ชื่อผลงานวิจัย พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ” สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้ทาวิจัย นายสุริยา จุมพลหลา และคณะ
ปี พ.ศ. 2560
สถานศึกษา โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ
บทคัดย่อ
รายงาน พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยา
ศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ” สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อ
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.2) เพื่อ
เปรียบเทียบทักษะ ความรู้หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3) เพื่อประเมินจิต
วิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4) เพื่อศึกษาความ
พึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การดาเนินการวิจัยใน
ครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 D: Diagnosis of
needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) ขั้นที่ 2 R: Research in effective learning environment
(การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการ
จัดการชั้นเรียน ) ขั้นที่ 3 U: Universal Design for learning (เป็นขั้นการประเมิน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
วิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย จานวน 30 คน
ผลการวิจัยพบว่า
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (DRU MODEL: YPF MOEDL) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่
สร้างขึ้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ค่าประสิทธิภาพค่าของ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
รูปแบบการการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU MODEL: YPF MOEDL) โดย
ภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (DRU MODEL: YPF MOEDL) พัฒนาขึ้นหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (̅ =4.90 , S.D.
= 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาหลายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย
(̅ =4.90 , S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้ (DRU MODEL: YPF MOEDL) ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกหลายด้าน
ในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการ
เรียนรู้ ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
ปัจจุบันเป็นยุคที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อ
เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่
21 ส่งผลต่อวิถีการดารงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้
เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสาหรับการออกไปดารงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ที่สาคัญที่สุด คือ
ทักษะการเรียนรู้ (LEARNING Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21
นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจาเป็น ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียน
การสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทาให้เกิดการเรียนรู้ดังกล่าว
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกาหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบ
และแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นที่องค์ความรู้
ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับผู้เรียน เพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงใน
ปัจจุบัน (ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ และวรางคณา ทองนพคุณ. 2556 : 1-3) สอดคล้องกับนโยบายของ
กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม
รักความเป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถทางานและอยู่ร่วมกับ
ผู้อื่นได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552 : 2) จึงเกิดการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างต่อเนื่องภายใต้
กฎหมายการศึกษาหลักพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 มีความต้องการจัดการศึกษาเพื่อ
พัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและ
วัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุก
คนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญมากที่สุด กระบวนการ
จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาศักยภาพ ส่วนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ได้เน้นให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด
ของผู้เรียนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ
สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา และจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติ ให้ทาได้ คิดเป็น รักการอ่านและใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์นั้นต้องให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านวิทยาศาสตร์รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและ
ประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบารุงรักษา และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542.2542 : 1-8)
จากข้อค้นพบในการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2542
ในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2546ก, 2546ข, 2548ก, 2548ข ;
สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2547 ; สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล, 2548 ; สุวิมล ว่อง
วานิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย, 2547; Nutravong, 2002; Kittsunthorn, 2003, อ้างถึงใน
กระทรวงศึกษาธิการ 2552 : 1) และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลก
ยุคศตวรรษที่ 21 จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียน
ให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ กาหนดจุดหมายไว้ 5 ประการ
ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฎิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้อัน
เป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3) มี
สุขภาพกายและสุขภาพที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกาลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็น
พลเมืองไทยและพลโลก 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองและพลโลก 5) มีจิตสานึกในการ
อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และ
สร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข โดยมุ่งหวังพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5
ประการ คือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ในส่วนของความสามารถในการคิด
นั้นเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และการคิดเป็นระบบเพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคม
ได้อย่างเหมาะสม มีการพัฒนาอย่างสมดุลโดยคานึงถึงหลักการพัฒนาทางสมองและพหุปัญญา และกาหนด
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับ
กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และการ
แก้ปัญหาที่หลากหลายให้กับผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ
จริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552 : 2-13)
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคน
ทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์
ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด
สร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์
คิดวิเคราะห์ คิดวิจารณญาณ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็น
ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็น
วัฒนธรรมของโลกสมันใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based society) ทุกคนจาเป็นต้อง
ได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์
ขึ้น สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา.
2551 : 1) เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศในโลกที่สามที่เจริญก้าวหน้าไปได้ดี มักจะมีนโยบายวิทยาศาสตร์ที่
ชัดเจน เป็นรูปธรรม และตัวบ่งชี้ที่วัดและเปรียบเทียบได้ เช่น จานวนนักวิทยาศาสตร์ต่อประชากรพันคน
งบประมาณวิจัยค้นคว้า วิทยาศาสตร์เป็นเปอร์เซ็นต์ของผลิตผลรวมมวล ฯลฯ แต่บางประเทศกลับมีนโยบายที่
หน่วงเหนี่ยววิทยาศาสตร์ เป็นต้น ว่านโยบายที่แบ่งวิทยาศาสตร์ออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีบทบาท
ในการพัฒนาประเทศ และประเทศที่ไม่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ และรวมการพัฒนาวิทยาศาสตร์มูล
ฐาน เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี หรือแม้แต่ ชีววิทยา เข้าไว้ในประเภทหลัง หลักสูตรการเรียนการสอนใน
ปัจจุบันของประเทศต่างๆ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้มุ่งไปที่ Knowledge curriculum คาว่า Knowledge
ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เรียนรู้ ที่สามารถเปลี่ยนไป ให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ หากสิ่งที่เรียนรู้เปลี่ยนไป ให้มีมูลค่า
ทางเศรษฐกิจไม่ได้ ก็จะไม่นับเป็นความรู้ ดังนั้น หลักการสาคัญของการเรียนรู้ คือการเปลี่ยนสิ่งเรียนรู้ให้มี
ประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นให้ได้ ดังนั้น ได้มีผู้เสนอแนะว่า การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ควรจะเริ่มด้วยการใช้
ประโยชน์ก่อน และเข้าสู่ทฤษฎีภายหลัง หรืออย่างน้อย ผู้สอนน่าจะสอนในสิ่งที่ผู้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เรียนมีหรือจะ
ให้ประโยชน์ แก่นักเรียนอย่างไรบ้าง ในขณะที่ประเทศไทยกาลังพูดถึง Quantum economy ซึ่งการพัฒนา
nano computer และนักฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในอนาคตจะมีลักษณะใกล้เคียงกันเข้าไปยิ่งขึ้น (เฉลียว มณีเลิศ.
2557 : 1) รัฐต้องเร่งรัดและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประกอบกันองค์การยูเนสโกในปี
2000 ได้ออกมาเสนอให้พลโลกรู้วิทยาศาสตร์อย่างเพียงพอเพื่อการดารงชีวิตอย่างเป็นสุขและปลอดภัยในโลก
ยุคโลกาภิวัฒน์ การพัฒนาให้ทุกคนรู้วิทยาศาสตร์จึงมีความสาคัญในการดารงชีวิต ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ (หัสชัย สิทธิรักษ์. 2551) ดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงเป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็น
สังคมแห่งการเรียนรู้ การบูรณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ สอดคล้องกับเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาการทางความคิดในระดับสูง อันจะส่งผลต่อการ
พัฒนาความคิดที่มีเหตุผล สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นทักษะสาคัญในการแก้ปัญหา
อย่างเป็นระบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มิได้มุ่งเฉพาะตัวเนื้อหาความรู้แต่มีความหมายครอบคลุมไปถึง
กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย นั่นคือ ผู้เรียนต้องได้รับผลผลิตทั้งเนื้อหาความรู้และ
ปลูกฝังกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในเวลาเดียวกัน (วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544 : ค)
เพื่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย ผู้เรียนต้องได้
เรียนรู้ผ่านกระบวนการเป็นผู้คิดลงปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการทา
กิจกรรมภาคสนาม การสังเกต การสารวจ ตรวจสอบ การทดลองในห้องปฎิบัติการ การสืบค้นข้อมูลจาก
แหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเกิดขึ้นระหว่างที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมผ่านการทากิจกรรม
เหล่านั้นจึงจะมีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนากระบวนการคิดขั้นสูง
(สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2547 : 9-10) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
กาหนดไว้ว่าสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งให้มีการนาความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ใน
การศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดวิเคราะห์ คิด
สร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ผู้เรียนต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนาพาตนเองไปสู่
เป้าหมายของหลักสูตร สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นสาระที่มีกระบวนการและขั้นตอนในการศึกษา
ประเด็นวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน มักต้องมีการคิดวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ เป็น
หลัก โดยจะเริ่มจากการทาความเข้าใจประเด็นปัญหาหรือคาถาม โดยที่เด็กต้องทาความเข้าใจกับสถานการณ์
นั้นอย่างถ่องแท้ มักจะเริ่มด้วยการคิดวิเคราะห์ว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ ไม่
เพียงแต่ความรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน การพัฒนาและปลูกฝังทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็กจะสามารถทาให้เกิด
ความเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจาวัน และใช้ความเป็นเหตุและผลในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ได้อีกด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 4-21) การสอนจึงเป็นเรื่องสาคัญอย่างยิ่งในยุคปฏิรูปการศึกษาการ
ดาเนินชีวิตที่ประสบความสุข ความสาเร็จ เป็นผลมาจากประสิทธิภาพของการคิดกลวิธี และทักษะ
กระบวนการคิดในลักษณะต่างๆ การคิดเป็นกลไกที่สาคัญอย่างอย่างยิ่งในการพัฒนาความสามารถทางสมอง
การฝึกทักษะการคิดและกระบวนการคิดจึงเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสติปัญญาของเด็กเพื่อจะได้
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) พิมพันธ์ เดชะคุปต์
และพเยาว์ ยินดีสุข. (2548 : 22) ; สมนึก ภัททิยธนี, จุฑาทิพย์ ชาติสุวรรณ์ และวิภาดา คาดี (2548 : 2)
กล่าวถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณไว้ว่า เป็นความคิดประเภทหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาได้อย่าง
มีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องมือสาหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้ด้วยตนเอง อีกทั้งเป็นความคิดที่มี
จุดมุ่งหมายเพื่อใช้ในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบโดยอาศัยความรู้ ความคิด และประสบการณ์เพื่อ
นาไปสู่ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล ดังนั้น การคิดอย่างมีวิจารณญาณส่งผลให้สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาโดย
การใช้เหตุผลอย่างถูกต้องเหมาะสมช่วยให้สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกปัจจุบันและอนาคต
วิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ซึ่งความรู้ต่างๆ
เหล่านี้มีอยู่อย่างมากมาย ดังนั้น เพื่อความเป็นระเบียบจึงต้องมีการจัดความรู้ต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่ตามแต่
ละสาขา เช่น ถ้าเป็นความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจาพวกพืช หรือพรรณไม้ต่างๆ จัดอยู่ในสาขาพฤกษาศาสตร์ ส่วน
เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น สัตว์เซลล์เดียวหรือเชื้อจุลินทรีย์ จัดอยู่ในสาขาจุลชีววิทยา เป็นต้น
อย่างไรก็ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้แบ่งออกอย่างกว้างๆ เป็น 2 ประเภท ตามจุดประสงค์ของการแสวงหา
ความรู้ คือ1) วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) หรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) คือ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่บรรยายถึงความเป็นไปของปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ อันประกอบไปด้วย
ข้อเท็จจริง หลักการ ทฤษฏี กฎ และสูตรต่างๆ เป็นความรู้พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาเพื่อสนอง
ความต้องการอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คานึงถึงประโยชน์ของการค้นหา สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้อีก 3
แขนง คือ (1) วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ ของ
สิ่งไม่มีชีวิต เช่น เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) รวมถึงอุตุนิยมวิทยา และ
ธรณีวิทยา เป็นต้น (2) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ
ของสิ่งมีชีวิต เช่น สัตววิทยา พฤกษศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) จุลชีววิทยา เป็นต้น (3) วิทยาศาสตร์
สังคม (Social Science) เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ เพื่อจัดระบบให้มนุษย์มีการดารงชีวิตอยู่ด้วยกัน
อย่างมีแบบแผน เพื่อความสงบสุขของสังคม ประกอบด้วย วิชาจิตวิทยา วิชาการศึกษา วิชารัฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น 2) วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) วิทยาศาสตร์ประยุกต์ คือ วิทยาศาสตร์
ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆที่มุ่งประโยชน์ในทางปฏิบัติยิ่งกว่าทฤษฏี เช่นแพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์
เกษตรศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542)
วิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นวิทยาศาสตร์ที่นาเอาความรู้จากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาประยุกต์เพื่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อสังคมสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม
ทาให้เกิดสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สาขาใหม่ เช่น แพทย์ศาสตร์ สัตวแพทย์ศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรม และ
โภชนาการ เป็นต้น
หากเราพิจารณาในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์สาขาหนึ่งนั้น จะพบว่าเป็น
การผสมผสานความรู้จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หลายสาขาประกอบกันเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค
โดยไม่ได้ใช้ความรู้ในวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์สาขานั้นทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ทางด้านชีววิทยาใช้เฉพาะที่
เกี่ยวกับเรื่องการทางานของอวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกาย ความรู้ทางด้านฟิสิกส์ใช้ในส่วนที่เป็นเรื่อง
เกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและการเคลื่อนไหว ใช้ความรู้ทางด้านเคมี เช่น คุณสมบัติของสารเคมีต่างๆ ที่
สามารถนามาทายารักษาโรค ทางด้านจุลชีววิทยาได้แก่ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลินทรีย์ และเชื้อโรคต่างๆ
เป็นต้น จะเห็นได้ว่าสาขาวิชา แพทย์ศาสตร์นั้นเป็นการดึงเอาความรู้บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทางานของ
ร่างกายมนุษย์ และ การบาบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หลายๆแขนงมาประยุกต์
รวมกันเพื่อประโยชน์ทางด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น โดยสรุป คือ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เป็นความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่ง
มักเป็นสาขาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ที่มีลักษณะเป็นทฤษฏี หลักการ กฎ หรือสูตรต่างๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี
ชีววิทยา เป็นต้น ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นการใช้ความรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ โดยเน้นในทางปฏิบัติ
มากกว่าทฤษฎี และมักเป็นสาขาวิชาเฉพาะทาง เช่น แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น จึงจาเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ที่รู้จริง รู้ลึกด้วยความเข้าใจ มีความรู้
พื้นฐานมากพอเพียงที่สามารถนาไปใช้ ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ การสอนให้ผู้เรียนคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหา
เป็นนั้นเป็นสิ่งสาคัญที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถแสดงความคิดอย่างชัดเจน สมเหตุสมผล มี
วิจารณญาณ เป็นผู้รู้จริงใฝ่แสวงหาความรู้ กล้าแสดงความรู้และความคิด เสียสละเพื่อส่วนรวม มีน้าใจและ
สามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
สภาพการจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบันถึงแม้จะมีนโยบายระดับประเทศในการส่งเสริมการจัด
การศึกษา อาทิ เช่น นโยบายในการปฏิรูปการศึกษาและการมุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการคิด มี
ความมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนแสดงความคิดและความสามารถวิเคราะห์ เน้นระบบการจัดการเรียนรู้ให้คนคิด
เป็น วิเคราะห์เป็น กิจกรรมการเรียนรู้ควรฝึกฝนให้นักเรียนเป็นคนช่างคิด และคิดเป็นกระบวนการ รู้จักคิด
วิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผล ค้นหาความรู้ด้วยตนเองได้ แต่ในปัจจุบันพบปัญหาที่ต้องเร่ง
ดาเนินการพัฒนาให้ประสบผลสาเร็จตามนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาที่สาคัญในหลายประเด็น ที่สาคัญคือ
ปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษาและสติปัญญาของเด็ก กล่าวคือ การพัฒนาที่ผ่านมาทาให้เด็กและเยาวชนมี
โอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น อัตราการรู้หนังสือและระดับการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลับลดลง ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบระดับชาติ(O-Net, GAT/PAT) หรือการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการ PISA และ TIMSS) สถิติและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
คุณภาพทางการศึกษา ตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนของมาตรการการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
(Measure of Achievement) ทุกระดับชั้น ผลการทดสอบต่าง ๆ สะท้อนถึงสถานการณ์การเรียนรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ของเด็กไทยล้าหลังกว่านานาชาติถึง 2 ปี ตามที่ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนานาชาติ เพื่อประเมิน
ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา(International Association for the Evaluation of EducationalAchievement
หรือ IEA) เมื่อปี พ.ศ. 2551 ล่าสุด สสวท. ได้เข้าร่วม โครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกคณิตศาสตร์และ
วิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ.2554 (Trends in International Mathematics and Science:TIMSS
2011) ไทยมีผลคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์ 451 คะแนนอยู่ที่ลาดับ 25 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมิน 45
ประเทศ หากเปรียบเทียบ การประเมิน TIMSS 2007 กับ ปี 2011 ของไทยในภาพรวมพบว่าคะแนนเฉลี่ยของ
ไทยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยในปี 2011 วิชาคณิตศาสตร์ลดลง 14 คะแนน วิชา
วิทยาศาสตร์ลดลง 20 คะแนน โดยวิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยลดลง 441 ในปี 2007 เหลือ 421 ในปี
2011 และวิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 471 ในปี2007 เหลือ 451 ในปี 2011 ถูกจัดกลุ่มให้อยู่
ในระดับแย่(poor)ทั้ง2วิชา (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.2556:1-13) เมื่อเปรียบเทียบการประเมิน
นักเรียนในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ(Program for International Student Assessment หรือ
PISA) ที่มีประเทศสมาชิก OECD (Economic Co-operation and Development) และประเทศ นอก
กลุ่มสมาชิก OECD ซึ่งเรียกว่าประเทศร่วมโครงการ (Partner Countries) ทั้งหมดประมาณ 90% ของเขต
เศรษฐกิจโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษา สาหรับประเทศสมาชิกและประเทศ
ร่วมโครงการ ประเมินทุกสามปี เป็นการประเมินความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ได้แก่ การรู้
(Literacy) สามด้าน คือ ด้านการอ่าน (Reading Literacy) คณิตศาสตร์ (Mathematics Literacy) และ
วิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมการประเมินผลตั้งแต่แรกจนครบสามครั้ง ในการ
ประเมินรอบแรก (Phase I : PISA 2000 PISA 2003 และ PISA 2006) และปัจจุบันเป็นการประเมินรอบสอง
(Phase II : PISA 2009 PISA 2012 และ PISA 2015) การประเมินผลในแต่ละละครั้งสามารถให้ข้อมูล
คุณภาพการศึกษาของชาติ ซึ่งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายและสาธารณชนควรต้องได้รับรู้ ระบบ
การศึกษาของเราได้เตรียมความพร้อมเยาวชนของชาติให้พร้อมที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพมีสมรรถนะในการ
แข่งขันเทียบกับประชาคมโลก ในครั้งล่าสุด คือ PISA 2012 ผลการประเมินในภาพรวมประเทศไทยอยู่ใน
อันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศสมาชิก มีคะแนนต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD ทั้งสามวิชา ซึ่งชี้นัยว่าคุณภาพการศึกษา
ของไทยยังห่างไกลจากความเป็นเลิศ ความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษายังคงเป็นภารกิจสาคัญที่
ต้องดาเนินการต่อไป จุดสาคัญที่พบจุดหนึ่งคือ การยกระดับนักเรียนกลุ่มต่าให้สูงขึ้น แต่ในระบบการศึกษา
ไทยกลับมีเหตุการณ์ที่นักเรียนกลุ่มสูงลดต่าลงซึ่งเกิดขึ้นกับทุกวิชา คะแนนเฉลี่ยวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทย
ได้ 444 คะแนนจากค่าเฉลี่ย 501 คะแนน เพิ่มสูงขึ้นจาก PISA 2009 (คะแนน 425) อย่างมีนัยสาคัญ เมื่อ
เทียบกับ PISA 2000 ก็พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม คะแนนยังคงต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD มากกว่าครึ่ง
ระดับ บ่งบอกถึงนักเรียนมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับต่าซึ่งไม่ถึงระดับพื้นฐาน (สถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.2556 : 1-24)
จากผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีการ 2555-2557 พบว่าผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนลดลงทุกๆปีและผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รอบที่2
ของโรงเรียนสีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" พบว่ามาตรฐานที่5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จาเป็นตามหลักสูตร
(2.13)และมาฐานที่9 ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
(2.31) ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สานักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) 2552:ออนไลน์) และผลการทดสอบทางการศึกษา
แห่งชาติ(O-NET) ปีการศึกษา 2551-2552 วิชาวิทยาศาสตร์ระดับประเทศได้ค่าคะแนนเฉลี่ย 29.06 และ
31.03 ตามลาดับ ขณะที่มีความมุ่งหมายที่จะจัดการเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็น มี
ความสามารถ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การดาเนินงาน
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้การจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่
2 ที่ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้เรื่องบรรยากาศ หน่วยการเรียนรู้นี้นักเรียนมีผลการเรียนค่อนข้างต่า โดยไม่
ผ่านเกณฑ์ในการวัดผลการเรียนในแต่ละหน่วยย่อย ที่ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ส่วนประกอบของอากาศ
อุณหภูมิและชั้นบรรยากาศ สมบัติของอากาศ ความชื้นของอากาศ ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ อุตุนิยมวิทยา
และพยากรณ์อากาศ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกโดยผู้เรียนไม่สามารถตอบคาถามได้ว่าไม่เข้าใจ
ตรงไหน ปัญหาสาคัญอยู่ที่ไหน ใช้หลักการใดไปแก้ปัญหา นักเรียนไม่สามารถแบ่งชั้นบรรยากาศได้ ไม่สามรถ
คานวณหาระดับความสูงจากระดับน้าทะเล จึงต้องมีการสอนเพิ่มเติมและพบว่านักเรียนมีผลการเรียนไม่ผ่าน
เกณฑ์ นักเรียนเกิดการเบื่อหน่ายไม่อยากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่มีส่วนร่วมในการเรียน ไม่สนุกกับการเรียน
ส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะกระบวนการคิด จากผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ต่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทาให้
ผู้วิจัยทบทวนถึงสาเหตุครั้งนี้ พบว่าเกิดจากผู้เรียนและผู้สอน สาคัญที่สุดขึ้นอยู่กับผู้สอนเนื่องจากผู้สอนไม่
พิจารณาถึงความแตกต่างด้านเชาว์ปัญญาของผู้เรียน ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ไม่เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้แสดงถึงความสามารถด้านเชาว์ปัญญา ทาให้ไม่สามารถเห็นจุดเด่นของนักเรียนแต่ละคน หากผู้สอน
สามารถจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับลักษณะเด่นของผู้เรียนแต่ละคนและผู้เรียนจะสามารถพัฒนาเชาว์ปัญญา
ให้สูงขึ้นได้
จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนสนใจที่จะนารูปแบบการสอนทฤษฎีกระบวนการจัดการ
เรียนรู้แบบ DRU Modle (YPF) เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนารูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาใช้แก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และมี
กระบวนการคิดอย่างมีระบบ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนระดับสูงและการดารงชีวิตประจาวันต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
สมมติฐานการวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
2. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน หลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนา ผู้วิจัยกาหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้
ตัวแปรในการศึกษา
1. ตัวแปรอิสระ คือรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน
ดังนี้
1.1 ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อมผู้เรียน (Prepare learners)
1.2 ขั้นที่ 2 ปรับเปลี่ยนความคิด (Turning ideas)
1.3 ขั้นที่ 3 เรียนรู้สิ่งใหม่ (Learn something new)
1.4 ขั้นที่ 4 ประยุกต์ใช้ความรู้ (Application of Knowledge)
1.5 ขั้นที่ 5 เติมเต็มประสบการณ์ (Complement the experience)
2. ตัวแปรตาม คือผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบ DRU MODEL (YPF) การจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี 4 ด้านประกอบด้วย
2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2.2 ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
2.3 จิตวิทยาศาสตร์
2.4 ความพึงพอใจ
ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 1 ห้องเรียน โรงเรียนวัด
มะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ สังกัดกรุงเทพมหานคร จานวน 30 คน ปีการศึกษา 2559
2. กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 1 ห้องเรียน โรงเรียนวัด
มะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ สังกัดกรุงเทพมหานคร จานวน 30 คน ปีการศึกษา 2559 ได้มาโดยการสุ่มอย่าง
ง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม
ขอบเขตด้านระยะเวลาการศึกษาวิจัย
ดาเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 วันที่ 9-20 มกราคม 2560
นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย
1. รูปแบบการสอน หมายถึงแบบแผนการดาเนินการจัดกิจกรรมการการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
โดยอาศัยทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ DRO MODEL (YPE) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 Your Identify คือการตอบคาถาม ให้นักเรียนเกิดทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ขั้นที่ 2 Praxis คือสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการทากิจกรรม/วิพากษ์
ขั้นที่ 3 Formative คือประเมินตนเอง ตรวจสอบทบทวนตนเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ทาการทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียนตามกิจกรรมการเรียน
การสอนในรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3. ความรู้ คือ ความเข้าใจในเรื่องบรรยากาศ จดจาในสิ่งที่เรียนไปและนาความรู้เรื่องบรรยากาศไปใช้
ประโยชน์ เป็นความสามารถทางสติปัญญาในการขยายความรู้ ความจา ให้กว้างออกไปจากเดิมอย่าง
สมเหตุสมผล และความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
4. จิตวิยาศาสตร์ (Science mind) หมายถึงจิตสานึกของบุคคลที่ก่อให้เกิดเป็นลักษณะนิสัยหรือ
ความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลที่เกิดการศึกษาความรู้หรือการเรียนรู้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ประกอบด้วย
4.1 ความสนใจใฝ่รู้ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มีความพยายามจะเผชิญสืบเสาะแสวงหา
ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ๆซึ่งไม่สามารถอธิบายด้วยความรู้ที่ทีอยู่เดิม และค้นหาความรู้เพื่อตอบปัญหาซึ่งมี
ความปรารถนาที่จะได้ความรู้ที่สมบูรณ์ ซึ้งมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้
4.1.1 มีปัญหาเกิดขึ้นต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและพยายามหาคาตอบนั้นให้สมบูรณ์โดยการ
ซักถาม สนทนา ฟัง อ่าน เพื่อให้ได้ความรู้ที่สมบูรณ์
4.1.2 มีการศึกษาค้นคว้าเพื่อทาความเข้าใจสถานการณ์ใหม่ๆ ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้
ที่มีอยู่เดิม
4.1.3 ชอบสืบเสาะ ทดลอง พิสูจน์แนวคิดแปลกใหม่
4.1.4 มีความกระตือรือร้นต่อกิจกรรม และเรื่องใหม่
4.2 ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลที่สามารถ
ดาเนินการทากิจกรรมในการแก้ปัญหาจนถึงที่สุดจนกว่าจะได้รับคาตอบที่น่าเชื่อถือได้และยอมรับผลการ
กระทาของตนเองทั้งเป็นผลดี และผลเสียซึ่งมีลักษณะและพฤติกรรมดังต่อไปนี้
4.2.1 มีความเต็มใจที่ค้นหาคาตอบโดยการพิสูจน์ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แม้มีปัญหาและ
อุปสรรต่างๆ
4.2.2 มีความเต็มใจที่จะทาการทดลองซ้าๆ หลายครั้งเพื่อค้นหาคาตอบที่น่าเชื่อถือที่สุด
4.2.3 ทางานที่รับผิดชอบมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ
4.2.4 ทางานที่มอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์ตามที่กาหนด และตรงต่อเวลา
4.2.5 ไม่ท้อถอยในการทางาน เมื่อมีอุปสรรคหรือล้มเหลว
4.2.6 มีความอดทน แม้การดาเนินการแก้ปัญหาจะยุ่งยากและใช้เวลา
4.2.7 ยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งที่เป็นผลดีและผลเสีย
4.3 ความมีระเบียบและรอบคอบ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มีการทางานเป็นระเบียบ
รอบคอบ จัดระบบการทางานใช้วิธีการศึกษาหลายวิธีในการตรวจสอบผลการทดลองไตร่ตรอง จัดระบบการ
ทางานก่อนตัดสินใจสรุปมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้
4.3.1 เห็นคุณค่าของความมีระเบียบและรอบคอบ
4.3.2 นาวิธีการหลายๆ วิธีมาตรวจสอบผลหรือวิธีการทดลอง
4.3.3 มีการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง พินิจพิเคราะห์ ก่อนในการตัดสินใจสรุปหรือเชื่อในสิ่งต่างๆ
4.3.4 มีความละเอียด ถี่ถ้วนในการทางาน
4.3.5 มีการวางแผนการทางานและจัดระบบการทางาน
4.3.6 ตรวจสอบความเรียบร้อย หรือคุณภาพเครื่องมือก่อนทาการทดลอง
4.3.7 ทางานอย่างเป็นระเบียบเรียนร้อย
4.4 ความมีเหตุผล หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มียอมรับในคาอธิบายเมื่อมีหลักฐานและข้อมูล
อย่างพอก่อนสรุปผล ชอบพิจารณาหาสาเหตุของปรากฏการณ์ต่างๆซึ่งมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้
4.4.1 เห็นคุณคุณค่าในการเหตุผลในเรื่องต่างๆ
4.4.2 ไม่เชื่อโชครางหรือคาทานายที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามวิธีของวิทยาศาสตร์ แต่พยายามสิ่ง
ต่างๆในแง่มุมของเหตุผล
4.4.3 หาความสัมพันธ์ของเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4.4.4 อธิบายหรือแสดงความคิดอย่างมีเหตุผล
4.4.5 ตรวจความถูกต้องหรือความสมเหตุผลของแนวคิดต่างๆกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เสาะ
แสวงหาหลักฐานหรือข้อมูลจากการสังเกตหรือทดลองเพื่อสนับสนุนหรือค้นหาคาตอบ
4.4.6 เสาะแสวหาหลักฐานหรือข้อมูลจากการสังเกตหรือทดลองเพื่อสนับสนุนหรือค้นหาคาตอบ
4.4.7 ยอมรับในคาอธิบายเมื่อมีหลักฐานหรือข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอ
4.4.8 มีความต้องการเคารพในเหตุผลซึ่งกันและกัน
4.5 ความใจกว้าง หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลหรือแสดงถึงการมีจิตใจกว้างขวางเต็มใจที่จะ
เปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของตนยอมรับฟังความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ข้อโต้แย้งของคนอื่น เปลี่ยนความ
คิดเห็นของตนเอง เมื่อมีหลีกฐานที่ดีกว่า ซึ่งมีพฤติกรรมดังนี้
4.5.1 รับฟัง วิพากษ์วิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือข้อคิดเห็นของผู้อื่น
4.5.2 ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม
4.5.3 ยอมรับความคิดเห็นหรือวิธีการที่แปลกใหม่
4.5.4 เต็มใจที่จะเปลี่ยนแนวคิดหรือแนวปฏิบัติเมื่อได้ข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ๆที่เชื่อถือได้
มากกว่าหรือถูกต้องกว่า
4.5.5 ยอมพิจารณาข้อมูลหรือข้อคิดเห็นที่ยงสรุปไม่ได้และพร้อมที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติม
4.6 ความซื่อสัตย์ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่ต้องการความถูกต้องในการรายงานการศึกษา
โดยปราศจากอคติ ความรู้สึกส่วนตัวหรืออิทธิพลจากสิ่งต่างๆซึ่งมีพฤติกรรมดังนี้
4.6.1 เห็นคุณค่าการนาเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง
4.6.2 นาเสนอความเป็นจริงของตนเองถึงแม้จะมีผลที่มีความแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม
4.6.3 บันทึกข้อมูลตามความเป็นจริงและไม่ใช้ความรู้สึกของตนเองมากเกี่ยวข้อง
4.6.4 ไม่แอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเอง
4.6.5 ไม่เอาอิทธิพลของความเชื่อมาให้เหนือการตัดสินใจใดๆในทางวิทยาศาสตร์
4.6.6 ไม่นาสภาพทาสังคม เศรษฐกิจและการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความหมาย
ข้อมูล
5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจากรูปแบบ
การสอนวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์เรื่องบรรยากาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ต่อนักเรียน
1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นส่งผลต่อ
ระดับผลสัมฤทธิ์รวมของโรงเรียนสูงขึ้น
1.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีทักษะการคิดขั้นสูง ส่งผลให้สามารถ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจาวันได้
1.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคุณลักษณะด้านการมุ่งมั่นในการเรียนรู้ ใฝ่เรียนรู้ มีวินัย และมี
จิตสาธารณะ สามารถช่วยเหลือสังคมได้
2. ต่อครูผู้สอน
2.1 ได้นานวัตกรรมรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิผลสูงกว่า
0.5 สามารถไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
2.2 เป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการพัฒนารูปแบบการสอน
สาหรับพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิด
2.3 เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนในกลุ่มสาระอื่นๆและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ในการออกแบบพัฒนารูปแบบการสอน สาหรับการพัฒนาการสอน สาหรับพัฒนาผลสมฤทธิ์ทางการเรียนและ
ทักษะการคิด
3. ต่อผู้บริหาร
3.1 การบริหารบุคลากรในสถานศึกษา ทาให้ได้บุคลากรที่มีผลงานด้านการสร้างและพัฒนา
นวัตกรรมสาหรับการจัดการเรียนการสอน
3.2 การบริหารจักการเรียนการสอน ทาให้โรงเรียนมีสื่อนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอน
4. ต่อผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง
4.1 ชุมชนมีสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรม ทาให้เกิดความมั่นใจในการส่งบุตร
หลานเข้าศึกษาต่อ
4.2 ผู้ปกครองมีความพึงพอใจในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของบุตรหลานและมีความรู้สึกต่อ
สถานศึกษาศึกษาที่ทาให้บุตรหลานมีความตั้งใจในการศึกษาหาความรู้
4.3 หน่วยงานต้นสังกัดมีสถานศึกษาในความดูแลที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคิดสูง
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย
จากแนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่เกี่ยงข้องกับการรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปกรอบ
แนวคิด ทฤษฎีได้ดังแผนภาพที่ 1
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดทฤษฎีในการพัฒนารูปแบบการสอน
หลักการ
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ได้แนวคิดจาก
DRU MODRL (YPF)
ขั้นที่ 1 Your Identify คือการตอบคาถาม ให้นักเรียนเกิดทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ขั้นที่ 2 Praxis คือสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการทากิจกรรม/วิพากษ์
ขั้นที่ 3 Formative คือประเมินตนเอง ตรวจสอบทบทวนตนเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ และศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้
เรื่องบรรยากาศ และทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์สาระการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 Your Identify
ขั้นที่ 2 Praxis
ขั้นที่ 3 Formative
เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ค ว า ม รู้ แ ล ะ จิ ต
วิทยาศาสตร์
1. ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ โดยอาศัยทฤษฎี
การสร้างความรู้ รูปแบบการสอน DRU
MODRL (YPF)
2. หลักการสร้างองค์ความรู้
3. ทักษะความรู้
4. จิตวิทยาศาสตร์
องค์ประกอบ
แนวคิด
ทฤษฎีที่สนับสนุน
บทที่2
วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมี
วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ใน
ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สาระสาคัญเสนอตามลาดับ ดังนี้
ตอนที่ 1 หลักสูตรการศึกษา
1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
1.2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ตอนที่ 2 แนวคอดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.1 การวิจัยและพัฒนา
2.2 ทักษะการคิดและการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ
2.3 การคิดอย่างมีความรู้
2.4 จิตวิทยาศาสตร์
2.5 ความพึงพอใจ
ตอนที่ 3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3.1 งานวิจัยในต่างประเทศ
3.2 งานวิจัยต่างประเทศ
ตอนที่ 1 หลักสูตรการจักการศึกษา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตร
แกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการ
พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับ
โลก จึงได้ปรับได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอานาจทาง
การศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับ
สภาพ และความต้องการของท้องถิ่น จากข้อค้นพบในการศึกษาวิจัย และติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2542 ที่ผ่านมาประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ฉบับที่ 10 เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ
ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 จึงเกิดการทบทวนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 มีความเมาะสมชัดเจน ทั้งเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนาผู้เรียนและกระบวนการนา
หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็น
ทิศทางในการจัดทาหลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้กาหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้น
ต่าของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติม
เวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์การจบ
การศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
และมีความชัดเจนต่อการนาไปปฏิบัติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551) รายละเอียดดังนี้
1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้
เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด
มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน
รวมทั้ง เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น
สาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
2. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สาคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตร
การศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็ก
และเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2)
เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3)
เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ
สภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้
เวลาและการจัด การเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษา
สาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการ
เรียนรู้ และประสบการณ์
3. จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี
ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย
และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต3)
มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็น
พลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข 5) มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มี
จิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียน
เกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้
4.1 สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี
วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการ
เจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและ
สังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3)ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็น
ความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลัก
เหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม
แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดย
คานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็น
ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้
อย่างต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การ
จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ
สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5)
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะ
กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน การ
แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
4.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้
มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทย
และพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6)
มุ่งมั่นในการทางาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง
5. มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง
และพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกาหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ดังนี้ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและ
พลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้
กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่
ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้น
มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้
จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ
เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก
ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกัน
คุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสาคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่
มาตรฐานการเรียนรู้กาหนดเพียงใด
6. ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ
ระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช้
ในการกาหนดเนื้อหา จัดทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัด
ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน
6.1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ
(ประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3)
6.2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย(มัธยมศึกษาปี
ที่ 4- 6)
หลักสูตรได้มีการกาหนดรหัสกากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อความเข้าใจและให้สื่อสาร
ตรงกัน ดังนี้
ว 1.1 ป. 1/2
ป.1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2
1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1
ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ต 2.2 ม.4-6/3
ม.4-6/3 ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อที่ 3
2.2 สาระที่ 2 มาตรฐานข้อที่ 2
ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
ภาพที่1 ตัวชี้วัด
7. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และ
คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ซึ่งกาหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ โดย
แบ่งเป็น ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้
องค์ความรู้ ทักษะสาคัญ
และคุณลักษณะ
ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
วิทยาศาสตร์ : การนาความรู้
และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และ
แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่าง
เป็นเหตุเป็นผลคิดวิเคราะห์
คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม :
การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลก
อย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธา
ในหลักธรรมของศาสนาการเห็นคุณค่า
ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ความรัก
ชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย
ศิลปะ : ความรู้และทักษะ
ในการคิดริเริ่มจินตนา การ
สร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ศิ ล ป ะ
สุนทรียภาพและการเห็น
คุณค่าทางศิลปะ
ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะ
และวัฒนธรรมการใช้ภาษา เพื่อ
การสื่อสาร ความชื่นชม การเห็น
คุณค่าภูมิปัญญาไทย และภูมิใจใน
ภาษาประจาชาติ
ภาษาต่างประเทศ : ความรู้
ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรม
การใช้ภาษา ต่างประเทศในการ
สื่อสาร การแสวงหาความรู้และ
การประกอบอาชีพ
การงานอาชีพและเทคโนโลยี :
ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการ
ทางานการจัดการการดารง ชีวิตการ
ประกอบอาชีพ และการใช้เทคโนโลยี
สุขศึกษาและพลศึกษา : ความรู้
ทักษะและเจตคติในการสร้างเสริม
สุขภาพพลานามัยของตนเองและผู้อื่น
การป้ องกันและปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มี
ผลต่อสุขภาพอย่างถูกวิธีและทักษะใน
การดาเนินชีวิต
คณิตศาสตร์ : การนาความรู้ทักษะและ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการ
แก้ปัญหา การดาเนินชีวิต และศึกษาต่อ
การมีเหตุมีผล มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์
พัฒนาการคิดอย่างเป็ นระบบและ
สร้างสรรค์
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต
3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทางาน
7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
จุดหมาย
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรม
ของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี
ทักษะชีวิต
3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวด ล้อมมีจิต
สาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
๑.กิจกรรมแนะแนว
๒.กิจกรรมนักเรียน
๓. กิจกรรมเพื่อสังคมและ
วิสัยทัศน์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความ
สมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติ ที่จาเป็นต่อ
การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุก
คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์
4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษ
6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8. ภาษาต่างประเทศ
คุณภาพของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ภาพที่ 3 ความสัมพันธ์ของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาด้วยความพยายามของมนุษย์ที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Scientific Process) ในการสืบเสาะหาความรู้ (Scientific Inquiry) การแก้ปัญหาโดยผ่านการสังเกต การ
สารวจตรวจสอบ (Investigation) การศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ และการสืบค้นข้อมูล ทาให้เกิดองค์
ความรู้ใหม่เพิ่มพูนตลอดมา ความรู้และกรบวนการดังกล่าวถ่ายทอดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ความรู้
วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ เพื่อนาไปใช้อ้างอิงทั้งการสนับสนุน หรือโต้แย้งเมื่อมีการค้นพบ
ข้อมูล หรือหลักฐานใหม่ หรือแม้แต่ข้อมูลเดิมเดียวกันก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ ความรู้วิทยาศาสตร์จึง
อาจเปลี่ยนแปลงได้ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมไม่ว่าอยู่ในส่วนใด (กระทรวงการ
ศึกษาธิการ. 2551) วิทยาศาสตร์จึงเป็นผลจกการสร้างเสริมความรู้ของบุคคลการสื่อสารและการเผยแพร่
ข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ มีผลให้ความรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งผล
ต่อคนในสังคมและสิงแวดล้อม การศึกษาค้นคว้าและการให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงอยู่ภายในขอบเขต
คุณธรรม จริยธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคมและเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
1. ความสาคัญของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ
ทุกคนทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่
มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางานเหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์
ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆวิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็น
เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถใน
การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล ที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้น
ทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี
ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะสาคัญ
ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่
หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่าง
หลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยได้กาหนดสาระสาคัญไว้ (สานักวิชาการ และมาตาฐานการศึกษา
,2551) ดังนี้
1.1 สิ่งมีชีวิตกับ กระบวนการดารงชีวิตสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและ
หน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพการถ่ายทอด
ทางพันธุกรรม การทางานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิต และ
เทคโนโลยีชีวภาพ
1.2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ
สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตใน
สภาพแวดล้อมต่างๆ
1.3 สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเปลี่ยน
สถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารสมการเคมี และการแยกสาร
1.4 แรงและการเคลื่อนที่ ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์การออก
แรงกระทาต่อวัตถุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนต์การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจาวัน
1.5 พลังงาน พลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของแสง
เสียง และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและ
พลังงานการอนุรักษ์พลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
1.6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี
สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของ
เปลือกโลกปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
1.7 ดาราศาสตร์และอวกาศ วิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสัมพันธ์และผลต่อ
สิ่งมีชีวิตบนโลก ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสาคัญของเทคโนโลยีอวกาศ
1.8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหา
ความรู้ การแก้ปัญหา และจิตวิทยาศาสตร์
2. คุณภาพผู้เรียน
2.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2.1.1 เข้าใจลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิต และการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายใน
สิ่งแวดล้อมท้องถิ่น
2.1.2 เข้าใจลักษณะที่ปรากฏและการเปลี่ยนแปลงของวัสดุรอบตัว แรงในธรรมชาติ รูป
ของพลังงาน
2.1.3 เข้าใจสมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว
2.1.4 ตั้งคาถามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต วัสดุและสิ่งของ และปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว สังเกต
สารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย และสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง เขียน หรือวาดภาพ
2.1.5 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการดารงชีวิต การศึกษาหาความรู้
เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กาหนดให้ หรือตามความสนใจ
2.1.6 แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ และแสดงความซาบซึ้งต่อสิ่งแวดล้อม
รอบตัว แสดงถึงความมีเมตตา ความระมัดระวังต่อสิ่งมีชีวิตอื่น
2.1.7 ทางานที่ได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนเป็น
ผลสาเร็จและทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
2.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2.2.1 เข้าใจโครงสร้างและการทางานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของ
สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
2.2.2 เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะของสาร สมบัติของสารและการทา
ให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลง สารในชีวิตประจาวัน การแยกสารอย่างง่าย
2.2.3 เข้าใจผลที่เกิดจากการออกแรงกระทากับวัตถุ ความดัน หลักการเบื้องต้นของแรง
ลอยตัว สมบัติและปรากฏการณ์เบื้องต้นของแสง เสียง และวงจรไฟฟ้า
2.2.4 เข้าใจลักษณะ องค์ประกอบ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ ความสัมพันธ์ของดวง
อาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่มีผลต่อการเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ
2.2.5 ตั้งคาถามเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผนและ สารวจ
ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ
2.2.6 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต และการศึกษาความรู้
เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ
2.2.7 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้
2.2.8 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงความชื่นชม ยกย่อง
และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น
2.2.9 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า
2.2.10 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรับฟัง
ความคิดเห็นของผู้อื่น
2.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2.3.1 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สาคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ
ทางานของระบบต่างๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม
2.3.2 เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของสารละลาย สารบริสุทธิ์ การเปลี่ยนแปลงของสาร
ในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมี
2.3.3 เข้าใจแรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจาวัน กฎการ
อนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน การสะท้อน การหักเหและความเข้มของแสง
2.3.4 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงาน
ไฟฟ้าและหลักการเบื้องต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์
2.3.5 เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก แหล่งทรัพยากรธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ และผลที่มีต่อสิ่งต่างๆ บนโลก ความสาคัญของ
เทคโนโลยีอวกาศ
2.3.6 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการ
พัฒนาเทคโนโลยีต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
2.3.7 ตั้งคาถามที่มีการกาหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง
วางแผนและลงมือสารวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลและสร้างองค์ความรู้
2.3.8 สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.3.9 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต การศึกษา
หาความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ
2.3.10 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้
โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้
2.3.11 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวันและ
การประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น
2.3.12 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า มีส่วนร่วมในการพิทักษ์ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น
2.3.13 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและ ยอมรับฟัง
ความคิดเห็นของผู้อื่น
2.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2.4.1 เข้าใจการรักษาดุลยภาพของเซลล์และกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
2.4.2 เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดสารพันธุกรรม การแปรผัน มิวเทชัน วิวัฒนาการของ
สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมต่างๆ
2.4.3 เข้าใจกระบวนการ ความสาคัญและผลของเทคโนโลยีชีวภาพต่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตและ
สิ่งแวดล้อม
2.4.4 เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุ
ในตารางธาตุ การเกิดปฏิกิริยาเคมีและเขียนสมการเคมี ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
2.4.5 เข้าใจชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่างๆ ของสารที่มีความสัมพันธ์
กับแรงยึดเหนี่ยว
2.4.6 เข้าใจการเกิดปิโตรเลียม การแยกแก๊สธรรมชาติและการกลั่นลาดับส่วนน้ามันดิบ การ
นาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปใช้ประโยชน์และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
2.4.7 เข้าใจชนิด สมบัติ ปฏิกิริยาที่สาคัญของพอลิเมอร์และสารชีวโมเลกุล
2.4.8 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบต่างๆ สมบัติของคลื่น
กลคุณภาพของเสียงและการได้ยิน สมบัติ ประโยชน์และโทษของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากัมมันตภาพรังสีและ
พลังงานนิวเคลียร์
2.4.9 เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกและปรากฏการณ์ทางธรณีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต
และสิ่งแวดล้อม
2.4.10 เข้าใจการเกิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพและความสาคัญของ
เทคโนโลยีอวกาศ
2.4.11 เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภท
ต่างๆและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อ
ชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
2.4.12 ระบุปัญหา ตั้งคาถามที่จะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบ
สมมติฐานที่เป็นไปได้
2.4.13 วางแผนการสารวจตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคาถาม วิเคราะห์ เชื่อมโยง
ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ โดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์หรือสร้างแบบจาลองจากผลหรือความรู้ที่ได้รับ
จากการสารวจตรวจสอบ
2.4.14 สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือ
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.4.15 อธิบายความรู้และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต การศึกษาหา
ความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ
2.4.16 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้
โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้
2.4.17 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวัน การ
ประกอบอาชีพ แสดงถึงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและ
การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย
2.4.18 แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น
2.4.19 แสดงถึงความพอใจ และเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้
2.4.20 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผล
ประกอบ เกี่ยวกับผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและ
สิ่งแวดล้อม และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดารงชีวิต
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่
ของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทางานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนา
ความรู้ไปใช้ในการดารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และ
สิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ สื่อสาร สิ่งที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสาร
สิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติใน
ระดับ ท้องถิ่น ประเทศ และโลกนาความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใน
ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้าง
และ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้
นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิด
สารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนา
ความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มี
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมีคุณธรรม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุในธรรมชาติมีกระบวนการ
การ สืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 5 พลังงาน
มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูป
พลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการ
สืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์
ของกระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการ
สืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพการปฏิสัมพันธ์
ภายใน ระบบสุริยะ และผล ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ จิตวิทยาศาสตร์ การ
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 7.2 เข้าใจความสาคัญของเทคโนโลยีอวกาศที่นามาใช้ใน การสารวจอวกาศและ
ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างมีคุณธรรมต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหา
ความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบ ที่แน่นอน สามารถอธิบาย
และตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือ ที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสังคม
และ สิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
4. เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดนมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ และนาผลมาจัดระบบหลักการ แนวคิดทฤษฎี
ดังนั้น การเรียนการสอนวิทยาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด นั่นคือให้
ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเรียนเมื่ออยู่ในสถานศึกษาและเมื่ออกจากสถานศึกษา
ไปประกอบอาชีพแล้วการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสถานศึกษา มีเป้าหมายสาคัญดังนี้
1. เพื่อให้เข้าใจหลักการทฤษฏีที่เป็นพื้นฐานในวิทยาศาสตร์
2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อกาจัดของวิทยาศาสตร์
3. เพื่อให้มีทักษะที่สาคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญญาและการจัดการ
ทักษะในการสื่อสารและความสามารถในการตัดสินใจ
5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิผลและผลกระทบซึ่งกันและกัน
6. เพื่อนาความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการเกิดประโยชน์ต่อ
สังคมแบะการดารงชีวิต
7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
การจัดการการศึกษาวิทยาศาสตร์จึงมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการไปสู่การ
สร้างองค์ความรู้โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนทุกขั้นตอน ผู้เรียนได้ทากิจกรรมหลากหลายทั้งเป็นกลุ่ม
และเป็นรายบุคคล โดนอาศัยแหล่งเรียนรู้ที่เป็นสากลและท้องถิ่นโดยผู้สอนมีบทบาทในการวางแผนการเรียนรู้
กระตุ้น แนะนา ช่วยเหลือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกิดการเชื่อมโยงความรู้ ความคิดกับกระบวนการ
วิทยาศาสตร์ นาไปใช้ในการดารงชีวิตและศึกษาความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือสร้างชิ้นงาน มี
เจตคติทางวิทยาสาสตร์ หรือจิตวิทยาศาสตร์
5. การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ
ประสบการณ์จากกระกบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ
สร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548 : 125) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนว่าเป็นขนาดความสาเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน สอดคล้อง สมหวัง พิธิยานุวัตน์
(2537 : 71); ภพ เลาห์ไพบูลย์ (2537: 295) ได้กล่าวถึงผลสัมฤทธิ์ทางเรียนว่า เป็นผลการสะสมความรู้
ความสามารถในการเรียนเข้าด้วยกันนั่นคือ คุณลักษณะความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน
เป็นการเปลี่ยนแลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ที่เกิดการศึกษา ฝึกฝน อบรม หรือสั่งสอน เป็น
พฤติกรรมที่สามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธะพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะ
พิสัย การวัดผลเป็นที่มาของประเมินผล ล้วน สายยศ
(2543) ได้อธิบายว่าการวัดผลเป็นการวัดคุณลักษณะ เช่น ความสูง ความยาว การเรียนรู้ ความกล้า เชาว์
ปัญญา เป็นต้น สมนึก ภัททิยธนี (2544) กล่าวไว้ว่า การวัดหมายถึง หมายถึง กระบวนการหาปริมาณหรือ
จานวนของสิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งมาวัดผลจากการวัด โดยปกติจะออกมาในรูปของเลข
หรือสัญลักษณ์หรือข้อมูล สันติ บุญภิรมย์ (2552) สรุปว่า การวัดผล คือ การค้นหาคุณลักษณะของบุคคลหรือ
สิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมือวัดอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตามหน่อยวัดของเครื่องมือ
นั้นๆ ที่เรียกว่าข้อมูล ส่วนการประเมินผล ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2543) ได้นิยามไว้ว่า เป็น
กระบวนการพิจารณาตัดสินที่เป็นระบบ ครอบคลุมถึงจุดมุงหมายที่ตั้งไว้ สมนึก ภัททิยธนี (2544) ให้
ความหมายการประเมินผลไว้ว่า เป็นการตัดสินหรือวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการวัด โดยอาศัยเกณฑ์การ
พิจารณาอย่าหนึ่งอย่างใด และสันติ บุญภิรมย์ (2552) สรุปว่า การประเมินผล หมายถึง กระบวนการที่เกิด
จากการนาข้อมูลที่ได้มาจากการวัด มาทาการพิจารณาตัดสินเป็นระบบอย่างครอบคลุมเพื่อหาข้อสรุปด้วย
คุณธรรม ดังนั้น พบว่าการประเมินผลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลมาแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ ซึ่งได้มาจาก
การวัดในรูปแบบต่างๆมาพิจารณาตัดสินที่เป็นระบบคือ มีรูปแบบที่แน่นอนอย่างครบถ้วนและเชื่อถือได้ว่าเป็น
ธรรม
5.1 หลักการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์
การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นการพิจารณาผลที่เกิดจากการวัด
การเรียนรู้ของผู้เรียนในภาพรวม ประกอบด้วย การประเมินความเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
และความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์ซึ่งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของผู้เรียนจะส่งผลต่อ
จุดประสงค์ของรายวิชา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษากาหนดไว้ (สานักนิเทศ
และพัฒนามาตรฐานการศึกษา. 2544 : 46)
สอดคล้องกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 7-19) ได้อธิบาย
รายละเอียดระบบการวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า การวัดผลประเมินการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มี
กระบวนการทางานอย่างเป็นระบบที่ประกอบด้วย การกาหนดจุดมุ่งหมายและวิธีการวัดประเมินผล การสร้าง
เครื่องมือ และการดาเนินการตามที่วางแผนไว้ ขั้นตอนที่เป็นไปได้ในการวัดประเมินผล แสดงได้ถึงแผนภูมิ
ต่อไปนี้
ภาพที่ 4 ขั้นตอนที่เป็นไปได้ในการวัดผลประเมิน
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546: 7)
การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่เริ่มจากการกาหนดจุดมุ่งหมายด้าน
ต่างๆ ซึ่งอาจประกอบด้วย ความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ เจตคติและโอกาสในการเรียนรู้ ต่อจากนั้นจึง
กาหนดวิธีการวัดประเมินที่หลากหลายทั้งการประเมินจากการทดสอบด้วย ข้อสอบ และเมินตามสภาพจริง
จากการปฏิบัติงานและผลงานของผู้เรียน ทั้งนี้ต้องกาหนดเกณฑ์ที่สามารถนาไปใช้ประเมินได้อย่างเที่ยงตรง
การวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเป็นการประเมินตามสภาพจริงมากกว่าการประเมินจาก
การทดสอบ เนื่องจากการประเมินตามสภาพจริงช่วยสะท้อนสมรรถภาพของผู้เรียนได้ครบทุกด้าน
การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียนและเชื่อมโยงการ
เรียนรู้กับชีวิตและสังคม ซึ่งเรียนรู้ได้แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถกระบวนการคิด และความรู้สึก การ
ประเมินสภาพจริงจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมประเมินผลงานของตนเองและใช้วิธีการประเมินอย่าง
หลากหลายตามสถานการณ์ที่เป็นจริงโดยกระทาอย่างต่อเนื่อง มีลักษณะดังนี้
1. เน้นการพัฒนาและประเมินตนเอง
2. ให้ความสาคัญกับการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน
3. เน้นการวัดพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกเป็นสาคัญ
4. เน้นคุณภาพของผลงานที่ได้จากบูรณาการความรู้และทักษะ
5. มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องตามบริบทของผู้เรียนทั้งที่บ้าน สถานศึกษาและชุมชน
6. สนับสนุนการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบร่วมกัน
7. กระทาไปพร้อมกับการเรียนรู้ของผู้เรียน
8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูงของผู้เรียน โดยใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการ
วิเคราะห์ อธิบาย ตั้งสมสติฐาน สรุปและแปรผล
ส่วนการประเมินสมรรถภาพของผู้เรียน เป็นการประเมินที่จะต้องกระทาอย่างหลากหลายวิธีการ
เพื่อให้ได้ผลการประเมินครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ เจตคติ และโอกาสการเรียนรู้
ผู้เรียนจะได้ทากิจกรรมการเรียนรู้และแสดงออกมาตามความสนใจ ความถนัดและความชอบ การประเมิน
สมรรถภาพของผู้เรียนจะมีการทดสอบด้วยข้อสอบอยู่เป็นส่วนหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จากพฤติกรรมทุกด้านของ
ผู้เรียน แสดงดังแผนภูมิต่อไปนี้
ภาพที่ 5 การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียน
ที่มา :สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 9)
การประเมินสมรรถภาพที่แสดงภาพที่ 5 เป็นการประเมินในหลายแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสนเทศ
เกี่ยวกับผู้เรียนมากที่สุด สะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการการแก้ปัญญา ความคิดระดับสูง
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความรู้หรือพหุปัญญา รวมทั้งพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ ต้องมีการวางแผน
เตรียมการ และใช้การประเมินในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ ภารกิจที่สาคัญที่ต้องการวางแผนให้รอบคอบ ได้แก่
1.วิธีการวัดประเมินผล ประกอบด้วยกิจกรรมของผู้เรียนเป็นส่วนสาคัญกิจกรรมควรมี
หลากหลาย
2. เกณฑ์การประเมินผลและแบบบันทึก ต้องสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับวิธีการประเมิน
3. การแปลความหมายผลการประเมิน ต้องมีแนวทางหรือเกณฑ์ที่ใช้ในการลงสรุปข้อมูล เพื่อ
จาแนกคุณภาพของงานหรือความสามารถของบุคคลตามผลการเรียนรู้
5.2 เป้าหมายและแนวปฏิบัติของการวัดผลประเมินผลเรียนรู้วิทยาศาสตร์
การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียนมีเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกับการจัดการเรียน
การสอนวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ครอบคลุม ทั้งความรู้ความคิด
กระบวนการเรียนรู้ด้านการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา การสื่อสาร การนาความรู้ไปใช้ รวมทั้ง
คุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ รายละเอียดดังนี้
5.2.1 เป้าหมายวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิธีการประเมินอย่างหลากหลายทั้ง
การทดสอบด้วยข้อสอบและการประเมินจากการทากิจกรรมต่างๆที่สะท้อนถึงสมรรถภาพของผู้เรียนนั้น มี
เป้าหมายสาคัญที่ต้องการวัดผลประเมินผล จาแนกได้ 3 ด้าน ดังนี้
1.ความรู้ความคิด หมายถึง ความรอบรู้ในหลักการ ทฤษฎี ข้อเท็จจริง เนื้อหา หรือแนวความคิด
ซึ่งสามารถประเมินได้จากพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียน ดังนี้
ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความคิดกับพฤติกรรมการแสดงออก
ความรู้ความคิด พฤติกรรมการแสดงออก
1. ความรู้
2. ความเข้าใจ
3. การนาไปใช้
4. วิเคราะห์
5. สังเคราะห์
6. ประเมินค่า
1. รู้ข้อเท็จจริง จาได้หรือระลึกถึงข้อมูลหรือ
ข้อสนเทศ
2. มีความเข้าใจและสามารถอธิบายได้
3. การนาความรู้ไปใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
4. แยกแนวคิดหลักที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนๆให้
เข้าใจ
5. รวบรวมความรู้และข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์
ความรู้ใหม่
6. ตัดสินใจเลือก
การประเมินโดยการทดสอบด้วยข้อสอบไม่สามารถวัดผลประเมินความรู้ความคิดในส่วนของการ
วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่า ได้มากเพียงพอที่จะส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความคิดระดับสูง จึง
ประเมินการแสดงออกของผู้เรียนจากการงมือปฏิบัติจริงให้มากยิ่งขึ้น
2.กระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย ทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์
ความรู้ การลงปฏิบัติที่แสดงออกถึงทักษะเชาว์ปัญญาและปฏิบัติการประเมินในส่วนของทักษะปฏิบัติใช้วิธีการ
สังเกตจากพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนที่มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้
ตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะปฏิบัติกับพฤติกรรมการแสดงออก
ทักษะปฏิบัติ พฤติกรรมการแสดงออก
1. การรับรู้
2. เตรียมความพร้อม
3. การตอบสนอง
1. ใช้ประสานสัมผัสเพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ
2. มีความพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติ มีการวางแผนการ
ปฏิบัติ
3. ลงมือปฏิบัติตามคาแนะนาหรือตามแผนที่วางไว้
4.การฝึกฝน
5.ปฏิบัติจนทาได้
6.การเชื่อมโยงทักษะ
4.ฝึกฝนทักษะเพื่อเพิ่มความชานาญ
5.ฝึกฝนจนทาได้เองโดยอัตโนมัติ
6.ประยุกต์หรือใช้ทักษะที่ฝึกฝนไว้สัมพันธ์กับทักษะ
อื่นหรือใช้ร่วมกับทักษะอื่น
กระบวนการเรียนรู้ ในส่วนของแนวการเรียนรู้ครอบคลุมการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา
การสื่อสาร และการนาความรู้ไปใช้ สามารถประเมินได้จากพฤติกรรมแสดงออกของผู้เรียน ดังนี้
ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการเรียนรู้กับพฤติกรรมการแสดงออก
กระบวนการเรียนรู้ พฤติกรรมการแสดงออก
1.การสืบเสาะหาความรู้วิทยาศาสตร์
2.การแก้ปัญญา
3.การสื่อสาร
4. การนาความรู้ไป
มีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย ความ
สนใจในเรื่องที่ศึกษา การสารวจและค้นหา การ
อธิบายและลงสรุป การขยายความรู้ การประเมิน
มีการใช้กระบวนการแก้ปัญญา ประกอบด้วย การ
ทาความ
เข้าใจปัญญา การลงมือแก้ปัญญาและประเมินผล
การแก้ปัญญา การตรวจสอบการแก้ปัญญาและนา
วิธีการแก้ปัญญาไปใช้กับปัญญาอื่น
มีการสื่อสารความรู้หรือแนวคิดหลักการทาง
วิทยาศาสตร์หรือ ความคิดเห็น แสดงออกด้วยการ
พูดหรือเขียนสรุปแบบที่ ชัดเจน และมีเหตุผล
อธิบายหรือสรุปเรื่องราวการสืบค้นข้อมูล จากแหล่ง
การเรียนรู้ต่างๆ นาเสนอผลงานด้วยการบันทึก จัด
แสดงผลงงานสาธิต สื่อสารด้วยเทคโนโลยี
สารสนเทศ
ใช้มีการนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมการ
ดารงชีวิต และตระหนักในความสัมพันธ์ของ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงออกด้วยการ ค้น
ว้าหาความรู้เทคโนโลยีค้นคว้าหาความรู้ ทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีช่วย
ออกแบบสิ่งประดิษฐ์ อุปกรณ์และวิธีการแก้ปัญหา
รวบรวมข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลทางเทคโนโลยี
เลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวนี้สามารถตรวจสอบ ติดตาม และประเมินได้จากการปฏิบัติงานและ
ผลงานของผู้เรียน การทากิจกรรมทาให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความสามารถด้านทักษะเชาว์ปัญญา ทักษะปฏิบัติ
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา การนาความรู้ไปใช้รวมทั้งสามารถด้านสื่อสาร ซึ่งเป็นทักษะใน
การดาเนินชีวิตและทักษะทางสังคม
3. เจตคติ เป็นจิตสานึกของบุคคลที่ก่อให้เกิดลักษณะนิสัยหรือความรูสึกทางจิตใจการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนควรได้รับการประเมินเจตคติ 2 ส่วน คือ เจตคติทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อ
วิทยาศาสตร์ ด้วยการสังเกตพฤติกรรมหรือคุณลักษณะของผู้เรียนที่ใช้ระยะเวลานานพอสมควรและมีการ
ประเมินอย่างสม่าเสมอ โดยทั่วไปพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้านเจตคติมีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
ดังนี้
ตารางที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติกับพฤติกรรมการแสดงออก
เจตคติ พฤติกรรมการแสดงออก
1.การรับรู้
2.ตอบสนอง
3.เห็นคุณค่า
4.ระบบ
5.สร้างคุณลักษณะ
1.สนใจและรับรู้ข้อสารสนเทศหรือสิ่งเร้าด้วยความ
ตั้งใจ
2.ตอบสนองต่อข้อสารสนเทศหรือสิ่งเร้าอย่าง
กระตือรือร้น
3.แสดงความรู้สึกชื่นชอบ และมีความเชื่อเกี่ยวกับ
คุณค่าของเรื่องที่เรียนรู้
4.จัดระบบ จัดลาดับ เปรียบเทียบ และบูรณาการ
เจตคติกับ คุณค่าเพื่อนาไปใช้หรือปฏิบัติได้
5.เลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติในสิ่งต่างๆได้อย่าง
เหมาะสม
เจตคติทางวิทยาศาสตร์เป็นคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่เกิดขึ้น จากการศึกษาคาม
รู้หรือการเรียนรู้หรือการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็นความรู้สึก
ของผู้เรียนที่มีต่อการทากิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยความพอใจ ศรัทธาและซาบซึ้ง เห็น
คุณค่าและประโยชน์ รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมทางวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะชี่บ่งจิต
วิทยาศาสตร์ทั้งด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่คาดหวังจะได้รับกรพัฒนาในตัว
ผู้เรียนโดยผ่านการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย
5.3 แนวทางปฏิบัติในการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ใช้แนวทางการประเมินตามสภาพจริงด้วยการ
ประเมินอย่างหลากหลายให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน โดยกาหนดวัตถุประสงค์สาคัญประกอบด้วย
1. วินิจฉัยผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ด้านการสืบเสาะหาความรู้การแก้
ปัญญา การสื่อสาร การนาความความรู้ไปใช้ การใช้เทคโนโลยี รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนด้านจิต
วิทยาศาสตร์และโอกาสของการเรียนรู้ เพื่อนาผลประเมินที่ได้ไปเป็นแนวทางพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มตาม
ศักยภาพ
2. ตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ ของสาระกาเรียนรู้กลุ่ม
วิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ผลการตรวจสอบชี้บ่งคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
3. รวบรวมข้อมูลและจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพื่อมีข้อ
ที่สนเทศที่สมบรูณ์ทันต่อการไปใช้พัฒนาผู้เรียนและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และเป็น
แนวทางกาหนดนโยบายการศึกษาด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีให้ได้มาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและ
มีความเท่าทันกับนานาชาติ เกณฑ์การประเมินสาหรับประเมินผลการเรียนรู้ ตามเป้าหมาย ทั้งด้านความรู้
ความคิด กระบวนการเรียนรู้ และเจตคติ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.เกณฑ์รวม เป็นเกณฑ์การประเมินที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบ
ภาพรวม และสรุปผลหรือรายงานผลส่วนที่เป็นประเด็นสาคัญ
2. เกณฑ์ย่อย เป็นเกณฑ์ที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้แบบแยกองค์ประกอบย่อยโดยต้องวินิจฉัย
การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างละเอียดและประเมินอย่างสม่าเสมอ เพื่อให้ได้แนวทางการปรับปรุงหรือพัฒนาการ
ดาเนินงาน ดังนี้
1. กาหนดจุดประสงค์
2. กาหนดรายการประเมิน
3. กาหนดเกณฑ์การประเมิน นอกจากนี้ข้อมูลการปฏิบัติงานและผลงงานของผู้เรียนอาจได้จาก
การใช้แบบสารวจและแบบสอบถามที่สร้างขึ้น โดยทั่วไปมี 2 ลักษณะ 1.แบบสารวจรายการ และ 2. แบบ
มาตรระดับหรือมาตรส่วนประมาณค่า การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียนและการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการ
ประเมินเป็นภารกิจของผู้สอนที่ต้องกระทาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แนวปฏิบัติที่เป็นไปได้ในการประเมิน ดังนี้
1.การประเมินโดยครู 2. การประเมินโดยครูผู้สอนและผู้เรียน 3.การประเมินผลโดยผู้เรียน
จะช่วยให้ความหมายที่ทาให้วิจัยเกิดความกระจ่างชัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้นการวิจัย
เชิงปริมาณจะเสนอวิธีการตัดสินว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ได้จากการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ถูกต้อง
หรือไม่อย่างไรจะสามารถนาไปใช้อ้างอิงในกรณีต่างๆได้มากน้อยเพียงใดนอกจากนั้นการวิจัยเชิงปริมาณยังจะ
ช่วยแก้ปัญหาข้อจากัดของการศึกษาเฉพาะกรณีของการวิจัยเชิงคุณภาพอีกด้วยจากความสัมพันธ์ของการวิจัย
เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณจึงกล่าวได้ว่าการวิจัยเชิงคุณภาพจะช่วยให้เกิดความคิดความเข้าใจและความแม่นยา
มากขึ้นในสินความคิดหนึ่งจาก Crewel and Plano Clark.(2007:190,2011:213-214) ว่าการผสมผสานข้อมูล
เชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพทาให้นักวิจัยเข้าใจปัญหาดีขึ้นกว่าการใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียวการผสมผสานข้อมูลมี
สามวิธีคือ
1.Merge The Data เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพแล้วนาผลการวิเคราะห์มา
รวมด้วยกันในขั้นตอนการแปลงผล
2.Connect The Data เป็นการเชื่อมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกันโดยผลการ
วิเคราะห์ข้อมูลชุดที่หนึ่งนาไปสู่ความต้องการของข้อมูลชุดที่สองและสาม
3. Embed The Data ผู้วิจัยให้ความสาคัญของข้อมูลสองประเภทไม่เท่ากันข้อมูลเชิงปริมาณ
มากกว่าข้อมูลเชิงคุณภาพโดยที่ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณดังภาพที่ 6
Merge The Data
Connect The Data
Embed The Data
ภาพที่ 6 วิธีการผสมผสานข้อมูลเชิงปริมาณกับข้อมูลเชิงคุณภาพ
การวิเคราะห์ข้อมูลและการนาเสนอในรูปแบบของการผสมผสานวิธีมี 7 ขั้นตอนคือ
1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่เก็บร่วมรวมด้วยกระบวนการทางสถิติและเขียนสรุปข้อมูลเชิงคุณภาพ
2. นาเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
3. แปลงข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพหรือจากข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลเชิง
ปริมาณ
4. แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ
ข้อมูลเชิงคุณภาพ
(Qualitative Data)
ข้อมูลเชิงปริมาณ
(Qualitative Data)
ผลการวิจัย
ข้อมูลเชิงคุณภาพ
(Qualitative Data)
ผลการวิจัยข้อมูลเชิงปริมาณ
(Qualitative Data)
ข้อมูลเชิงปริมาณ
(Qualitative Data)
ข้อมูลเชิงคุณภาพ
(Qualitative Data)
ผลการวิจัย
5. รวมข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อสร้างชุดข้อมูลใหม่
6. เปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
7. บูรณาการข้อมูลให้มีความสอดคล้องกันในคุณภาพ
จากการวิจัยเพื่อการพัฒนาที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การวิจัยเป็นรูปแบบหนึ่งที่อาศัยหลักการ
พัฒนาในทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้นวัตกรรมใหม่ๆ โดยมีการตรวจสอบและปรับปรุงการ
ดาเนินการตามขั้นตอนการวิจัยในทุกระบบการพัฒนา ส่วนวิธีวิจัย แบบผสมผสานวิธี สรุปได้ว่า เป็นวิธีการ
การผสมผสานข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมีหลากหลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับจะเลือกใช้วิธีในขึ้นอยู่กับบริบท
และความเหมาะสมของงานวิจัยในแต่ละเรื่องและในแต่ละวิธีความแตกต่างกันในการให้ความสาคัญกับ
ประเภทของข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
ทักษะการคิดและการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ
วัชรา เล่าเรียนดี(2555:25-26) กล่าวว่า การได้ประเทและลักษณะของการคิดแต่ละประเภทจะช่วย
ให้สามารถจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดได้อย่างเหมาะสมและทาให้มองเห็นความเกี่ยวข้อ
สัมพันธ์ของการคิดประเภทต่างๆ ดังนี้
1. การคิดรวม (convergent thinking) หมายถึงความสามารถในการคิดแบบรวมเข้าสู่เรื่องใดเรื่อง
หนึ่ง ปัญหาใดปัญหาหนึ่งประเด็นในประเด็นเดียว ตัวอย่างเช่น ที่ยางรถยนต์มีตะปูติดอยู่ และมีรอยปรากฏ
คาถามคือ อะไรคือสาเหตุของยางรถยนต์รั่ว (สรุปสาเหตุ ยางรถยนต์รั่ว) (Fluent thinkig)
2.การคิดแยก (Divergent thinking) หมายถึง ความสามารถในการคิดจากเรื่องหนึ่งเรื่องใด ประเด็น
หนึ่งให้ๆได้หลายมุมมองในการส่งเสริมพัฒนาการการคิดแบบดังกล่าวครูสามารถใช้เนื้อหาเป็นสื่อการเรียนรู้ที่
หลากหลายได้เพราะในการคิดแบบแยกประเด็นย่อยสามารถแยกความคิดให้ได้มากจากเรื่องหลัก สรุปการคิด
แบบ convergent ตรงข้ามกับการคิดแบบ Divrgent แต่เป็นการคิดเกี่ยวกับการจัดการกับความรู้และ
ประสบการณ์โดยตรง
3. การคิดแบบอุปนัย lnductive thinking หมาถึง การคิดให้เหตุผลจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่
จากตัวอย่างหลายตัวอย่างไปสู่ข้อสรุปโดยทั่วไปที่สามารถนาใช้ได้โดยทั่วไปเช่น การสรุปเพื่อให้ได้กฎ กติกา
หรือสูตรต่างๆ
4. การคิดแบบนิรนัย Deductive thinking หมายถึง การคิดให้เหตุผลจากส่วนใหญ่ส่วนน้อย จาก
ข้อสรุปทั่วไปสู่ตัวอย่างย่อยๆ หรือความคิดรวมยอดย่อยๆอื่นๆ เช่น การพิสูจน์กฎกติกาต่างๆ หรือสูตรต่างๆ
สรุปการคิดแบบ lnductive ตรงข้ามกับการคิดแบบ Dedutive แต่การคิดทั้งสองแบบเป็นกระบวนการให้
เหตุผล
5. การคิดระดับสูงและการคิดระดับต่า ทักษะการคิดระดับสูงและ (Lowe-order and Higher-order
thinking skills)ทักษะการคิดระดับสูงและทักษะการคิดระดับต่า การคิดระดับต่าเป็นทักษะการคิดที่เป็นการ
เรียนรู้และจาข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ซึ่งไม่ต้องอาศัยการคิดอย่างรอบคอบ และคิดอย่างละเอียด เพียงแต่จาก็
สามารถตอบได้ สาหรับทักษะการคิดระดับสูงหมายถึง ความสามารถทาความชัดเจนให้เกิดขึ้น การวิเคราะห์
งาน การสร้างแนวคิด การชื่อโยง ความสัมพันธ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการวางแผนต้องอาศัยการคิด
อย่างละเอียดลึกซึ้งแต่การจัดการการเรียนรู้ที่ผ่านมาครูมักจะเน้นทักษะการคิดระดับต่ามากกว่าทักษะการคิด
ระดับสูงจึงควรเน้นการคิดระดับสูงให้มากขึ้น
6.การคิดแนวตั้งและคิดนอกกรอบ (Vertiecal thinking and Lateral thinkng) การคิดทั้งสอง
ประเภทเป็นการคิดที่มาจาก ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ที่ให้ความหมายการคิดแบบ Vertical thinking ว่า
หมายถึงการคิดหาเหตุผลด้วยหลักการและเหตุผลเช่นการคิดอย่างมีจารณาญาณ Critical thinking สาหรับ
การคิดแบบนอกกรอบ Lateral thinking หมายถึงการคิดที่สร้างแนวคิดใหม่ใหม่ที่แตกต่างหลากหลายจาก
เดิมเช่นการคิดอย่างสร้างสรรค์และต้องเริ่มสิ่งใหม่
7. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (creative thinking ) หมายถึงการใช้การคิดแบบต่างๆและ
ข้อมูลเกี่ยวกับหลักการเหตุผลมาใช้ในการประเมินข้อมูลสาระความรู้ต่างๆที่ได้รับซึ่งประกอบด้วย
ความสามารถในการลาดับข้อมูลและข้อมูลเป็นส่วนย่อยๆ ศึกษาส่วนย่อยโดยละเอียดในการเปรียบเทียบความ
เหมือนความเอียงในด้านใดด้านหนึ่ง บอกเหตุ ทานายเหตุการณ์ ลงข้อสรุปทั่วไป ตีความหมายข้อมูล และสรุป
สาระได้
8.การคิดสร้างสรรค์ ( Creative thinking skills) หมายถึงทักษะหรือความสามารถในการคิด
สร้างสรรค์สิ่งใหม่แนวคิดใหม่ได้อย่างหลากหลายทักษะการคิดสร้างสรรค์เป็นการสร้างเสริมใหม่ใหม่สร้าง
นวัตกรรมใหม่ใหม่หรือการสร้างสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เป็นสิ่งใหม่ที่ใช้ประโยชน์ให้มากกว่าเดิม (Thinking Skill
Development)
ทักษะการคิด( Thinking Skills) เป็นกระบวนการของการสมองโดยเฉพาะสมองส่วนซีซ้าย
และซีกขวา ถ้าการคิดคือการที่เราทาความเข้าใจกับประสบการณ์ต่างๆการคิดที่มีคุณภาพจะช่วยให้เราเรียนรู้
ได้ผลยิ่งขึ้นจากประสบการณ์และยังสามารถพัฒนาสติให้ดีขึ้นอีกด้วย Marzono and others (1989อ้างถึงใน
วัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้ให้ความหมายของทักษะการคิดเป็นกระบวนการในเหตุผลที่เกี่ยวกับงานที่ทา
หรือสิ่งที่เรียนรู้เพื่อแสดงให้รู้ว่าเข้าใจเนื้อหาว่าเป็นกระบวนการให้เหตุผลที่เกี่ยวกับงานที่ทาหรือสิ่งเรียนรู้เพื่อ
แสดงให้รู้ว่าเข้าใจเนื้อหาและปฏิบัตินั้นซึ่งก็ต้องอาศัยคาถามต่างๆเพื่อให้ได้คาตอบที่ตรงที่ถาม ซึ่งใช้คาถามใน
การส่งเสริม
พัฒนาการคิดเป็นเทคนิควิธีที่สามารถใช้ได้กับผู้เรียนโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการหรือขั้นตอนที่
แน่นอนเพียงแต่ต้องอาศัยสาระความรู้หรือข้อมูลที่เป็นสี่ในการพัฒนาการคิดในทุกสาระการเรียนรู้รวมทั้งการ
มีทักษะในการถามคาถามที่ครูสามารถสอดแทรกในการจัดการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระและ De Bono(1976 อ้าง
ถึงในวัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้ให้ความหมายของทักษะการคิดไว้อย่างกว้างกว้างว่าการที่รู้ว่าจะทาอะไร
เมื่อไหร่และทาอย่างไรใช้เครื่องมืออะไรบ้างและส่งผลที่เกิดคืออะไรทักษะการคิดแตกต่างจากความรู้และ
สติปัญญาเพราะคนที่มีความรู้และสติปัญญาไม่ได้หมายความว่ามีทักษะการคิดหรือเป็นนักคิดที่มีประสิทธิภาพ
(Effective Thinker) ทิศนา แขมมณีและคณะ(2544 : 105-110) ได้สรุปทักษะการคิดไว้ว่าลักษณะที่เป็น
รูปธรรมที่ทาให้มองเห็นพฤติกรรมหรือการกระทาที่ชัดเจนของการคิดสามารถแบ่งได้เป็นสามระดับคือ
1. ทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic Thinking Skills ) หรือเป็นทักษะในการสื่อสารเช่นการฟังการพูดการ
อ่านการเขียนการอธิบาย
2. ทักษะที่เป็นแกนสาคัญ (Core Thinking Skills ) เป็นทักษะการคิดที่ใช้กันมากเช่นการสังเกตุการ
ระบุการสารวจการตั้งคาถามการรวบรวมข้อมูลการจัดหมดข้อมูลการเชื่อมโยงการใช้เหตุผลการจัดลาดับการ
เปรียบเทียบการอ้างอิงการ
3. ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order Thinking Skills ) เป็นทักษะการคิดที่ซับซ้อนขึ้นเช่นการ
นิยามการผสมผสานการปรับโครงสร้างการตั้งสมมุติฐานการกาหนดเกณฑ์การประยุกต์การวิเคราะห์การ
จัดระบบการทานายการทดสอบสมมุติฐาน (Bloom 1956 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี2555:4) แบ่งพฤติกรรม
ด้านการเรียนรู้ด้านความรู้( Cognitive Domain) เป็นหกระบบคือขั้นความรู้ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้
การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่าการจัดระดับความคิดสองระดับคือ
1.ทักษะการคิดขั้นต่า (Lower order Thinking) ประกอบด้วยการเรียนรู้ขั้นความรู้ความจาความ
เข้าใจและการนาไปใช้
2.ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order Thinking) ประกอบด้วยการเรียนรู้ขั้นวิเคราะห์สังเคราะห์และ
ประเมินค่ะที่สาคัญนักการศึกษาและนักการคิดต่างก็มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าทักษะการคิดประเภทต่างๆ
และระดับไม่ได้แยกจากกันแต่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทักษะการคิดคันต่างๆบางประเภทเป็นพื้นฐานของ
ทักษะขั้นที่สูงขึ้นไปและทักษะการคิดขั้นสูงไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าขาดทักษะการคิดขั้นต่าอื่นๆส่วนในมุมมอง
ของ Fisher (1990อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้สรุปไว้ว่าทักษะในการคิดหมายถึงการที่รู้ว่าดูอะไร
จะรู้ได้อย่างไรหรือการรู้ว่าไม่ได้ทาอะไรทาอะไรและทาอย่างไรนั่นเองทักษะการคิดประกอบด้วยการคิดที่
สาคัญคือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างสร้างสรรค์และการคิดแก้ปัญหาและยังสรุปอย่างกว้างกว้าง
ไว้ว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณเมื่อเปรียบเทียบกับแนวคิดของ Bloom ก็คือทักษะในการประเมินผลการคิด
สร้างสรรค์คือทักษะในการสังเคราะห์และการแก้ปัญหาคือทักษะการนาไปใช้และการวิเคราะห์อย่างไรก็ตาม
Fisher ได้เน้นให้เห็นว่าทักษะการคิดต่างๆดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกันเช่น การคิดแก้ปัญหานั้นจะต้อง
ประกอบด้วยการกาหนดปัญหาและการตั้งคาถามเพื่อการศึกษาสารวจคือการคิดสร้างสรรค์ (Creative
Thinking ) และมีการประเมินวิธีการแก้ปัญหาซึ่งเป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) สรุปก็
คือคิดอย่างมีวิจารณญาณควรประกอบด้วยการจัดกานกับทักษะการคิดของตัวเองทุกประเภทซึ่งเป็นการคิด
อย่างสร้างสรรค์ในทานองเดียวกันการคิดอย่างสร้างสรรค์ควรประกอบด้วยการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วัชรา
เล่าเรียนดี(2555:4-5) ได้สรุปว่าทักษะการคิดหมายถึงความสามารถความชานาญในการคิดทุกประเภทเริ่ม
ตั้งแต่ความสามารถในการจัดการกับความรู้และนาความรู้ไปใช้กับการคิดการคิดสังเคราะห์และการประเมิน
การแก้ปัญหาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์
ส่วนการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ. วัชราเล่าเรียนดี(2555: 13-19) ได้กล่าวไว้ว่าเป็นวิธีการสอนที่
ผสมผสานการคิดระดับสูงกับหลักสูตรที่โรงเรียนนั้นใช้อยู่มาจากผลการวิจัยของกลุ่มผู้สนใจเกี่ยวกับทักษะด้าน
ความรู้จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิท ซึ่งการสอนคิดด้วยวิธีต่างๆต่อไปนี้ครูสามารถประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับ
แต่ละเนื้อหาสาระของหลักสูตรและวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมพัฒนาทักษะการคิดทุกแบบการสอนที่เน้น
การคิดเป็นสาคัญมี4 วิธี คือ
1. การสอนคิดโดยการเลือกเนื้อหาบางส่วนจากหลักสูตร (Thinking Through Think Point
Approach) ฝึกใช้ความคิดและการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์คิดแบบอื่นๆโดยครูสามารถ
เลือกเรื่องหรือกาหนดหัวข้อเพื่อการฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดอย่างสร้างสรรค์ได้เพราะเรื่องที่นามาใช้
ทาได้ทันที
2.การสอนจากลักษณะของการคิดที่ดี(Thinking Throgh Dispositions Approach) โดยการนา
กระบวนการคิดและทักษะการคิดแต่ละแบบมาสอนและฝึกปฏิบัติเช่นทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณหรือ
ลักษณะนิสัยเจ็ดคติที่ดีเกี่ยวกับการคิดนั้นคือการมีลักษณะการคิดที่ดีแต่ละแบบแต่ละประเภทซึ่งรวมถึง
แรงจูงใจค่านิยมเจ็ดคติและลักษณะนิสัยในการคิดของคนนั้นนั้นด้วยการสอนด้วยวิธีที่ปฏิบัติได้
3. การสอนคิดโดยการถ่ายโยง(Thinking Through Transfer Strategy) หมายถึงการเชื่อมโยงเรื่องที่
เรียนเรืองเรืองชี้รู้กับสถานการณ์อื่นหรือบริบทอื่นการที่จะส่งเสริมหรือฝึกให้นักเรียนไทยอยู่ความรู้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้เรื่องอื่นครูจะต้องสนใจเอาใจใส่ต่อการถ่ายโยงความรู้อย่างจริงจังกูต้องสอนและ
การถ่ายโยงความรู้หรือการเรียนรู้ซึ่งการขายอยู่ของครูนั้นสอนได้และเรียนรู้ได้เดียวกับทักษะการคิดนักเรียน
ได้ฝึกการถ่ายโยงความรู้และทักษะการคิดมากเท่าใดนักเรียนจะเข้าใจในเรื่องที่เรียนลึกซึ้งมากขึ้น
4.การสอนโดยใช้การประเมิน (Thinking Through Assessment Strtegy) เป็นการสอนที่มี
เป้าหมายโดยมีการกาหนดมาตรฐานลักษณะการคิดเฉพาะอย่างและทาความเข้าใจกับการปฏิบัติที่สะท้อนทั้ง
จากการคิดที่นักเรียนต้องปฏิบัติได้โดยทาให้มาตรฐานนั้นชัดเจนจึงเป็นการฝึกคิดที่ใช้การประเมินผลเป็นหลัก
ความหมายของความรู้ (knowledge)
การประกอบกิจการหรือดาเนินการใดๆความรู้ คือ ปัจจัยสาคัญที่จะทาให้สิ่งที่ลงมือกระทานั้นประสบ
ความสาเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในบางครั้งความรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเนื่องจากมีนิยามความหมายที่กว้าง
หรือไม่สามารถกาหนดขอบเขตและเข้าใจได้ว่าสิ่งใดถือเป็นความรู้หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เราควรนามาปฏิบัติ
ความรู้ (Knowledge)หมายถึง ความหมายของคาว่า “ความรู้” มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหรือคา
นิยามในหลายประเด็น ดังนี้
ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็น
ความเข้าใจและนาไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กาหนดช่วงเวลา
(สานักงาน ก.พ.ร. และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ 2548 : 8)
ความรู้จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามความหมายไว้ว่า ความรู้ คือสิ่งที่
สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือจากประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ
ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา
ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบ
การทางานสาหรับการประเมิน และรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่ (Davenport and Prusak)
ดังนั้นสรุปได้ว่า ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง
สารสนเทศที่นาไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หลักการ รูปแบบ
กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ
ประเภทของความรู้ ความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวตนของเรา หรือ
ความรู้ที่อยู่รูปแบบสื่อหรือเอกสาร
ความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ จากพรสวรรค์ หรือเกิดจากความสามารถในการรับรู้
ของบุคคลที่เกิดจากการทาความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูดได้ เช่น ทักษะในการ
ทางาน และการคิดวิเคราะห์
ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบสื่อหรือเอกสาร เป็นความรู้ที่ชัดเจนสามารถรวบรวมหรือถ่ายทอดความรู้นั้นๆ
ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เขียนหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร บันทึกเทป หรือวิธีการอื่นๆ
ความรู้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เนื่องจากมีความเป็นนามธรรมสูง แต่หากศึกษาประเภทและความหมายของ
ความรู้ที่มีผู้ให้คานิยามไว้อย่างกว้างขวางและมีความหลากหลาย ก็สามารถทาความเข้าใจและสามารถนา
ความรู้ไปปฏิบัติได้ไม่ยาก
ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถ
เชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง
การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา
ซึ่งในความคิดของผู้นั้นคิดว่า นิยามของคาว่า ความรู้ นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะกาหนดขอบเขตของ
ความหมาย แต่ถ้าเราเริ่มจากคาว่า "ข้อมูล" หรือ "ข้อเท็จจริง" สิ่งที่ได้คือความจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น การ
ดาเนินการต่าง ๆ ทาให้เกิดข้อมูล เช่น เมื่อเรามีการซื้อขายสินค้า ก็มีการจดบันทึกหลักฐาน เช่น การออก
ใบเสร็จ ใบสั่งของ เอกสารกากับ เป็นรายการแสดงการดาเนินการ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าข้อมูล ข้อมูลจึงเป็นเรื่อง
ของข้อเท็จจริงที่เกิดจากการกระทาของมนุษย์ เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่
ต้องดาเนินการทั้งในระดับส่วนตัว ระดับการทางานร่วมกัน และระดับกลุ่ม องค์กร ตลอดจนระดับสังคม และ
ชุมชนต่าง ๆ และความรู้นั้นก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ
1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในสมอง ( Tacit Knowledge ) อาจเรียกง่ายๆ ว่า ความรู้ในตัวคน ได้แก่ ความรู้ที่
เป็นทักษะ ประสบการณ์ ความคิดริเริ่ม พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของบุคคลในการทาความเข้าใจ สิ่ง
ต่างๆ บางครั้งเรียกว่าความรู้แบบนามธรรม
2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge ) อาจเรียกว่าความรู้นอกตัวคน เป็นความรู้ที่สามารถ
รวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่นการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหนังสือ ตาราเอกสาร
กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน เป็นต้น บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
จากการสารวจในต่างประเทศ พบว่า แหล่งเก็บความรู้ในองค์กรหรือคลังความรู้ขององค์กรมีอยู่ใน
เอกสาร ( กระดาษ ) 26% ในเอกสารอิเล็กทรอนิคส์ 20% ในฐานความรู้ ( IT ) 12% และมากที่สุดอยู่ในสมอง
พนักงานถึง 42% ขณะเดียวกันก็มีผลสารวจผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศ
สหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับประโยชน์และความสาคัญของการจัดการความรู้พบว่า 80% เห็นว่าการจัดการความรู้
ช่วยให้ตนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่ประเด็นทางด้านอื่นๆ ได้รับความสาคัญรองๆ
ลงมา
ความรู้ (Knowledge) คือ อะไร
ความรู้ คือ สารสนเทศที่นาไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น
ทฤษฎี หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆ ที่มีความจาเป็น และเป็นกรอบของการผสมผสาน
ระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท สาหรับการประเมินค่า และการนาเอาประสบการณ์กับ
สารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน
ชั้นของความรู้เป็นอย่างไร?
ข้อมูล (Data) เป็น ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือเป็นกลุ่มของข้อมูลดิบที่
เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ (Information) เป็น ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลโดยรวบรวมและสังเคราะห์เอา
เฉพาะข้อมูลที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่องานที่ทา
ความรู้ (Knowledge) เป็น ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการจัดระบบความคิด
เสียใหม่ให้เป็น “ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง”
ความเฉลียวฉลาด (Wisdom) เป็น การนาเอาความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดเป็น
ประโยชน์ต่อการทางานในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ
เชาวน์ปัญญา (Intelligence) เป็น ผลจากการปรุงแต่งและจดจาความรู้และใช้ความเฉลียวฉลาดต่าง
ๆในสมอง ทาให้เกิดความคิดที่รวดเร็วและฉับไว สามารถใช้ความรู้และความเฉลียวฉลาดโดยใช้ช่วงเวลาสั้น
กว่า หากนาเอามาจัดลาดับเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้สาหรับมนุษย์แต่ละบุคคลจะได้ดังนี้
ประเภทของความรู้มีอะไรบ้าง
1. ความรู้ในตัวของมนุษย์หรือความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) หมายถึง ความรู้เฉพาะตัวที่เกิด
จากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติของแต่ละบุคคล เป็นความรู้บวกกับสติปัญญา
และประสบการณ์
2. ความรู้เชิงประจักษ์ที่ปรากฏชัดเจน (Explicit Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอด
จากบุคคลออกมาในรูปของการบันทึกตามรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสารสนเทศนั่นเอง
3. ความรู้ที่เกิดจากวัฒนธรรม (Culture Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากความเชื่อ ความ
ศรัทธา ซึ่งเกิดจากผลสะท้อนกลับของความรู้ และสภาพแวดล้อมทั่วไปขององค์กร
ประเภทความรู้ในตัวคนมีอะไรบ้าง
ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในแต่ละบุคคล การที่ความรู้จากใครคนหนึ่งจะถูกถ่ายทอดไปยัง
บุคคลอื่นได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากหากเจ้าตัวไม่ยินยอม ดังนั้นการขอรับการถ่ายทอดความรู้จากบุคคลผู้รู้เหล่านี้
จะทาได้ดังนี้
การสนทนา (Face-to-face Conversation) 2. การนาทีมและฝึกอบรม (Mentoring & Training) 3.
อบรมเข้มข้น (Coaching) ประมวลผล Intelligence Data Information Knowledge Wisdom ขัดเกลา /
เลือกใช้ บูรณาการ ปรับแต่ง / จดจา
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
เป้าหมายหลักของการจัดการความรู้ คือ การใช้ประโยชน์จากความรู้มาเพิ่มประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลในการดาเนินงานขององค์การเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์การ การจัดการ
ความรู้มีความสาคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกาลังพัฒนาก็ตาม ดังนั้นการจัดการความรู้
จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสาหรับองค์กร เป้าหมายที่สาคัญของการจัดการความรู้ในองค์กรก็เพื่อปรับปรุง
กระบวนการดาเนินงานทางธุรกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ปรับปรุงเทคนิค
กระบวนการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ดังนั้น
การจัดการความรู้มีประโยชน์ 8 ประการ ดังนี้
1. ป้องกันความรู้สูญหาย การจัดการความรู้ทาให้องค์การสามารถรักษาความเชี่ยวชาญ ความชานาญ
และความรู้ที่อาจสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เช่น การเกษียณอายุทางาน หรือการ
ลาออกจากงาน ฯลฯ2. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ โดยประเภท คุณภาพ และความสะดวกในการเข้าถึง
ความรู้ เป็นปัจจัยของการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ เนื่องจากผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจต้องสามารถตัดสินใจได้
อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ3. ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่น การทาให้ผู้ปฏิบัติงานมีความ
เข้าใจในงานและวัตถุประสงค์ของงาน โดยไม่ต้องมีการควบคุม หรือมีการแทรกแซงมากนักจะทาให้
ผู้ปฏิบัติงานสามารถทางานในหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการพัฒนาจิตสานึกในการทางาน4.
ความได้เปรียบในการแข่งขัน การจัดการความรู้ช่วยให้องค์การมีความเข้าใจลูกค้า แนวโน้มของการตลาดและ
การแข่งขัน ทาให้สามารถลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้5. การพัฒนาทรัพย์สิน เป็นการพัฒนา
ความสามารถขององค์การในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ ได้แก่ สิทธิบัตร เครื่องหมาย
การค้า และลิขสิทธิ์ เป็นต้น6. การยกระดับผลิตภัณฑ์ การนาการจัดการความรู้มาใช้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิต และบริการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อีกด้วย7. การบริหารลูกค้า การศึกษา
ความสนใจและความต้องการของลูกค้าจะเป็นการสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้แก่
องค์การ8. การลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน การ
จัดการด้านเอกสาร การจัดการกับความไม่เป็นทางการเพิ่มความสามารถให้แก่องค์การในการจังและฝึกฝน
บุคลากร
การถ่ายทอดความรู้ (knowledge transfer) เป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดการความรู้ (knowledge
management) ซึ่งหมายความถึง การแบ่งปันความรู้ภายในองค์การที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ
(Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) การจัดการวัฒนธรรมทางองค์การสาหรับการถ่ายทอดความรู้
จะเริ่มจากการกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ที่นาและสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมการทางานที่มี
การสร้างความรู้ แบ่งปันความรู้ และสะสมความรู้ในทุกระดับ สภาพแวดล้อมการทางานที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์
ของการจัดการความรู้ขององค์การ จะเห็นได้จาก พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทางานร่วมกันในทุก
ระดับของสมาชิกองค์การ (synergetic behavior of knowledge) (Quinn, Anderson, and Finkelstein,
1996) ซึ่งผู้ปฏิบัติต่างทางานร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานในลักษณะต่อไปนี้
1) การเติมข้อมูลการปฏิบัติงานที่ประสบผลสาเร็จมากที่สุด (Best practices) ลงในฐานข้อมูลความรู้
ขององค์การ
2) การทาแบบประเมินและตรวจสอบประสบการณ์และข่าวสารความรู้ที่ไม่ถูกต้องของผู้ปฏิบัติ
3) การสอน การติวเข้ม การเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนร่วมงาน การอภิปราย และการพูดคุยอย่างเปิดเผยกับ
เพื่อนร่วมงาน
4) การเขียนรายงาน และการเตรียมรายงานการวิเคราะห์งานเขียน การจัดเตรียมบันทึกเตือน
ความจาส่วนตัว และรายงานให้กับเพื่อนร่วมงาน
5) การให้ข้อแนะและข้อสังเกตอย่างเปิดเผย การให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ และการให้คาตอบ
สาหรับปัญหาการปฏิบัติงานแก่เพื่อนร่วมงานอย่างแข็งขัน
6) การจัดทาเอกสารเกี่ยวกับความเข้าใจในประโยชน์ สถานการณ์ หรือปัญหาที่ซับซ้อน การเขียน
ลาดับขั้นตอนของการทากิจกรรมต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน และหนังสือคู่มือการปฏิบัติงานในระหว่างที่กาลัง
ทางานในกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงงาน
7) การใช้ฐานข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ในการทากิจกรรมหรือภารกิจต่าง ๆ
การทางานร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ของสมาชิกองค์การในทุกระดับจะเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติยอมรับ
ว่า การทางานด้วยกันอย่างเปิดใจโดยปราศจากการขยักหรือปกป้องความรู้ที่ตนมีโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้นั้น จะส่งผล
ให้องค์การมีความสามารถในการผลิตและนวัตกรรมมากยิ่งขึ้นมากกว่าการที่ต่างคนต่างทา การจะทาให้เกิด “
พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทางานร่วมกันในทุกระดับของสมาชิกองค์การ ” นอกเหนือไปจากการ
สนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้ข่าวสารความรู้จากฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลแล้ว องค์การจาเป็นต้องสร้าง เงื่อนไขที่ต้องมีมาก่อน (preconditions) พฤติกรรมดังกล่าว
สาหรับการเอื้ออานวยให้เกิดการแบ่งปันความรู้ภายในองค์การ ดังนี้
1) ทัศนคติของความใส่ใจและความไว้วางใจในหมู่สมาชิกองค์การ ( Krogh 1998) องค์การต้องจัดทา
ค่านิยมและมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่าง ๆ ในการทางานที่เป็นที่ยอมรับ ได้รับความเห็นพ้อง
จากสมาชิกองค์การ และสื่อสารให้เป็นที่รู้ทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของการยอมรับความผิดพลาด
และไม่ลงโทษการทาผิดพลาด และบรรยากาศของความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ เพื่อให้โอกาสแก่สมาชิก
องค์การในการแก้ไขความผิดพลาด ซึ่งจะทาให้สมาชิกองค์การเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน มีความสนใจใน
มุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แสวงหาความช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน มีความยืดหยุ่นในการลง
ความเห็นและตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติ มีความกล้าที่จะพูดแสดงความคิดเห็น/ ความรู้สึก
2) พฤติกรรมการบริหารที่เอื้อต่อการแบ่งปันความรู้ในหมู่สมาชิกองค์การ (Nonaka and Konno
1998; Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) การแบ่งปันความรู้จะเกิดขึ้นจากการรับรู้ของผู้ปฏิบัติ
ต่อองค์การที่ยึดมั่นอย่างจริงจังในค่านิยมของการส่งเสริม สนับสนุน เพิ่มค่า และดูแลความรู้ และให้การ
สนับสนุนงบประมาณ เครื่องมือ วิชาการ และเทคนิคที่จาเป็นสาหรับการแบ่งปันความรู้ และต่อผู้บริหารใน
การเป็นตัวอย่างของการแบ่งปันความรู้และไม่กักตุนความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารต้องทาตามที่พูดหรือ
บอกให้ผู้ปฏิบัติทา (walk-the-talk) ผู้บริหารต้องจัดสรรเวลาสาหรับการพูดคุย รับฟังปัญหา/ ความคิดเห็น
ของผู้ปฏิบัติ และอนุญาตและให้เวลาผู้ปฏิบัติเข้าร่วมเครือข่ายการจัดการความรู้ และผู้บริหารต้องเข้าร่วมเป็น
ส่วนหนึ่งของผู้ปฏิบัติในการแบ่งปันความรู้ด้วย
3 ) การให้รางวัลและผลตอบแทนสาหรับส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ (Davenport, Long and Beer
1998; King 1998; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) รางวัลพิเศษและการให้สิ่งตอบแทนวิธีต่าง
ๆ อาจใช้เป็นแรงจูงใจภายนอกเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานตั้งใจแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ เช่น การยกย่องและการมี
ชื่อเสียงสาหรับผู้ปฏิบัติที่มีส่วนเพิ่มพูนฐานความรู้ หรือมีส่วนอย่างแข็งขันในการแบ่งปันความรู้ การกาหนด
ความรับผิดชอบที่ชัดเจนสาหรับผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์ให้ทาการสอน และการเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติใหม่
การให้ผู้ปฏิบัติทาการสรุปรายงานการประเมินผลโครงการ กิจกรรม หรืภารกิจต่าง ๆ ภายหลังเสร็จสิ้นการ
ดาเนินงาน เพื่อเป็นการเรียนรู้อย่างเป็นระบบจากประสบการณ์ตรง ซึ่งบทเรียนที่ผู้ปฏิบัติได้เรียนรู้จะถูก
วิเคราะห์อย่างเป็นระบบและเก็บไว้ให้ผู้ปฏิบัติคนอื่นใช้ต่อไป
แนวคิดการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนา
รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู โดยศึกษา
วิเคราะห์แนวทางพัฒนาหลักสูตรของ ทาบา (Taba, 1962) SU Larning Model มาตรฐานวิชาชีพครู พ .ศ.
2556 มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ .ศ. 2552 แนวคิดการวิจัย ในชั้นเรียน (Research in
effective learning environment ) การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for learning)
และได้นาแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิส์ (Constructivist Learning Method : CLM) ซึ่ง
ประกอบด้วยการทาความกระจ่างในความรู้การเลือกรับและทาความเข้าใจ สารสนเทศใหม่ และการตรวจสอบ
ทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ตลอดจนได้ศึกษา 3P’s Model ของ Biggs (2003) SU Larning Model และได้
ศึกษาการกาหนดเกณฑ์การประเมินการเรียนรู้โดยใช้ SOLO Taxonomy และ ได้ศึกษาแนวคิดการจาแนก
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ตามแนวคิดของมาร์ซาร์โน (Marzano Taxonomy) ในด้าน cognitive domain ซึ่ง
ทาให้ผู้เรียนสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายหรือภาระงานและสามารถควบคุม กากับดูแลการปฏิบัติงาน ภาระงาน
ชิ้นงาน ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้ โดยผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ การสังเคราะห์ และการน าความรู้
ไปประยุกต์ใช้ ดังภาพประกอบการเปรียบเทียบวัตถุประสงค์การเรียนรู้ Blooms Taxonomyและ Marzano
Taxonomy ดังนี้
4 ) การสนับสนุนการสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (Davenport, Long and Beer 1998; Manville and
Foote 1996; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) ชุมชนนักปฏิบัติเป็นเครือข่ายแบบไม่เป็น
ทางการภายในองค์การที่ซึ่งผู้คนที่มีความสนใจและมีปัญหาร่วมกันมาพบปะ พูดคุยในความหมายเดียวกัน มี
การพัฒนาการทางานร่วมกัน และมีข้อผูกพันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยิ่งทาให้มีความไว้วางใจและการ
เปิดใจกันมากยิ่งขึ้นในการถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้กันอย่างเปิดเผย เครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติจึงเป็นกลวิธีที่
จะช่วยลดอุปสรรคส่วนของบุคคลและอุปสรรคทางสังคมในการแบ่งปันความรู้ ทั้งนี้ องค์การต้องสนับสนุนเลา
สถานที่ เครื่องมือ ข่าวสาร วิชาการ และเทคนิคต่าง ๆ ที่จาเป็นแก่ผู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
5 ) การประมวลผลข่าวสารความรู้ หรือ การมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (Hansen, Nohria, and
Tierney 1999) นักวิชาการได้เสนอแนะกลวิธีที่มีประสิทธิผลในการจัดการกับประเด็นทางวัฒนธรรมองค์การ
ในการถ่าย
ทอดความรู้ไว้ 2 วิธี กลวิธีประมวลข่าวสารความรู้ (codification) มุ่งให้ความสาคัญกับเทคโนโลยี
สารสนเทศ คือ ความรู้จะดึงออกจากผู้ที่ทาให้เกิดความรู้ขึ้นโดยการใช้วิธีการต่าง ๆ (เช่น แนวทางการ
สัมภาษณ์ ตารางการปฏิบัติ
งาน การทดสอบเพื่อวัดความสามารถในการทางานโดยเทียบเคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน ) แล้วทาการ
ประมวลผลและเก็บไว้ในฐานข้อมูลความรู้ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและนาไปใช้ได้ กลวิธีการมีปฏิสัมพันธ์แบบ
ตัวต่อตัว ให้ความสาคัญและดาเนินการกับการพูดคุยกันระหว่างบุคคล โดยความรู้จะถูกถ่ายทอดจากการ
พบปะกันเป็นส่วนตัวและการสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ ความรู้ที่บอกเล่าได้ยาก ”
(Tacit knowledge) ระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกับกลวิธีนี้คือ ทาเนียบผู้เชี่ยวชาญ ระบบแผนที่ความรู้
ฐานข้อมูลค้นหาตาแหน่งของผู้คนซึ่งแสดงรายชื่อของบุคคลผู้ปฏิบัติควรพูดคุยด้วยเกี่ยวกับหัวข้อหรือปัญหา
การปฏิบัติงานบางเรื่อง
6) รูปแบบทางโครงสร้างขององค์การที่ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ (Davenport, Long and Beer
1998) องค์การอาจต้องปรับรูปแบบทางโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของการจัดการ
ความรู้ อาจทาเป็นโครงการเฉพาะที่มีสายการสั่งงานและการประสานงานในแนวราบ ทาให้ลดระยะห่าง
ระหว่างผู้ปฏิบัติกับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงผู้บริหารได้ง่ายเมื่อต้องการความช่วยเหลือในงาน มีการ
สื่อสารตัวต่อตัวแบบไม่เป็นทางการ ผู้ปฏิบัติมีการประสานความร่วมมือกันในการทางานภายในกลุ่มและ
ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในองค์การ เพื่อให้เกิดความเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผูกพันกัน และเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ
องค์การร่วมกัน (Miles, Miles, and Perrone 1998)
จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยามคาว่า “ ความรู้” คือ สิ่งที่สั่งสมมาจาก
การศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจหรือ
สารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา
Hideo Yamazaki นักวิชาการชาวญี่ปุ่น ได้ให้นิยามของคาว่า “ความรู้” คือ สารสนเทศที่ผ่าน
กระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่น จนเกิดเป็นความเข้าใจและนาไปใช้ประโยชน์ในการสรุป
และตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่จากัดช่วงเวลา
ปิรามิดแสดงลาดับชั้นของความรู้กว่าจะเป็น “ ความรู้” ได้ ก็เริ่มต้นจากการเป็น
1. “ ข้อมูล” หมายถึง ข้อเท็จจริง ข้อมูลดิบ หรือตัวเลขต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปลความ
2. “ สารสนเทศ” หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์
เพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการและตัดสินใจ
3. “ ความรู้” หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการ
ความรู้ (Knowledge) คือความเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะรวมไปถึง
ความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ ความสามารถในการรู้บางอย่างนี้เป็นสิ่งสนใจ
หลักของวิชาปรัชญา (ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงอย่างมาก) และมีสาขาที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ
เรียกว่าญาณวิทยา (epistemology) ความรู้ในทางปฏิบัติมักเป็นสิ่งที่ทราบกันในกลุ่มคน และในความหมายนี้
เองที่ความรู้นั้นถูกปรับเปลี่ยนและจัดการในหลาย ๆ แบบ
ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่
เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจา ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็น ได้ยิน หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่ง
ในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคาจากัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง
วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจาอะไรได้ ระลึกได้ โดย
ไม่จาเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจาได้จึงถือว่าเป็น
กระบวนการที่สาคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นาไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนาความรู้
ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความสามารถทาง
สมองมากขึ้นเป็นลาดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ......
เบนจามิน บลูม (Benjamin S. Bloom อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26-28) ได้ให้ความหมายของ
ความรู้ ว่าหมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการระลึกถึงสิ่งเฉพาะ วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงแบบกระสวน
ของโครงการวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ โดยเน้นในเรื่องของกระบวนการทางจิตวิทยาของความจา อันเป็น
กระบวนการที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดระเบียบ โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1965 บลูมและคณะ ได้เสนอ
แนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้หรือพุทธิพิสัย (cognitive domain) ของคน ว่าประกอบด้วยความรู้ตามระดับต่าง ๆ
รวม 6 ระดับ ซึ่งอาจพิจารณาจากระดับความรู้ในขั้นต่าไปสู่ระดับของความรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป โดยบลูมและ
คณะ ได้แจกแจงรายละเอียดของแต่ละระดับไว้ดังนี้
1. ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจาและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์
ต่างๆ
2. ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension)
3. การนาไปปรับใช้ (Application)
4. การวิเคราะห์ (Analysis)
5. การสังเคราะห์ (Synthesis)
6. การประเมินผล (Evaluation
ความรู้คือ สิ่งที่มนุษย์สร้าง ผลิต ความคิด ความเชื่อ ความจริง ความหมาย โดยใช้ ข้อเท็จจริง
ข้อคิดเห็น ตรรกะ แสดงผ่านภาษา เครื่องหมาย และสื่อต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นไปตาม
ผู้สร้าง ผู้ผลิตจะให้ความหมาย
แนวทางการจัดการเรียนการเรียนรู้
ทฤษฎีความรู้(Theory of Knowledge: TOK)
ทฤษฎีความรู้
(Theory of Knowledge : TOK)
คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วย หลักการต่าง ๆ ที่จะอธิบายและทาความเข้าใจ เกี่ยวกับ ความรู้ของมนุษย์ทุก
รูปแบบจากอดีตจนถึงปัจจุบัน,รวมถึงขั้นตอนการรับข้อมูลและการสร้างความรู้ของมนุษย์
มีผู้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับ ”ความรู้”และ ”การสร้างความรู้” มากมายหลายท่านในหลากหลายแง่มุม, แต่ใจ
หนังสือเล่มนี้ ก็จะกล่าวถึง ทฤษฎีแห่งความรู้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนทฤษฎีใดที่ท่านต่าง ๆ ได้เคยนาเสนอมา
ความรู้ของมนุษย์ อยู่ตรงไหน ”
ทาไมจึงต้องทาความเข้าใจ ”ความรู้ของมนุษย์ ”
มนุษย์ดารงชีวิตบนโลกใบนี้มานานนับล้านปี,เริ่มจากจากรูปแบบชีวิตเรียบง่าย ไม่มีสิ่งอานวยความ
สะดวก,ไม่มีสังคมที่ซับซ้อน,ไม่มีวัฒนธรรมประเพณีอะไรมากมาย.
มนุษย์ พยายามสะสมความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ,ผิดบ้างถูกบ้าง,สร้างรูปแบบชีวิตที่ซับซ้อนมากขึ้น,
สร้างสิ่งอานวยความสะดวกมากมาย,สร้างสังคมที่ซับซ้อน เกิดเป็นโครงสร้างเชิงซ้อนที่เริ่มสับสน,วัฒนธรรม
ประเพณีมากมายจนคนในสังคมเริ่มสับสนในตนเองเพราะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมากเกินไป,จนเกิดเป็น
ความเครียด,เบื่อหน่าย,กดดัน,กังวล,คาถามมากมายที่ไม่มีคาตอบ,ซึ่งนาไปสู่ปัญหามากมายในที่สุด
ข้อสรุป คือ
- มนุษย์ไม่เข้าใจความคิดและความรู้ของตนเอง.
- มนุษย์ไม่เข้าใจสังคม กระแสสังคม สิทธิและหน้าที่ของตนเอง.
- มนุษย์ไม่รู้ว่าตนเองมีความเป็น ปัจเจกชน (individual) อยู่ไม่จาเป็นต้องเหมือนกับใครในโลกนี้ ไม่
ต้องเปรียบเทียบ, ไม่จาเป็นต้องตามกระแสสังคม
- มนุษย์ยังไม่มีความรู้ในเรื่อง ”การเกิดความรู้ของตนเอง””การสร้างความรู้ของตนเอง”
- สิ่งสาคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือ ”ความเข้าใจในเรื่อง ความรู้ของมนุษย์ ”เราจึงจะสามารถ แก้ปัญหา
ต่างๆ ได้ตรงจุด
โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์
นิยามสาหรับ โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์
ข้อมูลโดด คือ สัญญาณทุกชนิดทุกรูปแบบที่เล็กที่สุด ที่มนุษย์รับเข้าสู่สมองได้ โดยเปลี่ยนเป็น
สัญญาณไฟฟ้าเคมี และสามารถจัดเก็บในเซลล์ ประสาทส่วนความจาได้ ข้อมูลที่สมองจะจดจาได้ จะต้องมีการ
อ้างอิง หรือเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้อย่างน้อย 1 จุด ถ้าเป็นข้อมูลโดดที่ เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นไม่ได้ ก็จะเลือน
หายไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลโดดที่เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้ และมีความหมายได้จะกลายเป็นข้อมูลเดี่ยว
ข้อมูลเดี่ยว คือ ข้อมูลที่เล็กที่สุด ซึ่งบุคคลหนึ่งรับเข้าสู่สมองโดยสามารถตีความ และมีความหมายได้
เป็นที่เข้าใจและยอมรับบุคคลนั้น (เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้)
ข้อมูลเชิงซ้อน คือ กลุ่มข้อมูลเดี่ยวที่เชื่อมโยงกันหรือกลุ่มข้อมูลเชิงซ้อน ที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
แต่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับฐานความรู้เดิมได้
ฐานข้อมูล หรือ ข้อมูลเดิม คือ ข้อมูลและความรู้ทั้งหมดของบุคคล ซึ่งได้จากการสะสมและสร้างมา
ตั้งแต่เกิด
ฐานความรู้ หรือ ความรู้เดิม คือ ความรู้ทั้งหมดของบุคคล ซึ่งได้จากการสะสม และสร้างมาตั้งแต่เกิด
ความรู้ คือ ข้อมูลที่แต่ละ บุคคล สร้างให้กับตนเอง ซึ่งต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ
1. คุณสมบัติแห่งความเข้าใจ
2. คุณสมบัติแห่งการเกิดประโยชน์
- ใช้สร้างข้อมูลและความรู้ใหม่
- ใช้ในการตัดสินใจของตัวเอง
1. ตัวตนของ ”ความรู้”
วัตถุประสงค์ หลักของการมีความรู้ของมนุษย์ คือ ใช้ในการตัดสินใจ ในการดารงชีวิต ของมนุษย์นั่นเอง
ความรู้ของมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1.1 ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ (Fact Of Nature) คือ ความรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ คือสิ่งที่
เกิดขึ้นเอง, ดาเนินไปเอง, จบสิ้นเองเช่น ศาสตร์ต่าง ๆ , ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา ที่มุ่งศึกษาธรรมชาติ และความ
เป็นไปในธรรมชาติ
- มนุษย์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงจะสามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและหลุด
พ้นจากความกลัวต่อ ปรากฏการณ์ธรรมชาติและ สิ่งอื่นๆ
- มนุษย์ใช้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ อันนี้มาตัดสินใจว่า ควรจะทาหรือไม่ทา, ควรจะกลัว
หรือไม่กลัวอะไร
1.2 ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น (Human knowledge) คือ ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้อง
กับ ความรู้ในธรรมชาติ หรือไม่ก็ได้ เช่น สัญลักษณ์ , ภาพ, ภาษา , ประเพณี, วัฒนธรรม, ศิลปะ, สังคม ,
การเมือง, ระบบเศรษฐกิจ, การแพทย์, วิศวกรรม, ระบบอุตสาหกรรม,ที่มุ่งพัฒนาเพื่อมนุษย์, เพื่อสร้างความ
เป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกๆด้าน
- มนุษย์ใช้ความรู้ที่มนุษย์ สร้างขึ้นในการตัดสินใจว่า ควรจะทาอย่างไรกับ ครอบครัว/สังคม,
ประเทศของตนเอง, จะพัฒนาชีวิต เผ่าพันธุ์ของตนเองอย่างไร, ไปในทิศทางใดแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า ”ความรู้”
ที่กล่าวถึงนี้ หมายถึง ความรู้ของโลก, ความรู้ของสังคม จะยังไม่ใช่ความรู้ของเรา(บุคคล) จนกว่าเราจะสร้าง
ความรู้ในสมองของเราเอง
ตัวอย่าง เช่น ถ้าเรามีหนังสือมากมาย แต่ไม่อ่าน ทาความเข้าใจ เราก็จะไม่มีความรู้ใดๆ เลย
2. ความรู้”คือ ข้อมูล
มนุษย์เรียนรู้ข้อมูลในชีวิตประจาวัน โรงเรียน, ที่ทางาน, เหตุการณ์ต่าง ๆ และนามาสร้างเป็นความรู้ของ
ตนเอง, เราจะเรียนรู้วิธีการสร้างความรู้ของมนุษย์ ด้วย ”โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์ "
หลักการเรียนรู้ของมนุษย์ มี 2 ขั้นตอน
1. รับข้อมูล
2. เชื่อมโยงเพื่อสร้างความรู้ใหม่ คือ ขั้นตอนการรับข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้เกิดเป็นความรู้
ใหม่
- มนุษย์รับข้อมูล โดยผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทาง, โดยระบบประสาทนี้จะส่งสัญญาณไฟฟ้า
เคมีไปยังสมอง โดยถูกส่งเข้าไปที่เซลล์ประสาทควบคุม ซึ่งเรียกว่า สมองส่วนควบคุม (Pre Frontal Cortex)
เพื่อส่งต่อไปยัง สมองส่วนที่เป็นสมองส่วนความจา (Front Lobe)
- ข้อมูลโดด คือ สัญญาณข้อมูลทุกรูปแบบที่รับรู้, รู้สึก, สัมผัสได้แต่ไม่สามารถเชื่อมโยง หรือตีความ
ได้ชัดเจน
- ข้อมูลที่เล็กที่สุดที่สมองตีความได้เมื่อ เข้าไปในสมองส่วนความจา จะเรียกว่าข้อมูลเดี่ยว, มีความ
ซับซ้อน น้อยที่สุด ที่แต่ละบุคคล จะสามารถรับหรือเรียนรู้ได้
- บุคคลจะพยายามเชื่อมโยง ข้อมูล เดี่ยว เข้าหากันทาให้เกิดข้อมูลเชิงซ้อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาด
ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น และพยายามเชื่อมโยงกับความรู้เดิมให้เกิดเป็นความรู้ใหม่
- ถ้าข้อมูลเดี่ยว และข้อมูลเชิงซ้อน สามารถเชื่อมโยงเข้าหา ”ความรู้เดิม”ได้ก็จะเกิดเป็น ”ความรู้ใหม่
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จากการศึกษา ปัจจัยที่มีผลตอความรู้ ความเข้าใจ ของเจาหน้าที่เกี่ยวการตรวจสอบ ภายในของกรม
ประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งผู้วิจัยไดทาการศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดังต่อไปนี้
1. แนวคดเกี่ยวกับความรูความเข้าใจ
2. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการตรวจสอบภายใน
3. แนวคดเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ความรูความเข้าใจคือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ รวมทั้ง
ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ไดรับมาจากประสบการณ สิ่งที่ไดรับมาจาก
การได้ยิน ไดฟังการคิด หรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขาตามที่พจนานกรม ุ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
(2542) ได้ให้ความหมายไวและ บลูม (Bloom, 1980 อ้างถึงใน ศิพล รื่นใจชน, 2549, หนา 10) ได้จาแนก
ความหมายระหว่างความรูความเข้าใจเพื่อประโยชนในการสื่อความหมาย ไวดังนี้ ความรูหมายถึง พฤติกรรม
และสถานการณต่าง ๆ ซึ่งเน้นการจาไมว่าจะเป็นการระลึกถึง หรือระลึกได้ก็ตาม เป็นสภาพการณที่เกิดขึ้นสืบ
เนื่องมาจากการเรียนรูโดยเริ่มต้นจากการรวบรวมสาระ ต่าง ๆ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่ขั้น ที่มีความสลับซับซ้อน
ยงขึ้น โดยความรู้อาจแยกออกเป็นความรู เฉพาะสิ่งและความรูเรื่องสากลเป็นต้น ความเข้าใจเป็นขั้นตอนที่
สาคัญของการสื่อความหมายโดยอาศัยความสามารถทางสมอง และทักษะ ซึ่งอาจจะกระทาไดโดยการใช้ปาก
เปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ โดยการ ทาความเข้าใจนั้นอาจไมมีผลสมบูรณเสมอไป สาหรับ
พฤติกรรมความเข้าใจแบ่งไดเป็น 3 รูปแบบ คือการแปลความ การตีความ และการสรุปอ้างอิง ซึ่งมีความสอด
คลองกับที่ ศิพล รื่นใจชน (2549) ได้ให้ความหมายของคาว่าความรู ตามพจนานุกรมทางการศึกษา
(Dictionary of Education) ของกดู (Good, 1973) ว่าเป็นข้อเท็จจริงกฎเกณฑ์และรายละเอียดต่าง ๆที่
มนุษย์
ไดรับและเก็บรวบรวมสะสมไว้
ซึ่งคลายกับความหมายตามพจนานุกรม (The Lixicon Webster Dictionary) (The Lixicon
Webster, 1997) ที่ได้ให้ คาจากัดความของความรู้ ว่าเป็นความรูเกี่ยวกับข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์โครงสร้างที่
เกิดจากการศึกษาหรือค้นหาหรือเป็นความรูเกี่ยวกับสถานที่สิ่งของหรือบุคคลที่ได้จากการสังเกตประสบการณ
หรือจากรายงาน การรับรูข้อเท็จจริงต้องชัดเจนและต้องอาศัยเวลาและใกล้เคียงกับความหมายที่บลูม
(Bloom, อางถึงในแสงจันทร์ โสภากาล, 2550, หนา 15-16) ได้ให้ความหมายว่าความรูเป็นเรื่อง เกี่ยวกับ
การระลึกถึงเฉพาะเรื่องระลึกถึงวิธีการ กระบวนการหรือสภาพการณต่างๆ โดยเน้นความจา และสมศักดิ์ ศรี
สันติสุข (2538, อ้างถึงแสงจันทร์โสภากาล, 2550, หนา 14-15) ได้ให้ความหมาย ของความรูหมายถึงการรับรู
เกี่ยวกับข้อเท็จจริง เหตุการณรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดจากการสังเกต การศึกษา ประสบการณทั้งในด้าน
สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมความรูพื้นฐาน หรือภูมิหลัง ของแต่ละบุคคล ที่บุคคลไดจดจาหรือเก็บ
รวบรวมไวและสามารถแสดงออกมาในเชิงพฤติกรรม ที่สังเกตหรือวดได้ สาหรับ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2520,
อ้างถึงใน ศรีวรรณ จึงสวัสดิ์, 2548, หน้า 4) ไดให้ความสาคัญต่อพฤติกรรมมนุษย์ในด้านที่เกี่ยวกับความรู
ความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ รวมทั้ง ศึกษาถึงการพัฒนาความสามารถทักษะทางสตปัญญาและการใช้
วิจารณญาณของมนุษย์เพื่อ ประกอบการตัดสินใจ จากแนวคิดต่าง ๆ ผูวิจัยสามารถสรุปความหมายดังนี้ความ
รูและความเข้าใจเป็นกระบวนการ รับรูเรื่องราวหรือข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และสามารถรวบรวม หรือ
แยกแยะในประเด็นต่าง ๆ ไดอย่างละเอียดและสามารถลาดับขั้นตอนไดอย่างชัดเจน
จิตวิทยาศาสตร์ (Scientific mind)
จิตวิทยาศาสตร์ หมายถึง ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความ
มุ่งมั่น อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับ
ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์
จิตวิทยา มาจากคาในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คา คือ
Psyche หมายถึง จิตวิญญาณ (mind, soul) กับคาว่า Logos หมายถึง ศาสตร์ วิชา วิทยาการ (science,
study) (กันยา สุวรรณแสง, 2542, หน้า 11)
จิตวิทยา หมายถึง วิชาว่าด้วยจิต วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยปรากฏการณ์พฤติกรรม และ
กระบวนการของจิต (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, หน้า 312)
จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรม โดยเน้นพฤติกรรมทางจิตของบุคคลทั่วไป (ปราณี ราม
สูต, 2542, หน้า 2)
จิตวิทยา คือ การศึกษาพฤติกรรมกระบวนทางจิตเชิงปรนัย เป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างขวาง เป็น
องค์ความรู้ทั้งเชิงศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คลอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ทั้งทางกาย สังคม
อารมณ์ จิตใจ ความคิดสติปัญญา จุดมุ่งหมายสาคัญของการศึกษาศาสตร์สายนี้คือ เพื่อที่จะเข้าใจ อธิบาย
ทานาย พัฒนาและควบคุมพฤติกรรมด้านต่าง ๆ (จิราภา เต็งไตรรัตน์ และคนอื่น ๆ, 2550, หน้า 29)
จิตวิทยาเป็นวิชาที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษาทาง
วิทยาศาสตร์ (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546, หน้า 12)
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนาข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ที่ได้จากแนวคิดทฤษฎี และการทดลอง
นามาเสนอเพื่ออธิบายและควบคุมพฤติกรรมทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ (สุปราณี สนธิ
รัตน์ และคณะ, 2537, หน้า 1)
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม และกระบวนการทางจิตซึ่งหมายถึง ทั้งพฤติกรรม
ภายนอก พฤติกรรมภายใน โดยที่บุคคลอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ (วิไลวรรณ ศรีสงคราม และคณะ, 2549, หน้า
2)
จิตวิทยา (psychology) คือ การศึกษาเรื่องของจิตใจ พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของคนและสัตว์
โดยวิธีการทดลอง สังเกต สารวจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มักเน้นการศึกษาแต่ละคนหรือกลุ่มเล็ก ๆ มากกว่า
แบ่งเป็นแขนงต่าง เช่น จิตวิทยาการทดลอง (experimental psychology) เน้นวิธีการศึกษากระบวนการทาง
จิตใจและพฤติกรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาอาชีพ จิตวิทยาคลินิก
(วิทยากร เชียงกูล, 2552, หน้า 191)
จิตวิทยา คือ
(1) ศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาพฤติกรรม การกระทา หรือกระบวนการทางจิตใจ
(2) ศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดของชีวิต
รวมถึงระบบของร่างกายที่เกี่ยวกับพฤติกรรม การทางานของประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว ปฏิสัมพันธ์
ทางสังคม พัฒนาการ ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม กระบวนการทางปัญญาที่อยู่ในจิตสานึกและจิตใต้
สานึกสุขภาพจิตและความผิดปกติทางจิต พลวัตของพฤติกรรม การสังเกต การทดสอบ และการทดลอง การ
ประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยา เช่น การจ้างงาน การจัดการศึกษา เรื่องเกี่ยวกับจิตบาบัด และพฤติกรรมของ
ผู้บริโภค (ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 323-324)
จิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต (กระบวนการของจิต) สมอง
หรือกระบวนความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งครอบคลุมถึงอารมณ์
การนึกคิด รับรู้พฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ (สงกรานต์ ก่อธรรมนิเวศน์, 2552, หน้า 300)
จิตวิทยา คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งศึกษาถึงเรื่องราวของพฤติกรรมของมนุษย์ เนื้อหาวิชาของจิตวิทยา
นั้นผิดแผกแตกต่างกันไปตามแต่แขนงวิชาของจิตวิทยา จิตวิทยาบางแขนงเน้นศึกษาในเรื่องหนึ่ง ส่วนจิตวิทยา
แขนงหนึ่งอาจเน้นไปศึกษาอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ จิตวิทยาอาจหมายถึง วิชาการที่ศึกษาถึงกระบวนการของจิตใจ
หรือศึกษาถึงกระบวนการของตัวตน หรือการกระทาก็ได้ จิตวิทยาแตกแยกออกไปเป็นหลายพวกหลายสกุล
การจัดจาแนกสกุลจิตวิทยาอาจจะทาได้หลายทัศนะ แต่ละทัศนะก็มีหลักยึดในการจัดจาแนกแตกต่างกัน เช่น
การจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถือเอาระบบและระเบียบวิธีการศึกษาเป็นเกณฑ์ การจาแนกสกุลจิตวิทยาโดย
ถือเอาลักษณะธรรมชาติของข้อมูลทางจิตวิทยาเป็นหลัก และการจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถือเอาอินทรีย์ที่มุ่ง
ศึกษาเป็นเกณฑ์ (เดโช สวนานนท์, 2520, หน้า 203)
จิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถ
วัดได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และการรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์เป็นระเบียบ ระบบ สมัยโบราณ จิตวิทยา
หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับจิตเนื่องจากเห็นว่า จิตของมนุษย์เป็นสิ่งสาคัญที่ทาให้บุคคลมีพฤติกรรมแตกต่าง
กันและต่างไปจากสัตว์หรือชีวิตอื่น ๆ ต่อมาภายหลังจากการพัฒนาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะความรู้ทางสรีรวิทยา แนวการศึกษาทางจิตวิทยาจึงเปลี่ยนมาที่การกระทาของบุคคล และธรรมชาติ
ของมนุษย์ (ทรงพล ภูมิพัฒน์, 2538, หน้า 24)
สรุปความหมายของจิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม หรือกิริยาอาการของมนุษย์รวมถึง
ความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้าง ในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทาให้เกิด
พฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทาให้สามารถคาดคะเน หรือพยากรณ์ได้โดยใช้แนวทางหรือวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์
ขอบข่ายของจิตวิทยา โดย เติมศักด์ คทวณิช
จิตวิทยาแตกแขนงออกไปเป็นหลายสาขา โดยจะเน้นศึกษาพฤติกรรมในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของแต่ละสาขา ซึ่งสามารจาแนกออกเป็นสาขาต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ (เติมศักด์ คทวณิช,
2546, หน้า 15-16)
1. จิตวิทยาทั่วไป (general or pure psychology) เป็นจิตวิทยาที่มุ่งศึกษาถึงกฎเกณฑ์ ทฤษฎี
พื้นฐานทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมโดยทั่วไปของมนุษย์
2. จิตวิทยาทดลอง (experimental psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละด้าน เช่น การเรียนรู้ การจา การลืม โดยใช้การทดลองเป็นหลักสาคัญในการศึกษาและ
นาผลที่ได้จากการทดลองไปสร้างเป็นทฤษฎีและกฎเกณฑ์เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิชาแขนงต่าง ๆ
3. จิตวิทยาเชิงสรีรวิทยา (physiological psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายของ
มนุษย์อันเป็นพื้นฐานของการเกิดพฤติกรรมโดยเน้นเกี่ยวกับโครงสร้างหน้าที่การทางานของอวัยวะต่างๆ ที่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมโดยเฉพาะ
4. จิตวิทยาพัฒนาการ (developmental psychology หรือ genetic psychology)เป็นจิตวิทยาที่
ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิสนธิ การเจริญเติบโตและการพัฒนาการของมนุษย์ใน
ระยะต่าง ๆ ตลอดจนอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อนาความรู้ที่ได้
ไปพัฒนาสมาชิกใหม่ตั่งแต่แรกเกิดเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
5. จิตวิทยาสังคม (social psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และ
พฤติกรรมของบุคคลในสังคม งานของนักจิตวิทยาสังคมส่วนใหญ่จึงเป็นการศึกษา สารวจมติมหาชน การเกิด
และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ตลอดจนค่านิยมของแต่ละเชื้อชาติและวัฒนธรรมเพื่อสรุปเป็นกฎเกณฑ์และ
ทฤษฎีสาหรับอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละสังคม
6. จิตวิทยาการศึกษา (education psychology) เป็นจิตวิทยาที่นาเอากฎเกณฑ์และทฤษฎีทาง
จิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้อย่างแท้จริง ตรงตามปรัชญาการศึกษา
7. จิตวิทยาคลินิก (clinical psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาถึงสาเหตุความผิดปกติทางด้าน
พฤติกรรมของบุคคล เพื่อหาทางบาบัดรักษาบุคคลที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ พฤติกรรม และมีอาการป่วยทาง
จิตใจ รวมทั้งหาวิธีป้องกันแก้ไข ตลอดจนส่งเสริมให้คนมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
8. จิตวิทยาให้คาปรึกษา (counseling psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาถึงเทคนิคและวิธีการต่าง
ๆ เพื่อช่วยให้บุคคลที่กาลังประสบปัญหาได้เข้าใจและเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
9. จิตวิทยาอุตสาหกรรม (industrial psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการ
ทางานของบุคคลในโรงงานอุตสาหกรรมในแง่ของประสิทธิภาพในการทางาน วิธีการสร้างขวัญและแรงจูงใจใน
การทางาน การคัดเลือกบุคคลเข้าทางานตลอดจนวิธีการประเมินผล การทางานของบุคคลในสถาน
ประกอบการทั้งหลาย ทั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อค้นหากระบวนการ และวิธีการที่จะทาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ในการทางาน
10. จิตวิทยาเปรียบเทียบ (comparative psychology) เป็นการศึกษาเรื่องความเหมือนและความ
แตกต่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ตอนที่ 2 แนวทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยและพัฒนา
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องการวิจัยและพัฒนา เป็นหลักการแนวคิดที่สาคัญและเป็นกระบวนการที่นาไปสู่
การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดอย่างมี
วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ มุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน รายละเอียดดังนี้
การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) เป็นการศึกษาที่เป็นทั้งการวิจัยขั้น
พื้นฐาน (Basic Research) และการวิจัยประยุกต์ (Applied Research) การศึกษาในส่วนที่เป็นการวิจัย
พื้นฐานนั้นเป็นการศึกษาที่มุ่งหาความรู้ความจริงเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ กฎเกณฑ์ในการหาความรู้ทาง
วิชาการ ส่วนการศึกษาที่เป็นการวิจัยประยุกต์เป็นการศึกษาที่มุ่งการนาผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ กาวิจัยและ
พัฒนามีเป้าหมายเช่นเดียวกับการวิจัยประเภทอื่นๆ คือ แสวงหาและพัฒนาความรู้ แต่ต่างกันในขั้นตอนของ
การดาเนินการวิจัย คือ เป็นการวิจัยก่อนแล้วนาผลมาจากการวิจัยมาพัฒนานวัตกรรมไปใช้สู่การพัฒนา
ปรับปรุงแก้ไขนวัตกรรมให้ตอบสนองผู้ใช้ (มาเรียม นิลพันธุ์.2555: 13-230) จึงอาจกล่าวไว้ว่าการวิจัยและ
พัฒนาเป็นการวิจัยรูปแบบหนึ่งที่มีการพัฒนาทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ นราศรี ไววนิชกุล และชูศักดิ์
อุดมศรี (2533 : 12) จาแนกการวิจัยและพัฒนาไว้ 3 ประเภท ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ 1.การวิจัยพื้นฐาน
(Basic Research) เป็นการศึกษาค้นคว้าในทางทฤษฎีหรือในห้องทดลอง เพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับ
สมมติฐานของปรากฏการณ์และความจริงที่สามารถสังเกตได้ โดยที่ยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน หรือ
เฉพาะเจาะจงในการนาผลการวิจัยไปใช้ในงานปฏิบัติ 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็น
การศึกษาค้นคว้าเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ โดยมีวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายเบื้อต้นที่จะนาผลการวิจัยไปใช้
ประโยชน์ในการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง และ 3.การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งเป็น
การศึกษาอย่างมีระบบ นาความรู้ที่มีอยู่แล้วจากการวิจัยหรือจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงานประดิษฐ์สิ่ง
ใหม่ๆ ผลผลิตและเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อสร้างขบวนการระบบและการให้บริการใหม่ๆขึ้นและปรับปรุงสิ่งที่
ประดิษฐ์หรือก่อตั้งขึ้นแล้วให้ดีขึ้น
การวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methodology) โดยการผสมผสานนั้นเกิดขึ้นภายในขั้นตอนของ
การวิจัย อาจเน้นไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพไปพร้อมกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่
น่าเชื่อถือ (Creswell.2002 : 210) และสอดคล้องกับ มาเรียม นิลพันธุ์ (2551 : 310) ได้กล่าวถึงการวิจัยแบบ
ผสมผสานวิธี ว่าเป็นการวิจัยเพื่อค้นหาความรู้ความจริงจะสมบรูณ์ได้ต้องอาศัยทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิง
ปริมาณช่วยเสริมซึ่งกันและกัน การวิจัยเชิงคุณภาพ
ตอนที่ 2
คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับ นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขา
วิชาชีพครู คาชี้แจง คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตร
บัณฑิต สาขา วิชาชีพครูคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี จัดทาขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อ
เป็นพื้นฐานใน การพัฒนาให้มีความรู้ สมรรถนะในการนาหลักสูตรไปใช้ “จัดการเรียนรู้” เพื่อส่งเสริม Meta
cognition นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครูหรือผู้ที่ต้องการได้รับความรู้ความเข้าใจในการ
เรียนรู้ เพื่อส่งเสริม Meta cognition ได้ศึกษาคู่มือการใช้ให้เข้าใจเป็นอย่างดีก่อนที่จะนา ไปใช้ ส่วนประกอบ
ของคู่มือ คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต
สาขา วิชาชีพครู คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี มีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 1. หลักการ
2. แนวคิด ทฤษฎี 3. วัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล และภาพประกอบ
DRU Model 1. ความเป็นมาของรูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ครูมีบทบาทอย่างมากต่อพัฒนาการ
เรียนรู้ของผู้เรียน ครูที่มีความรู้ มีความสามารถ มีสมรรถนะ ในการสอนสูง มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ ส่งผล
ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงเช่นเดียวกัน และผล การเรียนของนักเรียนแตกต่างกันก็ขึ้นอยู่ กับ
คุณภาพการสอนของครูเช่นกัน (มาร์ซาโน , Marzano Waters 2009, อ้างถึงใน วชัรา เล่าเรียนดี, 2556:
325, พิณสุดา สิริรังธศรี, 2557) ซึ่งสอดคล้องกับ สานักงานพัฒนา การศึกษาของประเทศสิงคโปร์(Office of
Teacher Education, National Institute of Education Singapore, 2014) ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดการศึกษา
และพัฒนา ให้แก่ครูและผู้บริหารโรงเรียน และเป็นผู้พัฒนากรอบคุณลักษณะของ ครูสิงคโปร์ ในศตวรรษที่
21 ที่พึงประสงค์ โดยที่การพัฒนาครูให้เป็นมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 สิงคโปร์เน้นการเตรียมและพัฒนาครูใน
3 ด้าน ดังนั้น 1) เจตคติและค่านิยม 2) ทักษะ 3) ความรู้ 2 ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการจัด
การศึกษาใหม่คุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งครูในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นครูมืออาชีพที่รอบรู้ทั้งเนื้อหาวิชาการ
และวิธีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สังคมและเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพและ
สังคมไทยมีคุณภาพสามารถแข่งขันกับ สังคมโลกได้ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ: 2543) จาก
ความสาคัญ ของครูที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษา ทาให้ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุม ดูแลผลิต
หรือการใช้ครูกาหนดหลักเกณฑ์ ต่างๆ เพื่อให้การศึกษา ของประเทศไทยมีคุณภาพ ดังนั้น คุรุสภาซึ่งเป็น
องค์กร ที่มีหน้าที่หลักในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอน ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพครู กากับ
ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมท้ังการพัฒนา วิชาชีพ กาหนดนโยบายและ
แผนพัฒนาวิชาชีพ ประสานส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบ วิชาชีพ โดยคุรุสภา ได้
กาหนดข้อบังคับคุรุสภาว่า ด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ .ศ.2556 สรุปประเด็นสาคัญของผู้ ประกอบวิชาชีพครูได้
ว่า ครูต้องประพฤติปฏิบัติตามข้อกาหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณภาพที่พึงประสงค์ ตาม มาตรฐานความรู้
และประสบการณ์วิชาชีพครู มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน โดยผู้ ประกอบวิชาชีพครู
ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ากว่า ปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภา รับรอง โดยมี
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้ (ก) มาตรฐานความ รู้ประกอบด้วยความรู้ ดังต่อไปนี้ 1)
ความเป็นครู2) ปรัชญาการศึกษา 3) ภาษาและวัฒนธรรม 4) จิตวิทยาสาหรับครู 5) หลักสูตร 6) การจัดการ
เรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 8) นวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศ
ทางการศึกษา 9) การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 10) การประกันคุณภาพการศึกษา 11) คุณธรรม
จริยธรรม และจรรยาบรรณ (ข) มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ตาม
หลักสูตร ปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่า หนึ่งปีและผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติ การสอนตาม
หลักเกณฑ์วิธี การและเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภา กาหนดดังต่อไปนี้ 1) การฝึกปฏิบัติ วิชาชีพระหว่าง
เรียน 2) การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ นอกจากนั้น ผู้ประกอบวิชาชีพครู ต้องมี
มาตรฐานการ ปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้ 1) ปฏิบัติ กิจกรรมทางวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
2) ตัดสินใจปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน 3) มุ่งมั่น พัฒนาผู้เรียนให้เติบโตเต็มตาม
ศักยภาพ 4) พัฒนา แผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้จริงในชั้นเรียน 5) พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มี
ประสิทธิภาพอยู่เสมอ 6) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์โดยเน้น ผล
ถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน 7) รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ 8) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่
ดีแก่ผู้เรียน 9) ร่วมมือกับ ผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ 10) ร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์
11) แสวงหาและใช้ข้อมูล ข่าวสารในการพัฒนา 12) สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ และผู้
ประกอบวิชาชีพครู ต้องมี
มาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่า
ด้วย จรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556 (สานักงานเลขาธิการคุรุสภา 2556 : 11-22) นอกจากคุรุสภาที่เป็น
องค์กรวิชาชีพในการกากับดูแลให้ผู้ ประกอบวิชาชีพครูเป็นไปตามมาตรฐาน วิชาชีพครูแล้วยังมีหน่วยงานที่
ดูแลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่ง ได้กาหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา
แห่งชาติพ.ศ. 2552และนาเสนอกรอบแนวคิด การผลิตครูยุค ใหม่ (สานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา ,
2554: 6-7) ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (learning outcomes) หรือความสามารถ หลัก (core
competencies) ของผู้เรียนเป็นสาคัญ ได้ผสมผสานแนวความคิด เรื่องการเรียนรู้และทักษะใน ศตวรรษที่ 21
ไว้ด้วย รวมทั้งเสนอให้มีระบบ สนับสนุนการผลิตครู ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ทั้งการออกแบบ หลักสูตรที่
สอดคล้องกับ เกณฑ์ มาตรฐานหลักสูตร กรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และ มาตรฐาน
วิชาชีพครูของกระทรวงศึกษาธิการ การพัฒนาวิชาชีพครูและ การสร้างสภาพแวดล้อม สนับสนุนการ ผลิตครู
ยุค ใหม่โดยกาหนดมาตรฐานผลลัพธ์ การเรียนรู้ครูยุค ใหม่ดังนั้น 1)ด้านคุณธรรม จริยธรรม แสดงออก ซึ่ง
พฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม และ จรรยาบรรณวิชาชีพครูมีคุณธรรมที่เสริมสร้างการพัฒนา ที่ยั่งยืนมี
ความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความเข้าใจผู้อื่น เข้าใจโลก มีจิตสาธารณะเสียสละและเป็นแบบอย่างที่ดี
สามารถจัดการและคิดแก้ปัญหาทางคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครูเชิงสัมพัทธ์ โดยใช้ดุลยพินิจ
ทาง ค่านิยม ความรู้สึกของผู้อื่นประโยชน์ของสังคมส่วนรวม 2) ด้านความรู้มีความรอบรู้ในด้านความรู้ทั่ว ไป
การ เรียนรู้ใน ศตวรรษที่21 วิชาชีพครูและวิชาที่จะสอนอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งและเป็นระบบ มีความตระหนัก
รู้ หลักการและทฤษฎีในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างบูรณาการ ทั้งการบูรณาการ ข้ามศาสตร์และการบูรณา
การกับโลกแห่งความเป็นจริง มีความเข้าใจความก้าวหน้าของความรู้เฉพาะด้านในสาขาวิชาที่จะสอนอย่าง
ลึกซึ้ง ตระหนักถึงความสาคัญของ งานวิจัยและการวิจัยในการต่อยอดความรู้มีความสามารถ ในการคิด
วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าองค์ความรู้ และสามารถ นาไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานวิชาชีพครู
อย่างมี ประสิทธิภาพ 3)ด้านทักษะทางปัญญา สามารถคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง คิดค้นหาข้อเท็จจริง ทาความ
เข้าใจ และ ประเมินข้อมูลสารสนเทศและแนวคิด จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อใช้ใด้ในการปฏิบัติงาน
การวินิจฉัย แก้ปัญหาและทา การวิจัยเพื่อ พัฒนางานและองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองคิดแก้ปัญหาที่มีความ
สลับซับซ้อน เสนอ ทางออกและนาไปสู่การแก้ไขไดอย่างสร้างสรรค์โดย คานึงถึงความรู้ทางภาคทฤษฎี
ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ และผลกระทบจากการตัดสินใจ มีความเป็นผู้นาทางปัญญา ในการคิดพัฒนางาน
อย่างสร้างสรรค์มีวิสัยทัศน์มี ความคิดริเริ่มและการพัฒนาศาสตร์ทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์รวมทั้งการ
พัฒนาทางวิชาชีพอย่างมีนวัตกรรม มาตรฐานผลลัพธ์ การเรียนรู้ของครูยุค ใหม่ 4) ด้านทักษะความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลและ ความรับผิดชอบ มี ความไวในการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น มีมุมมองเชิงบวก มี
วุฒิภาวะทางอารมณ์และทางสังคม มี ความเอาใจใส่ช่วยเหลือและเอื้อต่อการแก้ปัญหาในกลุ่ม และระหว่าง
กลุ่มได้อย่าง สร้างสรรค์มีภาวะผู้นา และผู้สอนตาม ที่ดีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน และมีความรับผิดชอบ ต่อ
ส่วนรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม 5) ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการ
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความไวใน การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารทั้งที่ เป็นตัวเลขเชิงสถิติหรือคณิตศาสตร์
ภาษาพูด- เขียน อันมีผลให้สามารถเข้าใจ องค์ความรู้ หรือประเด็นปัญหา ได้อย่างรวดเร็ว มีความสามารถใน
การใช้ดุลยพินิจที่ดีในการประมวลผล แปล ความหมาย และเลือกใช้ข้อมูล สารสนเทศโดยใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศได้อย่างสม่าเสมอ และต่อเนื่อง มี ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูดการ
เขียน และนา เสนอด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสม สาหรับบุคคลและกลุ่มที่มีความแตกต่างกัน 6)ด้านทักษะการ
จัดการเรียนรู้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ ที่มีรูปแบบ หลากหลาย ทั้งรูปแบบที่เป็นทางการรูปแบบ
กึ่งทางการและ รูปแบบไม่เป็นทางการอย่าง สร้างสรรค์มีความเชี่ยวชาญ ในการจัดการเรียนรู้สา หรับผู้เรียนที่
หลากหลาย ทั้งผู้เรียน ที่มีความสามารถพิเศษ ผู้เรียนที่มีความสามารถ ปานกลาง และผู้เรียนที่มีความต้องการ
พิเศษอย่างมีนวัตกรรม มีความเชี่ยวชาญใน การจัดการเรียนรู้ในวิชาเอกที่จะสอน อย่างบูรณาการ มี
ความสามารถใช้ภาษาต่างประเทศ ในการเรียนการสอน สามารถจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะ ที่จาเป็นต่อการ
เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จากมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ของ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาทั้ง 6 ด้าน
ดังกล่าวข้างต้นมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สภาพสังคมและทักษะที่สาคัญในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง
เป็นความสามารถสาคัญที่ครูต้องสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อ สร้างทักษะที่จาเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
นอกเหนือจากความสามารถด้านอื่นๆ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันผลิตครูที่เปิดสอน
ทั้งในระดับปริญญาตรีระดับ ประกาศนียบัตรและระดับปริญญาโท ซึ่งหลักสูตรในแต่ละระดับได้รับการรับรอง
จากสานักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา และคุรุสภา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู เป็น
หลักสูตรซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้จบ การศึกษาสาขาอื่นแล้วต้องการเป็นครู สามารถศึกษาต่อยอดโดยจะศึกษา
เฉพาะวิชาชีพครูตามมาตรฐาน และ ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี เมื่อสาเร็จ
การศึกษาแล้วสามารถใช้คุณวุฒิในการขอรับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ตามแนวทางที่คุรุสภากาหนดได้
ทั้งในปีการศึกษา 2557 คุรุสภาได้กาหนดให้ เปิดรับเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพครูในหน่วยงานต้นสังกัดต่างๆ ที่
ยังไม่มีคุณวุฒิปริญญาทางการศึกษา เข้าศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครูโดยต้องได้รับการ
รับรองจากสถานศึกษาว่าได้ทาการสอนจริง เพื่อ แก้ปัญหาให้กับครูที่สอนในสถานศึกษาแต่ไม่มีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพครูเนื่องจากสถานศึกษาไม่สามารถ สรรหาผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูมาดาเนินการ
สอนได้ (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาในการประชุมครั้งที่1/2557 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 และ
ครั้งที่2/2557 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557) จากการที่ผู้วิจัยเป็นผู้สอนรายวิชาการจัดการเรียนรู้และการ
จัดการชั้นเรียน (Learning and Classroom Management) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 ซึ่งเป็น
รายวิชาที่คุรุสภากาหนดสาระความรู้และสมรรถนะของ ผู้ประกอบวิชาชีพครูตามมาตรฐานความรู้
ประกอบด้วยสาระความรู้5 สาระ คือ 1) หลักการแนวคิด แนวปฏิบัติ 5 เกี่ยวกับการจัดทาแผนการเรียนรู้ การ
จัดการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ 2) ทฤษฎีและรูปแบบการ จัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิด
วิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และแกปัญหาได้ 3) การบูรณาการการเรียนรู้แบบ เรียนรวม 4) การจัดการชั้นเรียน
5) การพัฒนาศูนย์การเรียนในสถานศึกษา และได้กาหนดสมรรถนะให้ ผู้เรียนมีความสามารถจัดทา แผนการ
เรียนรู้และนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลจริงและสามารถสร้างบรรยากาศการจัดการชั้นเรียนให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาดังกล่าวพบว่า นักศึกษามีปัญหาในการจัดทา แผนการจัดการเรียนรู้การ
ออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การกาหนดวิธีการและเครื่องมือการวัดและ ประเมินผล โดยเฉพาะการ
จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์และ แก้ปัญหาได้ จากการไปนิเทศ
การปฏิบัติการสอนนักศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 ซึ่งได้สัมภาษณ์ แบบเจาะลึก (Indepth
Interview) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูพี่เลี้ยงของนักศึกษาอาจารย์นิเทศที่นิเทศ พบว่าผู้บริหารสถานศึกษา
และครูพี่เลี้ยง ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกัน สรุปได้ว่า นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพครูส่วน ใหญ่ขาดความรู้
และทักษะในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มักจะสอนโดยการบรรยายมากกว่า การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้เนื่องจากเกรงว่า จะสอนเนื้อหาไม่ทัน มีปัญหาในการการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเฉพาะ
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สามารถออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุตาม จุดประสงค์
หรือวัตถุประสงค์ที่กาหนดการวัดและประเมินผลส่วนใหญ่ให้ผู้เรียนทาแบบฝึกหัดและ แบบทดสอบ ไม่
สามารถออกแบบวิธีการและเครื่องมือการวัด และประเมินผลให้สอดคล้องกับ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้
ตลอดจนไม่มีการผลิตสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งสอดคล้องกับ รายงาน
การวิจัย สภาพปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา การจัดการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียนใน
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา , 2552: ค-ง) ซึ่งสรุปสภาพและปัญหา การ
จัดการเรียนการสอนด้านครูผู้สอนพบว่า การจัดการเรียนการสอนของครูส่วนใหญ่เน้นการบรรยายและยัง ใช้
สื่อนวัตกรรมการสอนน้อยโดยครูยังใช้การสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางไม่นิยมใช้สื่อการเรียนการสอนและ
นวัตกรรม ครูส่วนใหญ่จัดทา แผนการจัดการเรียนรู้แต่ไม่ได้จัดการเรียนรู้ตามแผน สอนตามความเคยชินและ
ประสบการณ์เดิม ครูส่วนหนึ่งใช้แผนการจัดการเรียนรู้ของสานักพิมพ์เอกชน แต่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนตามแผนดังกล่าว สาหรับสภาพและปัญหาด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้สื่อการ
เรียนการสอนไม่หลากหลายส่วนใหญ่ใช้สื่อที่เป็นหนังสือแบบเรียนมากเกินไป ไม่ใช้สื่อประกอบการสอน ครู
ขาดความรู้และทักษะในการผลิตพัฒนาและเลือกใช้สื่อการเรียน การสอน ส่งผลให้สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ใน
การเรียนการสอนไม่เหมาะสมกับผู้เรียน และสภาพและปัญหาด้านการวัดและประเมินผลการเรียน พบว่า ครู
ใช้วิธีการวัดและประเมินผลไม่เหมาะสม ทั้งนั้นเนื่องจากครูส่วนหนึ่งขาดความรู้ความเข้าใจในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนที่เหมาะสม ขาดทักษะในการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวัดและประเมินผล การสร้าง
ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการวัดด้านความรู้ความจา และจากการศึกษางานวิจัยเรื่องการศึกษาสภาพและปัญหา
การ 6 เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ในโรงเรียนเอกชนระดับ ประถมศึกษาสังกัดสานักบริหารงาน
คณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานครเขต 3 (นิวัตร คามี, 2549: บทคัดย่อ ) พบว่าผล
การ เปรียบเทียบครูผู้สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญในโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษา สังกัดสานักบริหารงาน
คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานครเขต 3 จาแนกตามภูมิหลังของครูผู้สอน ดาเนินการ
วิจัยเชิงสารวจจากกลุ่มตัวอย่างครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนระดับ ประถมศึกษา สังกัดสานักบริหารงาน
คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 3 ปี การศึกษา 2547 จานวน
359 คน ผลการวิจัยเปรียบเทียบครูผู้สอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ ในโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษา พบว่า
สภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ของครูผู้สอนที่จบวุฒิทางครูกับผู้ไม่จบวุฒิทางครูแตกต่างกัน
ปัญหาในการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญของครูผู้สอนที่จบวุฒิ ทางครูกับผู้ไม่จบวุฒิ ทางครูแตกต่าง
กัน
แนวคิดการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition
ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษา
ประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู โดยศึกษาวิเคราะห์แนวทางพัฒนาหลักสูตรของ ทาบา (Taba, 1962) SU
Larning Model มาตรฐานวิชาชีพครู พ .ศ. 2556 มาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ
.ศ. 2552 แนวคิดการวิจัยในชั้นเรียน (Research in effective learning environment ) การออกแบบการ
เรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for learning) และได้นาแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอน
สตรัคติวิส์ (Constructivist
Learning Method : CLM) ซึ่งประกอบด้วยการทาความกระจ่างชัดในความรู้การเลือกรับและ
ทา ความเข้าใจสารสนเทศใหม่ และการตรวจสอบทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ตลอดจนได้ศึกษา 3P’s Model
ของ Biggs (2003) SU Larning Model และได้ศึกษาการกาหนดเกณฑ์การประเมินการเรียนรู้โดยใช้ SOLO
Taxonomy และได้ศึกษาแนวคิดการจาแนกวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ตามแนวคิดของมาร์ซาร์โน (Marzano
Taxonomy) ในด้าน cognitive domain ซึ่งทาให้ผู้เรียนสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายหรือภาระงานและ
สามารถควบคุม กากับดูแลการปฏิบัติงาน ภาระงาน ชิ้นงาน ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้ โดยผู้เรียนจะต้องมี
ความรู้ ความเข้าใจ การสังเคราะห์ และการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ดังภาพประกอบการเปรียบเทียบ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ Blooms Taxonomyและ Marzano Taxonomy ดังนี้
จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้DRU Model ประกอบด้วย 3
ขั้นตอนดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัย
และ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนด ภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นา เสนอเป็นแผนการ
จัดการ 8 เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้นตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความ
ต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือก
เนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตาม ขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่าง ชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและ ความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญ ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการ จัดการเรียนรู้ไปใช้ให้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ไดความรู้(Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งใน ขั้นตอนนั้นก็ศึกษาจะมีการเลือกรับและทา ความเข้าใจข้อมูลใหม่ทา ให้
นักศึกษามีการรู้คิด (meta cognition) และ กากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in
effective learning environment ประกอบด้วย ขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผน
แก้ปัญหา 3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U:
Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้อง
และนาความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ในการ วางแผน
และออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผู้วิจัยไดสังเคราะห์แนวคิด
ทฤษฎีและนา เสนอเป็นแบบจาลอง การจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU Model ดังภาพประกอบ ที่ 2
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด
วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development)มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูล
พื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 12) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14) เพื่อประเมินผลและ
ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2)
เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลัง
การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยทา
หน้าที่เป็นครูผู้สอน โดยออกแบบและดาเนินการจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ว21102 สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้ (Constructivist
Learning Process) รูปแบบการสอนตามทฤษฎี DRU Model เพื่อให้นักเรียนมีทักษะทักษะความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น
ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนาเสนอเป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU
Model ดังภาพประกอบ ที่ 3.1
ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร ทาบา (Taba,
1962) และ SU Model
2.มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญา สาขาครุศาสตร์
และหรือสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี)
3. มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และ
ปรับปรุง
5. หลักสูตรการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
6. การกาหนดระดับความเข้าใจในการกาหนดค่าระดับ
คุณภาพการเรียนรู้ตามแนวคิด SOLO Taxonomy
รูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู
ทฤษฎี/แนวคิด ขั้นตอน/กิจกรรม การเรียนรู้
Constructivist Clarifying exist
knowledge
Identifying receiving and
understanding new
information
Confirming and using
new knowledge
Biggs’s 3P Presage Process Product
Research
Learning
วิเคราะห์
จุดหมาย
ในการ
เรียนรู้
วางแผนการ
เรียนรู้
การพัฒนา
ทักษะการ
เรียนรู้
การสรุป/การ
วิพากษ์
ความรู้
ประเมินการเรียนรู้
SU Learning การ การ ปฏิบัติการการเรียนรู้ (การ การประเมินการเรียนรู้
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการ
สอน
1. Meyers and other (2002) Meyers and
Mcnulty(2009)
2. Bigg’s 3 P Model (2003)
3. Zvia and Yehudit (2008)
4. สุเทพ อ่วมเจริญ ประเสริฐมงคลและวัชรา เล่าเรียนดี
(2559)
5. ชูสิทธิ์ ทินบุตร (2556)
6. พงศ์ธนัชแซ่จู(2554)
แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้
และการจัดการชั้นเรียน
1. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
(Constructivism)
2. Constructivist learning Method: CLM
3. แนวคิดมิติใหม่ทางการศึกษาของมาร์ซาโน
(Meta cognitive system and Marzano’
New Taxonomy)
4.แนวคิดการจัดการเรียนรู้ Bigg s3’p Model
5. แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
(Universal Design for Learning : UDL)
6. SU Learning Mod
Model วางแผน
การเรียนรู้
ออกแบบ
การเรียนรู้
เรียนรู้+การจัดการชั้นเรียน)
DRU Model D: การวินิจฉัยและ
ออกแบบการเรียนรู้
(Diagnosis of needs)
R: การใช้วิจัยเพื่อพัฒนา
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งในที่นี้
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
(Research in effective
learning environment )
U: ขั้นการประเมิน
ตรวจสอบทบทวนตนเอง
และการยืนยันความ
ถูกต้องและนาความรู้ใหม่
ที่ได้รับจากขั้น
R(Universal Design for
learning )
ภาพประกอบที่ 3.1 กรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition
ระยะที่1 การวิจัย (Research :R ) เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการจาเป็นโดยการวิเคราะห์
(Analysis :A) ที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้
ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
วัตถุประสงค์
1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2. เพื่อวิเคราะห์สภาพความคาดหวังมาตรฐานและผลการเรียนรู้ของหลักสูตรกับสภาพความเป็นจริง
ในการการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีมาก่อน
3. เพื่อสังเคราะห์แนวคิดหลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
4. เพื่อศึกษาวิเคราะห์ ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐาน วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยสอบถามครูผู้สอน
วิชาวิทยาศาสตร์
5. เพื่อศึกษา ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการกิจกรรมรู้
ส่งเสริมเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิธีดาเนินงาน
1. ศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่คาดหวังกับสภาพที่เป็นจริง เพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีมาก่อน ผู้วิจัยได้เอกสาร
หลักสูตรสถานศึกษา โดยดาเนินการทบทวนข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อนามาสู่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดย
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบาย การจัดการศึกษา สถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยกากับดูแล
ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ศึกษาความพร้อมของสถานศึกษาโดยนากรอบและทิศทางของ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิเคราะห์สภาพที่คาดหวังและตัวชี้วัดของหลักสูตร
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กับสภาพที่เป็นจริงของการจัดการศึกษาการเรียน
การสอนวิทยาสาสตร์ ผลการประเมินในระดับชาติ (การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (O-NET) และการ
ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (A-NET) โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาและ
การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับชาติ (PISA) รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐาน
วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการสัมภาษณ์อาจารย์ที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ อย่างไม่เป็นทางการ
2. ระบุเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ประเด็นที่ต้องนาไปสู่เป้าหมายและผลลัพธ์
ที่พึงประสงค์
3. สังเคราะห์แนวคิด หลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ การส่งเสริมความสามารถในการคิดเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ของ
นักเรียนผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและหลักการทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการ
พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยศึกษาวิเคราะห์แนวคิด หลักการ การ
วิจัยและพัฒนา (Research and Development:R&D) ออกแบบการสอนอย่างมีวิจารณญาณนาแนวคิด
เกี่ยวกับการคิดมีวิจารณญาณของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน มาสังเคราะห์และสรุปเป็นแนวคิด
4. ศึกษาวิเคราะห์ ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน โดยใช้วิธีทดสอบความรู้พื้นฐานก่อนการ
เรียนเรื่องบรรยากาศ แล้วดาเนินการทบทวนความรู้ให้กับผู้เรียนหลังจากนั้นดาเนินการสอบความรู้พื้นฐาน
ผู้เรียนอีกครั้งและให้นักเรียนทาแบบวิเคราะห์ผู้เรียนด้วยตนเองรวมถึงวิเคราะห์ผู้เรียนจากการสอบถามความ
คิดเห็นของครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ยมาเพื่อนามาหาข้อสรุป
5. ศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์โดยสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการแนวคิด หลักการทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดสาหรับ การ
พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
1. แบบวิเคราะห์เอกสาร จานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสารข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบาย
การจัดการศึกษาและผลการศึกษา สภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอนวิชา
วิทยาศาสตร์ 2) แบบวิเคราะห์เอกสารแนวคิด หลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เรื่อง
บรรยากาศเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. แบบสอบถามความต้องการจาเป็นของครูผู้สอนวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย
3. แบบสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการกับผู้เชี่ยวชาญในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
ดาเนินการดังนี้
1. แบบวิเคราะห์เอกสารทั้ง 3 ฉบับ ดาเนินการสร้างเช่นเดียวกัน ดังนี้
1.1 ศึกษาเอกสาร ตาราเกี่ยวกับวิธีการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสาร
1.2 สร้างแบบวิเคราะห์เอกสารโดยกาหนดประเด็นการวิเคราะห์เอกสารจาแนกเป็นสภาพที่คาดหวัง
และสภาพที่เป็นจริง
1.3 นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความ
เหมาะสมของแบบวิเคราะห์เอกสารเชิงทฤษฎีและนาไปปรับปรุงแก้ไข
1.4 นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน เพื่อ
ตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) โดย
ใช้แบบประเมินความสอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวิเคราะห์เอกสารซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณ
ค่า (Ratting scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสาร กาหนด
เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธ์,2555:179)
ระดับที่ 5 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
ระดับที่ 4 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมาก
ระดับที่ 3 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง
ระดับที่ 2 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อย
ระดับที่ 1 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อยที่สุด
การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของแบบวิเคราะห์เอกสารที่ใช้ใน
การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เชิงนโยบายการจัดการศึกษาข้อมูลเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและผลการศึกษา
สภาพที่คาดหวังและสภาพที่คาดหวังปละสภาพที่เป็นจริงในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ แนวคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนการส่งเสริม
ความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ สังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดแบบจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัว
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์ความคิดเห็นของ
คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสารตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้ว
นามาแปลความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธ์,2555:196)
ค่าเฉลี่ยคะแนน 4.50-5.00 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยคะแนน 3.50-4.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมาก
ค่าเฉลี่ยคะแนน 2.50-3.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง
ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.50-2.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อย
ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.00-1.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อยที่สุด
พิจารณาค่าความเหมาะสม/สอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ไม่เกิน 1.00 ซึ่งแสดงแบบวิเคราะห์เอกสารที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้องสามารถนาไปใช้เก็บ
รวบรวมข้อมูลได้
1.5 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของ
คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/
สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสาร อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย
(̅) ตั้งแต่ 3.50-5.00 และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00-0.89 ซึ่งแสดงว่าแบบวิเคราะห์ที่
พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถนาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้
จากขั้นตอนการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสารที่ใช้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและ
ผลการศึกษา สภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอน สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แนวคิด หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ดังแผนภาพที่ 8
ศึกษาเอกสาร ตารา เกี่ยวกับวิธีการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสารต่างๆ
สร้างแบบวิเคราะห์เอกสารโดยกาหนดประเด็นการวิเคราะห์เอกสารจาแนกเป็นสภาพที่คาดหวังและสภาพที่
เป็นจริง
นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมแบบ
วิเคราะห์เอกสารเชิงทฤษฏีและนาไปปรับปรุงแก้ไข
นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5คน เพื่อตรวจสอบ
ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity)และความตรงตามเนื้อหา(Content Validity)
นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ตรวจสอบหาคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ
ผู้เชี่ยวชาญและนาไปวิเคราะห์เอกสาร
ภาพที่ 8 แสดงขั้นตอนการแสดงแบบวิเคราะห์เอกสาร
2. แบบวิเคราะห์ผู้เรียน ใช้แบบที่สถานจัดขึ้นในงานนิเทศภายในโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย
3. แบบสอบถามผู้สอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
สาหรับเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ ดังนี้
3.1 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูรายวิชาวิทยาศาสตร์
3.2 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฏีเกี่ยวกับที่เกี่ยวข้องกับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริม
สร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1เพื่อนามากาหนดเป็นกรอบในการสร้างแบบสอบถาม
3.3 กาหนดประเด็นคาถามในแบบสอบถาม
3.4 สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริม
การคิด และจิตวิทยาศาสตร์ แล้วนาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ
ความเหมาะสมของแบบสอบถามและนาไปปรับปรุงแก้ไข
3.5 นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตาม
โครงสร้างและความตรงตามเนื้อหา โดยใช้แบบประเมินความสอดคล้องเชิงโครงสร้างแบบสอบถาม ซึ่งมี
ลักษณะเป็นมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาสม/สอดคล้องกับ
แบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนา
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการประเมินค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นแบบสอบถาม ตามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ แล้ว
นามาแปลตามเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมาย เช่นเดียวกันกับการ
ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวิเคราะห์เอกสาร
3.6 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการสอบถาม อยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายการประเมิน
ทั้งในประเด็นของข้อมูลผู้รับการสอบถาม ขั้นตอนการสอบถามและขั้นตอนการสรุป มีความสอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 4.58-5.00 และค่าตัวเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00-0.45 ซึ่งแสดงว่าแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถ
นาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้
จากขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานมีวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ
จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดและจิตวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังภาพที่ 3.2 แสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม
วิธีดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ใช้แบบวิเคราะห์เอกสารในการศึกษาข้อมูลเชิงนโยบายการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิเคราะห์สาระมาตรฐาน ตัวชี้วัด ผล
การเรียนรู้ ตามสภาพที่เป็นจริงที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน และสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
กับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมีวิจารณญาณและจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังเคราะห์เป็นกรอบ
แนวคิด
2. ใช้แบบสอบถามในการวิเคราะห์ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ
จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ โดยการสอบถามครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์สังกัด
องค์การบริหารส่วนจังหวัดกรุงเทพมหานครฯ และสอบถามผู้เชี่ยวชาญที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้
แบบสอบถาม อย่างไม่เป็นทางการ
ศึกษาเอกสาร ตาราเกี่ยวกับการสร้างแบบสอบถาม
ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวความคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
กาหนดโครงสร้างและประเด็นการสอบถาม
สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการคิดมีจิต
วิทยาศาสตร์ แล้วนาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและนาไปปรับปรุงแก้ไข
นาแบบสอบถามนาเสนอผู้เชี่ยวชาญ 5 เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct
Validity) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)
นาแบบสอบถามที่ตรวจสอบหาคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและนาไปปรับปรุงแก้ไขตาม
ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญแล้วนาไปใช้ในการสัมภาษณ์
การวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้
1. การหาคุณภาพเครื่องมือ โดยผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ความตรงตาม
โครงสร้าง (Construct Validity) ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) และประเมินความสอดคล้องเชิง
โครงสร้าง ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย ( ̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความ
เหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่เกิน 1.00 ส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะนามา
วิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
2. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและผล
การศึกษา ทั้งสภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ การศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความคิดและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการ
คิดแบบมีจิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญ
ระยะที่ 2 การพัฒนา (Development: D1) เป็นการออกแบบพัฒนา (Design and Development: D
& D) การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน
ผู้วิจัยได้พัฒนาและหารูปแบบ ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนโดยนาข้อมูลที่ได้จาก ระยะ
ที่ 1 มาพัฒนาเป็นโครงร่างรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ รายวิชาเคมี เพื่อส่งเสริมความสามารถใน
การคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา
รูปแบบและด้านการสอนวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ จานวน 30 คน
ตรวจสอบคุณภาพของโคร่งร่างรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้ แล้วนาไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบความ
เป็นไปได้และประสิทธิภาพก่อนนาไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง
วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาร่างร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิขาเคมีที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณ
และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือที่ใช้ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบ
ข้อมูล
วิธีการดาเนินการ
การดาเนินการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมี
วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี
รายละเอียดดังนี้
1. พัฒนาร่างรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดมี
วิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยนาข้อมูลที่เป็นผลวิเคราะห์ข้อมูล
พื้นฐานในระยะที่ 1 มาใช้ในการสังเคราะห์ร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model
:YPF Model)
2. พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด
มีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
(DRU Model: YPF Model)
จานวน 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนและแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
3. ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เพื่อยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และเครื่องมือ
ที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญ
4. ตรวจสอบประสิทธิภาพของร่างรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูล โดยการทดลองใช้ภาคสนาม
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด
วิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีดังนี้
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์
และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 1 (DRU Model :YPF Model)
2. เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด
วิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการสอนและ
แผนจัดการเรียนรู้
3. เครื่องมือที่ใช่ในการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) จานวน 3 ฉบับ คือ
แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนและแบบวัดทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาดาเนินการ ดังนี้
1. การสังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์
จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ดาเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1.1 นาข้อมูลพื้นฐานที่ได้ศึกษาวิเคราะห์ในระยะที่ 1 มาใช้ในการสังเคราะห์รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model: YPF
Model) ซึ่งประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์
องค์ประกอบเชิงกระบวนการและองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้
องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย หลักการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับ
ความรู้ใหม่นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิดมีวิจารณญาณ
หลักการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการ
เรียนรู้ กระบวนการคิดมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ และการสร้างองค์ความรู้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
องค์ประกอบเชิงกระบวนการ แบ่งการดาเนินเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
2.1 ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อมผู้เรียน (Prepare leaners)
2.2 ขั้นที่ 2 ปรับเปลี่ยนความคิด (Turning ideas)
2.3 ขั้นที่ 3 เรียนรู้สิ่งใหม่ (Learn something new)
2.4 ขั้นที่ 4 ปะยุกต์ใช้ความรู้ (Application of Knowledge)
2.5 ขั้นที่ 5 เติมเต็มประสบการณ์ (Complement the experience)
ปัจจัยสนับสนุน: การเตรียมความพร้อมก่อนนารูปแบบไปใช้
1. ผู้สอนต้องศึกษาทาความเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนและ
กระบวนการต่าง ๆ ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งทาความเข้าใจกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการ
เรียนการสอนและกระบวนการต่าง ๆ ทุกขั้นตอน
2. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในด้านรูปแบบ วิธีการสอน เทคนิคการสอน มีทักษะใน
การบริหารจัดการชั้นเรียนและสามารถประเมินผู้เรียนได้ตามสภาพจริง
3. ผู้สอนต้องมีการเชื่อมโยง ทักษะการใช้เหตุผล ทักษะการใช้กระบวนการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ การใช้คาถามและการนาทักษะเหล่านี้สู่ผู้เรียน
1.2 นารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิต
วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model: YPF Model) ที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
และความเหมาะสมเชิงทฤษฎีแล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข
1.3 นารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิต
วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการ
พัฒนารูปแบบและด้านการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ จานวน 5
คน เพื่อตรวจสอบสอบความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) โดยใช้แบบประเมิน
ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ/สอดคล้องเชิงโครงสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ซึ่งมี
ลักษณะเป็นมาตราส่วนค่า 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบ
ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมและองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แต่ละองค์ประกอบเชิง
หลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการและองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ การ
ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างกาหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์,
2555:179 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558)
ระดับ 5 หมายถึง มีความสอดคล้องมากที่สุด
ระดับ 4 หมายถึง มีความสอดคล้องมาก
ระดับ 3 หมายถึง มีความสอดคล้องปานกลาง
ระดับ 2 หมายถึง มีความสอดคล้องน้อย
ระดับ 1 หมายถึง มีความสอดคล้องน้อยที่สุด
การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้ ผลการประเมินพิจารณาจากค่า (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/
สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมและองค์ประกอบของ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้และองค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิง
กระบวนการและองค์ประกอบเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ ตามความคิดของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปล
ความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์, 2555: 196 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558)
ค่าเฉลี่ยคะแนน 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยคะแนน 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยคะแนน 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง
ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
พิจารณาความเหมาะสม/สอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่
เกิน 1.00 ซึ่งแสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถ
นาไปทดลองใช้ได้
1.4 นาข้อมูลที่รวบรวมได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่า เฉลี่ย( และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ทุกรายการประเมิน ทั้งในประเด็นการกาหนด องค์ประกอบในรูปการจัดการ
เรียนรู้ในภาพรวมการกาหนดองค์ประกอบรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมควบคุมความ
ต้องการจาเป็นของการส่งเสริมความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ องค์ประกอบของ
รูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์สอดคล้องส่งเสริมซึ่งกันละกัน องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้แต่ละองค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ หลักการและวัตถุประสงค์
หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แสดงให้เห็นจุดเน้นในการจัดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์มีความเหมาะสม
ชัดเจน สามารถแสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดในตัวผู้เรียน หลักการและวัตถุประสงค์มีความเหมาะสมชัดเจน
สามารถแสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดในตัวผู้เรียน 2) องค์ประกอบเชิงกระบวนการ กระบวนการจัดการเรียนรู้มี
ขั้นตอนครบถ้วน เหมาะสมและสอดคล้องต่อเนื่องกัน ขั้นตอนการเรียนการสอนมีความเหมาะสมสามารถ
นาไปใช้จัดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับหลักการและ
วัตถุประสงค์ 3) องค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ ปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ความสอดคล้องกับ
หลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความเหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ค่าความ
เหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 3.60 – 4.80 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.50 –
0.60 ซึ่งแสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมสร้างทักษะการคิดมีวิจารณญาณ และจิต
วิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF
Model ) ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/ สอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ นอกจากนี้แล้ว
ผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขในเรื่องความชัดเจนของข้อความและความถูกต้องของภาษาที่ใช้ จัดประสบการณ์
กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการคิด โดยระบุขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปทดลองใช้
สรุปการปรับปรุงร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมี
วิจารณญาณ และมีจิต วิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
(DRU Model :YPF Model )
บทบาทครู
 วางแผน
1. แผนการจัดการเรียนรู้
2. สื่อวนวัตกรรม สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
3. เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้
1. กาหนดวัตถุประสงค์
1.1 ความรู้
1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1.3 จิตวิทยาศาสตร์
2. กิจกรรม/ภาระงาน
2.1 กิจกรรมเพื่อให้รู้จุดประสงค์การเรียนรู้
2.2 เสาะหาหรือสืบค้นเพื่อบรรลุกิจกรรม
2.3 นาเสนอ และ วิพากษ์
3. วัดผล
3.1 ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
3.2 ประเมินตนเองในความรู้ กระบวนการและจิตวิทยาศาสตร์
3.3 การตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง
บทบาทนักเรียน
ความรู้
abcd Y = Your Identify กระบวนการ
(ตอบคาถาม) จิตวิทยาศาสตร์
adfe P = Praxis/practice เสาะหาหรือสืบค้น
(สรุปความรู้/วิพากษ์)
ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน
bcfe F = Formative evaluation
ประเมินตนเองในความรู้กระบวนการและจิตวิทยาศาสตร์
2. พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้และแผนจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการดังนี้
2.1 ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตารา และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง
คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้
2.2 สร้างคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 4 แผนการ
จัดการเรียนรู้ ดังนี้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 คาบที่ 1 เรื่อง องค์ประกอบของบรรยากาศ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 คาบที่ 2 เรื่อง อุณหภูมิของบรรยากาศ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 คาบที่ 3 เรื่อง การแบ่งชั้นบรรยากาศ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 คาบที่ 4 เรื่อง ความดัน ความกดอากาศของบรรยากาศ
2.3 นาคู่มือการใช้รูปแบบการจัดเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความ
ถูกต้องและความเหมาะสมเชิงทฤษฎีแล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข
2.4 นาคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 30 คน เพื่อ
ตรวจสอบความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการ
จัดการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง
โครงสร้างของสาระสาคัญในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือและแนวทางในการนามารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้
ซึ่งสาระสาคัญในคู่มือ ประกอบด้วยแนวทางในการนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนไปใช้ ซึ่งสาระสาคัญใน
คู่มือประกอบด้วยแนวทางในการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ ความเป็นมาและความสาคัญของรูปแบบ
การสอน แนวคิด หลักการและทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการสอน องค์ประกอบของรูปแบบการเรียน
การสอน ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและ
ประเมินผล รวมทั้งรายละเอียดในคู่มือมีความชัดเจนเพียงพอที่จะทาให้ผู้ที่ต้องการนารูแบบการเรียนการสอน
ไปใช้เข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ของรูปแบบการเรียนการสอน ทราบถึงสิ่งที่ต้องศึกษา จัดเตรียมและใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนนี้ในการดาเนินการเรียนการสอนอย่างราบรื่นและบรรลุตามจุดมุ่งหมาย แนวทางในการนา
รูปแบบการเรียนการสอนไปใช้มีความชัดเจน เพียงพอ สาหรับการนาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิด
ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนและใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแผนการจัดการ
เรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้/
สอดคล้องสาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อ
การเรียนการสอนและการประเมินผล การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย (̅) และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของสาระสาคัญในคู่มือรายละเอียดในคู่มือ
และแนวทางในการนารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ สาระสาคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การ
เรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรม การเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล
ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปลความหมายเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ
แล้วนามาแปลความหมายเช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการ
เรียนการสอน
2.5 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่า (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/
สอดคล้องของสาระสาคัญในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือและแนวทางในการนารูปแบบการ
เรียนการสอนไปใช้ระดับมากที่สุดทุกรายการ ประเมินค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่
4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ตั้งแต่ 0.00 - 0.89 ซึ่งแสดงว่าคู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการ
สอนที่พัฒนาขึ้นมีความเหมะสม/สอดคล้อง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยได้รับปรับปรุง
แก้ไขเรื่องความชัดเจนของข้อความและภาษาที่ใช้เพิ่มเติมรายละเอียดในขั้นการนาเสนอเนื้อหา จัด
ประสบการณ์การเรียนรู้และกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยระบุขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมี
วิจารณญาณให้ชัดเจน ตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปไปทดลองใช้และได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความ
เหมาะสม/สอดคล้องของสาระสาคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการ
เรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล อยู่ในระดับมากทีสุดทุก
รายการประเมินค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
ตั้งแต่ 0.00 - 0.55 ซึ่งแสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้ ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถนาไป
ทดลองใช้ได้
2.6 นารูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ
การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุง
แก้ไขแล้วไปหาประสิทธิภาพ (E1/E2) โดยทดลองภาคสนาม (Field Tryout) ประเมินประสิทธิภาพของ
กระบวนการ (E1) และประสิทธิผล (E2) ใช้เกณฑ์ทดลอง 75/75 ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปี
การศึกษา 2559 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน โดยภาพรวมได้ค่าประสอทธิภาพของ
รูปแบบการเรียนการสอนเท่ากับ 73.22/74.89 ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบ
การจัดการเรียนรู้เท่ากับ 72.22/73.89
3. พัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) จานวน 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์
แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนและแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีขั้นตอนการพัฒนา ดังนี้
3.1 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ เน้น
กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียน
อธิบายวิธีการคิดและแสดงวิธีทา
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ระบุประเด็นปัญหาหรือ
ประเด็นในการคิด 2) ประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจากการคิดทางกว้าง การคิด
ทางลึกซึ้ง การคิดอย่างละเอียด การคิดในระยะไกล 3) วิเคราะห์ข้อมูล 4) พิจารณาทางเลือกโดยพิจารณา
ข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่หลากหลาย 5) ลงความคิดเห็น/ตัดสินใจ/ทานาอนาคตโดยประเมินทางเลือก
และใช้เหตุผลคิดคุณค่า (ชนาธิป พรกุล, 2554:283 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558)
วิธีการดาเนินการ
1. ศึกษาเอกสาร ตารา และวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความสามารถในการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์
และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
2. วิเคราะห์สาระสาคัญ เนื้อหา และผลการเรียนรู้
3. สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ระหว่างเรียน จานวน 15 ข้อ ซึ่งเป็น
แบบทดสอบเลือกตอบ ให้นักเรียนใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ โดยระบุประเด็นปัญหา หรือประเด็นในการคิด
ประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจาก การคิดกว้าง การคิดอย่างลึกซึ้ง การคิดอย่าง
ละเอียด การคิดในระยะไกล นาข้อมูลที่ได้จากกระบวนการคิดมาวิเคราะห์ พิจารณาทางเลือกโดยใช้เหตุผล
ระบุทางเลือกที่หลากหลาย จึงลงความเห็น/ตัดสินใจ/ทานายอนาคต โดยประเมินทางเลือกและใช้เหตุผลคิด
คุณค่า
ผู้วิจัยกาหนดเกณฑ์ในการประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีลักษณะเกณฑ์ให้คะแนน
(Scoring Rubrics) 3 ระดับ โดยประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มี 5 ขั้นตอน คือ 1) ระบุประเด็น
ปัญหาหรือประเด็นในการคิด 2) ประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจากการคิดทาง
กว้าง การคิดทางลึกซึ้ง การคิดอย่างละเอียด การคิดในระยะไกล 3) วิเคราะห์ข้อมูล 4) พิจารณาทางเลือกโดย
พิจารณาข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่หลากหลาย 5) ลงความคิดเห็น/ตัดสินใจ/ทานาอนาคตโดยประเมิน
ทางเลือก และใช้เหตุผลคิดคุณค่า ดังตาราง 3.1
ตาราง 3.1 เกณฑ์การประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คะแนน เกณฑ์การพิจารณา
1. ความสามารถในการระบุประเด็นปัญหาหรือ
ประเด็นในการคิด
3 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง
ชัดเจนมาก
2 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง
ชัดเจนบ้าง
1 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง
ชัดเจนน้อย
2.ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่
เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและคิดทางกว้าง
3 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง
ละเอียด และคิดไกล
2 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง
ละเอียด และคิดไกลบ้าง
1 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง
ละเอียด และคิดไกลน้อย
3. ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล 3 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ
จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ
ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมทั้งหมด
2 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ
จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ
ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมบางขั้นตอน
1 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ
จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ
ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมน้อย
4. ความสามารถในการพิจารณาทางเลือกโดย
พิจารณาข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่
หลากหลาย
3 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย
และมีการประเมินได้อย่างถูกต้อง
2 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย
และมีการประเมินได้ถูกต้องบางขั้นตอน
1 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย
และมีการประเมินได้อย่างถูกต้องไม่ครบทุก
ขั้นตอน
5. ความสามารถในการลงความคิดเห็น ตัดสินใจ
ทานาอนาคตโดยประเมินทางเลือก และใช้
3 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา
อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้ถูกต้องและครบ
เหตุผลคิดคุณค่า ทุกขั้นตอน
2 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา
อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้บางขั้นตอน
1 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา
อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้ไม่ครบทุก
ขั้นตอน
ตาราง 3.2 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์
(คะแนนเต็ม 60)
ความหมาย
51 - 60 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับสูงมาก
41 - 50 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับสูง
31 - 40 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับปานกลาง
21 - 30 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับพอใช้
0 - 20 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับน้อย
4. นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องเหมะสมของแบบทดสอบเชิงทฤษฎี แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข
5. นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดชั้นสูงด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว
ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity)
ความตรงตามเนื้อหา (Contcnt Validity) โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ
แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
(Rating Scale) ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหา ขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง
โครงสร้างของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 เรื่อง บรรยากาศ ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของ
คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหา ขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณและภาษาที่ใช้ตาม
ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปลความหมายตามเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาของ
ผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมายเช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/ความสอดคล้องเชิงโครงสร้าง
ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
5.1 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมะสม/
สอดคล้อง (̅) ตั้งแต่ 4.05 - 5.00 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตั้งแต่ 0.00 – 0.50 ซึ่งแสดงว่าแบบทดสอบ
วัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง ภาษาที่ใช้และรูปภาพ
ประกอบตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปทดลองใช้
5.2 นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในการทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนที่เรียนวิชานี้มาแล้ว มาเลือกอย่างเจาะจง ( Purposive Sampling ) จานวน
35 คน เพื่อนาคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ต่อไป
5.3 นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้ (Tryout) มาวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบรายข้อหาดัชนีค่า
ความยาก ค่าอานาจจาแนกและวิเคราะห์หาคุณภาพด้านความเชื่อมั่นจากสัมประสิทธิ์ แอลฟา (Alpha
Coefficient) ได้ค่าความยากตั้งแต่ 0.56 – 0.73 ค่าอานาจจาแนก ตั้งแต่ 0.44 – 0.75 และค่าความเชื่อมั่น
เท่ากับ 0.76
จากขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สรุปได้ดังภาพ 3.3
ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและกรอบแนวคิด
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้านทักษะความรู้และ
จิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
วิเคราะห์สาระสาคัญ เนื้อหา และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งเป็นแบบทดสอบการตอบคาถาม เน้น
กระบวนการคิดอย่างมีกระบวนการความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่สร้างขึ้น
เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของแบบทดสอบเชิงทฤษฎี แล้วนาไป
ปรับปรุงแก้ไข
นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ปรับปรุง
แก้ไขแล้ว ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง
( Construct Validity ) และความตรงตามเนื้อหา ( Content Validity )
นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ปรับปรุง
แก้ไขแล้ว ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ไปทดลองใช้ ( Tryout ) แล้วนาคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์คุณภาพ
ข้อสอบรายข้อ หาค่าดัชนีค่าความยาก ค่าอานาจจาแนก และวิเคราะห์หาคุณภาพด้านความเชื่อมั่นจาก
สัมประสิทธิ์แอลฟา ( Alpha Coefficient )
ภาพที่ 3.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
3.2 แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ใช้วัดคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัย
ของผู้เรียนที่ใช้ความคิดในการทางานซึ่งประเมินได้จากการประเมินตนเองของนักเรียน ประกอบด้วย
องค์ประกอบที่ใช้วัดจิตวิทยาศาสตร์ 6 ด้าน คือ ความสนใจใฝ่รู้ จานวน 4 ข้อความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน
และเพียรพยายาม จานวน 7 ข้อ ความมีระเบียบและรอบคอบ จานวน 8 ข้อ ความมีเหตุผล จานวน 8
ข้อความใจกว้าง จานวน 5 ข้อ ความซื่อสัตย์ จานวน 6 ข้อ รวม 37 ข้อ โดยกาหนดความรู้สึกหรือการปฏิบัติ
ดังนี้
5 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับมากที่สุด
4 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก
3 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับปานกลาง
2 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับน้อย
1 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับน้อยที่สุด
การแปลความหมายของคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ กาหนดเกณฑ์ ดังในตาราง
ตาราง 3.3 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนจิตวิทยาศาสตร์
คะแนนจิตวิทยาศาสตร์ ความหมาย
4.50 – 5.00
3.50 – 4.49
2.50 – 3.49
1.50 – 2.49
1.00 – 1.49
มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูงมาก
มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูง
มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับปานกลาง
มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพอใช้
มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับควรปรับปรุง
วิธีดาเนินการ
1. ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ และกรอบแนวคิด
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ จากแบบวัดจิตพิสัยของสถาบันส่งเสริมการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ (สสวท, 2555) ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าอานาจ จาแนกรายข้อของแบบ
วัด หาโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน มีค่าตั้งแต่ 0.20 – 0.66 ความเที่ยงตรงตามสภาพ มีค่า
เท่ากับ 0.72 และค่าความเชื่อมั่นซึ่งหาจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาค เท่ากับ 0.867 ได้แบบวัดจิต
วิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ใช้วัดจิต
วิทยาศาสตร์ 6 ด้าน คือ ความสนใจใฝ่รู้ ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม ความมีระเบียบ
และรอบคอบ ความมีเหตุผล ความใจกว้าง ความซื้อสัตย์ รวม 38 ข้อ
3. แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตาม
เนื้อหา (Content Validity) และความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) โดยใช้แบบประเมินความ
เหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า
(Rating scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินกับ
องค์ประกอบที่ใช้วัดจิตวิทยาศาสตร์ ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของ
คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินกับองค์ประกอบที่ใช้วัดจิต
วิทยาศาสตร์ ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง
โครงสร้างของรูปแบบการเรียนการสอน
4. นาข้อมูลที่รวบรวมกับผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ย (̅) 4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00 – 0.55 ซึ่งแสดงว่าแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/
สอดคล้อง สามารถนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลได้ นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขภาษาทีใช้ตามคาแนะนา
ของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
5. นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้
(Tryout) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จานวน 37 คน โดยเลือกมาอย่างเจาะจง
(Purposive Sampling) เพื่อนาคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ต่อไป
6. นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้ (Tryout) มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟา
(Alpha Coefficient) ของคอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.804
จากขั้นตอนการสร้างแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์สรุปได้ดังภาพที่ 3.4
ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
พัฒนาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555)
นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง ( Construct
Validity ) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)
นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องและปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของ
ผู้เชี่ยวชาญ ไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ภาพที่ 3.4 ขั้นตอนการสร้างแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์
3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสอบถามความ
พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating
Scale) 5 ระดับ ใช้ประเมินความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1(PTLAC Model) โดยกาหนดระดับพึงพอใจ ดังนี้
5 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
4 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
3 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง
2 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย
1 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด
การแปลความหมายของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนรู้ กาหนดในตาราง
ตารางที่ 3.4 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้
คะแนนความพึงพอใจของนักเรียนที่
มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ความหมาย
4.50 – 5.00
3.50 – 4.49
2.50 – 3.49
1.50 – 2.49
1.00 – 1.49
ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด
ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมาก
ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับปานกลาง
ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับน้อย
ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับน้อยที่สุด
วิธีดาเนินการ
1. ศึกษาเอกสาร ตารา ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
2. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยประยุกต์ความคิดเห็นของ ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี และแบบ
ประเมินความพึงพอใจตามแบบของงานนิเทศภายในโรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา”
3. นาแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรง ตาม
โครงสร้าง และความตรงตามเนื้อหา โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ
แบบสอบถามความพึงพอใจ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับประเมินความเหมาะสม/
สอดคล้องของเนื้อหา ภาษาที่ใช้ในข้อความประเมินกับองค์ประกอบด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้และ
พฤติกรรมจิตวิทยาซาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ
แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการประเมินพิจารณาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนน
ความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินองค์ประกอบด้านรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้และพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมายเช่นเดียวกันกับ
การประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
4. ข้อมูลที่รวบรวมได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความ
เหมะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยความเหมาะสม/สอดคล้อง (̅) ตั้งแต่ 4.60 –
5.00 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00 – 0.89 แสดงว่า แบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้
ประยุกต์ขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้องสามารถนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลได้
5. นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้
กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 37 คน เพื่อนาคะแนนที่ได้ไป
วิเคราะห์ต่อไป
6. นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.843
จากขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจสรุปได้ดังภาพที่ 3.5
ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยของชมนาด เชื่อสุวรรณทวี และ แบบประเมินของงานนิเทศโรงเรียนวัดมะพร้าว
เตี้ยมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นให้ครอบคลุมและตรงประเด็น
นาสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจความตรงตามโครงสร้าง ( Construct
Validity ) และความตรงตามเนื้อหา ( Content Validity ) แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข
นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องและปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของ
ผู้เชี่ยวชาญไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ภาพที่3.5 ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ
จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ในขั้นที่ 2 การพัฒนา ( Development:DI) เป็นการ
ออกแบบและพัฒนา (Design and Development: D&D) ผู้วิจัยพัฒนาและหารประสิทธิภาพรูปแบบการ
จัดการเรียนรู้
ตาราง 3.5 สรุปการดาเนินการวิจัยขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาการพัฒนา (Development:DI) เป็นการออกแบบ
และพัฒนา (Design and Development: D&D) ผู้วิจัยพัฒนาและหารประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้
วัตถุประสงค์การ
วิจัย
วิธีดาเนินการ แหล่งข้อมูล/
กลุ่มตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้
ในการทาวิจัย
การวิเคราะห์
ข้อมูล/สถิติที่ใช้
ผลที่ได้รับ
1. เพื่อพัฒนา
รูปแบบ 5 การ
จัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์เพื่อ
เสริมสร้างทักษะ
การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ
และจิต
วิทยาศาสตร์วิชา
วิทยาศาสตร์
เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 1
1.1 สังเคราะห์
รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์เพื่อ
เสริมทักษะการ
คิดอย่างมี
วิจารณญาณ
และจิต
วิเคราะห์
เอกสาร
เอกสารข้อมูล
พื้นฐานที่ได้
วิเคราะห์ใน
ขั้นตอนที่ 1
แบบวิเคราะห์
เอกสาร
การวิเคราะห์
เนื้อหา
โครงร่างการ
จัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะการคิดมี
วิจารณญาณ
และจิต
วิทยาศาสตร์
วิชา
วิทยาศาสตร์
เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1
วิทยาศาสตร์ของ
นักเรียน
1.2 ตรวจสอบ
คุณภาพเพื่อ
ยืนยันความ
เหมาะสมของ
รูปแบบการ
จัดการ
ตรวจสอบ
ความตรงตาม
โครงสร้าง
ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การพัฒนา
รูปแบบ
แบบประเมิน
ความ
เหมาะสม/
สอดคล้องเชิง
โครงสร้าง
หาค่าเฉลี่ยโดย
ใช้เกณฑ์ตั้งแต่
3.50 ขึ้นไป
รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้
(โครงร่าง) ผ่าน
การตรวจสอบ
ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (Research: R2) เป็นการนาไปใช้ (Implementation: I)
การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการพัฒนาและหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ แล้วไปใช้
กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ที่เป็นกลู่มทดลองโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย จานวน 34 คน
โดยผู้วิจัยประยุกต์ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The
One-Group Pretest-Possttest Design) ข้อมูลเชิงคุณภาพได้จากการสะท้อนพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ของ
ผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนโดยครูเป็นผู้บันทึกและจากการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนก่อนเรียน
ระหว่างเรียน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะการการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-
คณิตศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย ได้มาโดยเลือกอย่าง
เจาะจงมา 1 ห้องเรียน จานวน 30 คน ดาเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างในช่วง 9-20 กุมภาพันธ์ 2559
แบบแผนการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยประยุกต์ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว มีการทดสอบก่อนเรียนและ
หลังเรียน
แบบแผนการทดลองเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอน
O1 X O2
O1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน
X หมายถึง การเรียนโดยการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ส่งเสริมทักษะความรู้และจิตวิทยา
ศาสตร์
O2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน
วิธีดาเนินงาน
หลังจากการดาเนินการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินงานวิจัยดังต่อไปนี้
1. การดาเนินการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีขั้นตอนดังนี้
1.1 ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
1.2 ทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแผนที่กาหนด
1.3 ผู้วิจัยประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนก่อนเรียนเพื่อสะท้อนจิตวิทยาศาสตร์ในระหว่างเรียน และ
หลังเรียน
1.4 ทดสอบระหว่างเรียนเพื่อศึกษาพัฒนาการการคิดอย่างมีทักษะความรู้ และพัฒนาจิต
วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
2. การทดสอบหลังเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลหลังจากการใช้รูปแบบการเรียนรู้
เสร็จสิ้น
เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วยคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้
3. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความสามารถในการคิดแบบมีความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 3 ฉบับ
ดังนี้
3.1 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ
3.2 แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์
3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เรียนรู้
จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ในขั้นตอนที่ 3 การวิจัย เป็นการนาไปใช้ ผู้วิจัยนา
รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
DRU Model (YPF) ไปทดลองใช้ สรุปดังตารางที่ 14
ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D2) เป็นการประเมินผล (Evaluation : E) การประเมินและ
ปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้วิจัยใช้แนวคิดวิจัยและพัฒนา ในขั้นของการพัฒนา (Development : D2) เป็นการประยุกต์รูปแบบ
การสอนการสร้างองค์ความรู้ การดาเนินงานวิจัยในขั้นตอนนี้เป็นการนาผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการ
เรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนที่ 3 โดยนาผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของรูปแบบ ได้แก่ ความสามารถในการ
คิดอย่างมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
วิธีการดาเนินงาน
1. เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและ
หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
2. ศึกษาพัฒนาการความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโดยใช้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลาระหว่างเรียน
3. ศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
4. ปรับปรุงรายละเอียดของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และ
จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ DRU Model (YPF)
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในขั้นตอนนี้ ประกอบด้วย
1. วิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดและวิธีการเชิงระบบ
2. วิเคราะห์ผลการด้านความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
โดยใช้ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test dependent
3. วิเคราะห์ผลด้านจิตวิทยาศาสตร์ โดยใช้ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
4. วิเคราะห์พัฒนาการความสามารถในการคิดอย่างมี ทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
ในช่วงระหว่างเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
5. วิเคราะห์พัฒนาการด้านจิตวิทยาศาสตร์ ในช่วงระหว่างเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D)
6. วิเคราะห์ผลด้านความพึงพอใจของนักเรียน ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง
บรรยากาศ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ การวิเคราะห์เนื้อหา
จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D2) เป็น
การประเมินผล (Evaluation : E) การประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้
บทที่4
ผลการคิดวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยเรื่องพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดเพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เป็นวิจัยและพัฒนา(Research and Development) มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
เป็นการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
ตอนที่1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
ตอนที่2 ผลการออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) และ
ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ตอนที่3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF)
ตอนที่4 ผลการประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้วิจัยศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาโดยวิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัดของ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และศึกษาวิเคราะห์
สิ่งที่คาดหวังกับสภาพที่เป็นจริงเพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีก่อน(Prerequissite Skills) โดยศึกษาวิเคราะห์
เป้าหมาย มาตรฐาน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551วิเคราะห์สภาพที่คาดหวังตามมาตรฐานและตัวชี้วัดของ
หลักสูตร สมรรถนะผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน และจิตวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน รวมทั้ง
วิเคราะห์สภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยศึกษาจากงานวิจัย สานัก
วิชาการและมาตรฐานการศึกษา,2546ก,2546ข,2548ก,2548ข; สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,2547;
สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล,2548;สุวิมล ว่องวานิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย,2547;
Nutravong, 2002; Kittsunthom, 2003 ,อ้างถึงในกระทรวงศึกษาธิการ ,2552:1) และจุดเน้นของ
กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่21 รวมทั้งผลการทดสอบระดับชาติ
(O-Net, GAT/PAT) หรือการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการ PISA และTIMSS)สถิติและ
ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตามนโยบายของรัฐในส่วนของมตราการการเพิ่มผลสัมฤทธิ์
ทางการศึกษา (Measure of Achievement)ทุกระดับชั้น ผลการทดสอบต่างๆสะท้องถึงสถานการณ์การ
เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยล้าหลังกว่านานาชาติถึง2ปี ตามที่ไทยได้เข้าร่วมสมาชิกของสมาคม
นานาชาติ เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา(International Association For the Evaluation of
Education Achievement หรือ IEA) เมื่อปี พ.ศ. 2511 ล่าสุด สสวท. ได้เข้าร่วมศึกษาแนวโน้มการจัด
การศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับนานานชาติ พ.ศ.2554 (Trends in International
Mathematics and Science: TIMSS 2011) ไทยมีคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์451 คะแนน อยู่ในอันดับ
25 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมิน 45 ประเทศ หากเปรียบเทียบการประเมินTIMSS 2007 กับปี 2011 ของ
ไทยในภาพรวมพบว่าคะแนนเฉลี่ยของไทยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยในปี2011 วิชา
คณิตศาสตร์ลดลง 14 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ลดลง 20คะแนน โดยวิชาคณิตศาสตร์เฉลี่ยลดลง441ในปี
2007เหลือ 421 ในปี2011 และวิชาวิทยาศาสตร์คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก471 ในปี 2007เหลือ451ในปี2011ถูก
จัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่(poor) ทั้ง2วิชา (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.2556:1-13)เมื่อเปรียบเทียบการ
ประเมินนักเรียนในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ(PISA)ที่มีประเทศสมาชิกOECD และประเทศนอก
กลุ่มสมาชิกOECDซึ่งเรียกว่าประเทศร่วมโครงการ ทั้งหมดประมาณ90% ของเขตเศรษฐกิจโลก โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษา สาหรับประเทศสมาชิกและประเทศร่วมโครงการ
ประเมินทุกสามปีเป็นการประเมินความรู้และทักษะความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ได้แก่ การรู้(
Literacy) การอ่าน (Reading Literacy) คณิตศาสตร์(Mathematies Literacy) และวิทยาศาสตร์(Scietific
Literacy) ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมรับการประเมินตั้งแต่แรกจนครบสามครั้ง ในการประเมินรอบแรก(Phase
1 : PIAS 2000 PAIS 2003 และ PAIS 2006) และปัจจุบันเป็นการประเมินรอบสอง (Phase 2 : PIAS 2009
PAIS 2012 และ PAIS 2015) การประเมินแต่ละครั้งสามารถให้ข้อมูลคุณภาพทางการศึกษาของชาติ ซึ่งผู้ที่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายและสาธารชนควรต้องได้รับรู้ว่าระบบการศึกษาของเราได้เตรียมความพร้อม
เยาวชนของชาติให้พร้อมจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพมีสมรรถนะในการแข่งขันเทียบกับประชาคมโลก ในครั้ง
ล่าสุดคือ PISA 2012 ผลการประเมินในภาพรวมของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่50จาก 65 ประเทศสมาชิก มี
คะแนนต่ากว่าเฉลี่ย OECD ทั้งสามประเทศซึ้งชี้นัยว่าคุณภาพการศึกษาของไทยยังห่างไกลความเป็นเลิศ
ความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษายังคงเป็นภารกิจสาคัญที่ต้องดาเนินต่อไป จุดสาคัญที่พบจุดหนึ่ง
คือการยกระดับนักเรียนกลุ่มต่าให้สูงขึ้น แต่ในระบบการศึกษาไทยกลับมีเหตุการณ์ที่นักเรียนกลุ่มสูงลดต่าลง
ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกวิชา คะแนนเฉลี่ยวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยได้ 444 คะแนนจากค่าเฉลี่ย 501 คะแนน เพิ่ม
สูงขึ้นจากPIAS 2009(คะแนน 425) อย่างมีนัยสาคัญ เมื่อเทียบกับPIAS 2000ก็พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไร
ก็ตาม คะแนนยังคงต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD มากกว่าครึ่งระดับบ่งบอกถึงนักเรียนมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อยู่
ในระดับต่าซึ่งไม่ถึงระดับมาตรฐาน(สถาบันการส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,2556:1-24) การ
ผสมผสานรูปแบบการสอนทฤษฏี กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้จัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 จาเป็นต้องมีทักษะใน
การดารงชีวิต ซึ่งในสภาวะความซับซ้อนทางสังคมในโลกอนาคตยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆผู้เรียนต้องมีทักษะต่างๆตาม
มากขึ้นไปด้วยไม่ว่าจะเป็นทักษะทางภาษา ทักษะการคิดชั้นสูง หากผู้เรียนเข้าใจในธรรมชาติการเรียนรู้และ
เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ในอนาคตยิ่งทวีความสาคัญในฐานะทั้งความรู้ กระบวนการ และวัฒนธรรมร่วมสมัย
ผู้เรียนยิ่งต้องตระหนักในการเรียนวิทยาศาสตร์และเข้าใจว่าศาสตร์ต่างๆ ก็ยังคงนาทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือค้นหาและนาพามนุษย์เข้าถึงความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพัฒนาตามศักยภาพและคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่
หลายหลายนาไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามหลักสูตรการพัฒนาการเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐานมุ่งเน้นพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5
ประการ1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามรถในการแก้ปัญหา 4)ความ
สารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ตลอดมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีลักษณะอันพึง
ประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รัก
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4)ใฝ่เรียนรู้ 5)อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทางาน 7) รัก
ความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ
ผู้วิจัยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) ดังรายละเอียดในตารางที่15
ตารางที่ 15 การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์
สาระสาคัญ
ทักษะความรู้ที่นามาใช้ใน
การพัฒนา
ทักษะกระบวนการ
วิทยาศาสตร์
จิตวิทยาศาสตร์ที่เป็น
จุดเน้นการพัฒนา
1. องค์ประกอบของ
บรรยากาศ
ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ
ความรู้ ทักษะการเชื่อมโยง
ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ
การแก้ปัญหา
1. ความสนใจใฝ่รู้
2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น
อดทน และเพียรพยายาม
3. ความมีระเบียบและ
รอบคอบ
4. ความมีเหตุผล
5. ความใจกว้าง
6. ความซื่อสัตย์
2. อุณหภูมิของบรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ
ความรู้ ทักษะการหาแบบ
แผน
ทักษะการวิเคราะห์
ทักษะการแก้ปัญหา
1. ความสนใจใฝ่รู้
2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น
อดทน และเพียรพยายาม
3. ความมีระเบียบและ
รอบคอบ
4. ความมีเหตุผล
5. ความใจกว้าง
6. ความซื่อสัตย์
3. การแบ่งชั้นบรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ
ความรู้ ทักษะการหาแบบ
แผน
ทักษะการวิเคราะห์
ทักษะความรู้
ทักษะการแก้ปัญหา
1. ความสนใจใฝ่รู้
2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น
อดทน และเพียรพยายาม
3. ความมีระเบียบและ
รอบคอบ
4. ความมีเหตุผล
5. ความใจกว้าง
6. ความซื่อสัตย์
4. ความดัน ความกด
อากาศของบรรยากาศ
ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ
ความรู้ ทักษะการหาแบบ
แผน
ทักษะการวิเคราะห์
ทักษะความรู้
ทักษะการแก้ปัญหา
1. ความสนใจใฝ่รู้
2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น
อดทน และเพียรพยายาม
3. ความมีระเบียบและ
รอบคอบ
4. ความมีเหตุผล
5. ความใจกว้าง
6. ความซื่อสัตย์
ผลการวิเคราะห์สภาพที่เป็นจริงของการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ต่าทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับนานาชาติ รวมทั้งผลทดสอบระดับชาติ (O-Net , GAT/PAT)หรือทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการPTAS และTIMSS) ผลการทดสอบระดับนานาชาติ(O-Net)และ
ทดสอบทางการศึกษาแห้งชาติชั้นสูง (PAT) พบว่าปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งที่ทาให้การศึกษาประสบความสาเร็จ
หรือไม่คือวิธีการสอน หรือวิธีการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอนเพราะหัวใจสาคัญคือการสอนที่จะทาให้นักเรียนมี
ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผล ไม่ใช่แค่ผู้สอนให้ผู้เรียนจาอย่างเดียว ควรสอนให้ผู้เรียน
คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ ประเมินค่า สามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจาวันเพื่อแก้ปัญหา สาเหตุสาคัญที่นักเรียนเรื่อง บรรยากาศ ไม่มีทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์
(สอบถามเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2560 – 20 มกราคม 2560)
1. นักเรียนชอบ/ไม่ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะสาเหตุใด
ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนักเรียน ต่อไปนี้
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะมีการแสดงปรากฏการณ์ ทาให้นักเรียนสนุกได้”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะ ชอบปรากฏการณ์ธรรมชาติ รู้จักสภาพแวดล้อมและมี
เรื่องชวนให้ติดตามใหม่ๆเสมอ”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะได้รู้จักชั้นบรรยากาศต่างๆที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ บางเรื่องเข้าใจง่ายและทาข้อสอบได้ดี”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะเป็นวิชาที่มีการทดลองและคิดวิเคราะห์ผลจากการ
ทดลอง”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะเป็นวิชาที่มีการทดลองทาให้เข้าใจหลักการ
วิทยาศาสตร์”
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะในชีวิตประจาวันเราต้องเจอสภาพแวดล้อม อยากเรียนรู้
ประโยชน์และโทษที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ถูกต้อง”
2. ปัญหาในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ของนักเรียน คือมีหลักการ ทฤษฏี ซึ่งมีการท่องจา
มีรูปภาพเป็นสื่อประกอบที่ค่อนข้างจะยาก รวมทั้งปัญหาในเรื่องพื้นฐานความรู้ที่สามารถนามาวิเคราะห์
โจทย์ได้ได้ ดังข้อมูลจากการสอบถาม ต่อไปนี้
“จาสูตรไม่ได้ ทาให้ไม่สามารถบอกชนิดของชั้นบรรยากาศแต่ละชั้นได้ และคุณสมบัติของแต่ละชั้น และ
การบอกชนิดของเมฆ”
“แก้โจทย์ปัญหาไม่ออก เนื่องจากความรู้พื้นฐาน การวิเคราะห์ การตีความโจทย์ การหาสิ่งที่โจทย์ถาม
ได้ไม่ตรงตามที่กาหนด”
“เนื้อหาเข้าใจยาก ความรู้พื้นฐานที่นามาประยุกต์ใช้มีน้อย ไม่สามารถแก้ปัญหาของการตีโจทย์ได้”
“หลักการเข้าใจยาก ไม่รู้ที่ไปที่มาของแต่ละชั้นว่ามีเมฆชนิดอะไรบ้าง ไม่รู้หลักการดูเมฆ”
“เนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เข้าใจยาก แต่ถ้าหากครูผู้สอนสอนอย่างสนุกสนาน ก็จะทา
ให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่าย มีหลักการคานวณ
“ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ และอยากเรียนให้สนุก รูปแบบของการสอนที่ชอบคือ ฝึกทา
โจทย์ที่หลากหลาย เน้นหลักการวิเคราะห์โจทย์ อยากเรียนแบบคู่บัดดี้”
“อยากให้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เน้นการปฏิบัติการทดลองมากกว่ามีสื่อ Power Point
ประกอบการเรียนการสอน อยากให้มีการมีแบบฝึก ทาก่อนสอบหลังเรียน
“อยากให้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ แบบเร็วบ้าง ช้าบ้าง มีตัวอย่างประกอบไปเรื่อยๆอยาก
ให้มีการคานวณหลายรูปแบบ และมีสื่อ Power Point สรุปเนื้อหาที่สอน”
สอดคล้องกับการสัมภาษณ์ครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
และผู้เชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้
1. รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ควรเป็นอย่างไร
“เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง เสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ เน้นทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ เน้นเทคนิคการเรียนแบบ DRU Model (YPF) การสร้างองค์ความรู้ เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน
การเรียนการสอนและร่วมผลิตสื่อการเรียนการสอน”
2. ทักษะที่ควรเน้นในกิจกรรมการเรียนการสอน ควรมีทักษะอะไรบ้าง
“ทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ คิดแก้ปัญหา และทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์”
3. สื่อประกอบการเรียนการสอนควรเป็นอย่างไร
“เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิด วิเคราะห์ ความรู้ ควรเป็นทั้งสื่อระดาษและสื่อเทคโนโลยี สื่อ Power
Point สื่อวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการทดลอง”
จากปัญหาและสิ่งที่ต้องการที่ได้จากการสอบถามผู้เรียนและผู้สอน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทาให้ผู้วิจัยได้
ออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ขึ้นโดยพัฒนา
รูปแบบการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิจารณญาณและจิต
วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา
(Research and Development)มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 12) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14) เพื่อประเมินผลและปรับปรุง
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2) เพื่อเปรียบเทียบ
ทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยทาหน้าที่เป็น
ครูผู้สอน โดยออกแบบและดาเนินการจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ว21102 สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1โดยมีทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้ (Constructivist Learning
Process) รูปแบบการสอนตามทฤษฎี DRU Model เพื่อให้นักเรียนมีทักษะทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
ตอนที่2 ผลการแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF)
ในขั้นตอนการออกแบบการพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) และพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งตรวจสอบ
คุณภาพและประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย
หลักการ เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการคิด
เสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อ
เสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน
เรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
องค์ประกอบเชิงกระบวนการ ประกอบด้วยการดาเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
องค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้
ปัจจัยที่เอื้อต่อต่อการเรียนรู้: การเตรียมพร้อมในการเรียน สมาธินักเรียนบรรยากาศในการเรียน การ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้และก่อนเรียนการสอนใช้รูปแบบ ผู้เรียนต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานสาหรับการเรียนรู้
เนื้อหาใหม่
ปัจจัยสนับสนุน: การเตรียมความพร้อมก่อนนารูปแบบไปใช้
1. ผู้สอนต้องศึกษาทาความเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการต่างๆ
ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งทาความเข้าใจกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้และ
กระบวนการต่างๆทุกขั้นตอน
2. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในด้านเทคนิควิธีสอนที่ใช้รูปแบบการสอน มีทักษะการสอน การ
บริหารจัดการชั้นเรียนและสามารถประเมินผลตามสภาพจริง
3. ผู้สอนต้องมีทักษะการเชื่อมโยง ทักษะการใช้เหตุผล ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการใช้คาถาม
และสามารถถ่ายทอดทักษะเหล่านี้สู่ผู้เรียน
การดาเนินการ 3 ขั้นตอนของร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF)
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF) ที่พัฒนาขึ้นมาประกอบด้วยการดาเนินการ 3
ขั้นตอนดังนี้ Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
ผลจากการตรวจสอบความเหมาะสม สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) และแก้ไขปรับปรุง
1.การดาเนินการตรวจสอบความเหมาะสม สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน ผลการตรวจสอบ พบว่า รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) ตามแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมมีความ
เหมาะสมสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =5.00, S.D.=0.00) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า การกาหนด
องค์ประกอบของรูปแบบมีความเหมาะสมครอบคลุมความต้องการจาเป็นของการส่งเสริมความสามารถใน
ทักษะทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ และองค์ประกอบของรูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์
สอดคล้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ( ̅ =4.80, S.D.=0.45) เมื่อพิจารณา
องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แต่ละองค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ หลักการของ
รูปแบบที่มีความเหมาะสม สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฏีพื้นฐานสามารถใช้เป็นกรอบในการกาหนดกิจกรรมการ
เรียนการสอน แสดงให้เห็นจุดเน้นในการเรียนการสอน วัตถุประสงค์มีความเหมาะสมชัดเจนสามารถแสดงที่
มุ่งหวังให้เกิดในตัวในตัวผู้เรียนหลักการและวัตถุประสงค์ มีความสอดคล้องความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มี
ความเหมาะสมสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =4.80, S.D.=0.45) สาหรับองค์ประกอบเชิงกระบวนการ
กระบวนการเรียนการสอนเหมาะสมสอดคล้องต่อเนื่องกัน ขั้นตอนการเรียนการสอนมีความเหมาะสม
สามารถทาให้การเรียนการสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ มีความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
( ̅ = 4.80, S.D. = 0.45) นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ปัจจัยเอื้อต่อการเรียนรู้มี
ความเหมาะสมสอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความสอดคล้องมีกระบวนการเรียนรู้
ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม สอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.80, S.D. = 0.45)
2. การปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า ไม่มีข้อใดที่มีค่าความสอดคล้องต่ากว่าเกณฑ์กาหนด (
พิจารณาค่าความสอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไปและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานน้อยกว่า 1.00)
อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้แนะนาผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะผู้เชี่ยวชาญได้เสนอเพิ่มเติมมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุง
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) เพื่อให้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์และ
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้
2.1 ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) โดยแยกวัตถุประสงค์เป็น 4ข้อ
1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
การการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
2.2 ปรับเพิ่มเติมแก้ไขรายละเอียด ในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา
ความสามารถเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1กาหนดขั้นตอนการดาเนินการ 3 ขั้นตอนโดยเพิ่มแนวคิดทฤษฏีที่เน้นการเรียนรู้กลุ่ม
เชื่อมโยงความคิด (Apperception หรือ Herbartiannism) ของแฮบาร์ค หรื (Herbart) เชื่อมโยงแนวคิด
หลักการ ทฤษฏี Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์ของ Bloom (1961) Gardner (1975) เพิ่มเข้าไปในขั้นที่
ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะทักษะ ความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ได้แก่ คู้มือ
การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุงแล้วไปหาสิทธิภาพ
( / ) โดยการทดลองภาคสนามประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ ( ) และประสิทธิภาพ ( )
โดยใช้เกณฑ์75/75ทดลองใช้กับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน ผลการทดลองการใช้
พบว่า โดยภาพรวม ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์
75/75 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 ( รายละเอียดแสดงไว้ในภาคผนวก ฉ)
ตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model
(YPF))
จากการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model (YPF)) ที่ผ่านการหา
คุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 จากการทดสอบใช้ (Try Out) ไปใช้ใน
สถานการณ์จริง (Implement) กับกลุ่มตัวอย่างโดยดาเนินการตามกระบวนการ 3 ขั้นตอนของรูปแบบการ
จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model (YPF)) ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนาเสนอเป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU
Model ดังภาพประกอบ ที่ 2
ภาพประกอบที่ 2กรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition
ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร ทาบา (Taba,
1962)และ SU Model
2.มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญา สาขาครุศาสตร์
และหรือสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี)
3. มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และ
ปรับปรุง
5. หลักสูตรการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
6. การกาหนดระดับความเข้าใจในการกาหนดค่าระดับ
คุณภาพการเรียนรู้ตามแนวคิด SOLO Taxonomy
รูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู
ทฤษฎี/แนวคิด ขั้นตอน/กิจกรรม การเรียนรู้
Constructivist Clarifying exist
knowledge
Identifying receiving and
understanding new
information
Confirming and using new
knowledge
Biggs’s 3P Presage Process Product
Research Learning วิเคราะห์
จุดหมายใน
การเรียนรู้
วางแผนการ
เรียนรู้
การพัฒนา
ทักษะการ
เรียนรู้
การสรุป/การ
วิพากษ์ความรู้
ประเมินการเรียนรู้
SU Learning
Model
การวางแผน
การเรียนรู้
การออกแบบ
การเรียนรู้
ปฏิบัติการการเรียนรู้ (การเรียนรู้+
การจัดการชั้นเรียน)
การประเมินการเรียนรู้
DRU Model D: การวินิจฉัยและออกแบบ
การเรียนรู้
(Diagnosis of needs)
R: การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ (Research in effective
learning environment )
U: ขั้นการประเมินตรวจสอบ
ทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนาความรู้
ใหม่ที่ได้รับจากขั้น
R(Universal Design for
learning )
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการ
สอน
1. Meyers and other (2002) Meyers and
Mcnulty(2009)
2. Bigg’s 3 P Model (2003)
3. Zvia and Yehudit (2008)
4. สุเทพ อ่วมเจริญ ประเสริฐมงคลและวัชรา เล่าเรียนดี
(2559)
5. ชูสิทธิ์ ทินบุตร (2556)
แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้
และการจัดการชั้นเรียน
1. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
(Constructivism)
2. Constructivist learning Method: CLM
3. แนวคิดมิติใหม่ทางการศึกษาของมาร์ซาโน
(Meta cognitive system and Marzano’
New Taxonomy)
4.แนวคิดการจัดการเรียนรู้ Bigg s3’p Model
( ̅ = 4.80 , S.D = 0.45 ) นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ปัจจัยเอื้อต่อการ
เรียนรู้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความสอดคล้องกับ
กระบวนการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม/สอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =
4.80 , S.D = 0.45 )
2. การปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธมยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าไม่มีข้อใดที่มีค่าความสอดคล้องต่ากว่าเกณฑ์
กาหนด (พิจารณาค่าความสอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานน้อยกว่า
1.00 ) อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้แนะที่ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะผู้เชี่ยวชาญได้เสนอเพิ่มเติมมาพิจารณาแก้ไข
ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) เพื่อให้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์มี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้
2.1 ปรับแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยแยกวัตถุประสงค์ออกเป็น 2 ข้อ
1) เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2) เพื่อพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2.2 ปรับแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความรู้
ความสามารถ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 กาหนดขั้นตอนการดาเนินการ 5
ขั้นตอนโดยมีการเพิ่มแนวคิดแนวทฤษฎีที่เน้นการเรียนรู้กลุ่มเชื่อมโยงความคิด (Apperception หรือ
Herbartiannism) ของ เฮบาร์ด (Herbart) เชื่อมโยงแนวคิด หลักการ ทฤษฏีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์ Bloom (1961) Gardner (1975) เพิ่มเข้าไปในขั้นตอนที่ 1) เตรียมความพร้อมผู้เรียน
(Prepare leaners)
ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือประกอบกับการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ
การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโยผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุง
แล้วไปหาประสิทธิภาพ ( E1/E2 ) โดยการทดลองภาคสนามประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และ
ประสิทธิภาพ (E2) โดยใช้เกณฑ์ 75/75 ทดลองใช้กับ มัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม
ตัวอย่าง 30 คน ผลการทดลองการใช้ พบว่า โดยภาพรวม ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้
เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 (รายละเอียดแสดงไว้ใน
ภาคผนวก ฉ)
ตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมี
ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
DRU Model (YPF) ดังนี้
จากการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์
วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ที่ผ่านการหา
คุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 จากการทดลองใช้ (Try Out) ไปใช้ใน
สถานการณ์จริง (Implement) กับกลุ่มตัวอย่างโดยดาเนินการตามกระบวนการ 3 ขั้นตอน ของรูปแบบการ
จัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ดังนี้
Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
การนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ไปทดลองนั้น ผู้วิจัย
ได้ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF)
สรุปได้ดังนี้
1. ความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้
รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้วิจัยเปรียบเทียบผลการประเมินความรู้โดยภาพรวมความรู้ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียน
การสอน โดยการใช้รูปแบบการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) วิเคราะห์ข้อมูลโดย
การหาค่าเฉลี่ย ( ̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) t-test dependent ปรากฎการณ์ดังภาพที่ 16
ตารางที่ 4 ผลการประเมินความรู้โดยภาพรวมของนักเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ความรู้ คะแนนเต็ม n ̅ S.D t
ก่อนเรียน 70 34 6.87 0.45 -80.41**
หลังเรียน 30 34 23.89 1.27
**มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
จากตารางที่ 16 พบว่า หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU
Model (YPF) โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
2. พัฒนาการคิดทักษะความรู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ในช่วงระหว่างเรียน
ผู้วิจัยนาคะแนนจากการทดสอบวัดทักษะความรู้โยภาพรวมความสามารถในการคิดอย่างมีความรู้ วิชา
วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระหว่างเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF)
ตารางที่ 15 ผลการประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF)
ความสามารถใน ระหว่างเรียน
การคิดอย่างมีทักษะ ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ระยะที่ 3 ระยะที่ 4 ระยะที่ 5 ระยะที่ 6
ความรู้
̅ 6.76 10.91 11.18 7.91 9.88 6.97
S.D 0.78 0.83 0.67 0.79 1.75 0.58
รวม ̅ 6.67
S.D 0.45
ตารางที่ 17 พบว่า ความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้โดยภาพรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) พัฒนาขึ้นในแต่ละระยะการเรียนมีความแตกต่าง
กันค่าเฉลี่ย 6.67 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45
3. จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ DRU Model (YPF)
ผู้วิจัยได้ประเมินจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อ
เสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
ผลดังตารางที่ 18
ตารางที่ 16 ผลการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ โดยการประเมินตนเองของผู้เรียนหลังเรียน โดยภาพรวมรายด้าน
ตามเกณฑ์ 5 ระดับ
จิตวิทยาศาสตร์ ̅ S.D ระดับ อันดับที่
1. ความสนใจใฝ่รู้ 4.91 0.19 มากที่สุด 1
2. ความรับผิดชอบ 4.83 0.24 มากที่สุด 6
3. ความมีระเบียบ รอบคอบ 4.86 0.22 มากที่สุด 3
4. ความมีเหตผล 4.88 0.33 มากที่สุด 2
5. ความใจกว้าง 4.86 0.23 มากที่สุด 5
6. ความซื่อสัตย์ 4.90 0.23 มากที่สุด 4
รวม 4.90 0.20 มากที่สุด
จากตารางที่ 18 พบว่า โดยภาพรวมจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF) พัฒนาขึ้นหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย ( ̅ = 4.90 , S.D = 0.20 )
อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความสนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย ( ̅ = 4.90
, S.D = 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด
ตอนที่ 4 ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์หลังเรียน
ผู้วิจัยได้ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิเคราะห์
ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ผลดังตารางที่ 19
ตารางที่ 17 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ข้อ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ
ที่ ̅ S.D ระดับ อันดับที่
ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้
1. นักเรียนได้ทบทวนความรู้พื้นฐานในการ 4.86 0.35 มากที่สุด 5
เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
2. นักเรียนได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้กับครู 4.86 0.34 มากที่สุด 9
และเพื่อน
3. นักเรียนมีโอกาสได้ซักถาม/แสดง 4.95 0.23 มากที่สุด 1
ความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด
4. นักเรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายสรุป 4.86 0.35 มากที่สุด 5
สาระสาคัญในการสร้างองค์ความรู้
5. นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการความรู้ 4.95 0.23 มากที่สุด 1
6. นักเรียนได้ฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
7. ครูใช้สื่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม 4.87 0.52 มากที่สุด 4
8. ครูแจ้งผลการสอบในการสอบแต่ละครั้ง 4.84 0.37 มากที่สุด 10
9. ครูมีปฎิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ 4.89 0.32 มากที่สุด 3
10. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ 4.86 0.35 มากที่สุด 5
เหมาะสมกับเนื้อหา
รวมด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.86 0.23 มากที่สุด
ด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์
11. การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียน
ต้องมีความใฝ่เรียนรู้
12. การจัดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนเพียร
พยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้น
ข้อ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ
ที่ ̅ S.D ระดับ อันดับที่
13. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความ 4.94 0.24 มากที่สุด 1
ละเอียดรอบคอบ ในการทางานมากขึ้น
14. การจัดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนมี 4.82 0.38 มากที่สุด 5
ความชื่อสัตย์มากขึ้น
15. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนเป็นคนมี 4.94 0.24 มากที่สุด 1
ใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
16. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนสามารถ 4.88 0.33 มากที่สุด 4
อธิบายหรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล
รวมพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ 4.91 0.23 มากที่สุด
รวม 2 ด้าน 4.60 0.40 มากที่สุด
จากตารางที่ 19 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model
(YPF) ในภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.60 , S.D = 0.40) และเมื่อแยกรายด้านใน
ภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.91 , S.D = 0.23) ในด้าน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ โยภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.86 , S.D = 0.23) ในด้าน
กระบวนการจัดการเรียนรู้นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม/แสดงความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด และนักเรียนได้
ฝึกทักษะกระบวนการคิดทักษะความรู้ในระดับมากที่สุด เป็นอันดับมากที่สุดและครูแจ้งผลการสอบในการสอบ
แต่ละครั้ง เป็นอันดับสุดท้ายส่วนในด้านพฤติกรรมวิทยาศาสตร์การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนต้องมีความ
ใฝ่เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความละเอียดรอบคอบในการทางานมากขึ้น และการจัดการเรียนรู้
ทาให้นักเรียนเป็นคนมีใจกว้างยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น เป็นอันดับมากที่สุด และการจัดการเรียนรู้ทาให้
นักเรียนเพียรพยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้นตามกาหนด เป็นอันดับสุดท้าย
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย อภิปลาย และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยา
ศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ”สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิเคราะห์และพัฒนา
(Rescarch and Development) มีวัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ
จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะ ความรู้หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ
เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1
เนื้อหาในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาสาระในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในส่วนรายวิชาเพิ่มเติม วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1แผนการเรียน
วิทยาศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ยจานวน 30 คน
ตัวแปรอิสระ คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ตัวแปรตาม คือ ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบ ( DRU Model (YPF)) การจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ
นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การดาเนินการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research and Development)
3 ขั้นตอน คือ
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนด ภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตาม ขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและ ความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญ ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษา
นา แผนการ จัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนา
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of
knowledge) หรือการสร้างความรู้ ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่น
ยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งใน ขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้
นักศึกษามีการรู้คิด (meta cognition) และ กากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in
effective learning environment ประกอบด้วย ขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผน
แก้ปัญหา 3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การ วางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน
ผู้วิจัยได้พัฒนาและหาคุณภาพ ประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดย
ระยะที่ 1 การวิจัย (Research: R) เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการจาเป็น โดยวิเคราะห์
ข้อมูล (Analysis: A)ที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการจัดดารเรียนการสอน
วิชา วิทยาศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ระยะที่ 2 การพัฒนา (Development: D1) การออกแบบและพัฒนา (Design and Development:
D&D)เป็นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้
ระยะที่ 3การวิจัย (Research: R2) การนาไปใช้ (Implementation: I) เป็นการนารูปแบบการเรียนรู้
ที่พัฒนาไปใช้ในสถานการณ์จริง ภาคสนาม
ระยะที่ 4 การพัฒนา (Development: D2) เป็นการประเมินผล (Evaliation: E) เป็นการประเมิน
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ นาเสนอการจัดการเรียนรู้ ผลการทดสอบโดยในการพัฒนารูปแบบ การจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ
สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีเครื่องมือประกอบด้วย คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ผ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ ท ด ส อ บ วั ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร
คิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ แบบสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้
วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้แบบไม่อิสระต่อกัน โดยสรุปผลการวิจัย
อภิปลายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะได้ ดังนี้
สรุปผลการวิจัย
การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 [DRU Model (YPF) ]
สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [DRU Model (YPF)] ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3
องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการ วัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการ และ องค์ประกอบเชิง
เงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ กระบวนการเรียนการสอนจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน
ดังนี้
ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ
ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ
กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ
(diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา
(selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก
ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
(organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว
จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย
ดังกล่าว
ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge)
หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา
(Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา
มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด
กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน
ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง
เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน (สุเทพ อ่วมเจริญ.
2558)ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชียวชาญ 5 คน ได้ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย(X=5.00,
S.D. =0.00) แสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องเชิงโครงสร้าง
สามารถนาไปทดลองใช้ได้ค่าประสิทธิภาพค่าของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่า 77.27/76.61 สูงกว่าเกณฑ์
75/75
2. หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1
[DRU Model (YPF) ] โดยการภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [DRU Model (YPF) ] พัฒนาขึ้นหลังเรียนมี
ค่าเฉลี่ย (X= 4.90, S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านด้านทีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้าน
สนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย(X= 4.91, S.D. = 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ [ DRU Model (YPF) ] ใน
ภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกรายด้านในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์
นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมาก
ที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม/แสดงความคิดเห็น/กระตุ้นให้คิด และ
นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการคิด ความรู้ในระดับมากที่สุด เป็นอันดับมากที่สุดและครูแจ้งผลการสอบใน
การสอบแต่ละครั้ง เป็นอันดับสุดท้าย ส่วนในด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์การเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียน
ต้องมีความใฝ่เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความละเอียดรอบคอบในการทางานมากขึ้น และการ
จัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนเป็นคนมีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นอันดับมากที่สุด และการ
จัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีเพียรพยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้นตามกาหนดเวลา เป็นอันดับสุดท้าย
อภิปรายผล
การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิต
วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1[ DRU Model (YPF) ]
รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [ DRU Model (YPF) ] ที่พัฒนาขึ้นนี้ผ่านการตรวจสอบจาก
เชี่ยวชาญ 5 คน พบว่าในภาพรวม มีความเหมาะสม/สอดคล้องในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ
พบว่าการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบมีความเหมาะสมครอบคลุมความต้องการจาเป็นของการส่งเสริม
ความสามารถใน ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ และ องค์ประกอบของรูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีควมสัมพันธ์
สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิดของแฮร์บาร์ด(Herbart) ทฤษฎีการ
เชื่อมโยงของธอร์นไดด์ (Thorndike) และแนวคิด หลักการ ทฤษฎีเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
ของไดรเวอร์และเบล และ เยเกอร์ (Driver and Bll,1986,Yager,1991)
2.หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง
ทักษะความรู้และจิตวิยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ [DRU Model
(YPF) ] โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งนี้เนื่องจาก
กระบวนการจัดการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะ ความรู้ได้กับเนื้อหาวิชาที่มีซับซ้อนและความคิดอาศัย
หลักการเหตุผล เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ความรู้จากประสบการจริง สอดคล้องกับ วิโรจน์ วิวัฒน์สรรค์.2555
กล่าวว่าความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง สารสนเทศที่นาไปสู่การ
ปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือ
ข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการและความรู้
สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนาไปใช้
ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กาหนดช่วงเวลา (สานักงาน ก.พ.ร.และสถาบัน
เพิ่มผลผลิตแห่งชาติ,2548 : 8) ผลการวิจัยพบว่าความรูหมายถึง พฤติกรรมและสถานการณตางๆ ซึ่งเนนการ
จาไมว่าจะเป็นการระลึกถึง หรือระลึกไดตามเป็นสภาพการณที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการเรียนรูโดยเริ่มตนจาก
การรวบรวมสาระต่าง ๆ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่ขั้นที่มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยความรู้อาจแยกออกเป็น
ความรู เฉพาะสิ่งและความรูเรื่องสากลเป็นต้น(สุมนา ปรุงศักดิ์. 2551)
3.หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [ DRU Model (YPF) ] พัฒนาจิตวิทยาศาสตร์
หลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (X = 4.60 , S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ย
สูงสุดคือ ด้านความสนใจใฝ่ มีค่าเฉลี่ย (X = 4.91 , S.D.= 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจาก
กระบวนการเรียนโดยอาศัยทักษะ ความรู้ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์ ด้านการใฝ่เรียนรู้ สูงสุด
สอดคล้องกันว่า จิตวิทยาศาสตร์เป็นลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดย
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้ประเมินจิตวิทยาศาสตร์ตามแบบประเมินของ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย ซึ่งผู้วิจัยใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ความ
สนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็น
และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุมีผล การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์(ภาวิตา พรมสี
ดา. 2558)
4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ [DRU Model (YPF) ] ในภาพรวม
นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกรายด้านในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียน
เห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ในภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ใน
ด้านนกระบวนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม แสดงความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด และ
นักเรียนได้ฝึกทักษะ ความรู้ในเรื่องนั้นๆ
ข้อเสนอแนะ
จากข้อค้นพบในการวิจัย เรื่อง พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ
ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU
Model)
ข้อเสนอแนะเพื่อนาผลการวิจัยไปใช้
จากผลการวิจัย พบว่า หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้
และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(DRU Model)
นักเรียนมีจิตวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้นในการจัดการเรียนการ
สอนผู้เกี่ยวข้องต้องนารูปแบบนี้ไปใช้
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการวิจัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้
2. ควรมีการวิจัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความแตกต่างระหว่างผู้เรียน

More Related Content

PDF
การออกแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21
PDF
ทักษะชีวิต
PDF
School curiculum
PDF
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
PDF
R บทที่ 1
PDF
แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศั...
DOC
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol
การออกแบบการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21
ทักษะชีวิต
School curiculum
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
R บทที่ 1
แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศั...
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ Pol

What's hot (17)

PDF
แผนพัฒนาตนเองตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
PDF
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
PDF
แผนการพัฒนาตนเอง นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ ปีการศึกษา 2553
PDF
แนวทางการดำเนิน เรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ปีที่ 3
DOC
วิสัยทัศน์ของหลักสูตร
PPT
ครูผู้ซวย 5
DOCX
หลักสูตรเรณูนครฯปี51
PDF
9789740337096
PDF
แบบนำเสนอผลงานวิชาการ
PDF
คู่มือปฏิบัติงานข้าราชการครู
DOC
โครงการจัดทำบัญชีครัวเรือน
PDF
9789740337027
DOC
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
DOCX
บทที่ 7
PDF
Front math m2 _2_
PDF
Road Map นคร Model
แผนพัฒนาตนเองตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
แผนการพัฒนาตนเอง นายกอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ ปีการศึกษา 2553
แนวทางการดำเนิน เรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ปีที่ 3
วิสัยทัศน์ของหลักสูตร
ครูผู้ซวย 5
หลักสูตรเรณูนครฯปี51
9789740337096
แบบนำเสนอผลงานวิชาการ
คู่มือปฏิบัติงานข้าราชการครู
โครงการจัดทำบัญชีครัวเรือน
9789740337027
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน Br
บทที่ 7
Front math m2 _2_
Road Map นคร Model
Ad

Viewers also liked (17)

PPTX
20161027 農糧署 數位行銷關鍵分享
DOC
การวิจัยเชิงสำรวจ
PPTX
Skppp2
PDF
Marketing Emozionale. Come distinguersi e farsi ricordare dagli ospiti grazie...
PPTX
1 video quinta disciplina
PPTX
Concrete Demolition Company in Houston, TX 77070
PPTX
Analisis comparativo organizaciones
DOCX
Matemática
PPTX
Sistemas neumáticos - INTRODUCCIÓN -
PPTX
สายบัดน้อง59
PPTX
PPTX
eusebio jerez
PDF
Lampiran i 1770
PPTX
DOCX
eusebio jerez
ODP
Trabajo tics (1)
20161027 農糧署 數位行銷關鍵分享
การวิจัยเชิงสำรวจ
Skppp2
Marketing Emozionale. Come distinguersi e farsi ricordare dagli ospiti grazie...
1 video quinta disciplina
Concrete Demolition Company in Houston, TX 77070
Analisis comparativo organizaciones
Matemática
Sistemas neumáticos - INTRODUCCIÓN -
สายบัดน้อง59
eusebio jerez
Lampiran i 1770
eusebio jerez
Trabajo tics (1)
Ad

Similar to ว จ ย ร_ปแบบการพ_ฒนาการสอนว_ทยาศาสตร_ (20)

PDF
วิจัยทางการศึกษา
PDF
วิจัยพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจ...
PDF
ชื่อผลงานวิจัย พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะค...
PDF
วิจัยทางการศึกษา
PDF
รายงานผลการจัดการเรียนรู้นวัตกรรมคุณธรรมนำความคิด เรื่องสารละลาย ชั้น ม.1 ครู...
PDF
บทที่ 2
DOC
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
PDF
PDF
สาระน่ารู้กับการสอนคิด
DOC
ทักษะกระบวนการวิทย์
PDF
แบบรายงานการพัฒนานวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามจุด
PDF
รายงานการสังเคราะห์รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
PDF
สถานการณ์ปัญหาพุทธิปัญญานิยม
PDF
สถานการณ์ปัญหาพุทธิปัญญานิยม
PDF
การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดย ครูศรีลักษณ์ ผลวัฒนะ ครูเชี่ยวชาญพิเศษ
PDF
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
PDF
ปาฐกถาพิเศษ “การจัดการเรียนรู้สาหรับศตวรรษที่ 21”
PDF
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
PPTX
การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ มรภ. นครปฐม 610105
วิจัยทางการศึกษา
วิจัยพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจ...
ชื่อผลงานวิจัย พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะค...
วิจัยทางการศึกษา
รายงานผลการจัดการเรียนรู้นวัตกรรมคุณธรรมนำความคิด เรื่องสารละลาย ชั้น ม.1 ครู...
บทที่ 2
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
สาระน่ารู้กับการสอนคิด
ทักษะกระบวนการวิทย์
แบบรายงานการพัฒนานวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามจุด
รายงานการสังเคราะห์รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
สถานการณ์ปัญหาพุทธิปัญญานิยม
สถานการณ์ปัญหาพุทธิปัญญานิยม
การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดย ครูศรีลักษณ์ ผลวัฒนะ ครูเชี่ยวชาญพิเศษ
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
ปาฐกถาพิเศษ “การจัดการเรียนรู้สาหรับศตวรรษที่ 21”
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ มรภ. นครปฐม 610105

ว จ ย ร_ปแบบการพ_ฒนาการสอนว_ทยาศาสตร_

  • 1. ชื่อผลงานวิจัย พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ” สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้ทาวิจัย นายสุริยา จุมพลหลา และคณะ ปี พ.ศ. 2560 สถานศึกษา โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ บทคัดย่อ รายงาน พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยา ศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ” สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อ ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.2) เพื่อ เปรียบเทียบทักษะ ความรู้หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3) เพื่อประเมินจิต วิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การดาเนินการวิจัยใน ครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) ขั้นที่ 2 R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการ จัดการชั้นเรียน ) ขั้นที่ 3 U: Universal Design for learning (เป็นขั้นการประเมิน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย จานวน 30 คน
  • 2. ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (DRU MODEL: YPF MOEDL) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ สร้างขึ้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ค่าประสิทธิภาพค่าของ รูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU MODEL: YPF MOEDL) โดย ภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (DRU MODEL: YPF MOEDL) พัฒนาขึ้นหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (̅ =4.90 , S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาหลายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย (̅ =4.90 , S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ (DRU MODEL: YPF MOEDL) ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกหลายด้าน ในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการ เรียนรู้ ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด
  • 3. บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ปัจจุบันเป็นยุคที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อ เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดารงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสาหรับการออกไปดารงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ที่สาคัญที่สุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (LEARNING Skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กในศตวรรษที่ 21 นี้ มีความรู้ ความสามารถ และทักษะจาเป็น ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียน การสอน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทาให้เกิดการเรียนรู้ดังกล่าว การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกาหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบ และแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับผู้เรียน เพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงใน ปัจจุบัน (ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ และวรางคณา ทองนพคุณ. 2556 : 1-3) สอดคล้องกับนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยีสามารถทางานและอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552 : 2) จึงเกิดการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างต่อเนื่องภายใต้ กฎหมายการศึกษาหลักพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 มีความต้องการจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุก คนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญมากที่สุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาศักยภาพ ส่วนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ได้เน้นให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของผู้เรียนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา และจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติ ให้ทาได้ คิดเป็น รักการอ่านและใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์นั้นต้องให้เกิดทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านวิทยาศาสตร์รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและ
  • 4. ประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบารุงรักษา และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542.2542 : 1-8) จากข้อค้นพบในการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2542 ในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2546ก, 2546ข, 2548ก, 2548ข ; สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2547 ; สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล, 2548 ; สุวิมล ว่อง วานิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย, 2547; Nutravong, 2002; Kittsunthorn, 2003, อ้างถึงใน กระทรวงศึกษาธิการ 2552 : 1) และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลก ยุคศตวรรษที่ 21 จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ กาหนดจุดหมายไว้ 5 ประการ ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฎิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้อัน เป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3) มี สุขภาพกายและสุขภาพที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกาลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็น พลเมืองไทยและพลโลก 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองและพลโลก 5) มีจิตสานึกในการ อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และ สร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข โดยมุ่งหวังพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ คือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ในส่วนของความสามารถในการคิด นั้นเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคม ได้อย่างเหมาะสม มีการพัฒนาอย่างสมดุลโดยคานึงถึงหลักการพัฒนาทางสมองและพหุปัญญา และกาหนด มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และการ แก้ปัญหาที่หลากหลายให้กับผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ จริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552 : 2-13) วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคน ทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์
  • 5. ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดวิจารณญาณ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็น วัฒนธรรมของโลกสมันใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based society) ทุกคนจาเป็นต้อง ได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ ขึ้น สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2551 : 1) เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศในโลกที่สามที่เจริญก้าวหน้าไปได้ดี มักจะมีนโยบายวิทยาศาสตร์ที่ ชัดเจน เป็นรูปธรรม และตัวบ่งชี้ที่วัดและเปรียบเทียบได้ เช่น จานวนนักวิทยาศาสตร์ต่อประชากรพันคน งบประมาณวิจัยค้นคว้า วิทยาศาสตร์เป็นเปอร์เซ็นต์ของผลิตผลรวมมวล ฯลฯ แต่บางประเทศกลับมีนโยบายที่ หน่วงเหนี่ยววิทยาศาสตร์ เป็นต้น ว่านโยบายที่แบ่งวิทยาศาสตร์ออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีบทบาท ในการพัฒนาประเทศ และประเทศที่ไม่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ และรวมการพัฒนาวิทยาศาสตร์มูล ฐาน เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี หรือแม้แต่ ชีววิทยา เข้าไว้ในประเภทหลัง หลักสูตรการเรียนการสอนใน ปัจจุบันของประเทศต่างๆ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้มุ่งไปที่ Knowledge curriculum คาว่า Knowledge ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เรียนรู้ ที่สามารถเปลี่ยนไป ให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ หากสิ่งที่เรียนรู้เปลี่ยนไป ให้มีมูลค่า ทางเศรษฐกิจไม่ได้ ก็จะไม่นับเป็นความรู้ ดังนั้น หลักการสาคัญของการเรียนรู้ คือการเปลี่ยนสิ่งเรียนรู้ให้มี ประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นให้ได้ ดังนั้น ได้มีผู้เสนอแนะว่า การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ควรจะเริ่มด้วยการใช้ ประโยชน์ก่อน และเข้าสู่ทฤษฎีภายหลัง หรืออย่างน้อย ผู้สอนน่าจะสอนในสิ่งที่ผู้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เรียนมีหรือจะ ให้ประโยชน์ แก่นักเรียนอย่างไรบ้าง ในขณะที่ประเทศไทยกาลังพูดถึง Quantum economy ซึ่งการพัฒนา nano computer และนักฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในอนาคตจะมีลักษณะใกล้เคียงกันเข้าไปยิ่งขึ้น (เฉลียว มณีเลิศ. 2557 : 1) รัฐต้องเร่งรัดและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประกอบกันองค์การยูเนสโกในปี 2000 ได้ออกมาเสนอให้พลโลกรู้วิทยาศาสตร์อย่างเพียงพอเพื่อการดารงชีวิตอย่างเป็นสุขและปลอดภัยในโลก ยุคโลกาภิวัฒน์ การพัฒนาให้ทุกคนรู้วิทยาศาสตร์จึงมีความสาคัญในการดารงชีวิต ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ (หัสชัย สิทธิรักษ์. 2551) ดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงเป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็น สังคมแห่งการเรียนรู้ การบูรณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ สอดคล้องกับเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาการทางความคิดในระดับสูง อันจะส่งผลต่อการ พัฒนาความคิดที่มีเหตุผล สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นทักษะสาคัญในการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มิได้มุ่งเฉพาะตัวเนื้อหาความรู้แต่มีความหมายครอบคลุมไปถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย นั่นคือ ผู้เรียนต้องได้รับผลผลิตทั้งเนื้อหาความรู้และ
  • 6. ปลูกฝังกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในเวลาเดียวกัน (วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544 : ค) เพื่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย ผู้เรียนต้องได้ เรียนรู้ผ่านกระบวนการเป็นผู้คิดลงปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการทา กิจกรรมภาคสนาม การสังเกต การสารวจ ตรวจสอบ การทดลองในห้องปฎิบัติการ การสืบค้นข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเกิดขึ้นระหว่างที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมผ่านการทากิจกรรม เหล่านั้นจึงจะมีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนากระบวนการคิดขั้นสูง (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2547 : 9-10) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กาหนดไว้ว่าสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งให้มีการนาความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ใน การศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดวิเคราะห์ คิด สร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ผู้เรียนต้องอาศัยความรู้ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนาพาตนเองไปสู่ เป้าหมายของหลักสูตร สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นสาระที่มีกระบวนการและขั้นตอนในการศึกษา ประเด็นวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียน มักต้องมีการคิดวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ เป็น หลัก โดยจะเริ่มจากการทาความเข้าใจประเด็นปัญหาหรือคาถาม โดยที่เด็กต้องทาความเข้าใจกับสถานการณ์ นั้นอย่างถ่องแท้ มักจะเริ่มด้วยการคิดวิเคราะห์ว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ ไม่ เพียงแต่ความรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน การพัฒนาและปลูกฝังทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็กจะสามารถทาให้เกิด ความเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจาวัน และใช้ความเป็นเหตุและผลในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อีกด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 4-21) การสอนจึงเป็นเรื่องสาคัญอย่างยิ่งในยุคปฏิรูปการศึกษาการ ดาเนินชีวิตที่ประสบความสุข ความสาเร็จ เป็นผลมาจากประสิทธิภาพของการคิดกลวิธี และทักษะ กระบวนการคิดในลักษณะต่างๆ การคิดเป็นกลไกที่สาคัญอย่างอย่างยิ่งในการพัฒนาความสามารถทางสมอง การฝึกทักษะการคิดและกระบวนการคิดจึงเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสติปัญญาของเด็กเพื่อจะได้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2548 : 22) ; สมนึก ภัททิยธนี, จุฑาทิพย์ ชาติสุวรรณ์ และวิภาดา คาดี (2548 : 2) กล่าวถึงการคิดอย่างมีวิจารณญาณไว้ว่า เป็นความคิดประเภทหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องมือสาหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องได้ด้วยตนเอง อีกทั้งเป็นความคิดที่มี จุดมุ่งหมายเพื่อใช้ในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบโดยอาศัยความรู้ ความคิด และประสบการณ์เพื่อ นาไปสู่ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล ดังนั้น การคิดอย่างมีวิจารณญาณส่งผลให้สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาโดย การใช้เหตุผลอย่างถูกต้องเหมาะสมช่วยให้สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกปัจจุบันและอนาคต วิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ซึ่งความรู้ต่างๆ เหล่านี้มีอยู่อย่างมากมาย ดังนั้น เพื่อความเป็นระเบียบจึงต้องมีการจัดความรู้ต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่ตามแต่ ละสาขา เช่น ถ้าเป็นความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจาพวกพืช หรือพรรณไม้ต่างๆ จัดอยู่ในสาขาพฤกษาศาสตร์ ส่วน
  • 7. เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น สัตว์เซลล์เดียวหรือเชื้อจุลินทรีย์ จัดอยู่ในสาขาจุลชีววิทยา เป็นต้น อย่างไรก็ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้แบ่งออกอย่างกว้างๆ เป็น 2 ประเภท ตามจุดประสงค์ของการแสวงหา ความรู้ คือ1) วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) หรือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่บรรยายถึงความเป็นไปของปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ อันประกอบไปด้วย ข้อเท็จจริง หลักการ ทฤษฏี กฎ และสูตรต่างๆ เป็นความรู้พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาเพื่อสนอง ความต้องการอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คานึงถึงประโยชน์ของการค้นหา สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้อีก 3 แขนง คือ (1) วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ ของ สิ่งไม่มีชีวิต เช่น เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) รวมถึงอุตุนิยมวิทยา และ ธรณีวิทยา เป็นต้น (2) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Biological Science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น สัตววิทยา พฤกษศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) จุลชีววิทยา เป็นต้น (3) วิทยาศาสตร์ สังคม (Social Science) เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ เพื่อจัดระบบให้มนุษย์มีการดารงชีวิตอยู่ด้วยกัน อย่างมีแบบแผน เพื่อความสงบสุขของสังคม ประกอบด้วย วิชาจิตวิทยา วิชาการศึกษา วิชารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นต้น 2) วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) วิทยาศาสตร์ประยุกต์ คือ วิทยาศาสตร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆที่มุ่งประโยชน์ในทางปฏิบัติยิ่งกว่าทฤษฏี เช่นแพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) วิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นวิทยาศาสตร์ที่นาเอาความรู้จากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาประยุกต์เพื่อให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม ทาให้เกิดสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สาขาใหม่ เช่น แพทย์ศาสตร์ สัตวแพทย์ศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรม และ โภชนาการ เป็นต้น หากเราพิจารณาในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์สาขาหนึ่งนั้น จะพบว่าเป็น การผสมผสานความรู้จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หลายสาขาประกอบกันเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค โดยไม่ได้ใช้ความรู้ในวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์สาขานั้นทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ทางด้านชีววิทยาใช้เฉพาะที่ เกี่ยวกับเรื่องการทางานของอวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกาย ความรู้ทางด้านฟิสิกส์ใช้ในส่วนที่เป็นเรื่อง เกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและการเคลื่อนไหว ใช้ความรู้ทางด้านเคมี เช่น คุณสมบัติของสารเคมีต่างๆ ที่ สามารถนามาทายารักษาโรค ทางด้านจุลชีววิทยาได้แก่ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลินทรีย์ และเชื้อโรคต่างๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าสาขาวิชา แพทย์ศาสตร์นั้นเป็นการดึงเอาความรู้บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทางานของ ร่างกายมนุษย์ และ การบาบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หลายๆแขนงมาประยุกต์ รวมกันเพื่อประโยชน์ทางด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น โดยสรุป คือ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เป็นความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่ง มักเป็นสาขาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ที่มีลักษณะเป็นทฤษฏี หลักการ กฎ หรือสูตรต่างๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นต้น ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นการใช้ความรู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ โดยเน้นในทางปฏิบัติ
  • 8. มากกว่าทฤษฎี และมักเป็นสาขาวิชาเฉพาะทาง เช่น แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น จึงจาเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ที่รู้จริง รู้ลึกด้วยความเข้าใจ มีความรู้ พื้นฐานมากพอเพียงที่สามารถนาไปใช้ ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ การสอนให้ผู้เรียนคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหา เป็นนั้นเป็นสิ่งสาคัญที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถแสดงความคิดอย่างชัดเจน สมเหตุสมผล มี วิจารณญาณ เป็นผู้รู้จริงใฝ่แสวงหาความรู้ กล้าแสดงความรู้และความคิด เสียสละเพื่อส่วนรวม มีน้าใจและ สามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สภาพการจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบันถึงแม้จะมีนโยบายระดับประเทศในการส่งเสริมการจัด การศึกษา อาทิ เช่น นโยบายในการปฏิรูปการศึกษาและการมุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการคิด มี ความมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนแสดงความคิดและความสามารถวิเคราะห์ เน้นระบบการจัดการเรียนรู้ให้คนคิด เป็น วิเคราะห์เป็น กิจกรรมการเรียนรู้ควรฝึกฝนให้นักเรียนเป็นคนช่างคิด และคิดเป็นกระบวนการ รู้จักคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยตัวเองอย่างมีเหตุผล ค้นหาความรู้ด้วยตนเองได้ แต่ในปัจจุบันพบปัญหาที่ต้องเร่ง ดาเนินการพัฒนาให้ประสบผลสาเร็จตามนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาที่สาคัญในหลายประเด็น ที่สาคัญคือ ปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษาและสติปัญญาของเด็ก กล่าวคือ การพัฒนาที่ผ่านมาทาให้เด็กและเยาวชนมี โอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น อัตราการรู้หนังสือและระดับการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลับลดลง ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบระดับชาติ(O-Net, GAT/PAT) หรือการทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการ PISA และ TIMSS) สถิติและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา คุณภาพทางการศึกษา ตามนโยบายของรัฐบาลในส่วนของมาตรการการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา (Measure of Achievement) ทุกระดับชั้น ผลการทดสอบต่าง ๆ สะท้อนถึงสถานการณ์การเรียนรู้ทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กไทยล้าหลังกว่านานาชาติถึง 2 ปี ตามที่ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนานาชาติ เพื่อประเมิน ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา(International Association for the Evaluation of EducationalAchievement หรือ IEA) เมื่อปี พ.ศ. 2551 ล่าสุด สสวท. ได้เข้าร่วม โครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ พ.ศ.2554 (Trends in International Mathematics and Science:TIMSS 2011) ไทยมีผลคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์ 451 คะแนนอยู่ที่ลาดับ 25 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมิน 45 ประเทศ หากเปรียบเทียบ การประเมิน TIMSS 2007 กับ ปี 2011 ของไทยในภาพรวมพบว่าคะแนนเฉลี่ยของ ไทยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยในปี 2011 วิชาคณิตศาสตร์ลดลง 14 คะแนน วิชา วิทยาศาสตร์ลดลง 20 คะแนน โดยวิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยลดลง 441 ในปี 2007 เหลือ 421 ในปี 2011 และวิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 471 ในปี2007 เหลือ 451 ในปี 2011 ถูกจัดกลุ่มให้อยู่ ในระดับแย่(poor)ทั้ง2วิชา (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.2556:1-13) เมื่อเปรียบเทียบการประเมิน นักเรียนในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ(Program for International Student Assessment หรือ PISA) ที่มีประเทศสมาชิก OECD (Economic Co-operation and Development) และประเทศ นอก
  • 9. กลุ่มสมาชิก OECD ซึ่งเรียกว่าประเทศร่วมโครงการ (Partner Countries) ทั้งหมดประมาณ 90% ของเขต เศรษฐกิจโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษา สาหรับประเทศสมาชิกและประเทศ ร่วมโครงการ ประเมินทุกสามปี เป็นการประเมินความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ได้แก่ การรู้ (Literacy) สามด้าน คือ ด้านการอ่าน (Reading Literacy) คณิตศาสตร์ (Mathematics Literacy) และ วิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมการประเมินผลตั้งแต่แรกจนครบสามครั้ง ในการ ประเมินรอบแรก (Phase I : PISA 2000 PISA 2003 และ PISA 2006) และปัจจุบันเป็นการประเมินรอบสอง (Phase II : PISA 2009 PISA 2012 และ PISA 2015) การประเมินผลในแต่ละละครั้งสามารถให้ข้อมูล คุณภาพการศึกษาของชาติ ซึ่งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายและสาธารณชนควรต้องได้รับรู้ ระบบ การศึกษาของเราได้เตรียมความพร้อมเยาวชนของชาติให้พร้อมที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพมีสมรรถนะในการ แข่งขันเทียบกับประชาคมโลก ในครั้งล่าสุด คือ PISA 2012 ผลการประเมินในภาพรวมประเทศไทยอยู่ใน อันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศสมาชิก มีคะแนนต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD ทั้งสามวิชา ซึ่งชี้นัยว่าคุณภาพการศึกษา ของไทยยังห่างไกลจากความเป็นเลิศ ความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษายังคงเป็นภารกิจสาคัญที่ ต้องดาเนินการต่อไป จุดสาคัญที่พบจุดหนึ่งคือ การยกระดับนักเรียนกลุ่มต่าให้สูงขึ้น แต่ในระบบการศึกษา ไทยกลับมีเหตุการณ์ที่นักเรียนกลุ่มสูงลดต่าลงซึ่งเกิดขึ้นกับทุกวิชา คะแนนเฉลี่ยวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทย ได้ 444 คะแนนจากค่าเฉลี่ย 501 คะแนน เพิ่มสูงขึ้นจาก PISA 2009 (คะแนน 425) อย่างมีนัยสาคัญ เมื่อ เทียบกับ PISA 2000 ก็พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม คะแนนยังคงต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD มากกว่าครึ่ง ระดับ บ่งบอกถึงนักเรียนมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับต่าซึ่งไม่ถึงระดับพื้นฐาน (สถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.2556 : 1-24) จากผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีการ 2555-2557 พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนลดลงทุกๆปีและผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รอบที่2 ของโรงเรียนสีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" พบว่ามาตรฐานที่5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จาเป็นตามหลักสูตร (2.13)และมาฐานที่9 ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (2.31) ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) (สานักงานรับรอง มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) 2552:ออนไลน์) และผลการทดสอบทางการศึกษา แห่งชาติ(O-NET) ปีการศึกษา 2551-2552 วิชาวิทยาศาสตร์ระดับประเทศได้ค่าคะแนนเฉลี่ย 29.06 และ 31.03 ตามลาดับ ขณะที่มีความมุ่งหมายที่จะจัดการเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็น มี ความสามารถ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การดาเนินงาน จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้การจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ที่ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้เรื่องบรรยากาศ หน่วยการเรียนรู้นี้นักเรียนมีผลการเรียนค่อนข้างต่า โดยไม่ ผ่านเกณฑ์ในการวัดผลการเรียนในแต่ละหน่วยย่อย ที่ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ส่วนประกอบของอากาศ
  • 10. อุณหภูมิและชั้นบรรยากาศ สมบัติของอากาศ ความชื้นของอากาศ ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ อุตุนิยมวิทยา และพยากรณ์อากาศ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกโดยผู้เรียนไม่สามารถตอบคาถามได้ว่าไม่เข้าใจ ตรงไหน ปัญหาสาคัญอยู่ที่ไหน ใช้หลักการใดไปแก้ปัญหา นักเรียนไม่สามารถแบ่งชั้นบรรยากาศได้ ไม่สามรถ คานวณหาระดับความสูงจากระดับน้าทะเล จึงต้องมีการสอนเพิ่มเติมและพบว่านักเรียนมีผลการเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ นักเรียนเกิดการเบื่อหน่ายไม่อยากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ไม่มีส่วนร่วมในการเรียน ไม่สนุกกับการเรียน ส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะกระบวนการคิด จากผลการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ต่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทาให้ ผู้วิจัยทบทวนถึงสาเหตุครั้งนี้ พบว่าเกิดจากผู้เรียนและผู้สอน สาคัญที่สุดขึ้นอยู่กับผู้สอนเนื่องจากผู้สอนไม่ พิจารณาถึงความแตกต่างด้านเชาว์ปัญญาของผู้เรียน ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ไม่เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้แสดงถึงความสามารถด้านเชาว์ปัญญา ทาให้ไม่สามารถเห็นจุดเด่นของนักเรียนแต่ละคน หากผู้สอน สามารถจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับลักษณะเด่นของผู้เรียนแต่ละคนและผู้เรียนจะสามารถพัฒนาเชาว์ปัญญา ให้สูงขึ้นได้ จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนสนใจที่จะนารูปแบบการสอนทฤษฎีกระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบ DRU Modle (YPF) เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนารูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาใช้แก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และมี กระบวนการคิดอย่างมีระบบ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนระดับสูงและการดารงชีวิตประจาวันต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  • 11. 4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สมมติฐานการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน หลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนา ผู้วิจัยกาหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรในการศึกษา 1. ตัวแปรอิสระ คือรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อมผู้เรียน (Prepare learners) 1.2 ขั้นที่ 2 ปรับเปลี่ยนความคิด (Turning ideas) 1.3 ขั้นที่ 3 เรียนรู้สิ่งใหม่ (Learn something new) 1.4 ขั้นที่ 4 ประยุกต์ใช้ความรู้ (Application of Knowledge) 1.5 ขั้นที่ 5 เติมเต็มประสบการณ์ (Complement the experience) 2. ตัวแปรตาม คือผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบ DRU MODEL (YPF) การจัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี 4 ด้านประกอบด้วย 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2 ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  • 12. 2.3 จิตวิทยาศาสตร์ 2.4 ความพึงพอใจ ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 1 ห้องเรียน โรงเรียนวัด มะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ สังกัดกรุงเทพมหานคร จานวน 30 คน ปีการศึกษา 2559 2. กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 1 ห้องเรียน โรงเรียนวัด มะพร้าวเตี้ย เขตภาษีเจริญ สังกัดกรุงเทพมหานคร จานวน 30 คน ปีการศึกษา 2559 ได้มาโดยการสุ่มอย่าง ง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ขอบเขตด้านระยะเวลาการศึกษาวิจัย ดาเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 วันที่ 9-20 มกราคม 2560 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 1. รูปแบบการสอน หมายถึงแบบแผนการดาเนินการจัดกิจกรรมการการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยอาศัยทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ DRO MODEL (YPE) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 Your Identify คือการตอบคาถาม ให้นักเรียนเกิดทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขั้นที่ 2 Praxis คือสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการทากิจกรรม/วิพากษ์ ขั้นที่ 3 Formative คือประเมินตนเอง ตรวจสอบทบทวนตนเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ทาการทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียนตามกิจกรรมการเรียน การสอนในรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3. ความรู้ คือ ความเข้าใจในเรื่องบรรยากาศ จดจาในสิ่งที่เรียนไปและนาความรู้เรื่องบรรยากาศไปใช้ ประโยชน์ เป็นความสามารถทางสติปัญญาในการขยายความรู้ ความจา ให้กว้างออกไปจากเดิมอย่าง สมเหตุสมผล และความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 4. จิตวิยาศาสตร์ (Science mind) หมายถึงจิตสานึกของบุคคลที่ก่อให้เกิดเป็นลักษณะนิสัยหรือ ความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลที่เกิดการศึกษาความรู้หรือการเรียนรู้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4.1 ความสนใจใฝ่รู้ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มีความพยายามจะเผชิญสืบเสาะแสวงหา ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ๆซึ่งไม่สามารถอธิบายด้วยความรู้ที่ทีอยู่เดิม และค้นหาความรู้เพื่อตอบปัญหาซึ่งมี ความปรารถนาที่จะได้ความรู้ที่สมบูรณ์ ซึ้งมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้ 4.1.1 มีปัญหาเกิดขึ้นต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและพยายามหาคาตอบนั้นให้สมบูรณ์โดยการ ซักถาม สนทนา ฟัง อ่าน เพื่อให้ได้ความรู้ที่สมบูรณ์
  • 13. 4.1.2 มีการศึกษาค้นคว้าเพื่อทาความเข้าใจสถานการณ์ใหม่ๆ ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้ ที่มีอยู่เดิม 4.1.3 ชอบสืบเสาะ ทดลอง พิสูจน์แนวคิดแปลกใหม่ 4.1.4 มีความกระตือรือร้นต่อกิจกรรม และเรื่องใหม่ 4.2 ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลที่สามารถ ดาเนินการทากิจกรรมในการแก้ปัญหาจนถึงที่สุดจนกว่าจะได้รับคาตอบที่น่าเชื่อถือได้และยอมรับผลการ กระทาของตนเองทั้งเป็นผลดี และผลเสียซึ่งมีลักษณะและพฤติกรรมดังต่อไปนี้ 4.2.1 มีความเต็มใจที่ค้นหาคาตอบโดยการพิสูจน์ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แม้มีปัญหาและ อุปสรรต่างๆ 4.2.2 มีความเต็มใจที่จะทาการทดลองซ้าๆ หลายครั้งเพื่อค้นหาคาตอบที่น่าเชื่อถือที่สุด 4.2.3 ทางานที่รับผิดชอบมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ 4.2.4 ทางานที่มอบหมายให้เสร็จสมบูรณ์ตามที่กาหนด และตรงต่อเวลา 4.2.5 ไม่ท้อถอยในการทางาน เมื่อมีอุปสรรคหรือล้มเหลว 4.2.6 มีความอดทน แม้การดาเนินการแก้ปัญหาจะยุ่งยากและใช้เวลา 4.2.7 ยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งที่เป็นผลดีและผลเสีย 4.3 ความมีระเบียบและรอบคอบ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มีการทางานเป็นระเบียบ รอบคอบ จัดระบบการทางานใช้วิธีการศึกษาหลายวิธีในการตรวจสอบผลการทดลองไตร่ตรอง จัดระบบการ ทางานก่อนตัดสินใจสรุปมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้ 4.3.1 เห็นคุณค่าของความมีระเบียบและรอบคอบ 4.3.2 นาวิธีการหลายๆ วิธีมาตรวจสอบผลหรือวิธีการทดลอง 4.3.3 มีการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง พินิจพิเคราะห์ ก่อนในการตัดสินใจสรุปหรือเชื่อในสิ่งต่างๆ 4.3.4 มีความละเอียด ถี่ถ้วนในการทางาน 4.3.5 มีการวางแผนการทางานและจัดระบบการทางาน 4.3.6 ตรวจสอบความเรียบร้อย หรือคุณภาพเครื่องมือก่อนทาการทดลอง 4.3.7 ทางานอย่างเป็นระเบียบเรียนร้อย 4.4 ความมีเหตุผล หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่มียอมรับในคาอธิบายเมื่อมีหลักฐานและข้อมูล อย่างพอก่อนสรุปผล ชอบพิจารณาหาสาเหตุของปรากฏการณ์ต่างๆซึ่งมีลักษณะพฤติกรรมดังนี้ 4.4.1 เห็นคุณคุณค่าในการเหตุผลในเรื่องต่างๆ 4.4.2 ไม่เชื่อโชครางหรือคาทานายที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามวิธีของวิทยาศาสตร์ แต่พยายามสิ่ง ต่างๆในแง่มุมของเหตุผล 4.4.3 หาความสัมพันธ์ของเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 4.4.4 อธิบายหรือแสดงความคิดอย่างมีเหตุผล
  • 14. 4.4.5 ตรวจความถูกต้องหรือความสมเหตุผลของแนวคิดต่างๆกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เสาะ แสวงหาหลักฐานหรือข้อมูลจากการสังเกตหรือทดลองเพื่อสนับสนุนหรือค้นหาคาตอบ 4.4.6 เสาะแสวหาหลักฐานหรือข้อมูลจากการสังเกตหรือทดลองเพื่อสนับสนุนหรือค้นหาคาตอบ 4.4.7 ยอมรับในคาอธิบายเมื่อมีหลักฐานหรือข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอ 4.4.8 มีความต้องการเคารพในเหตุผลซึ่งกันและกัน 4.5 ความใจกว้าง หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลหรือแสดงถึงการมีจิตใจกว้างขวางเต็มใจที่จะ เปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของตนยอมรับฟังความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ข้อโต้แย้งของคนอื่น เปลี่ยนความ คิดเห็นของตนเอง เมื่อมีหลีกฐานที่ดีกว่า ซึ่งมีพฤติกรรมดังนี้ 4.5.1 รับฟัง วิพากษ์วิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือข้อคิดเห็นของผู้อื่น 4.5.2 ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม 4.5.3 ยอมรับความคิดเห็นหรือวิธีการที่แปลกใหม่ 4.5.4 เต็มใจที่จะเปลี่ยนแนวคิดหรือแนวปฏิบัติเมื่อได้ข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ๆที่เชื่อถือได้ มากกว่าหรือถูกต้องกว่า 4.5.5 ยอมพิจารณาข้อมูลหรือข้อคิดเห็นที่ยงสรุปไม่ได้และพร้อมที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติม 4.6 ความซื่อสัตย์ หมายถึงคุณลักษณะของบุคคลที่ต้องการความถูกต้องในการรายงานการศึกษา โดยปราศจากอคติ ความรู้สึกส่วนตัวหรืออิทธิพลจากสิ่งต่างๆซึ่งมีพฤติกรรมดังนี้ 4.6.1 เห็นคุณค่าการนาเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง 4.6.2 นาเสนอความเป็นจริงของตนเองถึงแม้จะมีผลที่มีความแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม 4.6.3 บันทึกข้อมูลตามความเป็นจริงและไม่ใช้ความรู้สึกของตนเองมากเกี่ยวข้อง 4.6.4 ไม่แอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเอง 4.6.5 ไม่เอาอิทธิพลของความเชื่อมาให้เหนือการตัดสินใจใดๆในทางวิทยาศาสตร์ 4.6.6 ไม่นาสภาพทาสังคม เศรษฐกิจและการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความหมาย ข้อมูล 5. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจากรูปแบบ การสอนวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์เรื่องบรรยากาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ต่อนักเรียน 1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นส่งผลต่อ ระดับผลสัมฤทธิ์รวมของโรงเรียนสูงขึ้น 1.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีทักษะการคิดขั้นสูง ส่งผลให้สามารถ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจาวันได้
  • 15. 1.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคุณลักษณะด้านการมุ่งมั่นในการเรียนรู้ ใฝ่เรียนรู้ มีวินัย และมี จิตสาธารณะ สามารถช่วยเหลือสังคมได้ 2. ต่อครูผู้สอน 2.1 ได้นานวัตกรรมรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิผลสูงกว่า 0.5 สามารถไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ 2.2 เป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการพัฒนารูปแบบการสอน สาหรับพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิด 2.3 เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนในกลุ่มสาระอื่นๆและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในการออกแบบพัฒนารูปแบบการสอน สาหรับการพัฒนาการสอน สาหรับพัฒนาผลสมฤทธิ์ทางการเรียนและ ทักษะการคิด 3. ต่อผู้บริหาร 3.1 การบริหารบุคลากรในสถานศึกษา ทาให้ได้บุคลากรที่มีผลงานด้านการสร้างและพัฒนา นวัตกรรมสาหรับการจัดการเรียนการสอน 3.2 การบริหารจักการเรียนการสอน ทาให้โรงเรียนมีสื่อนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอน 4. ต่อผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง 4.1 ชุมชนมีสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนด้วยนวัตกรรม ทาให้เกิดความมั่นใจในการส่งบุตร หลานเข้าศึกษาต่อ 4.2 ผู้ปกครองมีความพึงพอใจในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของบุตรหลานและมีความรู้สึกต่อ สถานศึกษาศึกษาที่ทาให้บุตรหลานมีความตั้งใจในการศึกษาหาความรู้ 4.3 หน่วยงานต้นสังกัดมีสถานศึกษาในความดูแลที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคิดสูง
  • 16. กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย จากแนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่เกี่ยงข้องกับการรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปกรอบ แนวคิด ทฤษฎีได้ดังแผนภาพที่ 1 ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดทฤษฎีในการพัฒนารูปแบบการสอน หลักการ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการสร้างองค์ความรู้ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ได้แนวคิดจาก DRU MODRL (YPF) ขั้นที่ 1 Your Identify คือการตอบคาถาม ให้นักเรียนเกิดทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขั้นที่ 2 Praxis คือสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการทากิจกรรม/วิพากษ์ ขั้นที่ 3 Formative คือประเมินตนเอง ตรวจสอบทบทวนตนเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ และศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เรื่องบรรยากาศ และทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์สาระการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 Your Identify ขั้นที่ 2 Praxis ขั้นที่ 3 Formative เพื่อเสริมสร้างทักษะ ค ว า ม รู้ แ ล ะ จิ ต วิทยาศาสตร์ 1. ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ โดยอาศัยทฤษฎี การสร้างความรู้ รูปแบบการสอน DRU MODRL (YPF) 2. หลักการสร้างองค์ความรู้ 3. ทักษะความรู้ 4. จิตวิทยาศาสตร์ องค์ประกอบ แนวคิด ทฤษฎีที่สนับสนุน
  • 17. บทที่2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ใน ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สาระสาคัญเสนอตามลาดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 หลักสูตรการศึกษา 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 1.2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตอนที่ 2 แนวคอดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 การวิจัยและพัฒนา 2.2 ทักษะการคิดและการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ 2.3 การคิดอย่างมีความรู้ 2.4 จิตวิทยาศาสตร์ 2.5 ความพึงพอใจ ตอนที่ 3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยในต่างประเทศ 3.2 งานวิจัยต่างประเทศ ตอนที่ 1 หลักสูตรการจักการศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตร แกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับ โลก จึงได้ปรับได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอานาจทาง การศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาพ และความต้องการของท้องถิ่น จากข้อค้นพบในการศึกษาวิจัย และติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2542 ที่ผ่านมาประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 10 เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 จึงเกิดการทบทวนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  • 18. พุทธศักราช 2551 มีความเมาะสมชัดเจน ทั้งเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนาผู้เรียนและกระบวนการนา หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็น ทิศทางในการจัดทาหลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้กาหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้น ต่าของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติม เวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์การจบ การศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และมีความชัดเจนต่อการนาไปปฏิบัติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551) รายละเอียดดังนี้ 1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 2. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สาคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตร การศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็ก และเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ สภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด การเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษา สาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการ เรียนรู้ และประสบการณ์ 3. จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็น พลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข 5) มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มี จิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
  • 19. 4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้ 4.1 สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิด สมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการ เจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและ สังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3)ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็น ความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลัก เหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดย คานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็น ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การ จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะ กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน การ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม 4.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทางาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะ อันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง 5. มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง และพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกาหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและ พลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่
  • 20. ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้ จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกัน คุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสาคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่ มาตรฐานการเรียนรู้กาหนดเพียงใด 6. ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช้ ในการกาหนดเนื้อหา จัดทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 6.1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3) 6.2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย(มัธยมศึกษาปี ที่ 4- 6) หลักสูตรได้มีการกาหนดรหัสกากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อความเข้าใจและให้สื่อสาร ตรงกัน ดังนี้ ว 1.1 ป. 1/2 ป.1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2 1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1 ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ต 2.2 ม.4-6/3 ม.4-6/3 ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อที่ 3 2.2 สาระที่ 2 มาตรฐานข้อที่ 2 ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ภาพที่1 ตัวชี้วัด 7. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ซึ่งกาหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ โดย แบ่งเป็น ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้
  • 21. องค์ความรู้ ทักษะสาคัญ และคุณลักษณะ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา วิทยาศาสตร์ : การนาความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และ แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่าง เป็นเหตุเป็นผลคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม : การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลก อย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธา ในหลักธรรมของศาสนาการเห็นคุณค่า ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ความรัก ชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย ศิลปะ : ความรู้และทักษะ ในการคิดริเริ่มจินตนา การ สร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ศิ ล ป ะ สุนทรียภาพและการเห็น คุณค่าทางศิลปะ ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมการใช้ภาษา เพื่อ การสื่อสาร ความชื่นชม การเห็น คุณค่าภูมิปัญญาไทย และภูมิใจใน ภาษาประจาชาติ ภาษาต่างประเทศ : ความรู้ ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรม การใช้ภาษา ต่างประเทศในการ สื่อสาร การแสวงหาความรู้และ การประกอบอาชีพ การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการ ทางานการจัดการการดารง ชีวิตการ ประกอบอาชีพ และการใช้เทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา : ความรู้ ทักษะและเจตคติในการสร้างเสริม สุขภาพพลานามัยของตนเองและผู้อื่น การป้ องกันและปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มี ผลต่อสุขภาพอย่างถูกวิธีและทักษะใน การดาเนินชีวิต คณิตศาสตร์ : การนาความรู้ทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการ แก้ปัญหา การดาเนินชีวิต และศึกษาต่อ การมีเหตุมีผล มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ พัฒนาการคิดอย่างเป็ นระบบและ สร้างสรรค์
  • 22. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี จุดหมาย 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรม ของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวด ล้อมมีจิต สาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๑.กิจกรรมแนะแนว ๒.กิจกรรมนักเรียน ๓. กิจกรรมเพื่อสังคมและ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความ สมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติ ที่จาเป็นต่อ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุก คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์ 4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษ 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ คุณภาพของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
  • 23. ภาพที่ 3 ความสัมพันธ์ของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาด้วยความพยายามของมนุษย์ที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process) ในการสืบเสาะหาความรู้ (Scientific Inquiry) การแก้ปัญหาโดยผ่านการสังเกต การ สารวจตรวจสอบ (Investigation) การศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ และการสืบค้นข้อมูล ทาให้เกิดองค์ ความรู้ใหม่เพิ่มพูนตลอดมา ความรู้และกรบวนการดังกล่าวถ่ายทอดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ความรู้ วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ เพื่อนาไปใช้อ้างอิงทั้งการสนับสนุน หรือโต้แย้งเมื่อมีการค้นพบ ข้อมูล หรือหลักฐานใหม่ หรือแม้แต่ข้อมูลเดิมเดียวกันก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ ความรู้วิทยาศาสตร์จึง อาจเปลี่ยนแปลงได้ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมไม่ว่าอยู่ในส่วนใด (กระทรวงการ ศึกษาธิการ. 2551) วิทยาศาสตร์จึงเป็นผลจกการสร้างเสริมความรู้ของบุคคลการสื่อสารและการเผยแพร่ ข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ มีผลให้ความรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งผล ต่อคนในสังคมและสิงแวดล้อม การศึกษาค้นคว้าและการให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงอยู่ภายในขอบเขต คุณธรรม จริยธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคมและเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 1. ความสาคัญของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ ทุกคนทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่ มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางานเหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆวิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็น เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถใน การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล ที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้น ทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะสาคัญ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่ หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่าง หลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยได้กาหนดสาระสาคัญไว้ (สานักวิชาการ และมาตาฐานการศึกษา ,2551) ดังนี้ 1.1 สิ่งมีชีวิตกับ กระบวนการดารงชีวิตสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและ หน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดารงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพการถ่ายทอด ทางพันธุกรรม การทางานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิต และ เทคโนโลยีชีวภาพ 1.2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และ
  • 24. จัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตใน สภาพแวดล้อมต่างๆ 1.3 สารและสมบัติของสาร สมบัติของวัสดุและสาร แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเปลี่ยน สถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารสมการเคมี และการแยกสาร 1.4 แรงและการเคลื่อนที่ ธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์การออก แรงกระทาต่อวัตถุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน โมเมนต์การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจาวัน 1.5 พลังงาน พลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน สมบัติและปรากฏการณ์ของแสง เสียง และวงจรไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากัมมันตภาพรังสีและปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและ พลังงานการอนุรักษ์พลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม 1.6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก โครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของ เปลือกโลกปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ 1.7 ดาราศาสตร์และอวกาศ วิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ ปฏิสัมพันธ์และผลต่อ สิ่งมีชีวิตบนโลก ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ความสาคัญของเทคโนโลยีอวกาศ 1.8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหา ความรู้ การแก้ปัญหา และจิตวิทยาศาสตร์ 2. คุณภาพผู้เรียน 2.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.1.1 เข้าใจลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิต และการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายใน สิ่งแวดล้อมท้องถิ่น 2.1.2 เข้าใจลักษณะที่ปรากฏและการเปลี่ยนแปลงของวัสดุรอบตัว แรงในธรรมชาติ รูป ของพลังงาน 2.1.3 เข้าใจสมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้า อากาศ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว 2.1.4 ตั้งคาถามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต วัสดุและสิ่งของ และปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว สังเกต สารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย และสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง เขียน หรือวาดภาพ 2.1.5 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการดารงชีวิต การศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กาหนดให้ หรือตามความสนใจ 2.1.6 แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ และแสดงความซาบซึ้งต่อสิ่งแวดล้อม รอบตัว แสดงถึงความมีเมตตา ความระมัดระวังต่อสิ่งมีชีวิตอื่น 2.1.7 ทางานที่ได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนเป็น ผลสาเร็จและทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข 2.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.2.1 เข้าใจโครงสร้างและการทางานของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
  • 25. 2.2.2 เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะของสาร สมบัติของสารและการทา ให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลง สารในชีวิตประจาวัน การแยกสารอย่างง่าย 2.2.3 เข้าใจผลที่เกิดจากการออกแรงกระทากับวัตถุ ความดัน หลักการเบื้องต้นของแรง ลอยตัว สมบัติและปรากฏการณ์เบื้องต้นของแสง เสียง และวงจรไฟฟ้า 2.2.4 เข้าใจลักษณะ องค์ประกอบ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ ความสัมพันธ์ของดวง อาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่มีผลต่อการเกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ 2.2.5 ตั้งคาถามเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผนและ สารวจ ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ 2.2.6 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต และการศึกษาความรู้ เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ 2.2.7 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้ 2.2.8 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น 2.2.9 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า 2.2.10 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น 2.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2.3.1 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สาคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ ทางานของระบบต่างๆ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชีวภาพความหลากหลาย ของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม 2.3.2 เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของสารละลาย สารบริสุทธิ์ การเปลี่ยนแปลงของสาร ในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลายและการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2.3.3 เข้าใจแรงเสียดทาน โมเมนต์ของแรง การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจาวัน กฎการ อนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน การสะท้อน การหักเหและความเข้มของแสง 2.3.4 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางไฟฟ้า หลักการต่อวงจรไฟฟ้าในบ้าน พลังงาน ไฟฟ้าและหลักการเบื้องต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 2.3.5 เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก แหล่งทรัพยากรธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ และผลที่มีต่อสิ่งต่างๆ บนโลก ความสาคัญของ เทคโนโลยีอวกาศ 2.3.6 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี การพัฒนาและผลของการ พัฒนาเทคโนโลยีต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม 2.3.7 ตั้งคาถามที่มีการกาหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผนและลงมือสารวจตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลและสร้างองค์ความรู้
  • 26. 2.3.8 สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.3.9 ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต การศึกษา หาความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ 2.3.10 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้ 2.3.11 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวันและ การประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น 2.3.12 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษา ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า มีส่วนร่วมในการพิทักษ์ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น 2.3.13 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและ ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น 2.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2.4.1 เข้าใจการรักษาดุลยภาพของเซลล์และกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต 2.4.2 เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดสารพันธุกรรม การแปรผัน มิวเทชัน วิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมต่างๆ 2.4.3 เข้าใจกระบวนการ ความสาคัญและผลของเทคโนโลยีชีวภาพต่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม 2.4.4 เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุ ในตารางธาตุ การเกิดปฏิกิริยาเคมีและเขียนสมการเคมี ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2.4.5 เข้าใจชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่างๆ ของสารที่มีความสัมพันธ์ กับแรงยึดเหนี่ยว 2.4.6 เข้าใจการเกิดปิโตรเลียม การแยกแก๊สธรรมชาติและการกลั่นลาดับส่วนน้ามันดิบ การ นาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปใช้ประโยชน์และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 2.4.7 เข้าใจชนิด สมบัติ ปฏิกิริยาที่สาคัญของพอลิเมอร์และสารชีวโมเลกุล 2.4.8 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบต่างๆ สมบัติของคลื่น กลคุณภาพของเสียงและการได้ยิน สมบัติ ประโยชน์และโทษของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากัมมันตภาพรังสีและ พลังงานนิวเคลียร์ 2.4.9 เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกและปรากฏการณ์ทางธรณีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม 2.4.10 เข้าใจการเกิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพและความสาคัญของ เทคโนโลยีอวกาศ
  • 27. 2.4.11 เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภท ต่างๆและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อ ชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม 2.4.12 ระบุปัญหา ตั้งคาถามที่จะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบ สมมติฐานที่เป็นไปได้ 2.4.13 วางแผนการสารวจตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคาถาม วิเคราะห์ เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ โดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์หรือสร้างแบบจาลองจากผลหรือความรู้ที่ได้รับ จากการสารวจตรวจสอบ 2.4.14 สื่อสารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.4.15 อธิบายความรู้และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต การศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ 2.4.16 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบและซื่อสัตย์ในการสืบเสาะหาความรู้ โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้ 2.4.17 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวัน การ ประกอบอาชีพ แสดงถึงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย 2.4.18 แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น 2.4.19 แสดงถึงความพอใจ และเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้ 2.4.20 ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผล ประกอบ เกี่ยวกับผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อม และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดารงชีวิต มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของระบบต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทางานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนา ความรู้ไปใช้ในการดารงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ สื่อสาร สิ่งที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
  • 28. มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์สื่อสาร สิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติใน ระดับ ท้องถิ่น ประเทศ และโลกนาความรู้ไปใช้ในในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใน ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน สาระที่ 3 สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจสมบัติของสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสารกับโครงสร้าง และ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจหลักการและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย การเกิดปฏิกิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนา ความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มี กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมีคุณธรรม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุในธรรมชาติมีกระบวนการ การ สืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 5 พลังงาน มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูป พลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ ของกระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซีและเอกภพการปฏิสัมพันธ์ ภายใน ระบบสุริยะ และผล ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และ จิตวิทยาศาสตร์ การ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 7.2 เข้าใจความสาคัญของเทคโนโลยีอวกาศที่นามาใช้ใน การสารวจอวกาศและ ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างมีคุณธรรมต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 29. มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหา ความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบ ที่แน่นอน สามารถอธิบาย และตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือ ที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสังคม และ สิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 4. เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดนมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ และนาผลมาจัดระบบหลักการ แนวคิดทฤษฎี ดังนั้น การเรียนการสอนวิทยาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด นั่นคือให้ ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเรียนเมื่ออยู่ในสถานศึกษาและเมื่ออกจากสถานศึกษา ไปประกอบอาชีพแล้วการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสถานศึกษา มีเป้าหมายสาคัญดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจหลักการทฤษฏีที่เป็นพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อกาจัดของวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทักษะที่สาคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญญาและการจัดการ ทักษะในการสื่อสารและความสามารถในการตัดสินใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิผลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 6. เพื่อนาความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการเกิดประโยชน์ต่อ สังคมแบะการดารงชีวิต 7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ การจัดการการศึกษาวิทยาศาสตร์จึงมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการไปสู่การ สร้างองค์ความรู้โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนทุกขั้นตอน ผู้เรียนได้ทากิจกรรมหลากหลายทั้งเป็นกลุ่ม และเป็นรายบุคคล โดนอาศัยแหล่งเรียนรู้ที่เป็นสากลและท้องถิ่นโดยผู้สอนมีบทบาทในการวางแผนการเรียนรู้ กระตุ้น แนะนา ช่วยเหลือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกิดการเชื่อมโยงความรู้ ความคิดกับกระบวนการ วิทยาศาสตร์ นาไปใช้ในการดารงชีวิตและศึกษาความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ หรือสร้างชิ้นงาน มี เจตคติทางวิทยาสาสตร์ หรือจิตวิทยาศาสตร์ 5. การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ ประสบการณ์จากกระกบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ สร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548 : 125) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่าเป็นขนาดความสาเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน สอดคล้อง สมหวัง พิธิยานุวัตน์ (2537 : 71); ภพ เลาห์ไพบูลย์ (2537: 295) ได้กล่าวถึงผลสัมฤทธิ์ทางเรียนว่า เป็นผลการสะสมความรู้ ความสามารถในการเรียนเข้าด้วยกันนั่นคือ คุณลักษณะความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ที่เกิดการศึกษา ฝึกฝน อบรม หรือสั่งสอน เป็น
  • 30. พฤติกรรมที่สามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธะพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะ พิสัย การวัดผลเป็นที่มาของประเมินผล ล้วน สายยศ (2543) ได้อธิบายว่าการวัดผลเป็นการวัดคุณลักษณะ เช่น ความสูง ความยาว การเรียนรู้ ความกล้า เชาว์ ปัญญา เป็นต้น สมนึก ภัททิยธนี (2544) กล่าวไว้ว่า การวัดหมายถึง หมายถึง กระบวนการหาปริมาณหรือ จานวนของสิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งมาวัดผลจากการวัด โดยปกติจะออกมาในรูปของเลข หรือสัญลักษณ์หรือข้อมูล สันติ บุญภิรมย์ (2552) สรุปว่า การวัดผล คือ การค้นหาคุณลักษณะของบุคคลหรือ สิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมือวัดอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตามหน่อยวัดของเครื่องมือ นั้นๆ ที่เรียกว่าข้อมูล ส่วนการประเมินผล ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2543) ได้นิยามไว้ว่า เป็น กระบวนการพิจารณาตัดสินที่เป็นระบบ ครอบคลุมถึงจุดมุงหมายที่ตั้งไว้ สมนึก ภัททิยธนี (2544) ให้ ความหมายการประเมินผลไว้ว่า เป็นการตัดสินหรือวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการวัด โดยอาศัยเกณฑ์การ พิจารณาอย่าหนึ่งอย่างใด และสันติ บุญภิรมย์ (2552) สรุปว่า การประเมินผล หมายถึง กระบวนการที่เกิด จากการนาข้อมูลที่ได้มาจากการวัด มาทาการพิจารณาตัดสินเป็นระบบอย่างครอบคลุมเพื่อหาข้อสรุปด้วย คุณธรรม ดังนั้น พบว่าการประเมินผลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลมาแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ ซึ่งได้มาจาก การวัดในรูปแบบต่างๆมาพิจารณาตัดสินที่เป็นระบบคือ มีรูปแบบที่แน่นอนอย่างครบถ้วนและเชื่อถือได้ว่าเป็น ธรรม 5.1 หลักการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นการพิจารณาผลที่เกิดจากการวัด การเรียนรู้ของผู้เรียนในภาพรวม ประกอบด้วย การประเมินความเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์ซึ่งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของผู้เรียนจะส่งผลต่อ จุดประสงค์ของรายวิชา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษากาหนดไว้ (สานักนิเทศ และพัฒนามาตรฐานการศึกษา. 2544 : 46) สอดคล้องกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 7-19) ได้อธิบาย รายละเอียดระบบการวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า การวัดผลประเมินการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มี กระบวนการทางานอย่างเป็นระบบที่ประกอบด้วย การกาหนดจุดมุ่งหมายและวิธีการวัดประเมินผล การสร้าง เครื่องมือ และการดาเนินการตามที่วางแผนไว้ ขั้นตอนที่เป็นไปได้ในการวัดประเมินผล แสดงได้ถึงแผนภูมิ ต่อไปนี้
  • 31. ภาพที่ 4 ขั้นตอนที่เป็นไปได้ในการวัดผลประเมิน ที่มา : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546: 7) การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่เริ่มจากการกาหนดจุดมุ่งหมายด้าน ต่างๆ ซึ่งอาจประกอบด้วย ความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ เจตคติและโอกาสในการเรียนรู้ ต่อจากนั้นจึง กาหนดวิธีการวัดประเมินที่หลากหลายทั้งการประเมินจากการทดสอบด้วย ข้อสอบ และเมินตามสภาพจริง จากการปฏิบัติงานและผลงานของผู้เรียน ทั้งนี้ต้องกาหนดเกณฑ์ที่สามารถนาไปใช้ประเมินได้อย่างเที่ยงตรง การวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเป็นการประเมินตามสภาพจริงมากกว่าการประเมินจาก การทดสอบ เนื่องจากการประเมินตามสภาพจริงช่วยสะท้อนสมรรถภาพของผู้เรียนได้ครบทุกด้าน การประเมินผลตามสภาพจริง เป็นการประเมินจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียนและเชื่อมโยงการ เรียนรู้กับชีวิตและสังคม ซึ่งเรียนรู้ได้แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถกระบวนการคิด และความรู้สึก การ ประเมินสภาพจริงจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมประเมินผลงานของตนเองและใช้วิธีการประเมินอย่าง หลากหลายตามสถานการณ์ที่เป็นจริงโดยกระทาอย่างต่อเนื่อง มีลักษณะดังนี้ 1. เน้นการพัฒนาและประเมินตนเอง 2. ให้ความสาคัญกับการพัฒนาจุดเด่นของผู้เรียน 3. เน้นการวัดพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกเป็นสาคัญ 4. เน้นคุณภาพของผลงานที่ได้จากบูรณาการความรู้และทักษะ 5. มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องตามบริบทของผู้เรียนทั้งที่บ้าน สถานศึกษาและชุมชน 6. สนับสนุนการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบร่วมกัน 7. กระทาไปพร้อมกับการเรียนรู้ของผู้เรียน 8. เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูงของผู้เรียน โดยใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการ วิเคราะห์ อธิบาย ตั้งสมสติฐาน สรุปและแปรผล ส่วนการประเมินสมรรถภาพของผู้เรียน เป็นการประเมินที่จะต้องกระทาอย่างหลากหลายวิธีการ เพื่อให้ได้ผลการประเมินครอบคลุมทั้งด้านความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ เจตคติ และโอกาสการเรียนรู้
  • 32. ผู้เรียนจะได้ทากิจกรรมการเรียนรู้และแสดงออกมาตามความสนใจ ความถนัดและความชอบ การประเมิน สมรรถภาพของผู้เรียนจะมีการทดสอบด้วยข้อสอบอยู่เป็นส่วนหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จากพฤติกรรมทุกด้านของ ผู้เรียน แสดงดังแผนภูมิต่อไปนี้ ภาพที่ 5 การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียน ที่มา :สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546 : 9) การประเมินสมรรถภาพที่แสดงภาพที่ 5 เป็นการประเมินในหลายแนวทาง เพื่อให้ได้ข้อสนเทศ เกี่ยวกับผู้เรียนมากที่สุด สะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการการแก้ปัญญา ความคิดระดับสูง คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความรู้หรือพหุปัญญา รวมทั้งพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ ต้องมีการวางแผน เตรียมการ และใช้การประเมินในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ ภารกิจที่สาคัญที่ต้องการวางแผนให้รอบคอบ ได้แก่ 1.วิธีการวัดประเมินผล ประกอบด้วยกิจกรรมของผู้เรียนเป็นส่วนสาคัญกิจกรรมควรมี หลากหลาย 2. เกณฑ์การประเมินผลและแบบบันทึก ต้องสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับวิธีการประเมิน 3. การแปลความหมายผลการประเมิน ต้องมีแนวทางหรือเกณฑ์ที่ใช้ในการลงสรุปข้อมูล เพื่อ จาแนกคุณภาพของงานหรือความสามารถของบุคคลตามผลการเรียนรู้ 5.2 เป้าหมายและแนวปฏิบัติของการวัดผลประเมินผลเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียนมีเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกับการจัดการเรียน การสอนวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ครอบคลุม ทั้งความรู้ความคิด
  • 33. กระบวนการเรียนรู้ด้านการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา การสื่อสาร การนาความรู้ไปใช้ รวมทั้ง คุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ รายละเอียดดังนี้ 5.2.1 เป้าหมายวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิธีการประเมินอย่างหลากหลายทั้ง การทดสอบด้วยข้อสอบและการประเมินจากการทากิจกรรมต่างๆที่สะท้อนถึงสมรรถภาพของผู้เรียนนั้น มี เป้าหมายสาคัญที่ต้องการวัดผลประเมินผล จาแนกได้ 3 ด้าน ดังนี้ 1.ความรู้ความคิด หมายถึง ความรอบรู้ในหลักการ ทฤษฎี ข้อเท็จจริง เนื้อหา หรือแนวความคิด ซึ่งสามารถประเมินได้จากพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียน ดังนี้ ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความคิดกับพฤติกรรมการแสดงออก ความรู้ความคิด พฤติกรรมการแสดงออก 1. ความรู้ 2. ความเข้าใจ 3. การนาไปใช้ 4. วิเคราะห์ 5. สังเคราะห์ 6. ประเมินค่า 1. รู้ข้อเท็จจริง จาได้หรือระลึกถึงข้อมูลหรือ ข้อสนเทศ 2. มีความเข้าใจและสามารถอธิบายได้ 3. การนาความรู้ไปใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง 4. แยกแนวคิดหลักที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนๆให้ เข้าใจ 5. รวบรวมความรู้และข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ ความรู้ใหม่ 6. ตัดสินใจเลือก การประเมินโดยการทดสอบด้วยข้อสอบไม่สามารถวัดผลประเมินความรู้ความคิดในส่วนของการ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่า ได้มากเพียงพอที่จะส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความคิดระดับสูง จึง ประเมินการแสดงออกของผู้เรียนจากการงมือปฏิบัติจริงให้มากยิ่งขึ้น 2.กระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย ทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ ความรู้ การลงปฏิบัติที่แสดงออกถึงทักษะเชาว์ปัญญาและปฏิบัติการประเมินในส่วนของทักษะปฏิบัติใช้วิธีการ สังเกตจากพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนที่มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้ ตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะปฏิบัติกับพฤติกรรมการแสดงออก ทักษะปฏิบัติ พฤติกรรมการแสดงออก 1. การรับรู้ 2. เตรียมความพร้อม 3. การตอบสนอง 1. ใช้ประสานสัมผัสเพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ 2. มีความพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติ มีการวางแผนการ ปฏิบัติ 3. ลงมือปฏิบัติตามคาแนะนาหรือตามแผนที่วางไว้
  • 34. 4.การฝึกฝน 5.ปฏิบัติจนทาได้ 6.การเชื่อมโยงทักษะ 4.ฝึกฝนทักษะเพื่อเพิ่มความชานาญ 5.ฝึกฝนจนทาได้เองโดยอัตโนมัติ 6.ประยุกต์หรือใช้ทักษะที่ฝึกฝนไว้สัมพันธ์กับทักษะ อื่นหรือใช้ร่วมกับทักษะอื่น กระบวนการเรียนรู้ ในส่วนของแนวการเรียนรู้ครอบคลุมการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา การสื่อสาร และการนาความรู้ไปใช้ สามารถประเมินได้จากพฤติกรรมแสดงออกของผู้เรียน ดังนี้ ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการเรียนรู้กับพฤติกรรมการแสดงออก กระบวนการเรียนรู้ พฤติกรรมการแสดงออก 1.การสืบเสาะหาความรู้วิทยาศาสตร์ 2.การแก้ปัญญา 3.การสื่อสาร 4. การนาความรู้ไป มีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย ความ สนใจในเรื่องที่ศึกษา การสารวจและค้นหา การ อธิบายและลงสรุป การขยายความรู้ การประเมิน มีการใช้กระบวนการแก้ปัญญา ประกอบด้วย การ ทาความ เข้าใจปัญญา การลงมือแก้ปัญญาและประเมินผล การแก้ปัญญา การตรวจสอบการแก้ปัญญาและนา วิธีการแก้ปัญญาไปใช้กับปัญญาอื่น มีการสื่อสารความรู้หรือแนวคิดหลักการทาง วิทยาศาสตร์หรือ ความคิดเห็น แสดงออกด้วยการ พูดหรือเขียนสรุปแบบที่ ชัดเจน และมีเหตุผล อธิบายหรือสรุปเรื่องราวการสืบค้นข้อมูล จากแหล่ง การเรียนรู้ต่างๆ นาเสนอผลงานด้วยการบันทึก จัด แสดงผลงงานสาธิต สื่อสารด้วยเทคโนโลยี สารสนเทศ ใช้มีการนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมการ ดารงชีวิต และตระหนักในความสัมพันธ์ของ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงออกด้วยการ ค้น ว้าหาความรู้เทคโนโลยีค้นคว้าหาความรู้ ทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีช่วย ออกแบบสิ่งประดิษฐ์ อุปกรณ์และวิธีการแก้ปัญหา รวบรวมข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลทางเทคโนโลยี เลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีวิจารณญาณ
  • 35. กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวนี้สามารถตรวจสอบ ติดตาม และประเมินได้จากการปฏิบัติงานและ ผลงานของผู้เรียน การทากิจกรรมทาให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความสามารถด้านทักษะเชาว์ปัญญา ทักษะปฏิบัติ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญญา การนาความรู้ไปใช้รวมทั้งสามารถด้านสื่อสาร ซึ่งเป็นทักษะใน การดาเนินชีวิตและทักษะทางสังคม 3. เจตคติ เป็นจิตสานึกของบุคคลที่ก่อให้เกิดลักษณะนิสัยหรือความรูสึกทางจิตใจการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนควรได้รับการประเมินเจตคติ 2 ส่วน คือ เจตคติทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์ ด้วยการสังเกตพฤติกรรมหรือคุณลักษณะของผู้เรียนที่ใช้ระยะเวลานานพอสมควรและมีการ ประเมินอย่างสม่าเสมอ โดยทั่วไปพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนด้านเจตคติมีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้ ตารางที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติกับพฤติกรรมการแสดงออก เจตคติ พฤติกรรมการแสดงออก 1.การรับรู้ 2.ตอบสนอง 3.เห็นคุณค่า 4.ระบบ 5.สร้างคุณลักษณะ 1.สนใจและรับรู้ข้อสารสนเทศหรือสิ่งเร้าด้วยความ ตั้งใจ 2.ตอบสนองต่อข้อสารสนเทศหรือสิ่งเร้าอย่าง กระตือรือร้น 3.แสดงความรู้สึกชื่นชอบ และมีความเชื่อเกี่ยวกับ คุณค่าของเรื่องที่เรียนรู้ 4.จัดระบบ จัดลาดับ เปรียบเทียบ และบูรณาการ เจตคติกับ คุณค่าเพื่อนาไปใช้หรือปฏิบัติได้ 5.เลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติในสิ่งต่างๆได้อย่าง เหมาะสม เจตคติทางวิทยาศาสตร์เป็นคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่เกิดขึ้น จากการศึกษาคาม รู้หรือการเรียนรู้หรือการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนเจตคติต่อวิทยาศาสตร์เป็นความรู้สึก ของผู้เรียนที่มีต่อการทากิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยความพอใจ ศรัทธาและซาบซึ้ง เห็น คุณค่าและประโยชน์ รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมทางวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะชี่บ่งจิต วิทยาศาสตร์ทั้งด้านเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่คาดหวังจะได้รับกรพัฒนาในตัว ผู้เรียนโดยผ่านการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย 5.3 แนวทางปฏิบัติในการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ใช้แนวทางการประเมินตามสภาพจริงด้วยการ ประเมินอย่างหลากหลายให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน โดยกาหนดวัตถุประสงค์สาคัญประกอบด้วย
  • 36. 1. วินิจฉัยผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ด้านการสืบเสาะหาความรู้การแก้ ปัญญา การสื่อสาร การนาความความรู้ไปใช้ การใช้เทคโนโลยี รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนด้านจิต วิทยาศาสตร์และโอกาสของการเรียนรู้ เพื่อนาผลประเมินที่ได้ไปเป็นแนวทางพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มตาม ศักยภาพ 2. ตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ ของสาระกาเรียนรู้กลุ่ม วิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ผลการตรวจสอบชี้บ่งคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 3. รวบรวมข้อมูลและจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพื่อมีข้อ ที่สนเทศที่สมบรูณ์ทันต่อการไปใช้พัฒนาผู้เรียนและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และเป็น แนวทางกาหนดนโยบายการศึกษาด้านวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยีให้ได้มาตรฐานที่สูงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและ มีความเท่าทันกับนานาชาติ เกณฑ์การประเมินสาหรับประเมินผลการเรียนรู้ ตามเป้าหมาย ทั้งด้านความรู้ ความคิด กระบวนการเรียนรู้ และเจตคติ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ 1.เกณฑ์รวม เป็นเกณฑ์การประเมินที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบ ภาพรวม และสรุปผลหรือรายงานผลส่วนที่เป็นประเด็นสาคัญ 2. เกณฑ์ย่อย เป็นเกณฑ์ที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้แบบแยกองค์ประกอบย่อยโดยต้องวินิจฉัย การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างละเอียดและประเมินอย่างสม่าเสมอ เพื่อให้ได้แนวทางการปรับปรุงหรือพัฒนาการ ดาเนินงาน ดังนี้ 1. กาหนดจุดประสงค์ 2. กาหนดรายการประเมิน 3. กาหนดเกณฑ์การประเมิน นอกจากนี้ข้อมูลการปฏิบัติงานและผลงงานของผู้เรียนอาจได้จาก การใช้แบบสารวจและแบบสอบถามที่สร้างขึ้น โดยทั่วไปมี 2 ลักษณะ 1.แบบสารวจรายการ และ 2. แบบ มาตรระดับหรือมาตรส่วนประมาณค่า การประเมินสมรรถภาพของผู้เรียนและการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการ ประเมินเป็นภารกิจของผู้สอนที่ต้องกระทาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แนวปฏิบัติที่เป็นไปได้ในการประเมิน ดังนี้ 1.การประเมินโดยครู 2. การประเมินโดยครูผู้สอนและผู้เรียน 3.การประเมินผลโดยผู้เรียน จะช่วยให้ความหมายที่ทาให้วิจัยเกิดความกระจ่างชัดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้นการวิจัย เชิงปริมาณจะเสนอวิธีการตัดสินว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ได้จากการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ถูกต้อง หรือไม่อย่างไรจะสามารถนาไปใช้อ้างอิงในกรณีต่างๆได้มากน้อยเพียงใดนอกจากนั้นการวิจัยเชิงปริมาณยังจะ ช่วยแก้ปัญหาข้อจากัดของการศึกษาเฉพาะกรณีของการวิจัยเชิงคุณภาพอีกด้วยจากความสัมพันธ์ของการวิจัย เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณจึงกล่าวได้ว่าการวิจัยเชิงคุณภาพจะช่วยให้เกิดความคิดความเข้าใจและความแม่นยา มากขึ้นในสินความคิดหนึ่งจาก Crewel and Plano Clark.(2007:190,2011:213-214) ว่าการผสมผสานข้อมูล เชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพทาให้นักวิจัยเข้าใจปัญหาดีขึ้นกว่าการใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียวการผสมผสานข้อมูลมี สามวิธีคือ 1.Merge The Data เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพแล้วนาผลการวิเคราะห์มา รวมด้วยกันในขั้นตอนการแปลงผล
  • 37. 2.Connect The Data เป็นการเชื่อมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกันโดยผลการ วิเคราะห์ข้อมูลชุดที่หนึ่งนาไปสู่ความต้องการของข้อมูลชุดที่สองและสาม 3. Embed The Data ผู้วิจัยให้ความสาคัญของข้อมูลสองประเภทไม่เท่ากันข้อมูลเชิงปริมาณ มากกว่าข้อมูลเชิงคุณภาพโดยที่ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณดังภาพที่ 6 Merge The Data Connect The Data Embed The Data ภาพที่ 6 วิธีการผสมผสานข้อมูลเชิงปริมาณกับข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลและการนาเสนอในรูปแบบของการผสมผสานวิธีมี 7 ขั้นตอนคือ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่เก็บร่วมรวมด้วยกระบวนการทางสถิติและเขียนสรุปข้อมูลเชิงคุณภาพ 2. นาเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ 3. แปลงข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพหรือจากข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลเชิง ปริมาณ 4. แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ผลการวิจัย ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ผลการวิจัยข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ผลการวิจัย
  • 38. 5. รวมข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อสร้างชุดข้อมูลใหม่ 6. เปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย 7. บูรณาการข้อมูลให้มีความสอดคล้องกันในคุณภาพ จากการวิจัยเพื่อการพัฒนาที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การวิจัยเป็นรูปแบบหนึ่งที่อาศัยหลักการ พัฒนาในทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้นวัตกรรมใหม่ๆ โดยมีการตรวจสอบและปรับปรุงการ ดาเนินการตามขั้นตอนการวิจัยในทุกระบบการพัฒนา ส่วนวิธีวิจัย แบบผสมผสานวิธี สรุปได้ว่า เป็นวิธีการ การผสมผสานข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมีหลากหลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับจะเลือกใช้วิธีในขึ้นอยู่กับบริบท และความเหมาะสมของงานวิจัยในแต่ละเรื่องและในแต่ละวิธีความแตกต่างกันในการให้ความสาคัญกับ ประเภทของข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทักษะการคิดและการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ วัชรา เล่าเรียนดี(2555:25-26) กล่าวว่า การได้ประเทและลักษณะของการคิดแต่ละประเภทจะช่วย ให้สามารถจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดได้อย่างเหมาะสมและทาให้มองเห็นความเกี่ยวข้อ สัมพันธ์ของการคิดประเภทต่างๆ ดังนี้ 1. การคิดรวม (convergent thinking) หมายถึงความสามารถในการคิดแบบรวมเข้าสู่เรื่องใดเรื่อง หนึ่ง ปัญหาใดปัญหาหนึ่งประเด็นในประเด็นเดียว ตัวอย่างเช่น ที่ยางรถยนต์มีตะปูติดอยู่ และมีรอยปรากฏ คาถามคือ อะไรคือสาเหตุของยางรถยนต์รั่ว (สรุปสาเหตุ ยางรถยนต์รั่ว) (Fluent thinkig) 2.การคิดแยก (Divergent thinking) หมายถึง ความสามารถในการคิดจากเรื่องหนึ่งเรื่องใด ประเด็น หนึ่งให้ๆได้หลายมุมมองในการส่งเสริมพัฒนาการการคิดแบบดังกล่าวครูสามารถใช้เนื้อหาเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ หลากหลายได้เพราะในการคิดแบบแยกประเด็นย่อยสามารถแยกความคิดให้ได้มากจากเรื่องหลัก สรุปการคิด แบบ convergent ตรงข้ามกับการคิดแบบ Divrgent แต่เป็นการคิดเกี่ยวกับการจัดการกับความรู้และ ประสบการณ์โดยตรง 3. การคิดแบบอุปนัย lnductive thinking หมาถึง การคิดให้เหตุผลจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ จากตัวอย่างหลายตัวอย่างไปสู่ข้อสรุปโดยทั่วไปที่สามารถนาใช้ได้โดยทั่วไปเช่น การสรุปเพื่อให้ได้กฎ กติกา หรือสูตรต่างๆ 4. การคิดแบบนิรนัย Deductive thinking หมายถึง การคิดให้เหตุผลจากส่วนใหญ่ส่วนน้อย จาก ข้อสรุปทั่วไปสู่ตัวอย่างย่อยๆ หรือความคิดรวมยอดย่อยๆอื่นๆ เช่น การพิสูจน์กฎกติกาต่างๆ หรือสูตรต่างๆ สรุปการคิดแบบ lnductive ตรงข้ามกับการคิดแบบ Dedutive แต่การคิดทั้งสองแบบเป็นกระบวนการให้ เหตุผล 5. การคิดระดับสูงและการคิดระดับต่า ทักษะการคิดระดับสูงและ (Lowe-order and Higher-order thinking skills)ทักษะการคิดระดับสูงและทักษะการคิดระดับต่า การคิดระดับต่าเป็นทักษะการคิดที่เป็นการ เรียนรู้และจาข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ซึ่งไม่ต้องอาศัยการคิดอย่างรอบคอบ และคิดอย่างละเอียด เพียงแต่จาก็ สามารถตอบได้ สาหรับทักษะการคิดระดับสูงหมายถึง ความสามารถทาความชัดเจนให้เกิดขึ้น การวิเคราะห์
  • 39. งาน การสร้างแนวคิด การชื่อโยง ความสัมพันธ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการวางแผนต้องอาศัยการคิด อย่างละเอียดลึกซึ้งแต่การจัดการการเรียนรู้ที่ผ่านมาครูมักจะเน้นทักษะการคิดระดับต่ามากกว่าทักษะการคิด ระดับสูงจึงควรเน้นการคิดระดับสูงให้มากขึ้น 6.การคิดแนวตั้งและคิดนอกกรอบ (Vertiecal thinking and Lateral thinkng) การคิดทั้งสอง ประเภทเป็นการคิดที่มาจาก ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ที่ให้ความหมายการคิดแบบ Vertical thinking ว่า หมายถึงการคิดหาเหตุผลด้วยหลักการและเหตุผลเช่นการคิดอย่างมีจารณาญาณ Critical thinking สาหรับ การคิดแบบนอกกรอบ Lateral thinking หมายถึงการคิดที่สร้างแนวคิดใหม่ใหม่ที่แตกต่างหลากหลายจาก เดิมเช่นการคิดอย่างสร้างสรรค์และต้องเริ่มสิ่งใหม่ 7. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (creative thinking ) หมายถึงการใช้การคิดแบบต่างๆและ ข้อมูลเกี่ยวกับหลักการเหตุผลมาใช้ในการประเมินข้อมูลสาระความรู้ต่างๆที่ได้รับซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการลาดับข้อมูลและข้อมูลเป็นส่วนย่อยๆ ศึกษาส่วนย่อยโดยละเอียดในการเปรียบเทียบความ เหมือนความเอียงในด้านใดด้านหนึ่ง บอกเหตุ ทานายเหตุการณ์ ลงข้อสรุปทั่วไป ตีความหมายข้อมูล และสรุป สาระได้ 8.การคิดสร้างสรรค์ ( Creative thinking skills) หมายถึงทักษะหรือความสามารถในการคิด สร้างสรรค์สิ่งใหม่แนวคิดใหม่ได้อย่างหลากหลายทักษะการคิดสร้างสรรค์เป็นการสร้างเสริมใหม่ใหม่สร้าง นวัตกรรมใหม่ใหม่หรือการสร้างสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เป็นสิ่งใหม่ที่ใช้ประโยชน์ให้มากกว่าเดิม (Thinking Skill Development) ทักษะการคิด( Thinking Skills) เป็นกระบวนการของการสมองโดยเฉพาะสมองส่วนซีซ้าย และซีกขวา ถ้าการคิดคือการที่เราทาความเข้าใจกับประสบการณ์ต่างๆการคิดที่มีคุณภาพจะช่วยให้เราเรียนรู้ ได้ผลยิ่งขึ้นจากประสบการณ์และยังสามารถพัฒนาสติให้ดีขึ้นอีกด้วย Marzono and others (1989อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้ให้ความหมายของทักษะการคิดเป็นกระบวนการในเหตุผลที่เกี่ยวกับงานที่ทา หรือสิ่งที่เรียนรู้เพื่อแสดงให้รู้ว่าเข้าใจเนื้อหาว่าเป็นกระบวนการให้เหตุผลที่เกี่ยวกับงานที่ทาหรือสิ่งเรียนรู้เพื่อ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจเนื้อหาและปฏิบัตินั้นซึ่งก็ต้องอาศัยคาถามต่างๆเพื่อให้ได้คาตอบที่ตรงที่ถาม ซึ่งใช้คาถามใน การส่งเสริม พัฒนาการคิดเป็นเทคนิควิธีที่สามารถใช้ได้กับผู้เรียนโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการหรือขั้นตอนที่ แน่นอนเพียงแต่ต้องอาศัยสาระความรู้หรือข้อมูลที่เป็นสี่ในการพัฒนาการคิดในทุกสาระการเรียนรู้รวมทั้งการ มีทักษะในการถามคาถามที่ครูสามารถสอดแทรกในการจัดการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระและ De Bono(1976 อ้าง ถึงในวัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้ให้ความหมายของทักษะการคิดไว้อย่างกว้างกว้างว่าการที่รู้ว่าจะทาอะไร เมื่อไหร่และทาอย่างไรใช้เครื่องมืออะไรบ้างและส่งผลที่เกิดคืออะไรทักษะการคิดแตกต่างจากความรู้และ สติปัญญาเพราะคนที่มีความรู้และสติปัญญาไม่ได้หมายความว่ามีทักษะการคิดหรือเป็นนักคิดที่มีประสิทธิภาพ (Effective Thinker) ทิศนา แขมมณีและคณะ(2544 : 105-110) ได้สรุปทักษะการคิดไว้ว่าลักษณะที่เป็น รูปธรรมที่ทาให้มองเห็นพฤติกรรมหรือการกระทาที่ชัดเจนของการคิดสามารถแบ่งได้เป็นสามระดับคือ
  • 40. 1. ทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic Thinking Skills ) หรือเป็นทักษะในการสื่อสารเช่นการฟังการพูดการ อ่านการเขียนการอธิบาย 2. ทักษะที่เป็นแกนสาคัญ (Core Thinking Skills ) เป็นทักษะการคิดที่ใช้กันมากเช่นการสังเกตุการ ระบุการสารวจการตั้งคาถามการรวบรวมข้อมูลการจัดหมดข้อมูลการเชื่อมโยงการใช้เหตุผลการจัดลาดับการ เปรียบเทียบการอ้างอิงการ 3. ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order Thinking Skills ) เป็นทักษะการคิดที่ซับซ้อนขึ้นเช่นการ นิยามการผสมผสานการปรับโครงสร้างการตั้งสมมุติฐานการกาหนดเกณฑ์การประยุกต์การวิเคราะห์การ จัดระบบการทานายการทดสอบสมมุติฐาน (Bloom 1956 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี2555:4) แบ่งพฤติกรรม ด้านการเรียนรู้ด้านความรู้( Cognitive Domain) เป็นหกระบบคือขั้นความรู้ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินค่าการจัดระดับความคิดสองระดับคือ 1.ทักษะการคิดขั้นต่า (Lower order Thinking) ประกอบด้วยการเรียนรู้ขั้นความรู้ความจาความ เข้าใจและการนาไปใช้ 2.ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order Thinking) ประกอบด้วยการเรียนรู้ขั้นวิเคราะห์สังเคราะห์และ ประเมินค่ะที่สาคัญนักการศึกษาและนักการคิดต่างก็มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าทักษะการคิดประเภทต่างๆ และระดับไม่ได้แยกจากกันแต่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทักษะการคิดคันต่างๆบางประเภทเป็นพื้นฐานของ ทักษะขั้นที่สูงขึ้นไปและทักษะการคิดขั้นสูงไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าขาดทักษะการคิดขั้นต่าอื่นๆส่วนในมุมมอง ของ Fisher (1990อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี 2555:4-5) ได้สรุปไว้ว่าทักษะในการคิดหมายถึงการที่รู้ว่าดูอะไร จะรู้ได้อย่างไรหรือการรู้ว่าไม่ได้ทาอะไรทาอะไรและทาอย่างไรนั่นเองทักษะการคิดประกอบด้วยการคิดที่ สาคัญคือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างสร้างสรรค์และการคิดแก้ปัญหาและยังสรุปอย่างกว้างกว้าง ไว้ว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณเมื่อเปรียบเทียบกับแนวคิดของ Bloom ก็คือทักษะในการประเมินผลการคิด สร้างสรรค์คือทักษะในการสังเคราะห์และการแก้ปัญหาคือทักษะการนาไปใช้และการวิเคราะห์อย่างไรก็ตาม Fisher ได้เน้นให้เห็นว่าทักษะการคิดต่างๆดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกันเช่น การคิดแก้ปัญหานั้นจะต้อง ประกอบด้วยการกาหนดปัญหาและการตั้งคาถามเพื่อการศึกษาสารวจคือการคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking ) และมีการประเมินวิธีการแก้ปัญหาซึ่งเป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) สรุปก็ คือคิดอย่างมีวิจารณญาณควรประกอบด้วยการจัดกานกับทักษะการคิดของตัวเองทุกประเภทซึ่งเป็นการคิด อย่างสร้างสรรค์ในทานองเดียวกันการคิดอย่างสร้างสรรค์ควรประกอบด้วยการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วัชรา เล่าเรียนดี(2555:4-5) ได้สรุปว่าทักษะการคิดหมายถึงความสามารถความชานาญในการคิดทุกประเภทเริ่ม ตั้งแต่ความสามารถในการจัดการกับความรู้และนาความรู้ไปใช้กับการคิดการคิดสังเคราะห์และการประเมิน การแก้ปัญหาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์
  • 41. ส่วนการสอนที่เน้นการคิดเป็นสาคัญ. วัชราเล่าเรียนดี(2555: 13-19) ได้กล่าวไว้ว่าเป็นวิธีการสอนที่ ผสมผสานการคิดระดับสูงกับหลักสูตรที่โรงเรียนนั้นใช้อยู่มาจากผลการวิจัยของกลุ่มผู้สนใจเกี่ยวกับทักษะด้าน ความรู้จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิท ซึ่งการสอนคิดด้วยวิธีต่างๆต่อไปนี้ครูสามารถประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับ แต่ละเนื้อหาสาระของหลักสูตรและวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมพัฒนาทักษะการคิดทุกแบบการสอนที่เน้น การคิดเป็นสาคัญมี4 วิธี คือ 1. การสอนคิดโดยการเลือกเนื้อหาบางส่วนจากหลักสูตร (Thinking Through Think Point Approach) ฝึกใช้ความคิดและการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์คิดแบบอื่นๆโดยครูสามารถ เลือกเรื่องหรือกาหนดหัวข้อเพื่อการฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดอย่างสร้างสรรค์ได้เพราะเรื่องที่นามาใช้ ทาได้ทันที 2.การสอนจากลักษณะของการคิดที่ดี(Thinking Throgh Dispositions Approach) โดยการนา กระบวนการคิดและทักษะการคิดแต่ละแบบมาสอนและฝึกปฏิบัติเช่นทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณหรือ ลักษณะนิสัยเจ็ดคติที่ดีเกี่ยวกับการคิดนั้นคือการมีลักษณะการคิดที่ดีแต่ละแบบแต่ละประเภทซึ่งรวมถึง แรงจูงใจค่านิยมเจ็ดคติและลักษณะนิสัยในการคิดของคนนั้นนั้นด้วยการสอนด้วยวิธีที่ปฏิบัติได้ 3. การสอนคิดโดยการถ่ายโยง(Thinking Through Transfer Strategy) หมายถึงการเชื่อมโยงเรื่องที่ เรียนเรืองเรืองชี้รู้กับสถานการณ์อื่นหรือบริบทอื่นการที่จะส่งเสริมหรือฝึกให้นักเรียนไทยอยู่ความรู้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้เรื่องอื่นครูจะต้องสนใจเอาใจใส่ต่อการถ่ายโยงความรู้อย่างจริงจังกูต้องสอนและ การถ่ายโยงความรู้หรือการเรียนรู้ซึ่งการขายอยู่ของครูนั้นสอนได้และเรียนรู้ได้เดียวกับทักษะการคิดนักเรียน ได้ฝึกการถ่ายโยงความรู้และทักษะการคิดมากเท่าใดนักเรียนจะเข้าใจในเรื่องที่เรียนลึกซึ้งมากขึ้น 4.การสอนโดยใช้การประเมิน (Thinking Through Assessment Strtegy) เป็นการสอนที่มี เป้าหมายโดยมีการกาหนดมาตรฐานลักษณะการคิดเฉพาะอย่างและทาความเข้าใจกับการปฏิบัติที่สะท้อนทั้ง จากการคิดที่นักเรียนต้องปฏิบัติได้โดยทาให้มาตรฐานนั้นชัดเจนจึงเป็นการฝึกคิดที่ใช้การประเมินผลเป็นหลัก ความหมายของความรู้ (knowledge) การประกอบกิจการหรือดาเนินการใดๆความรู้ คือ ปัจจัยสาคัญที่จะทาให้สิ่งที่ลงมือกระทานั้นประสบ ความสาเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในบางครั้งความรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเนื่องจากมีนิยามความหมายที่กว้าง หรือไม่สามารถกาหนดขอบเขตและเข้าใจได้ว่าสิ่งใดถือเป็นความรู้หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เราควรนามาปฏิบัติ ความรู้ (Knowledge)หมายถึง ความหมายของคาว่า “ความรู้” มีนักวิชาการได้ให้ความหมายหรือคา นิยามในหลายประเด็น ดังนี้
  • 42. ความรู้ หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็น ความเข้าใจและนาไปใช้ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กาหนดช่วงเวลา (สานักงาน ก.พ.ร. และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ 2548 : 8) ความรู้จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้นิยามความหมายไว้ว่า ความรู้ คือสิ่งที่ สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือจากประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบ การทางานสาหรับการประเมิน และรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่ (Davenport and Prusak) ดังนั้นสรุปได้ว่า ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง สารสนเทศที่นาไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ ประเภทของความรู้ ความรู้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวตนของเรา หรือ ความรู้ที่อยู่รูปแบบสื่อหรือเอกสาร ความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ จากพรสวรรค์ หรือเกิดจากความสามารถในการรับรู้ ของบุคคลที่เกิดจากการทาความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูดได้ เช่น ทักษะในการ ทางาน และการคิดวิเคราะห์ ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบสื่อหรือเอกสาร เป็นความรู้ที่ชัดเจนสามารถรวบรวมหรือถ่ายทอดความรู้นั้นๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เขียนหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร บันทึกเทป หรือวิธีการอื่นๆ ความรู้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เนื่องจากมีความเป็นนามธรรมสูง แต่หากศึกษาประเภทและความหมายของ ความรู้ที่มีผู้ให้คานิยามไว้อย่างกว้างขวางและมีความหลากหลาย ก็สามารถทาความเข้าใจและสามารถนา ความรู้ไปปฏิบัติได้ไม่ยาก ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถ เชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา ซึ่งในความคิดของผู้นั้นคิดว่า นิยามของคาว่า ความรู้ นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะกาหนดขอบเขตของ ความหมาย แต่ถ้าเราเริ่มจากคาว่า "ข้อมูล" หรือ "ข้อเท็จจริง" สิ่งที่ได้คือความจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น การ ดาเนินการต่าง ๆ ทาให้เกิดข้อมูล เช่น เมื่อเรามีการซื้อขายสินค้า ก็มีการจดบันทึกหลักฐาน เช่น การออก ใบเสร็จ ใบสั่งของ เอกสารกากับ เป็นรายการแสดงการดาเนินการ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าข้อมูล ข้อมูลจึงเป็นเรื่อง ของข้อเท็จจริงที่เกิดจากการกระทาของมนุษย์ เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่
  • 43. ต้องดาเนินการทั้งในระดับส่วนตัว ระดับการทางานร่วมกัน และระดับกลุ่ม องค์กร ตลอดจนระดับสังคม และ ชุมชนต่าง ๆ และความรู้นั้นก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในสมอง ( Tacit Knowledge ) อาจเรียกง่ายๆ ว่า ความรู้ในตัวคน ได้แก่ ความรู้ที่ เป็นทักษะ ประสบการณ์ ความคิดริเริ่ม พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของบุคคลในการทาความเข้าใจ สิ่ง ต่างๆ บางครั้งเรียกว่าความรู้แบบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge ) อาจเรียกว่าความรู้นอกตัวคน เป็นความรู้ที่สามารถ รวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่นการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหนังสือ ตาราเอกสาร กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน เป็นต้น บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม จากการสารวจในต่างประเทศ พบว่า แหล่งเก็บความรู้ในองค์กรหรือคลังความรู้ขององค์กรมีอยู่ใน เอกสาร ( กระดาษ ) 26% ในเอกสารอิเล็กทรอนิคส์ 20% ในฐานความรู้ ( IT ) 12% และมากที่สุดอยู่ในสมอง พนักงานถึง 42% ขณะเดียวกันก็มีผลสารวจผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศ สหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับประโยชน์และความสาคัญของการจัดการความรู้พบว่า 80% เห็นว่าการจัดการความรู้ ช่วยให้ตนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะที่ประเด็นทางด้านอื่นๆ ได้รับความสาคัญรองๆ ลงมา ความรู้ (Knowledge) คือ อะไร ความรู้ คือ สารสนเทศที่นาไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ทฤษฎี หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆ ที่มีความจาเป็น และเป็นกรอบของการผสมผสาน ระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท สาหรับการประเมินค่า และการนาเอาประสบการณ์กับ สารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน ชั้นของความรู้เป็นอย่างไร? ข้อมูล (Data) เป็น ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือเป็นกลุ่มของข้อมูลดิบที่ เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน สารสนเทศ (Information) เป็น ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลโดยรวบรวมและสังเคราะห์เอา เฉพาะข้อมูลที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่องานที่ทา ความรู้ (Knowledge) เป็น ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการจัดระบบความคิด เสียใหม่ให้เป็น “ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง” ความเฉลียวฉลาด (Wisdom) เป็น การนาเอาความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดเป็น ประโยชน์ต่อการทางานในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ
  • 44. เชาวน์ปัญญา (Intelligence) เป็น ผลจากการปรุงแต่งและจดจาความรู้และใช้ความเฉลียวฉลาดต่าง ๆในสมอง ทาให้เกิดความคิดที่รวดเร็วและฉับไว สามารถใช้ความรู้และความเฉลียวฉลาดโดยใช้ช่วงเวลาสั้น กว่า หากนาเอามาจัดลาดับเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้สาหรับมนุษย์แต่ละบุคคลจะได้ดังนี้ ประเภทของความรู้มีอะไรบ้าง 1. ความรู้ในตัวของมนุษย์หรือความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) หมายถึง ความรู้เฉพาะตัวที่เกิด จากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติของแต่ละบุคคล เป็นความรู้บวกกับสติปัญญา และประสบการณ์ 2. ความรู้เชิงประจักษ์ที่ปรากฏชัดเจน (Explicit Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอด จากบุคคลออกมาในรูปของการบันทึกตามรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสารสนเทศนั่นเอง 3. ความรู้ที่เกิดจากวัฒนธรรม (Culture Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากความเชื่อ ความ ศรัทธา ซึ่งเกิดจากผลสะท้อนกลับของความรู้ และสภาพแวดล้อมทั่วไปขององค์กร ประเภทความรู้ในตัวคนมีอะไรบ้าง ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในแต่ละบุคคล การที่ความรู้จากใครคนหนึ่งจะถูกถ่ายทอดไปยัง บุคคลอื่นได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากหากเจ้าตัวไม่ยินยอม ดังนั้นการขอรับการถ่ายทอดความรู้จากบุคคลผู้รู้เหล่านี้ จะทาได้ดังนี้ การสนทนา (Face-to-face Conversation) 2. การนาทีมและฝึกอบรม (Mentoring & Training) 3. อบรมเข้มข้น (Coaching) ประมวลผล Intelligence Data Information Knowledge Wisdom ขัดเกลา / เลือกใช้ บูรณาการ ปรับแต่ง / จดจา ประโยชน์ของการจัดการความรู้ เป้าหมายหลักของการจัดการความรู้ คือ การใช้ประโยชน์จากความรู้มาเพิ่มประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการดาเนินงานขององค์การเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์การ การจัดการ ความรู้มีความสาคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกาลังพัฒนาก็ตาม ดังนั้นการจัดการความรู้ จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสาหรับองค์กร เป้าหมายที่สาคัญของการจัดการความรู้ในองค์กรก็เพื่อปรับปรุง กระบวนการดาเนินงานทางธุรกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ปรับปรุงเทคนิค กระบวนการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ดังนั้น
  • 45. การจัดการความรู้มีประโยชน์ 8 ประการ ดังนี้ 1. ป้องกันความรู้สูญหาย การจัดการความรู้ทาให้องค์การสามารถรักษาความเชี่ยวชาญ ความชานาญ และความรู้ที่อาจสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เช่น การเกษียณอายุทางาน หรือการ ลาออกจากงาน ฯลฯ2. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ โดยประเภท คุณภาพ และความสะดวกในการเข้าถึง ความรู้ เป็นปัจจัยของการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ เนื่องจากผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจต้องสามารถตัดสินใจได้ อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ3. ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่น การทาให้ผู้ปฏิบัติงานมีความ เข้าใจในงานและวัตถุประสงค์ของงาน โดยไม่ต้องมีการควบคุม หรือมีการแทรกแซงมากนักจะทาให้ ผู้ปฏิบัติงานสามารถทางานในหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการพัฒนาจิตสานึกในการทางาน4. ความได้เปรียบในการแข่งขัน การจัดการความรู้ช่วยให้องค์การมีความเข้าใจลูกค้า แนวโน้มของการตลาดและ การแข่งขัน ทาให้สามารถลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้5. การพัฒนาทรัพย์สิน เป็นการพัฒนา ความสามารถขององค์การในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ ได้แก่ สิทธิบัตร เครื่องหมาย การค้า และลิขสิทธิ์ เป็นต้น6. การยกระดับผลิตภัณฑ์ การนาการจัดการความรู้มาใช้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต และบริการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อีกด้วย7. การบริหารลูกค้า การศึกษา ความสนใจและความต้องการของลูกค้าจะเป็นการสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้แก่ องค์การ8. การลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน การ จัดการด้านเอกสาร การจัดการกับความไม่เป็นทางการเพิ่มความสามารถให้แก่องค์การในการจังและฝึกฝน บุคลากร การถ่ายทอดความรู้ (knowledge transfer) เป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดการความรู้ (knowledge management) ซึ่งหมายความถึง การแบ่งปันความรู้ภายในองค์การที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ (Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) การจัดการวัฒนธรรมทางองค์การสาหรับการถ่ายทอดความรู้ จะเริ่มจากการกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ที่นาและสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมการทางานที่มี การสร้างความรู้ แบ่งปันความรู้ และสะสมความรู้ในทุกระดับ สภาพแวดล้อมการทางานที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ ของการจัดการความรู้ขององค์การ จะเห็นได้จาก พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทางานร่วมกันในทุก ระดับของสมาชิกองค์การ (synergetic behavior of knowledge) (Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) ซึ่งผู้ปฏิบัติต่างทางานร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานในลักษณะต่อไปนี้ 1) การเติมข้อมูลการปฏิบัติงานที่ประสบผลสาเร็จมากที่สุด (Best practices) ลงในฐานข้อมูลความรู้ ขององค์การ 2) การทาแบบประเมินและตรวจสอบประสบการณ์และข่าวสารความรู้ที่ไม่ถูกต้องของผู้ปฏิบัติ
  • 46. 3) การสอน การติวเข้ม การเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนร่วมงาน การอภิปราย และการพูดคุยอย่างเปิดเผยกับ เพื่อนร่วมงาน 4) การเขียนรายงาน และการเตรียมรายงานการวิเคราะห์งานเขียน การจัดเตรียมบันทึกเตือน ความจาส่วนตัว และรายงานให้กับเพื่อนร่วมงาน 5) การให้ข้อแนะและข้อสังเกตอย่างเปิดเผย การให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ และการให้คาตอบ สาหรับปัญหาการปฏิบัติงานแก่เพื่อนร่วมงานอย่างแข็งขัน 6) การจัดทาเอกสารเกี่ยวกับความเข้าใจในประโยชน์ สถานการณ์ หรือปัญหาที่ซับซ้อน การเขียน ลาดับขั้นตอนของการทากิจกรรมต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน และหนังสือคู่มือการปฏิบัติงานในระหว่างที่กาลัง ทางานในกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงงาน 7) การใช้ฐานข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ในการทากิจกรรมหรือภารกิจต่าง ๆ การทางานร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ของสมาชิกองค์การในทุกระดับจะเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติยอมรับ ว่า การทางานด้วยกันอย่างเปิดใจโดยปราศจากการขยักหรือปกป้องความรู้ที่ตนมีโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้นั้น จะส่งผล ให้องค์การมีความสามารถในการผลิตและนวัตกรรมมากยิ่งขึ้นมากกว่าการที่ต่างคนต่างทา การจะทาให้เกิด “ พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทางานร่วมกันในทุกระดับของสมาชิกองค์การ ” นอกเหนือไปจากการ สนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้ข่าวสารความรู้จากฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลแล้ว องค์การจาเป็นต้องสร้าง เงื่อนไขที่ต้องมีมาก่อน (preconditions) พฤติกรรมดังกล่าว สาหรับการเอื้ออานวยให้เกิดการแบ่งปันความรู้ภายในองค์การ ดังนี้ 1) ทัศนคติของความใส่ใจและความไว้วางใจในหมู่สมาชิกองค์การ ( Krogh 1998) องค์การต้องจัดทา ค่านิยมและมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่าง ๆ ในการทางานที่เป็นที่ยอมรับ ได้รับความเห็นพ้อง จากสมาชิกองค์การ และสื่อสารให้เป็นที่รู้ทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของการยอมรับความผิดพลาด และไม่ลงโทษการทาผิดพลาด และบรรยากาศของความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ เพื่อให้โอกาสแก่สมาชิก องค์การในการแก้ไขความผิดพลาด ซึ่งจะทาให้สมาชิกองค์การเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน มีความสนใจใน มุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แสวงหาความช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน มีความยืดหยุ่นในการลง ความเห็นและตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติ มีความกล้าที่จะพูดแสดงความคิดเห็น/ ความรู้สึก 2) พฤติกรรมการบริหารที่เอื้อต่อการแบ่งปันความรู้ในหมู่สมาชิกองค์การ (Nonaka and Konno 1998; Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) การแบ่งปันความรู้จะเกิดขึ้นจากการรับรู้ของผู้ปฏิบัติ ต่อองค์การที่ยึดมั่นอย่างจริงจังในค่านิยมของการส่งเสริม สนับสนุน เพิ่มค่า และดูแลความรู้ และให้การ สนับสนุนงบประมาณ เครื่องมือ วิชาการ และเทคนิคที่จาเป็นสาหรับการแบ่งปันความรู้ และต่อผู้บริหารใน การเป็นตัวอย่างของการแบ่งปันความรู้และไม่กักตุนความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารต้องทาตามที่พูดหรือ
  • 47. บอกให้ผู้ปฏิบัติทา (walk-the-talk) ผู้บริหารต้องจัดสรรเวลาสาหรับการพูดคุย รับฟังปัญหา/ ความคิดเห็น ของผู้ปฏิบัติ และอนุญาตและให้เวลาผู้ปฏิบัติเข้าร่วมเครือข่ายการจัดการความรู้ และผู้บริหารต้องเข้าร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของผู้ปฏิบัติในการแบ่งปันความรู้ด้วย 3 ) การให้รางวัลและผลตอบแทนสาหรับส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ (Davenport, Long and Beer 1998; King 1998; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) รางวัลพิเศษและการให้สิ่งตอบแทนวิธีต่าง ๆ อาจใช้เป็นแรงจูงใจภายนอกเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานตั้งใจแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ เช่น การยกย่องและการมี ชื่อเสียงสาหรับผู้ปฏิบัติที่มีส่วนเพิ่มพูนฐานความรู้ หรือมีส่วนอย่างแข็งขันในการแบ่งปันความรู้ การกาหนด ความรับผิดชอบที่ชัดเจนสาหรับผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์ให้ทาการสอน และการเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติใหม่ การให้ผู้ปฏิบัติทาการสรุปรายงานการประเมินผลโครงการ กิจกรรม หรืภารกิจต่าง ๆ ภายหลังเสร็จสิ้นการ ดาเนินงาน เพื่อเป็นการเรียนรู้อย่างเป็นระบบจากประสบการณ์ตรง ซึ่งบทเรียนที่ผู้ปฏิบัติได้เรียนรู้จะถูก วิเคราะห์อย่างเป็นระบบและเก็บไว้ให้ผู้ปฏิบัติคนอื่นใช้ต่อไป แนวคิดการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนา รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู โดยศึกษา วิเคราะห์แนวทางพัฒนาหลักสูตรของ ทาบา (Taba, 1962) SU Larning Model มาตรฐานวิชาชีพครู พ .ศ. 2556 มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ .ศ. 2552 แนวคิดการวิจัย ในชั้นเรียน (Research in effective learning environment ) การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for learning) และได้นาแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิส์ (Constructivist Learning Method : CLM) ซึ่ง ประกอบด้วยการทาความกระจ่างในความรู้การเลือกรับและทาความเข้าใจ สารสนเทศใหม่ และการตรวจสอบ ทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ตลอดจนได้ศึกษา 3P’s Model ของ Biggs (2003) SU Larning Model และได้ ศึกษาการกาหนดเกณฑ์การประเมินการเรียนรู้โดยใช้ SOLO Taxonomy และ ได้ศึกษาแนวคิดการจาแนก วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ตามแนวคิดของมาร์ซาร์โน (Marzano Taxonomy) ในด้าน cognitive domain ซึ่ง ทาให้ผู้เรียนสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายหรือภาระงานและสามารถควบคุม กากับดูแลการปฏิบัติงาน ภาระงาน ชิ้นงาน ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้ โดยผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ การสังเคราะห์ และการน าความรู้ ไปประยุกต์ใช้ ดังภาพประกอบการเปรียบเทียบวัตถุประสงค์การเรียนรู้ Blooms Taxonomyและ Marzano Taxonomy ดังนี้ 4 ) การสนับสนุนการสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (Davenport, Long and Beer 1998; Manville and Foote 1996; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) ชุมชนนักปฏิบัติเป็นเครือข่ายแบบไม่เป็น ทางการภายในองค์การที่ซึ่งผู้คนที่มีความสนใจและมีปัญหาร่วมกันมาพบปะ พูดคุยในความหมายเดียวกัน มี การพัฒนาการทางานร่วมกัน และมีข้อผูกพันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยิ่งทาให้มีความไว้วางใจและการ
  • 48. เปิดใจกันมากยิ่งขึ้นในการถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้กันอย่างเปิดเผย เครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติจึงเป็นกลวิธีที่ จะช่วยลดอุปสรรคส่วนของบุคคลและอุปสรรคทางสังคมในการแบ่งปันความรู้ ทั้งนี้ องค์การต้องสนับสนุนเลา สถานที่ เครื่องมือ ข่าวสาร วิชาการ และเทคนิคต่าง ๆ ที่จาเป็นแก่ผู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง 5 ) การประมวลผลข่าวสารความรู้ หรือ การมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (Hansen, Nohria, and Tierney 1999) นักวิชาการได้เสนอแนะกลวิธีที่มีประสิทธิผลในการจัดการกับประเด็นทางวัฒนธรรมองค์การ ในการถ่าย ทอดความรู้ไว้ 2 วิธี กลวิธีประมวลข่าวสารความรู้ (codification) มุ่งให้ความสาคัญกับเทคโนโลยี สารสนเทศ คือ ความรู้จะดึงออกจากผู้ที่ทาให้เกิดความรู้ขึ้นโดยการใช้วิธีการต่าง ๆ (เช่น แนวทางการ สัมภาษณ์ ตารางการปฏิบัติ งาน การทดสอบเพื่อวัดความสามารถในการทางานโดยเทียบเคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน ) แล้วทาการ ประมวลผลและเก็บไว้ในฐานข้อมูลความรู้ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและนาไปใช้ได้ กลวิธีการมีปฏิสัมพันธ์แบบ ตัวต่อตัว ให้ความสาคัญและดาเนินการกับการพูดคุยกันระหว่างบุคคล โดยความรู้จะถูกถ่ายทอดจากการ พบปะกันเป็นส่วนตัวและการสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นสาคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ ความรู้ที่บอกเล่าได้ยาก ” (Tacit knowledge) ระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกับกลวิธีนี้คือ ทาเนียบผู้เชี่ยวชาญ ระบบแผนที่ความรู้ ฐานข้อมูลค้นหาตาแหน่งของผู้คนซึ่งแสดงรายชื่อของบุคคลผู้ปฏิบัติควรพูดคุยด้วยเกี่ยวกับหัวข้อหรือปัญหา การปฏิบัติงานบางเรื่อง 6) รูปแบบทางโครงสร้างขององค์การที่ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ (Davenport, Long and Beer 1998) องค์การอาจต้องปรับรูปแบบทางโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของการจัดการ ความรู้ อาจทาเป็นโครงการเฉพาะที่มีสายการสั่งงานและการประสานงานในแนวราบ ทาให้ลดระยะห่าง ระหว่างผู้ปฏิบัติกับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงผู้บริหารได้ง่ายเมื่อต้องการความช่วยเหลือในงาน มีการ สื่อสารตัวต่อตัวแบบไม่เป็นทางการ ผู้ปฏิบัติมีการประสานความร่วมมือกันในการทางานภายในกลุ่มและ ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในองค์การ เพื่อให้เกิดความเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผูกพันกัน และเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ องค์การร่วมกัน (Miles, Miles, and Perrone 1998) จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยามคาว่า “ ความรู้” คือ สิ่งที่สั่งสมมาจาก การศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจหรือ สารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ องค์วิชาในแต่ละสาขา
  • 49. Hideo Yamazaki นักวิชาการชาวญี่ปุ่น ได้ให้นิยามของคาว่า “ความรู้” คือ สารสนเทศที่ผ่าน กระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่น จนเกิดเป็นความเข้าใจและนาไปใช้ประโยชน์ในการสรุป และตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่จากัดช่วงเวลา ปิรามิดแสดงลาดับชั้นของความรู้กว่าจะเป็น “ ความรู้” ได้ ก็เริ่มต้นจากการเป็น 1. “ ข้อมูล” หมายถึง ข้อเท็จจริง ข้อมูลดิบ หรือตัวเลขต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปลความ 2. “ สารสนเทศ” หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ เพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการและตัดสินใจ 3. “ ความรู้” หมายถึง สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการ ความรู้ (Knowledge) คือความเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะรวมไปถึง ความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ ความสามารถในการรู้บางอย่างนี้เป็นสิ่งสนใจ หลักของวิชาปรัชญา (ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงอย่างมาก) และมีสาขาที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ เรียกว่าญาณวิทยา (epistemology) ความรู้ในทางปฏิบัติมักเป็นสิ่งที่ทราบกันในกลุ่มคน และในความหมายนี้ เองที่ความรู้นั้นถูกปรับเปลี่ยนและจัดการในหลาย ๆ แบบ ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่ เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจา ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็น ได้ยิน หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่ง ในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคาจากัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจาอะไรได้ ระลึกได้ โดย ไม่จาเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจาได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สาคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นาไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนาความรู้
  • 50. ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความสามารถทาง สมองมากขึ้นเป็นลาดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ...... เบนจามิน บลูม (Benjamin S. Bloom อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26-28) ได้ให้ความหมายของ ความรู้ ว่าหมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการระลึกถึงสิ่งเฉพาะ วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงแบบกระสวน ของโครงการวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ โดยเน้นในเรื่องของกระบวนการทางจิตวิทยาของความจา อันเป็น กระบวนการที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดระเบียบ โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1965 บลูมและคณะ ได้เสนอ แนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้หรือพุทธิพิสัย (cognitive domain) ของคน ว่าประกอบด้วยความรู้ตามระดับต่าง ๆ รวม 6 ระดับ ซึ่งอาจพิจารณาจากระดับความรู้ในขั้นต่าไปสู่ระดับของความรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป โดยบลูมและ คณะ ได้แจกแจงรายละเอียดของแต่ละระดับไว้ดังนี้ 1. ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจาและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์ ต่างๆ 2. ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension) 3. การนาไปปรับใช้ (Application) 4. การวิเคราะห์ (Analysis) 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) 6. การประเมินผล (Evaluation ความรู้คือ สิ่งที่มนุษย์สร้าง ผลิต ความคิด ความเชื่อ ความจริง ความหมาย โดยใช้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ตรรกะ แสดงผ่านภาษา เครื่องหมาย และสื่อต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นไปตาม ผู้สร้าง ผู้ผลิตจะให้ความหมาย แนวทางการจัดการเรียนการเรียนรู้ ทฤษฎีความรู้(Theory of Knowledge: TOK) ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge : TOK) คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วย หลักการต่าง ๆ ที่จะอธิบายและทาความเข้าใจ เกี่ยวกับ ความรู้ของมนุษย์ทุก รูปแบบจากอดีตจนถึงปัจจุบัน,รวมถึงขั้นตอนการรับข้อมูลและการสร้างความรู้ของมนุษย์ มีผู้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับ ”ความรู้”และ ”การสร้างความรู้” มากมายหลายท่านในหลากหลายแง่มุม, แต่ใจ หนังสือเล่มนี้ ก็จะกล่าวถึง ทฤษฎีแห่งความรู้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนทฤษฎีใดที่ท่านต่าง ๆ ได้เคยนาเสนอมา
  • 51. ความรู้ของมนุษย์ อยู่ตรงไหน ” ทาไมจึงต้องทาความเข้าใจ ”ความรู้ของมนุษย์ ” มนุษย์ดารงชีวิตบนโลกใบนี้มานานนับล้านปี,เริ่มจากจากรูปแบบชีวิตเรียบง่าย ไม่มีสิ่งอานวยความ สะดวก,ไม่มีสังคมที่ซับซ้อน,ไม่มีวัฒนธรรมประเพณีอะไรมากมาย. มนุษย์ พยายามสะสมความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ,ผิดบ้างถูกบ้าง,สร้างรูปแบบชีวิตที่ซับซ้อนมากขึ้น, สร้างสิ่งอานวยความสะดวกมากมาย,สร้างสังคมที่ซับซ้อน เกิดเป็นโครงสร้างเชิงซ้อนที่เริ่มสับสน,วัฒนธรรม ประเพณีมากมายจนคนในสังคมเริ่มสับสนในตนเองเพราะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมากเกินไป,จนเกิดเป็น ความเครียด,เบื่อหน่าย,กดดัน,กังวล,คาถามมากมายที่ไม่มีคาตอบ,ซึ่งนาไปสู่ปัญหามากมายในที่สุด ข้อสรุป คือ - มนุษย์ไม่เข้าใจความคิดและความรู้ของตนเอง. - มนุษย์ไม่เข้าใจสังคม กระแสสังคม สิทธิและหน้าที่ของตนเอง. - มนุษย์ไม่รู้ว่าตนเองมีความเป็น ปัจเจกชน (individual) อยู่ไม่จาเป็นต้องเหมือนกับใครในโลกนี้ ไม่ ต้องเปรียบเทียบ, ไม่จาเป็นต้องตามกระแสสังคม - มนุษย์ยังไม่มีความรู้ในเรื่อง ”การเกิดความรู้ของตนเอง””การสร้างความรู้ของตนเอง” - สิ่งสาคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ คือ ”ความเข้าใจในเรื่อง ความรู้ของมนุษย์ ”เราจึงจะสามารถ แก้ปัญหา ต่างๆ ได้ตรงจุด โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์ นิยามสาหรับ โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์ ข้อมูลโดด คือ สัญญาณทุกชนิดทุกรูปแบบที่เล็กที่สุด ที่มนุษย์รับเข้าสู่สมองได้ โดยเปลี่ยนเป็น สัญญาณไฟฟ้าเคมี และสามารถจัดเก็บในเซลล์ ประสาทส่วนความจาได้ ข้อมูลที่สมองจะจดจาได้ จะต้องมีการ อ้างอิง หรือเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้อย่างน้อย 1 จุด ถ้าเป็นข้อมูลโดดที่ เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นไม่ได้ ก็จะเลือน หายไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลโดดที่เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้ และมีความหมายได้จะกลายเป็นข้อมูลเดี่ยว ข้อมูลเดี่ยว คือ ข้อมูลที่เล็กที่สุด ซึ่งบุคคลหนึ่งรับเข้าสู่สมองโดยสามารถตีความ และมีความหมายได้ เป็นที่เข้าใจและยอมรับบุคคลนั้น (เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นได้) ข้อมูลเชิงซ้อน คือ กลุ่มข้อมูลเดี่ยวที่เชื่อมโยงกันหรือกลุ่มข้อมูลเชิงซ้อน ที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม แต่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับฐานความรู้เดิมได้ ฐานข้อมูล หรือ ข้อมูลเดิม คือ ข้อมูลและความรู้ทั้งหมดของบุคคล ซึ่งได้จากการสะสมและสร้างมา ตั้งแต่เกิด
  • 52. ฐานความรู้ หรือ ความรู้เดิม คือ ความรู้ทั้งหมดของบุคคล ซึ่งได้จากการสะสม และสร้างมาตั้งแต่เกิด ความรู้ คือ ข้อมูลที่แต่ละ บุคคล สร้างให้กับตนเอง ซึ่งต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ 1. คุณสมบัติแห่งความเข้าใจ 2. คุณสมบัติแห่งการเกิดประโยชน์ - ใช้สร้างข้อมูลและความรู้ใหม่ - ใช้ในการตัดสินใจของตัวเอง 1. ตัวตนของ ”ความรู้” วัตถุประสงค์ หลักของการมีความรู้ของมนุษย์ คือ ใช้ในการตัดสินใจ ในการดารงชีวิต ของมนุษย์นั่นเอง ความรู้ของมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.1 ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ (Fact Of Nature) คือ ความรู้ที่มีอยู่ในธรรมชาติ คือสิ่งที่ เกิดขึ้นเอง, ดาเนินไปเอง, จบสิ้นเองเช่น ศาสตร์ต่าง ๆ , ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา ที่มุ่งศึกษาธรรมชาติ และความ เป็นไปในธรรมชาติ - มนุษย์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงจะสามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและหลุด พ้นจากความกลัวต่อ ปรากฏการณ์ธรรมชาติและ สิ่งอื่นๆ - มนุษย์ใช้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ อันนี้มาตัดสินใจว่า ควรจะทาหรือไม่ทา, ควรจะกลัว หรือไม่กลัวอะไร 1.2 ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น (Human knowledge) คือ ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้อง กับ ความรู้ในธรรมชาติ หรือไม่ก็ได้ เช่น สัญลักษณ์ , ภาพ, ภาษา , ประเพณี, วัฒนธรรม, ศิลปะ, สังคม , การเมือง, ระบบเศรษฐกิจ, การแพทย์, วิศวกรรม, ระบบอุตสาหกรรม,ที่มุ่งพัฒนาเพื่อมนุษย์, เพื่อสร้างความ เป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกๆด้าน - มนุษย์ใช้ความรู้ที่มนุษย์ สร้างขึ้นในการตัดสินใจว่า ควรจะทาอย่างไรกับ ครอบครัว/สังคม, ประเทศของตนเอง, จะพัฒนาชีวิต เผ่าพันธุ์ของตนเองอย่างไร, ไปในทิศทางใดแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า ”ความรู้” ที่กล่าวถึงนี้ หมายถึง ความรู้ของโลก, ความรู้ของสังคม จะยังไม่ใช่ความรู้ของเรา(บุคคล) จนกว่าเราจะสร้าง ความรู้ในสมองของเราเอง ตัวอย่าง เช่น ถ้าเรามีหนังสือมากมาย แต่ไม่อ่าน ทาความเข้าใจ เราก็จะไม่มีความรู้ใดๆ เลย
  • 53. 2. ความรู้”คือ ข้อมูล มนุษย์เรียนรู้ข้อมูลในชีวิตประจาวัน โรงเรียน, ที่ทางาน, เหตุการณ์ต่าง ๆ และนามาสร้างเป็นความรู้ของ ตนเอง, เราจะเรียนรู้วิธีการสร้างความรู้ของมนุษย์ ด้วย ”โมเดลการสร้างความรู้ของมนุษย์ " หลักการเรียนรู้ของมนุษย์ มี 2 ขั้นตอน 1. รับข้อมูล 2. เชื่อมโยงเพื่อสร้างความรู้ใหม่ คือ ขั้นตอนการรับข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้เกิดเป็นความรู้ ใหม่ - มนุษย์รับข้อมูล โดยผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทาง, โดยระบบประสาทนี้จะส่งสัญญาณไฟฟ้า เคมีไปยังสมอง โดยถูกส่งเข้าไปที่เซลล์ประสาทควบคุม ซึ่งเรียกว่า สมองส่วนควบคุม (Pre Frontal Cortex) เพื่อส่งต่อไปยัง สมองส่วนที่เป็นสมองส่วนความจา (Front Lobe) - ข้อมูลโดด คือ สัญญาณข้อมูลทุกรูปแบบที่รับรู้, รู้สึก, สัมผัสได้แต่ไม่สามารถเชื่อมโยง หรือตีความ ได้ชัดเจน - ข้อมูลที่เล็กที่สุดที่สมองตีความได้เมื่อ เข้าไปในสมองส่วนความจา จะเรียกว่าข้อมูลเดี่ยว, มีความ ซับซ้อน น้อยที่สุด ที่แต่ละบุคคล จะสามารถรับหรือเรียนรู้ได้ - บุคคลจะพยายามเชื่อมโยง ข้อมูล เดี่ยว เข้าหากันทาให้เกิดข้อมูลเชิงซ้อน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาด ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น และพยายามเชื่อมโยงกับความรู้เดิมให้เกิดเป็นความรู้ใหม่ - ถ้าข้อมูลเดี่ยว และข้อมูลเชิงซ้อน สามารถเชื่อมโยงเข้าหา ”ความรู้เดิม”ได้ก็จะเกิดเป็น ”ความรู้ใหม่ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษา ปัจจัยที่มีผลตอความรู้ ความเข้าใจ ของเจาหน้าที่เกี่ยวการตรวจสอบ ภายในของกรม ประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งผู้วิจัยไดทาการศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. แนวคดเกี่ยวกับความรูความเข้าใจ 2. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการตรวจสอบภายใน 3. แนวคดเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ความรูความเข้าใจคือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ รวมทั้ง ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ไดรับมาจากประสบการณ สิ่งที่ไดรับมาจาก การได้ยิน ไดฟังการคิด หรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขาตามที่พจนานกรม ุ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
  • 54. (2542) ได้ให้ความหมายไวและ บลูม (Bloom, 1980 อ้างถึงใน ศิพล รื่นใจชน, 2549, หนา 10) ได้จาแนก ความหมายระหว่างความรูความเข้าใจเพื่อประโยชนในการสื่อความหมาย ไวดังนี้ ความรูหมายถึง พฤติกรรม และสถานการณต่าง ๆ ซึ่งเน้นการจาไมว่าจะเป็นการระลึกถึง หรือระลึกได้ก็ตาม เป็นสภาพการณที่เกิดขึ้นสืบ เนื่องมาจากการเรียนรูโดยเริ่มต้นจากการรวบรวมสาระ ต่าง ๆ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่ขั้น ที่มีความสลับซับซ้อน ยงขึ้น โดยความรู้อาจแยกออกเป็นความรู เฉพาะสิ่งและความรูเรื่องสากลเป็นต้น ความเข้าใจเป็นขั้นตอนที่ สาคัญของการสื่อความหมายโดยอาศัยความสามารถทางสมอง และทักษะ ซึ่งอาจจะกระทาไดโดยการใช้ปาก เปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ โดยการ ทาความเข้าใจนั้นอาจไมมีผลสมบูรณเสมอไป สาหรับ พฤติกรรมความเข้าใจแบ่งไดเป็น 3 รูปแบบ คือการแปลความ การตีความ และการสรุปอ้างอิง ซึ่งมีความสอด คลองกับที่ ศิพล รื่นใจชน (2549) ได้ให้ความหมายของคาว่าความรู ตามพจนานุกรมทางการศึกษา (Dictionary of Education) ของกดู (Good, 1973) ว่าเป็นข้อเท็จจริงกฎเกณฑ์และรายละเอียดต่าง ๆที่ มนุษย์ ไดรับและเก็บรวบรวมสะสมไว้ ซึ่งคลายกับความหมายตามพจนานุกรม (The Lixicon Webster Dictionary) (The Lixicon Webster, 1997) ที่ได้ให้ คาจากัดความของความรู้ ว่าเป็นความรูเกี่ยวกับข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์โครงสร้างที่ เกิดจากการศึกษาหรือค้นหาหรือเป็นความรูเกี่ยวกับสถานที่สิ่งของหรือบุคคลที่ได้จากการสังเกตประสบการณ หรือจากรายงาน การรับรูข้อเท็จจริงต้องชัดเจนและต้องอาศัยเวลาและใกล้เคียงกับความหมายที่บลูม (Bloom, อางถึงในแสงจันทร์ โสภากาล, 2550, หนา 15-16) ได้ให้ความหมายว่าความรูเป็นเรื่อง เกี่ยวกับ การระลึกถึงเฉพาะเรื่องระลึกถึงวิธีการ กระบวนการหรือสภาพการณต่างๆ โดยเน้นความจา และสมศักดิ์ ศรี สันติสุข (2538, อ้างถึงแสงจันทร์โสภากาล, 2550, หนา 14-15) ได้ให้ความหมาย ของความรูหมายถึงการรับรู เกี่ยวกับข้อเท็จจริง เหตุการณรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดจากการสังเกต การศึกษา ประสบการณทั้งในด้าน สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมความรูพื้นฐาน หรือภูมิหลัง ของแต่ละบุคคล ที่บุคคลไดจดจาหรือเก็บ รวบรวมไวและสามารถแสดงออกมาในเชิงพฤติกรรม ที่สังเกตหรือวดได้ สาหรับ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2520, อ้างถึงใน ศรีวรรณ จึงสวัสดิ์, 2548, หน้า 4) ไดให้ความสาคัญต่อพฤติกรรมมนุษย์ในด้านที่เกี่ยวกับความรู ความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ รวมทั้ง ศึกษาถึงการพัฒนาความสามารถทักษะทางสตปัญญาและการใช้ วิจารณญาณของมนุษย์เพื่อ ประกอบการตัดสินใจ จากแนวคิดต่าง ๆ ผูวิจัยสามารถสรุปความหมายดังนี้ความ รูและความเข้าใจเป็นกระบวนการ รับรูเรื่องราวหรือข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และสามารถรวบรวม หรือ แยกแยะในประเด็นต่าง ๆ ไดอย่างละเอียดและสามารถลาดับขั้นตอนไดอย่างชัดเจน จิตวิทยาศาสตร์ (Scientific mind)
  • 55. จิตวิทยาศาสตร์ หมายถึง ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความ มุ่งมั่น อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับ ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุผล การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ จิตวิทยา มาจากคาในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คา คือ Psyche หมายถึง จิตวิญญาณ (mind, soul) กับคาว่า Logos หมายถึง ศาสตร์ วิชา วิทยาการ (science, study) (กันยา สุวรรณแสง, 2542, หน้า 11) จิตวิทยา หมายถึง วิชาว่าด้วยจิต วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยปรากฏการณ์พฤติกรรม และ กระบวนการของจิต (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, หน้า 312) จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรม โดยเน้นพฤติกรรมทางจิตของบุคคลทั่วไป (ปราณี ราม สูต, 2542, หน้า 2) จิตวิทยา คือ การศึกษาพฤติกรรมกระบวนทางจิตเชิงปรนัย เป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างขวาง เป็น องค์ความรู้ทั้งเชิงศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คลอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ทั้งทางกาย สังคม อารมณ์ จิตใจ ความคิดสติปัญญา จุดมุ่งหมายสาคัญของการศึกษาศาสตร์สายนี้คือ เพื่อที่จะเข้าใจ อธิบาย ทานาย พัฒนาและควบคุมพฤติกรรมด้านต่าง ๆ (จิราภา เต็งไตรรัตน์ และคนอื่น ๆ, 2550, หน้า 29) จิตวิทยาเป็นวิชาที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษาทาง วิทยาศาสตร์ (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546, หน้า 12) จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนาข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ที่ได้จากแนวคิดทฤษฎี และการทดลอง นามาเสนอเพื่ออธิบายและควบคุมพฤติกรรมทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ (สุปราณี สนธิ รัตน์ และคณะ, 2537, หน้า 1) จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม และกระบวนการทางจิตซึ่งหมายถึง ทั้งพฤติกรรม ภายนอก พฤติกรรมภายใน โดยที่บุคคลอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ (วิไลวรรณ ศรีสงคราม และคณะ, 2549, หน้า 2) จิตวิทยา (psychology) คือ การศึกษาเรื่องของจิตใจ พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของคนและสัตว์ โดยวิธีการทดลอง สังเกต สารวจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มักเน้นการศึกษาแต่ละคนหรือกลุ่มเล็ก ๆ มากกว่า แบ่งเป็นแขนงต่าง เช่น จิตวิทยาการทดลอง (experimental psychology) เน้นวิธีการศึกษากระบวนการทาง จิตใจและพฤติกรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาอาชีพ จิตวิทยาคลินิก (วิทยากร เชียงกูล, 2552, หน้า 191)
  • 56. จิตวิทยา คือ (1) ศาสตร์สาขาหนึ่งที่ศึกษาพฤติกรรม การกระทา หรือกระบวนการทางจิตใจ (2) ศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดของชีวิต รวมถึงระบบของร่างกายที่เกี่ยวกับพฤติกรรม การทางานของประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว ปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม พัฒนาการ ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม กระบวนการทางปัญญาที่อยู่ในจิตสานึกและจิตใต้ สานึกสุขภาพจิตและความผิดปกติทางจิต พลวัตของพฤติกรรม การสังเกต การทดสอบ และการทดลอง การ ประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยา เช่น การจ้างงาน การจัดการศึกษา เรื่องเกี่ยวกับจิตบาบัด และพฤติกรรมของ ผู้บริโภค (ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 323-324) จิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต (กระบวนการของจิต) สมอง หรือกระบวนความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งครอบคลุมถึงอารมณ์ การนึกคิด รับรู้พฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ (สงกรานต์ ก่อธรรมนิเวศน์, 2552, หน้า 300) จิตวิทยา คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งศึกษาถึงเรื่องราวของพฤติกรรมของมนุษย์ เนื้อหาวิชาของจิตวิทยา นั้นผิดแผกแตกต่างกันไปตามแต่แขนงวิชาของจิตวิทยา จิตวิทยาบางแขนงเน้นศึกษาในเรื่องหนึ่ง ส่วนจิตวิทยา แขนงหนึ่งอาจเน้นไปศึกษาอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ จิตวิทยาอาจหมายถึง วิชาการที่ศึกษาถึงกระบวนการของจิตใจ หรือศึกษาถึงกระบวนการของตัวตน หรือการกระทาก็ได้ จิตวิทยาแตกแยกออกไปเป็นหลายพวกหลายสกุล การจัดจาแนกสกุลจิตวิทยาอาจจะทาได้หลายทัศนะ แต่ละทัศนะก็มีหลักยึดในการจัดจาแนกแตกต่างกัน เช่น การจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถือเอาระบบและระเบียบวิธีการศึกษาเป็นเกณฑ์ การจาแนกสกุลจิตวิทยาโดย ถือเอาลักษณะธรรมชาติของข้อมูลทางจิตวิทยาเป็นหลัก และการจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถือเอาอินทรีย์ที่มุ่ง ศึกษาเป็นเกณฑ์ (เดโช สวนานนท์, 2520, หน้า 203) จิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถ วัดได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และการรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์เป็นระเบียบ ระบบ สมัยโบราณ จิตวิทยา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับจิตเนื่องจากเห็นว่า จิตของมนุษย์เป็นสิ่งสาคัญที่ทาให้บุคคลมีพฤติกรรมแตกต่าง กันและต่างไปจากสัตว์หรือชีวิตอื่น ๆ ต่อมาภายหลังจากการพัฒนาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความรู้ทางสรีรวิทยา แนวการศึกษาทางจิตวิทยาจึงเปลี่ยนมาที่การกระทาของบุคคล และธรรมชาติ ของมนุษย์ (ทรงพล ภูมิพัฒน์, 2538, หน้า 24) สรุปความหมายของจิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม หรือกิริยาอาการของมนุษย์รวมถึง ความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้าง ในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทาให้เกิด พฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทาให้สามารถคาดคะเน หรือพยากรณ์ได้โดยใช้แนวทางหรือวิธีการทาง วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์
  • 57. ขอบข่ายของจิตวิทยา โดย เติมศักด์ คทวณิช จิตวิทยาแตกแขนงออกไปเป็นหลายสาขา โดยจะเน้นศึกษาพฤติกรรมในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของแต่ละสาขา ซึ่งสามารจาแนกออกเป็นสาขาต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้ (เติมศักด์ คทวณิช, 2546, หน้า 15-16) 1. จิตวิทยาทั่วไป (general or pure psychology) เป็นจิตวิทยาที่มุ่งศึกษาถึงกฎเกณฑ์ ทฤษฎี พื้นฐานทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมโดยทั่วไปของมนุษย์ 2. จิตวิทยาทดลอง (experimental psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละด้าน เช่น การเรียนรู้ การจา การลืม โดยใช้การทดลองเป็นหลักสาคัญในการศึกษาและ นาผลที่ได้จากการทดลองไปสร้างเป็นทฤษฎีและกฎเกณฑ์เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิชาแขนงต่าง ๆ 3. จิตวิทยาเชิงสรีรวิทยา (physiological psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายของ มนุษย์อันเป็นพื้นฐานของการเกิดพฤติกรรมโดยเน้นเกี่ยวกับโครงสร้างหน้าที่การทางานของอวัยวะต่างๆ ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมโดยเฉพาะ 4. จิตวิทยาพัฒนาการ (developmental psychology หรือ genetic psychology)เป็นจิตวิทยาที่ ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิสนธิ การเจริญเติบโตและการพัฒนาการของมนุษย์ใน ระยะต่าง ๆ ตลอดจนอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อนาความรู้ที่ได้ ไปพัฒนาสมาชิกใหม่ตั่งแต่แรกเกิดเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป 5. จิตวิทยาสังคม (social psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และ พฤติกรรมของบุคคลในสังคม งานของนักจิตวิทยาสังคมส่วนใหญ่จึงเป็นการศึกษา สารวจมติมหาชน การเกิด และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ตลอดจนค่านิยมของแต่ละเชื้อชาติและวัฒนธรรมเพื่อสรุปเป็นกฎเกณฑ์และ ทฤษฎีสาหรับอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละสังคม 6. จิตวิทยาการศึกษา (education psychology) เป็นจิตวิทยาที่นาเอากฎเกณฑ์และทฤษฎีทาง จิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนการสอน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริง ตรงตามปรัชญาการศึกษา 7. จิตวิทยาคลินิก (clinical psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาถึงสาเหตุความผิดปกติทางด้าน พฤติกรรมของบุคคล เพื่อหาทางบาบัดรักษาบุคคลที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ พฤติกรรม และมีอาการป่วยทาง จิตใจ รวมทั้งหาวิธีป้องกันแก้ไข ตลอดจนส่งเสริมให้คนมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น 8. จิตวิทยาให้คาปรึกษา (counseling psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาถึงเทคนิคและวิธีการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บุคคลที่กาลังประสบปัญหาได้เข้าใจและเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
  • 58. 9. จิตวิทยาอุตสาหกรรม (industrial psychology) เป็นจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการ ทางานของบุคคลในโรงงานอุตสาหกรรมในแง่ของประสิทธิภาพในการทางาน วิธีการสร้างขวัญและแรงจูงใจใน การทางาน การคัดเลือกบุคคลเข้าทางานตลอดจนวิธีการประเมินผล การทางานของบุคคลในสถาน ประกอบการทั้งหลาย ทั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อค้นหากระบวนการ และวิธีการที่จะทาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการทางาน 10. จิตวิทยาเปรียบเทียบ (comparative psychology) เป็นการศึกษาเรื่องความเหมือนและความ แตกต่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ตอนที่ 2 แนวทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การวิจัยและพัฒนา แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องการวิจัยและพัฒนา เป็นหลักการแนวคิดที่สาคัญและเป็นกระบวนการที่นาไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดอย่างมี วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ มุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน รายละเอียดดังนี้ การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) เป็นการศึกษาที่เป็นทั้งการวิจัยขั้น พื้นฐาน (Basic Research) และการวิจัยประยุกต์ (Applied Research) การศึกษาในส่วนที่เป็นการวิจัย พื้นฐานนั้นเป็นการศึกษาที่มุ่งหาความรู้ความจริงเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ กฎเกณฑ์ในการหาความรู้ทาง วิชาการ ส่วนการศึกษาที่เป็นการวิจัยประยุกต์เป็นการศึกษาที่มุ่งการนาผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ กาวิจัยและ พัฒนามีเป้าหมายเช่นเดียวกับการวิจัยประเภทอื่นๆ คือ แสวงหาและพัฒนาความรู้ แต่ต่างกันในขั้นตอนของ การดาเนินการวิจัย คือ เป็นการวิจัยก่อนแล้วนาผลมาจากการวิจัยมาพัฒนานวัตกรรมไปใช้สู่การพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขนวัตกรรมให้ตอบสนองผู้ใช้ (มาเรียม นิลพันธุ์.2555: 13-230) จึงอาจกล่าวไว้ว่าการวิจัยและ พัฒนาเป็นการวิจัยรูปแบบหนึ่งที่มีการพัฒนาทุกขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ นราศรี ไววนิชกุล และชูศักดิ์ อุดมศรี (2533 : 12) จาแนกการวิจัยและพัฒนาไว้ 3 ประเภท ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ 1.การวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เป็นการศึกษาค้นคว้าในทางทฤษฎีหรือในห้องทดลอง เพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับ สมมติฐานของปรากฏการณ์และความจริงที่สามารถสังเกตได้ โดยที่ยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน หรือ เฉพาะเจาะจงในการนาผลการวิจัยไปใช้ในงานปฏิบัติ 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็น การศึกษาค้นคว้าเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ โดยมีวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายเบื้อต้นที่จะนาผลการวิจัยไปใช้ ประโยชน์ในการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง และ 3.การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งเป็น การศึกษาอย่างมีระบบ นาความรู้ที่มีอยู่แล้วจากการวิจัยหรือจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงานประดิษฐ์สิ่ง ใหม่ๆ ผลผลิตและเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อสร้างขบวนการระบบและการให้บริการใหม่ๆขึ้นและปรับปรุงสิ่งที่ ประดิษฐ์หรือก่อตั้งขึ้นแล้วให้ดีขึ้น การวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methodology) โดยการผสมผสานนั้นเกิดขึ้นภายในขั้นตอนของ การวิจัย อาจเน้นไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพไปพร้อมกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ น่าเชื่อถือ (Creswell.2002 : 210) และสอดคล้องกับ มาเรียม นิลพันธุ์ (2551 : 310) ได้กล่าวถึงการวิจัยแบบ
  • 59. ผสมผสานวิธี ว่าเป็นการวิจัยเพื่อค้นหาความรู้ความจริงจะสมบรูณ์ได้ต้องอาศัยทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิง ปริมาณช่วยเสริมซึ่งกันและกัน การวิจัยเชิงคุณภาพ ตอนที่ 2 คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับ นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขา วิชาชีพครู คาชี้แจง คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตร บัณฑิต สาขา วิชาชีพครูคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี จัดทาขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อ เป็นพื้นฐานใน การพัฒนาให้มีความรู้ สมรรถนะในการนาหลักสูตรไปใช้ “จัดการเรียนรู้” เพื่อส่งเสริม Meta cognition นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครูหรือผู้ที่ต้องการได้รับความรู้ความเข้าใจในการ เรียนรู้ เพื่อส่งเสริม Meta cognition ได้ศึกษาคู่มือการใช้ให้เข้าใจเป็นอย่างดีก่อนที่จะนา ไปใช้ ส่วนประกอบ ของคู่มือ คู่มือการใช้รูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขา วิชาชีพครู คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี มีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 1. หลักการ 2. แนวคิด ทฤษฎี 3. วัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล และภาพประกอบ DRU Model 1. ความเป็นมาของรูปแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ครูมีบทบาทอย่างมากต่อพัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียน ครูที่มีความรู้ มีความสามารถ มีสมรรถนะ ในการสอนสูง มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ ส่งผล ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงเช่นเดียวกัน และผล การเรียนของนักเรียนแตกต่างกันก็ขึ้นอยู่ กับ คุณภาพการสอนของครูเช่นกัน (มาร์ซาโน , Marzano Waters 2009, อ้างถึงใน วชัรา เล่าเรียนดี, 2556: 325, พิณสุดา สิริรังธศรี, 2557) ซึ่งสอดคล้องกับ สานักงานพัฒนา การศึกษาของประเทศสิงคโปร์(Office of Teacher Education, National Institute of Education Singapore, 2014) ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดการศึกษา และพัฒนา ให้แก่ครูและผู้บริหารโรงเรียน และเป็นผู้พัฒนากรอบคุณลักษณะของ ครูสิงคโปร์ ในศตวรรษที่ 21 ที่พึงประสงค์ โดยที่การพัฒนาครูให้เป็นมืออาชีพในศตวรรษที่ 21 สิงคโปร์เน้นการเตรียมและพัฒนาครูใน 3 ด้าน ดังนั้น 1) เจตคติและค่านิยม 2) ทักษะ 3) ความรู้ 2 ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการจัด การศึกษาใหม่คุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งครูในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นครูมืออาชีพที่รอบรู้ทั้งเนื้อหาวิชาการ และวิธีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สังคมและเทคโนโลยีเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพและ สังคมไทยมีคุณภาพสามารถแข่งขันกับ สังคมโลกได้ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ: 2543) จาก ความสาคัญ ของครูที่มีผลต่อคุณภาพการศึกษา ทาให้ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุม ดูแลผลิต หรือการใช้ครูกาหนดหลักเกณฑ์ ต่างๆ เพื่อให้การศึกษา ของประเทศไทยมีคุณภาพ ดังนั้น คุรุสภาซึ่งเป็น องค์กร ที่มีหน้าที่หลักในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอน ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพครู กากับ ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมท้ังการพัฒนา วิชาชีพ กาหนดนโยบายและ แผนพัฒนาวิชาชีพ ประสานส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบ วิชาชีพ โดยคุรุสภา ได้ กาหนดข้อบังคับคุรุสภาว่า ด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ .ศ.2556 สรุปประเด็นสาคัญของผู้ ประกอบวิชาชีพครูได้ ว่า ครูต้องประพฤติปฏิบัติตามข้อกาหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณภาพที่พึงประสงค์ ตาม มาตรฐานความรู้ และประสบการณ์วิชาชีพครู มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน โดยผู้ ประกอบวิชาชีพครู ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ากว่า ปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภา รับรอง โดยมี มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้ (ก) มาตรฐานความ รู้ประกอบด้วยความรู้ ดังต่อไปนี้ 1)
  • 60. ความเป็นครู2) ปรัชญาการศึกษา 3) ภาษาและวัฒนธรรม 4) จิตวิทยาสาหรับครู 5) หลักสูตร 6) การจัดการ เรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 8) นวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศ ทางการศึกษา 9) การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 10) การประกันคุณภาพการศึกษา 11) คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ (ข) มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ตาม หลักสูตร ปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่า หนึ่งปีและผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติ การสอนตาม หลักเกณฑ์วิธี การและเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภา กาหนดดังต่อไปนี้ 1) การฝึกปฏิบัติ วิชาชีพระหว่าง เรียน 2) การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ นอกจากนั้น ผู้ประกอบวิชาชีพครู ต้องมี มาตรฐานการ ปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้ 1) ปฏิบัติ กิจกรรมทางวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ 2) ตัดสินใจปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน 3) มุ่งมั่น พัฒนาผู้เรียนให้เติบโตเต็มตาม ศักยภาพ 4) พัฒนา แผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้จริงในชั้นเรียน 5) พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพอยู่เสมอ 6) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์โดยเน้น ผล ถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน 7) รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ 8) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ ดีแก่ผู้เรียน 9) ร่วมมือกับ ผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ 10) ร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์ 11) แสวงหาและใช้ข้อมูล ข่าวสารในการพัฒนา 12) สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ และผู้ ประกอบวิชาชีพครู ต้องมี มาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่า ด้วย จรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556 (สานักงานเลขาธิการคุรุสภา 2556 : 11-22) นอกจากคุรุสภาที่เป็น องค์กรวิชาชีพในการกากับดูแลให้ผู้ ประกอบวิชาชีพครูเป็นไปตามมาตรฐาน วิชาชีพครูแล้วยังมีหน่วยงานที่ ดูแลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่ง ได้กาหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2552และนาเสนอกรอบแนวคิด การผลิตครูยุค ใหม่ (สานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา , 2554: 6-7) ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (learning outcomes) หรือความสามารถ หลัก (core competencies) ของผู้เรียนเป็นสาคัญ ได้ผสมผสานแนวความคิด เรื่องการเรียนรู้และทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ไว้ด้วย รวมทั้งเสนอให้มีระบบ สนับสนุนการผลิตครู ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ทั้งการออกแบบ หลักสูตรที่ สอดคล้องกับ เกณฑ์ มาตรฐานหลักสูตร กรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และ มาตรฐาน วิชาชีพครูของกระทรวงศึกษาธิการ การพัฒนาวิชาชีพครูและ การสร้างสภาพแวดล้อม สนับสนุนการ ผลิตครู ยุค ใหม่โดยกาหนดมาตรฐานผลลัพธ์ การเรียนรู้ครูยุค ใหม่ดังนั้น 1)ด้านคุณธรรม จริยธรรม แสดงออก ซึ่ง พฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม และ จรรยาบรรณวิชาชีพครูมีคุณธรรมที่เสริมสร้างการพัฒนา ที่ยั่งยืนมี ความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความเข้าใจผู้อื่น เข้าใจโลก มีจิตสาธารณะเสียสละและเป็นแบบอย่างที่ดี สามารถจัดการและคิดแก้ปัญหาทางคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครูเชิงสัมพัทธ์ โดยใช้ดุลยพินิจ ทาง ค่านิยม ความรู้สึกของผู้อื่นประโยชน์ของสังคมส่วนรวม 2) ด้านความรู้มีความรอบรู้ในด้านความรู้ทั่ว ไป การ เรียนรู้ใน ศตวรรษที่21 วิชาชีพครูและวิชาที่จะสอนอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งและเป็นระบบ มีความตระหนัก รู้ หลักการและทฤษฎีในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างบูรณาการ ทั้งการบูรณาการ ข้ามศาสตร์และการบูรณา การกับโลกแห่งความเป็นจริง มีความเข้าใจความก้าวหน้าของความรู้เฉพาะด้านในสาขาวิชาที่จะสอนอย่าง ลึกซึ้ง ตระหนักถึงความสาคัญของ งานวิจัยและการวิจัยในการต่อยอดความรู้มีความสามารถ ในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่าองค์ความรู้ และสามารถ นาไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานวิชาชีพครู
  • 61. อย่างมี ประสิทธิภาพ 3)ด้านทักษะทางปัญญา สามารถคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง คิดค้นหาข้อเท็จจริง ทาความ เข้าใจ และ ประเมินข้อมูลสารสนเทศและแนวคิด จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อใช้ใด้ในการปฏิบัติงาน การวินิจฉัย แก้ปัญหาและทา การวิจัยเพื่อ พัฒนางานและองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองคิดแก้ปัญหาที่มีความ สลับซับซ้อน เสนอ ทางออกและนาไปสู่การแก้ไขไดอย่างสร้างสรรค์โดย คานึงถึงความรู้ทางภาคทฤษฎี ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ และผลกระทบจากการตัดสินใจ มีความเป็นผู้นาทางปัญญา ในการคิดพัฒนางาน อย่างสร้างสรรค์มีวิสัยทัศน์มี ความคิดริเริ่มและการพัฒนาศาสตร์ทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์รวมทั้งการ พัฒนาทางวิชาชีพอย่างมีนวัตกรรม มาตรฐานผลลัพธ์ การเรียนรู้ของครูยุค ใหม่ 4) ด้านทักษะความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลและ ความรับผิดชอบ มี ความไวในการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น มีมุมมองเชิงบวก มี วุฒิภาวะทางอารมณ์และทางสังคม มี ความเอาใจใส่ช่วยเหลือและเอื้อต่อการแก้ปัญหาในกลุ่ม และระหว่าง กลุ่มได้อย่าง สร้างสรรค์มีภาวะผู้นา และผู้สอนตาม ที่ดีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน และมีความรับผิดชอบ ต่อ ส่วนรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม 5) ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความไวใน การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารทั้งที่ เป็นตัวเลขเชิงสถิติหรือคณิตศาสตร์ ภาษาพูด- เขียน อันมีผลให้สามารถเข้าใจ องค์ความรู้ หรือประเด็นปัญหา ได้อย่างรวดเร็ว มีความสามารถใน การใช้ดุลยพินิจที่ดีในการประมวลผล แปล ความหมาย และเลือกใช้ข้อมูล สารสนเทศโดยใช้เทคโนโลยี สารสนเทศได้อย่างสม่าเสมอ และต่อเนื่อง มี ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูดการ เขียน และนา เสนอด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสม สาหรับบุคคลและกลุ่มที่มีความแตกต่างกัน 6)ด้านทักษะการ จัดการเรียนรู้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ ที่มีรูปแบบ หลากหลาย ทั้งรูปแบบที่เป็นทางการรูปแบบ กึ่งทางการและ รูปแบบไม่เป็นทางการอย่าง สร้างสรรค์มีความเชี่ยวชาญ ในการจัดการเรียนรู้สา หรับผู้เรียนที่ หลากหลาย ทั้งผู้เรียน ที่มีความสามารถพิเศษ ผู้เรียนที่มีความสามารถ ปานกลาง และผู้เรียนที่มีความต้องการ พิเศษอย่างมีนวัตกรรม มีความเชี่ยวชาญใน การจัดการเรียนรู้ในวิชาเอกที่จะสอน อย่างบูรณาการ มี ความสามารถใช้ภาษาต่างประเทศ ในการเรียนการสอน สามารถจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะ ที่จาเป็นต่อการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จากมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ของ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาทั้ง 6 ด้าน ดังกล่าวข้างต้นมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สภาพสังคมและทักษะที่สาคัญในศตวรรษที่ 21 ซึ่ง เป็นความสามารถสาคัญที่ครูต้องสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อ สร้างทักษะที่จาเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นอกเหนือจากความสามารถด้านอื่นๆ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันผลิตครูที่เปิดสอน ทั้งในระดับปริญญาตรีระดับ ประกาศนียบัตรและระดับปริญญาโท ซึ่งหลักสูตรในแต่ละระดับได้รับการรับรอง จากสานักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา และคุรุสภา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู เป็น หลักสูตรซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้จบ การศึกษาสาขาอื่นแล้วต้องการเป็นครู สามารถศึกษาต่อยอดโดยจะศึกษา เฉพาะวิชาชีพครูตามมาตรฐาน และ ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี เมื่อสาเร็จ การศึกษาแล้วสามารถใช้คุณวุฒิในการขอรับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ตามแนวทางที่คุรุสภากาหนดได้ ทั้งในปีการศึกษา 2557 คุรุสภาได้กาหนดให้ เปิดรับเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพครูในหน่วยงานต้นสังกัดต่างๆ ที่ ยังไม่มีคุณวุฒิปริญญาทางการศึกษา เข้าศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครูโดยต้องได้รับการ รับรองจากสถานศึกษาว่าได้ทาการสอนจริง เพื่อ แก้ปัญหาให้กับครูที่สอนในสถานศึกษาแต่ไม่มีใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพครูเนื่องจากสถานศึกษาไม่สามารถ สรรหาผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูมาดาเนินการ สอนได้ (ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาในการประชุมครั้งที่1/2557 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 และ
  • 62. ครั้งที่2/2557 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557) จากการที่ผู้วิจัยเป็นผู้สอนรายวิชาการจัดการเรียนรู้และการ จัดการชั้นเรียน (Learning and Classroom Management) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 ซึ่งเป็น รายวิชาที่คุรุสภากาหนดสาระความรู้และสมรรถนะของ ผู้ประกอบวิชาชีพครูตามมาตรฐานความรู้ ประกอบด้วยสาระความรู้5 สาระ คือ 1) หลักการแนวคิด แนวปฏิบัติ 5 เกี่ยวกับการจัดทาแผนการเรียนรู้ การ จัดการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ 2) ทฤษฎีและรูปแบบการ จัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และแกปัญหาได้ 3) การบูรณาการการเรียนรู้แบบ เรียนรวม 4) การจัดการชั้นเรียน 5) การพัฒนาศูนย์การเรียนในสถานศึกษา และได้กาหนดสมรรถนะให้ ผู้เรียนมีความสามารถจัดทา แผนการ เรียนรู้และนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลจริงและสามารถสร้างบรรยากาศการจัดการชั้นเรียนให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาดังกล่าวพบว่า นักศึกษามีปัญหาในการจัดทา แผนการจัดการเรียนรู้การ ออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การกาหนดวิธีการและเครื่องมือการวัดและ ประเมินผล โดยเฉพาะการ จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์และ แก้ปัญหาได้ จากการไปนิเทศ การปฏิบัติการสอนนักศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 ซึ่งได้สัมภาษณ์ แบบเจาะลึก (Indepth Interview) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูพี่เลี้ยงของนักศึกษาอาจารย์นิเทศที่นิเทศ พบว่าผู้บริหารสถานศึกษา และครูพี่เลี้ยง ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกัน สรุปได้ว่า นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพครูส่วน ใหญ่ขาดความรู้ และทักษะในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มักจะสอนโดยการบรรยายมากกว่า การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เนื่องจากเกรงว่า จะสอนเนื้อหาไม่ทัน มีปัญหาในการการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเฉพาะ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สามารถออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุตาม จุดประสงค์ หรือวัตถุประสงค์ที่กาหนดการวัดและประเมินผลส่วนใหญ่ให้ผู้เรียนทาแบบฝึกหัดและ แบบทดสอบ ไม่ สามารถออกแบบวิธีการและเครื่องมือการวัด และประเมินผลให้สอดคล้องกับ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ตลอดจนไม่มีการผลิตสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งสอดคล้องกับ รายงาน การวิจัย สภาพปัญหาและแนวทางแก้ปัญหา การจัดการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียนใน ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา , 2552: ค-ง) ซึ่งสรุปสภาพและปัญหา การ จัดการเรียนการสอนด้านครูผู้สอนพบว่า การจัดการเรียนการสอนของครูส่วนใหญ่เน้นการบรรยายและยัง ใช้ สื่อนวัตกรรมการสอนน้อยโดยครูยังใช้การสอนแบบครูเป็นศูนย์กลางไม่นิยมใช้สื่อการเรียนการสอนและ นวัตกรรม ครูส่วนใหญ่จัดทา แผนการจัดการเรียนรู้แต่ไม่ได้จัดการเรียนรู้ตามแผน สอนตามความเคยชินและ ประสบการณ์เดิม ครูส่วนหนึ่งใช้แผนการจัดการเรียนรู้ของสานักพิมพ์เอกชน แต่ไม่ได้จัดกิจกรรมการเรียนการ สอนตามแผนดังกล่าว สาหรับสภาพและปัญหาด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่า ครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้สื่อการ เรียนการสอนไม่หลากหลายส่วนใหญ่ใช้สื่อที่เป็นหนังสือแบบเรียนมากเกินไป ไม่ใช้สื่อประกอบการสอน ครู ขาดความรู้และทักษะในการผลิตพัฒนาและเลือกใช้สื่อการเรียน การสอน ส่งผลให้สื่อและเทคโนโลยีที่ใช้ใน การเรียนการสอนไม่เหมาะสมกับผู้เรียน และสภาพและปัญหาด้านการวัดและประเมินผลการเรียน พบว่า ครู ใช้วิธีการวัดและประเมินผลไม่เหมาะสม ทั้งนั้นเนื่องจากครูส่วนหนึ่งขาดความรู้ความเข้าใจในการวัดและ ประเมินผลการเรียนที่เหมาะสม ขาดทักษะในการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือวัดและประเมินผล การสร้าง ข้อสอบส่วนใหญ่เป็นการวัดด้านความรู้ความจา และจากการศึกษางานวิจัยเรื่องการศึกษาสภาพและปัญหา การ 6 เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ในโรงเรียนเอกชนระดับ ประถมศึกษาสังกัดสานักบริหารงาน คณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานครเขต 3 (นิวัตร คามี, 2549: บทคัดย่อ ) พบว่าผล
  • 63. การ เปรียบเทียบครูผู้สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญในโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษา สังกัดสานักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานครเขต 3 จาแนกตามภูมิหลังของครูผู้สอน ดาเนินการ วิจัยเชิงสารวจจากกลุ่มตัวอย่างครูผู้สอนในโรงเรียนเอกชนระดับ ประถมศึกษา สังกัดสานักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 3 ปี การศึกษา 2547 จานวน 359 คน ผลการวิจัยเปรียบเทียบครูผู้สอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ ในโรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษา พบว่า สภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ของครูผู้สอนที่จบวุฒิทางครูกับผู้ไม่จบวุฒิทางครูแตกต่างกัน ปัญหาในการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญของครูผู้สอนที่จบวุฒิ ทางครูกับผู้ไม่จบวุฒิ ทางครูแตกต่าง กัน แนวคิดการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อส่งเสริม Meta cognition สาหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตร สาขาวิชาชีพครู โดยศึกษาวิเคราะห์แนวทางพัฒนาหลักสูตรของ ทาบา (Taba, 1962) SU Larning Model มาตรฐานวิชาชีพครู พ .ศ. 2556 มาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ .ศ. 2552 แนวคิดการวิจัยในชั้นเรียน (Research in effective learning environment ) การออกแบบการ เรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for learning) และได้นาแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอน สตรัคติวิส์ (Constructivist Learning Method : CLM) ซึ่งประกอบด้วยการทาความกระจ่างชัดในความรู้การเลือกรับและ ทา ความเข้าใจสารสนเทศใหม่ และการตรวจสอบทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ตลอดจนได้ศึกษา 3P’s Model ของ Biggs (2003) SU Larning Model และได้ศึกษาการกาหนดเกณฑ์การประเมินการเรียนรู้โดยใช้ SOLO Taxonomy และได้ศึกษาแนวคิดการจาแนกวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ตามแนวคิดของมาร์ซาร์โน (Marzano Taxonomy) ในด้าน cognitive domain ซึ่งทาให้ผู้เรียนสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายหรือภาระงานและ สามารถควบคุม กากับดูแลการปฏิบัติงาน ภาระงาน ชิ้นงาน ตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้ โดยผู้เรียนจะต้องมี ความรู้ ความเข้าใจ การสังเคราะห์ และการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ดังภาพประกอบการเปรียบเทียบ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ Blooms Taxonomyและ Marzano Taxonomy ดังนี้
  • 64. จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัย และ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนด ภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นา เสนอเป็นแผนการ จัดการ 8 เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้นตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความ ต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือก เนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตาม ขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่าง ชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและ ความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
  • 65. กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญ ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการ จัดการเรียนรู้ไปใช้ให้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ไดความรู้(Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งใน ขั้นตอนนั้นก็ศึกษาจะมีการเลือกรับและทา ความเข้าใจข้อมูลใหม่ทา ให้ นักศึกษามีการรู้คิด (meta cognition) และ กากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วย ขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผน แก้ปัญหา 3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้อง และนาความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ในการ วางแผน และออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผู้วิจัยไดสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีและนา เสนอเป็นแบบจาลอง การจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU Model ดังภาพประกอบ ที่ 2
  • 66. บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development)มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูล พื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 12) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14) เพื่อประเมินผลและ ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลัง การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยทา หน้าที่เป็นครูผู้สอน โดยออกแบบและดาเนินการจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ว21102 สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้ (Constructivist Learning Process) รูปแบบการสอนตามทฤษฎี DRU Model เพื่อให้นักเรียนมีทักษะทักษะความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
  • 67. สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนาเสนอเป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU Model ดังภาพประกอบ ที่ 3.1
  • 68. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร ทาบา (Taba, 1962) และ SU Model 2.มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญา สาขาครุศาสตร์ และหรือสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี) 3. มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา 4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และ ปรับปรุง 5. หลักสูตรการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 6. การกาหนดระดับความเข้าใจในการกาหนดค่าระดับ คุณภาพการเรียนรู้ตามแนวคิด SOLO Taxonomy รูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ทฤษฎี/แนวคิด ขั้นตอน/กิจกรรม การเรียนรู้ Constructivist Clarifying exist knowledge Identifying receiving and understanding new information Confirming and using new knowledge Biggs’s 3P Presage Process Product Research Learning วิเคราะห์ จุดหมาย ในการ เรียนรู้ วางแผนการ เรียนรู้ การพัฒนา ทักษะการ เรียนรู้ การสรุป/การ วิพากษ์ ความรู้ ประเมินการเรียนรู้ SU Learning การ การ ปฏิบัติการการเรียนรู้ (การ การประเมินการเรียนรู้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอน 1. Meyers and other (2002) Meyers and Mcnulty(2009) 2. Bigg’s 3 P Model (2003) 3. Zvia and Yehudit (2008) 4. สุเทพ อ่วมเจริญ ประเสริฐมงคลและวัชรา เล่าเรียนดี (2559) 5. ชูสิทธิ์ ทินบุตร (2556) 6. พงศ์ธนัชแซ่จู(2554) แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ และการจัดการชั้นเรียน 1. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ (Constructivism) 2. Constructivist learning Method: CLM 3. แนวคิดมิติใหม่ทางการศึกษาของมาร์ซาโน (Meta cognitive system and Marzano’ New Taxonomy) 4.แนวคิดการจัดการเรียนรู้ Bigg s3’p Model 5. แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for Learning : UDL) 6. SU Learning Mod
  • 69. Model วางแผน การเรียนรู้ ออกแบบ การเรียนรู้ เรียนรู้+การจัดการชั้นเรียน) DRU Model D: การวินิจฉัยและ ออกแบบการเรียนรู้ (Diagnosis of needs) R: การใช้วิจัยเพื่อพัฒนา สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ซึ่งในที่นี้ สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Research in effective learning environment ) U: ขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเอง และการยืนยันความ ถูกต้องและนาความรู้ใหม่ ที่ได้รับจากขั้น R(Universal Design for learning ) ภาพประกอบที่ 3.1 กรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition ระยะที่1 การวิจัย (Research :R ) เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการจาเป็นโดยการวิเคราะห์ (Analysis :A) ที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานและผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2. เพื่อวิเคราะห์สภาพความคาดหวังมาตรฐานและผลการเรียนรู้ของหลักสูตรกับสภาพความเป็นจริง ในการการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีมาก่อน 3. เพื่อสังเคราะห์แนวคิดหลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน 4. เพื่อศึกษาวิเคราะห์ ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐาน วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยสอบถามครูผู้สอน วิชาวิทยาศาสตร์ 5. เพื่อศึกษา ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการกิจกรรมรู้ ส่งเสริมเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิธีดาเนินงาน 1. ศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่คาดหวังกับสภาพที่เป็นจริง เพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีมาก่อน ผู้วิจัยได้เอกสาร หลักสูตรสถานศึกษา โดยดาเนินการทบทวนข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อนามาสู่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดย ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบาย การจัดการศึกษา สถานศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยกากับดูแล
  • 70. ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ศึกษาความพร้อมของสถานศึกษาโดยนากรอบและทิศทางของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิเคราะห์สภาพที่คาดหวังและตัวชี้วัดของหลักสูตร สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ กับสภาพที่เป็นจริงของการจัดการศึกษาการเรียน การสอนวิทยาสาสตร์ ผลการประเมินในระดับชาติ (การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (O-NET) และการ ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (A-NET) โดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาและ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับชาติ (PISA) รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐาน วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการสัมภาษณ์อาจารย์ที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ อย่างไม่เป็นทางการ 2. ระบุเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ประเด็นที่ต้องนาไปสู่เป้าหมายและผลลัพธ์ ที่พึงประสงค์ 3. สังเคราะห์แนวคิด หลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ การส่งเสริมความสามารถในการคิดเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและหลักการทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยศึกษาวิเคราะห์แนวคิด หลักการ การ วิจัยและพัฒนา (Research and Development:R&D) ออกแบบการสอนอย่างมีวิจารณญาณนาแนวคิด เกี่ยวกับการคิดมีวิจารณญาณของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน มาสังเคราะห์และสรุปเป็นแนวคิด 4. ศึกษาวิเคราะห์ ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน โดยใช้วิธีทดสอบความรู้พื้นฐานก่อนการ เรียนเรื่องบรรยากาศ แล้วดาเนินการทบทวนความรู้ให้กับผู้เรียนหลังจากนั้นดาเนินการสอบความรู้พื้นฐาน ผู้เรียนอีกครั้งและให้นักเรียนทาแบบวิเคราะห์ผู้เรียนด้วยตนเองรวมถึงวิเคราะห์ผู้เรียนจากการสอบถามความ คิดเห็นของครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ยมาเพื่อนามาหาข้อสรุป 5. ศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ส่งเสริมทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์โดยสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการแนวคิด หลักการทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดสาหรับ การ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1. แบบวิเคราะห์เอกสาร จานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสารข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบาย การจัดการศึกษาและผลการศึกษา สภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอนวิชา วิทยาศาสตร์ 2) แบบวิเคราะห์เอกสารแนวคิด หลักการทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เรื่อง บรรยากาศเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  • 71. 2. แบบสอบถามความต้องการจาเป็นของครูผู้สอนวิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย 3. แบบสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการกับผู้เชี่ยวชาญในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ดาเนินการดังนี้ 1. แบบวิเคราะห์เอกสารทั้ง 3 ฉบับ ดาเนินการสร้างเช่นเดียวกัน ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร ตาราเกี่ยวกับวิธีการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสาร 1.2 สร้างแบบวิเคราะห์เอกสารโดยกาหนดประเด็นการวิเคราะห์เอกสารจาแนกเป็นสภาพที่คาดหวัง และสภาพที่เป็นจริง 1.3 นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความ เหมาะสมของแบบวิเคราะห์เอกสารเชิงทฤษฎีและนาไปปรับปรุงแก้ไข 1.4 นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน เพื่อ ตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) โดย ใช้แบบประเมินความสอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวิเคราะห์เอกสารซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณ ค่า (Ratting scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสาร กาหนด เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธ์,2555:179) ระดับที่ 5 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด ระดับที่ 4 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมาก ระดับที่ 3 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง ระดับที่ 2 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อย ระดับที่ 1 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อยที่สุด การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของแบบวิเคราะห์เอกสารที่ใช้ใน การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เชิงนโยบายการจัดการศึกษาข้อมูลเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและผลการศึกษา สภาพที่คาดหวังและสภาพที่คาดหวังปละสภาพที่เป็นจริงในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ แนวคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนการส่งเสริม ความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ สังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดแบบจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัว เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์ความคิดเห็นของ คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสารตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้ว นามาแปลความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธ์,2555:196)
  • 72. ค่าเฉลี่ยคะแนน 4.50-5.00 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด ค่าเฉลี่ยคะแนน 3.50-4.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมาก ค่าเฉลี่ยคะแนน 2.50-3.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.50-2.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อย ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.00-1.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องน้อยที่สุด พิจารณาค่าความเหมาะสม/สอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไม่เกิน 1.00 ซึ่งแสดงแบบวิเคราะห์เอกสารที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้องสามารถนาไปใช้เก็บ รวบรวมข้อมูลได้ 1.5 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของ คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/ สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสาร อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 3.50-5.00 และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00-0.89 ซึ่งแสดงว่าแบบวิเคราะห์ที่ พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถนาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ จากขั้นตอนการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสารที่ใช้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและ ผลการศึกษา สภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอน สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แนวคิด หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ดังแผนภาพที่ 8 ศึกษาเอกสาร ตารา เกี่ยวกับวิธีการสร้างแบบวิเคราะห์เอกสารต่างๆ สร้างแบบวิเคราะห์เอกสารโดยกาหนดประเด็นการวิเคราะห์เอกสารจาแนกเป็นสภาพที่คาดหวังและสภาพที่ เป็นจริง นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมแบบ วิเคราะห์เอกสารเชิงทฤษฏีและนาไปปรับปรุงแก้ไข นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5คน เพื่อตรวจสอบ ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity)และความตรงตามเนื้อหา(Content Validity)
  • 73. นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่ตรวจสอบหาคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญและนาไปวิเคราะห์เอกสาร ภาพที่ 8 แสดงขั้นตอนการแสดงแบบวิเคราะห์เอกสาร 2. แบบวิเคราะห์ผู้เรียน ใช้แบบที่สถานจัดขึ้นในงานนิเทศภายในโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย 3. แบบสอบถามผู้สอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร สาหรับเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ ดังนี้ 3.1 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูรายวิชาวิทยาศาสตร์ 3.2 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฏีเกี่ยวกับที่เกี่ยวข้องกับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริม สร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1เพื่อนามากาหนดเป็นกรอบในการสร้างแบบสอบถาม 3.3 กาหนดประเด็นคาถามในแบบสอบถาม 3.4 สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริม การคิด และจิตวิทยาศาสตร์ แล้วนาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ ความเหมาะสมของแบบสอบถามและนาไปปรับปรุงแก้ไข 3.5 นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องตาม โครงสร้างและความตรงตามเนื้อหา โดยใช้แบบประเมินความสอดคล้องเชิงโครงสร้างแบบสอบถาม ซึ่งมี ลักษณะเป็นมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาสม/สอดคล้องกับ แบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการประเมินค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นแบบสอบถาม ตามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ แล้ว นามาแปลตามเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมาย เช่นเดียวกันกับการ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวิเคราะห์เอกสาร 3.6 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการสอบถาม อยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายการประเมิน ทั้งในประเด็นของข้อมูลผู้รับการสอบถาม ขั้นตอนการสอบถามและขั้นตอนการสรุป มีความสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 4.58-5.00 และค่าตัวเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00-0.45 ซึ่งแสดงว่าแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถ นาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ จากขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานมีวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดและจิตวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังภาพที่ 3.2 แสดงขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม
  • 74. วิธีดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ใช้แบบวิเคราะห์เอกสารในการศึกษาข้อมูลเชิงนโยบายการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิเคราะห์สาระมาตรฐาน ตัวชี้วัด ผล การเรียนรู้ ตามสภาพที่เป็นจริงที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน และสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมีวิจารณญาณและจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังเคราะห์เป็นกรอบ แนวคิด 2. ใช้แบบสอบถามในการวิเคราะห์ผู้เรียน สารวจข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ โดยการสอบถามครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์สังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดกรุงเทพมหานครฯ และสอบถามผู้เชี่ยวชาญที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ แบบสอบถาม อย่างไม่เป็นทางการ ศึกษาเอกสาร ตาราเกี่ยวกับการสร้างแบบสอบถาม ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวความคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กาหนดโครงสร้างและประเด็นการสอบถาม สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการคิดมีจิต วิทยาศาสตร์ แล้วนาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและนาไปปรับปรุงแก้ไข นาแบบสอบถามนาเสนอผู้เชี่ยวชาญ 5 เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) นาแบบสอบถามที่ตรวจสอบหาคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและนาไปปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญแล้วนาไปใช้ในการสัมภาษณ์
  • 75. การวิเคราะห์ข้อมูล/สถิติที่ใช้ 1. การหาคุณภาพเครื่องมือ โดยผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ความตรงตาม โครงสร้าง (Construct Validity) ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) และประเมินความสอดคล้องเชิง โครงสร้าง ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย ( ̅) และค่าตัวเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนความ เหมาะสม/สอดคล้องของประเด็นในการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เกณฑ์ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่เกิน 1.00 ส่วนที่เป็นข้อเสนอแนะนามา วิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) 2. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาและผล การศึกษา ทั้งสภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ การศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแนวคิดหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความคิดและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการ คิดแบบมีจิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 2 การพัฒนา (Development: D1) เป็นการออกแบบพัฒนา (Design and Development: D & D) การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้พัฒนาและหารูปแบบ ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนโดยนาข้อมูลที่ได้จาก ระยะ ที่ 1 มาพัฒนาเป็นโครงร่างรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ รายวิชาเคมี เพื่อส่งเสริมความสามารถใน การคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา รูปแบบและด้านการสอนวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ จานวน 30 คน ตรวจสอบคุณภาพของโคร่งร่างรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ แล้วนาไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบความ เป็นไปได้และประสิทธิภาพก่อนนาไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาร่างร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิขาเคมีที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3. เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบ ข้อมูล
  • 76. วิธีการดาเนินการ การดาเนินการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมี วิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี รายละเอียดดังนี้ 1. พัฒนาร่างรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดมี วิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยนาข้อมูลที่เป็นผลวิเคราะห์ข้อมูล พื้นฐานในระยะที่ 1 มาใช้ในการสังเคราะห์ร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริม ความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) 2. พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด มีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model: YPF Model) จานวน 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนและแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3. ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เพื่อยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และเครื่องมือ ที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญ 4. ตรวจสอบประสิทธิภาพของร่างรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล โดยการทดลองใช้ภาคสนาม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด วิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีดังนี้ 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 (DRU Model :YPF Model) 2. เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิด วิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการสอนและ แผนจัดการเรียนรู้ 3. เครื่องมือที่ใช่ในการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) จานวน 3 ฉบับ คือ
  • 77. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนและแบบวัดทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาดาเนินการ ดังนี้ 1. การสังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ดาเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1.1 นาข้อมูลพื้นฐานที่ได้ศึกษาวิเคราะห์ในระยะที่ 1 มาใช้ในการสังเคราะห์รูปแบบการจัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model: YPF Model) ซึ่งประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการและองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย หลักการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับ ความรู้ใหม่นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการคิดมีวิจารณญาณ หลักการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการ เรียนรู้ กระบวนการคิดมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ และการสร้างองค์ความรู้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 องค์ประกอบเชิงกระบวนการ แบ่งการดาเนินเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อมผู้เรียน (Prepare leaners) 2.2 ขั้นที่ 2 ปรับเปลี่ยนความคิด (Turning ideas) 2.3 ขั้นที่ 3 เรียนรู้สิ่งใหม่ (Learn something new) 2.4 ขั้นที่ 4 ปะยุกต์ใช้ความรู้ (Application of Knowledge) 2.5 ขั้นที่ 5 เติมเต็มประสบการณ์ (Complement the experience) ปัจจัยสนับสนุน: การเตรียมความพร้อมก่อนนารูปแบบไปใช้ 1. ผู้สอนต้องศึกษาทาความเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนและ กระบวนการต่าง ๆ ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งทาความเข้าใจกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการ เรียนการสอนและกระบวนการต่าง ๆ ทุกขั้นตอน 2. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในด้านรูปแบบ วิธีการสอน เทคนิคการสอน มีทักษะใน การบริหารจัดการชั้นเรียนและสามารถประเมินผู้เรียนได้ตามสภาพจริง
  • 78. 3. ผู้สอนต้องมีการเชื่อมโยง ทักษะการใช้เหตุผล ทักษะการใช้กระบวนการคิดอย่างมี วิจารณญาณ การใช้คาถามและการนาทักษะเหล่านี้สู่ผู้เรียน 1.2 นารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิต วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model: YPF Model) ที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมเชิงทฤษฎีแล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข 1.3 นารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิต วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการ พัฒนารูปแบบและด้านการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบสอบความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) โดยใช้แบบประเมิน ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ/สอดคล้องเชิงโครงสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ จิตวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) ซึ่งมี ลักษณะเป็นมาตราส่วนค่า 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบ ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมและองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แต่ละองค์ประกอบเชิง หลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการและองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ การ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างกาหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์, 2555:179 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558) ระดับ 5 หมายถึง มีความสอดคล้องมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง มีความสอดคล้องมาก ระดับ 3 หมายถึง มีความสอดคล้องปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง มีความสอดคล้องน้อย ระดับ 1 หมายถึง มีความสอดคล้องน้อยที่สุด การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ ผลการประเมินพิจารณาจากค่า (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/ สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมและองค์ประกอบของ รูปแบบการจัดการเรียนรู้และองค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิง กระบวนการและองค์ประกอบเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ ตามความคิดของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปล ความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์, 2555: 196 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558) ค่าเฉลี่ยคะแนน 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด
  • 79. ค่าเฉลี่ยคะแนน 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด ค่าเฉลี่ยคะแนน 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องปานกลาง ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความเหมาะสม/สอดคล้องมากที่สุด พิจารณาความเหมาะสม/สอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่ เกิน 1.00 ซึ่งแสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถ นาไปทดลองใช้ได้ 1.4 นาข้อมูลที่รวบรวมได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่า เฉลี่ย( และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องในประเด็นการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการ เรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ทุกรายการประเมิน ทั้งในประเด็นการกาหนด องค์ประกอบในรูปการจัดการ เรียนรู้ในภาพรวมการกาหนดองค์ประกอบรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมควบคุมความ ต้องการจาเป็นของการส่งเสริมความสามารถในการคิดมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ องค์ประกอบของ รูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์สอดคล้องส่งเสริมซึ่งกันละกัน องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการ เรียนรู้แต่ละองค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ หลักการและวัตถุประสงค์ หลักการของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แสดงให้เห็นจุดเน้นในการจัดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์มีความเหมาะสม ชัดเจน สามารถแสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดในตัวผู้เรียน หลักการและวัตถุประสงค์มีความเหมาะสมชัดเจน สามารถแสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดในตัวผู้เรียน 2) องค์ประกอบเชิงกระบวนการ กระบวนการจัดการเรียนรู้มี ขั้นตอนครบถ้วน เหมาะสมและสอดคล้องต่อเนื่องกัน ขั้นตอนการเรียนการสอนมีความเหมาะสมสามารถ นาไปใช้จัดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับหลักการและ วัตถุประสงค์ 3) องค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ ปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ความสอดคล้องกับ หลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความเหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ค่าความ เหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 3.60 – 4.80 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.50 – 0.60 ซึ่งแสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมสร้างทักษะการคิดมีวิจารณญาณ และจิต วิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model ) ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/ สอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ นอกจากนี้แล้ว ผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขในเรื่องความชัดเจนของข้อความและความถูกต้องของภาษาที่ใช้ จัดประสบการณ์ กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการคิด โดยระบุขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปทดลองใช้ สรุปการปรับปรุงร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดมี วิจารณญาณ และมีจิต วิทยาศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model )
  • 80. บทบาทครู  วางแผน 1. แผนการจัดการเรียนรู้ 2. สื่อวนวัตกรรม สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ 3. เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ 1. กาหนดวัตถุประสงค์ 1.1 ความรู้ 1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.3 จิตวิทยาศาสตร์ 2. กิจกรรม/ภาระงาน 2.1 กิจกรรมเพื่อให้รู้จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2 เสาะหาหรือสืบค้นเพื่อบรรลุกิจกรรม 2.3 นาเสนอ และ วิพากษ์ 3. วัดผล 3.1 ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน 3.2 ประเมินตนเองในความรู้ กระบวนการและจิตวิทยาศาสตร์ 3.3 การตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง
  • 81. บทบาทนักเรียน ความรู้ abcd Y = Your Identify กระบวนการ (ตอบคาถาม) จิตวิทยาศาสตร์ adfe P = Praxis/practice เสาะหาหรือสืบค้น (สรุปความรู้/วิพากษ์) ตรวจสอบทบทวนตัวเอง ตามกิจกรรมและภาระงาน bcfe F = Formative evaluation ประเมินตนเองในความรู้กระบวนการและจิตวิทยาศาสตร์ 2. พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้และแผนจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการดังนี้ 2.1 ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตารา และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ 2.2 สร้างคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 4 แผนการ จัดการเรียนรู้ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 คาบที่ 1 เรื่อง องค์ประกอบของบรรยากาศ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 คาบที่ 2 เรื่อง อุณหภูมิของบรรยากาศ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 คาบที่ 3 เรื่อง การแบ่งชั้นบรรยากาศ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 คาบที่ 4 เรื่อง ความดัน ความกดอากาศของบรรยากาศ 2.3 นาคู่มือการใช้รูปแบบการจัดเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้องและความเหมาะสมเชิงทฤษฎีแล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข 2.4 นาคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 30 คน เพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการ จัดการเรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง โครงสร้างของสาระสาคัญในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือและแนวทางในการนามารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ ซึ่งสาระสาคัญในคู่มือ ประกอบด้วยแนวทางในการนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนไปใช้ ซึ่งสาระสาคัญใน คู่มือประกอบด้วยแนวทางในการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ ความเป็นมาและความสาคัญของรูปแบบ การสอน แนวคิด หลักการและทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการสอน องค์ประกอบของรูปแบบการเรียน การสอน ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและ ประเมินผล รวมทั้งรายละเอียดในคู่มือมีความชัดเจนเพียงพอที่จะทาให้ผู้ที่ต้องการนารูแบบการเรียนการสอน ไปใช้เข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ของรูปแบบการเรียนการสอน ทราบถึงสิ่งที่ต้องศึกษา จัดเตรียมและใช้รูปแบบ
  • 82. การเรียนการสอนนี้ในการดาเนินการเรียนการสอนอย่างราบรื่นและบรรลุตามจุดมุ่งหมาย แนวทางในการนา รูปแบบการเรียนการสอนไปใช้มีความชัดเจน เพียงพอ สาหรับการนาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิด ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนและใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแผนการจัดการ เรียนรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประเมินความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้/ สอดคล้องสาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อ การเรียนการสอนและการประเมินผล การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย (̅) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของสาระสาคัญในคู่มือรายละเอียดในคู่มือ และแนวทางในการนารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ สาระสาคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรม การเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปลความหมายเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปลความหมายเช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการ เรียนการสอน 2.5 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่า (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมาะสม/ สอดคล้องของสาระสาคัญในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือ รายละเอียดในคู่มือและแนวทางในการนารูปแบบการ เรียนการสอนไปใช้ระดับมากที่สุดทุกรายการ ประเมินค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ตั้งแต่ 0.00 - 0.89 ซึ่งแสดงว่าคู่มือการใช้รูปแบบการเรียนการ สอนที่พัฒนาขึ้นมีความเหมะสม/สอดคล้อง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยได้รับปรับปรุง แก้ไขเรื่องความชัดเจนของข้อความและภาษาที่ใช้เพิ่มเติมรายละเอียดในขั้นการนาเสนอเนื้อหา จัด ประสบการณ์การเรียนรู้และกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยระบุขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมี วิจารณญาณให้ชัดเจน ตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปไปทดลองใช้และได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความ เหมาะสม/สอดคล้องของสาระสาคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการ เรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล อยู่ในระดับมากทีสุดทุก รายการประเมินค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย (̅) ตั้งแต่ 4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ตั้งแต่ 0.00 - 0.55 ซึ่งแสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้ ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง สามารถนาไป ทดลองใช้ได้ 2.6 นารูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุง แก้ไขแล้วไปหาประสิทธิภาพ (E1/E2) โดยทดลองภาคสนาม (Field Tryout) ประเมินประสิทธิภาพของ กระบวนการ (E1) และประสิทธิผล (E2) ใช้เกณฑ์ทดลอง 75/75 ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปี การศึกษา 2559 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน โดยภาพรวมได้ค่าประสอทธิภาพของ รูปแบบการเรียนการสอนเท่ากับ 73.22/74.89 ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบ การจัดการเรียนรู้เท่ากับ 72.22/73.89
  • 83. 3. พัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 (DRU Model :YPF Model) จานวน 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนและแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ต่อการใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีขั้นตอนการพัฒนา ดังนี้ 3.1 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ เน้น กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียน อธิบายวิธีการคิดและแสดงวิธีทา กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ระบุประเด็นปัญหาหรือ ประเด็นในการคิด 2) ประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจากการคิดทางกว้าง การคิด ทางลึกซึ้ง การคิดอย่างละเอียด การคิดในระยะไกล 3) วิเคราะห์ข้อมูล 4) พิจารณาทางเลือกโดยพิจารณา ข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่หลากหลาย 5) ลงความคิดเห็น/ตัดสินใจ/ทานาอนาคตโดยประเมินทางเลือก และใช้เหตุผลคิดคุณค่า (ชนาธิป พรกุล, 2554:283 อ้างถึงใน ภาวิดา พรมสีดา, 2558) วิธีการดาเนินการ 1. ศึกษาเอกสาร ตารา และวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความสามารถในการคิดอย่างมี วิจารณญาณ และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2. วิเคราะห์สาระสาคัญ เนื้อหา และผลการเรียนรู้ 3. สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ระหว่างเรียน จานวน 15 ข้อ ซึ่งเป็น แบบทดสอบเลือกตอบ ให้นักเรียนใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ โดยระบุประเด็นปัญหา หรือประเด็นในการคิด ประมวลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจาก การคิดกว้าง การคิดอย่างลึกซึ้ง การคิดอย่าง ละเอียด การคิดในระยะไกล นาข้อมูลที่ได้จากกระบวนการคิดมาวิเคราะห์ พิจารณาทางเลือกโดยใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่หลากหลาย จึงลงความเห็น/ตัดสินใจ/ทานายอนาคต โดยประเมินทางเลือกและใช้เหตุผลคิด คุณค่า ผู้วิจัยกาหนดเกณฑ์ในการประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีลักษณะเกณฑ์ให้คะแนน (Scoring Rubrics) 3 ระดับ โดยประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มี 5 ขั้นตอน คือ 1) ระบุประเด็น ปัญหาหรือประเด็นในการคิด 2) ประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นจากการคิดทาง กว้าง การคิดทางลึกซึ้ง การคิดอย่างละเอียด การคิดในระยะไกล 3) วิเคราะห์ข้อมูล 4) พิจารณาทางเลือกโดย พิจารณาข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่หลากหลาย 5) ลงความคิดเห็น/ตัดสินใจ/ทานาอนาคตโดยประเมิน ทางเลือก และใช้เหตุผลคิดคุณค่า ดังตาราง 3.1
  • 84. ตาราง 3.1 เกณฑ์การประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คะแนน เกณฑ์การพิจารณา 1. ความสามารถในการระบุประเด็นปัญหาหรือ ประเด็นในการคิด 3 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง ชัดเจนมาก 2 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง ชัดเจนบ้าง 1 บอกประเด็นการคิดได้อย่างถูกทางและคิดอย่าง ชัดเจนน้อย 2.ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่ เกี่ยวข้องทั้งข้อเท็จจริงและคิดทางกว้าง 3 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง ละเอียด และคิดไกล 2 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง ละเอียด และคิดไกลบ้าง 1 ข้อมูลที่ได้เกิดจากความคิดมีความกว้าง ลึกซึ้ง ละเอียด และคิดไกลน้อย 3. ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล 3 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมทั้งหมด 2 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมบางขั้นตอน 1 คิดวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด มีการเปรียบเทียบ จาแนกประเภท การจัดกลุ่ม คิดเชื่อมโยงมีการ ให้เหตุผลได้อย่างเหมาะสมน้อย 4. ความสามารถในการพิจารณาทางเลือกโดย พิจารณาข้อมูล ใช้เหตุผล ระบุทางเลือกที่ หลากหลาย 3 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย และมีการประเมินได้อย่างถูกต้อง 2 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย และมีการประเมินได้ถูกต้องบางขั้นตอน 1 เชื่อมโยงความคิดได้อย่างมีเหตุผล หลากหลาย และมีการประเมินได้อย่างถูกต้องไม่ครบทุก ขั้นตอน 5. ความสามารถในการลงความคิดเห็น ตัดสินใจ ทานาอนาคตโดยประเมินทางเลือก และใช้ 3 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้ถูกต้องและครบ
  • 85. เหตุผลคิดคุณค่า ทุกขั้นตอน 2 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้บางขั้นตอน 1 ตรวจสอบการลงความคิดเห็น ตัดสินใจทานา อนาคตโดยประเมินทางเลือกได้ไม่ครบทุก ขั้นตอน ตาราง 3.2 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (คะแนนเต็ม 60) ความหมาย 51 - 60 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับสูงมาก 41 - 50 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับสูง 31 - 40 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับปานกลาง 21 - 30 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับพอใช้ 0 - 20 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับน้อย 4. นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องเหมะสมของแบบทดสอบเชิงทฤษฎี แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข 5. นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดชั้นสูงด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) ความตรงตามเนื้อหา (Contcnt Validity) โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหา ขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง โครงสร้างของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของ คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหา ขั้นตอนกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณและภาษาที่ใช้ตาม ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนามาแปลความหมายตามเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาของ ผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมายเช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/ความสอดคล้องเชิงโครงสร้าง ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 5.1 นาข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ของคะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยคะแนนความเหมะสม/
  • 86. สอดคล้อง (̅) ตั้งแต่ 4.05 - 5.00 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตั้งแต่ 0.00 – 0.50 ซึ่งแสดงว่าแบบทดสอบ วัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้อง ภาษาที่ใช้และรูปภาพ ประกอบตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปทดลองใช้ 5.2 นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในการทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนที่เรียนวิชานี้มาแล้ว มาเลือกอย่างเจาะจง ( Purposive Sampling ) จานวน 35 คน เพื่อนาคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ต่อไป 5.3 นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้ (Tryout) มาวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบรายข้อหาดัชนีค่า ความยาก ค่าอานาจจาแนกและวิเคราะห์หาคุณภาพด้านความเชื่อมั่นจากสัมประสิทธิ์ แอลฟา (Alpha Coefficient) ได้ค่าความยากตั้งแต่ 0.56 – 0.73 ค่าอานาจจาแนก ตั้งแต่ 0.44 – 0.75 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.76 จากขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สรุปได้ดังภาพ 3.3 ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและกรอบแนวคิด รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้านทักษะความรู้และ จิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์สาระสาคัญ เนื้อหา และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งเป็นแบบทดสอบการตอบคาถาม เน้น กระบวนการคิดอย่างมีกระบวนการความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของแบบทดสอบเชิงทฤษฎี แล้วนาไป ปรับปรุงแก้ไข นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ปรับปรุง แก้ไขแล้ว ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง ( Construct Validity ) และความตรงตามเนื้อหา ( Content Validity )
  • 87. นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ปรับปรุง แก้ไขแล้ว ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ไปทดลองใช้ ( Tryout ) แล้วนาคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์คุณภาพ ข้อสอบรายข้อ หาค่าดัชนีค่าความยาก ค่าอานาจจาแนก และวิเคราะห์หาคุณภาพด้านความเชื่อมั่นจาก สัมประสิทธิ์แอลฟา ( Alpha Coefficient ) ภาพที่ 3.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3.2 แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียน แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ใช้วัดคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัย ของผู้เรียนที่ใช้ความคิดในการทางานซึ่งประเมินได้จากการประเมินตนเองของนักเรียน ประกอบด้วย องค์ประกอบที่ใช้วัดจิตวิทยาศาสตร์ 6 ด้าน คือ ความสนใจใฝ่รู้ จานวน 4 ข้อความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม จานวน 7 ข้อ ความมีระเบียบและรอบคอบ จานวน 8 ข้อ ความมีเหตุผล จานวน 8 ข้อความใจกว้าง จานวน 5 ข้อ ความซื่อสัตย์ จานวน 6 ข้อ รวม 37 ข้อ โดยกาหนดความรู้สึกหรือการปฏิบัติ ดังนี้ 5 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับลักษณะนิสัยหรือการปฏิบัติ อยู่ในระดับน้อยที่สุด การแปลความหมายของคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ กาหนดเกณฑ์ ดังในตาราง ตาราง 3.3 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ คะแนนจิตวิทยาศาสตร์ ความหมาย 4.50 – 5.00 3.50 – 4.49 2.50 – 3.49 1.50 – 2.49 1.00 – 1.49 มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูงมาก มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูง มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับปานกลาง มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพอใช้ มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับควรปรับปรุง วิธีดาเนินการ 1. ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ และกรอบแนวคิด รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ผู้วิจัยได้พัฒนาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ จากแบบวัดจิตพิสัยของสถาบันส่งเสริมการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ (สสวท, 2555) ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าอานาจ จาแนกรายข้อของแบบ
  • 88. วัด หาโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน มีค่าตั้งแต่ 0.20 – 0.66 ความเที่ยงตรงตามสภาพ มีค่า เท่ากับ 0.72 และค่าความเชื่อมั่นซึ่งหาจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาค เท่ากับ 0.867 ได้แบบวัดจิต วิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ใช้วัดจิต วิทยาศาสตร์ 6 ด้าน คือ ความสนใจใฝ่รู้ ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม ความมีระเบียบ และรอบคอบ ความมีเหตุผล ความใจกว้าง ความซื้อสัตย์ รวม 38 ข้อ 3. แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรงตาม เนื้อหา (Content Validity) และความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) โดยใช้แบบประเมินความ เหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินกับ องค์ประกอบที่ใช้วัดจิตวิทยาศาสตร์ ผลการประเมินพิจารณาจากค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของ คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินกับองค์ประกอบที่ใช้วัดจิต วิทยาศาสตร์ ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกันกับการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิง โครงสร้างของรูปแบบการเรียนการสอน 4. นาข้อมูลที่รวบรวมกับผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คะแนนความเหมาะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ย (̅) 4.60 – 5.00 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00 – 0.55 ซึ่งแสดงว่าแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/ สอดคล้อง สามารถนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลได้ นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขภาษาทีใช้ตามคาแนะนา ของผู้เชี่ยวชาญก่อนนาไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล 5. นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ (Tryout) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จานวน 37 คน โดยเลือกมาอย่างเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อนาคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ต่อไป 6. นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้ (Tryout) มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของคอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.804 จากขั้นตอนการสร้างแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์สรุปได้ดังภาพที่ 3.4 ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ และกรอบแนวคิดรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พัฒนาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555) นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง ( Construct Validity ) และความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)
  • 89. นาแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องและปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญ ไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาพที่ 3.4 ขั้นตอนการสร้างแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ 3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ใช้ประเมินความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1(PTLAC Model) โดยกาหนดระดับพึงพอใจ ดังนี้ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด การแปลความหมายของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนรู้ กาหนดในตาราง ตารางที่ 3.4 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ คะแนนความพึงพอใจของนักเรียนที่ มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ความหมาย 4.50 – 5.00 3.50 – 4.49 2.50 – 3.49 1.50 – 2.49 1.00 – 1.49 ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับปานกลาง ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับน้อย ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับน้อยที่สุด
  • 90. วิธีดาเนินการ 1. ศึกษาเอกสาร ตารา ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 2. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยประยุกต์ความคิดเห็นของ ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี และแบบ ประเมินความพึงพอใจตามแบบของงานนิเทศภายในโรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” 3. นาแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความตรง ตาม โครงสร้าง และความตรงตามเนื้อหา โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ แบบสอบถามความพึงพอใจ ซึ่งมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับประเมินความเหมาะสม/ สอดคล้องของเนื้อหา ภาษาที่ใช้ในข้อความประเมินกับองค์ประกอบด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้และ พฤติกรรมจิตวิทยาซาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของ แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการประเมินพิจารณาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนน ความเหมาะสม/สอดคล้องของเนื้อหาภาษาที่ใช้ในข้อความที่ประเมินองค์ประกอบด้านรูปแบบการจัดการ เรียนรู้และพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและการแปลความหมายเช่นเดียวกันกับ การประเมินความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 4. ข้อมูลที่รวบรวมได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคานวณค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความ เหมะสม/สอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้ค่าเฉลี่ยความเหมาะสม/สอดคล้อง (̅) ตั้งแต่ 4.60 – 5.00 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตั้งแต่ 0.00 – 0.89 แสดงว่า แบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้ ประยุกต์ขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้องสามารถนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลได้ 5. นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 37 คน เพื่อนาคะแนนที่ได้ไป วิเคราะห์ต่อไป 6. นาคะแนนที่ได้จากการทดลองใช้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.843 จากขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจสรุปได้ดังภาพที่ 3.5 ศึกษาเอกสาร ตารา งานวิจัยของชมนาด เชื่อสุวรรณทวี และ แบบประเมินของงานนิเทศโรงเรียนวัดมะพร้าว เตี้ยมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นให้ครอบคลุมและตรงประเด็น นาสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน เพื่อตรวจความตรงตามโครงสร้าง ( Construct Validity ) และความตรงตามเนื้อหา ( Content Validity ) แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไข
  • 91. นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องและปรับปรุงแก้ไขแล้วตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาพที่3.5 ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ในขั้นที่ 2 การพัฒนา ( Development:DI) เป็นการ ออกแบบและพัฒนา (Design and Development: D&D) ผู้วิจัยพัฒนาและหารประสิทธิภาพรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ ตาราง 3.5 สรุปการดาเนินการวิจัยขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาการพัฒนา (Development:DI) เป็นการออกแบบ และพัฒนา (Design and Development: D&D) ผู้วิจัยพัฒนาและหารประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์การ วิจัย วิธีดาเนินการ แหล่งข้อมูล/ กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ ในการทาวิจัย การวิเคราะห์ ข้อมูล/สถิติที่ใช้ ผลที่ได้รับ 1. เพื่อพัฒนา รูปแบบ 5 การ จัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์เพื่อ เสริมสร้างทักษะ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และจิต วิทยาศาสตร์วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 1.1 สังเคราะห์ รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์เพื่อ เสริมทักษะการ คิดอย่างมี วิจารณญาณ และจิต วิเคราะห์ เอกสาร เอกสารข้อมูล พื้นฐานที่ได้ วิเคราะห์ใน ขั้นตอนที่ 1 แบบวิเคราะห์ เอกสาร การวิเคราะห์ เนื้อหา โครงร่างการ จัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะการคิดมี วิจารณญาณ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1
  • 92. วิทยาศาสตร์ของ นักเรียน 1.2 ตรวจสอบ คุณภาพเพื่อ ยืนยันความ เหมาะสมของ รูปแบบการ จัดการ ตรวจสอบ ความตรงตาม โครงสร้าง ผู้เชี่ยวชาญด้าน การพัฒนา รูปแบบ แบบประเมิน ความ เหมาะสม/ สอดคล้องเชิง โครงสร้าง หาค่าเฉลี่ยโดย ใช้เกณฑ์ตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ (โครงร่าง) ผ่าน การตรวจสอบ ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (Research: R2) เป็นการนาไปใช้ (Implementation: I) การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการพัฒนาและหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ แล้วไปใช้ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ที่เป็นกลู่มทดลองโรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย จานวน 34 คน โดยผู้วิจัยประยุกต์ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One-Group Pretest-Possttest Design) ข้อมูลเชิงคุณภาพได้จากการสะท้อนพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ของ ผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนโดยครูเป็นผู้บันทึกและจากการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะการการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  • 93. 4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย ได้มาโดยเลือกอย่าง เจาะจงมา 1 ห้องเรียน จานวน 30 คน ดาเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างในช่วง 9-20 กุมภาพันธ์ 2559 แบบแผนการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยประยุกต์ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว มีการทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน แบบแผนการทดลองเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอน O1 X O2 O1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน X หมายถึง การเรียนโดยการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ที่ส่งเสริมทักษะความรู้และจิตวิทยา ศาสตร์ O2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน วิธีดาเนินงาน หลังจากการดาเนินการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ พัฒนาเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินงานวิจัยดังต่อไปนี้ 1. การดาเนินการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 1.2 ทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแผนที่กาหนด 1.3 ผู้วิจัยประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนก่อนเรียนเพื่อสะท้อนจิตวิทยาศาสตร์ในระหว่างเรียน และ หลังเรียน
  • 94. 1.4 ทดสอบระหว่างเรียนเพื่อศึกษาพัฒนาการการคิดอย่างมีทักษะความรู้ และพัฒนาจิต วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 2. การทดสอบหลังเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลหลังจากการใช้รูปแบบการเรียนรู้ เสร็จสิ้น เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วยคู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความสามารถในการคิดแบบมีความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 3 ฉบับ ดังนี้ 3.1 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ 3.2 แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ 3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เรียนรู้ จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ในขั้นตอนที่ 3 การวิจัย เป็นการนาไปใช้ ผู้วิจัยนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ไปทดลองใช้ สรุปดังตารางที่ 14 ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D2) เป็นการประเมินผล (Evaluation : E) การประเมินและ ปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยใช้แนวคิดวิจัยและพัฒนา ในขั้นของการพัฒนา (Development : D2) เป็นการประยุกต์รูปแบบ การสอนการสร้างองค์ความรู้ การดาเนินงานวิจัยในขั้นตอนนี้เป็นการนาผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนที่ 3 โดยนาผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของรูปแบบ ได้แก่ ความสามารถในการ คิดอย่างมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิธีการดาเนินงาน 1. เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 2. ศึกษาพัฒนาการความสามารถในการคิดแบบมีทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนโดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลาระหว่างเรียน 3. ศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 4. ปรับปรุงรายละเอียดของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และ จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ DRU Model (YPF)
  • 95. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในขั้นตอนนี้ ประกอบด้วย 1. วิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดและวิธีการเชิงระบบ 2. วิเคราะห์ผลการด้านความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ โดยใช้ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test dependent 3. วิเคราะห์ผลด้านจิตวิทยาศาสตร์ โดยใช้ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 4. วิเคราะห์พัฒนาการความสามารถในการคิดอย่างมี ทักษะความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ในช่วงระหว่างเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 5. วิเคราะห์พัฒนาการด้านจิตวิทยาศาสตร์ ในช่วงระหว่างเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) 6. วิเคราะห์ผลด้านความพึงพอใจของนักเรียน ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ โดยหาค่าเฉลี่ย ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ การวิเคราะห์เนื้อหา จากขั้นตอนการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (Development : D2) เป็น การประเมินผล (Evaluation : E) การประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้
  • 96. บทที่4 ผลการคิดวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดเพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นวิจัยและพัฒนา(Research and Development) มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน
  • 97. การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน เป็นการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ตอนที่1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตอนที่2 ผลการออกแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) และ ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตอนที่3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ตอนที่4 ผลการประเมินและปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสาหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเชิงนโยบายการจัดการศึกษาโดยวิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัดของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และศึกษาวิเคราะห์ สิ่งที่คาดหวังกับสภาพที่เป็นจริงเพื่อเติมเต็มทักษะที่ต้องมีก่อน(Prerequissite Skills) โดยศึกษาวิเคราะห์ เป้าหมาย มาตรฐาน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551วิเคราะห์สภาพที่คาดหวังตามมาตรฐานและตัวชี้วัดของ หลักสูตร สมรรถนะผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน และจิตวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน รวมทั้ง วิเคราะห์สภาพจริงของการจัดการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยศึกษาจากงานวิจัย สานัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา,2546ก,2546ข,2548ก,2548ข; สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,2547; สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล,2548;สุวิมล ว่องวานิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย,2547; Nutravong, 2002; Kittsunthom, 2003 ,อ้างถึงในกระทรวงศึกษาธิการ ,2552:1) และจุดเน้นของ กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่21 รวมทั้งผลการทดสอบระดับชาติ (O-Net, GAT/PAT) หรือการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการ PISA และTIMSS)สถิติและ ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตามนโยบายของรัฐในส่วนของมตราการการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษา (Measure of Achievement)ทุกระดับชั้น ผลการทดสอบต่างๆสะท้องถึงสถานการณ์การ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยล้าหลังกว่านานาชาติถึง2ปี ตามที่ไทยได้เข้าร่วมสมาชิกของสมาคม นานาชาติ เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา(International Association For the Evaluation of Education Achievement หรือ IEA) เมื่อปี พ.ศ. 2511 ล่าสุด สสวท. ได้เข้าร่วมศึกษาแนวโน้มการจัด การศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับนานานชาติ พ.ศ.2554 (Trends in International Mathematics and Science: TIMSS 2011) ไทยมีคะแนนเฉลี่ยวิชาวิทยาศาสตร์451 คะแนน อยู่ในอันดับ 25 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมิน 45 ประเทศ หากเปรียบเทียบการประเมินTIMSS 2007 กับปี 2011 ของ ไทยในภาพรวมพบว่าคะแนนเฉลี่ยของไทยลดลงทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยในปี2011 วิชา
  • 98. คณิตศาสตร์ลดลง 14 คะแนน วิชาวิทยาศาสตร์ลดลง 20คะแนน โดยวิชาคณิตศาสตร์เฉลี่ยลดลง441ในปี 2007เหลือ 421 ในปี2011 และวิชาวิทยาศาสตร์คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก471 ในปี 2007เหลือ451ในปี2011ถูก จัดกลุ่มให้อยู่ในระดับแย่(poor) ทั้ง2วิชา (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.2556:1-13)เมื่อเปรียบเทียบการ ประเมินนักเรียนในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ(PISA)ที่มีประเทศสมาชิกOECD และประเทศนอก กลุ่มสมาชิกOECDซึ่งเรียกว่าประเทศร่วมโครงการ ทั้งหมดประมาณ90% ของเขตเศรษฐกิจโลก โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษา สาหรับประเทศสมาชิกและประเทศร่วมโครงการ ประเมินทุกสามปีเป็นการประเมินความรู้และทักษะความรู้และทักษะของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ได้แก่ การรู้( Literacy) การอ่าน (Reading Literacy) คณิตศาสตร์(Mathematies Literacy) และวิทยาศาสตร์(Scietific Literacy) ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมรับการประเมินตั้งแต่แรกจนครบสามครั้ง ในการประเมินรอบแรก(Phase 1 : PIAS 2000 PAIS 2003 และ PAIS 2006) และปัจจุบันเป็นการประเมินรอบสอง (Phase 2 : PIAS 2009 PAIS 2012 และ PAIS 2015) การประเมินแต่ละครั้งสามารถให้ข้อมูลคุณภาพทางการศึกษาของชาติ ซึ่งผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายและสาธารชนควรต้องได้รับรู้ว่าระบบการศึกษาของเราได้เตรียมความพร้อม เยาวชนของชาติให้พร้อมจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพมีสมรรถนะในการแข่งขันเทียบกับประชาคมโลก ในครั้ง ล่าสุดคือ PISA 2012 ผลการประเมินในภาพรวมของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่50จาก 65 ประเทศสมาชิก มี คะแนนต่ากว่าเฉลี่ย OECD ทั้งสามประเทศซึ้งชี้นัยว่าคุณภาพการศึกษาของไทยยังห่างไกลความเป็นเลิศ ความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษายังคงเป็นภารกิจสาคัญที่ต้องดาเนินต่อไป จุดสาคัญที่พบจุดหนึ่ง คือการยกระดับนักเรียนกลุ่มต่าให้สูงขึ้น แต่ในระบบการศึกษาไทยกลับมีเหตุการณ์ที่นักเรียนกลุ่มสูงลดต่าลง ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกวิชา คะแนนเฉลี่ยวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยได้ 444 คะแนนจากค่าเฉลี่ย 501 คะแนน เพิ่ม สูงขึ้นจากPIAS 2009(คะแนน 425) อย่างมีนัยสาคัญ เมื่อเทียบกับPIAS 2000ก็พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไร ก็ตาม คะแนนยังคงต่ากว่าค่าเฉลี่ย OECD มากกว่าครึ่งระดับบ่งบอกถึงนักเรียนมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อยู่ ในระดับต่าซึ่งไม่ถึงระดับมาตรฐาน(สถาบันการส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,2556:1-24) การ ผสมผสานรูปแบบการสอนทฤษฏี กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้จัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 จาเป็นต้องมีทักษะใน การดารงชีวิต ซึ่งในสภาวะความซับซ้อนทางสังคมในโลกอนาคตยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆผู้เรียนต้องมีทักษะต่างๆตาม มากขึ้นไปด้วยไม่ว่าจะเป็นทักษะทางภาษา ทักษะการคิดชั้นสูง หากผู้เรียนเข้าใจในธรรมชาติการเรียนรู้และ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ในอนาคตยิ่งทวีความสาคัญในฐานะทั้งความรู้ กระบวนการ และวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้เรียนยิ่งต้องตระหนักในการเรียนวิทยาศาสตร์และเข้าใจว่าศาสตร์ต่างๆ ก็ยังคงนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือค้นหาและนาพามนุษย์เข้าถึงความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ กระบวนการส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามศักยภาพและคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ หลายหลายนาไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามหลักสูตรการพัฒนาการเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานมุ่งเน้นพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามรถในการแก้ปัญหา 4)ความ
  • 99. สารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ตลอดมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4)ใฝ่เรียนรู้ 5)อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทางาน 7) รัก ความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ ผู้วิจัยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) ดังรายละเอียดในตารางที่15 ตารางที่ 15 การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ สาระสาคัญ ทักษะความรู้ที่นามาใช้ใน การพัฒนา ทักษะกระบวนการ วิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ที่เป็น จุดเน้นการพัฒนา 1. องค์ประกอบของ บรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ ความรู้ ทักษะการเชื่อมโยง ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ การแก้ปัญหา 1. ความสนใจใฝ่รู้ 2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม 3. ความมีระเบียบและ รอบคอบ 4. ความมีเหตุผล 5. ความใจกว้าง 6. ความซื่อสัตย์ 2. อุณหภูมิของบรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ ความรู้ ทักษะการหาแบบ แผน ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการแก้ปัญหา 1. ความสนใจใฝ่รู้ 2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม 3. ความมีระเบียบและ รอบคอบ 4. ความมีเหตุผล 5. ความใจกว้าง 6. ความซื่อสัตย์ 3. การแบ่งชั้นบรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ ความรู้ ทักษะการหาแบบ แผน ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา 1. ความสนใจใฝ่รู้ 2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม 3. ความมีระเบียบและ รอบคอบ
  • 100. 4. ความมีเหตุผล 5. ความใจกว้าง 6. ความซื่อสัตย์ 4. ความดัน ความกด อากาศของบรรยากาศ ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะ ความรู้ ทักษะการหาแบบ แผน ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา 1. ความสนใจใฝ่รู้ 2. ความรับผิดชอบ มุ่งมั่น อดทน และเพียรพยายาม 3. ความมีระเบียบและ รอบคอบ 4. ความมีเหตุผล 5. ความใจกว้าง 6. ความซื่อสัตย์ ผลการวิเคราะห์สภาพที่เป็นจริงของการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่าทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับนานาชาติ รวมทั้งผลทดสอบระดับชาติ (O-Net , GAT/PAT)หรือทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนานาชาติ(โครงการPTAS และTIMSS) ผลการทดสอบระดับนานาชาติ(O-Net)และ ทดสอบทางการศึกษาแห้งชาติชั้นสูง (PAT) พบว่าปัจจัยสาคัญอย่างหนึ่งที่ทาให้การศึกษาประสบความสาเร็จ หรือไม่คือวิธีการสอน หรือวิธีการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้สอนเพราะหัวใจสาคัญคือการสอนที่จะทาให้นักเรียนมี ความรู้ความสามารถในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผล ไม่ใช่แค่ผู้สอนให้ผู้เรียนจาอย่างเดียว ควรสอนให้ผู้เรียน คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ ประเมินค่า สามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวันเพื่อแก้ปัญหา สาเหตุสาคัญที่นักเรียนเรื่อง บรรยากาศ ไม่มีทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ (สอบถามเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2560 – 20 มกราคม 2560) 1. นักเรียนชอบ/ไม่ชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะสาเหตุใด ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนักเรียน ต่อไปนี้ “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะมีการแสดงปรากฏการณ์ ทาให้นักเรียนสนุกได้” “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะ ชอบปรากฏการณ์ธรรมชาติ รู้จักสภาพแวดล้อมและมี เรื่องชวนให้ติดตามใหม่ๆเสมอ” “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะได้รู้จักชั้นบรรยากาศต่างๆที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้” “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ บางเรื่องเข้าใจง่ายและทาข้อสอบได้ดี” “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะเป็นวิชาที่มีการทดลองและคิดวิเคราะห์ผลจากการ ทดลอง” “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะเป็นวิชาที่มีการทดลองทาให้เข้าใจหลักการ วิทยาศาสตร์”
  • 101. “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เพราะในชีวิตประจาวันเราต้องเจอสภาพแวดล้อม อยากเรียนรู้ ประโยชน์และโทษที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ถูกต้อง” 2. ปัญหาในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ของนักเรียน คือมีหลักการ ทฤษฏี ซึ่งมีการท่องจา มีรูปภาพเป็นสื่อประกอบที่ค่อนข้างจะยาก รวมทั้งปัญหาในเรื่องพื้นฐานความรู้ที่สามารถนามาวิเคราะห์ โจทย์ได้ได้ ดังข้อมูลจากการสอบถาม ต่อไปนี้ “จาสูตรไม่ได้ ทาให้ไม่สามารถบอกชนิดของชั้นบรรยากาศแต่ละชั้นได้ และคุณสมบัติของแต่ละชั้น และ การบอกชนิดของเมฆ” “แก้โจทย์ปัญหาไม่ออก เนื่องจากความรู้พื้นฐาน การวิเคราะห์ การตีความโจทย์ การหาสิ่งที่โจทย์ถาม ได้ไม่ตรงตามที่กาหนด” “เนื้อหาเข้าใจยาก ความรู้พื้นฐานที่นามาประยุกต์ใช้มีน้อย ไม่สามารถแก้ปัญหาของการตีโจทย์ได้” “หลักการเข้าใจยาก ไม่รู้ที่ไปที่มาของแต่ละชั้นว่ามีเมฆชนิดอะไรบ้าง ไม่รู้หลักการดูเมฆ” “เนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เข้าใจยาก แต่ถ้าหากครูผู้สอนสอนอย่างสนุกสนาน ก็จะทา ให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่าย มีหลักการคานวณ “ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ และอยากเรียนให้สนุก รูปแบบของการสอนที่ชอบคือ ฝึกทา โจทย์ที่หลากหลาย เน้นหลักการวิเคราะห์โจทย์ อยากเรียนแบบคู่บัดดี้” “อยากให้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ เน้นการปฏิบัติการทดลองมากกว่ามีสื่อ Power Point ประกอบการเรียนการสอน อยากให้มีการมีแบบฝึก ทาก่อนสอบหลังเรียน “อยากให้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ แบบเร็วบ้าง ช้าบ้าง มีตัวอย่างประกอบไปเรื่อยๆอยาก ให้มีการคานวณหลายรูปแบบ และมีสื่อ Power Point สรุปเนื้อหาที่สอน” สอดคล้องกับการสัมภาษณ์ครูผู้สอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และผู้เชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้ 1. รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ควรเป็นอย่างไร “เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง เสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ เน้นทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เน้นเทคนิคการเรียนแบบ DRU Model (YPF) การสร้างองค์ความรู้ เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน การเรียนการสอนและร่วมผลิตสื่อการเรียนการสอน” 2. ทักษะที่ควรเน้นในกิจกรรมการเรียนการสอน ควรมีทักษะอะไรบ้าง “ทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ คิดแก้ปัญหา และทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์” 3. สื่อประกอบการเรียนการสอนควรเป็นอย่างไร
  • 102. “เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิด วิเคราะห์ ความรู้ ควรเป็นทั้งสื่อระดาษและสื่อเทคโนโลยี สื่อ Power Point สื่อวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการทดลอง” จากปัญหาและสิ่งที่ต้องการที่ได้จากการสอบถามผู้เรียนและผู้สอน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทาให้ผู้วิจัยได้ ออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ ขึ้นโดยพัฒนา รูปแบบการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดวิจารณญาณและจิต วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development)มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 12) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้าง ทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14) เพื่อประเมินผลและปรับปรุง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2) เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยทาหน้าที่เป็น ครูผู้สอน โดยออกแบบและดาเนินการจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ว21102 สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1โดยมีทฤษฏีกระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างองค์ความรู้ (Constructivist Learning Process) รูปแบบการสอนตามทฤษฎี DRU Model เพื่อให้นักเรียนมีทักษะทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ จากนั้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
  • 103. กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ตอนที่2 ผลการแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) ในขั้นตอนการออกแบบการพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) และพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งตรวจสอบ คุณภาพและประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล องค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย หลักการ เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ นาไปสู่การสร้างความรู้ของตนเองด้วยกระบวนการคิด เสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อ เสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 13) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้
  • 104. และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.3) เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 14.4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 องค์ประกอบเชิงกระบวนการ ประกอบด้วยการดาเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้ Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา
  • 105. ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน องค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ ปัจจัยที่เอื้อต่อต่อการเรียนรู้: การเตรียมพร้อมในการเรียน สมาธินักเรียนบรรยากาศในการเรียน การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และก่อนเรียนการสอนใช้รูปแบบ ผู้เรียนต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานสาหรับการเรียนรู้ เนื้อหาใหม่ ปัจจัยสนับสนุน: การเตรียมความพร้อมก่อนนารูปแบบไปใช้ 1. ผู้สอนต้องศึกษาทาความเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการต่างๆ ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งทาความเข้าใจกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเข้าใจองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้และ กระบวนการต่างๆทุกขั้นตอน 2. ผู้สอนต้องมีความรู้ความสามารถในด้านเทคนิควิธีสอนที่ใช้รูปแบบการสอน มีทักษะการสอน การ บริหารจัดการชั้นเรียนและสามารถประเมินผลตามสภาพจริง 3. ผู้สอนต้องมีทักษะการเชื่อมโยง ทักษะการใช้เหตุผล ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการใช้คาถาม และสามารถถ่ายทอดทักษะเหล่านี้สู่ผู้เรียน การดาเนินการ 3 ขั้นตอนของร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF) รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF) ที่พัฒนาขึ้นมาประกอบด้วยการดาเนินการ 3 ขั้นตอนดังนี้ Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ
  • 106. กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผลจากการตรวจสอบความเหมาะสม สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) และแก้ไขปรับปรุง 1.การดาเนินการตรวจสอบความเหมาะสม สอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 คน ผลการตรวจสอบ พบว่า รูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) ตามแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมมีความ เหมาะสมสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =5.00, S.D.=0.00) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า การกาหนด องค์ประกอบของรูปแบบมีความเหมาะสมครอบคลุมความต้องการจาเป็นของการส่งเสริมความสามารถใน ทักษะทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ และองค์ประกอบของรูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ สอดคล้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ( ̅ =4.80, S.D.=0.45) เมื่อพิจารณา องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แต่ละองค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ หลักการของ รูปแบบที่มีความเหมาะสม สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฏีพื้นฐานสามารถใช้เป็นกรอบในการกาหนดกิจกรรมการ เรียนการสอน แสดงให้เห็นจุดเน้นในการเรียนการสอน วัตถุประสงค์มีความเหมาะสมชัดเจนสามารถแสดงที่
  • 107. มุ่งหวังให้เกิดในตัวในตัวผู้เรียนหลักการและวัตถุประสงค์ มีความสอดคล้องความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มี ความเหมาะสมสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =4.80, S.D.=0.45) สาหรับองค์ประกอบเชิงกระบวนการ กระบวนการเรียนการสอนเหมาะสมสอดคล้องต่อเนื่องกัน ขั้นตอนการเรียนการสอนมีความเหมาะสม สามารถทาให้การเรียนการสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ มีความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.80, S.D. = 0.45) นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ปัจจัยเอื้อต่อการเรียนรู้มี ความเหมาะสมสอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความสอดคล้องมีกระบวนการเรียนรู้ ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม สอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.80, S.D. = 0.45) 2. การปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า ไม่มีข้อใดที่มีค่าความสอดคล้องต่ากว่าเกณฑ์กาหนด ( พิจารณาค่าความสอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไปและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานน้อยกว่า 1.00) อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้แนะนาผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะผู้เชี่ยวชาญได้เสนอเพิ่มเติมมาพิจารณาแก้ไขปรับปรุง รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) เพื่อให้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์และ ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้ 2.1 ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 DRU Model (YPF) โดยแยกวัตถุประสงค์เป็น 4ข้อ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ การการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 2. เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  • 108. 4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 2.2 ปรับเพิ่มเติมแก้ไขรายละเอียด ในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา ความสามารถเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1กาหนดขั้นตอนการดาเนินการ 3 ขั้นตอนโดยเพิ่มแนวคิดทฤษฏีที่เน้นการเรียนรู้กลุ่ม เชื่อมโยงความคิด (Apperception หรือ Herbartiannism) ของแฮบาร์ค หรื (Herbart) เชื่อมโยงแนวคิด หลักการ ทฤษฏี Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective
  • 109. learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์ของ Bloom (1961) Gardner (1975) เพิ่มเข้าไปในขั้นที่ ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะทักษะ ความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ได้แก่ คู้มือ การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุงแล้วไปหาสิทธิภาพ ( / ) โดยการทดลองภาคสนามประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ ( ) และประสิทธิภาพ ( ) โดยใช้เกณฑ์75/75ทดลองใช้กับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน ผลการทดลองการใช้ พบว่า โดยภาพรวม ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 ( รายละเอียดแสดงไว้ในภาคผนวก ฉ) ตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model (YPF)) จากการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model (YPF)) ที่ผ่านการหา คุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 จากการทดสอบใช้ (Try Out) ไปใช้ใน สถานการณ์จริง (Implement) กับกลุ่มตัวอย่างโดยดาเนินการตามกระบวนการ 3 ขั้นตอนของรูปแบบการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model (YPF)) ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
  • 110. (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนาเสนอเป็นแบบจาลองการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า DRU Model ดังภาพประกอบ ที่ 2 ภาพประกอบที่ 2กรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร ทาบา (Taba, 1962)และ SU Model 2.มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญา สาขาครุศาสตร์ และหรือสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี) 3. มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา 4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และ ปรับปรุง 5. หลักสูตรการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 6. การกาหนดระดับความเข้าใจในการกาหนดค่าระดับ คุณภาพการเรียนรู้ตามแนวคิด SOLO Taxonomy
  • 111. รูปแบบ DRU เพื่อพัฒนา Meta Cognition สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ทฤษฎี/แนวคิด ขั้นตอน/กิจกรรม การเรียนรู้ Constructivist Clarifying exist knowledge Identifying receiving and understanding new information Confirming and using new knowledge Biggs’s 3P Presage Process Product Research Learning วิเคราะห์ จุดหมายใน การเรียนรู้ วางแผนการ เรียนรู้ การพัฒนา ทักษะการ เรียนรู้ การสรุป/การ วิพากษ์ความรู้ ประเมินการเรียนรู้ SU Learning Model การวางแผน การเรียนรู้ การออกแบบ การเรียนรู้ ปฏิบัติการการเรียนรู้ (การเรียนรู้+ การจัดการชั้นเรียน) การประเมินการเรียนรู้ DRU Model D: การวินิจฉัยและออกแบบ การเรียนรู้ (Diagnosis of needs) R: การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ (Research in effective learning environment ) U: ขั้นการประเมินตรวจสอบ ทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนาความรู้ ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R(Universal Design for learning ) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอน 1. Meyers and other (2002) Meyers and Mcnulty(2009) 2. Bigg’s 3 P Model (2003) 3. Zvia and Yehudit (2008) 4. สุเทพ อ่วมเจริญ ประเสริฐมงคลและวัชรา เล่าเรียนดี (2559) 5. ชูสิทธิ์ ทินบุตร (2556) แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ และการจัดการชั้นเรียน 1. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ (Constructivism) 2. Constructivist learning Method: CLM 3. แนวคิดมิติใหม่ทางการศึกษาของมาร์ซาโน (Meta cognitive system and Marzano’ New Taxonomy) 4.แนวคิดการจัดการเรียนรู้ Bigg s3’p Model
  • 112. ( ̅ = 4.80 , S.D = 0.45 ) นอกจากนี้แล้วองค์ประกอบเชิงเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ปัจจัยเอื้อต่อการ เรียนรู้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุนมีความสอดคล้องกับ กระบวนการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม/สอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.80 , S.D = 0.45 ) 2. การปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธมยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าไม่มีข้อใดที่มีค่าความสอดคล้องต่ากว่าเกณฑ์ กาหนด (พิจารณาค่าความสอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานน้อยกว่า 1.00 ) อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้แนะที่ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะผู้เชี่ยวชาญได้เสนอเพิ่มเติมมาพิจารณาแก้ไข ปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) เพื่อให้รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้ 2.1 ปรับแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของวัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยแยกวัตถุประสงค์ออกเป็น 2 ข้อ 1) เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.2 ปรับแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด ในส่วนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ และจิตวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 กาหนดขั้นตอนการดาเนินการ 5 ขั้นตอนโดยมีการเพิ่มแนวคิดแนวทฤษฎีที่เน้นการเรียนรู้กลุ่มเชื่อมโยงความคิด (Apperception หรือ Herbartiannism) ของ เฮบาร์ด (Herbart) เชื่อมโยงแนวคิด หลักการ ทฤษฏีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่ ส่งเสริมจิตวิทยาศาสตร์ Bloom (1961) Gardner (1975) เพิ่มเข้าไปในขั้นตอนที่ 1) เตรียมความพร้อมผู้เรียน (Prepare leaners) ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือประกอบกับการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือ การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผ่านการหาคุณภาพโยผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุง
  • 113. แล้วไปหาประสิทธิภาพ ( E1/E2 ) โดยการทดลองภาคสนามประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และ ประสิทธิภาพ (E2) โดยใช้เกณฑ์ 75/75 ทดลองใช้กับ มัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม ตัวอย่าง 30 คน ผลการทดลองการใช้ พบว่า โดยภาพรวม ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 77.27/79.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 (รายละเอียดแสดงไว้ใน ภาคผนวก ฉ) ตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมี ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ดังนี้ จากการนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ที่ผ่านการหา คุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 จากการทดลองใช้ (Try Out) ไปใช้ใน สถานการณ์จริง (Implement) กับกลุ่มตัวอย่างโดยดาเนินการตามกระบวนการ 3 ขั้นตอน ของรูปแบบการ จัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ดังนี้ Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา
  • 114. แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน การนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ไปทดลองนั้น ผู้วิจัย ได้ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) สรุปได้ดังนี้ 1. ความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยเปรียบเทียบผลการประเมินความรู้โดยภาพรวมความรู้ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียน การสอน โดยการใช้รูปแบบการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) วิเคราะห์ข้อมูลโดย การหาค่าเฉลี่ย ( ̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) t-test dependent ปรากฎการณ์ดังภาพที่ 16 ตารางที่ 4 ผลการประเมินความรู้โดยภาพรวมของนักเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ความรู้ คะแนนเต็ม n ̅ S.D t ก่อนเรียน 70 34 6.87 0.45 -80.41** หลังเรียน 30 34 23.89 1.27 **มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
  • 115. จากตารางที่ 16 พบว่า หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2. พัฒนาการคิดทักษะความรู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ในช่วงระหว่างเรียน ผู้วิจัยนาคะแนนจากการทดสอบวัดทักษะความรู้โยภาพรวมความสามารถในการคิดอย่างมีความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระหว่างเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) ตารางที่ 15 ผลการประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) ความสามารถใน ระหว่างเรียน การคิดอย่างมีทักษะ ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ระยะที่ 3 ระยะที่ 4 ระยะที่ 5 ระยะที่ 6 ความรู้ ̅ 6.76 10.91 11.18 7.91 9.88 6.97 S.D 0.78 0.83 0.67 0.79 1.75 0.58 รวม ̅ 6.67 S.D 0.45 ตารางที่ 17 พบว่า ความสามารถในการคิดอย่างมีทักษะความรู้โดยภาพรวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) พัฒนาขึ้นในแต่ละระยะการเรียนมีความแตกต่าง กันค่าเฉลี่ย 6.67 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.45 3. จิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ DRU Model (YPF) ผู้วิจัยได้ประเมินจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อ เสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 DRU Model (YPF) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ผลดังตารางที่ 18
  • 116. ตารางที่ 16 ผลการประเมินจิตวิทยาศาสตร์ โดยการประเมินตนเองของผู้เรียนหลังเรียน โดยภาพรวมรายด้าน ตามเกณฑ์ 5 ระดับ จิตวิทยาศาสตร์ ̅ S.D ระดับ อันดับที่ 1. ความสนใจใฝ่รู้ 4.91 0.19 มากที่สุด 1 2. ความรับผิดชอบ 4.83 0.24 มากที่สุด 6 3. ความมีระเบียบ รอบคอบ 4.86 0.22 มากที่สุด 3 4. ความมีเหตผล 4.88 0.33 มากที่สุด 2 5. ความใจกว้าง 4.86 0.23 มากที่สุด 5 6. ความซื่อสัตย์ 4.90 0.23 มากที่สุด 4 รวม 4.90 0.20 มากที่สุด จากตารางที่ 18 พบว่า โดยภาพรวมจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ DRU Model (YPF) พัฒนาขึ้นหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย ( ̅ = 4.90 , S.D = 0.20 ) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความสนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย ( ̅ = 4.90 , S.D = 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด ตอนที่ 4 ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์หลังเรียน ผู้วิจัยได้ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะความรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ผลดังตารางที่ 19
  • 117. ตารางที่ 17 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ข้อ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ ที่ ̅ S.D ระดับ อันดับที่ ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ 1. นักเรียนได้ทบทวนความรู้พื้นฐานในการ 4.86 0.35 มากที่สุด 5 เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ 2. นักเรียนได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้กับครู 4.86 0.34 มากที่สุด 9 และเพื่อน 3. นักเรียนมีโอกาสได้ซักถาม/แสดง 4.95 0.23 มากที่สุด 1 ความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด 4. นักเรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายสรุป 4.86 0.35 มากที่สุด 5 สาระสาคัญในการสร้างองค์ความรู้ 5. นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการความรู้ 4.95 0.23 มากที่สุด 1 6. นักเรียนได้ฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 7. ครูใช้สื่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม 4.87 0.52 มากที่สุด 4 8. ครูแจ้งผลการสอบในการสอบแต่ละครั้ง 4.84 0.37 มากที่สุด 10 9. ครูมีปฎิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ 4.89 0.32 มากที่สุด 3 10. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ 4.86 0.35 มากที่สุด 5 เหมาะสมกับเนื้อหา รวมด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.86 0.23 มากที่สุด ด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ 11. การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียน ต้องมีความใฝ่เรียนรู้ 12. การจัดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนเพียร พยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้น
  • 118. ข้อ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ ที่ ̅ S.D ระดับ อันดับที่ 13. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความ 4.94 0.24 มากที่สุด 1 ละเอียดรอบคอบ ในการทางานมากขึ้น 14. การจัดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนมี 4.82 0.38 มากที่สุด 5 ความชื่อสัตย์มากขึ้น 15. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนเป็นคนมี 4.94 0.24 มากที่สุด 1 ใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น 16. การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนสามารถ 4.88 0.33 มากที่สุด 4 อธิบายหรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล รวมพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ 4.91 0.23 มากที่สุด รวม 2 ด้าน 4.60 0.40 มากที่สุด จากตารางที่ 19 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ DRU Model (YPF) ในภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.60 , S.D = 0.40) และเมื่อแยกรายด้านใน ภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.91 , S.D = 0.23) ในด้าน กระบวนการจัดการเรียนรู้ โยภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.86 , S.D = 0.23) ในด้าน กระบวนการจัดการเรียนรู้นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม/แสดงความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด และนักเรียนได้ ฝึกทักษะกระบวนการคิดทักษะความรู้ในระดับมากที่สุด เป็นอันดับมากที่สุดและครูแจ้งผลการสอบในการสอบ แต่ละครั้ง เป็นอันดับสุดท้ายส่วนในด้านพฤติกรรมวิทยาศาสตร์การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนต้องมีความ ใฝ่เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความละเอียดรอบคอบในการทางานมากขึ้น และการจัดการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนเป็นคนมีใจกว้างยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น เป็นอันดับมากที่สุด และการจัดการเรียนรู้ทาให้ นักเรียนเพียรพยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้นตามกาหนด เป็นอันดับสุดท้าย
  • 119. บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปลาย และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้และจิตวิทยา ศาสตร์วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ”สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิเคราะห์และพัฒนา (Rescarch and Development) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4) เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะ ความรู้หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.3 เพื่อประเมินจิตวิทยาศาสตร์ หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศสาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อ เสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เนื้อหาในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาสาระในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในส่วนรายวิชาเพิ่มเติม วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1แผนการเรียน วิทยาศาสตร์ ที่กาลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ยจานวน 30 คน ตัวแปรอิสระ คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้
  • 120. และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตัวแปรตาม คือ ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังการใช้รูปแบบ ( DRU Model (YPF)) การจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง บรรยากาศ สาหรับ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การดาเนินการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research and Development) 3 ขั้นตอน คือ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนด ภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตาม ขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและ ความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญ ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งใน ที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษา นา แผนการ จัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนา สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่น ยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งใน ขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้ นักศึกษามีการรู้คิด (meta cognition) และ กากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วย ขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผน แก้ปัญหา 3) จัดกิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การ วางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน ผู้วิจัยได้พัฒนาและหาคุณภาพ ประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดย
  • 121. ระยะที่ 1 การวิจัย (Research: R) เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความต้องการจาเป็น โดยวิเคราะห์ ข้อมูล (Analysis: A)ที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการจัดดารเรียนการสอน วิชา วิทยาศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระยะที่ 2 การพัฒนา (Development: D1) การออกแบบและพัฒนา (Design and Development: D&D)เป็นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ระยะที่ 3การวิจัย (Research: R2) การนาไปใช้ (Implementation: I) เป็นการนารูปแบบการเรียนรู้ ที่พัฒนาไปใช้ในสถานการณ์จริง ภาคสนาม ระยะที่ 4 การพัฒนา (Development: D2) เป็นการประเมินผล (Evaliation: E) เป็นการประเมิน รูปแบบการจัดการเรียนรู้ นาเสนอการจัดการเรียนรู้ ผลการทดสอบโดยในการพัฒนารูปแบบ การจัดการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีเครื่องมือประกอบด้วย คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ผ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ ท ด ส อ บ วั ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร คิดวิเคราะห์ แบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ แบบสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้แบบไม่อิสระต่อกัน โดยสรุปผลการวิจัย อภิปลายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะได้ ดังนี้ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 [DRU Model (YPF) ] สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [DRU Model (YPF)] ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบเชิงหลักการ วัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการ และ องค์ประกอบเชิง เงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ กระบวนการเรียนการสอนจัดการเรียนรู้ DRU Model ประกอบด้วย 3 ขั้น ตอน ดังนี้ ขั้น D: Diagnosis of needs (การวินิจฉัยและออกแบบการเรียนรู้ ) เป็นขั้น ให้นักศึกษาวินิจฉัยและ ตัดสินใจในการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยนักศึกษาสามารถกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้และ กาหนดภาระงานตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดได้สามารถออกแบบ การจัดการเรียนรู้นาเสนอเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ซึ่งในขั้น D: Diagnosis of needs ประกอบด้วยขั้น ตอน 6 ขั้น คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs) 2) การกาหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives) 3) การเลือกเนื้อหา (selection of content) 4) การบริหารจัดระบบเนื้อหา (organization of content) 5) การเลือก ประสบการณ์ให้ผู้เรียน (selection of learning experiences) 6) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences) ซึ่งการดาเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวเพื่อช่วยให้นักศึกษา
  • 122. สามารถวิเคราะห์หลักสูตรวิเคราะห์ผู้เรียน เพื่อกาหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุอย่างชัดเจน แล้ว จึงเลือกเนื้อหาสาระโดยพิจารณาความต่อเนื่องความยากง่ายและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนการ กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ กลวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าว ขั้น R: Research in effective learning environment (การใช้วิจัยเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมการ เรียนรู้ซึ่งในที่นี้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้หมายถึงการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน ) เป็นขั้นที่นักศึกษานา แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการปฏิบัติการเรียนรู้โดยนักศึกษาใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ในการกากับติดตามการปฏิบัติเพื่อให้ได้ความรู้ (Monitoring the Execution of knowledge) หรือการสร้างความรู้ใหม่และมีความกระจ่างชัด (Monitoring Clarity) และมีความถูกต้องเม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะมีการเลือกรับและทาความเข้าใจข้อมูลใหม่ทาให้นักศึกษา มีการรู้คิด (meta cognition) และกากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งในขั้น R: Research in effective learning environment ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น คือ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) วางแผนแก้ปัญหา 3) จัด กิจกรรมแก้ปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล 5) สรุปผลการแก้ปัญหา ขั้น U: Universal Design for learning เป็นขั้นการประเมิน ตรวจสอบทบทวนตนเองและการยืนยัน ความถูกต้องและนา ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากขั้น R: Research in effective learning environment ไปใช้ใน การวางแผนและออกแบบการเรียนรู้ใหม่และมีการกากับติดตามโดยการกากับติดตามนั้น ต้องมีความถูกต้อง เม่นยา (Monitoring Accuracy) ซึ่งเป็นไปตาม Meta Cognitive System ของมาร์ซาโน (สุเทพ อ่วมเจริญ. 2558)ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชียวชาญ 5 คน ได้ค่าความเหมาะสม/สอดคล้องมีค่าเฉลี่ย(X=5.00, S.D. =0.00) แสดงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องเชิงโครงสร้าง สามารถนาไปทดลองใช้ได้ค่าประสิทธิภาพค่าของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เท่า 77.27/76.61 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 2. หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 [DRU Model (YPF) ] โดยการภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [DRU Model (YPF) ] พัฒนาขึ้นหลังเรียนมี ค่าเฉลี่ย (X= 4.90, S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านด้านทีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้าน สนใจใฝ่รู้ มีค่าเฉลี่ย(X= 4.91, S.D. = 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ [ DRU Model (YPF) ] ใน ภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกรายด้านในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมนักเรียนเห็นด้วยในระดับมาก
  • 123. ที่สุด ในด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม/แสดงความคิดเห็น/กระตุ้นให้คิด และ นักเรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการคิด ความรู้ในระดับมากที่สุด เป็นอันดับมากที่สุดและครูแจ้งผลการสอบใน การสอบแต่ละครั้ง เป็นอันดับสุดท้าย ส่วนในด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์การเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียน ต้องมีความใฝ่เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีความละเอียดรอบคอบในการทางานมากขึ้น และการ จัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนเป็นคนมีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นอันดับมากที่สุด และการ จัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนมีเพียรพยายาม รับผิดชอบทางานให้เสร็จสิ้นตามกาหนดเวลา เป็นอันดับสุดท้าย อภิปรายผล การวิจัยเรื่อง “พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และ จิต วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1[ DRU Model (YPF) ] รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [ DRU Model (YPF) ] ที่พัฒนาขึ้นนี้ผ่านการตรวจสอบจาก เชี่ยวชาญ 5 คน พบว่าในภาพรวม มีความเหมาะสม/สอดคล้องในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าการกาหนดองค์ประกอบของรูปแบบมีความเหมาะสมครอบคลุมความต้องการจาเป็นของการส่งเสริม ความสามารถใน ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ และ องค์ประกอบของรูปแบบแต่ละองค์ประกอบมีควมสัมพันธ์ สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิดของแฮร์บาร์ด(Herbart) ทฤษฎีการ เชื่อมโยงของธอร์นไดด์ (Thorndike) และแนวคิด หลักการ ทฤษฎีเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ของไดรเวอร์และเบล และ เยเกอร์ (Driver and Bll,1986,Yager,1991) 2.หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้าง ทักษะความรู้และจิตวิยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศ สาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ [DRU Model (YPF) ] โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งนี้เนื่องจาก กระบวนการจัดการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะ ความรู้ได้กับเนื้อหาวิชาที่มีซับซ้อนและความคิดอาศัย หลักการเหตุผล เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ความรู้จากประสบการจริง สอดคล้องกับ วิโรจน์ วิวัฒน์สรรค์.2555 กล่าวว่าความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง สารสนเทศที่นาไปสู่การ ปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือ ข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนาสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการและความรู้ สารสนเทศที่ผ่านกระบวนการคิดเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนาไปใช้ ประโยชน์ในการสรุปและตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆโดยไม่กาหนดช่วงเวลา (สานักงาน ก.พ.ร.และสถาบัน เพิ่มผลผลิตแห่งชาติ,2548 : 8) ผลการวิจัยพบว่าความรูหมายถึง พฤติกรรมและสถานการณตางๆ ซึ่งเนนการ
  • 124. จาไมว่าจะเป็นการระลึกถึง หรือระลึกไดตามเป็นสภาพการณที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการเรียนรูโดยเริ่มตนจาก การรวบรวมสาระต่าง ๆ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่ขั้นที่มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยความรู้อาจแยกออกเป็น ความรู เฉพาะสิ่งและความรูเรื่องสากลเป็นต้น(สุมนา ปรุงศักดิ์. 2551) 3.หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ [ DRU Model (YPF) ] พัฒนาจิตวิทยาศาสตร์ หลังเรียน มีค่าเฉลี่ย (X = 4.60 , S.D. = 0.20) อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ ด้านความสนใจใฝ่ มีค่าเฉลี่ย (X = 4.91 , S.D.= 0.19) อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจาก กระบวนการเรียนโดยอาศัยทักษะ ความรู้ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์ ด้านการใฝ่เรียนรู้ สูงสุด สอดคล้องกันว่า จิตวิทยาศาสตร์เป็นลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดย ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้ประเมินจิตวิทยาศาสตร์ตามแบบประเมินของ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนวัดมะพร้าวเตี้ย ซึ่งผู้วิจัยใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ความ สนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ความมีเหตุมีผล การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์(ภาวิตา พรมสี ดา. 2558) 4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ [DRU Model (YPF) ] ในภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด และเมื่อแยกรายด้านในภาพรวมด้านพฤติกรรมจิตวิทยาศาสตร์ นักเรียน เห็นด้วยในระดับมากที่สุด ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ในภาพรวม นักเรียนเห็นด้วยในระดับมากที่สุด ใน ด้านนกระบวนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีโอกาสในการซักถาม แสดงความคิดเห็น/การกระตุ้นให้คิด และ นักเรียนได้ฝึกทักษะ ความรู้ในเรื่องนั้นๆ ข้อเสนอแนะ จากข้อค้นพบในการวิจัย เรื่อง พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบรรยากาศสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (DRU Model) ข้อเสนอแนะเพื่อนาผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัย พบว่า หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง บรรยากาศ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(DRU Model) นักเรียนมีจิตวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้นในการจัดการเรียนการ สอนผู้เกี่ยวข้องต้องนารูปแบบนี้ไปใช้
  • 125. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างทักษะ ความรู้ 2. ควรมีการวิจัยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความแตกต่างระหว่างผู้เรียน