ ต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์ 3. ในระยะเวลา 10 ปี ทาผิดตาม (2.1) และศาลสั่งจาคุก 6 เดือน --> ศาลอาจถือว่าเป็นการกระทา ความผิดติดนิสัย และจะพิพากษาให้กักกันไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่เกิน 10 ปี ก็ได้ * ไม่นาการกักกันมาบังคับใช้กับเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี 2. ห้ามเข้าเขตกาหนด -->ไม่เกิน 5 ปี 3. เรียกประกันทัณฑ์บน --> ศาลเกรงว่าจะไปทาให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น 4. คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล --> ไม่เกิน 2 ปี 5. ห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง --> มีกาหนดไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษก็ได้
72.
การเพิ่มโทษ มิให้เพิ่ม 1. ถึงประหารชีวิต 2. จาคุกตลอดชีวิต 3.
จาคุกเกิน 50 ปี การลดโทษ 1. ลดโทษจากประหารชีวิต ลดดังนี้ 1) ลด 1 ใน 3 --> จาคุกตลอดชีวิต 2) กึ่งหนึ่ง --> จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกตั้งแต่ 25 – 50 ปี 2. โทษจาคุกตลอดชีวิต --> เหลือจาคุก 50 ปี รอลงอาญา --> โทษจาคุก (จาคุกจริง) ไม่เกิน 5 ปี --> ศาลให้รอลงอาญา การกระทาความผิด 1. กระทาโดยเจตนา --> รู้สานึก + ประสงค์ต่อผลเล็งเห็นผลของการกระทา 2. ประมาท --> ไม่เจตนา + ปราศจากความระมัดระวัง หรือ ใช้ความระวังไม่เพียงพอ 3. กระทาโดยพลาด --> เจตนากระทากับบุคคลหนึ่ง --> ผล คือพลาดไปเกิดกับอีกคนหนึ่ง --> โทษ เท่ากับการกระทาผิด กับบุคคลที่ 1 (มิให้เพิ่มโทษ) 4. สาคัญผิดในตัวบุคคล --> เจตนากระทาต่อบุคคลหนึ่ง --> แต่ได้กระทาต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสาคัญ ผิด--> จะแก้ว่าไม่เจตนา “ไม่ได้” 5. สาคัญผิดในข้อเท็จจริง 6. ทาผิดด้วยความจาเป็น 1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อานาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 2) เพราะเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นพ้นภยันอันตรายที่ใกล้มาถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าการ กระทาความผิดนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ “มีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ”
73.
ยกเว้นโทษ ด้วยเหตุอายุของเด็ก เด็กอายุไม่เกิน 10
ปี --> ทาความผิด --> เด็กไม่ต้องรับโทษ (มีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ) เด็กอายุ 10 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี --> ทาความผิด --> ไม่ต้องรับโทษ --> ให้ศาลมีอานาจในการดาเนินการ(ใช้ มาตรสาหรับเด็ก) ลดโทษ ด้วยอายุของเด็ก อายุ 15 ปี แต่ต่ากว่า 18 ปี --> ทาความผิด --> ดุลยพินิจของศาล - ไม่สมควรลงโทษ(ยกเว้น) - สมควรลงโทษให้ลด เหลือกึ่งหนึ่ง อายุ 18 แต่ไม่เกิน 20 ปี --> ทาความผิด --> ศาล - ลด 1 ใน 3 - ลดกึ่งหนึ่ง - ไม่ลด พยายามกระทาความผิด ลงมือกระทาความผิด + ไม่ตลอดหรือไม่บรรลุ = พยายามกระทาความผิด โทษ 2 ใน 3 ที่กฎหมายกาหนด ตัวการ บุคคล 2 คนขึ้นไป + ร่วมกระทาความผิดร่วมกัน = ตัวการ ผู้ใช้ ให้ผู้อื่นกระทาความผิด --> บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาง หรือยุยงส่งเสริม = ผู้ใช้ *ผู้ใช้มีโทษเสมือนตัวการ โทษ 1 ใน 3 ของความผิดนั้น ผู้โฆษณา โฆษณาหรือประกาศ + ให้บุคคลทั่วไปกระทาคามผิด = ผู้โฆษณา โทษ กึ่งหนึ่งของความผิดนั้น ผู้สนับสนุน ช่วยเหลือให้ความสะดวก + ก่อนทาผิดหรือหลังการทาผิด = ผู้สนับสนุน โทษ 2 ใน 3 ของความผิด
74.
*ผิดกรรมเดียว ผิดทางกฎหมายหลายบท ก่อเหตุคดีเดียว -->
ผิดกฎหมายหลายบท = ใช้บทที่มีโทษหนักสุดลงโทษผู้กระทาความผิด *กระทาผิดหลายกรรม ทาผิดหลายกรรมต่างกัน --> ศาลลงโทษทุกกรรม เป็นกระทรงความผิดไป --> เมื่อรวมทุกกระทงแล้วโดย จาคุกต้องไม่เกินกาหนด ไม่เกิน 1) 10 ปี --> ความผิดกระทรงที่หนักที่สุด --> มีโทษจาคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี 2) 20 ปี --> ความผิดกระทรงที่หนักที่สุด --> มีโทษจาคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี 3) 50 ปี --> ความผิดกระทรงที่หนักที่สุด --> มีโทษจาคุกอย่างสูงเกิน 10 ปีขึ้นไป เว้นแต่ ศาลลงโทษจาคุก ตลอดชีวิต อายุความในการฟ้ องคดีอาญา 1. โทษประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุก 20 ปี --> อายุความ 20 ปี 2. จาคุกกว่า 7 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี --> อายุความ 15 ปี 3. จาคุกกว่า 1 ปี ถึง 7 ปี --> อายุความ 10 ปี 4. จาคุกกว่า 1 เดือน ถึง 1 ปี --> อายุความ 5 ปี 5. จาคุกตั้งแต่ 1 เดือนลงมาหรือระวางโทษอย่างอื่น --> อายุความ 1 ปี ความผิดลหุโทษ “จาคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ” **โทษจาคุก --> รอลงอาญา 5 ปี **โทษปรับ --> รอลงอาญาได้ **โทษปรับเท่าใด --> มีสิทธิขอทางานบริการสังคมได้
75.
วิธีพิจารณาความอาญา นิยาม “ผู้ต้องหา” --> ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิด
+ ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล “จาเลย” --> บุคคลที่ถูกฟ้องศาลแล้ว + ข้อหาได้กระทาความผิด “สืบสวน” --> หาข้อเท็จจริง + หลักฐาน = เพื่อทราบรายละเอียดของความผิด “สอบสวน” --> รวบรวมพยานหลักฐาน + การดาเนินการ เพื่อทราบข้อเท็จจริง/พิสูจน์ความผิดเพื่อเอา ผู้กระทาความผิดมาลงโทษ “เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจ” --> เช่น ผญบ. กานัน ปอ. ผู้มีอานาจจัดการแทนผู้เสียหาย ผู้มีอานาจจัดการแทนผู้เสียหาย 1. 2. ร้องทุกข์ เป็นโจทย์ฟ้องคดีอาญา/เข้าร่วมเป็นโจทย์ เป็นโจทย์ฟ้องคดีแพ่ง ที่เกี่ยวเนื่องจากคดีอาญา ถอนฟ้องคดีอาญา/คดีแพ่ง ที่เกี่ยวเนื่องคดีอาญา ยอมความในคดีความผิดส่วนตัว ผู้ต้องหา จาเลย ผู้เสียหาย ผู้มีอานาจ จัดการแทน จัดการแทนในเรื่อง ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล เฉพาะในความผิดที่ได้กระทาต่อ ผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี/ภริยา เฉพาะความผิด ทางอาญา ผู้เสียหายถูกทาร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บ จนไม่สามารถจะจัดการเองได้
76.
3. สิทธิของผู้ถูกจับ หรือผู้ต้องหา มีสิทธิแจ้ง หรือขอให้พนักงานแจ้งญาติ
ให้ทราบถึงการถูกจับ และสถานที่ที่ถูกควบคุม และมีสิทธิ 1. พบ และปรึกษาทนาย เป็นการเฉพาะตัว 2. ให้ทนาย เข้าฟังการสอบปากคาได้--> ในชั้นสอนสวน 3. ได้รับการเยี่ยม หรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร 4. รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเจ็บป่าว *พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจ --> ต้องแจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบถึงสิทธิดังกล่าวนี้ในโอกาสแรก อานาจในการสืบสวนคดีอาญา 1. พนักงานฝ่ายปกครอง 2. ตารวจ อานาจสอบสวนคดีอาญา นอกจาก กทม. 1. พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่ 2. ปอ. 3. ตร.ยศร้อยตรีขึ้นไป หมายเรียก พนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง ตารวจชั้นผู้ใหญ่ ศาล เรียกให้บุคคลมาให้ไต่สวนมูลฟ้อง *อัยการ --> ไม่มีหมายเรียก *บุคคลที่ต้องโทษขัง + จาคุกตามหมายศาล --> จาปล่อยได้ก็ต้องมีหมายศาลด้วย บุคคลที่ร้องขอหมายอาญาได้ 1. พนักงานฝ่ายปกครองระดับ 3 ขึ้นไป 2. ตร.ตั้งแต่ ร้อยตรีขึ้นไป ผู้จัดการ/ผู้แทน ของนิติบุคคล เฉพาะความผิดที่กระทา แก่นิติบุคคล
77.
จาเป็นเร่งด่วน --> ผู้ร้องขอต่อศาลทางโทรศัพท์
โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อประเภทอื่นๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้ศาลออกหมายจับ หรือหมายค้นก็ได้ การค้นในที่รโหฐาน --> การค้นต้องทาระหว่าง พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก ยกเว้น 1. ลงมือค้นในเวลากลางวัน และยังไม่เสร็จ จะค้นต่อไปในเวลากลางคืนได้ 2. ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรือ กม.อื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ --> ค้นกลางคืนได้ 3. ค้นเพื่อจับกุมผู้ดุร้าย จะทาในเวลากลางคืนก็ได้--> ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาล *คดีที่มีโทษจาคุกเกิน 5 ปี ขึ้นไป --> ผู้ที่ถูกปล่อยตัวชั่วคราวต้องมี ประกัน + หลักประกัน หลักประกัน --> 3 ชนิด 1. เงินสด 2. หลักทรัพย์อื่น 3. มีบุคคลมาเป็นหลักประกัน โดยแสดงหลักทรัพย์ ตายผิดธรรมชาติ 1. ฆ่าตัวตาย 2. ถูกผู้อื่นทาให้ตาย 3. ถูกสัตว์ทาร้ายตาย 4. ตายโดยอุบัติเหตุ 5. ตายโดยไม่ปรากฏเหตุ
78.
กฎหมายแพ่ง บุคคล 1. บุคคลธรรมดา 2. นิติบุคคล การตาย 1.
ตายโดยธรรมชาติ แกนสมองตาย 2. ตายโดยผลของกฎหมาย กรณีธรรมดา 5 ปี - นับจากวันที่บุคคลไปเสียจากภูมิลาเนา หรือที่อยู่ และไม่มีใครได้รับ ข่าวคราวเกี่ยวกับผู้นั้นเลย กรณีพิเศษ 2 ปี เช่นกรณีที่บุคคลตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต 1. ไปในการรับหรือสงคราม - นับจากวันที่สงครามสิ้นสุด 2. ยานพาหนะตก อับปาง ถูกทาลาย หรือสูญหาย - นับจากวันที่เกิดเหตุ ความสามารถของบุคคล 1. ผู้เยาว์ ทานิติกรรม ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม โมฆะ 2. คนไร้ความสามารถ ทานิติกรรม ผู้อนุบาลทาแทนทั้งหมด โมฆียะ 3. คนเสมือนไร้ความสามารถ ทานิติกรรม ทาได้เองแต่นิติกรรมบางอย่างต้องได้รับการยินยอมจาก ผู้พิทักษ์ โมฆียะ 4. คนวิกลจริต(บ้า) ทานิติกรรมได้ทุกอย่าง โมฆียะ คู่กรณีรู้ว่าบ้า บ้าขณะทานิติกรรม ผู้เยาว์ บรรลุนิติภาวะ ได้ 2 กรณี 1. อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ Ex. A เกิดวันที่ 24 มิถุนายน 2530 A จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลา 24.00 น. และบรรลุนิติภาวะในวันที่ 24 มิถุนายน 2550 เวลา 00.01 น. 2. ทาการสมรส มี 2 หลักเกณฑ์ - ชายและหญิงต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ + ได้รับความยินยอม + จดทะเบียน ฝ่าฝืนโมฆียะ - ศาลอนุญาตให้สมรสก่อน 17 ปี * ผู้เยาว์ทานิติกรรมใดๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ผลโมฆียะ นิติกรรมที่ผู้เยาว์ทาเองได้ 1. นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ 2. นิติกรรมที่ทาเองเฉพาะตัว เช่น จดทะเบียนรับรองบุตร 3. นิติกรรม ซึ่งสมแก่ฐานานุรูป และจาเป็นในการดารงชีพ *4. ผู้เยาว์ทาพินัยกรรมได้ เมื่ออายุ 15 ปีบริบูรณ์ หากอายุไม่ถึง 15 ปีบริบูรณ์ แล้วทาผลคือ โมฆะ 5. นิติกรรมที่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแล้ว
79.
ผู้ปกครองผู้เยาว์ไม่สามารถทานิติกรรมแทนผู้เยาว์ในกรณีดังต่อไปนี้ (ยกเว้นศาลจะอนุญาต) 1. ขาย
แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จานอง ปลดจานอง หรือโอนสิทธิจานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ และ สังหาริมทรัพย์ 2. ทาให้สิ้นสุดลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพย์สินของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 3. ก่อตั้งภาระจายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใด ในอสังหาริมทรัพย์ 4. จาหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ ที่อาจจานองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือ ทรัพย์สินนั้น 5. ให้เช่นอสังหาริมทรัพย์ เกิน 3 ปี 6. ก่อข้อผูกพันใดๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม ข้อ 1 ,ข้อ 2 และข้อ 3 7. ให้กู้ยืมเงิน (1 บาทก็ต้องขออนุญาตศาล) 8. ให้โดยเสน่หา เว้นแต่เพื่อการกุศลสาธารณะ เพื่อสังคม พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์ 9. รับการให้โดยเสน่หา ที่มีเงื่อนไขหรือภาระติดพัน 10. ประกันใดๆ ที่มีผลต่อผู้เยาว์ ที่จะถูกบังคับชาระหนี้ * ทั้ง 10 ข้อ แม้ผู้เยาว์จะอนุญาต หรือยืนยอม ผู้แทนก็ไม่สามารถทาได้ --> ผลคือนิติกรรมไม่สมบูรณ์ บุคคลวิกลจริต หลัก คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ถ้าทานิติกรรม ผลคือสมบูรณ์ ยกเว้น - ในขณะทาวิกลจริตอยู่ และ - คู่กรณีรู้ว่าผู้ทานิติกรรมวิกลจริต * ทานิติกรรมได้ทุกอย่าง ไม่ต้องขออนุญาตใคร คนไร้ความสามารถ หลัก ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ทานิติกรรมใดๆไม่ได้เลย ผู้อนุบาลเป็นผู้ทาแทน ถ้าฝ่าฝืน ผลโมฆียะ ** จะทานิติกรรมใดๆ ไม่ได้เลย ถึงแม้ผู้อนุบาลจะอนุญาตก็ตาม ** คนเสมือนไร้ความสามารถ หลัก คนเสมือน ทานิติกรรมได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้พิทักษ์ นิติกรรมสมบูรณ์ ยกเว้น ทรัพย์สินที่สาคัญ ต้องได้รับความยินยอม หากไม่พอ โมฆียะ 1. นาทรัพย์สินไปลงทุน 2. รับคืนทรัพย์สินที่ลงทุนไป 3. กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า 4. รับประกันใดๆ ที่มีผลให้ต้องถูกบังคับชาระหนี้ 5. เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์ มีกาหนดระยะเวลาเกิน 6 เดือน เช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีกาหนดระยะเวลาเกิน 3 ปี 6. ให้โดยเสน่หา เว้นแต่เพื่อการกุศล สังคม 7. รับทรัพย์โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือภาระติดพัน 8. ทาการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อได้มาหรือปล่อยไป ซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ พร้อมสังหาริมทรัพย์ 9. ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอย่างใหญ่ ผลคือ โมฆียะ
80.
10. เสนอวิธีต่อศาลหรือดาเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ ยกเว้น
การร้องขอให้ศาลอนุญาตให้กระทาการที่ผู้พิทักษ์ ไม่ให้ความยินยอมโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร 11. ประนีประนอมยอมความ หรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาตโดยตุลาการวินิจฉัย นิติบุคคล ประเภท 1. สมาคม 2. มูลนิธิ 3. ห้างหุ้นส่วนจากัด 4. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน หรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 5. บริษัทจากัด * ห้างหุ้นส่วนสามัญ ไม่เป็นนิติบุคคล แต่ถ้าจดทะเบียนถึงจะเป็น การเริ่มสภาพของนิติบุคคล เริ่มสภาพเมื่อ จดทะเบียนตามที่กฎหมายได้กาหนดไว้ * ภูมิลาเนาของอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ ทรัพย์สิน แบ่งเป็น 5 ประเภท 1. อสังหาริมทรัพย์ 2. สังหาริมทรัพย์ 3. ทรัพย์แบ่งได้ 4. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ 5. ทรัพย์นอกพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ 1. ที่ดิน ที่ดินที่อยู่บนผิวโลก รวมถึง ภูเขา หุบเขา เกาะ 2. ทรัพย์ติดทับที่ดิน แบ่งเป็น 2 ประเภท - โดยธรรมชาติ เช่น ไม้ยืนต้น (ไม้ล้มลุกเป็นสังหาริมทรัพย์) - มนุษย์สร้างขึ้น เช่น บ้าน คอนโด ฯลฯ 3. ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน เช่น กรวด หิน ดิน ทราย แร่ธาตุ ที่รวมหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน 4. ทรัพยสิทธิต่างๆ เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิ์ครอบครอง ฯลฯ * การทานิติกรรมที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ทาเป็นหนังสือ จดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ สังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ต่างๆ ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เช่น - ดินที่ขุดออกมา สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องทาเป็นหนังสือและจดทะเบียนด้วย (ปกติ สังหาริมทรัพย์จะไม่จด) - เรือที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป - แพ - สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ ฝ่าฝืน โมฆะ
81.
ทรัพย์แบ่งได้ น้ามัน ข้าวสาร เค้ก
ผ้าเป็นพับๆ ที่ดิน ทรัพย์แบ่งไม่ได้ มี 2 ประเภท 1. แบ่งไม่ได้โดยธรรมชาติ เช่น บ้าน เสื้อ กางเกง หนังสือ ฯลฯ 2. แบ่งไม่ได้ตามผลของกฎหมาย ได้แก่ หุ้นบริษัท สิทธิจานอง ทรัพย์ส่วนควบ ทรัพย์นอกพาณิชย์ คือทรัพย์ไม่สามารถถือเอาได้ และโอนไม่ได้ตามกฎหมาย มี 2 ประเภท 1. ไม่สามารถถือเอาได้ เช่น ดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ 2. ไม่สามารถโอนแก่กันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่วัด ธรณีสงฆ์ ผู้ได้รับมรดก ผู้มีสิทธิได้รับมรดก 1. ทายาทโดยธรรม - ประเภทญาติ ลาดับที่ 1 ผู้สืบสันดาน ลาดับที่ 2 บิดามารดา ลาดับที่ 3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ลาดับที่ 4 พี่น้องร่วมแค่บิดาหรือร่วมแค่มารดา ลาดับที่ 5 ปู่ ย่า ตา ยาย ลาดับที่ 6 ลุง ป้า น้า อา - ประเภทคู่สมรส มีสิทธิได้รับมรดกเทียบเท่ากับบุตร 2. ผู้รับพินัยกรรม - พระไม่สามารถรับมรดก ทางพินัยกรรมได้ (ยกเว้นสึกมารับ) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ *ถ้าไม่ได้กาหนดอัตราดอกเบี้ย ใช้อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สภาพของบุคคล - สภาพของบุคคล ย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอด - การคลอด --> ทารกออกมาจากครรภ์มารดา หมดทั้งตัวแล้ว แม้จะยังไม่มีการตัดสายสะดือ และต้องมีชีวิตอยู่รอด เพียงระยะเวลาหนึ่ง ก็มีสิทธิต่างๆ ในทรัพย์สิน หรือมรดก ภูมิลาเนาของบุคคล 1. ภูมิลาเนาบุคคลธรรมดา --> ถิ่นที่อยู่ที่บุคคลมีสถานที่อยู่ 2. มีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง --> เอาที่ใดที่หนึ่งเป็นภูมิลาเนา ผู้เยาว์ บรรลุนิติภาวะ
82.
กระทรวงมหาดไทย โครงสร้าง ภารกิจและอานาจหน้าที่ ก่อตั้ง -->
1 เมษายน 2435 --> ร.5 เสนาบดีคนแรก --> สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ รัฐมนตรีคนปัจจุบัน --> พล.อ อนุพงศ์ เผ่าจินดา (คนที่ 63) ปลัดกระทรวงคนแรก --> พระยามหาอามาตยาธิบดี ปลัดกระทรวงคนปัจจุบัน --> นายกฤษฎา บุญราช (คนที่ 38) กรมแรกเริ่ม - กรมมหาดไทยกลาง --> ทาน้าที่ทั่วไป - กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ --> ปราบโจรผู้ร้าย/งานอัยการ - กรมพลัมภัง --> ปกครองท้องที่ อานาจหน้าที่ 1. การเมืองการปกครอง 2. เศรษฐกิจ 3. สังคม 4. พัฒนาทางกายภาพ โครงสร้างกระทรวง 8 ส่วนราชการ 5 รัฐวิสาหกิจ "ส่วนราชการ" 1. สนง.รัฐมนตรี (ไม่มีฐานะเป็นกรม) 2. สนง.ปลัดกระทรวง 3. กรมการปกครอง 4. กรมที่ดิน 5. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 6. กรมพัฒนาชุมชน
83.
7. กรมโยธาธิการและผังเมือง 8. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย "รัฐวิสาหกิจ" 1.
องค์การตลาด 2. การประปานครหลวง 3. การประปาส่วนภูมิภาค 4. การไฟฟ้านครหลวง 5. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กลุ่มภารกิจ --> กฎกระทรวง 1. ความมั่นคง - กรมการปกครอง - กรมที่ดิน 2. พัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น - กรมพัฒนาชุมชน - กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 3. สาธารณภัยและพัฒนาเมือง - กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย - กรมโยธาธิการและผังเมือง 4. ไม่สังกัดกลุ่มภารกิจ - สนง.ปลัดกระทรวง *ลมใต้ปีก* --> กฤษฎา บุญราช
84.
ผู้บริหาร รมต. --> พล.อ
อนุพงศ์ เผ่าจินดา (คนที่ 63) รมต.ช่วย --> นายสุธี มากบุญ ป.มหาดไทย --> นายกกฤษฎา บุญราช รองปลัด --> 1.นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ 2.นายประทีป กีรติเลขา 3.นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ 4.นายชยพล ธิติศักดิ์
85.
กรมการปกครอง โครงสร้าง ภารกิจ และอานาจหน้าที่ ก่อตั้ง
--> 1 เมษายน 2435 --> กรมมหาดไทย --> 2475 --> กรมการปกครอง --> 2505 อธิบดีคนแรก --> พระยานุวงศ์ประวัติ อธิบดีคนปัจจุบัน --> ร.ต.ท.อาทิตย์. บุญญะโสภัค (คนที่ 38) รองอธิบดี - ฝ่ายความมั่นคง --> ประดิษฐ์ ยมานันท์ - ฝ่ายบริหารงานส่วนภูมิภาค --> ชานาญวิทย์ เตรัตน์ - ฝ่ายบริหารและพัฒนาระบบงาน --> รณภพ เหลืองไพโรจน์ โครงสร้างกรม ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนกลาง "11 สานัก/กอง" 1. สนง.เลขานุการกรม 2. กองการเจ้าหน้าที่ 3. กองคลัง 4. กองวิชาการและแผน 5. กองการสื่อสาร 6. วิทยาลัยการปกครอง 7. สานักตรวจสอบและนิติการ 8. สานักกิจการความมั่นคงภายใน 9. สานักบริหารงานทะเบียน 10. สานักบริหารการปกครองท้องที่ 11. สานักอานวยการกองอาสารักษาดินแดน
86.
"หน่วยงานภายใน" 1. สานักผู้ตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ 2. กลุ่มตรวจสอบภายใน 3.
กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 4. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารงานปกครอง 5. สนง.ผู้เชี่ยวชาญความมั่นคง 6. สนง.ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย 7. สนง.ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. โครงสร้างกรมฯ (ตามกฎหมาย) 6 สานัก 5 กอง 7 หน่วยงาน ส่วนภูมิภาค "ที่ทาการปกครองจังหวัด" - กลุ่มงานปกครองจังหวัด (จ่าจังหวัด) - กลุ่มงานความมั่นคง (ป้องกันจังหวัด) - กลุ่มงาน/ฝ่ายการเงิน (เสมียนตราจังหวัด) "ที่ทาการปกครองอาเภอ" ** 4 กลุ่มงาน/ฝ่าย และ 1 สานักงาน** (คาสั่งกรมการปกครองที่ 505/2559 ลว 25 เม.ย. 59) 1. กลุ่มงานบริหารงานปกครอง --> งานการเงินและบัญชี (เสมียนตราอาเภอ) 2. กลุ่มงานอานวยความเป็นธรรม 3. กลุ่มงาน/ฝ่ายความมั่นคง 4. กลุ่มงาน/ฝ่ายทะเบียนและบัตร 5. สานักงานอาเภอ หน้าที่ของส่วนราชการ ส่วนกลาง 1. สนง.เลขานุการกรม - ช่วยอานวยการ และงานเลขากรมฯ - งานสารบรรณ - **งานประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข่าวสารการปฏิบัติงานของกรม
87.
2. กองการเจ้าหน้าที่ - เกี่ยวกับงานบุคคลของกรม
ยกเว้น การฝึกอบรม 3. กองคลัง - ดาเนินการเกี่ยวกับการเงิน บัญชี การบริหารงบประมาณ พัสดุ อาคาร สถานที่ พาหนะ 4. กองการสื่อสาร 5. กองวิชาการและแผน - เสนอแนะนโยบายจัดทาแผน - พัฒนาระบบ รูปแบบ และวิธีการบริหารการปกครอง - จัดทาและประสานแผน - จัดทางบประมาณของกรม - เป็นศูนย์ข้อมูลของกรม 6. วิทยาลัยการปกครอง - ฝึกอบรม และพัฒนา ขรก.และลูกจ้างกรม ยกเว้น พัฒนา ขรก.ระดับสูงและหลักสูตรทั่วไป 7. สานักการสอบสวนและนิติการ 8. สานักความมั่นคงภายใน - กิจการชายแดน - ควบคุมชาวเขา และชนกลุ่มน้อย - กิจการศาสนาอิสลาม - ฝึกอบรม ผรส. 9. สานักบริหารการทะเบียน 10. สานักบริหารการปกครองท้องที่ - จัดตั้ง ยุบ เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด อาเภอ กิ่งอาเภอ ตาบล หมู่บ้าน รวมทั้งจัดทาแผนที่ แนวเขต การปกครอง และดูแลสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน - บริหารและพัฒนาการปกครองท้องที่ และการทางานของกานัน ผญ. ฯลฯ - ดาเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วน ราชการใด - สนับสนุนและดาเนินการเลือกตั้ง
88.
วิสัยทัศน์/ยุทธศาสตร์ วิสัยทัศน์ประเทศ พ.ศ. 2555
- 2559 "สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง" ยุทธศาสตร์ 1. การสร้างความเป็นธรรมในสังคม 2. การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน 3. ความเข้มแข็งภาคการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และพลังงาน 4. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน 5. การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ/สังคม 6. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วิสัยทัศน์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2556 - 2561 "เป็นกระทรวงหลักในการบริหารจัดการและบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อบาบัดทุกข์ บารุงสุขประชาชน" ยุทธศาสตร์ 1. การเสริมสร้างเศรษฐกิจรากฐานชุมชนที่เข้มแข็ง 2. การพัฒนาเมือง โครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อเชื่อมโอกาสสู่ประชาคมอาเซียน 3. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายอย่างยั่งยืน ภายใต้ วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 4. การเสริมสร้างความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงภายใน กองอานวยความเป็นธรรม และการพัฒนา กฎหมาย/บังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมในสังคม 5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพิบัติภัย(ภัยพิบัติ) โดยสร้างความพร้อมรับการ เปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน 6. การพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรในการบริหารจัดการแบบบูรณาการ โดยมีประชาชนเป็น ศูนย์กลาง
89.
วิสัยทัศน์กรมการปกครอง พ.ศ. 2559
- 2562 "องค์กรหลักในการบริหารราชการและบูรณาการงานในพื้นที่ เพื่อความมั่นคง ผาสุกประชาชน" ยุทธศาสตร์ 1. พัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของราชการส่วนภูมิภาคในการบริหารจัดการแบบบูรณาการในพื้นที่ 2. การรักษาความสงบเรียบร้อย และอานวยความเป็นธรรมให้สังคมสงบสุข 3. การเสริมสร้างความมั่นคงภายในทุกระดับในพื้นที่ให้เข้มแข็ง มีเอกภาพ 4. พัฒนาระบบบริการให้ทันสมัย มีคุณภาพ รองรับบริบทการเปลี่ยนแปลง 5. บริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ ยึดหลักธรรมาภิบาล และพัฒนาบุคคลากรสู่ความเป็นสากล
90.
พระราชบัญญัติปกครองพื้นที่ พระพุทธศักราช 2457 *
ร.5 --> จัดระเบียบการปกครองครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2435 (ร.ศ.111) ณ ต.บ้านเกาะ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา *วันกานันผู้ใหญ่บ้าน --> 10 ส.ค. ของทุกปี *กานัน ผู้ใหญ่บ้านคนแรก --> หลวงภพน์บริหาร *ร.5 ตรา พรบ.ลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 (พ.ศ.2446) --> ฉบับที่ 1 *ร.6 ตรา พรบ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 --> ฉบับที่ 2 --> จนถึงฉบับปัจจุบัน *ฉบับ 12 "ตาแหน่งกานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจาตาบล สารวัตรกานัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ยกเลิกไม่ได้" *บังคับใช้ทุกพื้นที่ ยกเว้น กทม.ชั้นใน *ฉบับล่าสุด --> ฉบับที่ 13 --> คสช. ฉ.102/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 ประกาศ คสช. ฉ.102/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 "ผช.ปค. มีอานาจในการตรวจตรารักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้านเช่นเดียวกับ ผรส." บ้าน 1. เรือน กี่หลังก็ได้ --> มีขอบเขต+มีเจ้าของ+อิสระ 2. ห้องแถว และแพหรือเรือชา --> จอดประจา+มีเจ้าของ+อิสระ 3. สถานที่ราชการ --> ไม่นับเป็นบ้าน เจ้าบ้าน --> ผู้ปกครองบ้าน (เจ้าบ้าน+ผู้เช่า+ผู้อาศัยโดยชอบด้วยกฎหมาย)
91.
หมู่บ้าน * การจัดตั้งหมู่บ้าน * "ตาม
พรบ." 1. หมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นเป็นทางการ "หลักเกณฑ์" 1. คนมาก --> หมู่บ้านน้อย --> 200 คน = 1 หมู่บ้าน 2. คนน้อย --> บ้านห่าง --> ไม่ต่ากว่า 5 บ้าน = 1 หมู่บ้าน "ขั้นตอนการจัดตั้ง" 1. นายอาเภอกาหนดเขตหมู่บ้าน 2. จัดทาประกาศจังหวัด 3. ผู้ว่าราชการจังหวัด ลงนามในประกาศจังหวัด ** ตั้งหมู่บ้าน --> ประกาศจังหวัด 2. หมู่บ้านชั่วคราว --> อานวยความสะดวกแก่การปกครอง "หลักเกณฑ์" 1. ชุมนุมในบางฤดูกาล 2. จานวนคนมากพอสมควร "ขั้นตอนการจัดตั้ง" 1. นายอาเภอเรียกประชุม 2. ชาวบ้าน ประชุมเลือก "ว่าที่ผู้ใหญ่บ้าน" 3. นายอาเภอ รายงาน ผู้ว่าราชการจังหวัด 4. ผู้ว่าราชการจังหวัดออกหมายตราตั้ง หมายเหตุ - หมายตราตั้ง --> กาหนดเวลาตั้งแต่เดือนไหนถึงเดือนไหน --> เมื่อแยกย้ายกันไปแล้วก็สิ้นตาแหน่ง - เมื่อถึงฤดูกาลใหม่ --> เลือกใหม่อีกทุกคราวไป - ว่าที่ผู้ใหญ่บ้าน --> มีอานาจเหมือนผู้ใหญ่บ้านปกติ
92.
"ตามมติคณะรัฐมนตรี 14 พ.ค.
2539" *มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 พฤษภาคม 2539 กาหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้ง หมู่บ้าน ตาบล" 1. ชุมนุมหนาแน่น "หลักเกณฑ์" - หมู่บ้านเดิมคนไม่น้อยกว่า 1,200 คน --> บ้านไม่น้อยกว่า 240 บ้าน - แยกแล้วไม่น้อยกว่า 600 คน --> บ้านไม่น้อยกว่า 120 บ้าน - ต้องได้รับความเห็นชอบจาก กม./สภา อบต./อาเภอ 2. ชุมชนห่างไกล "หลักเกณฑ์" - คนไม่น้อยกว่า 600 คน --> บ้านไม่น้อยกว่า 120 บ้าน - แยกแล้วคนไม่น้อยกว่า 200 คน --> บ้านไม่น้อยกว่า 40 บ้าน - ห่างจากชุมชนเดิม 6 กม. - ต้องได้รับความเห็นชอบจาก กม./สภา อบต./อาเภอ มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 (หมู่บ้าน) หมู่บ้านเดิม หมู่บ้านใหม่ ระยะห่าง ผ่านการรับรอง คน บ้าน คน บ้าน ชุมชนหนาแน่น ไม่น้อย กว่า 1,200 ไม่น้อย กว่า 240 ไม่น้อย กว่า 600 ไม่น้อย กว่า 120 - 1. กม 2.สภา อบต. 3.อาเภอ ชุมชนห่างไกล ไม่น้อย กว่า 600 ไม่น้อย กว่า 120 ไม่น้อย กว่า 200 ไม่น้อย กว่า 40 ไม่น้อยกว่า 6 กม. 1. กม 2.สภา อบต. 3.อาเภอ *ระเบียบการปกครองในหมู่บ้าน* "ผู้ใหญ่บ้าน" 1. 1 หมู่บ้าน --> ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง 2 คน (ผช.ปค.) 2. กรณีมีความจาเป็นต้องการมากกว่า 2 คน --> ขออนุมัติ จากกระทรวงมหาดไทย 3. ผู้ว่าราชการจังหวัด --> เห็นสมควรให้มีผู้ช่วยฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) ผรส.จานวนเท่าใด --> กระทรวงมหาดไทยเห็นสมควร 4. ประกาศ คสช. ฉ.102/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 ผช.ปค. --> มีอานาจตรวจตรารักษาความสงบในหมู่บ้าน เช่นเดียวกับ --> ผรส.
93.
5. ผู้ใหญ่บ้าน -->
เงินเดือน --> แต่ไม่ใช่เงินงบประมาณประเภทเงินเดือน 6. ผช.ปค. และ ผรส. --> ค่าตอบแทน --> ตามที่มหาดไทยกาหนด คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามผู้มีสิทธิ์เลือกผู้ใหญ่บ้าน 1. มีสัญชาติไทย --> คนต่างด้าวที่แปลงสัญชาติแล้วก็สามารถเลือกได้ 2. อายุไม่ต่ากว่า 18 ปีบริบูรณ์ --> ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง 3. ไม่เป็นพระภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช แม่ชี --> เป็นนักบวช อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น --> ไม่เป็นนักบวช 4. คนวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ 5. มีภูมิลาเนา + ถิ่นที่อยู่ + ประจา + มีชื่อในทะเบียนบ้าน + ติดต่อกัน + ไม่น้อยกว่า 3 เดือน --> จนถึงวันเลือก ผู้ใหญ่บ้าน คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน 1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 2. อายุไม่ต่ากว่า 25 ปีบริบูรณ์ --> ในวันรับเลือก 3. มีภูมิลาเนา + ถิ่นที่อยู่ + ประจา + มีชื่อในทะเบียนบ้าน + ติดต่อกัน +ไม่น้อยกว่า 2 ปี --> จนถึงวันเลือก + ประกอบอาชีพเป็นหลักฐาน 4. เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองตามรัฐธรรมนูญด้วยความบริสุทธิ์ใจ 5. ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช แม่ชี --> นักบวช อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น --> ไม่เป็นนักบวช 6. ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ (นอนนิ่งๆ ขยับตัวไม่ได้) วิกลจริต จิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ ติดยาเสพติด หรือเป็นโรค ตามที่รัฐมนตรีมหาดไทย ประกาศกาหนด
94.
7. ไม่เป็นสมาชิกภาครัฐสภา ฯลฯ
ซึ่งมีหน้าที่ประจา (กินเงินเดือนตนเอง) 8. ไม่เป็นผู้ที่มีอิทธิพล หรือเสียชื่อในทางพาล 9. แบน 10 ปี นับแต่วันถูกให้ออก ปลดออก ไล่ออก จากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทุจริตต่อหน้าที่ 10. แบน 10 ปี นับแต่วันพ้นโทษจาคุก โดยคาพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่ โทษสาหรับความผิดที่ได้กระทา โดยประมาณหรือความผิดลหุโทษ 11. ไม่เคยต้องคาพิพากษาถึงที่สุด ว่ากระทาความผิดเกี่ยวกับ ป่าไม้ ศุลกากร อาวุธสงคราม ที่ดินสาธารณประโยชน์ ยาเสพติด เลือกตั้ง พนัน(เจ้ามือ) 12. แบน 10 ปี นับแต่วันถูกให้ออกจากตาแหน่งตามมาตรา 14(6) หรือ (7) นับแต่วันถูกให้ออก 13. แบน 10 ปี --> นับแต่วันที่ถูกลงโทษให้ออก ปลดออก ไล่ออก จากตาแหน่งกานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ตาบล หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน 14. มีความรู้ไม่ต่ากว่าการศึกษาภาคบังคับ เว้นแต่ ไม่มีผู้มีพื้นความรู้ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดย อนุมัติรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ประกาศในราชกิจจา ฯ ยกเว้นหรือผ่อนผันได้ 15. ไม่อยู่ในระหว่างเสียสิทธิ์ กรณี ไม่ไปเลือกตั้งหรือถูกเพิกถอนสิทธิ์ เสียสิทธิ์ กรณีเลือกตั้งระดับชาติ สส./สว.
95.
การเลือกผู้ใหญ่บ้าน --> มี
2 สาเหตุ 1. จัดตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ 2. ผู้ใหญ่บ้าน ในหมู่บ้านว่างลง ** ตาแหน่งว่าง --> เลือกใหม่ --> ภายใน 30 วัน --> นับจากวันที่ผู้ใหญ่บ้านว่าง ** เลือกไม่ทันภายใน 30 วัน --> ผู้ว่าราชการจังหวัดขยายเวลา --> เท่าที่จาเป็น วิธีการเลือก ผู้ใหญ่บ้าน 1. สุจริต + เที่ยงธรรม + วิธีลับ 2. มีคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ ของผู้สมัครรับเลือกผู้ใหญ่บ้าน
96.
3. เลือกได้แล้ว -->
นายอาเภอออกคาสั่งแต่งตั้ง (เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว) --> นายอาเภอรายงานผู้ว่าราชการจังหวัด --> ผู้ว่าราชการจังหวัดออกหนังสือรับรอง (ใบประกาศ) ** คะแนนเท่ากันให้จับฉลาก** 4. มีคนคัดค้าน การพ้นจากตาแหน่ง 1. อายุครบ 60 ปี (ไม่มีคาว่าบริบูรณ์) 2. ขาดคุณสมบัติของผู้ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน เว้นแต่ ผวจ. --> อนุญาตให้ลาบวช 3. ตาย 4. ได้รับอนุญาตจากนายอาเภอให้ลาออก (นับจากวันที่นายอาเภอเซ็นรับทราบ) 5. หมู่บ้านที่ปกครองถูกยุบ 6. ประชาชนที่มีคุณสมบัติเลือกผู้ใหญ่บ้าน+ เข้าชื่อกันมากกว่า ½ ขอให้ออก --> นายอาเภอสั่งให้พ้นจากตาแหน่ง/ นายอาเภอรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทราบโดยเร็ว 7. บกพร่องในหน้าที่ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสม --> นายอาเภอสอบสวนแล้วรายงานผู้ว่าราชการจังหวัด --> ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้พ้น 8. ไปเสียจากหมู่บ้าน + ติดต่อกัน + เกิน 3 เดือน ยกเว้น มีเหตุอันสมควร --> นายอาเภออนุญาต 9. ขาดการประชุมประจาเดือนของกานัน ผู้ใหญ่บ้าน + 3 ครั้งติดต่อกัน + ไม่มีเหตุผลอันสมควร เว้นแต่ มีเหตุจาเป็น 10. ถูกปลดออก ให้ออกหรือไล่ออกจากตาแหน่ง เนื่องจากกระทาความผิดทางวินัยร้ายแรง 11. ไม่ผ่านการประเมิน --> ทาอย่างน้อยทุกๆ 5 ปี นับจากวันที่ได้รับแต่งตั้ง
97.
อานาจหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน 1. ปกครองบรรดาราษฎรในเขตหมู่บ้าน 2. ช่วยเหลือนายอาเภอ
และเป็นหัวหน้าราษฎรในหมู่บ้าน - ควบคุมดูแลราษฎร - ประชุมราษฎรและกรรมการหมู่บ้าน อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง 3. หน้าที่ทางอาญา - ทราบว่ามีการกระทาความผิดหรือสงสัยว่าเกิดในหมู่บ้านใกล้เคียง ต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านนั้นทราบ การรักษาการแทนผู้ใหญ่บ้าน 1. ผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถทางานได้ (อยู่แต่ทาไม่ได้) - ผู้ใหญ่บ้านมอบให้ --> ผช.ปค. --> รักษาการแทน - ผู้ใหญ่บ้าน --> รายงานกานัน - เกิน 15 วัน --> กานันรายงานนายอาเภอ 2. ตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านว่าง ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งตั้ง 1. ผู้ใหญ่บ้านในตาบลนั้น --> รักษาการแทน 2. ประชาชน --> รักษาการ (ถ้าตั้งประชาชนไม่มีคาว่าแทน) “ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน” 1. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง (ผช.ปค.) 2. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) ที่มา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน + กานัน ร่วมกันคัดเลือก --> ประชาชนซึ่งมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับผู้ใหญ่บ้าน กานัน รายงาน นายอาเภอ --> นายอาเภอ ออกหนังสือ เป็น ผช.ปค. และ ผรส. --> นับจากวันที่นายอาเภอ ออกหนังสือ อานาจหน้าที่ 1. พช.ปค. - ช่วยเหลือ ผู้ใหญ่บ้าน เท่าที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่บ้าน - เสนอข้อแนะนา และให้คาปรึกษาต่อผู้ใหญ่บ้าน - ตรวจตราความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้านร่วม ผรส. 2. ผรส. - รักษาความสงบเรียบร้อย - เกิดเหตุการณ์ในหมู่บ้านใกล้เคียง ให้แจ้งผู้ใหญ่บ้านในท้องที่นั้น และรายงานให้ผู้ใหญ่บ้านของตนทราบด้วย
98.
วาระการดารงตาแหน่ง --> 5
ปี การพ้นจากตาแหน่ง 1. ออกตามวาระ 5 ปี 2. ขาดคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้าน 3. ออกจากตาแหน่งตามผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน วันกรรมการหมู่บ้าน --> 6 มี.ค. ของทุกปี กฎหมายหลักที่ออกระเบียบ --> ม.28 ตรี องค์ประกอบ 1. กรรมการโดยตาแหน่ง 2. กรรมการทรงคุณวุฒิ 1) กรรมการโดยตาแหน่ง - ผู้ใหญ่บ้าน - ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน - ส.อปท ที่มีภูมิลาเนาอยู่ในหมู่บ้าน (ส.อบต. + สท. + ส.อบจ) - ผู้นาหรือผู้แทนกลุ่ม หรือองค์กรในหมู่บ้าน
99.
** คกก.ตรวจสอบกลุ่ม -->
จานวนไม่น้อยกว่า 5 คน ไม่เกิน 7 คน 2) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การพ้นจากตาแหน่งกรรมการหมู่บ้าน “โดยตาแหน่ง” 1. ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ้นจากตาแหน่ง 2. ผู้นาหรือผู้แทนกลุ่มสิ้นสุด เมื่อมีการเลือกผู้นาหรือผู้แทนใหม่ 3. ตาย 4. ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้าน 5. นายอาเภอประกาศให้กลุ่มสิ้นสุดสภาพ
100.
กรณี กลุ่มถูกยุบ หรือไม่มีการดาเนินกิจกรรม
ต่อเนื่องเกิน 1 ปี --> ถือว่าสิ้นสภาพ เงื่อนไขเวลาที่ต้องเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 1. ตาแหน่งว่าง --> เลือกภายใน 30 วัน นับวันครบวาระหรือว่าง 2. ว่างน้อยกว่า 2 คน --> นายอาเภอจัดให้มีการเลือก --> อยู่ในตาแหน่งเท่าวาระที่เหลือ วิธีการเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 1. ผู้ใหญ่บ้าน + ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน --> คนเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 2. กระทาโดยวิธีลับ หรือเปิดเผยก็ได้ 3. เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ --> วันที่นายอาเภอออกหนังสือ 4. คะแนนเสียงเท่ากันหลายคน และจานวนเกิน --> ให้จับฉลาก คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เหมือนกับผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้าน วาระการดารงตาแหน่ง/พ้นจากตาแหน่ง คราวละ 4 ปี --> นับจากวันที่นายอาเภอแต่งตั้ง นอกจากออกตามวาระแล้ว - ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้าน - ตาย - ได้รับอนุญาตจากนายอาเภอให้ลาออก - นายอาเภอสั่งให้ออก เมื่อสอบสวนพบว่ามีความประพฤติเสื่อมเสีย และก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยแก่ หมู่บ้านได้ โครงสร้างของกม. 1. รองประธาน 2 คน. - รองโดยตาแหน่ง - รองผู้ทรงคุณวุฒิ 2. ประธาน เลือก เลขานุการ --> งานธุรการ,การประชุม 3. คณะกรรมการ เลือก เหรัญญิก --> การเงิน 4. การพ้นจากตาแหน่งต่างๆ
101.
รองประธานกรรมการและเหรัญญิก 1. พ้นจากการเป็นกรรมการ 2. ได้รับอนุญาตจากนายอาเภอให้ลาออก 3.
คณะกรรมการมีมติให้ลาออก ด้วยคะแนนเกินครึ่ง ของคณะกรรมการทั้งหมด และโดนแบน 5 ปี นับจากวันที่พ้น เลขานุการ 1. ประธานให้ออก 2. ประธานพ้นจากตาแหน่ง 3. เหตุผลเดียวกับการพ้นของรองประธาน และเหรัญญิก คณะทางานของกม. 1. ด้านอานวยการ ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าคณะทางานด้านต่างๆ เลขานุการ เหรัญญิก 2. ด้านการปกครอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน --> หัวหน้าคณะทางาน 3. ด้านแผนพัฒนาหมู่บ้าน 4. ด้านส่งเสริมเศรษฐกิจ 5. สังคม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข(สสส.) 6. การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม 7. ด้านอื่นๆ *แต่ละด้านต้องมีคนอย่างน้อยด้านละ 3 คน *กรรมการคนหนึ่งทางานได้หลายด้าน ที่ปรึกษากม. 1. ปอ.หน.ตาบล 2. กานัน นายกเทศมนตรีตาบล นายกองค์การบริหารส่วนตาบล 3. นายอาเภอแต่งตั้งข้าราชการที่ปฏิบัติงานในตาบล หรือหมู่บ้านนั้น หรือบุคคลอื่นใดที่กรรมการเห็นสมควร เพิ่มก็ได้ การบริหารการเงินในหมู่บ้าน กองทุนกลางพัฒนาหมู่บ้าน --> โดยความเห็นชอบของนายอาเภอ
102.
กองทุนกลางพัฒนาหมู่บ้าน มีรายได้จาก 1. กลุ่มหรือองค์กรในหมู่บ้านให้ 2.
ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อุดหนุน 3. มีผู้บริจาคให้ 4. จัดกิจกรรมของหมู่บ้าน เช่น ทอดผ้าป่า การประชุมกม. 1. อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง --> ภายใน 7 วันหลังจากการประชุมกานัน ผู้ใหญ่บ้าน ประจาเดือน 2. ราษฎรในหมู่บ้านที่มีสิทธิเลือกผู้ใหญ่บ้าน จานวนไม่น้อยกว่า 10 คน ยื่นหนังสือเสนอความเห็นในเรื่องที่ เกี่ยวกับกิจกรรมหรือประโยชน์สาธารณะของหมู่บ้านต่อคณะกรรมการได้ ให้คณะกรรมการบรรจุเรื่องดังกล่าว เข้าที่ประชุมพิจารณา *ค่าใช้จ่ายในการประชุม --> จ่ายเป็นเงินอุดหนุน ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของ กระทรวงการคลัง การควบคุมดูแล นายอาเภอ --> ควบคุมดูแล ปลัดอาเภอ --> ช่วยเหลือนายอาเภอ อานาจหน้าที่ของกรรมการหมู่บ้าน “ตามพรบ.ปกครองท้องที่” 1. ช่วยเหลือ แนะนาและให้คาปรึกษาแก่ผู้ใหญ่บ้าน 2. เป็นองค์กรหลักที่รับผิดชอบในการบูรณาการจัดทาแผนหมู่บ้าน 3. บริหารจัดการกิจกรรมที่ดาเนินงานในหมู่บ้าน ร่วมกับองค์กรอื่นทุกภาคส่วน “ตามกฎหมายอื่น” 1. ประนีประนอมคดีแพ่งทุกประเภท 2. ประนีประนอมคดีอาญา ในความผิดที่ยอมความกันได้ 3. คู่กรณี 2 ฝ่ายให้กรรมการหมู่บ้านประนีประนอมข้อพิพาท 4. คู่กรณีของผู้พิพาทฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดต้องมีภูมิลาเนาในหมู่บ้าน
103.
“ตาบล” การจัดตั้งตาบล “ตามพรบ.” “หลักเกณฑ์” 1. หมู่บ้านราว 20
หมู่บ้าน 2. ทาเครื่องหมายหลักเขต โดยถือเอาแนวลาห้วย ลาคลอง บึง บาง หรือสิ่งใดเป็นสาคัญ เป็นภูเขา 3. ถ้าไม่มีหมายเขต ให้มีการปักหมายเขตไว้ทุกด้าน การจัดตั้งตาบล “ตามมติคณะรัฐมนตรี 14 พฤษภาคม 2539” “หลักเกณฑ์” มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 (ตาบล) ประชากร หมู่บ้าน ระยะห่าง ผ่านการรับรอง ชุมชนหนาแน่น ไม่น้อยกว่า 4,800 ไม่น้อยกว่า 8 - 1.สภาอบต. 2.อาเภอ ชุมชนห่างไกล ไม่น้อยกว่า 3,600 ไม่น้อยกว่า 6 ไม่น้อยกว่า 6 กม. 1.สภาอบต. 2.อาเภอ ขั้นตอน การจัดตั้งตาบล 1. ผู้ว่าราชการจังหวัด --> กาหนดเขตตาบล 2. จัดทาประกาศมหาดไทย 3. ปลัดมหาดไทย --> ลงนามในประกาศ *ตั้งตาบล = ประกาศมหาดไทย* ระเบียบการปกครองในตาบล กานัน --> แพทย์ประจาตาบล --> สารวัตรกานัน --> สารวัตรกานัน
104.
“กานัน” ที่มา * ผู้ใหญ่ในตาบล +
คัดเลือกกันเอง --> กานัน * กานัน รับเงินเดือนเหมือนผู้ใหญ่บ้าน แต่ไม่ใช่เงินงบประมาณประเภทเงินเดือน การเลือกกานัน --> ใช้การคัดเลือก เลือกกานัน --> ยังไม่ได้เลือกกานัน --> ตาแหน่งกานันว่าง 1. ยังไม่ได้เลือกกานัน 2. ตาแหน่งกานันว่างลง กานันว่างลง --> เลือกใหม่ --> ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่นายอาเภอได้ทราบการว่างนั้น เลือกไม่ทัน ภายใน 45 วัน --> ผู้ว่าราชการจังหวัดขยายเวลา --> เท่าที่จาเป็น
105.
การพ้นจากตาแหน่งกานัน 1. ออกจากผู้ใหญ่บ้าน 2. ได้รับอนุญาตจากนายอาเภอให้ลาออก 3.
ตาบลที่ปกครองถูกยุบ 4. ข้าหลวงประจาจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด) สั่งให้ออก เพราะบกพร่องในความประพฤติหรือความสามารถไม่ พอแก่ตาแหน่ง 5. ถูกปลดออกหรือไล่ออกจากตาแหน่ง * 2-4 --> ไม่ต้องออกจากตาแหน่ง “ผู้ใหญ่บ้าน” การรักษาการ และทาการแทน มีแต่ทาหน้าที่ไม่ได้ --> กานันมอบให้ผู้ใหญ่บ้านในตาบล --> ทาการแทน ไม่มีกานัน --> ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง ประชาชน/ผู้ใหญ่บ้านในตาบล --> รักษาการกานัน อานาจหน้าที่ของกานัน - ร่วมมือ และช่วยเหลือนายอาเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์อื่นในตาบล “แพทย์ประจาตาบล” การแต่งตั้ง กานันประชุมกับผู้ใหญ่บ้าน --> เลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติ --> นายอาเภอเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด --> ผู้ว่าราชการ จังหวัดแต่งตั้ง คุณสมบัติ 1. มีสัญชาติไทย 2. มีความรู้ในวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแผนโบราณ (อสม.บุคคลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรทหารเสนารักษ์ บุคคลที่เคยเป็นทหารเสนารักษ์ หรือผู้ที่สาเร็จวิชาพยาบาลผู้ช่วย หรือจ่าพยาบาล) 3. มีถิ่นที่อยู่ในตาบลนั้น (เว้นแต่ ผู้เป็นแพทย์ตาบลใกล้เคียงอยู่แล้ว และยอมทาการ 2 ตาบล ผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นสมควรแต่งตั้งได้ การพ้นจากตาแหน่ง ออกจากตาแหน่งเหมือนกับ กานัน ยกเว้น กานันออกจากตาแหน่งด้วยเหตุผลเฉพาะตัว แพทย์ประจาตาบลไม่ ต้องออกด้วย อานาจหน้าที่ ช่วยเหลือกานัน ผู้ใหญ่บ้าน คิดอ่าน และรักษาความสงบเรียบร้อยในตาบล
106.
“สารวัตรกานัน” สารวัตรกานัน --> ผู้ช่วยกานัน -->
รับใช้สอยกานัน * 1 ตาบลมีสารวัตรกานัน 2 คน การแต่งตั้ง 1. กานันเลือก 2. จานวน 2 คน 3. ทาหน้าที่เป็นผู้ช่วย + รับใช้สอย 4. ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด 5. กานันมีอานาจเปลี่ยนแปลงสารวัตรกานัน “คณะกรรมการตาบล” *วาระการดารงตาแหน่ง --> 5 ปี
107.
การออกจากตาแหน่ง 1. ตามวาระ 2. ออกจากตาแหน่ง
ครูประชาบาล และกรรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตาแหน่งว่าง --> เลือกภายใน 60 วัน นับแต่ตาแหน่งว่าง การประชุม --> อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง การประชุมกานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจาตาบล และกรรมการหมู่บ้าน 1. ระดับตาบล กานัน --> เรียกประชุมผู้ใหญ่บ้าน + แพทย์ประจาตาบล --> ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง 2. ระดับหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมกรรมการหมู่บ้าน - ตามที่เห็นสมควร - กรรมการหมู่บ้านไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งร้องขอ - 1 ปี --> ประชุมไม่น้อยกว่า 6 ครั้ง โทษทางวินัยของกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล กานัน/ผู้ใหญ่บ้าน/แพทย์ประจาตาบล --> ระเบียบบริหารราชการพลเรือน โดยอนุโลม โทษทางวินัย 1. ภาคทัณฑ์ 2. ตัดเงินเดือน 3. ลดเงินเดือน 4. ปลดออก 5. ไล่ออก การลงโทษทางวินัย 1. กานัน --> ภาคทัณฑ์ ผู้ใหญ่บ้าน 2. นายอาเภอ --> ลงโทษ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจาตาบล - ภาคทัณฑ์ - ตัดเงินเดือน เทียบ หัวหน้าแผนก = เสมียนตรา - ลดเงินเดือน ไม่เกิน 1 อันดับ 3. ผู้ว่าราชการจังหวัด - ทุกสถาน - ลด หรือตัด เทียบ หัวหน้ากอง = เสมียนตรา 4. โทษนามาใช้กับ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย
108.
* กานัน -->
ไม่มีอานาจลงโทษ “แพทย์ประจาตาบล” *วินัย และโทษทางวินัยของกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล --> ใช้กับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย *วินัย และโทษทางวินัย --> ไม่ใช้กับสารวัตรกานัน การร้องทุกข์ 1. กานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล ถูกลงโทษ ปลดออก หรือไล่ออก + เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม --> ร้องทุกข์ --> กระทรวงมหาดไทย 2. คาร้อง + ลงลายมือชื่อ --> ยื่นต่อนายอาเภอภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับคาสั่ง --> นายอาเภอเสนอ ผวจ. และเสนอ ก.มท ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับคาร้องทุกข์ คาสั่งพักหน้าที่ระหว่างดาเนินการทางวินัย 1. เมื่อกานันและผู้ใหญ่บ้าน ถูกฟ้องในคดีอาญา ยกเว้น ลหุโทษ หรือประมาณ หรือกระทาความผิดร้ายแรง ถูกสอบสวน เพื่อไล่ออกหรือปลดออก 2. นายอาเภอเห็นว่าถ้าอยู่ในตาแหน่งจะเสียหายแก่ราชการ จะสั่งพักหรือไม่พักก็ได้ --> รายงานผู้ว่าราชการ จังหวัดทราบ 3. ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่ง - กลับเข้ารับหน้าที่ - จ่ายเงินเดือนหรือไม่จ่ายเงินเดือนระหว่างพักก็ได้ *ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจไม่จ่ายเงินเดือนระหว่างพักก็ได้ *นายอาเภอสั่ง --> พักหรือไม่พักหน้าที่ *นายอาเภอไม่มีอานาจสั่งพักหน้าที่ --> แพทย์ประจาตาบล ข้อสังเกต 1. วินัยและโทษทางวินัยของกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล --> ไม่บังคับใช้กับสารวัตรกานัน 2. วินัยและโทษทางวินัยของกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล --> ใช้กับ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3. นายอาเภอ --> สั่งพักหน้าที่กานัน ผู้ใหญ่บ้าน แต่ไม่มีอานาจสั่งพักแพทย์ประจาตาบล 4. นายอาเภอ --> อาจไม่สั่งพักหน้าที่ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อถูกฟ้องในคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทาความผิด ร้ายแรงจนถูกสอบสวนเพื่อปลดออก หรือไล่ออก 5. การโต้แย้งคาสั่งลงโทษทางวินัย --> ใช้คาว่า “ร้องทุกข์” แทนคาว่า อุทธรณ์ 6. ร้องทุกข์ ได้เฉพาะคาสั่งปลดออกหรือไล่ออกเท่านั้น
109.
“อาเภอ” อาเภอ --> ไม่เป็นนิติบุคคล จังหวัด
--> เป็นนิติบุคคล การจัดตั้งอาเภอ “ตามพรบ.” หลักเกณฑ์ 1. กาหนดท้องที่ทุกด้าน อย่าให้มีที่ว่างเปล่า 2. กาหนดตาบลที่รวมเข้าเป็นอาเภอ 3. กาหนดที่ตั้งที่ว่าการอาเภอ ขั้นตอน 1. ปลัดกระทรวงหมาดไทย กาหนดเขต 2. ตราเป็น “พระราชกฤษฎีกา” การจัดตั้งอาเภอ “ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547” หลักเกณฑ์ 1. เป็นกิ่งอาเภอมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 2. ราษฎรไม่น้อยกว่า 35,000 คน 3. ได้รับความเห็นชอบจาก - ที่ประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัด - ที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจาจังหวัด หลักเกณฑ์การตั้งอาเภอตามมติคณะรัฐมนตรี 2 พฤศจิกายน 2547 คน เคยเป็นกิ่งอาเภอ ระยะห่าง ผ่านการรับรอง 35,000 5 ปี - 1.อบจ 2.หน.ส่วนจังหวัด กรมการอาเภอ *ข้าราชการในอาเภอ --> นายอาเภออนุญาตให้ลาได้ไม่เกินครั้งละ 15 วัน
110.
หน้าที่ 1. นายอาเภอมีหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการดูแลรักษา
และคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็น สาธารณสมบัติที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และสิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์ อันอยู่ในเขตอาเภอ 2. นายอาเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่มีอานาจใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ที่ดินสาธารณสมบัติ เว้นแต่ จะได้รับความเห็นชอบจาก ผู้ว่าราชการจังหวัด และปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน และกฎหมายอื่นที่ เกี่ยวข้อง 3. กรณีข้อพิพาทหรือคดีเกี่ยวกับที่ดิน ตามวรรค 1 นายอาเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกัน ดาเนินการหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ดาเนินการ 4. ค่าใช้จ่ายในข้อพิพาทหรือคดี และดูแลที่ดิน --> จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปลัดอาเภอประจาตาบล - ปลัดอาเภอ 1 คน สามารถเป็นปลัดอาเภอประจาตาบลได้หลายตาบล - ปลัดอาเภอ --> รับผิดชอบในกิจกรรมเฉพาะตาบลที่ตัวเองรับผิดชอบ - ปลัดอาเภอ --> บัญชาเหนือกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล ของตนเอง “กิ่งอาเภอ” การจัดตั้ง “ตามพรบ.” พื้นที่กว้าง + คนน้อย --> กิ่งอาเภอ พื้นที่ห่างไกล + คนมาก -->กิ่งอาเภอ การจัดตั้ง “ตามมติคณะรัฐมนตรี 2 พฤศจิกายน 2547” หลักเกณฑ์ 1. ราษฎรไม่น้อยกว่า 25,000 คน 2. มี 4 ตาบลขึ้นไป 3. ที่ว่าการกิ่งอาเภอเดิมห่างจากที่ว่าการกิ่งอาเภอใหม่ มีระยะไม่น้อยกว่า 20 กิโลเมตร 4. ต้องได้รับความเห็นขอบจาก สภาองค์การบริหารส่วนตาบล ที่ประชุมหัวหน้าส่วนประจาอาเภอ หัวหน้าส่วน ประจาจังหวัด หลักเกณฑ์การตั้งกิ่งอาเภอตามมติคณะรัฐมนตรี 2 พฤศจิกายน 2547 คน ตาบล ระยะห่าง ผ่านการรับรอง 25,000 4 20 กม. 1.สภา อบต. 2.หน.ส่วนอาเภอ 3.หน.ส่วนจังหวัด
111.
รักษาการแทน มีคน ไม่มีคน ผญบ. ผช.ปค "รักษาการแทน" ผวจ. 1.
แต่งตั้ง ผญ.ในตาบล "รักษาการแทน" 2. แต่งตั้งประชาชน "รักษาการ" * *ปชช ไม่มีคาว่าแทน** กานัน ผญบ. ในตาบล "ทาการแทน" ผวจ. 1. แต่งตั้ง ผญ.ในตาบล "รักษาการ" 2. แต่งตั้งประชาชน "รักษาการ" * *ไม่มีคาว่าแทน**
112.
ระเบียบมหาดไทยว่าด้วยการเลือก ผญบ. 2551 นิยาม “หน่วยเลือกผญบ.”
--> ท้องที่ + ที่ทำกำรเลือก ผญบ. “ที่เลือก ผญบ.” --> สถำนที่ + ที่ทำกำรลงคะแนน + บริเวณโดยรอบ --> ที่เลือก ผญบ. การปฏิบัติหน้าที่ --> นอ. มอบอำนำจให้ปฏิบัติหน้ำที่แทนได้ กำรเลือก ผญบ. ต้องสุจริตและเที่ยงธรรม ดังนี้ 1. นับตั้งแต่ที่ นอ. ประกำศให้มีกำรเลือก ผญบ. จนถึงวันเลือก ห้ำม มิให้กระทำกำรอย่ำงหนึ่งอย่ำง ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนน หรืองดเว้นกำรลงคะแทนให้แก่ผู้สมัคร ด้วยวิธีกำรดังนี้ - จัดทำ เสนอให้ สัญญำว่ำจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน/ผลประโยชน์ อันคำนวณเป็น เงินได้ - ให้ เสนอให้ สัญญำว่ำจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ทั้งทำงตรง และทำงอ้อม แก่ชุมชน สมำคม มูลนิธิ วัด มัสยิด ฯลฯ - จัดมหรสพ/งำนรื่นเริง รวมทั้งกำรแสดงและกำรละเล่นต่ำงๆ - เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด กำรประชุม อบรม สัมมนำ ทัศนศึกษำ หรือดูงำน - หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคำม ใส่ร้ำยด้วยควำมเท็จ หรือจูงใจให้ผู้ใดเข้ำใจผิดใน คะแนนนิยม ของผู้สมัครรำยอื่น 2. ในวันเลือก ผญบ. ห้ำมมีกำรโฆษณำหำเสียง ไม่ว่ำจะเป็นคุณ หรือเป็นโทษ แก่ผู้สมัครคนใด จน สิ้นสุดกำรลงคะแนน 3. นับแต่วันที่ นอ. ประกำศให้มีกำรเลือก ผญบ. จนสิ้นสุดกำรลงคะแนน --> จนท. ผู้รับผิดชอบ ต้องวำงตัวเป็นกลำงโดยเคร่งครัด ห้ำม ช่วยเหลือ/สนับสนุนคนใดคนหนึ่ง 4. นับแต่วันที่ นอ. ประกำศให้มีกำรเลือก ผญบ. จนสิ้นสุดกำรลงคะแนน --> ห้ำม จนท.ผู้ใดใช้ ตำแหน่งโดยมิชอบ ด้วยกฎหมำยกระทำกำรใดๆ --> เพื่อให้เกิดควำมได้เปรียบหรือเสียเปรียบแก่ผู้สมัคร *นอ. --> กำหนดสถานที่ปิดประกาศ สำหรับติดแผ่นป้ ำยเกี่ยวกับกำรเลือก ผญบ. ภำยในหมู่บ้ำนที่มีกำร เลือก ผญบ. เช่น ศำลำกลำงบ้ำน *ห้ำม ผู้สมัคร/ผู้มีสิทธิเลือก --> ซื้อ/เช่ำเวลำเพื่อทำกำรโฆษณำหำเสียง ในรำยกำรวิทยุ โทรทัศน์ *กำรหำเสียงทำงวิทยุ/หอกระจำยข่ำว --> ทำงกำรอำจจัดให้มีขึ้นได้ --> แต่ต้องเท่ำเทียมกันของผู้สมัครทุก คน
113.
วันที่ตาแหน่ง ผญบ.ว่าง 1. วันที่อำยุครบ
60 ปีบริบูรณ์ 2. วันที่มีคำสั่งให้พ้นจำกตำแหน่ง 3. วันที่ ผญบ.ตาย หรือ นอ.ทราบการตาย แล้วแต่กรณี 4. วันที่คำสั่งอนุญำตให้ลำออกได้ระบุไว้ การดาเนินการเบื้องต้น การดาเนินการของอาเภอ 1. ประกำศกำหนดให้มีกำรเลือก ผญบ. ปิดประกาศภายใน 3 วัน นับแต่ - ตาแหน่ง ผญบ.ว่างลง - มีการตั้งหมู่บ้านใหม่ ประชุมราษฎร ภายใน 7 วัน นับแต่วันว่าง ระยะเวลาการรับสมัคร - หลังการประชุมราษฎร - ภายใน 10 วัน นับแต่วันว่าง - ระยะเวลาในการรับสมัครต้องไม่น้อยกว่า 3 วัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) กาหนดวันเลือก ไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันว่าง ระยะเวลาลงคะแนน (08.00-15.00 น.) เพิ่ม – ถอนชื่อ ภายใน 3 วัน ก่อนวันเลือกจริง
114.
*แบบที่ใช้ในกำรเลือก ผญบ. -->
ปิดประกำศ ณ ที่ว่ำกำรอำเภอที่เลือก ผญบ. สถำนที่ที่ นอ.กำหนด - สำรองแบบต่ำงๆ อย่ำงละ 1 ชุด --> ให้ คกก. นำไปใช้/ ปิด ณ ที่เลือก - บัญชีรำยชื่อผู้มีสิทธิเลือก ผญบ. (ผญ.2) --> สำรองไว้2 ชุด ที่เลือก ผญบ. 1. ที่เลือก - นอ.กำหนดสถำนที่สำธำรณะ + เข้ำออกได้ง่ำย + สะดวกเหมำะสม และไม่เป็นกำรได้เปรียบ/เสียเปรียบ แก่ผู้สมัครคนใด - อยู่ในเขตท้องที่ของหมู่บ้ำนนั้น - นอ.กำหนดสถำนที่เลือกเพิ่มได้ตำมควำมเหมำะสม 2. คูหาลงคะแนน --> อย่างน้อย 3 คูหา 3. กรณีเปลี่ยนแปลงที่เลือก --> กระทำก่อนวันเลือกไม่น้อยกว่า 10 วัน เว้นแต่ กรณีสุดวิสัย ไม่อำจหลีกเลี่ยง ได้เช่น ควำมไม่สงบเรียบร้อย --> สำมำรถเปลี่ยนวันเลือกก่อนวันเลือกน้อยกว่ำ 10 วันได้ แผนภาพขั้นตอนการเลือก ผญบ. (รวมระยะเวลา 30 วัน) ประชุมราษฎรภายใน 7 วัน รับสมัครไม่น้อยกว่า 3 วัน รวม 10 วัน วันเลือก ไม่เกิน 30 วัน ว่าง เพิ่ม – ถอนชื่อ ภายใน 3 วัน ก่อนวันเลือกจริง
115.
คกก.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครเป็น ผญบ. -->
นอ.แต่งตั้ง 1. จนท.ของรัฐ --> ไม่เกิน 3 คน 2. ตัวแทนรำษฎร ผู้มีสิทธิเลือก ผญบ. เป็นที่ยอมรับนับถือ --> 4 – 7 คน *รวมกันแล้วไม่น้อยกว่ำ 5 คน แต่ไม่เกิน 10 คน *จนท.ของรัฐ ปอ. 1 คน --> เป็นกรรมกำรและเลขำ คกก. ขรก.ที่ทางานอยู่ในอาเภอนั้น ไม่เกิน 2 คน ***ปอ. เป็นประธำนไม่ได้*** คกก.เลือกผญบ. --> จำนวน 11 คน ** นอ. --> แต่งตั้ง ประธาน 1 คน ประธาน --> เลือก ขรก./พนง.ท้องถิ่น 9 คน --> เลือก กานัน/ผญบ. 1 คน “พ้นจากตาแหน่งเมื่อ” 1. รำยงำนผลกำรนับคะแนน ผญบ. 2. ส่งมองหีบบัตร และอุปกรณ์ต่ำงๆ ที่ใช้ในกำรเลือกตั้ง --> ให้แก่ นอ.เรียบร้อยแล้ว *ในวันเลือก --> เมื่อถึงเวลำเปิดลงคะแนน --> มีกรรมกำรมำไม่ถึงกึ่งหนึ่ง --> ให้คกก.เลือกที่อยู่ในขณะนั้น --> แต่งตั้งผู้มีสิทธิเลือก ผญบ. เป็นกรรมกำรแทน --> โดยให้มีจำนวนไม่น้อยกว่ำกึ่งหนึ่งของจำนวนที่ นอ. แต่งตั้งไว้--> บันทึกเหตุกำรณ์ไว้ในแบบ ผญ.11 ประธาน ขรก./ พนักงานส่วนท้องถิ่น(ในอาเภอนั้น) จานวน 9 คน กานัน/ผญบ. (ในตาบลนั้น) 1 คน
116.
จนท.รักษาความสงบเรียบร้อย อานาจหน้าที่ 1. ช่วยเหลือในกำรดูแลรักษำหีบบัตร บัตรเลือก
บัญชีรำยชื่อ ผู้มีสิทธิเลือก แบบพิมพ์และอุปกรณ์ต่ำงๆ ใน กำรเลือก 2. รักษำควำมปลอดภัย และควำมสงบเรียบร้อยบริเวณที่เลือก 3. สนับสนุนปฏิบัติหน้ำที่ ของ นอ./ประธำนกำรเลือก และ คกก.เลือก *พ้นจำกตำแหน่งเมื่อ --> คกก.ส่งมอบหีบบัตรและอุปกรณ์ต่ำงๆ ให้กับ นอ. เรียบร้อยแล้ว ผู้สังเกตการณ์ 1. ผู้ต้องกำรส่งตัวแทนไปอยู่ ณ สถำนที่เลือก เพื่อสังเกตกำรณ์ --> ยื่นหนังสือแต่งตั้งตัวแทน ได้แห่งละ 1 คน --> ต่อ นอ. --> ก่อนวันเลือก และแจ้ง คกก.เลือกให้ทรำบ 2. ตัวแทน --> ห้ำมกระทำกำรอันเป็นอุปสรรคแก่กำรเลือก ผญบ. 3. ตัวแทน --> อำจทักท้วง เมื่อเห็นว่ำ คกก.ปฏิบัติไม่ถูกตำมระเบียบ 4. ตัวแทนกระทำกำรอันเป็นอุปสรรคต่อกำรเลือก --> ถ้ำกรรมกำรตักเตือน แล้วยังขัดขืน --> ให้กรรมกำร สั่งให้ตัวแทนออกไปจำกที่เลือก --> ให้ จนท.รักษำควำมสงบเรียบร้อย เป็นผู้ดำเนินกำร นอ. --> จัดทำบัญชีรำยชื่อผู้มีสิทธิเลือกและปิดประกำศ --> อย่ำงช้ำในวันประชุมรำษฎร นอ. แต่งตั้ง จนท.รักษาความสงบเรียบร้อย ไม่น้อยกว่า 2 คน แต่งตั้งจาก พนักงานฝ่ายปกครอง หรือ ตารวจหรือ อส.
117.
การสมัครรับเลือก 1. วิธีสมัคร -->
ยื่นใบสมัครด้วยตนเอง --> ต่อ นอ. ณ ที่ทาการปกครองอาเภอ 2. ให้หมำยเลขประจำตัวผู้สมัคร - มำแสดงตนก่อน เวลำ 08.30 น. --> ถือว่ำมำพร้อมกัน - กรณีมำพร้อมกันหลำยคน นอ.ประชุมผู้สมัคร + ตกลงกันไม่ได้--> ให้จับสลำก 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 นอ.เป็นผู้จับสลำก --> ชื่อใครถูกจับขึ้นมำเป็นคนแรก ถือว่ำมีสิทธิในกำรจับสลำกครั้งที่ 2 ก่อน แล้วไล่ไปจนเสร็จ ครั้งที่ 2 นอ.เขียนหมำยเลขเท่ำกับจำนวนผู้สมัคร --> ผู้สมัครที่มีลำดับตำมกำรจับครั้งที่ 1 ทำกำรจับ สลำกเลือกเบอร์ 3. ผู้สมัครคนเดียว --> ถือว่ำคนนั้นได้รับเลือกเป็น ผญบ. --> นอ.ประกำศผล วิธีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ตรวจให้เสร็จและส่งให้ นอ. --> ภำยใน 5 วันนับแต่วันได้รับใบสมัคร พร้อมเอกสำรที่เกี่ยวข้อง บัตรเลือก --> มีตรำประจำตำแหน่ง นอ.ท้องที่ ประทับที่ข้อควำมคำว่ำ “บัตรเลือก ผญบ.” วิธีการเลือก *7.30 น. --> คกก.เปิดหีบ เพื่อตรวจสอบและนับจำนวนบัตรเลือกทั้งหมด การลงคะแนน 1. เปิดกำรลงคะแนนตั้งแต่ 08.00 – 15.00 น. 2. ผู้ลงคะแนนต้องแสดง บัตรประชำชน/บัตรประชำชนที่หมดอำยุ/บัตร/หลักฐำนอื่นของทำงรำชกำร --> ที่ มีรูปถ่ำย + มีเลขประจำตัวประชำชน 3. ในวันเลือก ถ้ำยังไม่ได้เปิดให้มีกำรลงคะแนน / เปิดให้ลงคะแนน แต่ไม่สำมำรถทำกำรเลือกได้ให้คกก. ดำเนินกำรดังนี้ 1. ประกำศงดลงคะแนน 2. เก็บรักษำบัตร หีบบัตร และอุปกรณ์ต่ำงๆ ในกำรเลือกไว้ในที่ปลอดภัย 3. รำยงำน นอ. --> เพื่อรำยงำนให้ ผวจ. ทรำบโดยด่วน 4. บันทึกเหตุกำรณ์ ไว้ในแบบ ผญ.11 4. มีคนมำแสดงตนว่ำมีสิทธิเลือก --> ไม่พบชื่อ --> ให้แจ้งว่ำ “ไม่มีสิทธิลงคะแนน” และห้ำมกรรมกำรเพิ่ม ชื่อโดยพลกำร --> ถึงแม้จะทรำบว่ำผู้นั้นมีสิทธิเลือกก็ตำม
118.
กรณี อ้ำงว่ำได้ยื่นคำร้องต่อ นอ.
และนอ.สั่งให้เพิ่มชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิแล้ว --> แต่ยังไม่ได้เพิ่มชื่อ --> คกก.ตรวจสอบหลักฐำน และวินิจฉัยขำดว่ำจะให้ลงคะแนนหรือไม่ --> บันทึกเหตุกำรณ์และคำวินิจฉัยไว้ ในแบบ ผญ.11 + แนบบันทึกถ้อยคำของผู้แสดงตนไว้ด้วย 5. ในระหว่ำงกำรลงคะแนน 5.1 ถ้ำกรรมกำรจะออกไปจำกที่เลือก --> ประธำนเลือกอนุญำต --> ไปครำวละไม่เกิน 1 คน 5.2 ผู้ใดจะเข้ำไปในที่เลือกไม่ได้ยกเว้น ผู้มีหน้ำที่และคนที่เลือก 5.3 ผวจ. นอ. และผู้ที่ได้รับมอบหมำย จำก ผวจ./นอ. --> มีสิทธิเข้ำไปในที่เลือก --> เพื่อสอดส่องดูแล/ แนะนำกำรปฏิบัติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การดาเนินการหลังปิดการลงคะแนน เมื่อปิดกำรลงคะแนนแล้ว --> คกก.เลือก --> นำบัตรมำนับแล้วเจำะรูบัตรเลือกทั้งปกหน้ำและปกหลัง (เฉพำะเล่มที่ใช้) เพื่อไม่ให้นำเอำมำใช้ลงคะแนนได้อีก --> เล่มที่เหลือ และยังไม่ได้ใช้ --> นำส่งคืน เพื่อใช้ ในกำรเลือก ผญบ.ครั้งต่อไป การนับคะแนน 1. นับ ณ ที่ทำกำรเลือก ผญบ. --> นับโดยเปิดเผย ต่อเนื่องจนแล้วเสร็จ ห้ำม ห้ำมเลื่อน 2. บัตรที่ถือว่ำเป็นบัตรเสีย 3. ระหว่ำงนับคะแนน --> ถ้ำผู้สังเกตกำรณ์/ผู้มีสิทธิเลือก --> เห็นว่ำกำรนับคะแนนไม่ถูกต้อง ให้ทำกำร ทักท้วงโดยสุภำพ --> ไม่กล่ำวโต้ตอบกับกรรมกำร 4. เมื่อนับคะแนนเสร็จ --> กรรมกำรนับจำนวน บัตรดี บัตรดีที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน บัตรเสีย ว่ำตรงกับจำนวนผู้มำแสดงตนใช้สิทธิหรือไม่ โดย 4.1 หำกถูกต้อง คกก. ลงชื่อในใบกรอกคะแนน และประกำศผลกำรนับคะแนน --> ปิดไว้ณ ที่ เลือก ผญบ. --> แล้วรำยงำนผลกำรนับคะแนนต่อ นอ. 4.2 ถ้ำจำนวนไม่ตรงกับบัตร --> ให้กรรมกำรนับคะแนนใหม่โดยพลัน --> ถ้ำผลคะแนนไม่ตรงอีก --> คกก.รำยงำน นอ. เพื่อจัดให้มีกำรลงคะแนนใหม่ 4.3 ถ้ำผลกำรนับคะแนนไม่ตรงกับผู้มำใช้สิทธิลงคะแนน --> แต่ไม่ทำให้ผลกำรเลือกเปลี่ยนแปลง ไป --> ไม่ต้องจัดให้มีกำรลงคะแนนใหม่ 5. กรรมกำรเก็บเอกสำรและอุปกรณ์ต่ำงๆ --> นำส่งให้ นอ.ทันที (ห้ำมเก็บค้ำงคืน)
119.
6. กรณี ไม่สำมำรถนับคะแนนได้เนื่องจำกเกิดสำธำรณภัยสุดวิสัย/เหตุจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ 6.1
ยังไม่ได้นับคะแนน ก. ประกำศงดนับคะแนน ข. จัดเก็บทุกอย่ำงไว้ในที่ปลอดภัย ค. รำยงำน นอ. --> เพื่อรำยงำน ผวจ. ให้ทรำบโดยด่วน 6.2 นับไปแล้วบำงส่วน ก. ประกำศงดกำรนับคะแนน ข. จัดเก็บบัตรเลือกที่ผ่ำนกำรวินิจฉัย แยกบัตรดี บัตรดีไม่ประสงค์ลงคะแนน บัตรเสีย และบัตรที่ ยังไม่ได้วินิจฉัย --> โดยกำรแยกใส่ถุง --> แล้วนำไปเก็บในหีบบัตร ค. ปิดหีบ + ใส่กุญแจ ง. เก็บรักษำในที่ปลอดภัย จ. รำยงำน นอ. --> เพื่อรำยงำน ผวจ. ให้ทรำบโดยด่วน กรณี บัตรเลือกที่ได้ลงคะแนนแล้ว --> ชำรุด/สูญหำย จนไม่สำมำรถนับคะแนนได้ให้ นอ.จัดให้มีกำร ลงคะแนนใหม่ การลงคะแนนใหม่ และการนับคะแนนใหม่ การจับสลาก 1. *สลำกมีข้อควำม “ได้รับเลือกเป็น ผญบ.” “ไม่ได้รับเลือกเป็น ผญบ.” ลงคะแนนไม่ได้ ผลการลงคะแนนไม่ตรง บัตรชารุด/สูญหาย นอ. รายงาน ผวจ. ขยายเวลาให้ลงคะแนนใหม่ ภายใน 7 วันนับแต่เหตุการณ์สงบ คะแนนสูงสุดเท่ากัน มากกว่า 1 คน จับสลาก ณ ที่เลือก จับ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 จับเพื่อหาลาดับในการจับครั้งที่ 2 ครั้งที่ 2 จับเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผญบ.
120.
2. ผู้มีคะแนนสูงสุดเท่ำกันไม่อยู่ ณ
สถานที่จับสลาก หรือ อยู่แต่ไม่ยินยอมจับสลาก --> ให้ประธาน กรรมการเลือก เป็นผู้จับสลากแทน การคัดค้าน นอ. แต่งตั้งแล้ว --> มีคนคัดค้ำน คัดค้าน ยื่นเป็นหนังสือ ต่อ นอ. ภายใน 15 วันนับแต่ที่ นอ.มีคาสั่งแต่งตั้ง
121.
ระเบียบ มท.ว่าด้วยการคัดเลือก กานัน
2551 นิยาม “ผู้มีสิทธิลงคะแนน” ตาแหน่งว่าง ไม่สามารถเลือกได้ในกาหนด 45 วัน --> นอ.รายงาน ผวจ. ขอขยายเวลาได้เท่าที่จาเป็น *ก่อนคัดเลือกกานัน --> ถ้าตาแหน่ง ผญบ.ว่าง --> ให้เลือก ผญบ.ก่อน เว้นแต่ เวลาไม่พอ มีเหตุไม่สามารถ เลือก ผญบ.ได้ --> ให้ดาเนินการคัดเลือกกานันโดยไม่ต้องรอผลการเลือก ผญบ.ในหมู่บ้านนั้น การดาเนินการของอาเภอ นอ.ดาเนินการคัดเลือก ดังนี้ 1. ประกาศกาหนดให้มีการคัดเลือก --> ภายใน 3 วัน นับแต่ที่ นอ.ทราบการว่าง --> กาหนดวัน เวลา และสถานที่เลือก 2. ปิดประกาศ กาหนดการประชุม ณ 1. ที่ว่าการอาเภอ 2. ที่ที่ นอ.กาหนด 3. ที่ทาการ ผญบ.ทุกหมู่ 3. แจ้ง ผญบ.ทุกหมู่ในตาบล --> เป็นลายลักษณ์ --> แจ้งก่อนไม่น้อยกว่า 3 วันก่อนวันประชุม คัดเลือก **ต้องแจ้งเป็นหนังสือ บอกด้วยวาจาไม่ได้ 4. แต่งตั้ง คกก.คัดเลือกกานัน 1. นอ. ประธาน 2. คนที่ นอ.เลือก กรรมการ (กี่คนก็ได้) 3. ปอ. กรรมการและเลขา --> ช่วยเหลือ นอ. 5. จัดประชุมคัดเลือก ผญบ.ทุกคน ในหมู่นั้น อยู่ในที่ ประชุม จนถึงช่วงเวลา ลงคะแนน กานันว่าง เลือกใหม่ใน 45 วัน นับแต่วันที่ นอ. ทราบการว่างนั้น ภายใน 7 วัน นับแต่ วันที่ นอ.ทราบการว่าง
122.
6. มีผู้ถูกเสนอชื่อ มากกว่า
1 คน --> ลงคะแนน --> โดยวิธีลับ ที่คัดเลือกกานัน ***ใช้ ที่ว่าการอาเภอเป็นสถานที่คัดเลือกกานัน วิธีการคัดเลือก 1. นอ. --> เป็นประธานในที่ประชุม 2. การประชุม --> 1. เปิดเผย 2. ผญบ.มาประชุมไม่น้อยกว่า กึ่งหนึ่ง - กรณีจาเป็น --> นอ. อาจสั่งให้ประชุมลับ - ผญบ.ในตาบลคนหนึ่ง --> มีสิทธิเสนอชื่อตนเอง หรือ ผญบ.ในตาบล ได้1 คน - ผญบ.ที่ถูกเสนอชื่อ --> อยู่ในที่ประชุม + ยินยอม เว้นแต่ มีเหตุจาเป็นไม่สามารถเข้าร่วม ประชุมได้ --> ทาหนังสือให้ความยินยอมเสนอชื่อของตนเอง + สาเหตุที่ไม่เข้าประชุม --> ยื่นต่อ นอ. อย่าง ช้าในวันคัดเลือก *จาเป็น = ทาเป็นหนังสือ = ยื่นอย่างช้าในวันคัดเลือก* 3. มีการเสนอชื่อคนเดียว --> นอ.คัดเลือกเป็นกานัน --> ปิดประกาศ ณ 1. ที่ว่าการอาเภอ 2. ที่ทาการ ผญบ.ทุกหมู่บ้าน 4. เสนอชื่อมากกว่า 1 คน --> ออกเสียงโดยวิธีลับ --> ให้แล้วเสร็จในวันประชุมคัดเลือก 5. เสนอชื่อมากกว่า 1 คน --> นอ.ตกลงกับผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อกาหนดหมายเลข --> ไม่สามารถ ตกลงกันได้ใช้วิธีจับสลาก 6. กรณี - ไม่มีใครเสนอชื่อ --> ถือว่า ผญบ.ทุกคนที่มาประชุม --> ได้รับการเสนอชื่อ - นอ. --> จัดลงคะแนนโดยวิธีลับ --> เลขประจาตัวคือลาดับที่ของหมู่บ้าน - สละสิทธิ์ แจ้งสละสิทธิต่อ นอ. ไม่อยู่ในที่ประชุม การนับคะแนน 1. 2. นับคะแนน ณ ที่คัดเลือก ห้ามเลื่อน มีการทักท้วง ทาการทักท้วงโดยสุภาพ
123.
3. 4. จานวนผู้ใช้สิทธิ -->
ไม่ตรงกับจานวนบัตร --> นับคะแนนใหม่โดยพลัน 5. 6. จัดทาสลากให้เท่ากับจานวนผู้ได้คะแนนสูงสุด --> มีข้อความ “ได้รับคัดเลือกเป็นกานัน” จานวน 1 ใบ --> ที่เหลือ “ไม่ได้รับคัดเลือกกานัน” แล้วจับสลาก 7. 8. การคัดค้าน บัตรดีไม่ประสงค์ลงคะแนน นอ.มีอานาจวินิจฉัย และชี้ขาดทันที บัตรดี บัตรเสีย มีคะแนนสูงสุดเท่ากันมากว่า 1 คน จับสลาก ณ ที่คัดเลือก ผู้ได้คะแนนสูงสุด ประธานจับสลากแทน ไม่อยู่ ไม่ยอมจับ นอ. ปิดประกาศ ผวจ. ออกหนังสือสาคัญ เป็นกานัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการคัดเลือก ภายใน 15 วัน นับแต่ที่มีประกาศ ยื่นเป็นหนังสือ คัดค้าน ต่อ นอ.
124.
นอ. สอบสวน รายงาน
ผวจ. ผวจ. วินิจฉัยชี้ขาด ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับการคัดค้าน ผวจ. เห็นด้วย สั่งให้พ้น ภายใน 90 วันนับแต่วันได้รับคัดเลือก นอ. คัดเลือกใหม่ ภายใน 30 วันนับแต่มีคาสั่งให้พ้น
125.
พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 รมต.มหาดไทย รมต.ต่างประเทศ *บังคับใช้เมื่อพ้นกาหนด 120
วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจา *แก้ไขล่าสุด ฉบับที่ 2 พ.ศ.2551 คานิยาม การทะเบียนราษฎร ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร รักษาการ การทะเบียนราษฎร งานทะเบียนต่างๆ ตาม พรบ. การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ชื่อ + ชื่อสกุล เพศ วัน เดือน ปี เกิด+ตาย สัญชาติ ศาสนา ภูมิลาเนา สมรส วุฒิการศึกษา ชื่อบิดา + มารดา หรือผู้รับบุตรบุญธรรม อื่นๆ
126.
เลขบัตรประจาตัว บ้าน โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง + ใช้อยู่
+ มีเจ้าของครอบครอง แพ หรือ เรือ + จอดประจา + อยู่ประจา สถานที่ + อยู่ประจา ยานพาหนะ + อยู่ประจา *รถบ้าน --> ใช้อยู่อาศัยชั่วคราว --> ไม่ถือเป็นบ้าน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนบ้าน = ทะเบียนประจาบ้าน + แสดงเลขประจาบ้าน + รายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน ทะเบียนบ้านกลาง ทะเบียนบ้านกลาง = ผอ.ทะเบียนกลางกาหนด + ลงรายการบุคคลที่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน *ทะเบียนบ้านกลาง --> ไม่ใช่ทะเบียนบ้าน เจ้าบ้าน เจ้าบ้าน = หัวหน้าครอบครองบ้าน --> ในฐานะเป็นเจ้าของ + ผู้เช่า + ในฐานะอื่น ผู้อยู่ในบ้าน ผู้อยู่ในบ้าน --> ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ท้องถิ่น ท้องถิ่น = เลขประจาตัว เลขประจาตัวประชาชน นายทะเบียนออกให้ บุคคลแต่ละคน กทม. เทศบาล เมืองพัทยา ผอ.ทะเบียนกลาง โดย รมต.อนุมัติ กาหนดให้เป็นท้องถิ่น ไม่มี อบต. อบจ.
127.
นายทะเบียน นายทะเบียน --> 1.
นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน กลาง 2. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน กทม. 3. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน จังหวัด 4. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน อาเภอ 5. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน ท้องถิ่น 6. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน สาขา 7. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน เฉพาะกิจ 8. นายทะเบียนผู้รับแจ้ง 9. ผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย จากนายทะเบียนหรือผู้ช่วยนายทะเบียน นายทะเบียนผู้รับแจ้ง *นายทะเบียนผู้รับแจ้งอื่นๆ ต้องใช้ ผอ.สานักทะเบียนกลางเป็นผู้กาหนด ผู้มีส่วนได้เสีย นายทะเบียนผู้รับแจ้ง นายทะเบียนอาเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น ผู้ซึ่ง ผอ.ทะเบียนกลางกาหนด (เช่น กานัน ผญบ.) มีหน้าที่รับแจ้ง - การเกิด - การตาย - การย้ายที่อยู่ - การสร้างบ้านใหม่ - การรื้อบ้าน - การกาหนดเลขประจาบ้าน - ขอตรวจ - คัดสาเนารายการ - รับรองสาเนา ทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย
128.
หมวด 1 สานักทะเบียน สานักทะเบียน นายทะเบียน ผช./รอง
ผอ. สานักทะเบียน พื้นที่ รับผิดชอบ ปฏิบัติราชการแทน นายทะเบียน 1. สานักทะเบียนกลาง ผอ.ทะเบียนกลาง (อธิบดีกรมการ ปกครอง) รอง ผอ.ทะเบียนกลาง ผช.ผอ.ทะเบียนกลาง ทั่ว ราชอาณาจักร 1. รอง ผอ.ทะเบียน กลาง 2. ผช.ผอ.ทะเบียน กลาง 3. ขรก.กรมการ ปกครอง 2. สานักทะเบียนกทม. นายทะเบียนกทม. (ปลัดกทม.) ผช. นายทะเบียนกทม. เขต กทม. 1. ผช. นายทะเบียน กทม. 2. หน.ส่วนไม่ต่ากว่า ระดับกอง ในสานัก ปลัด กทม. 3. สานักทะเบียนจังหวัด นายทะเบียนจังหวัด (ผวจ.) ผช.นายทะเบียนจังหวัด เขตจังหวัด 1. ผช.นายทะเบียน จังหวัด 2. รองผวจ. 3. ปลัดจังหวัด 4. สานักทะเบียนอาเภอ นายทะเบียนอาเภอ 1. นอ. 2. ป.หน. กิ่งอาเภอ ผช.นายทะเบียนอาเภอ เขตอาเภอ 1. ผช.นายทะเบียน อาเภอ 2. ปลัดอาเภอ 5. สานักทะเบียนท้องถิ่น นายทะเบียนท้องถิ่น 1.ป.เทศบาล 2. ผอ.เขต 3. ป.พัทยา 4. หน. ผู้บริหารของ หน่วยการปกครอง ท้องถิ่น ผช.นายทะเบียนท้องถิ่น เขตท้องถิ่น 1. ผช.นายทะเบียน ท้องถิ่น 2. รองปลัด 3. ผช.ผอ.เขต 4. รอง/ผช.หน.บริหาร ของหน่วยงานปกครอง ท้องถิ่น 6. สานักทะเบียนสาขา 7. สานักทะเบียนเฉาะกิจ
129.
การจัดตั้ง ยุบ หรือรวมสทบ.
อาเภอ หรือสทบ.ท้องถิ่น การจัดตั้ง ในท้องที่ อานาจหน้าที่ของนายทะเบียน 1. เรียกเจ้าบ้าน + บุคคลใดๆ มาแสดงข้อเท็จจริง หรือหลักฐานต่างๆ ได้ตามความจาเป็นในวันและเวลา ราชการ 2. มีอานาจ --> ไม่รับแจ้ง + จาหน่ายรายการทะเบียน + เพิกถอนหลักฐานทะเบียน + ดาเนินการแก้ไข รายการทะเบียนบ้านให้ถูกต้อง หากปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่า กรณีนี้มิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอาพราง 3. มีเหตุสงสัย --> มีอานาจ --> เข้าไปสอบถามผู้อยู่ในบ้าน --> ตามอานาจหน้าที่ --> กระทาได้ในเวลา ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก --> นายทะเบียนเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อาญา สานักทะเบียนอาเภอ สานักทะเบียนท้องถิ่น จัดตั้ง ยุบ รวม ผอ.ทะเบียนกลาง (อธิบดี) ประกาศ เหตุผล 1. สภาพแห่งความพร้อม 2. ความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน 3. การไม่ซ้าซ้อนและการประหยัด สานักทะเบียนสาขา สานักทะเบียนเฉพาะ กิจ สานักทะเบียนสาขา สานักทะเบียนเฉพาะ กิจ อานาจของ ผอ.ทะเบียนกลาง
130.
หมวด2 การจัดเก็บข้อมูลประวัติราษฎร การจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร การจัดเก็บข้อมูล --> เป็นหน้าที่
--> สานาทะเบียนกลาง (ไม่ใช่ ผอ.สานักทะเบียน) ข้อมูลที่ไม่นาไปจัดเก็บข้อมูลทะเบียนราษฎร 1. รายได้ 2. ประวัติอาชญากรรม 3. การชาระหรือไม่ชาระภาษี 4. ข้อมูลที่ ครม.กาหนด 5. ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กาหนดให้ต้องแจ้ง วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร 1. เพื่อเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร 2. เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคล 3. เพื่อประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร การจัดเก็บเพื่อประโยชน์ในการ เก็บรักษา ควบคุม ตรวจสอบตัวบุคคล ประมวลผลข้อมูล เจ้าของประวัติ ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล ทายาทเจ้าของประวัติ ผู้มีหน้าที่การแจ้งต่างๆ ผู้รับมอบอานาจ ขอให้นายทะเบียน ดาเนินการ ดังนี้ 1. คัดและรับรองเอกสารข้อมูล ทะเบียนประวัติราษฎร 2. แก้ไข เพิ่มเติม ลบ หรือทาให้ ทันสมัย เพื่อให้เกิดความถูกต้อง ตามความเป็นจริง
131.
*หาก นายทะเบียนไม่รับคาขอ หรือไม่ดาเนินการ
ให้ตามคาขอทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ --> ยื่นอุทธรณ์ --> ต่อนายทะเบียนจังหวัด / นายทะเบียนกทม. / ผอ.สานักทะเบียนกลาง --> ภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคาสั่ง การเชื่อมโยงข้อมูล *กรณีเพื่อความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงในราชอาณาจักร คณะรัฐมนตรี --> อนุมัติให้ --> ผอ.ทะเบียนกลาง --> ยินยอมให้เชื่อมโยงข้อมูลได้ *ผู้กาหนดเลขประจาตัวบุคคล --> ผอ.ทะเบียนกลาง *ข้อมูลทางทะเบียนถือเป็นความลับ ห้ามมิให้เปิดเผยแก่บุคคลใด ยกเว้น 1. ผู้มีส่วนได้เสีย ขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย 2. เพื่อประโยชน์แก่ทางสถิติ 3. การรักษาความมั่นคงของรัฐ 4. ดาเนินคดี และพิจารณาคดี *ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ* ส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐ เชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ ผู้อนุญาต ผอ.ทะเบียนกลาง ข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงได้ ทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย ทะเบียนคนไม่มีสัญชาติ ห้าม - ส่วนราชการ - หน่วยงานของรัฐ - พนักงานสอบสวน นาข้อมูลไปใช้เพื่อ ประโยชน์ทางธุรกิจ นาไปใช้ในเรื่องที่ไม่ เกี่ยวกับราชการ ตามที่ร้องขอ
132.
หมวด 3 คนเกิด คนตาย คนเกิด ประเภท
คนเกิด 1. เกิดในบ้าน --> เกิดในสานักทะเบียนที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน 2. เกิดนอกบ้าน --> เกิดนอกสานักทะเบียนที่ตนมีชื่อยู่ในทะเบียนบ้าน ** ตน --> หมายถึง พ่อ/แม่ ของคนที่เกิด หลักเกณฑ์การแจ้งเกิด 1. เกิดในบ้าน --> เจ้าบ้าน+บิดา+มารดา --> แจ้งนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนเกิด --> ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิด 2. เกิดนอกบ้าน --> บิดา หรือ มารดา --> แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งที่มีคนเกิดนอกบ้าน หรือท้องที่ที่จะ พึงแจ้งได้ --> ภายใน 15 วันนับจากวันเกิด กรณี - ไม่อาจแจ้งได้ตามกาหนด --> แจ้งภายหลังได้ --> ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันเกิด - เพื่อการอานวยความสะดวก การแจ้งเกิด(ในบ้าน+นอกบ้าน) จะแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ท้องถิ่นอื่นก็ได้ โดยเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท 3. เด็กในสภาพแรกเกิด หรือเกิดไร้เดียงสา ซึ่งถูกทอดทิ้ง * เด็กแรกเกิด/ เด็กอ่อน --> เด็กที่มีอายุไม่เกิน 28 วัน เมื่อพบเด็กแรกเกิด หรือเด็กไร้เดียงสาถูกทอดทิ้ง ให้ดาเนินการดังนี้ 3.1 นาเด็กไปส่ง และแจ้งต่อ 1. พนักงานฝ่ายปกครอง 2. ตารวจ 3. จนท.พมจ. ในท้องที่ที่พบเด็กโดยเร็ว 3.2 พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจ หรือ จนท.พมจ. ที่ได้รับตัวเด็ก ทาบันทึกการรับตัวเด็กไว้ กรณี พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตารวจ รับตัวเด็กไว้เอง ให้นาตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้ จนท.พมจ. ในเขตท้องที่ บันทึกการรับตัวเด็ก ทาเป็น 2 ฉบับ โดยเก็บไว้ที่ จนท.ผู้รับตัวเด็ก 1 ฉบับ และส่งมอบให้กับนาย ทะเบียนผู้รับแจ้ง 1 ฉบับ มีรายละเอียดดังนี้
133.
1) รายการบุคคลของผู้พบเด็ก 2) พฤติการณ์ 3)
สถานที่ และวันเวลาที่พบเด็ก 4) สภาพทางกายภาพโดยทั่วไปของเด็ก 5) เอกสารที่ติดตัวมากับเด็ก 6) ประวัติของเด็กเท่าที่ทราบ กรณี ไม่ทราบสัญชาติของเด็ก ให้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ด้วย 3.3 เมื่อ จนท.พมจ. รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ --> ให้ไปแจ้ง เกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง 3.4 เมื่อแจ้งแล้ว นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง 4. เด็กเร่ร่อน หรือ เด็กไม่พบบุพการี หรือ บุพการีทอดทิ้ง โดยเด็กคนนั้นอยู่ในการอุปการะของหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ที่จดทะเบียนตามกฎหมายโดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อการการสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กเล็ก ถ้าเด็กยังไม่ได้แจ้งเกิด และรายการบุคคลในทะเบียนบ้าน ให้ดาเนินการดังนี้ 4.1 หน.หน่วยงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจาก หน.งานเป็นผู้แจ้งเกิด ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่ง ท้องที่ที่หน่วยงานนั้นตั้งอยู่ 4.2 เมื่อแจ้งแล้ว นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง กรณีไม่อาจพิสูจน์สถานะการเกิด และสัญชาติของ 1. เด็กในสภาพแรกเกิด 2. เด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง 3. เด็กเร่ร่อน 4. เด็กที่ไม่ปรากฏบุพการี 5. เด็กที่บุพการีทอดทิ้ง นายทะเบียนอาเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น (ไม่ใช่นายทะเบียนผู้รับแจ้ง) 1. จัดทาทะเบียนประวัติ 2. ออกเอกสารแสดงตนให้เด็กไว้เป็นหลักฐาน *นายทะเบียนผู้รับแจ้ง --> ไม่มีหน้าที่ จัดทาทะเบียนประวัติ และออกเอกสารแสดงตนให้กับเด็ก 5. เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ --> บิดามารดาหรือผู้ปกครอง --> แจ้งการเกิดเกินกาหนดแทนได้ *ในการแจ้งเกิดเกินกาหนด นายทะเบียนผู้รับแจ้งดาเนินการให้ได้ก็ต่อเมื่อ บิดามารดาได้ชาระเงินค่าปรับแล้ว
134.
6. นายทะเบียนผู้รับแจ้ง -->
รับแจ้งการเกิด --> ออกสูติบัตร --> ให้แก่ผู้แจ้ง --> โดยมีข้อเท็จจริงเท่าที่จะ ทราบได้ แบบสูติบัตร ทร.1 --> แบบแจ้งเกิด --> คนไทยเกิดในกาหนดเวลา ทร.2 --> แบบแจ้งเกิด --> คนไทยแจ้งเกิดเกินกาหนด ทร.3 --> แบบแจ้งเกิด --> คนไม่มีสัญชาติไทย ทร.031 --> แบบแจ้งเกิด --> บุคคลไม่มีฐานะทางทะเบียน (พื้นที่สูง) ทร.03 --> แบบแจ้งเกิด --> บุคคลต่างด้าว คนตาย 1. คนตายในบ้าน --> ตายในเขตสานักทะเบียนที่ผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน 2. คนตายนอกบ้าน --> ตายนอกเขตสานักทะเบียนผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หลักเกณฑ์การแจ้งตาย 1. ตายในบ้าน เจ้าบ้าน --> แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง --> ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย *กรณีไม่มีเจ้าบ้าน ให้ผู้พบศพแจ้งภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาพบศพ 2. ตายนอกบ้าน คนที่ไปกับผู้ตาย/ผู้พบศพ --> แจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ที่มีการพบศพ/ท้องที่ที่พึงแจ้งได้/พนักงานฝ่ าย ปกครองหรือตารวจ --> 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตายหรือพบศพ การแจ้งตายในท้องที่ทางคมนาคมไม่สะดวก การคมนาคมไม่สะดวก --> ผอ.ทะเบียนกลาง --> ขยายเวลา --> ไม่เกิน 7 วันนับแต่เวลาตายหรือพบศพ *ผอ.ทะเบียนกลาง เป็นผู้ประกาศว่าท้องที่ใดจะเป็นท้องที่ขยายได้7 วัน *กรณีจาเป็น เพื่อประโยชน์ในการอานวยความสะดวกในการแจ้งตาย (ใน+นอก) แจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับ แจ้งแห่งท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง --> เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท มรณะบัตร นายทะเบียนผู้รับแจ้ง --> ออกมรณะบัตร กรณี นายทะเบียนไม่ออกใบมรณะบัตร (เพราะสงสัยว่า) 1. ตายด้วยโรคติดต่อร้ายแรง - อหิวาตกโรค
135.
- กาฬโรค -ไข้ทรพิษ - ไข้เหลือง -โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน 2.
ตายโดยผิดธรรมชาติ - ฆ่าตัวตาย - ถูกฆ่าตาย - ถูกสัตว์ทาร้ายจนตาย - ตายโดยอุบัติเหตุ - ตายยังไม่ปรากฎเหตุ 3. ตายโดยไม่ทราบรายละเอียดผู้ตายเป็นใคร 4. ตายโดยมีเหตุเชื่อว่าการตายแต่ยังไม่พบศพ แบบแจ้งการตาย ทร.4 --> มรณะบัตร --> คนไทยและต่างด้าวที่มีบัตรประจาตัว ทร.5 --> มรณะบัตร --> คนเข้าเมืองชั่วคราวหรือหลบหนีเข้าเมือง ทร.051 --> มรณะบัตร --> พื้นที่สูง ทร.05 --> มรณะบัตร --> คนต่างด้าว มีคนเกิด --> ผู้ทาคลอด --> ออกหนังสือรับรอง --> ยื่นเพื่อออกใบสูติบัตร มีคนตาย --> ผู้รักษาพยาบาล --> ออกหนังสือรับรอง --> ยื่นเพื่อออกใบมรณะบัตร ห้าม เก็บ ฝัง เผา ศพ --> ไปจากสถานที่หรือบ้านที่มีคนตาย ยกเว้น ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ทาลาย ย้าย *เมื่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง อนุญาตแล้ว ห้าม เก็บ เผา ทาลาย ย้ายศพ ผิดไปจากสถานที่ที่ระบุไว้ ยกเว้น ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
136.
จาเป็นต้อนย้ายศพ --> เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชน
--> พนักงานฝ่ ายปกครอง หรือตารวจมี อานาจกระทาได้ *ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ** นายทะเบียนอาเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น --> จัดทาทะเบียนคนเกิดและทะเบียนคนตาย --> จากสูติบัตรและมรณะบัตร *นายทะเบียนอาเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่นเป็นผู้ทา ไม่ใช่หน้าที่ของนายทะเบียนผู้รับแจ้ง นายทะเบียนในต่างประเทศ กรณีไม่มีกงสุล หรือสถานทูตไทยประจาอยู่ ใช้หลักฐานการเกิด การตาย ที่ออกโดยรัฐบาลประเทศนั้น --> ก.ต่างประเทศได้แปล และรับรองว่าถูกต้อง --> เป็น หลักฐานสูติบัตรและมรณะบัตร กงสุล/ขรก.สถานทูต รมต.ต่างประเทศ แต่งตั้ง หน้าที่ รับจดทะเบียนคนเกิด และคนตาย ที่มีนอก ราชอาณาจักร ให้กับคนสัญชาติไทย และคน ต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่ อยู่ในประเทศไทย ตาม กฎหมายคนเข้าเมือง
137.
หมวด 4 การย้ายที่อยู่ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่ไหน -->
ให้สันนิษฐานว่า --> อยู่และมีภูมิลาเนาอยู่ ณ ที่นั้น ย้ายออก --> เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออก --> ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายออก ย้ายเข้า --> เจ้าบ้านแจ้งการย้ายเข้า --> ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายเข้า *ผู้ย้ายที่อยู่ --> เป็นผู้แจ้งย้ายเข้าและย้ายออก --> โดยแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ในท้องที่ที่ไปอยู่ใหม่ --> ภายใน 15 วันนับแต่วันย้ายออกก็ได้ ออกจากบ้านเกิน 180 วัน เห็นว่ามีผู้ย้ายเข้าอยู่ เป็นจานวนมาก นายทะเบียนผู้รับแจ้ง มีอานาจไม่รับแจ้ง การย้ายเข้าสู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น คราวเดียว หรือหลายคราว เห็นว่าย้ายเข้าอยู่ในบ้าน จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย “สาธารณะสุข” (1คน/พื้นที่ 3 ตารางเมตร) ตรวจสอบ สภาพบ้านแล้ว ออกจากบ้าน เพิ่มชื่อและรายการ ในทะเบียนบ้านกลาง เกิน 180 วัน ภายใน 30 วัน นับแต่วันครบ 180 วัน เจ้าบ้านไม่รู้ว่า ไปอยู่ที่ไหน เจ้าบ้านแจ้ง การย้ายออกต่อ นายทะเบียนผู้รับแจ้ง
138.
หมวด 5 ทะเบียนบ้าน ความหมาย ทะเบียนบ้าน -->
ทะเบียนประจาบ้านแต่ละบ้าน --> แสดงเลขประจาบ้าน และรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้าน ประเภทของทะเบียนบ้าน 1. สีน้าเงิน (ทร.14) --> คนไทยและคนต่างด้าวที่มีบัตร 2. สีเหลือง (ทร.13) --> เข้าเมืองชั่วคราว เข้าโดยชอบหรือเข้าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การขอเลขประจาบ้าน 1. ยังไม่มีเลขบ้าน --> ขอเลขประจาบ้าน --> ภายใน 15 วันนับแต่วันสร้างบ้านเสร็จ 2. นายทะเบียนกาหนด เลขบ้าน --> ภายใน 7 วัน --> บ้านอยู่ในเขตสานักทะเบียนท้องถิ่น --> ภายใน 30 วัน --> บ้านอยู่นอกเขตสานักทะเบียนท้องถิ่น(เขตอาเภอ) 3. มีบ้านหลายหลังในบริเวณเดียวกัน (รั้วเดียวกัน) --> กาหนดเลขประจาบ้านเพียงเลขเดียว --> แต่ประสงค์จะขอ เลขประจาบ้านเพิ่มอีก ยื่นขอต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง 4. ตึกแถว --> ห้องชุด --> กาหนดเลขประจาบ้านทุกห้อง --> ถือว่าทุกห้องหรือห้องชุดหนึ่งๆเป็นบ้านหลังหนึ่ง อาคารชุด --> วิธีติดบ้านเลขที่ 1. บ้านทั่วไป --> หน้าประตูบ้าน + ที่คนมองเห็น 2. บ้านที่มีรั้วโดยรอบ --> ประตูรั้วทางเข้า --> มีประตูหลายทาง --> ติดที่ประตูทางเข้าประจา 3. บ้านริมน้าและมีศาลาริมน้า --> ติดที่ศาลาท่าน้าของบ้าน --> ไม่มีศาลา --> ติดไว้ที่บ้าน --> ซึ่งมองเห็นจากลาน้าชัดเจน 4. บ้านที่มีรั่ว แต่ไม่มีกรอบประตู --> ติดตรงเสาประตูรั้ว --> ทางเข้าด้านขวามือ --> สูงจากพื้นดิน 2 เมตร 5. บ้านที่มีรั้วบ้านและมีกรอบประตูรั้วบ้าน --> ติดไว้ตรงกลางขอบประตูรั้วบ้านเบื้องบน 6. ห้องเช่า อาคารชุด --> ติดเลขที่ทุกห้อง --> โดยเรียงจากชั้นล่างขึ้นไปหาชั้นบน
139.
รื้อบ้าน รื้อบ้านที่มีเลขประจาบ้านอยู่แล้ว --> ไม่ต้องการปลูกใหม่ในบริเวณนั้นอีกหรือไปปลูกที่อื่น
--> แจ้งการรื้อ ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายใน 15 วันนับแต่วันที่รื้อถอน การย้ายบ้านซึ่งเคลื่อนที่ได้ ไปอยู่ หรือ จอดในที่ใหม่ ภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกาหนด 180 วัน เกิน 180 วัน ย้ายเข้า และ ย้ายออก เจ้าบ้านต้องแจ้ง
140.
หมวด 6 การตรวจสอบทะเบียนราษฎร 1. การตรวจสอบทะเบียนราษฎรบางท้องที่
หรือทั่วราชอาณาจักร --> ตราเป็น พรฎ. 2. เมื่อตรา พรฎ.แล้ว --> นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบอานาจเป็นหนังสือ --> มีอานาจเข้าไปในบ้าน ในเขตที่ พรฎ.กาหนด --> เพื่อตรวจสอบทะเบียนราษฎรเท่าที่จาเป็น --> ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ ตก 3. ก่อนเข้าไปสารวจ --> ต้องแสดงบัตร - ประจาตัวข้าราชการ --> พร้อมด้วยหลักฐานการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ เจ้าบ้านก่อนเข้าไปสารวจ - พนักงานของรัฐ - บัตรประชาชน 4. ผอ.ทะเบียนกลาง --> รวบรวมยอดคนในประเทศที่มีอยู่ในวันที่ 31 ธันวาคมของปีที่ผ่านมา --> ประกาศในราช กิจจา ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี หมวด 7 มอบหมายให้แจ้งแทน หมวด 8 การกาหนดโทษ
141.
พรบ.บัตรประชาชน พ.ศ.2526 รมต.มท. -->
รักษาการ *แก้ไขล่าสุด 2554 (ฉ.3) นิยาม ผู้ถือบัตร --> ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัตร ทะเบียนบ้าน --> ทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร เจ้าพนักงานผู้ออกบัตร --> บุคคลซึ่ง รมต.มท.แต่งตั้ง --> อปค. เจ้าพนักงานตรวจบัตร --> บุคคลซึ่ง รมต.มท. แต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่ --> บุคคลซึ่ง รมต.มท.แต่งตั้ง เลขทะเบียนบัตรประชาชน X - XXXX - XXXXX - XX - X ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 ส่วนที่ 1 --> มี 1 หลัก --> ประเภทบุคคล ส่วนที่ 2 --> มี 4 หลัก --> สานักทะเบียนที่ออกบัตร ส่วนที่ 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 --> มี 1 หลัก --> เลขตรวจสอบความถูกต้อง ประเภทของบุคคล --> มี 8 ประเภท (ส่วนที่ 1) ประเภทที่ 1 --> คนเกิดและมีสัญชาติไทย แจ้งเกิดในกาหนดเวลา ประเภทที่ 2 --> คนเกิดและมีสัญชาติไทย แจ้งเกิดเกินกาหนดเวลา ประเภทที่ 3 --> คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสาคัญประจาตัวคนต่างด้าว ซึ่งมีชื่อและรายการบุคคลใน ทะเบียนบ้านก่อนวันที่ 31 พ.ค.2527 ประเภทที่ 4 --> คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสาคัญประจาตัวคนต่างด้าว และได้ย้ายเข้าในทะเบียนบ้าน ขณะยังไม่มีเลขประจาตัวประชาชน (ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 31 พ.ค. 2527) ประเภทที่ 5 --> คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสาคัญประจาตัวคนต่างด้าว ที่ได้รับอนุมัติในเพิ่มชื่อ และรายการบุคคลเข้าในทะเบียนบ้าน (กลุ่มคนตกสารวจ) รวมกันมี 7 หลัก --> ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียน
142.
ประเภทที่ 6 -->
คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ในลักษณะชั่วคราว และคนต่างที่เข้าเมือง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเภทที่ 7 --> ลูกของคนประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในไทย ประเภทที่ 8 --> คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือได้รับสัญชาติไทย ผู้ที่ต้องมีบัตร 1. มีสัญชาติไทย ซึ่งมีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ --> และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน 2. ผู้ที่อายุเกิน 70 ได้รับการยกเว้น --> จะขอมีบัตรได้ บุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตร 1. สมเด็จพระบรมราชินี 2. พระบรมวงศานุวงศ์ ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป 3. พระ เณร แม่ชี (อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น ต้องมีบัตร) 4. พิการเดินไม่ได้ (ขาขาดทั้ง 2 ข้าง) หรือเป็นใบ้หรือตาบอดทั้ง 2 ข้าง หรือคนบ้า 5. อยู่ในคุก 6. กาลังเรียนอยู่ ตปท. และไม่สามารถยื่นคาขอมีบัตรประชาชนได้
143.
ขอมี ขอใหม่ ขอเปลี่ยน 60
วัน นับแต่ 60 วัน นับแต่ 60 วัน นับแต่ บัตรหมดอายุ หาย / ถูกทาลาย ชารุดในสาระสาคัญ แก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุลในทะเบียนบ้าน 1. วันที่อายุครบ 7 ปีบริบูรณ์ 2. วันที่ได้สัญชาติ (แปลง/คืน) 3. วันที่ นทบ.เพิ่มชื่อ 4. วันที่พ้นสภาพจากการได้รับการยกเว้น 1. หลังบัตรหมดอายุ 2. ก่อนบัตรหมดอายุ 1. วันที่บัตรหาย หรือถูกทาลาย นับแต่วันที่ชารุด 1. นับแต่วันที่แก้ไข 2. ย้ายบ้าน จะขอเปลี่ยนบัตรก็ได้
144.
ขอมีบัตร (ยังไม่เคยมีบัตร) 1. วันที่อายุครบ
7 ปีบริบูรณ์ 2. วันที่ได้สัญชาติไทย (แปลงสัญชาติ/กลับคืนสัญชาติ) 3. วันที่นายทะเบียนเพิ่มชื่อ ในทะเบียนบ้าน ตามกฎหมายทะเบียนราษฎร 4. วันที่พ้นสภาพ จากการได้รับการยกเว้น ขอมีบัตรใหม่ (เคยมีบัตรมาแล้ว) 1. “บัตรเดิมหมดอายุ” --> ก่อนบัตรหมดอายุ 60 วัน และหลังบัตรหมดอายุ 60 วัน - ขอมีใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตรเดิมหมดอายุ - ขอมีใน 60 วัน นับแต่ก่อนบัตรเดิมหมดอายุ 2. “บัตรหายหรือถูกทาลาย” - ขอมีใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตรหายหรือถูกทาลาย ขอเปลี่ยนบัตร (เคยมีบัตรมาแล้ว) 1. “ชารุดในสาระสาคัญ”/ “บัตรยังไม่หมดอายุ แต่อยากเปลี่ยน” - 60 วัน นับแต่วันที่ชารุด 2. “แก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล ในทะเบียนบ้าน” - 60 วัน นับแต่วันที่แก้ไข ย้ายที่อยู่ จะขอเปลี่ยนก็ได้(กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทาบัตรใหม่) อายุบัตร 1. บัตรมีอายุ --> 8 ปี --> นับแต่วันเกิดของผู้ถือบัตรที่ถึงกาหนดภายหลังจากวันออกบัตร ***ทาบัตรก่อนวันเกิด --> มีอายุ 8 ปี ทาบัตรหลังจากวันเกิด --> มีอายุ 9 ปี 2. อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ --> บัตรยังไม่หมดอายุ --> ใช้ได้ต่อไปตลอดชีวิต ขอมีบัตร ยื่นคำขอภำยใน 60 วัน นับแต่
145.
เจ้าพนักงานตรวจบัตร 1. เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจชั้นผู้ใหญ่ ปอ.
และตร.ร้อยตรีขึ้นไป --> เขตอานาจหน้าที่ 2. ฝ่ายปกครอง หรือตร. สมาชิกอส. และจนท.กองอานวยการรักษาความมั่นคงภายใน --> เฉพาะอานาจ ตรวจบัตร 3. ผอ. ,ผช.ผอ. เขต ,หน.ฝ่ายทะเบียน ,หน.ฝ่ายเทศกิจ ,เจ้าพนักงานปกครองระดับ 6 ในฝ่ายทะเบียน และบัตร --> เขตนั้น 4. ป.เทศบาล ,รอง ป.เทศบาล ,หน.แขวง ,หน.สานักปลัด ,หน.งานทะเบียน และเจ้าหน้าที่บริหารงาน ทะเบียนและบัตร --> ในเขตเทศบาล หรือแขวง 5. หน.สานักปลัดเมืองพัทยา ,หน.บริหารงานทั่วไป ,หน.ทะเบียนราษฎร เจ้าหน้าที่บริการงานทะเบียน และบัตร --> เมืองพัทยา ชนิดของบัตร --> มี 3 ชนิด 1. บัตรที่ไม่ได้ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 2. บัตรที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 3. บัตรที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แบบเอนกประสงค์( Smart Card) รุ่นบัตร --> ปัจจุบันมี 6 รุ่น เลขใต้รูปถ่ายของบัตรประชาชน ชุดที่ 1 มี 4 ตัว --> สานักทะเบียน ชุดที่ 2 มี 8 ตัว --> จานวนครั้งที่ทาบัตร ชุดที่ 3 มี 8 ตัว --> เลขตรวจสอบความถูกต้อง ผู้ยื่นคาขอแทน 1. 2. เด็กอายุไม่ถึง 15 ปี --> สามารถยื่นขอได้ด้วยตนเอง พ่อ แม่ ผู้ปกครอง บุคคลซึ่งรับดูแล ยื่นขอ - มีบัตร - มีบัตรใหม่ - เปลี่ยนบัตร แทนเด็ก อำยุไม่ถึง 15 ปี
146.
บัตร 1. ขนาด สี
และลักษณะของบัตร ฯลฯ กาหนดในกฎกระทรวง 2. รายการในบัตร *รายการศาสนาหรือนิกายของศาสนา --> จะมีหรือไม่มีก็ได้(กรุ๊ปเลือดถูกยกเลิกไปแล้ว) 3. บัตรมีหน่วยความจาที่บันทึกข้อมูลอื่นของผู้ถือบัตร --> ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถเปิดเผยต่อ บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่ผู้จัดทาไม่ได้ ยกเว้น 1. ข้อมูลทั่วไปที่อยู่บนบัตร 2. เปิดเผยต่อหน่วยงาน ที่ต้องทราบข้อมูลเท่าที่จาเป็น 3. เพื่อประโยชน์ของรัฐ 4. เพื่อความสงบเรียบร้อย 5. เพื่อประโยชน์ของผู้ถือบัตร โดยได้รับความยินยอม 4. กรณี ไม่สามารถออกบัตรในวันที่ไปขอ --> ให้ออกใบรับ (ใบเหลือง) 5. ใบรับ / ใบแทนใบรับ --> ใช้ได้เสมือนบัตรประชาชน --> ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กาหนด 6. ใบรับ / ใบแทนใบรับ --> ให้ใช้ร่วมกับบัตรเดิม ยกเว้น 1. มีบัตรครั้งแรก 2. บัตรหาย 3. บัตรถูกทาลายทั้งหมด 7. ผู้ที่มีความสูงต่ากว่า 100 ซ.ม. หรือ สูงกว่า 190 ซ.ม. --> จะไม่มีเลขแสดงส่วนสูงก็ได้ คืนบัตร ** เดือน - มกราคม --> นอ. --> ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่จะต้องมีบัตรทราบ - กุมภาพันธ์ --> พนักงานเจ้าหน้าที่ --> สารวจเอกสารที่ครบอายุการเก็บ เสียสัญชาติ ภำยใน 30 วัน นับแต่วันที่เสียสัญชำติ ในท้องที่ที่คนมีชื่อ อยู่ในทะเบียนบ้าน หมดสิทธิ ใช้บัตรทันที ส่งมอบให้กับ พนักงานเจ้าหน้าที่
147.
ค่าธรรมเนียม ที่ กรณี ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ พรบ.
กฎกระทรวง พรบ กฎกระทรวง 1. ขอมีบัตร - ครบ 7 ปี บริบูรณ์ - วันได้สัญชาติ - นายทะเบียนเพิ่มชื่อในทะเบียน - วันที่พ้นสภาพจากการยกเว้นการมีบัตร - - - - - - - - ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 - - - - 2. ขอมีบัตรใหม่ - บัตรหมดอายุ - บัตรหาย/ถูกทาลาย - ไม่เกิน 100 - 20 บาท ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 20 บาท 20 บาท 3. ขอเปลี่ยนบัตร - บัตรชารุด - แก้ไขชื่อตัวและชื่อสกุล - ย้ายที่อยู่ ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 20 บาท 20 บาท 20 บาท ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 100 4. ใบแทน 20 บาท 10 บาท - - 5. คัดและทาสาเนา 20 บาท 10 บาท บทกาหนดโทษ ที่ ฐานความผิด ระวางโทษ จา ปรับ จ+ป 1. ขอมี/ขอใหม่/ขอเปลี่ยน เกินกาหนดเวลา - 100 - 2. เสียสัญชาติ - ไม่คืนบัตร/ใบรับ/ใบแทน - ใช้บัตร/ใบรับ/ใบแทน 5 ปี 10 ปี 100,000 200,000 3. คนต่างด้าวขอมีบัตรโดยการแสดงหลักฐานเท็จ 1 - 5 ปี 20,000 - 100,000 4. คนไทย แจ้งข้อความ/หลักฐานเท็จ 3 ปี 60,000 5. ปลอมบัตร / ใบรับ / ใบแทน 1 - 10 ปี 20,000 - 200,000 6. พนักงานตรวจบัตร/ จพง ออกบัตร / พง จนท ทาผิด/สนับสนุนข้อ 3,4,5 3 - 15 ปี 60,000 - 300,000 - 7. เอาบัตรผู้อื่นไปใช้โดยการแสดงตน ว่าตนเองเป็นเจ้าของ 6 เดือน - 5ปี 10,000 - 8. ขโมยเอาบัตรผู้อื่นไปใช้ประโยชน์ 6 เดือน 10,000 - 9. ยอมให้ผู้อื่นเอาบัตรไปใช้ในทางทุจริต 3 เดือน - 3 ปี 5,000 - 60,000 10. ไม่พกบัตร ปชช. - 200 - 11. โทษปรับสถานเดียว : จนท. มีอานาจเปรียบเทียบปรับได้
148.
พรบ.สัญชาติ พ.ศ.2505 รมว.มหาดไทยรักษาการ ฉบับล่าสุด ฉ.5
(2555) ประกอบด้วย 4 หมวด 1. การได้สัญชาติ 2. การเสียสัญชาติ 3. การกลับคืนสัญชาติ 4. คณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ คานิยาม “คนต่างด้าว” คนต่างด้าว --> ผู้ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย “คนไทยพลัดถิ่น” คนที่มีเชื้อสายไทย ได้รับการสารวจจัดทาทะเบียน อยู่ในบังคับของประเทศอื่น ปัจจุบันไม่ได้ถือสัญชาติ ของประเทศอื่น มีวิถีชีวิตแบบคนไทย เข้ามาอยู่ในประเทศไทย เป็นระยะเวลาหนึ่ง
149.
“พนักงานเจ้าหน้าที่” พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พรบ.นี้ประกอบด้วย 1. ป.มท. 2.
อปค. 3. ผวจ. 4. ผอ.สานักบริหารการทะเบียน 5. นอ. 6. ปอ.หน.กิ่ง 7. ผอ.เขต 8. พนักงานทูต หรือกงสุลประจาสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่หรือส่วนราชการของ ก.ต่างประเทศมอบหมาย การได้สัญชาติ การเสียสัญชาติ การกลับคืนสัญชาติ มีผล --> เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา --> มีผลเฉพาะตัว *มีผลเฉพาะตัว คือ ใครขอ คนนั้นก็ได้จะไม่เกี่ยวกับคนอื่น อานาจของ รมว.ผู้รักษาการ 1. แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ 2. ออกกฎกระทรวง 3. กาหนดค่าธรรมเนียม 4. ยกเว้นค่าธรรมเนียม ได้ เสีย คืน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลเฉพาะตัว
150.
*ข้อ1 ,ข้อ3 และข้อ5
อาจยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ อัตราค่าธรรมเนียม จานวน 1. คาขอแปลงสัญชาติเป็นไทย 10,000.- 2. คาขอแปลงสัญชาติเป็นไทยสาหรับบุคคลผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ 5,000.- 3. หนังสือสาคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย 1,000.- 4. ใบแทนหนังสือสาคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย 1,000.- 5. คาขอกลับคืนสัญชาติ 2,000.- 6. คาขออื่นๆ 100.-
151.
หมวดที่ 1 การได้สัญชาติ การได้สัญชาติ -->
แบ่งออกเป็น 2 กรณี 1. การได้สัญชาติโดยการเกิด 2. การได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาติ การได้สัญชาติโดยการเกิด 1. “หลักสายเลือด” --> พ่อหรือแม่ เป็นคนสัญชาติไทย --> เด็กจะเกิดที่ไหนไม่สาคัญ --> เด็กจะได้สัญชาติไทยด้วย (ได้ตามพ่อ หรือแม่) *บิดา หมายถึง - ผู้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาตามความเป็นจริง - ไม่จาเป็นต้องจดทะเบียนสมรสกับแม่ของบุตร - ไม่จาเป็นต้องจดทะเบียนรับรองบุตร *บุตรของคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งได้รับสัญชาติตามบิดา มารดา ย่อมได้สัญชาติโดยการเกิด เว้นแต่ บุคคลนั้นถือสัญชาติของประเทศอื่น 2. “หลักดินแดน” เกิดในอาณาจักรไทย --> ย่อมได้สัญชาติ ยกเว้น 2 กรณี 1. พ่อหรือแม่ของเด็กมีลักษณะ ดังนี้ 1.1 ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในไทยเป็นกรณีพิเศษ เช่น กลุ่มผู้ลี้ภัยต่างๆที่เข้ามาอยู่ใน ประเทศไทย 1.2 ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในไทยชั่วคราว เช่น กลุ่มต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทางาน (บัตร ชมพู) 1.3 เข้ามาอยู่ในไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต (คนหลบหนีเข้าเมือง) *ผู้เกิดในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย ตามหลักดินแดน จะอยู่ในฐานใด หรือเงื่อนไข ใดให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎกระทรวง โดยคานึงถึงหลักสาคัญ 2 ประการ 1. ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร 2. สิทธิมนุษยชน
152.
2. พ่อหรือแม่เด็กมีลักษณะ ดังนี้ 2.1
หน.คณะฯ หรือ จนท.ในคณะผู้แทนทางทูต 2.2 หน.คณะฯ หรือ จนท.ในคณะผู้แทนทางกงสุล 2.3 พนักงาน ผู้เชี่ยวชาญขององค์กรระหว่างประเทศ 2.4 คนในครอบครัว หรือญาติ ซึ่งตามมากับคนใน ข้อ1 ,ข้อ2 หรือข้อ3 2.5 คนรับใช้ ซึ่งตามมากับคนในข้อ1 ,ข้อ2 หรือข้อ3 3. “การรับรองของคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น” โครงสร้าง คณะกรรมการฯ --> จานวน ไม่เกิน 15 คน 1. ป.มท. ประธานกรรมการ 2. กรรมการโดยตาแหน่ง 1) ผู้แทน ก.กลาโหม 2) ผู้แทน ก.ต่างประเทศ 3) ผู้แทน ก.ยุติธรรม 4) ผู้แทนสานักข่าวกรอง 5) ผู้แทนสภาความมั่นคง 6) ผู้แทนสานักงานตารวจแห่งชาติ 3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ --> จานวนไม่เกิน 7 คน --> รัฐมนตรีแต่งตั้ง วาระดารงตาแหน่งคราวละ 2 ปี --> อาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้อีก --> ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน 3.1 ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาชน (NCO) 3.2 นักวิจัยหรือนักวิชาการ 1) ด้านกฎหมายสัญชาติ หรือสถานะบุคคล 2) ด้านสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา 3) ด้านประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ 4. อธิบดีกรมการปกครอง กรรมการและเลขาฯ 5. ขรก.กรมการปกครอง (จานวน 2 คน) ผู้ช่วยเลขาฯ (อธิบดีกรมการปกครอง --> แต่งตั้ง ผช.เลขาฯ)
153.
หน้าที่ 1. พิจารณาและรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น 2. เสนอแนะและให้ความเห็นต่อรัฐมนตรี
ในการออกกฎกระทรวง หรือการดาเนินการใดๆ เกี่ยวกับคนไทยพลัดถิ่น 3. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ตามที่รัฐมนตรีกาหนด *ผู้ซึ่ง --> คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นให้การรับรอง --> ถือว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดย การเกิด *บุตรของคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการรับรองของคณะกรรมการฯ --> ได้สัญชาติไทยโดยการ เกิดด้วย การได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาติ 1. “แปลงให้กับตนเอง” 1.1 หญิง ซึ่งเป็นคนต่างด้าว --> แต่งงานกับคนมีสัญชาติไทย = ขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ 1.2 คนต่างด้าว --> ต้องการแปลงสัญชาติให้ตนเอง ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1) บรรลุภาวะตามกฎหมายไทย + บรรลุภาวะตามกฎหมายที่บุคคลนั้นมีสัญชาติ 2) มีความประพฤติดี 3) มีอาชีพเป็นหลักฐาน (มีงานประจา) 4) มีภูมิลาเนาอยู่ในไทยต่อเนื่อง มาจนถึงวันที่ยื่นคาขอ แปลงสัญชาติเป็นไทย ไม่น้อยกว่า 5 ปี 5) มีความรู้ภาษาไทย ข้อยกเว้น ต่างด้าวที่มีคุณสมบัติ 1. ทาความดีความชอบเป็นพิเศษต่อประเทศไทย หรือทาคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการ รัฐมนตรี เห็นสมควร (รัฐมนตรีเห็นชอบ) 2. เป็นบุตร เป็นภรรยา หรือสามี ของผู้ซึ่งได้แปลงสัญชาติเป็นไทย หรือของผู้ได้กลับคืน สัญชาติไทย 3. เป็นผู้เคยมีสัญชาติไทยมาก่อน 4. เป็นสามีของผู้มีสัญชาติไทย ขอแปลงสัญชาติเป็นไทย โดยได้รับการยกเว้น ไม่จำเป็น ต้องมีคุณสมบัติ 1. อยู่ในไทยต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จนถึงวันที่ยื่นคาขอแปลงสัญชาติ 2. มีความรู้ภาษาไทย
154.
2. “แปลงให้กับบุตร” คนต่างด้าว -->
ที่มีบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทย+มีภูมิลาเนาในไทย --> สามารถขอ แปลงสัญชาติให้แก่บุตรพร้อมตนเองได้ --> บุตรต้องมีความประพฤติดี (คุณสมบัติอีก 4 ข้อยกเว้น) 3. “แปลงให้กับบุคคลอื่น” ผู้อนุบาล ผู้อนุบาล --> แปลงให้กับคนไร้ความสามารถ --> ข้อยกเว้น อาชีพ/ภาษา ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ --> ได้รับความยินยอมจากผู้เยาว์--> แปลงให้กับผู้เยาว์ซึ่งอยู่ ในความดูแลของสถานสงเคราะห์มาไม่น้อยกว่า 10 ปี --> ข้อยกเว้น บรรลุ/ภาษา ผู้รับบุตรบุญธรรม ผู้มีสัญชาติไทย --> แปลงให้กับบุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ --> ต้องจดทะเบียน รับรองบุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี + มีหลักฐานแสดงให้เชื่อได้ว่าเด็กเกิดในประเทศไทย --> ข้อยกเว้น บรรลุ/ภาษา *การอนุญาตหรือไม่อนุญาต ให้แปลงสัญชาติเป็นไทย --> ดุลยพินิจของรัฐมนตรี *รัฐมนตรี --> อนุญาต --> ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต *เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว --> ผู้ของแปลงสัญชาติ ปฏิญาณตนว่า “จะมีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อประเทศไทย” *กรณี คนไร้ความสามารถ --> รัฐมนตรี --> ยกเว้น ไม่ต้องปฏิญาณตนก็ได้
156.
หมวด 2 การเสียสัญชาติ เสียสัญชาติโดยการสละสัญชาติ 1. “ไปใช้สัญชาติของคู่สมรส” 2.
“ไปใช้สัญชาติตามบิดาหรือมารดา” 3. “ไปใช้สัญชาติเดิมก่อนการแปลงสัญชาติ” *มีการรับ + สงคราม --> รมต.อาจระงับการสละสัญชาติได้ *การอนุญาต + ไม่อนุญาตให้สละสัญชาติ --> ดุลยพินิจ ของ รมต. เสียสัญชาติ ถอนสัญชาติ สละสัญชาติ แต่งงานกับคนต่างด้าว สละสัญชาติเพื่อใช้สัญชาติตามคู่สมรส บิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว สละเพื่อใช้สัญชาติตามบิดาหรือมารดา ต้องแสดงความจานงสละสัญชาติ ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ คนต่างด้าวแปลงสัญชาติเป็นไทย สละสัญชาติไทยเพื่อกลับไปใช้สัญชาติ เดิม ต้องแสดงความจานงสละสัญชาติไทย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
157.
เสียสัญชาติโดยการถอน “รัฐมนตรีสั่ง” 1. หญิงต่างด้าว ที่ได้สัญชาติโดยการสมรส
จะถูกถอนเมื่อ - ปกปิดข้อเท็จจริง - ทาการอันกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐ หรือเหยียดหยามประเทศ - ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ปชช. 2. ได้สัญชาติเพราะเกิดในประเทศไทยโดยพ่อหรือแม่ เป็นคนต่างด้าว ถูกถอนเมื่อ - ไปอยู่ ตปท. ที่พ่อหรือแม่มีหรือเคยมีสัญชาติ ติดต่อกันเกิน 5 ปี นับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะ - มีหลักฐานแสดงว่าใช้สัญชาติ ของบิดาหรือมารดา หรือสัญชาติอื่น หรือฝักใฝ่อยู่ในสัญชาติของ บิดาหรือมารดา หรือสัญชาติอื่น - ทาการอันกระทบฯ - ทาการอันขัดต่อฯ 3. ผู้ได้สัญชาติโดยการแปลง จะถูกถอนเมื่อ - แปลงโดยปกปิดข้อเท็จจริง - มีหลักฐานว่ายังใช้สัญชาติเดิม - ทาการอันกระทบฯ - ทาการอันขัดต่อฯ - อยู่ ตปท. โดยไม่มีภูมิลาเนาในไทยเกิน 5 ปี - มีสัญชาติของประเทศที่ทาสงครามกับไทย **ผู้ซึ่งได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาติ --> เมื่อรัฐมนตรีสั่งถอนแล้ว --> นาความกราบบังคมทูลเพื่อทรง ทราบ “ศาลสั่ง” --> อัยการร้องต่อศาล เมื่อปรากฏว่า 1. การกระทาอันเป็นการกระทบกระเทือนฯ 2. ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
159.
หมวด 3 การคืนสัญชาติ มี 2
กรณี 1. กลับคืนจากการหย่า --> เสียจากการสมรส 2. กลับคืนเมื่อบรรลุนิติภาวะ --> เสียตามพ่อแม่ ชาย หรือ หญิง ยื่นความจานงต่อ “พนักงานเจ้าหน้าที่” สละสัญชาติโดยการ สมรส มีสิทธิกลับคืน สัญชาติไทย หย่าขาด จากการสมรส เสียสัญชาติตามบิดาหรือมารดา ขณะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยื่นต่อ“พนักงาน เจ้าหน้าที่” ภายใน 2 ปี จะกลับคืนสัญชาติและตามกฎหมายที่ บุคคลนั้นมีสัญชาติ นับแต่วันที่ บรรลุนิติภาวะ ตามกฎหมายไทย
160.
***ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่*** กลับคืนสัญชาติ เสียตามพ่อหรือแม่ ขณะยังไม่บรรลุนิติภาวะ เสียจากการสมรส --> หย่าจากการสมรส มีสิทธิได้คืนสัญชาติ โดยยื่นความจานง ต่อ “พนักงานเจ้าหน้าที่” -->
ยื่นคาขอต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะ ตามกฎหมายไทย และ กฎหมายที่บุคคลนั้นมี สัญชาติ
161.
หมวด 4 คณะกรรมการกลั่นกรองสัญชาติ โครงสร้าง จานวนไม่เกิน 19
คน ประกอบด้วย 1. ป.มท ประธาน 2. กรรมการโดยตาแหน่ง 1) ผู้แทน กลาโหม 2) ผู้แทน ตปท. 3) ผู้แทน พมจ. 4) ผู้แทน ยุติธรรม 5) ผู้แทน แรงงาน 6) ผู้แทน สานักงานสภาความมั่นคง 7) ผู้แทน สานักงานอัยการสูงสุด 8) ผู้แทน สนง.ตารวจแห่งชาติ 9) ผู้แทน สานักข่าวกรอง 10) ผู้แทน สนง.ป้ องกันและปราบปรามยาเสพติด 11) ผู้แทน กองอานวยการรักษาความมั่งคงในราชอาณาจักร 3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จานวนไม่เกิน 6 คน --> รมต.แต่งตั้ง จากผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ทางานด้านสัญชาติ เป็นที่ประจักษ์ --> ดารงตาแหน่ง คราวละ 2 ปี ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน 4. อปค. กรรมการและเลขานุการ 5. ขรก.ปค.(จานวน 2คน) ผู้ช่วยเลขา อานาจหน้าที่ 1. เสนอแนะ และให้ความเห็นต่อรัฐมนตรี ในการอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้บุคคลได้สัญชาติไทย และ การออกกฎกระทรวง 2. แต่งตั้งอนุกรรมการ เพื่อทาการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย **การประชุม คณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และคณะ อนุฯ ให้นากฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาบังคับใช้โดยอนุโลม อธิบดีกรมการปกครอง - แต่งตั้งผู้ช่วยเลขาฯ 2 คน - ผู้ช่วยเลขาฯ เป็น ขรก.กรมการปกครอง
162.
พรบ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 รมต.มหาดไทย รมต.ต่างประเทศ นิยาม “นายทะเบียน” เจ้าพนักงานซึ่ง รมต.แต่งตั้งขึ้น
ประกอบด้วย 1. นายทะเบียนกลาง (ผอ.ส่วนทะเบียนทั่วไป) 2. นอ. 3. ปอ.หน.กิ่ง 4. ผอ.เขต 5. นายทะเบียนประจาสานักทะเบียน 6. เจ้าพนักงานทูต หรือกงสุลไทย เป็นนายทะเบียนประจาสถานทูต ยกเว้น --> ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล --> ใช้กฎหมายครอบครัวของอิสลามแทนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “การจดทะเบียน” จดทะเบียน --> เพื่อความสมบูรณ์ “การบันทึก” จดบันทึก --> เพื่อเป็นหลักฐาน “ทะเบียนครอบครัว” มี 7 ประเภท 1. ทะเบียนสมรส 2. ทะเบียนหย่า 3. ทะเบียนรับรองบุตร 4. ทะเบียนรับรองบุตรบุญธรรม 5. ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม 6. บันทึกฐานะภริยา 7. บันทึกฐานะแห่งครอบครัว รักษาการ
163.
“ผู้มีส่วนได้เสีย” 1. คู่กรณี ที่มีนิติสัมพันธ์กัน
ในทะเบียนครอบครัว 2. คู่สมรส บุพการี ฯลฯ ของบุคคลตามข้อ 1. 3. ผู้ซึ่งนายทะเบียน เห็นว่ามีหรืออาจมีประโยชน์ส่วนได้เสียเกี่ยวกับทะเบียนครอบครัวนั้น ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม สถานที่รับจดทะเบียน 1. อาเภอ 2. สนง.เขต **เทศบาล และพัทยา --> ไม่มีอานาจรับจดทะเบียนครอบครัว --> กฎหมายยังมิได้มอบอานาจเหมือนกับ ทะเบียนราษฎร พยานในการจดทะเบียนครอบครัว ห้ามบุคคลดังต่อไปนี้เป็นพยาน 1. ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 2. บ้า หรือศาลสั่งให้เสมือนไร้ความสามารถ 3. หูหนวก เป็นไบ้หรือตาบอดทั้ง 2 ข้าง *ตาบอดข้างเดียวเป็นพยานได้ *จะเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้ ศาลต้องสั่งก่อน
164.
1. ทะเบียนสมรส การสมรสที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย หลักเกณฑ์
3 ประการ 1. ตามประมวลแพ่ง และพาณิชย์บรรพ 5 2. ต้องแสดงความยินยอม และได้รับความยินยอม 3. มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย 1. ตามเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยการสมรส คุณสมบัติ 1. ชายและหญิง ต้องมีอายุไม่ต่ากว่า 17 ปีบริบูรณ์ และต้องนาบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาให้ความ ยินยอมด้วย (ผู้ที่อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดาเนินได้เอง) 2. กรณีอายุต่ากว่า 17 ปี จะทาการสมรสได้ --> ศาลอาจอนุญาต 3. ห้ามเป็นญาติกัน 4. ห้ามผู้รับบุตรบุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม 5. ห้ามจดทะเบียนซ้อน 6. หญิงที่สามีตาย จะแต่งงานใหม่ต้องผ่านพ้นไป ไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่ - คลอดบุตรก่อนครบ 310 วัน - แต่งกับคนเดิม - มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งท้อง - ศาลสั่ง 7. ผู้เยาว์จะแต่งงาน ต้องได้รับความยินยอมจากผู้มีอานาจยินยอมตามกฎหมาย 2. แสดงความยินยอมและการได้รับความยินยอม 1. ชายและหญิง ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนและนายทะเบียนต้องบันทึกความยินยอม 2. ชายและหญิง ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะแต่งงาน ต้องได้รับความยินยอมจาก 2.1 พ่อและแม่ กรณีมีทั้ง 2 คน 2.2 พ่อหรือแม่ กรณีมีคนหนึ่งคนใด 2.3 ผู้รับบุตรบุญธรรม กรณีผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม 2.4 ผู้ปกครอง กรณีไม่มีบุคคล ตามข้อ 2.1 ,2.2 และ 2.3 หรือถูกถอนอานาจปกครอง 3. การยินยอม ทาได้3 วิธี 3.1 ลงลายมือชื่อ ในทะเบียนขณะจด 3.2 ทาเป็นหนังสือ แสดงความยินยอม 3.3 จาเป็น ยินยอมด้วยวาจา ต่อหน้าพยานที่บรรลุนิติภาวะอย่างน้อย 2 คน **การให้ความยินยอม เมื่อให้แล้ว ถอนไม่ได้
165.
3. ต้องมีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย การจดทะเบียนสมรส มี
7 วิธี 1. จดในสานักทะเบียน - ยื่น ณ สานักทะเบียนใดก็ได้ - มอบใบสาคัญการสมรส รวมทั้งกล่าวอานวยพรและแนะนาวิธีปฏิบัติในหน้าที่ ระหว่างสามีภริยาตาม สมควร *ไม่เสียค่าธรรมเนียม 2. จดนอกสานักทะเบียน - ขอให้นายทะเบียนไปจดนอกสานักทะเบียน (ต้องเป็นท้องที่ที่อยู่ในเขตอานาจปกครองของนาย ทะเบียน) - กาหนดอักษร “ก” นาหน้าเลขทะเบียน - กรณีไปจดนอกสานักในเวลาเดียวหรือใกล้เคียงกัน แยกใช้ทะเบียนโดยกาหนดหน้าตัวเลขเป็น “ข” , “ค” เพิ่มไปตามลาดับ **ผู้ร้องต้องจัดพาหนะรับส่ง หรือจ่ายค่าพาหนะให้กับนายทะเบียนตามที่จ่ายจริง *เสียค่าธรรมเนียม 200 บาท 3. จดนอกสานักในท้องที่ห่างไกล - นายทะเบียน ขออนุมัติ ผวจ. ออกไปจดในท้องที่ห่างไกล (เช่น การออกจังหวัดเคลื่อนที่) - แยกใช้ทะเบียน กาหนดตัวอักษร “ท” - ค่าธรรมเนียม 1 บาท 4. จด ณ สถานที่ รมต.มท. อนุมัติขึ้น - นายทะเบียน ขออนุมัติ รมต.มท. หรือ รมต.มท.มอบหมาย โดยผ่านจังหวัด เพื่อไปจดทะเบียน (เช่น จดทะเบียนใต้น้า) - กาหนดอักษร “ร” นาหน้าเลขทะเบียน - ค่าธรรมเนียม 20 บาท 5. ยื่นคาร้องขอจดต่อกานันท้องที่ - รมต. อนุมัติให้ ผวจ. ประกาศว่าท้องที่ใดสามารถยื่นคาร้องต่อกานันเพื่อขอจดนายทะเบียนติดประกาศ ณ สานักทะเบียนอาเภอ และที่ทาการกานันท้องที่ - มีพยาน 2 คน และต้องมีตาแหน่ง 1. ผญบ.ขึ้นไป 2. ตร.ยศร้อยตรีขึ้นไป / หน.สถานีตารวจ 3. สส. เทศมนตรี สท. ส.อบจ. 4. ทนายความ
166.
ลงลายมือชื่อต่อหน้ากานัน - ไม่เสียค่าธรรมเนียม *กานันไม่มีหน้าที่จดทะเบียน มีแค่เพียงรับคาร้องขอจดไปมอบให้กับนายทะเบียน *การสมรสจะสมบูรณ์
--> นับแต่วันที่กานันรับคาร้อง 6. แสดงวาจา หรือกิริยาต่อพยาน 6.1 แสดงตาม พรบ.แพ่งฯ 6.2 แสดงตาม พรบ.จดทะเบียนครอบครัว *ไม่เสียค่าธรรมเนียม ใกล้ความตาย สงคราม แสดงเจตนา ต่อบุคคลซึ่ง บรรลุนิติภาวะ เมื่อรอด มาจดทะเบียนภายใน 90 วันนับแต่วันที่รอด ถือว่า วันที่แสดงเจตนา เป็นวันจดทะเบียน ใกล้ตาย ยื่นคาร้อง ฝ่ายปกครอง กานันขึ้นไป ตร.ร้อยตรีขึ้นไป หน.สถานี ตร. พยาน อย่างน้อย 2 คน ซึ่งอยู่พร้อมกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตาย หรือตายทั้ง 2 ฝ่าย ผู้ได้รับคาร้อง ไปแสดงตนขอจดทะเบียน ต่อนายทะเบียนโดยไม่ชักช้า
167.
7. จด ณ
สถานทูตหรือสถานกงสุล - ไทยแต่งกับไทย หรือไทยแต่งกับฝรั่ง - ต้องการแต่งตามกฎหมายไทย - ยื่นคาร้องต่อนายทะเบียน ณ สถานทูตหรือกงสุล 2. ทะเบียนหย่า สิ้นสุดการสมรส 1. ตาย 2. จดทะเบียนหย่า 3. ศาลสั่งให้เพิกถอนการสมรส การหย่า --> ทาได้2 กรณี 1. ยินยอมทั้ง 2 ฝ่าย 2. ถ้าพิพากษาของศาล 1. การหย่าโดยยินยอมทั้ง 2 ฝ่ าย วิธีที่ 1 หย่าในสานักทะเบียน --> ไม่เสียค่าธรรมเนียม วิธีที่ 2 หย่าต่างสานักทะเบียน --> ไม่เสียค่าธรรมเนียม *การหย่าต่างสานักทะเบียน --> จะสมบูรณ์ในวันที่คู่กรณีจดทะเบียนหย่าครั้งหลัง ดังนั้น การออกใบสาคัญและวัน จด ถือเอาวันจดทาเบียนครั้งหลัง 2. หย่าโดยคาพิพากษาของศาล เหตุแห่งการหย่า ที่มีการนามาฟ้องหย่า การสมรสที่เป็นโมฆียะ มี 5 กรณี 1. อายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์ 2. สาคัญตัวผิด 3. ถูกฉ้อฉล 4. ถูกข่มขู่ 5. ผู้เยาว์ที่ไม่ได้รับความยินยอม การสมรสที่เป็นโมฆะ มี 4 กรณี 1. สมรสซ้อน 2. แต่งกับคนบ้า 3. แต่งกับญาติ 4. แต่งโดยไม่เปิดเผย หย่าในสานักทะเบียน หย่าต่อสานักทะเบียน
168.
1. อุปการะเลี้ยงดู ยกย่องชายหรือหญิงอื่นฉันสามีภริยา 2.
สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว เป็นเหตุให้ได้รับความอับอาย และถูกดูถูกเกลียดชัง 3. ทาร้ายหรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หมิ่นประมาท เหยียดหยามบุพการี ของอีกฝ่ายอย่างร้ายแรง 4. จงใจละทิ้งอีกฝ่ายเกิน 1 ปี 4.1 ต้องโทษจาคุก และได้ถูกจาคุกเกิน 1 ปี ในความผิดที่อีกฝ่ายไม่ได้ก่อ และการเป็นสามีและภริยา เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย 4.2 แยกกันอยู่เกิน 3 ปี 5. สาบสูญ หรือไปจากภูมิลาเนาเกิน 3 ปี ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดี 6. ไม่อุปการะเลี้ยงดูตามสมควร 7. เป็นบ้าเกิน 3 ปี 8. ติดทัณฑ์บนเรื่องความประพฤติ 9. เป็นโรคติดต่อร้ายแรง 10. ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล *หย่าขาด --> มีผลทันที เมื่อมีคาพิพากษาถึงที่สุด --> ไม่ต้องจดทะเบียนหย่าอีก *หย่าแบบมีเงื่อนไข --> ต้องไปจดทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียน 3. ทะเบียนรับรองบุตร - ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส --> เด็กจะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของแม่ฝ่ายเดียว - เมื่อมีการจดทะเบียนสมรส หรือจดทะเบียนรับรองบุตร --> มีผลตั้งแต่วันที่เด็กเกิด - เมื่อจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว --> จะถอนไม่ได้ - ศาลมีอานาจสั่งให้ถอนการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร - พระจดทะเบียนรับรองบุตรได้ วิธีการจดทะเบียนรับรองบุตร 1. จดใน สน.ทบ. - บิดายื่นคาร้อง --> มารดา+เด็กมาแสดงความยินยอม - กรณี เด็กและมารดาไม่มายินยอม --> นทบ.แจ้งไปยังแม่ของเด็กหรือเด็ก --> ภายใน 60 วัน นับจากการแจ้ง --> ถ้าไม่มาคัดค้าน --> สันนิษฐานว่ายินยอม กรณีอยู่ต่างประเทศ 180 วัน - คัดค้านไม่ยินยอม --> การจดฯ ต้องมีคาพิพากษาของศาล 2. จดนอก สน.ทบ. - ค่าธรรมเนียม 200 บาท - จัดหารถหรือจ่ายค่าพาหนะ 3 จดในท้องที่ห่างไกล --> นายทะเบียน ขออนุมัติ ผวจ. - ค่าธรรมเนียม 1 บาท
169.
4. ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม 1. ผู้รับบุตรบุญธรรม
ต้องมีอายุไม่ต่ากว่า 25 ปี และแก่กว่าบุตรอย่างน้อย 15 ปี 2. บุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ากว่า 15 ปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย 3. รับบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจาก 3.1 พ่อและแม่ (กรณีมีทั้ง 2 คน) 3.2 พ่อหรือแม่ (กรณีคนใดคนหนึ่งตาย) 3.3 สถานสงเคราะห์ (กรณีเด็กถูกทอดทิ้ง) 3.4 สถานสงเคราะห์ (กรณีไม่ได้ถูกทอดทิ้ง) 4. ถ้ามีคู่สมรส ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส หรือคู่สมรสไปไม่น้อยกว่า 1 ปี ต้องร้องต่อศาลให้มี คาสั่งอนุญาต 5. เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ใดแล้ว จะเป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นในขณะเดียวกันไม่ได้ยกเว้นคู่สมรส ของผู้รับบุตรบุญธรรม หรือ ยกเว้น เป็นญาติกัน ไม่ต้องทดลองเลี้ยง ผลที่เกิดจากการจดทะเบียนรับรองบุตร 1. ใช้ชื่อสกุลและรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม แต่ ผู้รับบุตรฯ ไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรฯ 2. ผู้รับบุตรฯ มีอานาจปกครองตั้งแต่วันที่จดทะเบียน 3. บิดา มารดาเดิม หมดอานาจปกครอง แต่ไม่ขาดจากบิดามารดาเดิม 4. กรณี บุตรบุญธรรมตาย ผู้รับบุตรฯ มีสิทธิเรียกทรัพย์ที่คนให้คืน ในกรณี - บุตรไม่มีคู่สมรส หรือผู้สืบสันดาน --> เรียกคืนเท่าที่ทรัพย์สินคงเหลือ หลังจากใช้หนี้แล้ว - ฟ้องเรียกคืนใน 1 ปี นับแต่ที่ทราบว่าบุตรฯ ตาย - เมื่อพ้นกาหนด 10 ปี ห้ามฟ้องคดี อธิบดีกรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ ผวจ. ทดลองเลี้ยงดูเด็ก ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
170.
5. ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม 1. ยินยอมทั้ง
2 ฝ่าย 2. คาพิพากษาของศาล 6. บันทึกฐานะภริยา 1. ผู้ที่จะบันทึกได้ต้องเป็นสามีภริยา ก่อน 1 ต.ค. 2478 2. บันทึกได้2 ฐานะ - เมียหลวง --> บันทึกได้คนเดียว - เมียน้อย --> บันทึกได้หลายคน 3. บันทึกได้เฉพาะผู้ที่มายื่นคาร้องเท่านั้น 7. บันทึกฐานะแห่งครอบครัว - บันทึกเกี่ยวกับฐานะครอบครัวที่กระทาใน ตปท. และนาหลักฐานมาบันทึกให้ไปปรากฏในประเทศ หลักเกณฑ์ 1. ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยฐานะแห่งครอบครัว 2. กระทาไว้ใน ตปท. 3. คนไทยด้วยกัน หรือฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย 4. นาเอกสาร แปลเป็นไทยและบิดารับรองถูกต้อง
171.
พรบ.คำนำหน้ำนำมหญิง รมต.มท. รมต.ตปท. รักษาการ รมต.พมจ. *บังคับใช้หลัง 120
วัน อายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่ได้จดทะเบียนสมรส นางสาว จดทะเบียนสมรสแล้ว ใช้นาง หรือนางสาว ตามความสมัครใจ หย่าแล้ว ใช้นาง หรือนางสาว ตามความสมัครใจ
172.
พรบ.ชื่อบุคคล พ.ศ.2505 รมต.มท. -->
รักษาการ นิยาม ชื่อตัว --> ชื่อประจาตัวบุคคล ชื่อรอง --> ชื่อประกอบถัดจากชื่อตัว ชื่อสกุล --> ชื่อประจาวงศ์สกุล นายทะเบียน 1. นายทะเบียนท้องที่ --> นอ./ปอ.หน.กิ่ง 2. นายทะเบียนจังหวัด --> ผวจ. 3. นายทะเบียนกลาง --> ผอ.ส่วนทะเบียนทั่วไป สานักบริหารการทะเบียน *กฎหมายบังคับให้มีชื่อตัว และชื่อสกุล (ชื่อรองไม่บังคับ) หลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวและชื่อรอง 1. ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับ พระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี และราชทินนาม และไม่มีคา หรือความหมายหยาบคาย 2. ชื่อรองต้องไม่มีลักษณะเหมือนข้อ 1. 3. คู่สมรสอาจใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายเป็นชื่อรองได้เมื่อได้รับความยินยอม 4. ผู้ได้รับบรรดาศักดิ์ และไม่เคยถูกถอดออก จะใช้ทินนามเป็นชื่อตัวหรือชื่อรองได้ ยกเว้น ใช้นามสกุลของผู้รับบุตรฯ ไม่ได้ ยกเว้น ได้รับพระบรมราชานุญาต การอุทธรณ์คาสั่ง นายทะเบียน สั่งไม่รับจดทะเบียนชื่อสกุล บุตรบุญธรรม ใช้ชื่อสกุลของบิดา ได้ อุทธรณ์ รมต.มท ภายใน 30 วัน ยื่นผ่านนายทะเบียนท้องที่ บุตรบุญธรรม ไม่ได้เป็นผู้สืบสายราชตระกูล
173.
การตั้งชื่อสกุล 1. ไม่พ้องหรือมุ่งหมายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี 2.
ไม่พ้องหรือมุ่งหมายกับราชทินนาม เว้นแต่ของตนเอง บุพการี 3. ไม่ซ้ากับชื่อสกุลที่ได้รับพระราชทานหรือได้จดทะเบียนไว้แล้ว 4. ไม่มีความหมายหยาบคาย 5. ไม่เกิน 10 พยัญชนะ เว้นแต่ใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล 6. ห้ามใช้ “ณ” 7. ห้ามเอานามพระนคร มาตั้งนามสกุล กรณีแต่งงานใหม่ คู่สมรสตาม กฎหมาย จะใช้ชื่อสกุล ของอีกฝ่าย หรือใช้ชื่อสกุลเดิม ของตนเองก็ได้ อย่า ต้องไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตนเอง คู่สมรสตาย มีสิทธิใช้ชื่อสกุล ของผู้ตายต่อไปได้ ต้องกลับไปใช้ นามสกุลเดิมของตนเอง บิดา ห้ามบุตรใช้ชื่อสกุล ของบิดา ไม่ได้ แต่ บุตร ไม่ใช้ชื่อสกุลของบิดา ได้
174.
ค่าธรรมเนียม รายการ พรบ. กฎกระทรวง 1.
เปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อรอง 100 50 2. ตั้งชื่อสกุล 200 100 3. เปลี่ยนชื่อสกุล 3.1 เพราะแต่งงาน - ครั้งแรกหลังจากทดทะเบียนหรือหลังจากการหย่า - เปลี่ยนครั้งต่อไป - เปลี่ยนนามสกุลเพราะเหตุอื่น ฟรี 100 200 ฟรี 50 100 4. ใบแทน 50 25
175.
ทะเบียนนิติกรรม นิติกรรม การใดๆ อันทาโดยชอบด้วยกฎหมาย +
ด้วยใจสมัคร + มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ --> ระหว่าง บุคคล --> เพื่อ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิ ลักษณะของนิติกรรม 1. ซื้อขาย 2. ขายฝาก 3. แลกเปลี่ยน 4. ให้ 5. เช่าทรัพย์ 6. จานอง ประเภทของนิติกรรม --> 2 ประเภท 1. นิติกรรมฝ่ายเดียว --> เช่น นิติกรรม 2. นิติกรรม 2 ฝ่าย --> เช่น การซื้อขาย แลกเปลี่ยน การแสดงเจตนาในการทานิติกรรม --> 4 แบบ 1. ทาเป็นหนังสือ + จดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ เช่น ซื้อขายที่ดิน เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี 2. จดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ --> เช่น จดทะเบียนสมรส ,รับรองบุตร 3. ทาหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ + ไม่จดทะเบียน --> เช่น พินัยกรรมแบบเอกสารลับ 4. ทาเป็นหนังสือกันเอง --> เช่น เช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 3 ปี ,ยืมเงินเกิน 2,000 ก่อตั้งมูลนิธิ ทาพินัยกรรมแบบธรรมดา/แบบเขียนเองทั้งฉบับ งานทะเบียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการปกครอง 1. เรือกาปั่น/เรือที่มีระวางตั้งแต่ 6 ตัน แต่ต่ากว่า 20 ตัน 2. เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตน แต่ต่ากว่า 20 ตัน 3. แพ (มีคนอยู่) 4. สัตว์พาหนะ *1 ,2 ,3 ,4 --> ต้องทาเป็นหนังสือ + จดทะเบียน --> ต่อเจ้าหน้าที่
176.
ขนาดของเรือที่ต้องจดทะเบียน 1. เรือกาปั่นหรือเรือที่มีระวางตั้งแต่ 6
ตันขึ้นไป แต่ต่ากว่า 20 ตัน 2. เรือลาน้าที่ไม่ใช้เรือกล ขนาดตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป แต่ต่ากว่า 50 ตัน 3. เรือกลขนาดตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แต่ต่ากว่า 10 ตัน รวมทั้งเรือกลบางชนิดที่มีขนาดเกินกว่า 10 ตัน แต่ไม่ได้มีเพื่อการค้า (มีเพื่อการท่องเที่ยว) *แพ --> จานองไม่ได้ --> เพราะแพไม่มีกฎหมายให้จดทะเบียน แลกเปลี่ยน ซื้อขาย ขายฝาก ให้ จานอง จดทะเบียนต่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง (นอ.)
177.
ทะเบียนพินัยกรรม ความหมาย คำสั่งสุดท้ำย --> แสดงเจตนำในเรื่องทรัพย์สิน
+ กิจกำรต่ำงๆ ประเภทของพินัยกรรม --> 5 แบบ 1. แบบธรรมดำ 2. แบบเขียนเองทั้งฉบับ 3. แบบเอกสำรฝ่ำยเมือง 4. แบบเอกสำรลับ เกี่ยวข้องกับอำเภอ 5. แบบทำด้วยวำจำ เงื่อนไขการทาพินัยกรรม 1. อำยุ 15 ปีบริบูรณ์ 2. ผู้เขียน + พยำน (คู่สมรสของผู้เขียน/พยำน) ในพินัยกรรม --> รับทรัพย์ตำมพินัยกรรมไม่ได้ ลงลายมือชื่อ - ไม่สำมำรถลงลำยมือชื่อได้--> ให้พิมพ์ลำยนิ้วมือ + พยำน 2 คนรับรอง บุคคลที่เป็นพยานไม่ได้ 1. ไม่บรรลุนิติภำวะ 2. วิกลจริตหรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถ 3. คนที่หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอดทั้ง 2 ข้าง
178.
พินัยกรรม ประเภท ลักษณะ 1. แบบธรรมดำ
- ทำเป็นหนังสือ + ลง ว/ด/ป --> ขณะทำ - ผู้ทำลงชื่อต่อหน้ำพยำน 2 คน - พยำน 2 คน ลงชื่อรับรองผู้ทำพินัยกรรม *ขูด แก้ไข ลบ เติม --> พินัยกรรมไม่สมบูรณ์ 2. แบบเขียนเองทั้งฉบับ - เขียนด้วยมือ *ขูด แก้ไข ลบ ตก เติม --> ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น ผู้ทำ --> ลงชื่อกำกับ 3. แบบเอกสำรฝ่ำยเมือง - ผู้ทำแจ้งข้อควำมที่ต้องกำร --> ไว้ในพินัยกรรม --> ต่อ นอ. + พยำน 2 คน พร้อมกัน - นอ.จดข้อควำม และอ่ำนข้อควำมให้ผู้ทำ + พยำน ฟัง - ผู้ทำ + พยำน --> เห็นว่ำถูกต้อง --> ผู้ทำ + พยำน ลงชื่อ - นอ.ลงชื่อ + ว/ด/ป + ประทับตรำตำแหน่ง - ระหว่ำงผู้ทำยังไม่ตำย --> นอ.เปิดเผยไม่ได้ ผู้ทำ --> จะเรียกเอำพินัยกรรมตอนไหนก็ได้ --> ก่อนส่งมอบ นอ. --> คัดสำเนำ พินัยกรรมแล้วลงชื่อ + ประทับตรำ *ขูด แก้ไข ตก เติม --> ไม่สมบูรณ์ ยกเว้น ผู้ทำ + พยำน + นอ.ลงชื่อกำกับ 4. แบบเอกสำรลับ - ผู้ทำปิดผนึกพินัยกรรม + ลงชื่อที่คำบรอยผนึกนั้น - นำไปแสดงต่อ นอ. + พยำน 2 คน - ผู้ทำแจ้งเป็นวำจำว่ำพินัยกรรมนั้นเป็นของตน - นอ.จดคำพูด + ลง ว/ด/ป + ประทับตรำ - นอ. + ผู้ทำ + พยำน ลงชื่อบนซอง - ระหว่ำงที่ผู้ทำยังไม่ตำย --> นอ.เปิดเผยไม่ได้ กรณี ผู้ทำเป็นทั้ง ใบ้+ หูหนวก/พูดไม่ได้ --> เขียนด้วยตนเองบนซองแทน 5. แบบวำจำ - ผู้ทำอยู่ในอันตรำย ใกล้ตำย สงครำม ฯลฯ - ผู้ทำแสดงวำจำต้องกำรทำพินัยกรรม ต่อหน้ำพยำน 2 คน --> ซึ่งอยู่พร้อมกัน - พยำนรับไปหำ นอ. โดยไม่ชักช้ำ --> แจ้งข้อควำม + ว/ด/ป สถำนที่ที่ทำพินัยกรรม - นอ. จดข้อควำม --> พยำนลงชื่อ *มีผลสมบูรณ์เพียง 1 เดือน --> นับแต่วันที่ผู้ทำกลับมำทำพินัยกรรมแบบอื่นได้
179.
แสดงคำร้อง --> ต่อ
นอ. ณ ที่ว่ำกำรอำเภอ *กำรสละมรดก --> ทำบำงส่วน/ทำโดยมีเงื่อนไข/เรื่องเวลำ --> ไม่ได้ สละมรดกแล้ว --> ถอนคืนไม่ได้
180.
ทะเบียนเกาะ ความหมาย ส่วนของแผ่นดินที่มีน้ำล้อมรอบโดยตลอด และมีขนำดเล็กกว่ำแผ่นดินที่เป็นทวีป หลักเกณฑ์การพิจารณาเกาะ -->
มท. 1. เป็นเกำะตำมควำมเข้ำใจของคนทั่วไป 2. ส่วนมำกเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ 3. เป็นเกำะถำวรที่มีสภำพเป็นเกำะมำนำน + คงสภำพเป็นเกำะอีกต่อไป *น้ำลงมีแผ่นดินเกิดขึ้น แต่น้ำขึ้นท่วมหมด --> ไม่ใช่เกำะ เกาะ ตามกม.แพ่งฯ เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน --> ใช่ประโยชน์ร่วมกัน 1. โอนแก่กันไม่ได้ --> เว้นแต่ อำศัยกฎหมำยเฉพำะ/พรฎ. 2. เอำอำยุควำมขึ้นต่อสู่แผ่นดินไม่ได้ 3. ยึดทรัพย์ของแผ่นดินไม่ได้ การดูแลรักษาเกาะ 1. กม.ที่ดิน --> อธิบดีกรมที่ดิน ดูแล 2. คำสั่ง มท. - จังหวัด --> ดูแลนอกเขตเทศบำล - เทศบำล --> ดูแลในเขตเทศบำล 3. กม.ปกครองท้องที่ --> นอ.ร่วมกับ อปท. ดูแลและคุ้มครองที่ดินสำธำรณประโยชน์ในเขตอำเภอ *เกำะที่ขึ้นทะเบียน จำนวน 857 เกำะ ใน 30 จังหวัด *จังหวัด + อำเภอ --> สำรวจเกำะ
181.
พรบ.ทะเบียนสัตว์พาหนะ *ไม่บังคับใช้กับสัตว์พาหนะของทหาร เว้นแต่ โอนกรรมสิทธิ์ให้ประชาชน ความหมาย “สัตว์พาหนะ”
--> ช้าง ม้า โค กระบือ ล่อ ลา ซึ่งได้ทาตั๋วรูปพรรณ ตาม พรบ. “ตาหนิรูปพรรณ” --> ลักษณะสัณฐานโดยเฉพาะของสัตว์พาหนะแต่ละตัว ซึ่งเป็นอยู่เองหรือทาให้มีขึ้น สัตว์ที่ต้องทาตั๋วรูปพรรณ 1. ช้าง --> ที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 8 2. ม้า โคตัวผู้ กระบือ ล่อ ลา --> ที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 6 3. ช้าง ม้า โค กระบือ ล่อ ลา --> ใช้ขับขี่ ลากเข็ญ หรือใช้งานแล้ว 4. ช้าง ม้า โค กระบือ ล่อ ลา --> ที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 4 --> จะนาออกไปนอกราชอาณาจักร 5. โคตัวเมีย หรือสัตว์อื่นๆ มีอายุย่างเข้าปีที่ 6 --> จะโอนกรรมสิทธิ์ ยกเว้นรับมรดก นายทะเบียน 1. นอ./ผู้ทาการแทน 2. ปอ.หน.กิ่ง การจดทะเบียน 1. เจ้าของ/ตัวแทน + ผญบ./พยาน --> นาสัตว์มาขอจด --> นายทะเบียนตรวจสอบตาหนิรูปพรรณแล้ว ตรวจสอบหลักฐาน --> ชาระค่าธรรมเนียมจด 2. เดือน ก.พ. ของทุกๆปี --> นายทะเบียนประกาศรายตาบล --> ในเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน --> ให้มาจด ทะเบียนสัตว์ ตั๋วหาย - แจ้งความต่อนายทะเบียน เพื่อรับใบแทนตั๋วรูปพรรณ - นายทะเบียนสอบสวน เก็บค่าธรรมเนียม ออกใบแทน - คนเก็บตั๋วได้ส่งคืนเจ้าหน้าที่ ภายใน 15 วันนับจากวันที่เก็บได้ *กรณีตาหนิรูปพรรณของสัตว์คลาดเคลื่อน นาสัตว์พร้อมตั๋วไปแก้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ทราบ ยกเว้น ค่าธรรมเนียม
182.
การโอน 1. ผู้โอนและผู้รับโอน นาสัตว์และตั๋วจดทะเบียน
ณ สานักทะเบียน 2. นายทะเบียนตรวจสอบ แล้วสลักหลังตั๋วโอนกรรมสิทธิ์ 3. สัตว์ต่างท้องที่ (ต่างอาเภอ) นายทะเบียนรับสัตว์ขึ้นทะเบียนก่อน การรับมรดก ผู้รับ นาพยานพร้อมตั๋ว แจ้งนายทะเบียน นายทะเบียนประกาศมรดก มีกาหนด 30 วัน ถ้าไม่มีใครคัดค้าน เรียกเก็บค่าธรรมเนียม แก้ทะเบียนและตั๋วให้กับผู้รับมรดก กรณีมีผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านฟ้องศาลในกาหนดไม่เกิน 60 วัน สัตว์ตาย แจ้งและส่งมอบตั๋วรูปพรรณ ต่อนายทะเบียนหรือกานัน ภายใน 15 วันนับจากวันที่ทราบว่าสัตว์ตาย
183.
สมาคม มูลนิธิ นายทะเบียนสมาคม กทม. -->
อปค. ตจว. --> ผวจ. นายทะเบียนมูลนิธิ กทม. --> ป.มท. ตจว. --> ผวจ. มูลนิธิ เป็นทรัพย์สินที่จัดสรรไว้เฉพาะสาหรับวัตถุประสงค์เพื่อกุศล สาธารณะ ศาสนา วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา (ไม่ต่ากว่า 200,000) หรือสาธารณประโยชน์ โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งกัน (ไม่ต่ากว่า 500,000)
184.
พรบ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 รมต.มท. --> รักษาการ รมต.กลาโหม --> ร่วมออกกฎกระทรวงกับ รมต.มท. --> มาตรา 5 วรรค 2 และ มาตรา 55 รมต.คลัง --> ออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับศุลกากร นายกรัฐมนตรี --> รักษาการ --> คาสั่งคสช. ฉบับที่ 87/2557 10 ก.ค. 2557 นิยาม อาวุธปืน --> อาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิดหรือกาลังดินของแก๊ส หรืออัดลม หรือ เครื่องกล --> ต้องอาศัยอานาจพลังงานและส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธนั้น เครื่องกระสุนปืน --> ลูกระเบิด ตอปิโด ทุ่นระเบิด และจรวด --> มี/ไม่มีกรดแก๊ส เชื้อเพลิง เชื้อโรค ไอพิษ หมอกหรือควัน วัตถุระเบิด --> วัตถุที่สามารถส่งกาลังอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลัน ดอกไม้เพลิง --> รวมถึง พลุ ประทัดไฟ ประทัดลม และวัตถุอื่นใด อันมีสภาพคล้ายคลึงกัน สิ่งเทียมอาวุธปืน --> สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าให้หลงเชื่อว่าเป็นอาวุธปืน นายทะเบียน --> รมต.แต่งตั้ง กทม. --> อปค. ตจว. --> 1. ผวจ. --> เขตจังหวัด 2. นอ. --> เขตอาเภอ 3. ปอ.หน.กิ่ง --> เขตกิ่งอาเภอ จนท.ตรวจสอบจานวนอาวุธปืน ฯลฯ ในร้านค้า และร้านประกอบซ่อม กทม. --> อปค. ตจว. --> 1. ผวจ. 2. นอ. 3. ปอ.หน.กิ่ง เจ้าพนักงานอนุญาตย้ายวัตถุระเบิด ย้ายระหว่างจังหวัด --> ป.มท. ใน กทม. --> อปค. ในจังหวัด --> ผวจ. ในอาเภอ --> นอ. ในกิ่ง --> ปอ.หน.กิ่ง
185.
เจ้าพนักงานออกใบอนุญาตนาอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิด
ผ่านราชอาณาจักร กทม. --> ป.มท. ตจว. --> ผวจ. เจ้าพนักงานออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนติดตัวไปได้ --> ใบ ป.12 1. ผบ.ตร. --> ในกทม. และทั่วราชอาณาจักร 2. ผวจ. --> เฉพาะในเขตจังหวัดของตน และเฉพาะผู้มีถิ่นที่อยู่ในเขตจังหวัด อาวุธปืนที่อนุญาตให้พกพา 1. บุคคลทั่วไป --> โดยหลัก จะอนุญาตให้ขนาดไม่เกิน .38 หรือ 9 มม. 2. ขรก. เจ้าพนักงาน พนักงานองค์การรัฐวิสาหกิจ --> กรณี เคยได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ขนาด .357 .45 หรือ 11 มม. ข้อห้ามเกี่ยวกับปืนส่วนบุคคล 1. ห้าม ทา ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนาเข้าอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุน --> เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก นายทะเบียนท้องที่ 2. ห้ามมีกระสุนปืน ขนาดที่ไม่ตรงกับขนาดของปืนที่ได้รับอนุญาต 3. ห้ามพกอาวุธติดตัวไปในตัวเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้น มีเหตุจาเป็นเร่งด่วน --> และห้ามพาปืนไปในที่มีงานรื่นเริน ข้อห้ามของร้านค้าที่ขายปืนและกระสุน 1. ห้ามทา ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นาเข้า หรือจาหน่าย ปืน/กระสุนปืน โดยไม่ได้รับ อนุญาตจากนายทะเบียน --> รมต.อนุมัติ **การต่อใบอนุญาตร้านค้าปืน --> มีอายุ 1 ปี กทม. --> ป.มท. --> อนุมัติ ตจว. --> ผวจ. --> ตามที่ รมต.มอบหมาย 2. ห้ามขายปืน + กระสุน --> ให้กับผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อหรือมีปืน + กระสุน ห้ามออกใบอนุญาตปืนและเครื่องกระสุนให้กับคนต่อไปนี้ 1. ต้องโทษจาคุกตามความผิดทางอาญา กรณี ฆ่าผู้อื่น --> พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษถึงวันยื่นคาขอใบอนุญาต 2. คนซึ่งต้องโทษจาคุก --> ในความผิดที่ฝ่าฝืน พรบ.นี้ 3. ต้องโทษจาคุกตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป --> ในระหว่าง 5 ปี ย้อนหลังจากวันยื่นคาขอ เว้นแต่ ความผิด ประมาท หรือลหุโทษ 4. ไม่บรรลุนิติภาวะ
186.
5. พิการ หรือทุพพลภาพ
--> ไม่สามารถใช้ปืนได้ยกเว้น เพื่อเก็บ 6. คนไร้ฯ หรือคนเสมือนไร้ หรือคนบ้า หรือคนไม่สมประกอบ 7. คนไม่มีอาชีพ และรายได้ 8. คนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง 9. คนที่มีความประพฤติชั่วร้าย กระทบถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชน **ใบอนุญาต --> ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน + ถิ่นที่อยู่ประจาในท้องที่ที่ขออนุญาต --> ไม่น้อยกว่า 6 เดือน สั่งอาวุธปืนนาเข้า ระเบิด --> ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี นับแต่วันออก 1. 2. ห้ามย้าย วัตถุระเบิดจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานศุลกากรมอบ นาไปขอใบอนุญาต มีและใช้ ต่อนายทะเบียนท้องที่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับมอบหมาย จากเจ้าพนักงานศุลกากร ออกใบอนุญาต มีและใช้ปืน ภายใน 15 วัน (กรณีซื้อในประเทศ) ทา ซื้อ มี สั่งหรือนาเข้า ค้า จาหน่าย นายทะเบียนอนุญาต ป.มท. อนุมัติ
187.
ดอกไม้เพลิง --> ใบอนุญาตมีอายุ
1 ปี นับจากวันออก สิ่งเทียมอาวุธปืน --> ใบอนุญาตมีอายุ 1 ปี นับแต่วันออก ข้อห้าม 1. ห้ามไม่ให้ 2. ห้ามนา ทา สั่ง นาเข้า ค้า นายทะเบียนท้องที่ อนุญาต ทา สั่ง นาเข้า ค้า นายทะเบียนอนุญาต โอนปืน โอนกระสุน โอนระเบิด ให้กับผู้ไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ ปืน เครื่องกระสุน ผ่านราชอาณาจักร รมต./จพง.ที่ รมต. แต่งตั้ง
188.
อายุของใบอนุญาตแต่ละประเภท 1. ใบอนุญาตให้ทาดินปืน มีควันสาหรับใช้เอง และได้รับใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืน
ซึ่งใช้ดินปืนมีควัน --> ตลอดอายุการใช้งาน 2. ใบอนุญาตให้ซื้อปืน (ใบ ป.3) --> 6 เดือน นับแต่วันออก 3. ใบอนุญาตมีและใช้ อาวุธปืน และเครื่องกระสุน (ใบ ป.4) --> ตลอดอายุ 4. ใบอนุญาตมีและใช้ปืน และเครื่องกระสุน ชั่วคราว --> 6 เดือนนับแต่วันออก 5. ใบอนุญาตให้สั่งและนาเข้า (ป.2) --> 1 ปีนับแต่วันออก 6. ใบอนุญาตให้มีปืนไว้เพื่อเก็บ --> ตลอดอายุ 7. ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (ใบ ป.12) --> 1 ปีนับแต่วันออก อุทธรณ์ใบอนุญาต **ปืนที่ได้รับอนุญาต --> ถูกทาลาย/สูญหาย --> แจ้งเหตุและส่งมอบใบอนุญาต --> ให้นายทะเบียนท้องที่ ซึ่งตนอยู่หรือท้องที่ที่เกิดเหตุ --> ภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบ บุคคลที่ พรบ. นี้ยกเว้น 1. ปืน กระสุน ระเบิด ดอกไม้เพลิง สิ่งเทียมอาวุธปืน ก. ทหาร หรือตารวจ ที่มี หรือใช้ในราชการ ข. หน่วยงานราชการที่มี หรือใช้ป้ องกันประเทศ/รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ค. ราชการ/รัฐวิสาหกิจ มีและใช้ในการป้ องกัน และรักษาทรัพย์สิน อันสาคัญของรัฐ ง. ราชการทหาร และตารวจ ตาม (ก)/หน่วยงานราชการตาม (ข) ที่มอบให้ประชาชน มีและใช้เพื่อ ช่วยเหลือราชการ 2. ปืน กระสุน ประจาเรือเดินทะเล รถไฟ และอากาศยาน --> พนักงานศุลกากรตรวจตามกฎหมายแล้ว 3. ดอกไม้เพลิงประจาเรือเดินทะเล อากาศยาน และสนามบิน อุทธรณ์ต่อ รมต. คาวินิฉัยถือเป็นที่สิ้นสุด ในกาหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แจ้งไม่อนุญาต ยื่นคาอุทธรณ์ ต่อ นายทะเบียนท้องที่
189.
ใบอนุญาตเพื่อใช้ 1. ใช้ในการป้ องกันตัว 2.
ป้องกันทรัพย์สิน 3. ในการกีฬาหรือยิงสัตว์ ใบอนุญาตเพื่อเก็บ --> ห้ามยิงและห้ามมีเครื่องกระสุน 1. ชารุด จนยิงไม่ได้ 2. ปืนแบบพ้นสมัย 3. ปืนได้เป็นรางวัลจากการแข่งขันยิงปืนในทางราชการ ใบอนุญาตหาย/ชารุด (ใบ ป.4) ยื่นขอรับใบแทน ต่อนายทะเบียน --> ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ทราบเหตุ บุคคลรับรอง กรณี ขอมีและใช้ปืน - บุคคลทั่วไป --> กานัน ผญบ. --> รับรอง - ขรก. พนักงาน/ลูกจ้าง --> ผู้บังคับบัญชาไม่ต่ากว่า 1. ขรก.พลเรือน --> หน.กอง/เทียบเท่า 2. ขรก.ตร. --> ผู้กากับการ รับรอง 3. ขรก.ทหาร --> ผู้บังคับกองพัน การโอนปืน (มรดก) ผู้รับอนุญาตตาย ผู้ครอบครองปืน เครื่องกระสุน ระเบิด/ใบอนุญาตของผู้ตาย แจ้งนายทะเบียนท้องที่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบการตาย ประกาศขอรับมรดกเป็นเวลา 30 วัน 1. ท้องที่ที่ผู้มีใบอนุญาตตาย หรือ 2. ท้องที่ที่ผู้มีปืนขึ้นทะเบียนอยู่ 3. ท้องที่ที่ผู้ครอบครองมีภูมิลาเนา
190.
ย้ายอาวุธปืน ย้ายออก --> ยื่นคาขอต่อ
นทบ.ท้องที่ที่ปืนขึ้นทะเบียนไว้--> ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายออก ย้ายเข้า --> ยื่นคาขอต่อ นทบ. ท้องที่ที่ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ --> ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายทะเบียน เข้าไปอยู่ใหม่ ชนิด และขนาดของปืน ที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ 1. ปืนชนิดลากล้องมีเกลียว --> ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางปากลากล้องไม่เกิน 11.44 มม. 2. ปืนชนิดลากล้องไม่มีเกลียว 2.1 ความยาวลากล้องไม่เกิน 160 มม. 2.2 ปืนบรรจุปาก ปืนลูกซอง และปืนพลุสัญญาณ 3. ปืนชนิดที่เครื่องกลไก สาหรับบรรจุกระสุนเอง ให้สามารถยิงซ้าได้ 3.1 ความยาวของลากล้องไม่เกิน 160 มม. 3.2 ปืนลูกซอง 3.3 ปืนลูกกรด --> ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางปากลากล้องไม่เกิน 5.6 มม. 4. ปืนชนิดไม่มีเครื่องบังคับเสียง ให้เบาผิดปกติ 5. ปืนชนิดที่ไม่ใส่กระสุน เป็นที่บรรจุเคมีทาให้เกิดอันตราย หรือเป็นพิษ หรือไม่ใช้กระสุนบรรจุเชื้อ โรคเชื้อเพลิง หรือกัมมันตภาพรังสี ส่วนประกอบของปืน ดังนี้ให้ถือเป็นอาวุธปืน 1. ลากล้อง 2. เครื่องลูกเลื่อน --> หรือส่วนประกอบสาคัญของเครื่องลูกเลื่อน 3. เครื่องลั่นไก --> หรือส่วนประกอบของเครื่องลั่นไก 4. เครื่องส่งกระสุน ซองกระสุน --> หรือส่วนประกอบสาคัญของส่วน
191.
อัตราค่าธรรมเนียม บทลงโทษ
192.
พรบ. โรงแรม พ.ศ.2547 รมต.มท.
--> รักษาการ ยังคับใช้เมื่อพ้น 180 วัน ความหมาย สถานที่พัก ที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจ เพื่อให้บริการที่พักชั่วคราว สาหรับคนเดินทาง หรือ บุคคลอื่นใด โดยมีค่าตอบแทน ไม่รวมถึง 1. ที่พักชั่วคราวของ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรหมาชน หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ เพื่อการกุศล หรือ การศึกษา ไม่ใช่เป็นการหากาไร 2. คิดค่าบริการเป็นรายเดือนขึ้นไป เท่านั้น 3. สถานที่พักอื่นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ได้แก่ โฮมสเตย์ 3.1 ห้องพักในอาคารเดียวหรือหลายอาคารรวมกัน --> ไม่เกิน 4 ห้อง 3.2 ผู้พักไม่เกิน 20 คน 3.3 เพื่อหารายได้เสริม 3.4 แจ้งให้นายทะเบียนทราบ ตามแบบที่ รมต.กาหนด นายทะเบียน กทม. --> อปค. ตจว. --> ผวจ. พนักงานเจ้าหน้าที่ 1. ตร.สัญญาบัตรขึ้นไป 2. ขรก.พลเรือน ระดับ 3 ขึ้นไป 3. ขรก./พนักงานส่วนท้องถิ่น ระดับ 3 ขึ้นไป
193.
คณะกรรมการส่งเสริมและกากับธุรกิจโรงแรม จำนวน 24 คน หน้าที่ 1.
แนะนำ รมต. ในกำรออกประกำศกำหนดเขตท้องที่ใด เป็นเขตงดออกใบอนุญำต 2. พิจำรณำวินิจฉัยอุทธรณ์ 3. เสนอแผนและมำตรกำรต่ำงๆ 4. เสนอควำมเห็นต่อ รมต. ในกำรปรับปรุงกฎหมำย 1. ป.มท. ประธำน 2. เลขำ BOI 3. ผบ.ตร. 4. อปค. 5. อ.โยธำและผังเมือง 6. อ.ส่งเสริมกำรปกครองส่วนท้องถิ่น 7. อ.อนำมัย 8. ผอ.สนง.นโยบำยและแผนทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม 9. ผู้ว่ำ ททท. 10. ผท.ท่องเที่ยวและกีฬำ 11. ผท.วัฒนธรรม 12. นำยกสมำคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว 13. นำยกสมำคมธุรกิจท่องเที่ยวภำยในประเทศ 14. นำยกสมำคมโรงแรมไทย 15. ผท.โรงแรมไทย 16. ผท.สภำอุตสำหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 17. 18. 19. 20. 21. 22. ผท.ปค. เลขำ 23. ผท.สำนักงำนตำรวจแห่งชำติ (สตช) 24. ผท.กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) *ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน *คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง *กระจำยผู้มีควำมรู้ด้ำนโรงแรมแต่ละประเภท *อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี ไม่เกิน 2 วำระติด ผช.เลขำ เอกชน
194.
หมวด 2 การประกอบธุรกิจโรงแรม ประเภทโรงแรม ยกเว้น 1. อยู่ในเขต
Zoning 2. นอกเขต Zoning แต่ปิดหลัง 24.00 น. 3. อยู่ในเขตท้องที่งดอนุญาต แต่ปิดหลัง 24.00 *กรณีนี้ไม่เกิน 80 ห้อง ก็มีสถานบริการได้ การกาหนดพื้นที่ (Zoning) --> รมต.มท ประกาศ ก็คือ ประกาศมหาดไทย --> พื้นที่งดออกใบอนุญาต ศีลธรรมอันดีของประชำชน เขตงดออกใบอนุญำต รักษำควำมสงบเรียบร้อย โดยรมต. ประกำศ คณะกรรมกำรฯ แนะนำ
195.
คุณสมบัติผู้ขออนุญาต 1. ไม่ต่ากว่า 20
ปีบริบูรณ์ 2. ภูมิลาเนา หรือท้องถิ่นที่อยู่ในไทย 3. ไม่ล้มละลาย 4. ไม่ไร้ หรือเสมือนไร้ 5. ไม่เคยต้องคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก ยกเว้น ประมาท หรือลหุ 6. ไม่เคยต้องคาพิพากษาถึงที่สุด ในความผิด เพศ ยาเสพติด ค้าหญิงและเด็ก ค้าประเวณี 7. ไม่อยู่ในระหว่างถูกพักใช้ใบอนุญาต 8. แบน 3 ปี หลังจากถูกเพิกถอนใบอนุญาต ยกเว้น ข้อ 6. ข้อยกเว้น สาหรับโรงแรมที่ประกอบโดยไม่ได้รับอนุญาต โรงแรมที่ได้รับอนุญาตก่อน 23 พ.ค. 51 มายื่นต่อใบอนุญาตจะได้รับการยกเว้น เช่น 1. ที่ตั้งใกล้เคียงกับโบราณสถาน ศาสนสถาน 2. ห้องน้า ก็ต้องแยก ชาย หญิง 3. ขนาดทางเดิน (ที่ต้องไม่น้อยกว่า 1.50 ม.) 4. ขนาดห้องพัก 5. ความผิดเกี่ยวกับจานวนห้องของโรงแรม ประเภท 3 และ 4 สถานที่ยื่นขอใบอนุญาต กทม. --> ศูนย์บริการประชาชน กรมการปกครอง ตจว. --> ที่ว่าการอาเภอที่เป็นที่ตั้งของโรงแรม ใบอนุญาต *อายุ *ต่ออายุ อำยุใบอนุญำต 5 ปี นับแต่วันออก ต่ออำยุ ใบอนุญำต ยื่นก่อนวันที่ใบ อนุญำตสิ้นอำยุ ยื่นแล้วถือว่ำอยู่ในฐำนะผู้รับใบอนุญำต จนกว่ำจะมีคำสั่งถึงที่สุดไม่อนุญำต
196.
กรณียื่นไม่ทันก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ ใบแทน *การโอนใบอนุญาต ต้องโอนภายใน 180
วัน นับแต่ผู้ประกอบกิจการตาย *ผู้ประกอบกิจการ ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีห้องละ 40 บาท --> ถ้าไม่เสียในเวลาที่กาหนด เสียเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 5 ต่อเดือน สถานที่ตั้งของโรงแรม 1. มีกฎหมายควบคุมอาคาร - หลักฐานแสดงว่าได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นอาคาร โรงแรม หรือ - ใบรับรองการตรวจสอบสภาพอาคาร 2. ไม่มีกฎหมายควบคุมอาคาร - ใบรับรองการตรวจสอบสภาพอาคาร --> โดยวิศวกรควบคุม หรือสถาปนิก ที่มีใบอนุญาตและผ่านการ ตรวจด้านความปลอดภัยจากนายทะเบียน ยื่นไม่ทัน ใบอนุญำตสิ้นอำยุ ยื่นขอต่อภำยใน 60 วัน นับแต่วันที่ใบอนุญำตสิ้นสุด เมื่อได้รับอนุญำตแล้ว พ้น 60 วัน ต้องขอ ใบอนุญำตใหม่ ต้องเสียค่ำปรับร้อยละ 20 ของค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญำต ยื่นขอรับ ใบแทน สูญหำย/ถูกทำลำย ในสำระสำคัญ ภำยใน 30 วัน นับจำกกำรทรำบกำรหำย/ถูกทำลำย ผู้รับโอนต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ำม นทบ. อนุญำต โอนได้
197.
3. ตั้งอยู่ในทาเลที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
และอนามัยของผู้พัก และการคมนาคมสะดวกและ ปลอดภัย 4. ทางเข้าออกไม่เกิดปัญหาการจราจร 5. พื้นที่ในการประกอบกิจการอื่น ต้องแบ่งสถานที่ให้ชัดเจน 6. ไม่ตั้งอยู่ใกล้กับโบราณสถาน ศาสนสถาน หรือสถานที่อันเป็นที่เคารพทางศาสนา เกิดทัศนียภาพไม่ เหมาะสม กระทบต่อความมั่นคงและดารงอยู่ของสถานที่ดังกล่าว ขัดต่อขนมธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น การบริการ 1. มีสถานที่ลงทะเบียน 2. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 3. รปภ. 24 ชั่วโมง 4. มีระบบสื่อสารทั้งภายในและภายนอก 5. จัดให้มีห้องน้า โดยแยกชาย หญิง 6. ช่องทางเดินในโรงแรม ต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ห้องพัก - ไม่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเหมือน คล้าย หรือมุ่งหมายให้เหมือนศาสนสถาน - มีเลขกากับไว้ทุกห้อง เป็นตัวเลขอารบิก แสดงให้ชัดเจน - มีช่อง สามารถมองเห็นจากภายในสู่ภายนอก และมีกลอนหรืออุปกรณ์อื่นล็อกจากภายนอก - ต้องสามารถมองเห็นที่จอดรถได้ตลอดเวลา ชื่อโรงแรม 1. 2. 3. 4 อักษรไทย มองเห็นได้ชัด มีอักษร ตปท. กำกับไว้ท้ำย หรือใต้ ชื่อไทยก็ได้ ไม่พ้อง/มุ่งหมำย พระปรมำภิไธย พระนำมรำชินี องค์พระรัชทำยำท ไม่มีคำหยำบคำย ไม่ซ้ำกับชื่อโรงแรมที่ได้รับอนุญำตไว้ก่อนหน้ำ เว้นแต่ ได้รับอนุญำต
198.
ข้อห้าม 1. เปลี่ยนแปลงประเภทโรงแรม 2. เพิ่ม
หรือลดจานวนห้องพัก อันมีผลกระทบกับโครงสร้างของโรงแรม 3. เปลี่ยนชื่อ เลิกประกอบธุรกิจโรงแรม เลิกกิจการ --> แจ้งนายทะเบียน --> ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน *ผู้อนุญาตให้เลิก --> พิจารณาถึงประโยชน์ และส่วนได้เสียของผู้พักเป็นสาคัญ โรงแรมได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ หรืออันตรายอื่นๆ กรณี เสียหายจนไม่สามารถแก้ไขได้--> ถือว่าใบอนุญาตสิ้นอายุ นับจากวันที่ได้รับความเสียหาย เกิดไฟไหม้ หรือ ภยันตรำยร้ำยแรง เจ้ำของ/ ผู้จัดกำร แจ้งนำยทะเบียน ภายใ น 15 วัน นับแต่วันที่ เหตุนั้นสิ้นสุด
199.
หมวด 3 การบริหารจัดการโรงแรม ผู้จัดการโรงแรม -->
ใบรับแจ้ง 1. เจ้าของโรงแรม --> ต้องมี ผจก. 1 คน --> เจ้าของจะเป็น ผจก. ด้วยก็ได้ 2. ไม่มีลักษณะต้องห้ามและคุณสมบัติเช่นเดียวกับเจ้าของ *เป็น ผจก. --> ตั้งแต่วันที่ได้รับ “ใบแจ้ง” *กรณี ข้อมูลไม่ถูกต้อง --> แจ้งนายทะเบียนให้แก้ไข --> ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคาสั่งดังกล่าว คุณสมบัติ ผจก. 1. ไม่ต่ากว่า 20 ปีบริบูรณ์ 2. ได้รับวุฒิ หนังสือรับรองผ่านการฝึกการบริหารจัดการโรงแรมตามสูตรที่คณะกรรมการรับรอง 3. ไม่ติดยาเสพติด หรือโรคติดต่อร้ายแรง 4. บ้า จิตฟั่นเฟือน ไร้/เสมือนไร้ 5. ไม่เคยถูกพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก เว้นลหุ/ประมาท 6. ไม่เคยถูกพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเกี่ยวกับ เพศ ยาเสพติด ค้าหญิงและเด็ก ค้าประเวณี 7. แบน 3 ปี เนื่องจากถูกเพิกถอนใบรับแจ้ง โดยไม่ใช่สาเหตุจากความผิดเกี่ยวกับ เพศ ค้าหญิงและเด็ก ค้าประเวณี แต่งตั้งผู้จัดการแทน ผจก. ทำงำนไม่ได้ เกิน 7 วัน บุคคลที่มีคุณสมบัติเป็น ผู้จัดการแทน ไม่เกิน 90 วัน ผจก.แทน แจ้งนำยทะเบียน ภำยใน 3 วัน นับจำกเข้ำดำเนินกำรแทน
200.
หน้าที่ของเจ้าของ และ ผจก.
(หน้าที่ร่วมกัน) 1. ป้ายติดหน้าโรงแรม 2. แสดงใบอนุญาต ในที่เปิดเผย 3. เลขประจาห้อง 4. อัตราค่าที่พัก 5. แผนผังทางหนีไฟ 6. เอกสารความผิด 7. ดูแลความสะอาด 8. รักษาความมั่นคงแข็งแรง 9. รักษาสิ่งแวดล้อม 10. อานวยความสะดวก กรณี ไฟไหม้น้าท่วม *การดาเนินการใดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ ผจก. --> ที่ต้องได้รับอนุมัติ จากเจ้าของ --> หาก ผจก. มี หนังสือขออนุมัติแล้ว --> เจ้าของเพิกเฉย --> ผจก. ไม่ต้องรับผิด หน้าที่ของ ผจก. (คนเดียว) 1. จัดทาทะเบียนผู้พัก - บันทึกรายละเอียดต่างๆ --> ลงใน “บัตรทะเบียนผู้พัก” - ผู้พักมีอายุต่ากว่า 18 ปีบริบูรณ์ --> เข้าพักตามลาพัง --> ผจก./ผู้แทน --> ลงชื่อกากับไว้ด้วย 2. เก็บรักษาบัตรทะเบียน และทะเบียนผู้พัก - เก็บรักษาไว้อย่างน้อย 1 ปี และพร้อมตรวจสอบได้ - กรณี หาย/ถูกทาลาย --> ผจก. ต้องดาเนินการคัดลอกจากนายทะเบียน 3. ส่งสาเนาทะเบียน - ส่งให้นายทะเบียนทุกอาทิตย์ 4. หน้าที่อื่นๆ 5. ดูแล ไม่ให้มีคนมาหลบซ่อน หรือมั่วสุม ในเขตโรงแรม ในลักษณะอันควรเชื่อว่าจะก่อความไม่สงบใน บ้านเมือง หรือทาความผิดทางอาญา --> แจ้งให้ทราบทันที เมื่อเกิดเหตุอันควรสงสัย ปฏิเสธผู้เข้าพัก 1. สงสัยว่าจะหลบซ่อน หรือมั่วสุม ทาความผิด หรือก่อความราคาญแก่ผู้พักคนอื่น 2. เชื่อว่า บุคคลนั้นไม่สามารถจ่ายค่าที่พักได้ 3. เชื่อว่า บุคคลนั้นเป็นโรคติดต่อร้ายแรง 4. เหตุอื่นตามที่ คกก.กาหนด
201.
หมวด 4 การควบคุม และการอุทธรณ์ การกาหนดระยะเวลาให้ดาเนินการ พักใช้ใบอนุญาต 1.
พักได้ครั้งละไม่เกิน 15 วัน และไม่เกิน 4 ครั้ง 2. กรณี ผจก. --> นายทะเบียน --> สั่งให้แก้ไขภายใน 30 วัน เพิกถอนใบอนุญาตหรือใบรับแจ้ง 1. ขาดคุณสมบัติ 2. เคยถูกพักใช้ใบอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามอีก 3. ยอมให้โรงแรมเป็นที่กระทาความผิดเกี่ยวกับ เพศ ยา การพนัน ค้าหญิงและเด็ก ค้าประเวณี ผู้ประกอบกำร ไม่ดำเนินกำรตำมคำสั่ง นำยทะเบียน มีหนังสือแจ้ง ให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ภำยใน 30 วัน
202.
การแจ้งคาสั่ง การอุทธรณ์ อุทธรณ์ --> คกก.
--> ภายใน 15 วัน --> นับแต่วันได้รับแจ้ง หรือรับทราบคาสั่ง การวินิจฉัยอุทธรณ์ - คกก. --> พิจารณาและวินิจฉัย --> ภายใน 45 วัน --> นับแต่วันได้รับอุทธรณ์ - แจ้งคาวินิจฉัยเป็นหนังสือ *คาวินิจฉัยของ คกก.ถือเป็นที่สุด ระหว่างการอุทธรณ์คาสั่ง --> สามารถดาเนินกิจการต่อไปได้เว้นกรณีดังต่อไปนี้ ต้องหยุดการดาเนินการ ในทันที 1. คาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก ยกเว้น ประมาท/ลหุ 2. คาพิพากษาถึงที่สุดในคดี เพศ ฯลฯ 3. ใช้หรือยินยอมให้โรงแรมเป็นสถานที่กระทาความผิดเกี่ยวกับ เพศ ยา ฯลฯ พนักงาน จนท. “อานาจหน้าที่” 1. เข้าไปในโรงแรมในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น จนถึง พระอาทิตย์ตก --> เพื่อตรวจสอบใบอนุญาต ทะเบียนผู้ พัก บัตรทะเบียนผู้พัก สภาพและลักษณะของโรงแรม ฯลฯ 2. มีหนังสือแจ้งให้เจ้าของ + ผจก. มาให้ถ้อยคาหรือชี้แจง/ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้พิจารณา *เมื่อเข้าไปตรวจสอบ แล้วยังดาเนินการไม่เสร็จ --> ให้ทาต่อไปในเวลากลางคืน หรือนอกเวลาทาการของ โรงแรมได้ เฉพาะมีเหตุสงสัยว่า ถ้าข้าจะมีการปกปิดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารหรือหลักฐานจากเดิม “การปฏิบัติหน้าที่” คำสั่งพักใช้ใบอนุญำต ทำเป็นหนังสือส่งทำงไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เมื่อครบกำหนด 7 วันนับแต่วันสั่ง ถือว่ำได้รับคำสั่งแล้ว ยกเว้น พิสูจน์ว่ำไม่ได้รับหรือรับหลังจำก 7 วัน คำสั่งเพิกถอนใบอนุญำต/ใบรับแจ้ง
203.
1. แสดงบัตรประจาตัว +
หนังสือมอบอานาจ และบัตรประจาตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ 2. ค่าธรรมเนียม รายการ พรบ. ใบอนุญาต 50,000 ใบแทน 200 ต่อใบอนุญาต กึ่งหนึ่ง ของค่าธรรมเนียมขออนุญาต ค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจ 40 บาท/ห้อง บทกาหนดโทษ ฐานความผิด ระวางโทษ หมายเหตุ จา ปรับ จ+ ป ไม่รับอนุญาต - เปลี่ยนแปลงประเภทของโรงแรม - เพิ่ม หรือ ลด จานวนห้องพัก โดยมีผลกระทบถึง โครงสร้าง - 500,000 - ปรับไม่เกินวันละ 20,000 จนกว่าจะ แก้ไข เปลี่ยนชื่อโรงแรม โดยไม่ได้รับอนุญาต - 100,000 - ปรับไม่เกินวันละ 5,000 จนกว่าจะ แก้ไข ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 1 ปี 20,000 ปรับไม่เกินวันละ 10,000 จนกว่าจะ แก้ไข พนักงำนเจ้ำหน้ำที่ กรรมกำรส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม นำยทะเบียน เป็นเจ้ำพนักงำนตำม ประมวลกฎหมำยอำญำ
204.
พรบ.สถานบริการ พ.ศ.2509 รมต.มหาดไทย -->
รักษาการ *พรบ. --> บังคับใช้ใน จ.พระนคร และ จ.ธนบุรี * บังคับใช้ในท้องที่อื่น --> ตราเป็น พรก. สถานบริการ ความหมาย --> สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการโดยหวังผลประโยชน์ทางการค้า
205.
ประเภทสถานบริการ --> 6
ประเภท --> องค์ประกอบ (การเต้น ร่วมร้อง นั่งกับลูกค้า) ประเภท สถานบริการ ลักษณะ เวลาในการเปิด - ปิด ใน Zoning นอก Zoning ประเภทที่ 1 สถานที่เต้นรา ราวง รองเง็ง 1. มีคู่และไม่มีคู่บริการ 2. มีสุรา น้าชา หรือเครื่องดื่มจาหน่าย 3. มีการจัดแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นด้วย 21.00 - 02.00 น. 21.00 - 02.00 น. ประเภทที่ 2 สถานที่ที่มีอาหาร สารา น้าชาหรือเครื่องดื่มจาหน่าย และมีผู้บาเรอ 11.00 - 14.00 น. 18.00 - 24.00 น. 11.00 - 14.00 น. 18.00 - 24.00 น. ประเภทที่ 3 อาบ อบ นวด ยกเว้น 1. สถานที่นวดแผนโบราณ 2. สปา เสริมสวย 3. สถานที่อื่น 12.00 - 24.00 น. 18.00 - 24.00 น. ประเภทที่ 4 สถานที่จาหน่ายอาหาร สุรา เครื่องดื่ม มีรูปแบบ ดังนี้ 1. มีดนตรี การแสดงดนตรี เพื่อการบันเทิง --> ให้นักร้อง นักแสดงนั่งกับลูกค้า 2. มี karaoke 3. มีการเต้นบนเวทีหรือเต้นบริเวณโต๊ะอาหาร 4. สถานที่จัด แสง สี เสียง ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง 18.00 - 01.00 น. 18.00 - 24.00 น. ประเภทที่ 5 1. สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มจาหน่าย 2. จัดให้มีการแสดงดนตรีหรือแสดงอื่นใดเพื่อความบันเทิง 3. ปิดหลัง 24.00 น. 18.00 - 01.00 น. 18.00 - 01.00 น. ประเภทที่ 6 สถานที่อื่นๆ ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
206.
พนักงานเจ้าหน้าที่ กทม. --> ผู้บัญชาการ
ตร.นครบาล --> ผู้อนุญาต ตจว. --> ผวจ. --> ผู้อนุญาต การยื่นขออนุญาต กทม. --> ผกก./รอง ผกก. --> ท้องที่ตั้งสถานบริการ ตจว. --> นอ./ปอ. หน.กิ่ง --> ท้องที่ที่สถานบริการตั้ง *ใบอนุญาตห้ามโอน (ยกเว้นตกทอดทางมรดก) --> ใบอนุญาตเป็นเรื่องเฉพาะตัว การพิจารณาคาขอ/ต่อใบอนุญาต 1. เมื่อได้รับคาขอ --> พนักงานเจ้าหน้าที่ --> พิจารณาสั่งภายใน 90 วัน 2. ใบอนุญาตใช้ได้ถึง --> 31 ธันวาคม ของปีที่ออกบัตร 3. การยื่นขอต่อใบอนุญาต --> ยื่นคาขอก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ --> เมื่อยื่นแล้วให้ประกอบกิจการ ต่อไป จนกว่าจะมีคาสั่งไม่ต่อใบอนุญาต การอุทธรณ์ --> คาสั่งไม่อนุญาต/ไม่ต่อใบอนุญาต กทม. --> อธิบดีกรมตารวจ (ผบ.ตร.) ตจว. --> ป.มท. *ต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้ง (ตามพรบ.) *คาวินิจฉัยของ ผบ.ตร. และป.มท. --> เป็นที่สุด *หนังสือไม่อนุญาต --> ต้องบอกเหตุผลของการไม่อนุญาต/ไม่ต่อใบอนุญาตด้วย *ผู้มีอานาจอุทธรณ์ --> พิจารณาให้เสร็จ --> ภายใน 15 วัน --> นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ใบแทนใบอนุญาต หาย/ชารุด --> ยื่นขอรับใบแทน ภายใน 15 วัน --> นับแต่วันที่ทราบการหาย/ชารุด การตั้ง ย้าย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือต่อเติม --> กระทาไม่ได้--> ยกเว้น ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก พนักงานเจ้าหน้าที่
207.
คุณสมบัติของผู้ขออนุญาต 1. ไม่ต่ากว่า 20
ปีบริบูรณ์ 2. ไม่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรม 3. ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง เป็นที่รังเกียจแก่สังคม ติดเหล้า ยาเสพติด 4. ไม่บ้า 5. ไม่เคยได้รับโทษในความผิดเกี่ยวกับ เพศ การค้าหญิงและเด็ก การค้าประเวณี การทาให้ แพร่หลาย และการค้าวัตถุอันลามก บัตรประวัติของพนักงาน 1. ต้องทาบัตรให้พนักงาน ก่อนเริ่มทางานในสถานประกอบการ 2. บัตรสูญหาย ถูกทาลาย ชารุดในสาระสาคัญ เปลี่ยนแปลงรายการในบัตร --> ผู้รับอนุญาตแจ้ง เหตุข้างต้นภายในกาหนด 7 วัน นับแต่วันเกิดเหตุดังกล่าว 3. บัตรประวัติ --> ไม่ต้องระบุหน้าที่ของพนักงาน --> ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พนักงาน ข้อห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตปฏิบัติ 1. รับคนอายุต่ากว่า 18 ปีบริบูรณ์ เข้าทางานในสถานประกอบการ 2. ให้คนเมาเข้าสถานบริการระหว่างเวลาทาการ 3. ขายสุรา ให้แก่คนเมา 4. ห้ามนอนในสถานบริการ ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่มีหน้าที่เฝ้าสถานบริการ 5. กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในสถานบริการ 6. นาอาวุธ เข้าในสถานบริการ ยกเว้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเครื่องแบบ --> เข้าไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ **ข้อ 1,4,5,6 --> พักใช้ใบอนุญาต 90 วัน ข้อ 2,3 --> พักใช้ใบอนุญาต 30 วัน ข้อปฏิบัติ 1. ห้ามคนอายุต่ากว่า 20 ปีบริบูรณ์ --> มิได้ทางานในสถานบริการ --> เข้าสถานบริการ --> ระหว่าง เวลาทาการ ผู้รับอนุญาต หรือพนักงาน ของสถานบริการ --> ตรวจเอกสารที่มีภาพถ่าย และระบุอายุคนที่เข้า 2. ห้ามนาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ เว้น จนท. ที่อยู่ในเครื่องแบบ 3. ผู้รับอนุญาต ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบโดยพลัน เมื่อสงสัยว่า 3.1 เมาแล้วโวยวาย ในสถานบริการ 3.2 ทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 3.3 นาอาวุธเข้าสถานบริการ
208.
สถานที่ตั้งสถานบริการ 1. อาคาร -->
ไม่ใกล้ชิดวัด สถานปฏิบัติธรรมทางศาสนา โรงเรียน หรือสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานพยาบาลที่รับผู้ป่ายค้างคืน สโมสรเยาวชน หรือหอพักว่าด้วยกฎหมายของหอพัก ในลักษณะที่ ก่อให้เกิดความราคาญ 2. อาคาร --> ไม่อยู่ในย่านชุมชน --> อันก่อให้เกิดความราคาญ 3. อาคาร --> มีอากาศถ่ายเทสะดวก 4. อาคารที่ขออนุญาตเป็นของบุคคลอื่น --> ผู้ขออนุญาตต้องมีหนังสือแสดงความรับรองจาก เจ้าของอาคารหรือสถานที่นั้น ศูนย์รับแจ้งเหตุ กทม. --> ผกก./รอง ผกก. สถานีตร.นครบาล --> ที่ตั้งขึ้น ตจว. --> ศูนย์รับแจ้ง ที่ นอ./ปอ.หน.กิ่ง --> จัดตั้งขึ้น การจัดสถานที่ 1. ใช้โคมไฟที่มีแสงสว่างเพียงพอ --> มองเห็นหน้ากันในระยะไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร 2. ห้องให้บริการ --> มีหมายเลขเป็นตัวเลขอารบิกสีขาว --> สูงอย่างน้อย 5 cm. --> ติดที่หน้าประตู --> ถ้ามีประตูเข้าออกทึบแสง --> ให้มีช่องสี่เหลี่ยมโปร่งแสง --> ขนาด 5x10 cm. ขึ้นไป --> ที่บานประตู เหนือพื้นห้องขึ้นไป 1.70 cm. --> สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตลอดเวลา 3. ติดใบอนุญาตในที่เปิดเผย ชัดเจน บริเวณทางเข้า 4. สถานที่มีการจัดแสดงดนตรี --> ต้องมีวัสดุที่ป้ องกันเสียง *สถานบริการต้องมีความดังไม่เกิน 91 เดซิเบล 5. ต้องใช้ป้ายชื่อสถานบริการให้ตรงกับชื่อในใบอนุญาต ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ต้อง ติดไว้หน้าสถานบริการให้มองเห็นอย่างชัดเจน กาหนดเวลาเปิด ปิด สถานบริการ การจัดสถานที่ การใช้โคมไฟ ติดบัตรประจาตัวพนักงาน กฎกระทรวง
209.
การติดบัตรประจาตัวของพนักงาน 1.พนักงาน + ลูกจ้าง
+ คู่บริการ + ผู้บาเรอ + ผู้บริการอาบน้า + นวด/อบตัว และคนรับใช้ --> ต้อง ติดเลขประจาตัว ซึ่งตรงกับเลขประจาตัวในบัตรของบุคคลนั้น --> อกเสื้อด้านขวามือ --> ขณะทางาน 2. ป้ ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 5 cm. พื้นสีแดง --> ผู้บริการ ผู้บาเรอ และผู้บริการอาบน้า นวด หรือบตัว พื้นสีน้าเงิน --> พนักงาน ลูกจ้าง และคนรับใช้ **เป็นตัวเลขอารบิกสีขาว ใต้ตัวเลขให้มีอักษรย่อหรือชื่อเต็ม ของสถานบริการขนาดพอสมควร การควบคุมการแสดง 1. ห้ามจัดแสดงไปในทางลามก หรืออนาจาร และไม่ให้มีสัตว์ร้ายเข้าร่วม 2. ถ้าฝ่าฝืน (สั่งให้งดการแสดงนั้นได้) กทม. --> ตร.ขั้นสารวัตรขึ้นไป ตจว. --> นอ.ท้องที่ การสั่งพักใช้ใบอนุญาต 1. โทษเบา --> สั่งพักครั้งละไม่เกิน 30 วัน (10 10 10) 2. โทษหนัก --> สั่งพักครั้งละไม่เกิน 90 วัน (30 30 30) กรณีห้ามต่อใบอนุญาต 1. ผู้รับอนุญาตขาดคุณสมบัติ 2. ในรอบ 1 ปี --> ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตรวมกันเกิน 90 วัน การตรวจภายในสถานบริการ ค่าธรรมเนียม (ตาม พรบ.) ค่าธรรมเนียม พรบ. 1. ใบอนุญาตตั้งสถานบริการ 50,000 2. ใบแทนใบอนุญาตตั้งสถานบริการ 1,000 3. ต่อใบอนุญาต (1 ใน 5 ของค่าธรรมเนียมขออนุญาต) 10,000 ฝ่ ายปกครองหรือ ตารวจชั้นผู้ใหญ่ - สงสัยว่ามีการฝ่าฝืน - มีเหตุควรเชื่อ พรบ. หรือ กฎกระทรวง มีอานาจเข้าไปตรวจภายในสถาน บริการได้ไม่ว่าในเวลาใดๆ
210.
พรบ.โรงรับจำนำ พ.ศ.2505 รมต.มท. -->
รักษาการ ควำมหมำย โรงรับจานา --> สถานที่ซึ่งรับจานาสิ่งของเป็นประกัน หรือเงินกู้เป็นประจาแต่ละราย --> ไม่เกิน 100,000 บาท และรับหรือซื้อสิ่งของโดยจ่ายเงินให้เป็นประจา --> จานวนเงินไม่เกิน 100,000 บาท รมต.มีอำนำจแต่งตั้ง 1. เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต 2. เจ้าพนักงานตรวจโรงรับจานา คณะกรรมกำรคุมโรงรับจำนำ จานวน 6 คน ประกอบด้วย 1. ป.มท ประธาน 2. อ.กรมตารวจ กรรมการ 3. อ.กรมอัยการ 4. อปค. 5. อ.กรมประชาสงเคราะห์ 6. หน.กองทะเบียนกรมตารวจ กรรมการและเลขาฯ หน้ำที่ 1. กาหนดท้องที่จะอนุญาตให้ตั้งโรงรับจานา 2. กาหนดจานวนโรงรับจานา 3. พิจารณาคาขออนุญาตหรือคาขอย้ายโรงรับจานา 4. ดาเนินการอย่างอื่น 1. และ 2. --> ประกาศ ณ ศาลากลางจังหวัด เจ้ำพนักงำนผู้ออกใบอนุญำต --> รมต.มท. แต่งตั้ง กทม. --> อปค. ตจว. --> ผวจ.
211.
เจ้ำพนักงำนตรวจโรงรับจำนำ --> รมต.มท.
แต่งตั้ง กทม. --> ขรก.พลเรือนสามัญ --> สังกัดกรมการปกครอง --> ระดับ 4 ขึ้นไป ตจว. --> ปจ. นอ. ปอ.หน.กิ่ง และ ปอ.ท้องที่ คุณสมบัติของผู้ขออนุญำต 1. อายุไม่ต่ากว่า 20 ปี 2. ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย 3. ไม่บ้า 4. ไม่เป็นคนล้มละลาย 5. ไม่เคยจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่ ลหุโทษ/ประมาท 6. ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาต 7. ไม่มีพฤติการณ์อันจะก่อกวน ทาลายเศรษฐกิจและความมั่งคงของประเทศ กำรพิจำรณำของคณะกรรมกำร 1. เมื่อ คกก. พิจารณาเห็นสมควรให้จัดตั้ง --> ให้เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต --> ออกใบอนุญาตจัดตั้ง ให้แก่ผู้ขออนุญาตจัดตั้งโรงรับจานา 2. กรณี คกก. ไม่อนุญาต --> ผู้ขอ --> อุทธรณ์ต่อ รมต. --> ภายใน 30 วัน --> นับแต่ได้รับการแจ้งไม่ อนุญาต **คำวินิจฉัยของ รมต.เป็นที่สุด ใบอนุญำต ใช้ได้ถึงวันที่ 31 ธ.ค. ของปีที่ออกใบอนุญาต ลักษณะของโรงรับจำนำ 1. มีป้าย “โรงรับจานา” --> แสดงในที่เปิดเผยหน้าโรงรับจานา --> ฝ่าฝืน ปรับไม่เกิน 2,000 บาท *โรงรับจานาของราชการ หรือเทศบาล --> อาจใช้คาอื่นแทนคาว่า “โรงรับจานา” ก็ได้แต่ต้องได้รับความ เห็นชอบจาก คกก. 2. ผู้รับจานาต้องจัดให้มีที่เก็บทรัพย์จานาไว้โดยปลอดภัย 3. อาคาร --> ต้องเป็นอาคารที่มั่นคง ก่อสร้างตาม พรบ.ควบคุมอาคาร 2522 4. พื้นที่เก็บของเบ็ดเตล็ด --> ขนาดไม่ต่ากว่า 128 ตารางเมตร ห้องนิรภัย --> ขนาดไม่ต่ากว่า 16 ตารางเมตร โดยมีด้านใดด้านหนึ่งไม่ต่ากว่า 4 เมตร
212.
*ย้ำยโรงรับจำนำ --> แจ้งคณะกรรมการควบคุมฯ
--> เพื่ออนุญาต *เปลี่ยนแปลงกรรมกำรหรือผู้จัดกำร --> แจ้งเจ้าพนักงานผู้ออกบัตร --> ทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่มี การเปลี่ยนแปลง อัตรำดอกเบี้ย 1. ผู้รับจานา --> ให้มีป้ ายอัตราดอกเบี้ยเป็นภาษาไทย --> แสดงในที่เปิดเผย --> ในโรงรับจานา 2. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ดังนี้ 1) เงินต้นไม่เกิน 2,000 --> ดอกร้อยละ 2.0 ต่อเดือน 2) ส่วนที่เกิน 2,000 --> ดอกร้อยละ 1.25 ต่อเดือน กรณี ดอกเบี้ยไม่ครบเดือน --> ไม่เกิน 15 วัน --> คิดเป็นครึ่งเดือน --> เกิน 15 วัน --> คิดเป็น 1 เดือน เศษ 1 สตางค์ปัดทิ้ง ข้อห้ำมของผู้รับจำนำ 1. ห้ามรับจานา หรือไถ่ทรัพย์จานา --> ระหว่างเวลา 18.00 – 8.00 น. 2. ห้ามรับจานาสิ่งของจาก พระ เณร หรือ เด็กอายุต่ากว่า 15 ปี 3. ห้ามรับจานาสิ่งของที่เห็นได้ว่าเป็นของที่ใช้ในราชการ 4. ห้ามนาทรัพย์จานา ออกนอกโรงรับจานา เว้นแต่ 1. ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกบัตร 2. เพื่อให้พันภยันตรายอันร้ายแรง ที่ผู้รับจานาจะป้ องกันด้วยวิธีอื่นไม่ได้ 5. ห้ามประกอบธุรกิจ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการรับจานา หรือการขายทรัพย์จานาที่หลุดเป็นสิทธิแล้วในบริเวณ โรงรับจานา ข้อปฏิบัติของผู้รับจำนำ 1. ผู้รับจานา --> จดแจ้งรายการเกี่ยวกับบัตรประชาชน ของผู้จานา --> ในต้นขั้วของตั๋วรับจานาด้วย 2. สงสัยว่าของที่นามาจานา --> ได้มาโดยการกระทาความผิด --> แจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง/ตารวจท้องที่ 3. เมื่อมีการรับจานา --> ผู้รับฯ ออกตั๋วจานาให้แก่ ผู้จานา --> และติดหมายเลขที่ทรัพย์จานาให้ตรงกับ หมายเลขตั๋วรับจานา 4. เมื่อพนักงานผู้ออกบัตร ฝ่ายปกครอง/ตารวจ --> ได้แจ้งเรื่องของหายต่อผู้รับจานา --> ผู้รับจานามีหน้าที่ ตรวจของที่จานา --> ถ้ามีตาหนิหรือรูปพรรณตรงหรือคล้ายกับของที่หาย --> ให้ผู้รับจานาส่งมอบของต่อ เจ้าพนักงานผู้ซึ่งแจ้ง/เจ้าของ โดยไม่ชักช้า กรณีที่มีการรับจานาไว้แล้ว --> ส่งสาเนาตั๋วรับจานาไปด้วย 5. ผู้รับจานาต้องให้ไถ่ทรัพย์เมื่อผู้จานานาตั๋วมาขอไถ่ --> เมื่อไถ่แล้วให้นาตั๋วรับจานาติดไว้ที่ต้นขั้ว ตั๋ว รับจานา และบันทึก ว/ด/ป ที่ไถ่ --> ผู้ไถ่คืนลงลายมือชื่อในต้นขั้ว
213.
6. ผู้รับจานาไม่ยอมให้ไถ่ทรัพย์ในกรณีต่อไปนี้ 1. ผู้รับจานาได้รับแจ้ง
จากตารวจ/ฝ่ายปกครอง ว่าทรัพย์จานาหรือตั๋วจานา เป็นของได้มาโดยการ กระทาความผิด 2. ผู้รับจานาสงสัยว่า ทรัพย์/ตั๋วจานา --> ได้มาโดยกระทาความผิด เมื่อผู้รับจานาไม่ยอมให้ไถ่ทรัพย์ ผู้รับจานาต้องแจ้งฝ่ายปกครอง/ตารวจท้องที่ ทันที ทรัพย์จำนำขำดส่งดอกเบี้ย 1. ผู้รับจานา --> ทาบัญชีของผู้ที่ขาดส่งดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 เดือน --> ยื่นต่อพนักงานออกใบอนุญาต --> ปิดประกาศบัญชีนั้นไว้ณ ที่เปิดเผยที่โรงรับจานา 2. เมื่อประกาศแล้ว --> ไม่มาไถ่ถอนภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศ --> ทรัพย์หลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับ จานา ทรัพย์จำนำหลุด เมื่อทรัพย์หลุดจานา --> ผู้รับบันทึก ว/ด/ป ที่หลุดในต้นขั้วตั๋วรับจานา เมื่อจาหน่ายทรัพย์ที่หลุดแล้ว --> บันทึก ว/ด/ป ที่ขายไปในต้นขั้วด้วย บัญชีงบเดือน ทาบัญชีภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนปฏิทิน พักใช้ใบอนุญำต คกก. --> มีอานาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต --> ไม่เกิน 3 เดือน เพิกถอนใบอนุญำต คกก. --> สั่งเพิกถอน --> เมื่อปรากฏว่า 1. ฝ่าฝืน พรบ.และกฎกระทรวงนี้ 2. ผู้รับจานา/กรรมการ/ผู้จัดการ เป็นนิติบุคคลและขาดคุณสมบัติ
214.
อุทธรณ์ *เมื่อถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต/ถูกเพิกถอนใบอนุญาต --> รับจานาไม่ได้
--> ทาได้เท่าที่รับจานาไว้ก่อนหน้า เท่านั้น เลิกกิจกำร 1. แจ้งเป็นหนังสือ --> ให้พนักงานผู้ออกใบอนุญาต --> ก่อนเลิกไม่น้อยกว่ำ 7 วัน เมื่อเลิกแล้วจะรับจานา อีกไม่ได้แต่ยังมีหน้าที่ต่อผู้ที่จานาไว้ก่อนหน้านี้ 2. เลิกเพราะใบอนุญาตสิ้นอายุ และไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต --> เมื่อเลิกแล้วจะรับจานาอีกไม่ได้แต่ยังมี หน้าที่ต่อผู้ที่จานาไว้ก่อนหน้านี้ 3. คกก. --> เห็นสมควร --> จะสั่งให้ควบคุมโรงรับจานานั้นๆ ก็ได้ ผู้รับจำนำตำย 1. ทายาท --> ยื่นขอเข้าเป็นผู้รับจานาแทน --> มีคุณสมบัติเหมือนผู้ขอใบอนุญาต 2. เลยกาหนด 30 วัน นับแต่ผู้ขออนุญาตตาย --> ไม่มีทายาทขอเป็นผู้รับจานา/มีแต่ไม่ได้รับอนุญาต/มี ทายาทอื่นคัดค้านและไม่สามารถตกลงกันได้ --> ให้เลิกกิจการ --> คกก.เข้าควบคุม พักใช้ใบอนุญาต เพิกถอน ใบอนุญาต อุทธรณ์ต่อ รมต. ยื่นอุทธรณ์ผ่าน เจ้าพนักงาน ผู้ออกใบอนุญาต ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับ คาสั่ง คาวินิจฉัยของ รมต. เป็นที่สุด
215.
บทกำหนดโทษ อัตรำค่ำธรรมเนียม กทม - -
> 12,00 (เสียเงินประมูล 60,000 ขึ้นไป - - > จ่าย 1,000) ตจว. - - > 6,000 (เสียเงินประมูล 30,000 ขึ้นไป - - > จ่าย 500)
216.
พรบ.ควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช 2487 รมต.มท.
--> รักษาการ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้น 90 วัน ความหมาย การเรี่ยไร หมายถึง การเก็บเงินหรือทรัพย์สิน โดยขอร้องให้ช่วยออกเงินหรือทรัพย์สินตามใจสมัคร การบริจาค หมายถึง การสละ การให้ การแจก คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร --> จานวน 7คน 1. ป.มท. ประธาน 2. ผู้แทนกลาโหม 3. ผู้แทนศึกษา 4. ผู้แทนสาธารณาสุข 5. ผู้แทนคลัง 6. ผู้แทน ตร. 7. ผู้แทน มท. *กรรมการต้องมาประชุมกันไม่น้อยกว่า 4 คน --> ครบองค์ประชุม พนักงานเจ้าหน้าที่ กทม. --> อปค. ตจว. --> นอ./ปอ.หน.กิ่ง บุคคลห้ามออกใบอนุญาต 1. อายุต่ากว่า 16 ปี 2. บ้า/ไร้/เสมือนไร้ 3. โรคติดต่อน่ารังเกียจ 4. แบน 5 ปี จากคดีเกี่ยวกับทรัพย์ทั้งหมด/ทุจริตต่อหน้าที่ 5. คนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ เห็นว่ามีความประพฤติหรือหลักฐานไม่น่าไว้วางใจ
217.
การขออนุญาต "การขออนุญาตทาการเรี่ยไร มี 2
กรณี" 1. การเรี่ยไรโดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์แก่ราชการ เทศบาล หรือสาธารณะประโยชน์ --> คกก. --> อนุญาต *ยกเว้น กระทรวง ทบวง กรม เป็นผู้จัดการเรี่ยไร ขั้นตอน กทม. 1. ยื่นเอกสารที่กรม ปค. 2. สานักสอบสวนและนิติกร --> ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแบบพิมพ์ --> เสนอประธาน คกก. (ป.มท.) เพื่อนัดประชุม 3. เลขากาหนดวัน 4. คกก. --> ประชุมพิจารณา --> แจ้งผล ตจว. 1. ยื่นที่อาเภอ/กิ่งอาเภอ 2. อาเภอ/กิ่ง ตรวจสอบ 3. เสนอ กรมฯ --> โดยผ่านจังหวัด --> ประธาน คกก. (ป.มท.) --> เพื่อจัดประชุม 4. เลขากาหนดวัน 5. คกก. --> ประชุม 6. กรมฯ --> มีหนังสือ --> ถึงจังหวัด --> แจ้งอาเภอ --> แจ้งผู้ขออนุญาต 2. การเรี่ยไรในถนนหลวง ที่สาธารณะ การเรี่ยไรโดยการโฆษณาด้วยสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง หรือด้วย เครื่องเปล่งเสียง --> พนักงานเจ้าหน้าที่ --> อนุญาต ขั้นตอน 1. ยื่น ณ กรมการปกครอง/อาเภอ/กิ่งอาเภอ 2. สานักสอบสวนและนิติกร/อาเภอ --> ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน 3. กทม. เสนอ อปค. --> ลงนาม ตจว. เสนอ นอ./ปอ.หน.กิ่ง --> ลงนาม *ต้องแจ้งผลการขออนุญาต ภายใน 10 วันนับแต่วันได้คาขอ กรณีไม่อนุญาต --> ต้องให้เหตุผลด้วย กรณีไม่อนุญาต อุทธรณ์ --> ใน 15 วันนับแต่ได้รับคาสั่งไม่อนุญาต --> คาชี้ขาดของ คกก. --> เป็นที่สุด
218.
หลักฐานการขออนุญาต 1. รูปถ่าย 6x4
--> 2รูป 2. บัตร ปชช. หรือ หนังสือสาคัญคนต่างด้าว +พร้อมสาเนา 3. ทะเบียนบ้าน+สาเนา 4. ใบสาคัญแสดงการจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรต่างๆ + สาเนา 5. ใบอนุญาตจัดให้มีการเรี่ยไร หรือใบอนุญาตทาการเรี่ยไร + สาเนา กรณีเคยได้รับใบอนุญาตแล้ว 6. หนังสือรับรองความประพฤติและเอกสารอื่น การเรี่ยไรที่ไม่ต้องขออนุญาต (ม.8) 1. การเรี่ยไรเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ 2. การเรี่ยไรเพื่อการกุศล ในโอกาสที่บุคคลชุมนุมกันประกอบศาสนกิจ (เช่น ผ้าป่า กฐิน งานวัด) 3. การเรี่ยไรเพื่อขอสิ่งของในงานออกร้าน หรือในนัดประชุมเฉพาะแห่ง โดยชอบด้วยกฎหมาย (งานกาชาด) อานาจของ คกก. และพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอานาจสั่งไม่อนุญาต หรือสั่งอนุญาตโดยกาหนดเงื่อนไข 1. จานวนเงิน/ทรัพย์สินอื่น --> อย่างสูงที่เรี่ยไรได้ 2. เขต/สถานที่ และเวลาที่อนุญาตให้ทาการเรี่ยไร 3. วิธีการเก็บรักษา และทาบัญชีเงิน/ทรัพย์สินที่เรี่ยไรได้ 4. วิธีการเรี่ยไร กรณี อนุญาต --> คกก. --> กาหนดวันสิ้นอายุของใบอนุญาตไว้ด้วย ไม่อนุญาต --> พนักงานเจ้าหน้าที่ --> แจ้งและบอกเหตุผลให้ทราบ --> ภายใน 10 วันแต่ วันได้รับคาร้อง การอุทธรณ์คาสั่ง กทม. --> คกก. ที่ รมต.แต่งตั้ง (ป.มท. = ประธาน) ตจว. --> กรมการจังหวัด ** คาชี้ขาดของ คกก./กรมการจังหวัด เป็นที่สุด ใน 15 วันนับแต่ได้ทราบคาสั่งไม่อนุญาต
219.
ข้อห้าม 1. เรี่ยไร เพื่อมาให้หรือชดใช้แก่จาเลย
--> เพื่อเป็นค่าปรับ เว้นแต่ เรี่ยไรในวงศ์ญาติของจาเลย 2. เรี่ยไรโดยกาหนดเก็บเงิน/ทรัพย์สินเป็นอัตรา โดยคานวณตามเกณฑ์ปริมาณสินค้า/ ผลประโยชน์ หรือวัตถุอย่างอื่น 3. เป็นเหตุให้เสื่อมทรามแก่ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี 4. กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงถึงความสัมพันธไมตรีกับ ตปท. 5. เพื่อจัดหายุทธภัณฑ์ให้ ตปท. ข้อปฏิบัติ 1. เพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ เทศบาล หรือสาธารณประโยชน์ --> ต้องได้รับอนุญาต 2. เรี่ยไรในถนนหลวง หรือที่สาธารณะ --> โดยโฆษณาด้วยสิ่งพิมพ์วิทยุกระจายเสียง --> ต้อง ได้รับอนุญาต 3. ผู้ขออนุญาตต้องทาตามเงื่อนไขที่กาหนด 4. ต้องมีใบอนุญาตติดตัว ขณะทาการเรี่ยไร กรณีได้รับอนุญาตให้เรี่ยไรประจาที่ --> ต้องแสดง ใบอนุญาตไว้ณ ที่ทาการเรี่ยไร 5. เมือรับเงิน --> ต้องออกใบรับให้แก่ผู้บริจาค กับมีต้นขั้วใบรับไว้เป็นหลักฐาน 6. ห้ามใช้เงินนอกวัตถุประสงค์ ตามที่แจ้งไว้--> เว้นแต่ จ่ายเป็นค่าเรี่ยไร (พอสมควร) 7. ห้ามบังคับผู้ถูกเรี่ยไรโดยตรงหรืออ้อม และทาให้ผู้ถูกเรี่ยไรเกิดความกลัว
220.
พรบ.การพนัน พุทธศักราช 2478 รมต.มท.
- - > รักษาการ ประเภทของการพนัน 1. บัญชี ก. 2. บัญชี ข. --> 28 ชนิด --> อนุญาตให้เล่นได้ ใบอนุญาตต้องกาหนด 1. ลักษณะข้อจากัด และเงื่อนไขของการเล่น 2. สถานที่ ว/ด/ป และเวลาที่อนุญาต 3. สลากกินแบ่ง สลากกินรวบ และสวีป --> ระบุจานวนสลาก สถานที่และวันเวลาที่จะออก ไม่ให้ผู้ มีอายุต่ากว่า 20 ปีบริบูรณ์เล่น บัญชี ก. มี 28 ชนิด ห้ามเล่น รัฐบาล เห็นสมควรให้เล่นได้ เฉพาะในคาสิโน ของรัฐ รมต.คลัง จัดตั้ง ออกเป็น พรฏ.
221.
เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต กทม. --> ผอ.สานักการสอบสวน
และนิติกร ตจว. --> นอ./ปอ.หน.กิ่ง การพนันที่เจ้าพนักงานออกใบอนุญาตได้ (ออกได้เลย) 1. แข่งม้า หรือ แข่งสัตว์อื่น --> ไม่มีการเล่นโตแตไลเซเตอร์ สวีป หรือ บุ๊กเมกิง รวมด้วย 2. วิ่งวัวคน --> ไม่มีการเล่นโตแตไลเซเตอร์ สวีป หรือ บุ๊กเมกิง รวมด้วย 3. ไพ่นกกระจอก ไพ่ต่อแต้ม หรือไพ่ต่างๆ --> ยกเว้น ไพ่โป๊ กเกอร์ และไพ่เผ 4. ดวด 5. บ้องอ้อย 6. สะบ้าทอย 7. สะบ้าชุด 8. ชกมวย/มวยปล้า การพนันต่อไปนี้ออกใบอนุญาตได้ --> ได้รับอนุมัติ จาก กทม. --> อปค. ตจว. --> ผวจ. 1. ให้สัตว์ต่อสู้กัน 2. ไพ่โป๊ กเกอร์ 3. บิลเลียด 4. การจัดให้มีแถมพก หรือรางวัลโดยการเสี่ยงโชค โดยวิธีใดๆ --> ในการประกอบการค้า/อาชีพ *การพนันทั้ง 2 แบบ --> จะออกใบอนุญาตได้ --> ต้องได้รับอนุมัติจาก รมต.มท. สลากกินแบ่ง สลากกินรวบ สวีป การเล่นเสี่ยงโชค ต้องส่งสลาก ให้เจ้าพนักงาน ผู้ออกใบอนุญาต ประทับตราก่อน
222.
การพนันที่ไม่ต้องขอใบอนุญาต 1. ไพ่บริดจ์ -->
เล่นในสมาคม/เล่นในบ้านระหว่างญาติ --> โดยไม่ได้เรียกเก็บผลประโยชน์ 2. บิลเลียด --> เล่นในบ้าน --> ไม่เกิน 1 โต๊ะ --> ไม่เรียกเก็บผลประโยชน์ --> เล่นในสมาคม --> ไม่เกิน 5 โต๊ะ 3. วิ่งวัวคน --> ไม่มีการเล่นโตแตไลเซเตอร์ สวีป หรือบุ๊กเมกิง รวมด้วย 4. ชกมวย มวยปล้า --> กรมพลศึกษา/แผนกศึกษาธิการส่วนภูมิภาคจัดขึ้นระหว่างนักเรียน บทลงโทษ *ผู้ที่ทาความผิดตาม พรบ.นี้ --> เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกาหนด 3 ปี --> ทาความผิดอีก 1. ถ้าโทษครั้งหลัง เป็นโทษจาคุกและปรับ --> ให้วางโทษทวีคูณ 2. ถ้าโทษครั้งหลัง เป็นโทษจาคุกหรือปรับ --> ให้วางโทษทั้งจาทั้งปรับ สินบนนาจับ ถ้ามีผู้นาจับ --> ผู้กระทาผิดจ่ายค่าสินบน --> ให้ผู้นาจับครึ่งหนึ่ง (50%)ของค่าปรับ
223.
พรบ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พุทธศักราช 2474 รมต.มท.
--> รักษาการ ความหมาย * ขายทอดตลาด การขายทรัพย์สินที่กระทาโดยเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไป --> ด้วยวิธีเปิดโอกาสให้ผู้ ซื้อสู้ราคากัน --> ผู้ใดให้ราคาสูงสุด --> ผู้นั้นเป็นผู้ซื้อทรัพย์สิน * ของเก่า ทรัพย์ที่เสนอขาย แลกเปลี่ยน หรือจาหน่าย --> รวมถึงของโบราณด้วย ประเภทการค้าของเก่า --> 4 ประเภท 1. โบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ --> ค่าธรรมเนียมปีละ 12,500บาท 2. เพชร พลอย ทอง นาค เงิน หรือ อัญมณี --> ค่าธรรมเนียมปีละ 10,000บาท 3. รถยนต์ --> ค่าธรรมเนียมปีละ 7,500บาท 4. ประเภทอื่นๆ มอเตอร์ไซค์ ขวด เศษเหล็ก ฯลฯ --> ค่าธรรมเนียมปีละ 5,000บาท *กระสอบป่าน --> ได้รับการยกเว้น เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต กทม. --> อปค. ตจว. --> ผวจ. นายตรวจ กทม. --> 1. อปค. 2. ขรก.ปกครอง ระดับ 4 ขึ้นไป ตจว. --> 1. ปจ. 2. นอ. 3. ปอ.หน.กิ่ง 4. ปอ. แห่งท้องที่
224.
หน้าที่ผู้ขายทอดตลาด 1. แสดงคาแจ้งความแห่งการขายทุกคราวไป ณ
สถานที่ขายให้เห็นได้แจ้ง 2. อยู่ ณ ที่ขายในเวลาขายทอดตลาดและพร้อมที่จะแสดงใบอนุญาตต่อนายตรวจ เมื่อเรียกตรวจ 3. มีสมุดบัญชีสาหรับการขายทุกคราว และจดรายการข้อสาคัญทั้งปวงแห่งการขายนั้นๆ ลงไว้ 4. แจ้งวันและสถานที่ขายให้นายตรวจทราบล่วงหน้าอย่างน้อย --> 3 วันเต็ม 5. แสดงนามของตนและคาว่า “ผู้ขายทอดตลาด” ไว้เหนือประตูชั้นนอกแห่งสานักงาน ห้ามมิให้บุคคลประกอบอาชีพดังต่อไปนี้ --> โดยไม่ได้รับอนุญาต 1. ขายทอดตลาด นอกจากการขายทอดตลาด --> ซึ่ง จนท.ของรัฐบาลเป็นผู้ขายหรือการขายเพื่อประโยชน์ของ สมาคม หรือสาธารณประโยชน์ --> รมต. สั่งเป็นหนังสือให้ยกเว้น 2. ค้าของเก่า นอกจากการค้าของเก่าบางประเภท หรือบางชนิด ซึ่ง รมต.ได้ประกาศยกเว้นในราชกิจจาฯ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม 1. อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 2. อ่านออก เขียนไทยได้ 3. ไม่เคยจาคุก ในความผิด ลักษณะ 7 ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลง และการแปลง - เงินตรา - ดวงตรา แสตมป์ และตั๋ว - เอกสาร ลักษณะ 8 ความผิดเกี่ยวกับการค้า ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ - ลักทรัพย์วิ่งราว - กรรโชก รีดทรัพย์ชิง ปล้น - ฉ้อโกง - ยักยอก - รับของโจร
225.
ขั้นตอนการขออนุญาตขายทอดตลาด และค้าของเก่า "สถานที่ยื่นขออนุญาต" กทม. -->
กรมการปกครอง ตจว. --> ที่ทาการปกครองอาเภอ และที่ทาการปกครองกิ่งอาเภอ *กรณี ไม่อนุญาต --> แจ้งให้ผู้ขอทราบ ภายใน 5 วันทาการ --> นับแต่ผู้ออกใบอนุญาตมีคาสั่ง หน่วยรับเรื่องราวคาขออนุญาต ตรวจสอบคุณสมบัติ และอาคารสถานที่ตั้ง เสนอความเห็นให้ เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต สั่งการ ภายใน 10 วันนับแต่วันรับคาร้องขออนุญาต เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต (ผวจ.) พิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 วันนับจากวันที่ได้รับ ไม่เสร็จในกาหนดเวลา บันทึกเหตุขัดข้องด้วย
226.
การอุทธรณ์ ใบอนุญาต 1. ใบอนุญาตเป็นใบอนุญาตเฉพาะตัว -->
โอนกันไม่ได้ 2. ใช้ได้ถึงวันที่ 31 ธ.ค. ของปีที่ขอใบอนุญาต ต่อใบอนุญาต --> ไม่ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ (ขออนุญาตครั้งแรกต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ) ยื่นก่อนใบอนุญาตหมดอายุ 90 วัน ใบอนุญาตหาย/ชารุด ใบอนุญาตหาย --> ขอรับใบแทนใบอนุญาต --> ภายใน 7 วัน --> นับจากวันที่ใบอนุญาตหาย ** ใบแทน --> เขียนด้วยหมึกสีแดงตอนบนในแทน ว่า “ใบแทน” **ค้าของเก่าหลายประเภท --> เรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าประเภทเดียว อุทธรณ์ รมต.มท. ทาเป็นหนังสือระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง หรือกฎหมายที่อ้างอิง ยื่นคาขอต่อเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคาสั่ง
227.
การตรวจตราควบคุม ตรวจในระหว่างตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก หน้าที่นายตรวจ 1. ควบคุมดูแลว่าทาถูกต้องตาม พรบ.
--> ถ้าไม่ถูกต้อง --> นายตรวจบันทึกความผิด --> ส่งสถานี ตารวจท้องที่ดาเนินเปรียบเทียบปรับ --> รายงานผลการดาเนินคดีให้เจ้าพนักงานผู้ออก ใบอนุญาตทราบ 2. ตรวจสอบพบผู้ขาดคุณสมบัติหรือทาความผิด --> นายตรวจรายงานพร้อมเสนอความเห็นต่อ ผู้บังคับบัญชาตามลาดับ --> จนถึงเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตเพื่อพิจารณาสั่งการ 3. ตรวจบัญชีและทรัพย์สิน --> กรณีสงสัยว่า --> ทรัพย์ได้มาโดยทุจริต --> รายงานตามลาดับชั้น --> จนถึง --> เจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต --> สั่งการ
228.
ย้ายที่ทาการ เพิกถอนใบอนุญาต 1. ขาดคุณสมบัติ 2. คาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก
(ม.6 (3)) 3. ต้องคาพิพากษา --> ฐานทาความผิดตาม พรบ.นี้ 2 ครั้งในปีเดียวกัน ** ไม่มีการพักใช้ใบอนุญาต ย้ายที่ทาการ แจ้งนายตรวจ ยื่นคาร้องขอย้ายสถานที่ล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 10 วัน นายตรวจ ตรวจอาคารที่ตั้ง ที่เก็บทรัพย์สินว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ทาแผนที่แสดงที่ตั้ง รายงาน เสนอความเห็น ต่อเจ้าพนักงาน ผู้ออกใบอนุญาต สั่งการ ได้รับอนุญาต แก้ไขรายการในใบอนุญาต ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
230.
พรบ.กองอาสารักษาดินแดน พุทธศักราช 2497 *จอมพล.ป.
--> มีแนวคิดจัดตั้งหน่วยพลเรือนอาสา --> ออก พรบ.กาหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ พ.ศ. 2481 และพรบ.ให้อานาจในการเตรียมการป้องกันประเทศ พ.ศ. 2484 *10 กุมภาพันธ์ --> วันสถาปนา อส. *ผู้บัญชาการ อส.คนปัจจุบัน --> นายกองใหญ่อนุพงศ์ เผ่าจินดา *กองอาสารักษาดินแดน ตัวย่อ อส. Volunteer Defense Corps : VDC เป็นกาลังกึ่งทหาร เพื่อ 1. ช่วยเหลือ ปชช. และประเทศราช 2. เป็นกาลังสารองของทหาร เมื่อมีการร้องขอ --> ในยามปกติและสงคราม *ตราเครื่องหมายกองบัญชาการ กอง.อส. --> พระนเรศวรทรงช้างศึก ชื่อ พระยาไชยานุภาพ *คาขวัญ อส. --> ปวงข้า อส. ขอตั้งสัจจา จะปกป้องพาราจนสิ้นใจ การจัดตั้ง กอง.อส. อส. --> ขึ้นอยู่กับ ก.มท. มีฐานะ --> เป็นนิติบุคคล รมต.มท. รมต.กลาโหม รักษาการ
231.
การแบ่งส่วนของ กอง อส. มี
2 ส่วน 1. “ส่วนกลาง” คณะกรรมการกลางกองอาสารักษาดินอดน คณะกรรมการกลางกองอาสารักษาดินแดน ไม่น้อยกว่า 10 คน ไม่เกิน 20 คน 1) กรรมการโดยตาแหน่ง 1. รมต.มท ประธาน 2. รมต.กลาโหม รองประธาน 2) กรรมการอื่น - รมต.มท. แต่งตั้ง - ครม. ถอดถอน 3) เลขาฯ และรองเลขาฯ - รมต.มท. แต่งตั้ง - ครม. ถอดถอน หน้าที่ คกก.กลาง 1. ดาเนินงานกอง อส. ทั่วไปตามนโยบาย 2. วิชาชีพทางเทคนิค ของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ 3. วางระเบียบและข้อบังคับ กอง อส. ดังนี้ 3.1 กาหนดวิธีสมัคร คัดเลือก ให้ออก 3.2 กาหนด ยศ ชั้น ของสมาชิก 3.3 กาหนด เหล่า ของสมาชิก 3.4 กาหนด หลักสูตร การอบรม และการฝึก 3.5 กาหนด การใช้จ่าย และงบประมาณ ของกอง อส. 3.6 กาหนดการเก็บรักษา และการใช้อาวุธ 2. “ส่วนภูมิภาค” 2.1 กอง อส. จังหวัด 2.2 กอง อส. อาเภอ
232.
การบังคับบัญชา 1. ส่วนกลาง กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (บก.อส.)
มี 3 ส่วน 1) ส่วนบังคับบัญชา - ผู้บัญชาการ (ผบ.) --> รมต.มท. - รอง ผบ. --> รมต.ช่วย - ผช.ผบ. --> ป.มท. และรอง ป.มท. 2) ฝ่ายอานวยการ - หน.ฝ่ายอานวยการ --> อปค. - รอง.หน.ฝ่าย --> รอง อปค. - ผช.ฝ่าย --> ผอ.สานักอานวยการกอง อส. 3) กองร้อยบังคับการและกองร้อยบังคับการและบริหารส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2. ส่วนภูมิภาค --> บก.อส.จ และ บก.อส.อ บก.อส.จ 1) ส่วนบังคับบัญชา - ผู้บังคับการ --> ผวจ. - รอง --> รอง ผวจ. - ผช. --> ปจ. 2) ฝ่ายอานวยการ - หน.ฝ่าย --> ปจ. - ผช.ฝ่าย --> ป้องกันจังหวัด 3) กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัด - ผู้บังคับกองร้อยฯ --> ปอ. ระดับ 3-7 บก.อส.อ ส่วนบังคับบัญชา - ผู้บังคับกองร้อย --> นอ./ปอ. หน.กิ่ง - รองผู้บังคับกองร้อย --> ปอ.ฝ่ายความมั่นคง/ปอ.ฝ่ายบริหารงานปกครองและ ผกก. สถานีตารวจภูธรอาเภอ - ผู้บังคับหมวด --> ปอ. - ผู้บังคับหมู่ --> กานัน/สมาชิก อส.
233.
กอง อส. ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค กองบัญชาการ
กอง อส. บก.อส. บก.อส.จ บก.อส.อ ส่วนบังคับบัญชา ฝ่ายอานวยการ - กองร้อยบังคับการ และบริการ - กองร้อยบังคับการ และบริการส่วนหน้า จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ส่วนบังคับบัญชา ฝ่ายอานวยการ กองร้อยอาสารักษา ดินแดนจังหวัด ส่วนบังคับบัญชา - ผู้บัญชาการ --> รมต. - รองผบ. --> รมต.ช่วย - ผช.ผบ. --> ป.มท. และ รอง ป.มท. - หน.ฝ่าย --> อบต. - รองหน.ฝ่าย --> รอง อบต. - ผช.หน.ฝ่าย --> ผอ.สานักอานวย การกองอส. - ผู้บังคับการ --> ผวจ. - รอง --> รอง ผวจ. - ผช. --> ปจ. - หน.ฝ่าย --> ปจ. - ผช.ฝ่าย --> ป้องกันจังหวัด - ผู้บังคับกองร้อย --> ปอ.ระดับ3-7 - ผู้บังคับกองร้อย --> นอ./ปอ.หน.กิ่ง - รอง --> ปอ.ฝ่ายความมั่นคง ปอ.ฝ่ายบริหารงาน ปกครอง ผกก.สถานีตร.ภูธร อาเภอ - ผู้บังคับหมวด --> ปอ. - ผู้บังคับหมู่ --> กานัน/สมาชิก อส.
234.
อัตรากาลัง กอง อส.อาเภอ 1.
กองร้อย --> แบ่งเป็น 3 หมวด --> นอ.ผู้บังคับกองร้อย 2. หมวด --> แบ่งเป็น 4 หมู่ --> ปอ.ผู้บังคับหมวด 3. หมู่ --> กานัน, ส.อส. ประเภทสมาชิก --> 3 ประเภท 1. ประเภทสารอง --> สมาชิกที่ยังไม่ได้เข้ารับการฝึกหัดและอบรม 2. ประเภทประจาการ --> สมาชิกที่ได้รับการฝึกหัดและอบรม และบรรจุอยู่ในอัตราค่าจ้าง 3. ประเภทกองหนุน --> สมาชิกที่ปลดประจาการแล้ว กองร้อย (นอ.) หมวด 1 (ปอ.) หมวด 2 (ปอ.) หมวด 3 (ปอ.) หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่ หมู่
235.
ยศของผู้บังคับบัญชา และสมาชิก อส. 1.
ยศของผู้บังคับบัญชา --> 7 ชั้นยศ 1) นายกองใหญ่ --> รมต. 2) นายกองเอก --> ผวจ. 3) นายกองโท --> ปจ./นอ9 4) นายกองตรี --> นอ. 5) นายหมวดเอก 6) นายหมวดโท ปอ. 7) นายหมวดตรี 2. ยศสมาชิก อส. --> 4 ชั้น 1) นายหมู่ใหญ่ 2) นายหมู่เอก 3) นายหมู่โท 4) นายหมู่ตรี 3. สมาชิก อส. ที่ไม่มียศ --> 4 ชั้น 1) สมาชิกเอก 2) สมาชิกโท 3) สมาชิกตรี 4) สมาชิก การรับสมัคร 1. ผวจ. --> ตั้งคณะกรรมการขึ้น --> เพื่อรับสมัคร 2. การเข้าเป็นสมาชิก อส. - รับสมัครผู้อาสา - กรณีท้องที่ใดไม่มีผู้สมัคร หรือมีคนสมัครแต่ไม่เพียงพอ ตามความต้องการ - กาหนดท้องที่นั้นให้มีการเรียกบุคคลให้มาสมัคร เพื่อคัดเลือก - โดยกาหนดเป็น พรก. --> รมต.มท. - สมาชิก อส. ที่ได้รับสมัครหรือคัดเลือก --> มีสิทธิและหน้าที่ตามพรบ.นี้ --> นับแต่วันได้รับสมัครหรือได้รับ การคัดเลือก
236.
คุณสมบัติ 1. มีภูมิลาเนาหรือถิ่นที่อยู่ในท้องที่ที่เข้าเป็นสมาชิก 2. มีสัญชาติไทย
(โอนสัญชาติก็ได้) 3. อายุ 17 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ 4. ร่างกายสมบูรณ์ 5. ไม่ไร้ หรือเสมือนไร้ 6. ไม่เป็นพระ 7. ไม่เป็นสมาชิกกองอาสากาชาด 8. ไม่เป็นทหาร หรือตารวจ อาชีพ 9. ไม่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เช่น เสเพล อันธพาล *ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ --> เจ้าหน้าที่/อส. --> เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา หน้าที่ “หน้าที่ กอง อส.” 1. บรรเทาภัยจากธรรมชาติและการกระทาของข้าศึก 2. ทาหน้าที่ตารวจ รักษาความสงบร่วมกับ ตารวจ/ฝ่ายปกครอง 3. รักษาสถานที่สาคัญ และคมนาคม 4. ป้องกกันจารกรรม 5. ช่วยเหลือทหารตามที่ทหารต้องการ ตัดทอนกาลังของข้าศึก 6. เป็นกาลังสารอง สนับสนุนกาลังทหารได้เมื่อจาเป็น “หน้าที่ของ จนท. และอส.” 1. ทาตามคาสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบ 2. ปฏิบัติตามหน้าที่ ระเบียบ ฯลฯ *ขรก.ที่เป็นสมาชิก กอง อส. --> จะปฏิบัติหน้าที่ได้ --> เมื่อไม่ติดราชการจาเป็น
237.
การสั่งใช้กาลัง 1. ผู้มีอานาจสั่งใช้กาลังของกอง อส. -
ผู้บัญชาการ --> ทั่วราชอาณาจักร - ผู้บังคับการจังหวัด --> เขตพื้นที่ของจังหวัด - ผู้บังคับกองร้อย --> เขตพื้นที่ของอาเภอ 2. สั่งใช้กาลัง --> ไม่มีอาวุธ --> สั่งใช้อัตรากาลังที่มีอยู่ 3. สั่งใช้กาลัง --> มีอาวุธ --> ในเขตพื้นที่/นอกเขตพื้นที่ --> ได้รับอนุมัติ --> ผู้บัญชาการ (รมต.มท) --> ยกเว้น จาเป็นและเร่งด่วน 4. เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก ในท้องที่ใด --> ให้จนท./อส. อยู่ในบังคับบัญชา --> ของทหาร การอบรมและการฝึก 1. อส. --> เข้ารับการฝึก ฯลฯ ตามหลักสูตร 2. อส.ที่เข้ารับการฝึก --> นายจ้าง/ผู้บังคับบัญชา --> ให้ความสะดวก สิทธิของ อส. 1. ได้รับสิทธิ ตามหลักเกณฑ์ที่ คกก.กาหนด 2. อส.เจ็บ/ป่วย จากการปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับการรักษาพยาบาล ตามที่ คกก.กาหนด 3. ตาย/ทุพพลภาพ --> จากการปฏิบัติหน้าที่ --> ได้รับบานาญพิเศษ --> ตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จ บานาญ ขรก.พลเรือน 4. อส.ได้รับบานาญจากเหตุทุพพลภาพ --> ตาย --> จ่ายเงินบาเหน็จตกทอด --> แก่ทายาท --> จานวน 30 เท่า ของบานาญพิเศษรายเดือน ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง ไม่ตัดเงินเดือน ไม่ตัดค่าจ้าง ภายในกาหนดเวลา ไม่เกิน 21 เดือน ไม่ตัดรอนสิทธิอันควรได้ ของสมาชิกเหล่านั้น
238.
วินัยของ อส. การกระทาความผิดวินัย 1. ไม่ทาตามคาสั่งผู้บังคับบัญชา
ซึ่งสั่งในหน้าที่ 2. ไม่เคารพระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย 3. ไม่รักษามารยาท 4. ก่อให้เกิดความแตกสามัคคี 5. ขี้เกียจ ละทิ้ง เลินเล่อต่อหน้าที่ 6. โกหกผู้บังคับบัญชา 7. ใช้วาจาไม่สมควร/ประพฤติไม่สมควร 8. ไม่เตือน สั่งสอน/ลงทัณฑ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทาความผิดตามโทษานุโทษ 9. เมาเละเทะ/ติดยาเสพติด 10. กระทาการอันเป็นเชิงบังคับผู้บังคับบัญชาเป็นทางทาให้เสียวินัย ทัณฑ์ที่จะลงโทษแก่ผู้กระทาความผิด --> 3 สถาน 1. ภาคทัณฑ์ --> ทาผิดแต่มีเหตุควรปราณี --> ทาเป็นหนังสือ/จะทาทัณฑ์บนไว้ก็ได้ 2. ทัณฑกรรม --> ทางานอื่นเพิ่มขึ้นจากงานประจา เช่น งานสุขาภิบาล งานโยธา 3. กักบริเวณ --> กักตัวไว้บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ขั้นตอนก่อนการลงทัณฑ์ 1. ตั้งกรรมการ --> อย่างน้อย 3 คน ประธาน --> มียศสูงกว่าผู้ถูกสอบสวน กรรมการ --> ยศไม่ต่ากว่าผู้ถูกสอบสวน กรณี เป็นความผิดต่อหน้าผู้บังคับบัญชา --> ผู้บังคับบัญชา สามารถสั่งลงทัณฑ์โดยไม่ต้องตั้ง คกก. 2. การลงทัณฑ์ --> พิจารณาให้ชัดเจนว่าผิดจริง --> คาสั่งต้องบอกว่าผิดมาตราไหน/ข้อใด ด้วย 3. การลงทัณฑ์ --> นายหมวดขึ้นไป --> ผู้สั่งรายงานตามลาดับ --> จนถึง --> ผู้บัญชาการ การร้องทุกข์ ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา --> เหนือขึ้นไป 1 ชั้น
239.
วิธีการร้องทุกข์ - ทาเป็นหนังสือ+ลงลายมือชื่อ - ร้องด้วยวาจา
--> ผู้รับคาร้องบันทึกข้อความ --> ลง ว/ด/ป และลงลายมือ --> อ่านให้ผู้ร้องฟังตามที่จด - -> และให้ผู้ร้องลงลายมือชื่อ ข้อห้ามในการร้องทุกข์ 1. ห้ามร้องทุกข์แทน และห้ามเข้ามาร้องทุกข์พร้อมกันหลายคน และห้ามประชุมกันเพื่อหารือเรื่องที่จะ ร้องทุกข์ 2. ห้ามร้องทุกข์ในเวลาเข้าแถว และห้ามร้องทุกข์ถ้าเหตุที่ร้องยังไม่ครบ 24 ชม. 3. ห้ามร้องทุกข์ผู้บังคับบัญชาว่าลงโทษหนักเกินไป --> ถ้าหากผู้บังคับบัญชาไม่ได้ลงทัณฑ์เกินอานาจที่ จะกระทาได้
240.
ระเบียบ มท. ว่าด้วยการช่วยเหลือเจ้าพนักงานของหน่วยกาลังคุ้มครอง และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน
พ.ศ. 2551 หน่วยกาลังคุ้มครองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน ** 1. อาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง --> อส.ปก ** 2. ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน --> ชรบ. (อยู่ในจังหวัดชายแดนใต้) ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ราษฎรอาสาในพื้นที่ --> ผ่านการอบรมหลักสูตร ชรบ. นอ. --> แต่งตั้ง --> ให้ 1. รักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน 2. เป็นผู้ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ การฝึกอบรม 1. กรมการปกครอง --> ฝึกอบรม --> ตามความจาเป็นและเหมาะสม --> ดาเนินการเอง/หน่วยงานอื่นก็ได้ 2. หน่วยจัดฝึก --> จัดทาทะเบียนประวัติ ผู้ที่ผ่านแต่ละรุ่นไว้เป็นหลักฐาน --> ส่งให้อาเภอ 1 ชุด คุณสมบัติ 1. มีสัญชาติไทย 2. ร่างกายแข็งแรง 3. มีภูมิลาเนาในหมู่บ้านนั้นไม่น้อยกว่า 3 เดือน 4. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีความประพฤติดี ตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่
241.
กองพัน ชรบ. ฝ่ายยุทธการและข่าว ฝ่ายกิจกรรมมวลชน ฝ่ายกาลังพลและส่งกาลัง ฝ่ายสื่อสารและงบประมาณ อาเภอ นอ. -->
ผู้อานวยการ ปอ. ตร.สัญญาบัตร รอง --> นอ.แต่งตั้ง ขรก.ในพื้นที่ กองร้อยตาบล กองร้อย กองร้อย กองร้อย ** 1ตาบล มี 1 กองร้อย ** ปอ.หน.ตาบล --> ผบ.กองร้อย ขรก.อื่น --> นอ.แต่งตั้ง --> รองผบ ** กานัน --> ผช.ผบ. หมวดหมู่บ้าน หมวด หมวด หมวด ** 1หมู่บ้าน มี 1 หมวด ** ผญบ. --> ผบ.หมวด ทหาร ตร. อส. จานวน 2 คน --> ผช.หมวด ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่ที่ 1 ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่ที่ 2 ** 1หมวด ให้มีอย่างน้อย 2 หมู่ ** ผช.ผญบ. --> ผู้บังคับหมู่ มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คน
242.
การแต่งตั้ง 1. ผญบ.พิจารณาคัดเลือก -->
เสนอให้ นอ.พิจารณา 2. นอ.จัดทาทะเบียนประวัติ ให้เป็นปัจจุบันแล้วเก็บไว้ที่หมู่บ้าน อาเภอ และจังหวัด อย่างละ 1 ชุด การช่วยเหลือ ฝ่ายปกครองหรือตารวจ 1. อยู่เวร 2. ตรวจตระเวน 3. สืบหาข่าว 4. เฝ้าระวังสถานที่สาคัญ 5. รายงานเหตุการณ์ในพื้นที่ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ 6. ป้องกัน /ปราบปรามการกระทาความผิดทางอาญา 7. ตรวจค้นบุคคล หรือยานพาหนะ ซึ่งมีเหตุสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิด --> รายงาน ผู้บังคับบัญชาโดยเร็ว 8. จับกุมผู้กระทาความผิดซึ่งหน้า จับส่งผู้บังคับบัญชาใกล้ตนโดยเร็ว 9. ป้องกันสาธารณภัย 10. หน้าที่อื่น สิทธิของ ชรบ. ใช้อาวุธ ของทางราชการในการปฏิบัติหน้าที่ --> คาสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร บัตรประจาตัว 1. นอ. --> ออกบัตร 2. บัตรมีอายุ 6 ปี 3. เมื่อพ้นจาก ชรบ.ก่อน 6 ปี --> คืนบัตร ชรบ. --> ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตน --> ภายใน 7 วัน
243.
พรบ.อำนวยควำมสะดวกด้ำนกำรพิจำรณำอนุญำตของทำงรำชกำร พ.ศ.2558 บังคับเมื่อพ้น 180
วัน นายกรัฐมนตรี--> รักษาการ นิยำม “เจ้าหน้าที่” --> จนท.ตาม กม.ว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง “อนุญาต” --> การที่ จนท.ยินยอมให้บุคคลใดกระทาการใดที่มีกฎหมายกาหนดให้ต้องได้รับความยินยอม ก่อนกระทาการนั้น และให้หมายความรวมถึงการออกใบอนุญาต การอนุมัติ การจดทะเบียน การขึ้นทะเบียน การรับแจ้ง การให้ประทานบัตร และการให้อาชญาบัตร พรบ.ไม่บังคับใช้กับ 1. รัฐสภา และครม. 2. การพิจารณาคดีของศาล + การดาเนินงานของ จนท. ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดี และการวาง ทรัพย์ 3. การดาเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 4. การอนุญาตตาม กม.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. การอนุญาต --> ทางทหารด้านยุทธการ + การควบคุมยุทธภัณฑ์ + โรงงานผลิตอาวุธปืนของเอกชน ข้อ 1 – 5. --> ตราเป็น พรก. **คู่มือประชาชนต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ พรบ.นั้นประกาศในราชกิจจา กำรปรับปรุงกฎหมำย ทุก 5 ปี ปรับปรุงกฎหมาย เพื่อยกเลิกการอนุญาต ใช้มาตรการอื่นแทนการอนุญาต เสนอ ครม. ครม. ฟังความคิดเห็นของ คกก.พัฒนากฎหมายว่าด้วย คกก. กฤษฎีกา ประกอบการพิจารณา
244.
*การปรับปรุงกฎหมาย/ใช้มาตราอื่น --> สามารถทาก่อน
5 ปีได้ กำรขอใบอนุญำต (ม.7) 1. ผู้อนุญาต --> ต้องทาคู่มือสาหรับประชาชน ประกอบด้วย - หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข - ขั้นตอน และระยะเวลาในการพิจารณา - หลักฐานต่างๆ ที่ต้องใช้ + คาขอ - กาหนดให้ยื่นคาขอผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ 2. คู่มือให้ประกาศ ณ สถานที่ที่ให้ยื่นคาขอ และเผยแพร่ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ - คู่มือ --> ระบุค่าใช้จ่าย --> ในกรณีประชาชนมาขอคัดสาเนา 3. กพร. --> ตรวจสอบขั้นตอน + ระยะเวลา --> ในการพิจารณาอนุญาต กรณี กพร. เห็นขั้นตอนมีความล่าช้า --> เสนอ ครม. --> สั่งให้แก้ไขให้เร็วขึ้น 4. ให้มีศูนย์บริการร่วม พนักงำนเจ้ำหน้ำที่ (ม.8) 1. ตรวจสอบเอกสารต่างๆ ให้ถูกต้องและครบถ้วน --> ถ้าไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้แจ้งทันที 2. ไม่สามารถดาเนินการในขณะนั้นได้ --> บันทึกว่าต้องใช้เอกสารอะไรเพิ่มเติม + กาหนดเวลาที่ต้อง ดาเนินการแก้ไข --> พนักงาน เจ้าหน้าที่ + ผู้ยื่นคาขอ ลงนามในบันทึกนั้น 3. มอบสาเนาให้ผู้ยื่นคาขอเป็นหลักฐาน 4. ผู้ยื่นคาขอ --> มีเอกสารหลักฐาน และดาเนินการตามคู่มือ ครบถ้วน --> จะเรียกเอกสารเพิ่มเติมอีกไม่ได้ และไม่รับคาขอไม่ได้ --> ยกเว้น ความไม่ครบถ้วนเกิดจากความประมาท/ทุจริต ของพนักงานเจ้าหน้าที่ --> ทาให้ ไม่สามารถอนุญาตได้ --> ผู้อนุญาตสั่งการตามสมควร และดาเนินการทางวินัย หรือดาเนินคดี กับพนักงาน เจ้าหน้าที่โดยไม่ชักช้า 5. ผู้ยื่นคาขอไม่แก้ไข/ส่งเอกสารเพิ่มเติม --> พนักงานเจ้าหน้าที่คืนคาขอ + แจ้งเหตุผลเป็นหนังสือ *ผู้อนุญาต --> ต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กาหนดในคู่มือฯ --> แจ้งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ พิจารณาแล้วเสร็จ ต่อใบอนุญำต 1. ผู้รับใบอนุญาตชาระค่าธรรมเนียมการต่ออายุ ใบอนุญาต แทน การยื่นคาขอต่ออายุ --> ตรำเป็น พรก. 2. หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตรับค่าธรรมเนียม --> ให้ออกหลักฐานการต่ออายุโดยเร็ว ศูนย์รับคำขออนุญำต --> ตรา พรก. จาเป็น อานวยความสะดวก แก่ ปชช. ครม. จัดตั้ง ศูนย์รับคาขออนุญาต สังกัด สานักนายกฯ
245.
กำรดำเนินกำรของศูนย์รับคำขออนุญำต 1. ถ้ามีการยื่นคาขอ +
ส่งเอกสาร/หลักฐาน + ค่าธรรมเนียม ณ ศูนย์ฯ แล้ว --> ถือว่าได้ดาเนินการโดยชอบด้วย กฎหมายการอนุญาตแล้ว 2. เงินค่าธรรมเนียมที่ศูนย์ฯ รับไว้--> นาส่งคลังในนามหน่วยงานของผู้อนุญาต --> หรือ อปท. 3. ศูนย์ฯ มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายของศูนย์ฯ --> ตามที่ตกลงกับหน่วยงานของผู้อนุญาต 4. ระยะเวลาในการอนุญาตตามคู่มือ --> ให้นับตั้งแต่วันที่ศูนย์ฯรับคาขอ --> ส่งเรื่องให้ผู้อนุญาตไม่ช้ากว่า 3 วันทาการ 5. ผู้อนุญาต --> ต้องส่งคู่มือประชาชน ที่ถูกต้อง และเป็นปัจจุบันให้กับศูนย์ฯ --> และอบรมและชี้แจงแก่ จนท.ของศูนย์ฯ --> เพื่อให้เกิดความชานาญในการปฏิบัติหน้าที่ 6. จนท.ของศูนย์ฯ --> ต้องดาเนินการและรับผิดชอบ เหมือนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ (ตาม ม.8) หน้ำที่ศูนย์ 1. รับคาขอ + ค่าธรรมเนียม + คาอุทธรณ์ --> ตามกฎหมาย 2. ให้ข้อมูล + ชี้แจง + แนะนา 3. ส่งคาขอ + คาอุทธรณ์ --> ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4. หลักเกณฑ์ + วิธีการในการยื่นคาขอ --> มีรายละเอียดหรือเอกสารไม่จาเป็น --> เสนอ ครม. เพื่อให้ ปรับปรุง 5. รวบรวมปัญหา + อุปสรรค --> จากการดาเนินงานของศูนย์ฯ --> เสนอ กพร. --> เพื่อรายงาน ครม. 6. เสนอแนะการพัฒนา + ปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา ในการอนุญาต --> เพื่อให้ประชาชน ได้รับความสะดวกมากขึ้น
246.
พรบ.ทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 รมต.มท. รมต.คลัง พ้น
180 วัน นิยาม “ผู้ทวงถามหนี้” 1. เจ้าหนี้ผู้ให้สินเชื่อ 2. ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค 3. ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติ --> ตาม กม. การพนัน 4. เจ้าหนี้อื่น 5. ผู้รับมอบอานาจในการทวงถามหนี้ 6. ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ และผู้รับมอบอานาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ “ผู้ให้สินเชื่อ” 1. คนซึ่งให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ 2. คนที่รับซื้อหรือรับโอนสินเชื่อต่อไปทุกทอด “ลูกหนี้” บุคคลธรรมดา + รวมผู้ค้าประกันซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาด้วย “ธุรกิจทวงถามหนี้” รับจ้างทวงหนี้ทางตรง + ทางอ้อม ยกเว้น การทวงหนี้ของทนาย ที่กระทาแทนลูกความของตน “นายทะเบียน” รมต.มท. --> แต่งตั้ง “พนักงานเจ้าหน้าที่” รมต.มท. แต่งตั้ง --> ตามการเสนอแนะของ คกก. กากับการทวงถามหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ 1. จดทะเบียน --> ต่อ นทบ. --> ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กาหนดในกฎกระทรวง 2. เมื่อจดทะเบียนแล้ว --> ต้องประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์ที่ คกก. กาหนด รักษาการ ในส่วนที่เกี่ยวกับอานาจหน้าที่ของตน
247.
ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ เป็นทนายความ/สนง.ทนายความ 1. คกก.สภาทนายความ
--> นายทะเบียน 2. คกก.สภาทนายความ --> เพิกถอนการจดทะเบียน 3. คกก.สภาทนายความ --> ออกข้อบังคับได้เท่า/ไม่ขัด/แย้งกับ พรบ. --> เมื่อได้รับความเห็นชอบจาก สภานายกพิเศษ + ลงนามในราชกิจจาฯ = บังคับใช้ได้ 4. คกก.สภาทนายความ + สภานายกพิเศษ --> รายงานผลดาเนินงานทุก 3 เดือน --> คกก.กากับการ ทวงถามหนี้ 5. กรณี คกก. เห็นว่าการดาเนินงานของ คกก.สภาทนายความ/สภานายกพิเศษ --> ไม่เป็นไปตาม พรบ. คกก. มีอานาจแจ้งให้เนินการตาม พรบ. ข้อห้ามในการทวงถามหนี้ 1. ห้ามทวงหนี้กับบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้ --> เว้นแต่คนที่ลูกหนี้ระบุไว้ 2. การติดต่อกับคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้ --> ต้องปฏิบัติดังนี้ 2.1 แจ้งชื่อตัว สกุล --> แสดงเจตนาว่าต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ บุคคลที่ลูกหนี้ได้ระบุไว้ 2.2 ห้ามบอกถึงความเป็นหนี้ ยกเว้นสามี ภริยาบุพการี ของลูกหนี้ -->ชี้แจงเกี่ยวกับหนี้ได้ตามจาเป็น 2.3 ห้ามใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ของผู้ทวงหนี้ --> บนซองจดหมาย ในหนังสือ หรือใน สิ่งอื่นใด ที่ใช้แทนการติดต่อสอบถาม --> ทาให้เข้าใจว่าเป็นการทวงหนี้ 2.4 ห้ามติดต่อ/แสดงตน ทาให้เข้าผิด --> ให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ของลูกหนี้ ข้อปฏิบัติในการทวงหนี้ 1. สถานที่ติดต่อ วินิจฉัยอุทธรณ์คาสั่ง ไม่รับจดทะเบียน เพิกถอนการจดทะเบียน เป็นอานาจของ คกก.สภาทนายความ คาวินิจฉัยของ สภานายกพิเศษเป็นที่สุด คน/ไปรษณีย์ ติดต่อตามที่ลูกหนี้ได้แจ้งไว้ ภูมิลาเนา ถิ่นที่อยู่/ สถานที่ทางาน กรณีพยายามติดต่อจากตัวคน/ไปรษณีย์แล้ว
248.
2. เวลา 3. จานวนครั้ง
--> ตามความเหมาะสม และคกก.อาจกาหนดจานวนครั้ง 4. กรณีผู้รับมอบอานาจ --> แสดงหลักฐานการมอบอานาจในการทวงหนี้ด้วย ผู้ทวงหนี้ห้ามทาการทวงหน้าในลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง กระทาให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์--> ของลูกหนี้/ผู้อื่น 2. พูดจาดูหมิ่น ลูกหนี้/ผู้อื่น 3. เปิดเผยความเป็นลูกหนี้ให้กับผู้อื่นทราบ 4. ติดต่อลูกหนี้โดยไปรษณีย์เอกสารเปิดผนึก โทรสาร หรือสิ่งอื่นใด --> ที่สื่อให้รู้ว่าเป็นการทวงหนี้ อย่างชัดเจน เว้นแต่ กรณีบอกกล่าวบังคับจานอง ด้วยการประกาศในหนังสือพิมพ์ --> ซึ่งไม่สามารถติดต่อ ลูกหนี้โดยวิธีอื่น 5. ใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ บนซองจดหมาย เพื่อทวงหนี้ 6. ทวงหนี้ที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ ห้ามทวงหนี้โดยการโกหก ทาให้เข้าใจผิด 1. แสดงข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ --> ทาให้เข้าใจว่าเป็นการกระทาของศาลจนท.รัฐ/หน่วยงานรัฐ 2. ทาให้เชื่อว่าการทวงหนี้ --> เป็นการกระทาโดยทนายความ สนง.ทนายความ/สานัก กม. 3. แสดงข้อความที่ทาให้เชื่อว่า --> จะถูกดาเนินคดี หรือจะถูกยึดทรัพย์/หักเงินเดือน 4. แสดงตนให้เชื่อว่า --> ผู้ทวงหนี้ดาเนินการหรือรับจ้างให้กับบริษัทข้อมูลเครดิต ห้ามทวงหนี้ในลักษณะไม่เป็นธรรม 1. เรียกเก็บค่าใช้จ่าย --> เกินอัตราที่ คกก.กาหนด 2. เสนอหรือจูงใจ --> ให้ลุกหนี้ออกเช็ค ทั้งที่รู้ว่าลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถชาระหนี้ได้ ข้อห้ามของ จนท.รัฐ 1. ประกอบธุรกิจทวงหนี้ 2. ทวงหนี้หรือสนับสนุนการทวงหนี้ ซึ่งไม่ใช่ของตนยกเว้นเป็นหนี้ของสามี ภริยาบุพการี/ผู้สืบสันดาน จ – ศ 08.00 – 20.00 น. ส – อ และวันหยุดราชการ 08.00 – 18.00 น.
249.
คกก. กากับการทวงถามหนี้ 1. รมต.มท.
ประธาน 2. ป.มท. รองคนที่ 1 3. ป.คลัง รองคนที่ 2 4. ป.กลาโหม 5. ป.พาณิชย์ 6. ป.ยุติธรรม 7. ผบ.ตร. 8. เลขา คกก. กฤษฎีกา 9. เลขา คกก. คุ้มครองผู้บริโภค 10. ผอ.สนง. เศรษฐกิจการคลัง 11. เลขา คกก. สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 12. ผวก.ธนาคารแห่งประเทศไทย 13. นายกสภาทนายความ 14. ผู้ทรงคุณวุฒิ 15. ผู้ทรงคุณวุฒิ 16. ผู้ทรงคุณวุฒิ 17. ผู้ทรงคุณวุฒิ 18. ผู้ทรงคุณวุฒิ 19. อปค. เลขา *คกก. --> แต่งตั้ง ขรก.ปค. 2 คน --> ผช.เลขา โดยตาแหน่ง
250.
ผู้ทรงคุณวุฒิ *ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองผู้บริโภค --> แต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามองผู้ทรงคุณวุฒ 1.
มีสัญชาติไทย 2. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ 3. ห้ามได้รับโทษจาคุก โดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก 4. ไม่เคยได้รับโทษจาคุก โดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก เว้นแต่ ประมาทและลหุโทษ 5. ไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างถูกสั่งให้พักราชการ/ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน 6. ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ เพราะกระทาผิด วินัย/ทุจริตต่อหน้าที่/ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง 7. ไม่เป็นกรรมการ ผจก. หรือผู้มีอานาจในการจัดการของผู้ให้สินเชื่อ/เป็นผู้ให้สินเชื่อ/มีผลประโยชน์ เกี่ยวข้องกับ ผู้ประกอบธุรกิจทวงหนี้ไม่ว่าโดยทางตรง/ทางอ้อม ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่เกิน 5 คน รมต.มท. แต่งตั้ง ผู้ที่มีความรู้ด้าน 1. การเงินการธนาคาร 2. กฎหมาย 3. การคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ทรงคุณวุฒิ ต้องมีอย่างน้อยด้านละ 1 คน วาระการดารงตาแหน่ง 1. คราวละ 3 ปี 2. เป็นได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
251.
หน้าที่ของ คกก. 1. ออกประกาศหรือคาสั่งเพื่อปฏิบัติตาม
พรบ. 2. ออกข้อบังคับ กาหนดหลักเกณฑ์ และวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน 3. วินิจฉัยอุทธรณ์คาสั่งให้ชาระค่าปรับทางปกครอง และคาสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน ประกอบธุรกิจ 4. กาหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ และระยะเวลาในการชาระค่าปรับ 5. เสนอแนะ ให้คาแนะนาแก่ รมต. ครม. คกก.เปรียบเทียบปรับ กปค. สนง.เศรษฐกิจการคลัง ปค. จังหวัด กองบัญชาการ ตร.นครบาล 6. เสนอแนะครม./รมต. --> มาตรการในการคุ้มครอง/ช่วยเหลือ ลูกหนี้ในด้านอื่นๆ 7. ปฏิบัติตามที่ กม.กาหนด/รมต.มอบหมาย การพ้นจากตาแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ 1. ตาย 2. ลาออก 3. รมต.มท. ให้ออก --> เพราะบกพร่อง/ไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย/หย่อนความสามารถ 4. ขาดคุณสมบัติ/มีลักษณะต้องห้าม *ผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตาแหน่งก่อนครบวาระ --> กรณี วาระที่เหลือไม่เกิน 90 วัน ไม่ต้องเลือกใหม่ (ปกติ ส่วนใหญ่จะ 180 วัน) *คกก. --> ต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ --> อย่างน้อย 1 คณะ หน้าที่ของคณะอนุกรรมการ พิจารณา/ปฏิบัติการเกี่ยวกับการกากับดูแลการทวงถามหนี้ ของผู้ให้สินเชื่อที่เป็นนิติบุคคล องค์ประกอบของคณะอนุฯ --> จานวน 4 คน 1. ผู้แทน ก.คลัง 2. ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ 3. ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย 4. ขรก.สนง.เศรษฐกิจการคลัง อนุ + เลขา 5. ขรก.สนง.เศรษฐกิจการคลัง จานวน 2 คน --> เป็น ผช.เลขา **สนง.เศรษฐกิจการคลัง --> รับผิดชอบงานธุรการของคณะอนุฯ
252.
หน้าที่ของกรมการปกครอง --> รับผิดชอบงานธุรการของ
คกก. มีหน้าที่ 1. รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงหนี้ --> เสนอต่อ คกก. (กทม./จังหวัด) 2. ติดตาม สอดส่อง พฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้/กากับการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจทวงหนี้ 3. ประสานหน่วยงานของรัฐ ที่มีอานาจในการกากับดูแล/ตรวจสอบ ผู้ทวงถามหนี้/บุคคลอื่น ที่เกี่ยวกับ การทวงหนี้ 4. รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และอมรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้อง และเหมาะสม 5. ปฏิบัติหน้าที่อื่น คกก.กากับการทวงถามหนี้ 1. ผบ.ตร.นครบาล ประธาน 2. ผู้แทน ก.คลัง 3. ผู้แทน กรม ปค. 4. ผู้แทน สนง.อัยการสูงสุด 5. ผู้แทนมณฑลทหารบกที่ 11 6. ผู้แทนสภาทนายความ 7. ผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค --> ผบ.ตร.นครบาลแต่งตั้ง 8. ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการ ตร.นครบาล --> เลขา *ผบ.ตร.นครบาล --> แต่งตั้ง ขรก.ตร.กองบัญชาการนครบาล --> 2 คน --> ผช.เลขา ลูกหนี้ บุคคลอื่น ได้รับการปฏิบัติ ขัดต่อ พรบ. ร้องเรียนต่อ คกก. - กทม. --> คกก.ประจา กทม. - ตจว. --> คกก.ประจาจังหวัด เพื่อวินิจฉัย กทม. คกก.ประจากทม. ประกอบด้วย
253.
1. ผวจ. ประธาน 2.
อัยการจังหวัด 3. ผบ.มณฑลทหารบกในพื้นที่ 4. ผบ.ตร.ภูธรจังหวัด กรรมการโดยตาแหน่ง 5. คลังจังหวัด 6. ประธานสภาทนายความจังหวัด 7. ผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค --> ผวจ.แต่งตั้ง 8. ปจ.1 เลขา *คกก.จังหวัด --> แต่งตั้ง ขรก.ปค.จังหวัด 2 คน --> ผช.เลขา อานาจหน้าที่ ของ คกก.กทม.และ คกก.จังหวัด --> ในพื้นที่รับผิดชอบ 1. วินิจฉัยเรื่องร้อยเรียน 2. เพิกถอนการจดทะเบียน 3. แต่งตั้งคณะอนุฯ 4. รายงานการปฏิบัติหน้าที่ + ปัญหา + อุปสรรค + ข้อเสนอแนะ --> ต่อ คกก.ทุก 3 เดือน 5. ปฏิบัติหน้าที่อื่น มีหน้าที่ 1. เป็น สนง.รับจดทะเบียน การประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ 2. รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้ เพื่อ คกก. ประจา กทม./จังหวัด 3. ติดตามสอดส่องพฤติกรรมของผู้ทวงถามหนี้ 4. ประธานหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอานาจในการดูแล/ตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้ 5. รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ อมรมวิธีการทวงหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม 6. ปฏิบัติหน้าที่อื่น ตจว. คกก.ประจาจังหวัด ประกอบด้วย ปกครองจังหวัด กองบัญชาการ ตร.นครบาล รับผิดชอบงานธุรการ
254.
*คกก.ประจาจังหวัด + คกก.ประจา
กทม. --> มีอานาจเพิกถอนการจดทะเบียนฯ 1. เคยถูกลงโทษทางปกครอง และถูกลงโทษซ้าอีก --> ในความผิดเดียวกัน 2. ฝ่าฝืน พรบ. ที่มีโทษทางอาญา คกก.เปรียบเทียบปรับ - ความผิดทางอาญา --> ให้ คกก.เปรียบเทียบปรับ --> ที่ รมต.มท.แต่งตั้ง --> มีอานาจเปรียบเทียบปรับ ได้ตามหลัก เกณฑ์ที่กาหนด **ยกเว้น ความผิดที่ระวังโทษจา 5 ปี/ปรับ 50,000 บาท - เมื่อ คกก.เปรียบเทียบปรับ --> ได้ทาการเปรียบเทียบปรับ + ผู้ต้องหาชาระค่าปรับแล้ว --> คดีเป็นอัน ยกเลิก --> แล้วแจ้งให้ คกก.ทราบโดยเร็ว บทเฉพาะการ - บุคคลที่ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวกับ พรบ.นี้ ก่อนบังคับใช้ --> ให้ยื่นคาขอจดทะเบียนภายใน 90 วัน นับจากวันที่ พรบ.ฉบับนี้บังคับใช้ - รมต. --> แต่งตั้งผู้ทรงฯ --> ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ พรบ.บังคับใช้ อุทธร์คาสั่งไม่รับจดทะเบียนประกอบธุรกิจทางหนี้ อาเภอ สถานีตารวจ เป็นสถานที่รับเรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับการทวงหนี้ รวบรวมข้อเท็จจริง และเอกสาร ส่งให้ปกครองจังหวัด/กองบัญชาการ ตร.นครบาล อุทธรณ์ต่อ รมต.มท. 60 วัน นับแต่ได้รับแจ้งคาสั่ง รมต.มท. --> ต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ภายใน 60 วัน นับแต่ได้รับคาอุทธรณ์ คาวินิจฉัยของ รมต.มท. ถือเป็นที่สิ้นสุด
255.
บทกาหนดโทษ โทษทางปกครอง ฐานความผิด ปรับ ไม่ปฏิบัติตาม 1. ผู้ทวงหนี้
แจ้งชื่อตัว นามสกุล และแสดงเจตนาต้องการสอบถามข้อมูล/ สถานที่ติดต่อลูกหนี้ 2. หลอกลวงเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกหนี้ 3. ทวงหนี้โดยไม่ปฏิบัติตามวิธีการที่กาหนด 4. หลักฐานการมอบอานาจ (ไม่แสดง) 5. ทวงถามในที่ไม่เหมาะสม 6. เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินอัตรา *คกก.จังหวัด/กทม. --> สั่งระงับการกระทา และปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม ในเวลาที่กาหนด *กรณีไม่ชาระค่าปรับ --> คกก.มีอานาจฟ้องศาลปกครอง และยึดทรัพย์ ขายทอดตลาด เพื่อชาระค่าปรับ *นิติบุคคล --> ผจก.ผู้มีอานาจจัดการแทนนิติบุคคลต้องรับโทษด้วย 100,000
256.
โทษทางอาญา ฐานความผิด ระวางโทษ จา ปรับ จ+ป 1.
ประกอบธุรกิจโดยไม่จดทะเบียนฯ 2. ผู้ประกอบธุรกิจเป็นทนาย/สานักงานทนาย --> จด ทบ. 3. ทวงหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ 4. บอกความเป็นหนี้ให้กับคนอื่นรู้ โดยไม่ใช่สามี ภริยา บุตร 5. ใช้เครื่องหมายสัญลักษณ์บนซองจดหมายเพื่อติดต่อสอบถามหนี้ 6. ใช้วาจาดูหมิ่นลูกหนี้ 7. ติดต่อลูกหนี้ผ่านไปรษณีย์เอกสารเปิดผนึก โทรสาร 8. เสนอให้เชิดแก่ลูกหนี้ทั้งที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่สามารถชาระได้ 1 ปี 100,000 หลอกลวง - แสดงการทวงหนี้ซึ่งทาให้เชื่อว่าเป็นการกระทาของทนายความ สนง.ทนายความ/สนง.กฎหมาย - แสดงข้อความให้เชื่อว่าจะถูกดาเนินคดี หรือถูกยึด หรืออายัดทรัพย์/ เงินเดือน - ทาให้เชื่อว่า ผู้ทวงหนี้ทวงให้กับบริษัทข้อมูลเครดิต/รับจ้างบริษัท ข้อมูลเครดิต 3 ปี 300,000 - ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง --> เกิดความเสียหายแก่ร่างกายและทรัพย์สิน ของลูกหนี้/ผู้อื่น - หลอกลวงให้เข้าใจว่าเป็นการกระทาของศาล จนท.รัฐ หน่วยงานรัฐ 5 ปี 500,000 - ข้อห้ามสาหรับ จนท.ของรัฐ 1. ประกอบธุรกิจทวงหนี้ 2. ทวงหนี้ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง ยกเว้น เป็นหนี้ของสามี ภริยา บุตร 5 ปี 500,000 - คกก.สั่งให้คนมาให้ถ้อยคา และข้อเท็จจริง หรือส่งเอกสาร/หลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับการทวง (ไม่ทาตาม/ยักยอก) 3 เดือน 30,000
257.
ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ความเป็นมา ASEAN =
Association of South East Asian Nations “ประชาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” *ก่อตั้ง 8 สิงหาคม 2510 อาเซียนถือกาเนิดขึ้น --> ลงนามในปริญญากรุงเทพ หรือ ปริญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) --> มีวัตถุประสงค์ด้าน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในอาเซียน ประเทศที่ร่วมก่อตั้ง 1. อินโดนีเซีย 2. มาเลเซีย 3. ฟิลิปปินส์ 4. สิงคโปร์ 5. ไทย (ประเทศที่เข้ามาใหม่) 6. บรูไน 8 มกราคม 2527 7. เวียดนาม 28 กรกฎาคม 2538 8. ลาว 23 กรกฎาคม 2540 9. พม่า 23 กรกฎาคม 2540 10. กัมพูชา 30 เมษายน 2542 ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ประกอบด้วย 3 เสาหลัก 1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community : APSC) 2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) 3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio Cultural Community : ASCC)
258.
คาขวัญอาเซียน “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” “One
Vision One Identity One Community” สัญลักษณ์ --> ดวงตราอาเซียน “มัดเป็นรูปรวงข้าว สีเหลือง บนพื้นวงกลมสีแดง ล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว และน้าเงิน” 1. สีแดง --> ความกล้าหาญ และความก้าวหน้า 2. สีขาว --> ความบริสุทธิ์ 3. สีน้าเงิน --> สันติภาพและความมั่นคง 4. สีเหลือง --> ความเจริญรุ่งเรือง * รวงข้าว 10 ต้น --> สมาชิก 10 ประเทศ วงกลม --> แสดงถึงเอกภาพ *วันอาเซียน --> 8 สิงหาคม ของทุกปี *เพลงประจาอาเซียน --> ASEAN WAY เลขาธิการอาเซียน (Secretarial – General) 1. สานักงานตั้งอยู่ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย 2. การเลือกเลขา : แต่งตั้งจากที่ประชุม โดยใช้หลักการเวียนตามตัวอักษรภาษาอังกฤษของประเทศ 3. ดารงตาแหน่ง 1 สมัย (ไม่สามารถต่ออายุได้) --> มีวาระ 5 ปี 4. เลขาธิการอาเซียนคนแรก นายอาร์โตโน่ ดาร์โซโน --> ชาวอินโด 5. เลขาธิการคนปัจจุบัน (คนที่ 13) นายเล เลื่องมินห์ --> เวียดนาม (2556-2561) *อาเซียนจะมีการประชุมทุกปี --> เจ้าภาพการประชุมจะเรียงตามตัวอักษร อาเซียน + 3 --> จีน ญี่ปุ่ น เกาหลี อาเซียน + 6 --> จีน ญี่ปุ่ น เกาหลี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย อาเซียน + 9 --> จีน ญี่ปุ่ น เกาหลี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย สหรัฐฯ รัสเซีย แคนาดา
259.
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ 3 เสาหลัก 1.
การเมืองและความมั่นคง --> ก.ตปท. เป็นเจ้าภาพ 2. เศรษฐกิจ --> ก.พาณิชย์ เป็นเจ้าภาพ 3. สังคม วัฒนธรรม --> ก.พมจ เป็นเจ้าภาพ การเชื่อมโยงกัน - การเชื่อมโยงด้านพลังงาน --> CLMV = กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม - การคมนาคม ทางบก ทางน้า และอากาศ --> Singapore Kunming Rail Link (SKRL) --> เส้นทางรถไฟ เชื่อมโยง 8 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย กัมพูชา เวียดนาม จีน ลาว พม่า * ประธานอาเซียน ปี 2559 --> ลาว * ผลิตภัณฑ์มวลรวมของอาเซียน --> ร้อยละ 3 ของโลก * ประเทศที่เกี่ยวข้องกับหมู่เกาะสแปลสลี่ ในทะเลจีนใต้--> เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลฯ * เขตการค้าอาเซียน --> AFTA
260.
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11
(พ.ศ.2555 - 2559) *วิเคราะห์ SWOT* การเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ 1. กฎกติกาใหม่ของโลกหลายด้าน ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัว 2. การปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจโลกแบบหลายศูนย์กลาง รวมทั้งภูมิภาคเอเชีย ทวีความสาคัญเพิ่มขึ้น 3. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของโลกอย่างต่อเนื่อง 4. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ส่งผลให้สภาพภูมิประเทศแปรปรวน (อุณหภูมิสูงขึ้น 0.2 องศา/10ปี) 5. ความมั่นคงทางอาหาร และพลังงานของโลก มีแนวโน้มจะเป็นปัญหาสาคัญ 6. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งคอยสนองต่อ การดารงชีวิตของประชาชนมากขึ้น 7. การก่อการร้ายสากลเป็นภัยคุกคาม ประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ 1. การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านเศรษฐกิจ 2. การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านสังคม 3. การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (พื้นที่ป่าเหลือ ร้อยละ 36.6) 4. การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านการบริหารจัดการพัฒนาประเทศ *การประเมินความเสี่ยง (Risk Management)* 1. การบริหารภาครัฐอ่อนแอ 2. โครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน 3. โครงสร้างประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ขณะที่ประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานลดลง (ไทยจะเข้าสู่สังคม ผู้สูงอายุ ปี 2568ฉ 4. ค่านิยมที่ดีงามเสื่อมถอยและประเพณีดั้งเดิมถูกบิดเบือน 5. ฐานทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมของประเทศ มีแนวโน้มเสื่อมโทรมรุนแรง 6. ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคง
261.
*ภูมิคุ้มกันประเทศ* 1. มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศเท่านั้น 2.
การพัฒนาประเทศให้อยู่บนฐานความรู้ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย 3. สังคมไทยมีค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดีงาม 4. ภาคการเกษตรเป็นฐานรายได้หลัก และความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ 5. ชุมชนท้องถิ่นเป็นกลไกที่มีความสามารถในการบริหารจัดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเชื่อมโยงกันเป็นสังคมสวัสดิการ สรุปแผนฯ 1-11 แผนฯ 1-7 --> โครงสร้างพื้นฐาน แผนฯ 8 --> เน้นคนเป็นศูนย์กลาง แผนฯ 9-11 --> เน้นเศรษฐกิจพอเพียง+คนเป็นศูนย์กลาง วิสัยทัศน์ "สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง" ยุทธศาสตร์ 1. การเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม 2. การพัฒนาคนแห่งสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน 3. ความเข้มแข็งภาคการเกษตร ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน 4. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน 5. การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาค เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ/สังคม 6. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และวิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน *การคอรัปชั่นไม่ต่ากว่า 5.0 คะแนน *เพิ่มผลผลิตภาพรวมไม่ต่ากว่าร้อยละ 3.0/ปี *วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ไม่ต่ากว่าร้อยละ 40.0
262.
การเมืองการปกครองไทย *สมัยสุโขทัย* พ่อปกครองลูก - หลายครัวเรือน หมู่บ้าน
พ่อบ้าน/ลูกบ้าน - หลายหมู่บ้าน เมือง พ่อเมือง - หลายเมือง ประเทศ พ่อขุน การปกครอง - หัวเมืองชั้นใน - หัวเมืองชั้นนอก - เมืองประเทศราช กฎหมายฉบับแรก จังกอบ พุทธศาสนา พุทธนิกายลังกาวงศ์ (นิกายหินยาน) ไตรภูมิพระร่วง เกิดหลัก"ทศพิธราชธรรม" *สมัยอยุธยา* เทวสิทธิ์ สมบูรณายาสิทธิราช อยุธยาตอนต้น การปกครอง - หัวเมืองชั้นใน - หัวเมืองชั้นนอก - เมืองประเทศราช *เมืองพระยามหานคร* จตุสดมถ์ - เวียง รักษาความสงบ/ปราบโจรผู้ร้าย - วัง ราชสานัก/ยุติธรรม/ตัดสินคดี - คลัง การค้า/คลัง - นา การเกษตร
263.
อยุธยาตอนกลางและตอนปลาย พระบรมไตรโลกนาถ - สมุหนายก (พลเรือน) -
สมุหกลาโหม (ทหาร) - อัครมหาเสนาบดี (เพิ่มตาแหน่ง) ตรากฎหมาย "ศักดินา" "ศักดินา" - พระยา = 10,000 ไร่ - ไพร่ = 20 ไร่ - ทาส = 5 ไร่ ต่างชาติที่เข้ามาค้าขายประเทศแรก - โปรตุเกส - พระรามาธิบดีที่ 2 *สมัยกรุงธนบุรี* ใช้การปกครองแบบอยุธยา ต้นกาเนิดกองทัพเรือ *รัตนโกสินทร์* ร.1 - ร.5 ช่วงแรก --> จตุสดมภ์ ร.5 --> 2435 --> ยกเลิกจตุสดมภ์ --> 12 กระทรวง - จัดตั้งมณฑล - จังหวัด - อาเภอ - หมู่บ้าน 2475 --> เปลี่ยนแปลงการปกครอง "คณะราษฎร์" พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอานาจ 24 มิ.ย. 2475
264.
ร.5 เลิกทาส 18
ต.ค. 2417 ร.6 ออก พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ร.7 ทดลองใช้ "ดุสิตธานี"
265.
พุทธ ศักราช พ.ศ. มท ตปท
กลาโหม พมจ คลัง นายกฯ วันที่ ปก ถัด 90 120 180 1 ลักษณะปกครองท้องที่ 2475 - P - - - - - P - - - - 2 จดทะเบียนครอบครัว 2478 - P P - - - - P - - - 3 ทะเบียนราษฎร - 2534 P P - - - - - - P - 4 คานาหน้านามหญิง - 2551 P P - P - - - - P - 5 บัตรประชาชน - 2526 P - - - - - P - - - 6 ชื่อบุคคล - 2505 P - - - - - P - - - 7 สัญชาติ - 2505 P - - - - - P - - - 8 อส. - 2509 P - P - - - P - - - 9 โรงแรม - 2547 P - - - - - - - - P 10 สถานบริการ - 2509 P - - - - - P - - - 11 ปืน เครื่องกระสุน - 2490 P - บางมาตรา - ศุลกากร P - P - - - 12 การพนัน 2478 - P - - - - P - - - - 13 สัตว์พาหนะ 2482 - P - - - - - - - 14 ควบคุมการเรี่ยไร 2487 - P - - - - - - P - - 15 ควบคุมขายทอดตลาดและค้าของเก่า 2474 - P - - - - - - - P - 16 ทวงถามหนี้ - 2558 P - - - บางส่วน - - - - P 17 อานวยความสะดวกในการ พิจารณาอนุญาตของทางราชการ - 2558 - - - - P 18 ระเบียบข้าราชการพลเรือน - 2551 - P - - - 19 ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน - 2534 - P - - - 20 ที่ ปีที่บังคับใช้ การบังคับใช้ พรบ. รมต.รักษาการ นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี
266.
คุณสมบัติ ผู้แต่งตั้ง จำนวน วำระ 2
ปี ไม่เกิน 2 วำระ คกก.หมู่บ้ำน - ผญบ. เหมือนกับผู้มีสิทธิเลือกผญบ. นอ. 2 - 10 4 ปี - ผญบ.เลือก - "ตำมพรบ" 1. ช่วยเหลือ แนะนำให้คำปรึกษำ ผญบ. 2. เป็นองค์กรหลักในกำรบรูณำกำรจัดทำ แผนหมู่บ้ำน 3. บริหำรจัดกำรกิจกรรมที่ดำเนินกำรใน หมู่บ้ำน ร่วมกับองค์กรอื่นทุกภำคส่วน "กม.อื่น" 1. ประนีประนอมคดีแพ่งทุกประเภท 2. ประนีประนอมคดีอำญำ --> ยอมควำมได้ 3. คู่กรณี --> ยินยอมให้ กม. ประนีประนอม 4. คู่กรณีของผู้พิพำทฝ่ำยหนึ่งอยู่ในหมู่บ้ำน คกก.ตำบล - กำนัน - ครูประชำบำล - กม.ผู้ทรง หมู่บ้ำนละ 1 คน ผวจ. - 5 ปี - - - - คกก.รับรองควำมเป็นคนไทย พลัดถิ่น 15 ป.มท. 1. ผู้แทนองค์กรภำคเอกชน NCO 2. นักวิจัยหรือนักวิชำกำร - ด้ำนกฎหมำยสัญชำติหรือ สถำนะบุคคล - ด้ำนสังคมวิทยำและมำนุษยวิทยำ - ด้ำนประวัติศำสตร์ชำติพันธ์ รมต.มท ไม่เกิน 7 P P อปค. ขรก.ปค 2 คน อปค แต่งตั่ง 1. พิจำรณำและรับรองควำมเป็นคนไทย พลัดถิ่น 2. เสนอแนะและให้ควำมเห็นต่อ รมต. ใน กำรออกกฎกระทรวง 3. ปฏิบัติหน้ำที่อื่น คกก.กลั่นกรองสัญชำติ 19 ป.มท. มีควำมรู้และประสบกำรณ์ ทำงำนด้ำนสัญชำติเป็นที่ประจักษ์ รมต.มท 6 P P อปค. ขรก.ปค 2 คน อปค แต่งตั่ง 1. เสนอแนะและให้ควำมเห็นต่อ รมต. ในกำร อนุญำต/ไม่อนุญำต ให้บุคคลได้สัญชำติไทย 2. ตั้งอนุกรรมกำร คณะกรรมกำร ผู้ทรงคุณวุฒิ หน้ำที่ประธำน จำนวน (คน) เลขำ ผช.เลขำ
267.
คุณสมบัติ ผู้แต่งตั้ง จำนวน วำระ 2
ปี ไม่เกิน 2 วำระ ผู้ทรงคุณวุฒิ หน้ำที่ประธำน จำนวน (คน) เลขำ ผช.เลขำ คกก.กองอำสำรักษำดินแดน ไม่น้อย กว่ำ 10 ไม่เกิน 20 รมต.มท - - - - - - - 1. ดำเนินงำนกอง อส.ทั่วไปตำมนโยบำย 2. วิชำทำงเทคนิคของสภำควำมมั่นคงแห่งชำติ 3. วำงระเบียบและข้อบังคับ คกก.ควบคุมโรงรับจำนำ 6 ป.มท. - - - - - - - 1. กำหนดท้องที่อนุญำตให้ตั้งโรงรับจำนำ 2. กำหนดจำนวนคนรับจำนำ 3. พิจำรณำคำขออนุญำตจัดตั้งหรือย้ำย 4. ดำเนินกำรอย่ำงอื่น คกก.ควบคุมกำรเรี่ยไร 7 ป.มท. มีอำนำจสั่งไม่อนุญำต/สั่งอนุญำตโดยมีเงื่อนไข 1. จำนวนเงิน/ทรัพย์สินอื่น --> อย่ำงสูงที่ เรี่ยไรได้ 2. เขต/สถำนที่ และเวลำ ที่อนุญำตให้ทำกำร เรี่ยไร 3. วิธีกำรเก็บรักษษและทำบัญชี --> ทรัพย์สิน ที่เรี่ยไรได้ 4. วิธีกำรเรี่ยไร คกก.ส่งเสริมและประกอบ ธุรกิจโรงแรม 24 ป.มท. คนที่มีประสบกำรณ์ด้ำนโรงแรม หรือท่องเที่ยว โดยกระจำยตำม ประเภทของโรงแรม ครม. 5 คน P P ผท.ปค 1. ผท.สตช 2. ผท. ททท 1. แนะนำ รมต. ประกำศกำหนด ท้องที่ใดงดออกใบอนุญำต 2. พิจำรณำคำอุทธรณ์ 3.เสนอแผนและมำตรกำร
268.
คุณสมบัติ ผู้แต่งตั้ง จำนวน วำระ 2
ปี ไม่เกิน 2 วำระ ผู้ทรงคุณวุฒิ หน้ำที่ประธำน จำนวน (คน) เลขำ ผช.เลขำ คกก.กำกับกำรทวงถำมหนี้ ไม่เกิน 19 คน รมต.มท มีควำมรู้ด้ำน 1. กำรเงินกำรธนำคำร 2. กฎหมำย 3. กำรคุ้มครองผู้บริโภค รมต.มท ไม่เกิน 5 คน 3 ปี P อปค. ขรก. ปค 2 คน *อปค แต่งตั้ง 1. ออกประกำศ/คำสั่งเพื่อทำตำม พรบ. 2.ออกข้อบังคับ/หลักเกณฑ์ 3. วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งให้ชำระค่ำปรับและ เพิกถอนกำรจดทะเบียน 4. กำหนดหลักเกณฑ์กำรเปรียบเทียบ 5. เสนอแนะ ให้คำปรึกษำแก่ รมต. ครม. คกก. เปรียบเทียบปรับฯลฯ คกก.ข้อมูลข่ำวสำรทำงรำชกำร 23 รมต ครม. 9 ขรก. สำนักปลัด ขรก. สำนัก ปลัด 2 คน 1. ดูแลและแนะนำ 2. ให้คำปรึกษำแก่ จนท. 3. เสนอแนะกำรตรำ พรก. ออกกฎกระทรวง ระเบียบ คกก.พัฒนำระบบรำชกำร (ก.พ.ร.) ไม่เกิน 14 นำยกฯ/ รอง ที่นำยก มอบหมำย มีควำมรู้และควำมเชี่ยวชำญด้ำน 1. นิติศำสตร์ 2.เศรษฐศำสตร์ 3.รัฐศำสตร์ 4. บริหำรธุรกิจ 5.บริหำรรัฐกิจ 6.กำรเงินกำรคลัง 7.จิตวิทยำ 8.สังคมวิทยำ ด้ำนละ 1 คน ครม. ไม่เกิน 10 4 ปี P เลขำ ก.พ.ร. - คกก.ขรก พลเรือน (ก.พ.) ไม่เกิน 12 นำยกฯ/ รอง ที่นำยก มอบหมำย มีควำมรู้ด้ำน 1. กำรบริหำรทรัพยำกรบุคคล 2. กำรบริหำรและจัดกำร 3. กฎหมำย King ไม่น้อย 5 ไม่เกิน 7 3 ปี P เลขำ ก.พ. - มี 13 ข้อ
269.
คุณสมบัติ ผู้แต่งตั้ง จำนวน วำระ 2
ปี ไม่เกิน 2 วำระ ผู้ทรงคุณวุฒิ หน้ำที่ประธำน จำนวน (คน) เลขำ ผช.เลขำ คกก.พิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) **ทำงำนเต็มเวลำ** 7 คกก. 4 คน คัดเลือก 1. สัญชำติไทย 2. อำยุไม่ต่ำกว่ำ 45 ปี King - 6 ปี - - - ** คกก.คัดเลือกประกอบด้วย 1.ประธำนศำลปกครองสูงสุด 2.รองประธำนศำลฎีกำ/ประธำนศำลมอบหมำย 3.กรรมกำรผู้ทรงฯ --> ก.พ. เลือก 4.เลขำ ก.พ.
270.
นายทะเบียน เจ้าพนักงาน จนท. ขายทอด ตลาด - กทม.
= อปค ตจว. = ผวจ. กทม. = กรมการปกครอง ตจว. = ที่ว่าการ อาเภอ/กิ่ง กทม = อปค/ ขรก.ปค ระดับ 4 ตจว = ปจ/นอ/ ปอ.หน./ 15 วัน นับแต่วัน ไม่อนุญาต รมต.มท 31 ธ.ค. ในปี นั้นๆ ก่อน 90 วัน โรงรับ จานา - กทม. = อปค. ตจว. = ผวจ. คกก.ควบคุม โรงรับจานา กทม = อปค/ ขรก.ปค ระดับ 4 ตจว = ปจ/นอ/ ปอ.หน.กิ่ง/ปอ. 30 วัน นับแต่แจ้ง เป็น นส. รมต. มท 31 ธ.ค. ในปี นั้นๆ ไม่เกิน 3 เดือน โรงแรม กทม. = อปค. ตจว. = นอ. 1. ตร.ชั้นสัญญาบัตร ขึ้นไป 2.ขรก.ระดับ 3 3.ขรก.ท้องถิ่น ระดับ3 กทม. = กรมการปกครอง ตจว. = ที่ว่าการ อาเภอ/กิ่ง คกก.ส่งเสริม และกากับธุรกิจ โรงแรม - 15 วัน ได้รับแจ้ง เป็นนส. คกก.ส่งเสริมฯ (ต้องเสร็จ 45 วัน) 5 ปี - ก่อนหมด อายุ -หลังหมด 60 วัน 1. จ. = ไม่เกิน 4 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน15วัน 2. ผจ. = ต้องปฎิบัติ ไม่เกิน 30 วัน สถาน บริการ - กทม = ผบ.นครบาล ตจว. = ผวจ. กทม. = ผกก/ รองผกก ตจว. = ท้องที่ สถานบริการตั้ง 30 วัน นับแต่แจ้ง เป็น นส. กทม. = อ.กรมตร. ตจว. = ป.มท 31 ธ.ค. ในปี นั้นๆ ก่อนหมด เบ่า = 30 หนัก = 90 ควบคุม การเรี่ยไร - กทม. = อปค. ตจว. = นอ. /ปอ.หน.กิ่ง กทม. = กรมการปกครอง ตจว. = ที่ว่าการ อาเภอ/กิ่ง 15 วัน นับแต่วัน ไม่อนุญาต กทม = คกก. ตจว = กรมการจ. พักใช้ ใบอนุญาต ใบอนุญาต ผู้ออกใบอนุญาต พรบ ผู้ควบคุม นายตรวจ ระยะเวลา อุทธรณ์ ผู้พิจารณา อุทธรณ์ อายุ ใบอนุญาต ต่อ ใบอนุญาต สถานที่ยื่น ขออนุญาต
271.
นายทะเบียน เจ้าพนักงาน จนท. พักใช้ ใบอนุญาต ผู้ออกใบอนุญาต พรบ
ผู้ควบคุม นายตรวจ ระยะเวลา อุทธรณ์ ผู้พิจารณา อุทธรณ์ อายุ ใบอนุญาต ต่อ ใบอนุญาต สถานที่ยื่น ขออนุญาต การพนัน - กทม. = ผอ.สานัก สอบสวนและนิติการ ตจว. = นอ./ปอ. ปืน กทม. = อปค. ตจว. = ผวจ./ นอ./ปอ.หน.กิ่ง - 30 วัน นับแต่แจ้ง เป็น นส. นายทะเบียนท้องที่ ป.3 = 6 เดือน ป.4 = ตลอด อายุ ป.12 = 1 ปี -
272.
โรงแรม สถานบริการ 1. ความหมาย
ประสงค์ในทางธุรกิจ ประโยชน์ทางการค้า 2. การกาหนดพื้นที่ รมต.ประกาศ ก็คือประกาศมหาดไทย พรก. 3. Zoning พื้นที่งดออกใบอนุญาต พื้นที่อนุญาต หรือ งดอนุญาต ตั้งสถานบริการ 4. คุณสมบัติ ไม่เคยต้องคาพิพากษาถึงที่สุด 1.ค้าหญิงและเด็ก 2. เพศ 3. ค้าประเวณี 4. ยาเสพติด ห้าม 1. ค้าหญิงและเด็ก 2. ค้าประเวณี 3. เพศ 4. ค้าวัตถุลามก 5. คุณสมบัติ 2 ไม่เคยต้องโทษจาคุก ยกเว้น ลหุโทษ ประมาท - 6. พักใช้ใบอนุญาต ครั้งละไม่เกิน 15 วัน ไม่เกิน 4 ครั้ง เบา = 30 วัน หนัก = 90 วัน 7. ค่าธรรมเนียมต่อใบอนุญาต กึ่งหนึ่ง (0.5) 1 ใน 5 (1/5) ประเด็นเปรียบเทียบโรงแรมกับสถานบริการ
Download