มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                1
                            แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย พ.ศ. 2549
             (Clinical practice guidelines for diagnosis and management of thalassemia syndromes)

                               *(แกไขครั้งที่ 2/7 ก.ย.2548 โดย คณะทํางาน มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย)
นิยาม
           โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (thalassemia syndromes) เปนโรคโลหิตจางพันธุกรรมอันเนื่องมาจากความผิดปกติของ
การสรางฮีโมโกลบิน ทําใหสรางนอยลง (thalassemia) และหรือสรางฮีโมโกลบินผิดปกติ (hemoglobinopathy) เปนผลใหเม็ด
เลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ และมีอายุสั้น (hemolytic anemia) โรคธาลัสซีเมียมีการถายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal
กลาวคือ ทั้งบิดาและมารดาของผูที่เปนโรคธาลัสซีเมียจะมีธาลัสซีเมียแฝง หรือเรียกวาเปนพาหะของธาลัสซีเมีย (thalassemia
trait, carrier, heterozygote) หรือเปนโรคธาลัสซีเมีย
      ธาลัสซีเมียจึงอาจแบบไดเปน 2 กลุมใหญตามลักษณะทางพันธุกรรม (genotypic diagnosis) คือแอลฟาธาลัสซีเมีย และ
เบตาธาลัสซีเมีย ดังตารางที่ 1 แตการดูแลรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย จําเปนตองตัดสินบนพื้นฐานของความรุนแรงของโรค
(phenotypic diagnosis) วาเปนโรคโลหิตจางรุนแรงเพียงใด ดังตารางที่ 2 ความสัมพันธ็ของพันธุกรรมและความรุนแรงของ
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่พบบอยในประเทศไทย ที่สําคัญมีดังนี้ (รูปที่ 1)
      1. โรคทารกบวมน้ําชนิดบารท Bart’s hydrops fetalis หรือ homozygous alpha-thalassemia 1 มี genotype เปน
           α-thal 1/α-thal 1 หรือ - - /- - เปนชนิดที่รุนแรงที่สุด เด็กทารกจะเสียชีวิตตั้งแตอยูในครรภหรือตายทันทีหลังคลอด
           (ตายคลอด) อาจปญหาที่พบในแมระหวางตั้งครรภคือ ครรภเปนพิษ ความดันโลหิตสูง บวม การคลอดผิดปกติและตก
           เลือดหลังคลอด
      2. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบตา (‘Homozygous’ beta-thalassemia; β-thal/β-thal) มีโลหิตจางมากระดับ
           ฮีโมโกลบินระหวาง 3-6 กรัมตอเดซิลิตร มักเริ่มมีอาการซีดตั้งแตขวบปแรก หากไมไดรับการรักษาจะมี ตับ มามโต
           กระดูกขยายกวางทําใหรูปใบหนาเปลี่ยนแบบ thalassemic facies รางกายเจริญเติบโตชา จําเปนตองใหเลือด และเมื่อ
           ถึงวัยรุนและวัยผูใหญมักมีภาวะแทรกซอนจากธาตุเหล็กเกินไดแก ตับแข็ง เบาหวาน และหัวใจลมเหลว
      3. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบตา-อี (Beta-thalasemia/Hb E, β-thal/ E) อาการทางคลินิกมีตั้งแตนอย ปานกลาง
           จนถึงรุนแรงมากเชนเดียวกับ Homozygous beta-thalassemia
      4. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเอ็ช Hb H disease (α-thal 1/ α-thal 2, or α-thal 1/Hb CS) สวนใหญมีอาการนอยถึง
           ปานกลางไดแก ซีด เหลือง ตับมามโต แตถามีไขสูง จะมีภาวะซีดลงอยางรวดเร็ว ทําใหมีอาการทางสมองและหัวใจ
           วายได

แนวทางการวินิจฉัยผูที่เปนโรคธาลัสซีเมีย
       เด็กที่ควรสงสัยวาเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียไดแก อาการ อาการแสดง และการตรวจเลือดที่พบลักษณะดังนี้
   1. อาการและลักษณะทางคลินิกของผูปวย เปนขอมูลที่สําคัญในการวินิจฉัยโรค แตมีผูปวยโรคธาลัสซีเมียบางชนิด
       อาการอาจไมรุนแรง การตรวจทางหองปฏิบัติการ จึงมีความจําเปนและสามารถชวยแยกชนิดตาง ๆ ของโรค ได
   2. การตรวจเลือด (complete blood count, CBC) เพื่อดูภาวะซีด คาดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) และลักษณะ
       เม็ดเลือดแดง (morphology) เปนสิ่งที่ชวยในการวินิจฉัยโรคได เม็ดเลือดแดงบนสเมียรเลือดของผูปวย homozygous
       β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb H disease มีลักษณะติดสีจาง (hypochromia) ขนาดเล็ก
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                         2
         (microcytic) และรูปรางผิดปกติ (poikilocytosis) เปนตน คาดัชนีเม็ดเลือดแดง MCV และ MCH มีขนาดเล็กกวา
         ปกติ
    3.   การตรวจพบ inclusion body ในเม็ดเลือดแดง สามารถใหการวินิจฉัยโรค Hb H ได

    การวินิจฉัยธาลัสซีเมีย (definite diagnosis) ตองทําโดยการตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis)
โดยเครื่องตรวจอัตโนมัติชนิด high performance liquid chromatography (HPLC), low -pressure liquid chromatography
(LPLC), หรือ hemoglobin electrophoresis เพื่อจําแนกชนิดของโรคธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติใหแนนอน (ตารางที่
1) แพทยพึงสงตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบินกอนใหเลือดครั้งแรก หรืออยางนอย 3 เดือนหลังจากใหเลือดครั้งสุดทาย
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                       3

Baseline
Hb level
g/dl 14
        13
        12                                                                 normal
        11
        10               E trait                   αthal2
                                                                            mild
        9    β trait
               0
                                                              αthal1
        8
                                                               trait moderate
        7
        6
                                            HbH
        5
                                    AEBart HbH-CS                        severe
        4
        3                  β /E
                             0

        2      β0/β0
        1




รูปที่ 1 ระดับฮีโมโกลบินในสภาวะปกติ (baseline Hb level) ในโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่พบบอย และการจําแนกความ
รุนแรงของโรคธาลัสซีเมีย (phenotypic diagnosis) วาเปนโรคโลหิตจางรุนแรงนอย (mild) ปานกลาง (moderate) หรือชนิด
รุนแรง (severe)
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                      4
ตารางที่ 1          โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และธาลัสซีเมียแฝงที่สําคัญหรือพบบอยในประเทศไทย

แอลฟาธาลัสซีเมีย   Alpha-thalassemia syndromes


 ชื่อโรคหรือภาวะ        ความผิดปกติ                    อาการแสดง                 นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ
                          ของยีน                       Phenotype                 ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing
                         genotype
Hb Bart’s                (- - / - -)     เด็กมักเสียชีวิตตั้งแตในครรภหรือตาย   Cord blood Hb Bart’s > 80%
hydrops
                                         คลอด
Hb H disease             (- - / - α)     โลหิตจางปานกลาง มักไมตองใหเลือด      Cord blood Hb Bart’s= 10-
                                                                                 30%
                                         เปนประจํา                              อายุ > 1ปพบ Hb H= 4-20%
                                 CS
Hb H – Constant          (- -/α α)       โลหิตจางปานกลาง บางคนอาจตองให         Hb CS= 2-3% & Hb H= 10-
Spring (Hb H-                                                                    15%
CS)                                      เลือดเปนประจํา
Homozygous Hb          (αCSα/αCSα)       โลหิตจางเล็กนอยถึงปานกลาง มักไมตอง   Hb CS ~ 5%
CS
                                         ใหเลือดเปนประจํา
α-thal 1 trait              (- -/αα)     ระดับอีโมโกลบินปกติ หรือ โลหิตจาง       Cord blood Hb Bart’s= 2-10%
                                                                                 อายุ > 1ปพบ normal A2A
                                         เล็กนอย เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (MCV
                                         ต่ํา)
α-thal 2 trait           (- α/αα)        ระดับอีโมโกลบินปกติ เม็ดเลือดแดงมี      Normal Hb A2A

                                         ขนาดปกติ

เบตาธาลัสซีเมีย    Beta-thalassemia syndromes
 ชื่อโรคหรือภาวะ        ความผิดปกติ                    อาการแสดง                 นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ
                          ของยีน                       Phenotype                 ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing
                         genotype
Homozygous β-         (β /β0), (β0/β+)
                        0
                                         โลหิตจางมาก มักตองใหเลือดเปนประจํา   Hb A2F; ไมพบ HbA
thal                    หรือ (β+/β+)
β-thalassemia/Hb        (β0/βE) หรือ     โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด     Hb EF or Hb EFA
E
                            (β+/βE)      เปนประจํา แตบางคนไมตองให
Homozygous Hb               (βE/βE)      โลหิตจางเล็กนอย                        Hb E (E=80-100%)
E (HbEE)
Hb E trait                   (βE/β)      ระดับอีโมโกลบินปกติ เม็ดเลือดแดงมี      Hb EA (E=25-35%)

                                         ขนาดเล็ก (MCV ต่ํา) หรือขนาดปกติ
β-thalassemia               (β0/β) or    ระดับอีโมโกลบินปกติ หรือ โลหิตจาง       Hb A2A (A2>3.5%)
trait                        (β+/β)
                                         เล็กนอย เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (MCV
                                         ต่ํา)
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                           5
โรคที่เกิดจากแอลฟาธาลัสซีเมียและเบตาธาลัสซีเมียในคนเดียวกัน Alpha & Beta-thalassemia interaction
 ชื่อโรคหรือภาวะ      ความผิดปกติ                    อาการแสดง               นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ
                         ของยีน                      Phenotype               ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing
                       genotype
Hb AE Bart’s            (- -/- α)       โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด    Hb AE Bart’s
disease                  (βE/β)
                                        เปนประจํา แตบางคนไมตองให
Hb AE Bart’s -         (- -/αCSα)       โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด    Hb AE CS Bart’s
CS                       (βE/β)
                                        เปนประจํา แตบางคนไมตองให
Hb EF Bart’s        (--/-α) (βE/βE)     โลหิตจางปานกลางถึงมาก                  Hb EF Bart’s
disease              (--/-α) (β0/βE

ตารางที่ 2 แสดงอาการทางคลินิกและผลการตรวจทางหองปฏิบัติการตามความรุนแรงของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินชนิด
ตางๆ

                                                                    ระดับความเขมขน
 ความรุนแรง                         อาการทางคลินิก                                                โรคหรือภาวะตางๆ
                                                                   เลือดในสภาวะปกติ
                                                                    (baseline Hb/Hct)
รุนแรงที่สุด     ทารกจะตายในครรภ หรือตายในเวลาไมนานหลัง           ไมอยูรอดถึงวัยเด็ก   Hb Bart’s hydrops fetalis
(most severe)    คลอด มารดามีภาวะแทรกซอนของการตั้งครรภ
                 ไดแกครรภเปนพิษ
รุนแรงมาก        มีอาการซีดจนตองไดรับเลือดภายใน 2 ปแรก              Hb < 7 g/dL         β-thal/ β-thal (สวนใหญ)และ
                                                                      (Hct < 20 %)
(severe)         น้ําหนักตัวและความยาว (ความสูง) ต่ํากวาเกณฑ                             β-thal/Hb E disease (บาง
                 มาตรฐาน หนาตาเปลี่ยน ซีด เหลือง ตับมามโต                                ราย)
รุนแรง ปาน       อาจมีมามโตมาก                                     Hb > 7 – 9 g/dL        β-thal/ β-thal (บางราย)
                                                                   (Hct >20 – 27 %)
กลาง                                                                                       β-thal/ Hb E (สวนใหญ)
(moderate)                                                                                 Hb H disease (บางราย)
รุนแรงนอย       มามโตเล็กนอย หรือไมโต                           ระดับ Hb ≥ 9 g/dl      β-thal/ Hb E บางราย,
(mild)                                                                (Hct ≥ 27 %)         Hb H disease สวนใหญ,
                                                                                           Hb A-E-Bart’s disease,
                                                                                           Homozygous Hb CS
ไมมีอาการ       ไมมีภาวะซีด และไมมีอาการทางคลินิก               ระดับ Hb ปกติ (low พาหะของธาลัสซีเมีย หรือ
(Asymptom-                                                              normal)       ฮีโมโกลบินผิดปกติ ตางๆ
atic)
                                                                                           Homozygous α-thal2,
                                                                                           Homozygous Hb E
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                6
แนวทางการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
การรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียขึ้นอยูกับความรุนแรงของโรค สามารถจัดตามความรุนแรง (ตารางที่ 2) ไดดังนี้
โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง (severe beta-thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ต่ํากวา 7.0 g/dl (Hct <20 %) ไดแก β-thal/
β-thal และของ β-thal/Hb E disease สวนนอย มีทางเลือกในการรักษาดังนี้
    • การปลูกถายไขกระดูก (stem cell transplantation)
    • การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) และใหยาขับธาตุเหล็ก (iron chelation)
    • ใหเลือดแบบประคับประคอง (low transfusion) ใหยาขับธาตุเหล็ก และตัดมามเมื่อจําเปน


โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลาง (moderately severe thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ระหวาง 7-9 g/dl (Hct 20-
27 %) ไดแก ผูปวย β-thal/ Hb E สวนใหญ, ผูปวย β-thal/ β-thal บางราย และ Hb H diseaseบางราย มีทางเลือกในการรักษา
ดังนี้
       • ใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด และใหยาขับธาตุเหล็ก (high transfusion + iron chelation)
       • ใหเลือดแบบประคับประคอง (low transfusion) หรือเมื่อมี acute hemolysis และการตัดมามเมื่อจําเปน


โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงนอย (mild thalassemia) มีระดับ baseline Hb > 9 g/dl (Hct > 27 %) ไดแก Hb H disease สวน
ใหญ Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS, β-thal/ Hb E ควรใหการรักษาโดยใหเลือดตอเมื่อมี acute hemolysis

โรคธาลัสซีเมียชนิดไมมีอาการ หรือธาลัสซีเมียแฝง (Asymptomatic) ไดแก Homozygous α-thal 2, Homozygous Hb E,
และธาลัสซีเมียแฝง ไมจําเปนตองตรวจรักษาเปนพิเศษ ไมจําเปนตองไดทานยา ควรไดรับคําแนะนําปรึกษาดานพันธุศาสตร
ควรไดรับการตรวจสุขภาพตามระบบปกติ

รายละเอียดของวิธีการรักษามีดังนี้
     1. คําแนะนําดานสุขภาพโดยทั่วไป
    ผูที่เปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ควรไดรับคําแนะนําทั่วไปดังนี้
            - รับประทานอาหารครบ 5 หมู หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีธาตุเหล็กสูงไดแก เลือด ตับ เนื้อแดง งดยาและวิตามินที่เสริมธาตุ
    เหล็ก
            - ในเด็กฉีดวัคซีนใหครบถวนเหมือนเด็กปกติ โดยเฉพาะอยางยิ่งวัคซีนปองกันตับอักเสบ บี
            - ใหไดมีโอกาสเลน หรือออกกําลังกายไดเทาที่จะรูสึกเหนื่อย หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายที่กระทบกระแทกรุนแรง
    เพราะกระดูกเปราะอาจหักงาย

     2.   การให folic acid ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีการสรางเลือดมากกวาปกติ จึงมีความตองการกรดโฟลิคมากกวา
บุคคลทั่วไป จึงควรไดรับกรดโฟลิคเสริมดังนี้
         - ผูปวยอายุ > 1 ป ให 1 เม็ด (5 มก) วันละครั้ง
         - ผูปวยอายุ < 1 ป ให 1/2 เม็ด วันละครั้ง
         ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่ไดรับเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) ไมมีความจําเปนที่
    จะตองเสริมกรดโฟลิค ผูที่เปนธาลัสซีเมียแฝง และชนิดไมมีอาการก็ไมจําเปนตองไดรับการเสริมกรดโฟลิค
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                 7

     3. การใหเลือด (Packed red cell transfusion)
      ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียควรไดรับเม็ดเลือดแดงเขมขน (PRC) ที่ผานการลดจํานวนเม็ดเลือดขาวลง ไดแก
leukocyte-poor PRC) หรือกรองเม็ดเลือดขาวออก (leukocyte depleted/ filtered PRC) ผานการตรวจสอบโรคติดเชื้อตางๆ
ตามเกณฑมาตรฐานของงานบริการโลหิต (HIV antibody, HIV antigen, Hepatitis C, Hepatitis B, และ Syphilis) และผาน
การ cross-match ตามมาตรฐาน
            การให PRC แตละครั้ง ควรใหปริมาณ 12-15 mL/kg ของน้ําหนักตัว ไมควรใหเกิน 2 ยูนิตในคราวเดียวกันเพื่อ
ภาวะแทรกซอนที่อาจเกิดขึ้นที่เรียกวา ‘HCC syndrome’ (หัวขอ 7.3) ผูปวยที่ไดรับเลือดเปนประจําอาจมีปญหาการหาเลือดได
ยากเนื่องจากมีแอนติบอดีตอ ‘minor blood groups’ ดังนั้นหากเปนไปไดจึงควรตรวจหมูเลือด minor group red cell antigens
(C, c, E, e, Lea, Leb, Mia) ตั้งแตกอนใหเลือดครั้งแรก และเลือก PRC ที่มีหมูเลือดเขากันไดตั้งแตแรก นอกจากนี้ เลือดที่ให
ควรเปนเลือดใหมอายุไมเกิน 5 วัน
            เปาหมายของการใหเลือดในผูปวยมี 2 ประการดังนี้
3.1 การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง คือ
homozygous beta-thalassemia หรือ Beta-thalassemia/Hb E ชนิดรุนแรง ที่เพิ่งไดรับการวินิจฉัยใหม ควรพิจารณาใหไดรับ
การรักษาวิธีนี้ การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือดที่ผิดปกติ (suppression of erythropoiesis) ทําใหผูปวยหายจาก
ภาวะโลหิตจาง ผูปวยจะแข็งแรงไมเหนื่อย การเจริญเติบโตดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี การดูดซึมธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารจะลดลง
มามจะไมโตหรือจะยุบลง จึงไมจําเปนตองตัดมาม นอกจากนี้ยังปองกันมิใหลักษณะของกระดูกใบหนาเปลี่ยนแปลง
            การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด สามารถเริ่มไดโดย ให L-PRC 12-15 mL/kg ทุกสัปดาหจนระดับ
ฮีโมโกลบินสูงถึง 10 g/dL. เมื่อถึงระดับนี้แลวให L-PRC ตอไปอีกทุก 2 – 4 สัปดาหในขนาด 12-15 mL/kg เพื่อคุมใหระดับ
ฮีโมโกลบินกอนใหเลือดทุกครั้ง (pre-transfusion Hb) ไมต่ํากวา 10 g/dL ตลอดไป หากเมื่อใดระดับฮีโมโกลบินกอนใหเลือด
ต่ํากวา 10 g/dl ใหนัดมาใหเลือดถี่ขึ้น ดังนั้นผูปวยจึงจําเปนตองมาตรวจรักษาสม่ําเสมอปละประมาณ 12-15 ครั้ง รวมใชเลือดป
ละประมาณ 180-225 mL/kg ตอป และจะมีธาตุเหล็กสะสม จําเปนตองไดรับยาขับธาตุเหล็กรวมดวย (ดูหัวขอที่ 4) ผูปวยจึงจะ
มีอายุยืนยาวขึ้นใกลเคียงกับคนปกติ
            ในกรณีที่ผูปวยโรคธาลัสซีเมียรุนแรง แตมิไดรับเลือดมากพอมาตั้งแตตน มีมามโตมากแลว กระดูกขยายตัวแลว การ
เปลี่ยนมาใหเลือดแบบ high-transfusion อาจจําเปนตองใชเลือดมากกวาปกติ หรืออาจตองตัดมามเสียกอน จึงจะสําเร็จตาม
เปาหมายของการรักษา
      3.2 การใหเลือดแบบประคับประคอง (Low transfusion) ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่ไมสามารถ
รวมมือในการใหเลือดแบบ high-transfusion ไดเต็มที่ ระดับฮีโมโกลบินจะไมสูงพอที่จะระงับการสรางเลือดที่ผิดปกติ อาจ
จําเปนตองลดเปาหมายของการรักษาเปนแบบประคับประคอง ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลาง คือ
สามารถสรางเลือดไดเองมากพอที่จะมากกวา 7 g/dL อาจเลือกที่จะใหเลือดมากพอแบบ high-transfusion หรือแบบ
ประคับประคองก็ได คือจะใหเลือดตอเมื่อผูปวยที่มีอาการออนเพลียเนื่องจากระดับเลือดลดต่ําลงกวาที่เคย (acute hemolysis)
ซึ่งมักเกิดภายหลังภาวะไข ติดเชื้อ หรือเมื่อ Hb < 7 g/dL (Hct < 20%) โดยให L-PRC 10 mL/kg และติดตามผลเลือดทุก 4-
12 สัปดาห
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                    8
    การใหเลือดแบบประคับประคองนี้ ผูปวยอาจไดเลือดสม่ําเสมอ หรือไมสม่ําเสมอ มีธาตุเหล็กสะสมจากเลือดที่ไดรับ และ
จากการเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากลําไสมากกวาปกติ มามอาจโตขึ้นตามเวลาเนื่องจากชวยสรางเลือด
    3.3 การใหเลือดในสถานการณพิเศษ
        • ผูปวยที่มีปญหาการทํางานของหัวใจ และระดับ pretransfusion Hb < 5 g/dL ควรปฏิบัติดังนี้
             1. ใหปริมาตร PRC ที่ใหเทากับขนาด 2 เทาของระดับ Hb แตไมเกิน 5 mL/kg
             2. อัตราการให < 2 mL/kg /ชั่วโมง โดยใหปริมาณนอย แตบอยครั้ง (ทุก 24–48 ชม.)
             3. พิจารณาใหยาขับปสสาวะกอนให PRC
             4. วัด BP, PR 30 นาที กอนและหลังให PRC และเมื่อมีอาการผิดปกติทุกครั้ง
        • ผูที่มีประวัติ febrile non-hemolytic transfusion reaction (FNHTR) ให Chlorpheniramine และ Paracetamol
             รับประทานกอนใหเลือด 1/2-1 ชม. ถามีอาการ FNHTR ขณะใหเลือดใหหยุดการใหเลือดทันที วัด vital signs
             เปลี่ยน I.V. fluid เปน NSS หรือ 5% D/NSS แทนเลือด และใหยาดังกลาวขางตน
        • ผูปวยที่วางแผนจะรักษาดวยการปลูกถายไขกระดูก ควรไดรับเลือดชนิดที่กรองเม็ดเลือดขาวออกหมด (leukocyte
             depleted PRC หรือเรียกวา leukocyte filtered PRC) ในระหวางที่รอการปลูกถายไขกระดูก


     4. การใหยาขับธาตุเหล็ก (Iron chelation)
           ในผูปวยที่มีธาตุเหล็กเกิน ควรไดรับยาขับธาตุเหล็ก ผูปวยที่ไดรับ regular (high) transfusion รวมกับยาขับธาตุเหล็ก
อยางสม่ําเสมอ ในขนาดที่พอเพียงจะมีธาตุเหล็กเกินไมมาก มีคุณภาพชีวิตดีมีชีวิตยืนยาว
            ผูปวยธาลัสซีเมียมีธาตุเหล็กเกินจากเลือดที่ให (1 mL ของเม็ดเลือดแดงมีธาตุเหล็ก 1.16 mg) และธาตุเหล็กที่ไดจาก
การดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารทางลําไส สามารถตรวจระดับธาตุเหล็กในรางกายไดโดยการตรวจเลือดดูระดับซีรัมเฟอรไรติน
(serum ferritin) ถา serum ferritin สูงกวา 2,500 ng/mL หรือปริมาณธาตุเหล็กในตับมากกวา 15 mL/g จะกอใหเกิดผลรายตอ
อวัยวะตางๆได เชน ทําใหตับแข็ง เปนเบาหวาน เปนตน
           ขอบงชี้ในการใหยาขับธาตุเหล็ก
          • ระดับซีรัมเฟอรริติน (serum ferritin) สูงกวา 1,000 ng/mL หรือระดับธาตุเหล็กในตับสูงกวา 3 เทาของคาปกติ
          • ในผูปวยที่ไดรับเลือดเปนประจํามามากกวา 1 ป
          • ได PRC มาแลวประมาณ 15 ครั้ง
           ยาขับธาตุเหล็กที่มีประสิทธิภาพดีและคอนขางปลอดภัยใชกันมานาน คือ ยา Desferrioxamine (Desferal®) ใหใน
ขนาด 20-40 mg/kg/วัน จํานวน 5 – 7 วัน/สัปดาห บริหารยาโดยการฉีดเทานั้น นิยมฉีดเขาใตผิวหนังโดยใชเครื่องชวยฉีดยา
(infusion pump) ชาๆ วันละ 8-12 ชั่วโมง ติดตามดูผลการขับธาตุเหล็กโดยติดตามดูระดับ serum ferritin ทุก 6 เดือน ปรับ
ขนาดยาตามความเหมาะสม
           การใหยา continuous intravenous infusion พิจารณาเมื่อผูปวย มี cardiac problems จาก iron overload ขนาด 50 –
70 มก/กก/วัน เปนเวลา 5-6 วัน/สัปดาห โดยใหยาเปน continuous intravenous infusion 12-24 ชม ทาง infusion pump
           ยาขับธาตุเหล็กชนิดรับประทานในปจจุบัน คือ Deferiprone (L1) ไดรับอนุญาตใหใชในทวีปยุโรปเปน second line
monotherapy สําหรับผูที่ไมสามารถใช Desferrioxamine ได ขนาดยาที่ใชคือ 75 mg/kg/วัน
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                   9
     5. การตัดมาม
         มามจะโตในผูปวยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง และซีดเรื้อรัง ถามามโตมากขึ้นๆ จะเกิดภาวะ hypersplenism มาม
จะทําลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น
         ขอบงชี้ในการตัดมาม
         • มามโตมากจนเกิดอาการกดเบียด มักโตกวา 6 ซม.หรืออยูระดับสะดือ
         • อัตราการใหเลือดบอยขึ้นๆ หรือตองการเลือดมากกวา 250 mL/kg/ป
         • พบภาวะ hypersplenism


         การเตรียมผูปวยกอนการตัดมาม
         • ใหขอมูลแกผูปวยและผูปกครองเกี่ยวกับการตัดมามและอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อหลังการตัดมาม
         • ควรเลี่ยงการตัดมามในเด็กอายุต่ํากวา 5 ป เพราะในเด็กจะเกิดภาวะแทรกซอน โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้องายกวา
             เด็กโต
         •    ควรไดรับการฉีดวัคซีนปองกันการติดเชื้อ คือ Pneumococcal vaccine อยางนอย 1 เดือนกอนตัดมาม
         •    พิจารณาให aspirin ขนาด 2 – 4 มก/กก ถาระดับเกร็ดเลือด > 800x109/L

         การดูแลหลังตัดมาม
     •    ควรแนะนําใหทาน penicillin (250 มิลลิกรัม) 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง ตลอดไป หรืออยางนอย .5 ปหลังตัดมาม

         6. การปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด (stem cell transplantation: SCT)
           การปลูกถายไขกระดูก หรือ การปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด เปนวิธีเดียวในปจจุบันที่จะสามารถรักษาโรคโลหิต
จางธาลัสซีเมียใหหายขาดได แตไมสามารถใชรักษาผูปวยทุกราย เนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายจากการรักษา และคาใชจายสูง
มาก ผูที่สามารถรักษาไดดวยวิธีนี้ มีคุณสมบัติดังนี้
           1. ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง
           2. มีพี่นองหรือผูบริจาคไขกระดูกหรือ เซลลตนกําเนิดเม็ดเลือดที่มี HLA ตรงกับผูปวย โอกาสที่พี่นองทองเดียวกันแต
ละคนจะมี HLA ตรงกับผูปวยมีเพียง 1 ใน 4 ดังนั้น หากไมพี่นอง หรือไมมีพี่นองที่เขากันไดโอกาสที่ผูบริจาคคนอื่นที่มิใชญาติ
จะตรงกับผูปวยมีเพียง 1 ใน 10,000 ถึง 1 ใน 100,000
           3. ผูปวยพรอมที่จะรับภาระคาใชจายในการปลูกถายไขกระดูก ซึ่งอยูระหวาง 500,000 ถึง 1,5000,000 บาท
           เซลลตนกําเนิดเม็ดเลือดไดจากไขกระดูก เลือดสายสะดือ หรือเลือดที่เจาะจากเสนเลือดดําของผูบริจาคที่มี HLA ตรง
กับผูปวย หากผูปวยมีโอกาสรักษาดวยการปลูกถายไขกระดูกจะทําใหหายขาดจากโรคธาลัสซีเมียรอยละ 75-92 (ซึ่ง
ผลการรักษาจะดีมากในผูปวยที่เพิ่งไดรับการวินิจฉัยไมนาน เคยไดเลือดมาไมมากนัก หรือไดเลือดชนิดกรองเม็ดเลือดขาวมา
ตลอด และไดรับการขับธาตุเหล็กสม่ําเสมอ) แตก็มีโอกาสเสียชีวิตระหวางการรักษานี้ ครอบครัวที่เขาเกณฑ และมีความมุงมั่นที่
จะไดรับการรักษาแบบนี้ ควรไดรับการสงตอมายังผูเชี่ยวชาญดานการปลูกถายไขกระดูกในเด็ก เพื่อประเมินความเปนไปได
และใหคําปรึกษากอนตัดสินใจรับการรักษาโดยวิธีปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                10
     7. การดูแลรักษาภาวะแทรกซอน
         7.1 ภาวะติดเชื้อ
           ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่ไดรับการตัดมามไปแลว หากมีไข ควรไดรับการตรวจรักษาทันที พิจารณาใหยา
ปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อ pneumococci
           ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอาจติดเชื้องายกวาปกติ และเปนสาเหตุสําคัญที่ทําใหผูปวยเสียชีวิต ภาวะติดเชื้อใน
ผูปวยมีไดตั้งแต upper respiratory tract infection, diarrhea, pneumonia, gram negative septicemia การรักษาคือใหยา
ปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เปนสาเหตุ
           มีรายงานการติดเชื้อรา Pythium insidiosum ที่รุนแรงจนทําใหผูปวยเกิด arterial occlusion, gangrene และเสียชีวิต
ได จําเปนตองตัดอวัยวะสวนที่ติดเชื้อรานี้ออกเพื่อรักษาชีวิต
         7.2 Liver and gall bladder
           ในรายที่อาการรุนแรงจะมีตับโตอยางชัดเจนเปนผลมาจากการที่มี extramedullary erythropoisis เกิดขึ้นในตับเมื่อ
ผูปวยมีอายุมากขึ้นจะพบ liver cirrhosis ไดอันเปนผลเนื่องมาจากภาวะเหล็กเกินและภาวะติดเชื้อไวรัสชนิด B และ C
           ภาวะนิ่วในถุงน้ําดีมีอุบัติการณที่สูงกวาคนปกติ และเกิดขึ้นตั้งแตอายุนอย เนื่องจากมีการทําลายเม็ดเลือดแดงอยาง
มากมาย ถาตรวจพบมีนิ่วแลวอาจพิจารณาเปน elective surgery เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด cholecystitis หรือ ascending
cholangitis ตอมาภายหลังไดสูง

         7.3 Hypertension
          ผูปวยที่ไมไดรับเลือดเปนประจํานั้น มีรายงานวาเมื่อไดรับเลือด 2 unit หรือมากกวาเปนระยะเวลาติดตอกัน ผูปวยจะ
เกิดอาการ hypertension, convulsion และ cerebral hemorrhage (HCC syndrome) และอาจรุนแรงทําใหเสียชีวิตได การ
จํากัดมิใหเลือดครั้งเกิน 2 ยูนิต และหรือการวัดความดันโลหิตบอยๆรวมกับการให diuretic และ antihypertensive drugs จะ
ชวยลดภาวะแทรกซอนนี้ไดเปนอยางมาก
         7.4 Hypoxemia and Pulmonary hypertension
         ผูปวย   -thal/Hb E    ที่ไดรับการตัดมามไปแลวนั้นจะพบวาเกิดภาวะ hypoxemia ซึ่งตรวจไดจากการที่มี arterial
partial oxygen ต่ํา ในรายที่เสียชีวิตไปนั้นจาการตรวจ autopsy พบวามีลักษณะทางพยาธิวิทยาที่เปน pulmonary
hypertension ในที่สุดก็สันนิษฐานวามีความสัมพันธกันระหวาง pulmonary hypertension กับ thrombocytosis และ chronic
hypercoagulability ที่เกิดขึ้นหลังตัดมาม การรักษาดวย aspirin ในขนาดต่ํามีประโยชนในรายที่ยังไมมีอาการ

         7.5 Extramedullary erythropoiesis
         เนื่องจากภาวะซีดที่เกิดขึ้นจะกระตุนใหมี erythropoiesis เพิ่มขึ้นกวาเดิม 10-15 เทา จึงทําใหเกิด bone resorption
มากขึ้นและมี extramedullary erythropoisis เกิดขึ้นซึ่งจะพบไดบอยที่กระดูกซี่โครงและ paravertebra ทําใหเห็นเปนกอน
เวลาฉายรังสีภาพทรวงอกและ สวนกอนที่ paravertebra อาจทําใหผูปวยเกิด paraplegia ไดเมื่อกอนนั้นโตเขาไปเบียด spinal
cord หรือเกิดการชักไดในกรณีที่ erythopoietic mass เกิดขึ้นที่สมอง การขยายตัวอยางมากมายของไขกระดูกทําใหกระดูกบาง
ลง bone density ลดลง เกิดการหักของกระดูกงายขึ้นและกระดูกผิดรูป
         การรักษาควรใชหลายวิธีรวมกันคือ การใหเลือดเพื่อแกไขภาวะซีด การฉายรังสีรักษาตรงตําแหนงที่ทําใหเกิดอาการ
และการรักษาดวย Hydroxyurea
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                              11

         7.6 Chronic leg ulcer
            พบวาในผูปวยบางรายมีแผลเรื้อรังเกิดขึ้นโดยเฉพาะที่บริเวณขอเทาทั้งที่ medial และ lateral malleolus แผลนี้จะ
เรื้อรังเปนเวลานานหลายเดือนจนเปนปๆไดไมตอบสนองตอการรักษาดวยวิธีการตางๆจนแมกระทั่งทํา skin graft ทําใหผูปวย
ไดรับทุกเวทนาเปนอันมาก ซึ่งสาเหตุและกลไกการเกิดแผลเรื้อรังนี้ยังไมเปนที่เขาใจนักการรักษาจึงตองใชหลายวิธีรวมกัน
ไดแก การใหเลือดเพื่อแกไขภาวะซีด การทําแผลอยางถูกวิธี การทํา skin graft เมื่อมีขอบงชี้ การใช growth factor เชน G-CSF

8. การใหคําปรึกษาทางพันธุศาสตร (genetic counseling)
     บิดามารดาของผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียทุกรายยอมเปนพาหะของธาลัสซีเมียแบบใดแบบหนึ่ง       การวินิจฉัยโรคที่
ถูกตองเปนหัวใจสําคัญในการใหคําปรึกษา เพราะการใหการวินิจฉัยผิดพลาดจะทําใหคําแนะนําผิดพลาด ซึ่งมีผลกระทบอยาง
มากตอการตัดสินใจเกี่ยวกับการมีครอบครัวและการมีบุตรของผูปวย บิดามารดาของผูปวยธาลัสซีเมีย ควรไดรับการประเมิน
และคําแนะนําใหคุมกําเนิด จนกวาจะไดรับคําปรึกษาดานการวางแผนครอบครัว ดังนี้

    1.      การวินิจฉัยทารกในครรภกอนคลอด บิดามารดาของเด็กที่เปนธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ควรรับทราบวามีทางเลือกที่
            จะสามารถมีบุตรที่แข็งแรงไมเปนโรคธาลัสซีเมียเหมือนพี่ไดหากไดทําการตรวจกอนคลอด               (pre-natal
            diagnosis) ซึ่งควรวางแผนแตเนิ่น ๆ ใหสงไปพบสูติแพทยผูเชี่ยวชาญเรื่องโรคธาลัสซีเมีย (ตารางที่ ?) เพื่อให
            คําปรึกษาเรื่องการตรวจกอนคลอดเสียกอนที่จะหยุดการคุมกําเนิดเพื่อใหมารดาเริ่มตั้งครรภใหมหากครอบครัว
            พรอมที่จะมีบุตรอีกเมื่อใด

    2.      หากครอบครัวไมยอมรับเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภกอนคลอด ดวยเหตุผลใดก็ดี พึงใหทราบ
            ทางเลือกเกี่ยวกับการมีบุตรดังตอไปนี้
             1. เสี่ยงมีลูกอีกคนหนึ่ง บิดามารดาพึงรับทราบความเสี่ยงที่จะมีบุตรเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่รุนแรงและ
                   การใหขอมูลเกี่ยวกับอัตราการเสี่ยงโดยใชหลักการถายทอดแบบ autosomal recessive
             2. ใหคุมกําเนิดไวกอน เพื่อรอเทคโนโลยีทางการเจริญพันธุในอนาคตไดแก การตรวจไขเพื่อหาธาลัสซีเมียแฝง
                   ตามดวยการปฏิสนธิในหลอดทดลอง (in-vitro fertilization, IVF)
             3. มีบุตรเลือกใชวิธีผสมเทียมโดยใชอสุจิจากผูอื่น (artificial insemination) หรือ เลือกวิธีปฏิสนธิในหลอด
                   ทดลอง (IVF) และการฝากตัวออน (embryo transfer) โดยใช ovum จากผูอื่น
             4. รับเลี้ยงบุตรบุญธรรม


การจัดระบบใหบริการผูปวยธาลัสซีเมีย
ผูปวยธาลัสซีเมียเปนโรคเรื้อรัง จําเปนตองไดรับการดูแลตอเนื่อง โดยแพทยที่มีประสบการณดานโลหิตวิทยาและการบริการ
โลหิต การใหเลือดจําเปนตองทําใหที่ที่มีคลังเลือดที่มีศักยภาพในการเตรียมเลือดที่ปลอดภัย มีเลือดเพียงพอ
      แนวทางในการบันทึกเวชระเบียนมีความสําคัญมากเพื่อเปนฐานขอมูลเพื่อการควบคุมและปองกันโรคประกอบดวย
      1. ขอมูลผูปวย (demographic data) ไดแก การวินิจฉัย วันเดือนปเกิด เลขบัตรประจําตัวประชาชน (13 หลัก) น้ําหนัก
          สวนสูง พงศาวลี (pedigree) ของผูปวยและญาติ
      2. การตรวจทางหองปฏิบัติการเมื่อแรกวินิจฉัย
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                    12
              1.   serial CBC เพื่อใหทราบ baseline Hb level
              2.   Hemoglobin analysis ของผูปวยและครอบครัว
              3.   Blood group (ABO, Rh(D)) และควรตรวจ minor blood groups (C, c, E, e, Lea, Leb, Mia)
    3.   การติดตามผูปวยและการตรวจทางหองปฏิบัติการ
                  1. บันทึก น้ําหนัก และ ความเขมขนของเลือด (Hb หรือ Hct) ปริมาณและชนิดของเลือดที่ไดรับทุกครั้ง
                        ที่มาตรวจ
                  2. บันทึกสวนสูง ตรวจ liver function test (SGOT, SGPT), serum ferritin ทุก 3-6 เดือน
                  3. ตรวจ HIV antibody, hepatitis profile (HBsAg, HCVAb) ทุก 6 เดือน - 1 ป
                  4. ทบทวนเวชระเบียน แผนการรักษา และใหคําปรึกษาดานพันธุศาสตร ทุกป


รูปที่ 2 ขอบเขตการใหบริการผูปวยธาลัสซีเมีย และการสงตอ

             สถานีอนามัย                            คนหาผูปวย            ชักชวนญาติผูปวยใหตรวจหา
                                                 ธาลัสซีเมียในชุมชน               ธาลัสซีเมียแฝง



   โรงพยาบาลชุมชนโรงพยาบาลทั่วไป                   ใหการวินิจฉัย              ใหการรักษาธาลัสซีเมีย
       และ รพ.ที่มี Hb typing                                                 ชนิดไมรุนแรง เชน HbH



    โรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลศูนย               รักษาธาลัสซีเมียชนิด            ใหการรักษาธาลัสซีเมีย
     ที่มี Thalassemia clinic                         รุนแรง                ดวยการใหเลือด และยาขับเหล็ก
                                                                          ปลูกถายไขกระดูก BMT/SCT
                                                                       & Prenatal diagnosis (PND)
     โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ                  ใหคําปรึกษาเกียวกับ
                                                               ่
       Comprehensive                           BMT/SCT&PN
     Thalassemia center


ขอบเขตในการบริการ และการสงตอ
สถานีอนามัย ควรมีบทบาทในการคนหาผูปวยธาลัสซีเมียในชุมชน และสงตอไปยัง โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลทั่วไป
ที่มีการตรวจชนิดของฮีโมโกลบินเพื่อการวินิจฉัยที่แนนอน เมื่อทราบการวินิจฉัยแลว พึงชักชวนญาติผูปวยใหตรวจหา
ภาวะธาลัสซีเมียแฝง (พาหะธาลัสซีเมีย) เพื่อหาหนทางปองกันมิใหลูกหลานของครอบครัว เกิดเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                                13
โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลทั่วไป และสถานพยาบาลที่มีการตรวจชนิดของฮีโมโกลบิน พึงรับการสงตอผูปวยที่สงสัยวา
จะเปนธาลัสซีเมีย และทําการวินิจฉัยดวยการเวิคราะหฮีโมโกลบิน เครื่องมือที่ใชตรวจวิเคราะหพึงไดรับการรับรองมาตรฐาน
(Quality Control)
ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงนอย ไดแก Hb H disease สวนใหญ ควรไดรับการดูแลเปนประจําในสถานพยาบาล
ระดับนี้ ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลางถึงมาก ควรไดรับการสงตอเพื่อตรวจรักษาในโรงพยาบาลทั่วไป หรือ
โรงพยาบาลศูนย ที่มีคลินิกธาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถจัดหาเลือดไดเปนประจํา

โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย ที่มีคลินิกธาลัสซีเมีย พึงมีคลังเลือดที่พรอม ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง
ปานกลางถึงมากควรไดรับการดูแลเปนประจําในสถานพยาบาลระดับนี้ ซึ่งมีระบบจัดหาเลือดใหเพียงพอ มีคลังเลือดที่มี
ศักยภาพในการเตรียมเลือดที่ปลอดภัย อาจมีหรือไมมีแพทยผูเชี่ยวชาญดานโลหิตวิทยา แตควรมีกุมารแพทย อายุรแพทย หรือ
แพทยที่มีความรูความเขาใจในแนวทางเวชปฏิบัติฉบับนี้ เพื่อดูแลผูปวยกลุมนี้เปนประจํา เพื่อใหเกิดความตอเนื่องในการดูแล
ผูปวย

ทีมผูดูแลผูปวยธาลัสซีเมียพึงใหคําปรึกษาการวางแผนครอบครัว หรือคําแนะนําใหคุมกําเนิด จนกวาจะไดรับคําปรึกษาดานการ
วางแผนครอบครัวที่เหมาะสมดังกลาวขางตน หากครอบครัวเขาเกณฑที่จะไดรับการตรวจกอนคลอด (PND) ควรสงตอไป
ปรึกษาสูติแพทยผูเชี่ยวชาญ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ comprehensive thalassemia center

โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ comprehensive thalassemia center พึงมีกุมารแพทยและอายุรแพทยผูเชี่ยวชาญดานธาลัสซี
เมีย มีคลินิกธาลัสซีเมีย มีสูติแพทยผูเชี่ยวชาญดานธาลัสซีเมียเพื่อรับปรึกษาผูปวยและใหบริการเพื่อการตรวจกอนคลอด และ
อาจมีหรือไมมีการปลูกถายไขกระดูกเพื่อรักษาธาลัสซีเมีย              ทําการฝกอบรมบุคคลากรเพื่อใหการบริการผูปวยธาลัสซีเมียมี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทําการวิจัยเพื่อพัฒนาองคความรูดานธาลัสซีเมีย และพัฒนาระบบการบริการ

แนวทางการวินิจฉัยพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติ
          การตรวจกรอง (screening) มีจุดประสงคเพื่อคนหาผูที่เปนพาหะของ β-thalassemia, α-thalassemia 1 และ Hb E
เพื่อการควบคุมและปองกันโรคเปาหมาย 3 โรคไดแก homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb Bart’s
hydrops fetalis ถาไดผลบวกจากการตรวจกรอง ตองทําการตรวจยืนยัน โดยวิธีมาตรฐานตอไป การตรวจพาหะประกอบดวย
        การตรวจกรอง (screening test) ที่ใชในปจจุบันมี 3 วิธีไดแก
        1. ดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indicies) ประกอบดวย MCV (mean corpuscular volume), MCH (mean
            corpuscular hemoglobin) เปนคาที่ตรวจวัดโดยใชเครื่องวิเคราะหเม็ดเลือดอัตโนมัติ คา MCV มีความแตกตางกัน
            ขึ้นกับอายุดังแสดงในตารางที่ 2 พาหะของธาลัสซีเมียจะมีคา MCV ต่ํากวาคาเฉลี่ยอยู 2 เทาของคาเบี่ยงเบน
            มาตรฐาน (mean – 2 S.D) เชน ผูใหญเพศชายที่เปนพาหะจะมีคา MCV < 80 fl สําหรับคา MCH ในผูที่เปนพาหะ
            ใชคาที่ต่ํากวา 27 pg
        2. การทดสอบความเปราะของเม็ดเลือดแดงชนิดหลอดเดียว (one tube osmotic fragility test หรือ OF) เปนการวัด
            ปริมาณการแตกของเม็ดเลือดแดงในน้ําเกลือเขมขนรอยละ 0.36 ซึ่งเม็ดเลือดแดงของคนปกติจะแตกหมด แตใน
            พาหะธาลัสซีเมียจะแตกไมหมด การทดสอบนี้ใหผลบวกรอยละ 90 ของพาหะ β-thalassemia รอยละ 93 ของ
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                       14
             พาหะ α-thalassemia 1 และใหผลบวกลวงในรอยละ 5 ของคนปกติ อยางไรก็ตามภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ
             เหล็กก็ใหผลบวกเชนกัน
       3. การทดสอบฮีโมโกลบินไมเสถียรโดยการตกตะกอนสีดวยดีซีไอพี              (dichlorophenol-indolphemol      (DCIP)
             precipitation test) สี DCIP ทําใหโมเลกุลของฮีโมโกลบินไมเสถียร (unstable hemoglobin) เกิดการสลายตัวและ
             ตกตะกอน จึงใชตรวจกรองหาฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดตางๆ ไดแก ฮีโมโกลบินอี และ เอช สามารถตรวจกรอง
             พาหะของฮีโมโกลบินอีไดมากกวารอยละ 95 ปจจุบันไดมีการพัฒนาน้ํายาชุดใหมโดยคณะเทคนิคการแพทย
             มหาวิทยาลัยขอนแกน ชื่อ KKU-DCIP-Clear พบวามีความไวรอยละ 100
       การทดสอบยืนยันโดยวิธีมาตรฐาน ประกอบดวย
     1. การตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบิน (hemoglobin analysis) สามารถตรวจวัดปริมาณ HbA2 มีประโยชนในการ
          วินิจฉัยพาหะของ β-thalassemia ซึ่งมีคา HbA2 มากกวารอยละ 3.5 นอกจากนั้นยังสามารถตรวจฮีโมโกลบินผิดปกติ
          ได เชน Hb E และ Hb CS
     2. การตรวจ serum ferritin เพื่อแยกภาวะการขาดเหล็กออกจากพาหะของธาลัสซีเมีย
     3. การตรวจวิเคราะหยีน ดวยวิธี PCR (polymerase chain reaction) สําหรับวินิจฉัยผูที่เปนพาหะของ α-thalassemia 1
          การตรวจกรองและตรวจยืนยันสําหรับวินิจฉัยพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติสามารถกระทําเปน
ขั้นตอนถาการตรวจกรองใช MCV และ DCIP ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1 หรือถาการตรวจกรองใช OF และ DCIP ดังแสดงใน
แผนภูมิที่ 2 ขึ้นกับความพรอมของหองปฏิบัติการในแตละโรงพยาบาล


ตารางที่ 3       แสดงคาเฉลี่ย Hb, MCV ตามอายุตาง ๆ*
Age                                Hb (g/dl)                                    MCV (fl)
                                   Mean (-2 S.D.)                               Mean (-2 S.D.)
Birth (cord blood)                 16.5 (13.5)                                  108 (98)
1 to 30 days                       18.5 (14.5)                                  108 (95)
1 week                             17.5 (13.5)                                  107 (88)
2 weeks                            16.5 (12.5)                                  105 (86)
1 month                            14.0 (10.0)                                  104 (85)
2 months                           11.5 (9.0)                                   96 (77)
3 to 6 months                      11.5 (9.5)                                   91 (74)
0.5 to 2 years                     12.0 (10.5)                                  78 (70)
2 to 6 years                       12.5 (11.5)                                  81 (75)
6 to 12 years                      13.5 (11.5)                                  86 (77)
12 to 18 years
          Female                    14.0 (12.0)                                 90 (78)
          Male                      14.5 (13.0)                                 88 (78)
Adults
          Female                    14.0 (12.0)                                 90 (80)
          Male                      15.5 (13.5)                                 90 (80)

* From Nathan and Oski, 1993
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                             15
    เอกสารอางอิง
    1. Dumars K W, Boehem C, Eckman JR, et al. Practical guide to the diagnosis of thalassemia. Am J Med Genet.
        1996;62:29-37
    2. Expect Committee. Current Situation and Strategic Plan for Prevention and Control of Blood Disease in Thailand.
        Academia Reports, Ministry of Public Health. 1989-1990; 5-43.
    3. Anonymous. The laboratory diagnosis of haemoglobinopathies. Br J Haematol 1998;101:783-92
    4. Cao A, Pintus L, leeca U, et al. Control of homozygous β-thalassemia by carrier screening and antenatal diagnosis
        in Sardinians. Clin Genet. 1984;26:12-22
    5. Ghosh A, Woo JSK, Wan CW, Machenry C, Wong V, and Ma HK. Evaluation of a prenatal screening for beta
        thalassemia carriers in a Chinese population based on the mean corpuscular in a Chinese population based on the
        mean corpuscular volume(MCV). Prenatal Diagnosis 1985;5:59-65
    6. รัตนา สินธุภัค, อวยพร แกวสุข, ปยลัมพร หะวานนท และคณะ รูปแบบที่เหมาะสมในการคัดกรองพาหะของ
        โรคธารัสซีเมียสําหรับประเทศที่กําลังพัฒนา วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต 2539;6(2):165-177
    7. Rogers M, Plelan L, Bain B. Screening criteria for beta thalassemia trait in pregnant women. J Clin Pathol 1995; 48;
        1054-6.
    8. Sanguansermsri T, Phumyu N, Chomchuen S, and Steger HF. Screening for Alpha-Thalassemia 1 Heterozygotes in
        Expecting Couples by Combination of a Simple Erythrocyte Osmotic Fragility Test and PCR-Based Method.
        Community Genet 1999;2:26-29
    9. กุลนภา ฟูเจริญ, กัญญารัตน แดนตะ, รุงฤดี ปทุมชาติ และคณะ ธารัสซีเมียและภาวะขาดเหล็กในกลุมประชากรที่
        ใหผลบวกตอการตรวจกรอง OF Test และ KKU-DCIP-Clear วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต
        2542;(2):111-118
    10. ธิพาจันทร อริยะ, ตอพงษ สงวนเสริมศรี, อานนท บุญยะรัตนเวช และคณะ การเปรียบเทียบระหวาง thalassemia
        screening test และ Hb typing. วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต 2542;9(1):49-51
    11. Fucharoen S, Winichagoon P, Wisedpanuchkit R, et al. Prenatal and postnatal diagnosis of thalassemia and
        hemoglobinopathies by HPLC. Clin Chem 1998;44(4):740-8
    12. Kattamis C, Efremor G, and Pootrakul S. Effectiveness of one tube osmotic fragility screening in detecting β-
        thalassemia trait. J Med Genet. 1981;18:266-70
    13. Kulapongs P, Sangunasermsri T, Mertz G, Tawarat S. Dichlorophenol indophenol(DCIP) precipitation test: a new
        screening test of Hb E and H. Paediatr Soc Thailand.1976;15;1-7
    14. ยุพิน โจแฟง, กุลนภา ฟูเจริญ, เกรียงไกร กิจเจริญ, ณัฐยา แซอึ้ง, กนกวรรณ แสนไชย สริยา การทดสอบทาง
        หองปฏิบัติการแบบงาย          เพื่อตรวจกรองธารัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติ            วารสารเทคนิคการแพทยและ
        กายภาพบําบัด 2536; 5:131-7.
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                       16
    15. Guidelines for the control of haemoglobin disorders. The sixth annual meeting of the WHO Working Group on
        Haemoglobinopathies held in Sardinia. Modell B ed. April 1989.
    16. Management protocol for the treatment of thalassemia patients 1997 Editors. Antonio Cao, Vilma Gabutti, Renzo
        Galanello, et al. WHO: Thalassemia International Federation. Nicosia, Cyprus.
    17. จินตนา ศิรินาวิน การใหคําปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตรสําหรับธารัสซีเมีย สารศิริราช 2532:256-64
    18. จินตนา ศิรินาวิน แนวทางปฏิบัติในการใหคําปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตรสําหรับธาลัสซีเมีย เอกสารประกอบการ
        อบรมฟนฟูวิชาการโลหิตวิทยาครั้งที่ 6 จัดโดยสมาคมโลหิตวิทยาแหงประเทศไทย ณ วิทยาลัยแพทยศาสตรพระมงกุฎ
        เกลา 18-20 มกราคม 2536.
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                        17
แผนภูมิที่ 1 แสดงการตรวจกรองพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติโดยใช MCV และ DCIP test
Step I Screening test


                                                  MCV + DCIP


                                                                                                   MCV > 80 fl
      DCIP positive                                MCV < 80 fl                                    DCIP negative
                            Serum ferritin
                        <15 ng/ml
                                                                 1 month treatment of iron
                                                                               Recheck MCV
                                                  No history, signs
                                                  of iron def.
                                                  Hb > 10 g/dl
                                                                                           Improve
                        Iron def.      Normal range              Not improve        Iron def.
Step II. Confirmatory test


      Hemoglobin Analysis (HPLC, LPLC) or Hemoglobin electrophoresis




    Hb A A2 (A2< 3.5%)                 Hb A A2 (A2> 3.5%)               Abnormal Hb (E; CS; H; etc.)
Step III. DNA test                                                      Thalassemia diseases

    PCR for alpha-thal 1

Negative          Positive


No significant    Alpha-thal 1 trait    Beta-thal trait               Hb E trait; homozygous Hb E      Normal
thalassemia                                                           Hb CS trait; homozygous Hb CS
                                                                      Hb H disease
                                                                      Beta-thal/Hb E, ect.
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                                                                        18
แผนภูมิที่ 2 แสดงการตรวจกรองพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติโดยใช OF และ DCIP test
Step I Screening test


                                                   OF + DCIP


      DCIP positive                                OF positive                                     OF negative
                                                                                                  DCIP negative
                            Serum ferritin                       1 month treatment of iron
                        <15 ng/ml
                                                  No history, signs
                                                  of iron def.                    Recheck MCV
                                                  Hb > 10 g/dl
                                                                                           Improve
                        Iron def.      Normal range
                                                                 Not improve        Iron def.
Step II. Confirmatory test


      Hemoglobin Analysis (HPLC, LPLC) or Hemoglobin electrophoresis



    Hb A A2 (A2< 3.5%)                 Hb A A2 (A2> 3.5%)               Abnormal Hb (E; CS; H; etc.)
Step III. DNA test                                                      Thalassemia diseases

    PCR for alpha-thal 1


Negative          Positive


No significant    Alpha-thal 1 trait    Beta-thal trait               Hb E trait; homozygous Hb E      Normal
thalassemia                                                           Hb CS trait; homozygous Hb CS
                                                                      Hb H disease
                                                                      Beta-thal/Hb E, ect.
มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย                    19
*หมายเหตุ คณะทํางานฯ มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสเมีย
    1.     ศาสตราจารยเกียรติคุณ แพทยหญิง วรวรรณ ตันไพจิตร
    2.     ศาสตราจารย นายแพทย สุทัศน ฟูเจริญ
    3.     รองศาสตราจารย นายแพทย ธันยชัย สุระ
    4.     รองศาสตราจารย นายแพทย กิตติ ตอจรัส
    5.     ผูชวยศาสตราจารย นายแพทย นพดล ศิริธนารัตนกุล
    6.     รองศาสตราจารย นายแพทย อิศรางค นุชประยูร

Thal cpg

  • 1.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 1 แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย พ.ศ. 2549 (Clinical practice guidelines for diagnosis and management of thalassemia syndromes) *(แกไขครั้งที่ 2/7 ก.ย.2548 โดย คณะทํางาน มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย) นิยาม โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (thalassemia syndromes) เปนโรคโลหิตจางพันธุกรรมอันเนื่องมาจากความผิดปกติของ การสรางฮีโมโกลบิน ทําใหสรางนอยลง (thalassemia) และหรือสรางฮีโมโกลบินผิดปกติ (hemoglobinopathy) เปนผลใหเม็ด เลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ และมีอายุสั้น (hemolytic anemia) โรคธาลัสซีเมียมีการถายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal กลาวคือ ทั้งบิดาและมารดาของผูที่เปนโรคธาลัสซีเมียจะมีธาลัสซีเมียแฝง หรือเรียกวาเปนพาหะของธาลัสซีเมีย (thalassemia trait, carrier, heterozygote) หรือเปนโรคธาลัสซีเมีย ธาลัสซีเมียจึงอาจแบบไดเปน 2 กลุมใหญตามลักษณะทางพันธุกรรม (genotypic diagnosis) คือแอลฟาธาลัสซีเมีย และ เบตาธาลัสซีเมีย ดังตารางที่ 1 แตการดูแลรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย จําเปนตองตัดสินบนพื้นฐานของความรุนแรงของโรค (phenotypic diagnosis) วาเปนโรคโลหิตจางรุนแรงเพียงใด ดังตารางที่ 2 ความสัมพันธ็ของพันธุกรรมและความรุนแรงของ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่พบบอยในประเทศไทย ที่สําคัญมีดังนี้ (รูปที่ 1) 1. โรคทารกบวมน้ําชนิดบารท Bart’s hydrops fetalis หรือ homozygous alpha-thalassemia 1 มี genotype เปน α-thal 1/α-thal 1 หรือ - - /- - เปนชนิดที่รุนแรงที่สุด เด็กทารกจะเสียชีวิตตั้งแตอยูในครรภหรือตายทันทีหลังคลอด (ตายคลอด) อาจปญหาที่พบในแมระหวางตั้งครรภคือ ครรภเปนพิษ ความดันโลหิตสูง บวม การคลอดผิดปกติและตก เลือดหลังคลอด 2. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบตา (‘Homozygous’ beta-thalassemia; β-thal/β-thal) มีโลหิตจางมากระดับ ฮีโมโกลบินระหวาง 3-6 กรัมตอเดซิลิตร มักเริ่มมีอาการซีดตั้งแตขวบปแรก หากไมไดรับการรักษาจะมี ตับ มามโต กระดูกขยายกวางทําใหรูปใบหนาเปลี่ยนแบบ thalassemic facies รางกายเจริญเติบโตชา จําเปนตองใหเลือด และเมื่อ ถึงวัยรุนและวัยผูใหญมักมีภาวะแทรกซอนจากธาตุเหล็กเกินไดแก ตับแข็ง เบาหวาน และหัวใจลมเหลว 3. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบตา-อี (Beta-thalasemia/Hb E, β-thal/ E) อาการทางคลินิกมีตั้งแตนอย ปานกลาง จนถึงรุนแรงมากเชนเดียวกับ Homozygous beta-thalassemia 4. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเอ็ช Hb H disease (α-thal 1/ α-thal 2, or α-thal 1/Hb CS) สวนใหญมีอาการนอยถึง ปานกลางไดแก ซีด เหลือง ตับมามโต แตถามีไขสูง จะมีภาวะซีดลงอยางรวดเร็ว ทําใหมีอาการทางสมองและหัวใจ วายได แนวทางการวินิจฉัยผูที่เปนโรคธาลัสซีเมีย เด็กที่ควรสงสัยวาเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียไดแก อาการ อาการแสดง และการตรวจเลือดที่พบลักษณะดังนี้ 1. อาการและลักษณะทางคลินิกของผูปวย เปนขอมูลที่สําคัญในการวินิจฉัยโรค แตมีผูปวยโรคธาลัสซีเมียบางชนิด อาการอาจไมรุนแรง การตรวจทางหองปฏิบัติการ จึงมีความจําเปนและสามารถชวยแยกชนิดตาง ๆ ของโรค ได 2. การตรวจเลือด (complete blood count, CBC) เพื่อดูภาวะซีด คาดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) และลักษณะ เม็ดเลือดแดง (morphology) เปนสิ่งที่ชวยในการวินิจฉัยโรคได เม็ดเลือดแดงบนสเมียรเลือดของผูปวย homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb H disease มีลักษณะติดสีจาง (hypochromia) ขนาดเล็ก
  • 2.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 2 (microcytic) และรูปรางผิดปกติ (poikilocytosis) เปนตน คาดัชนีเม็ดเลือดแดง MCV และ MCH มีขนาดเล็กกวา ปกติ 3. การตรวจพบ inclusion body ในเม็ดเลือดแดง สามารถใหการวินิจฉัยโรค Hb H ได การวินิจฉัยธาลัสซีเมีย (definite diagnosis) ตองทําโดยการตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis) โดยเครื่องตรวจอัตโนมัติชนิด high performance liquid chromatography (HPLC), low -pressure liquid chromatography (LPLC), หรือ hemoglobin electrophoresis เพื่อจําแนกชนิดของโรคธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติใหแนนอน (ตารางที่ 1) แพทยพึงสงตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบินกอนใหเลือดครั้งแรก หรืออยางนอย 3 เดือนหลังจากใหเลือดครั้งสุดทาย
  • 3.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 3 Baseline Hb level g/dl 14 13 12 normal 11 10 E trait αthal2 mild 9 β trait 0 αthal1 8 trait moderate 7 6 HbH 5 AEBart HbH-CS severe 4 3 β /E 0 2 β0/β0 1 รูปที่ 1 ระดับฮีโมโกลบินในสภาวะปกติ (baseline Hb level) ในโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่พบบอย และการจําแนกความ รุนแรงของโรคธาลัสซีเมีย (phenotypic diagnosis) วาเปนโรคโลหิตจางรุนแรงนอย (mild) ปานกลาง (moderate) หรือชนิด รุนแรง (severe)
  • 4.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 4 ตารางที่ 1 โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และธาลัสซีเมียแฝงที่สําคัญหรือพบบอยในประเทศไทย แอลฟาธาลัสซีเมีย Alpha-thalassemia syndromes ชื่อโรคหรือภาวะ ความผิดปกติ อาการแสดง นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ ของยีน Phenotype ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing genotype Hb Bart’s (- - / - -) เด็กมักเสียชีวิตตั้งแตในครรภหรือตาย Cord blood Hb Bart’s > 80% hydrops คลอด Hb H disease (- - / - α) โลหิตจางปานกลาง มักไมตองใหเลือด Cord blood Hb Bart’s= 10- 30% เปนประจํา อายุ > 1ปพบ Hb H= 4-20% CS Hb H – Constant (- -/α α) โลหิตจางปานกลาง บางคนอาจตองให Hb CS= 2-3% & Hb H= 10- Spring (Hb H- 15% CS) เลือดเปนประจํา Homozygous Hb (αCSα/αCSα) โลหิตจางเล็กนอยถึงปานกลาง มักไมตอง Hb CS ~ 5% CS ใหเลือดเปนประจํา α-thal 1 trait (- -/αα) ระดับอีโมโกลบินปกติ หรือ โลหิตจาง Cord blood Hb Bart’s= 2-10% อายุ > 1ปพบ normal A2A เล็กนอย เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (MCV ต่ํา) α-thal 2 trait (- α/αα) ระดับอีโมโกลบินปกติ เม็ดเลือดแดงมี Normal Hb A2A ขนาดปกติ เบตาธาลัสซีเมีย Beta-thalassemia syndromes ชื่อโรคหรือภาวะ ความผิดปกติ อาการแสดง นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ ของยีน Phenotype ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing genotype Homozygous β- (β /β0), (β0/β+) 0 โลหิตจางมาก มักตองใหเลือดเปนประจํา Hb A2F; ไมพบ HbA thal หรือ (β+/β+) β-thalassemia/Hb (β0/βE) หรือ โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด Hb EF or Hb EFA E (β+/βE) เปนประจํา แตบางคนไมตองให Homozygous Hb (βE/βE) โลหิตจางเล็กนอย Hb E (E=80-100%) E (HbEE) Hb E trait (βE/β) ระดับอีโมโกลบินปกติ เม็ดเลือดแดงมี Hb EA (E=25-35%) ขนาดเล็ก (MCV ต่ํา) หรือขนาดปกติ β-thalassemia (β0/β) or ระดับอีโมโกลบินปกติ หรือ โลหิตจาง Hb A2A (A2>3.5%) trait (β+/β) เล็กนอย เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (MCV ต่ํา)
  • 5.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 5 โรคที่เกิดจากแอลฟาธาลัสซีเมียและเบตาธาลัสซีเมียในคนเดียวกัน Alpha & Beta-thalassemia interaction ชื่อโรคหรือภาวะ ความผิดปกติ อาการแสดง นิยามของโรคหรือภาวะนี้โดยการ ของยีน Phenotype ตรวจชนิดฮีโมโกลบิน Hb typing genotype Hb AE Bart’s (- -/- α) โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด Hb AE Bart’s disease (βE/β) เปนประจํา แตบางคนไมตองให Hb AE Bart’s - (- -/αCSα) โลหิตจางปานกลางถึงมาก บางคนใหเลือด Hb AE CS Bart’s CS (βE/β) เปนประจํา แตบางคนไมตองให Hb EF Bart’s (--/-α) (βE/βE) โลหิตจางปานกลางถึงมาก Hb EF Bart’s disease (--/-α) (β0/βE ตารางที่ 2 แสดงอาการทางคลินิกและผลการตรวจทางหองปฏิบัติการตามความรุนแรงของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินชนิด ตางๆ ระดับความเขมขน ความรุนแรง อาการทางคลินิก โรคหรือภาวะตางๆ เลือดในสภาวะปกติ (baseline Hb/Hct) รุนแรงที่สุด ทารกจะตายในครรภ หรือตายในเวลาไมนานหลัง ไมอยูรอดถึงวัยเด็ก Hb Bart’s hydrops fetalis (most severe) คลอด มารดามีภาวะแทรกซอนของการตั้งครรภ ไดแกครรภเปนพิษ รุนแรงมาก มีอาการซีดจนตองไดรับเลือดภายใน 2 ปแรก Hb < 7 g/dL β-thal/ β-thal (สวนใหญ)และ (Hct < 20 %) (severe) น้ําหนักตัวและความยาว (ความสูง) ต่ํากวาเกณฑ β-thal/Hb E disease (บาง มาตรฐาน หนาตาเปลี่ยน ซีด เหลือง ตับมามโต ราย) รุนแรง ปาน อาจมีมามโตมาก Hb > 7 – 9 g/dL β-thal/ β-thal (บางราย) (Hct >20 – 27 %) กลาง β-thal/ Hb E (สวนใหญ) (moderate) Hb H disease (บางราย) รุนแรงนอย มามโตเล็กนอย หรือไมโต ระดับ Hb ≥ 9 g/dl β-thal/ Hb E บางราย, (mild) (Hct ≥ 27 %) Hb H disease สวนใหญ, Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS ไมมีอาการ ไมมีภาวะซีด และไมมีอาการทางคลินิก ระดับ Hb ปกติ (low พาหะของธาลัสซีเมีย หรือ (Asymptom- normal) ฮีโมโกลบินผิดปกติ ตางๆ atic) Homozygous α-thal2, Homozygous Hb E
  • 6.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 6 แนวทางการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย การรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียขึ้นอยูกับความรุนแรงของโรค สามารถจัดตามความรุนแรง (ตารางที่ 2) ไดดังนี้ โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง (severe beta-thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ต่ํากวา 7.0 g/dl (Hct <20 %) ไดแก β-thal/ β-thal และของ β-thal/Hb E disease สวนนอย มีทางเลือกในการรักษาดังนี้ • การปลูกถายไขกระดูก (stem cell transplantation) • การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) และใหยาขับธาตุเหล็ก (iron chelation) • ใหเลือดแบบประคับประคอง (low transfusion) ใหยาขับธาตุเหล็ก และตัดมามเมื่อจําเปน โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลาง (moderately severe thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ระหวาง 7-9 g/dl (Hct 20- 27 %) ไดแก ผูปวย β-thal/ Hb E สวนใหญ, ผูปวย β-thal/ β-thal บางราย และ Hb H diseaseบางราย มีทางเลือกในการรักษา ดังนี้ • ใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด และใหยาขับธาตุเหล็ก (high transfusion + iron chelation) • ใหเลือดแบบประคับประคอง (low transfusion) หรือเมื่อมี acute hemolysis และการตัดมามเมื่อจําเปน โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงนอย (mild thalassemia) มีระดับ baseline Hb > 9 g/dl (Hct > 27 %) ไดแก Hb H disease สวน ใหญ Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS, β-thal/ Hb E ควรใหการรักษาโดยใหเลือดตอเมื่อมี acute hemolysis โรคธาลัสซีเมียชนิดไมมีอาการ หรือธาลัสซีเมียแฝง (Asymptomatic) ไดแก Homozygous α-thal 2, Homozygous Hb E, และธาลัสซีเมียแฝง ไมจําเปนตองตรวจรักษาเปนพิเศษ ไมจําเปนตองไดทานยา ควรไดรับคําแนะนําปรึกษาดานพันธุศาสตร ควรไดรับการตรวจสุขภาพตามระบบปกติ รายละเอียดของวิธีการรักษามีดังนี้ 1. คําแนะนําดานสุขภาพโดยทั่วไป ผูที่เปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ควรไดรับคําแนะนําทั่วไปดังนี้ - รับประทานอาหารครบ 5 หมู หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีธาตุเหล็กสูงไดแก เลือด ตับ เนื้อแดง งดยาและวิตามินที่เสริมธาตุ เหล็ก - ในเด็กฉีดวัคซีนใหครบถวนเหมือนเด็กปกติ โดยเฉพาะอยางยิ่งวัคซีนปองกันตับอักเสบ บี - ใหไดมีโอกาสเลน หรือออกกําลังกายไดเทาที่จะรูสึกเหนื่อย หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายที่กระทบกระแทกรุนแรง เพราะกระดูกเปราะอาจหักงาย 2. การให folic acid ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีการสรางเลือดมากกวาปกติ จึงมีความตองการกรดโฟลิคมากกวา บุคคลทั่วไป จึงควรไดรับกรดโฟลิคเสริมดังนี้ - ผูปวยอายุ > 1 ป ให 1 เม็ด (5 มก) วันละครั้ง - ผูปวยอายุ < 1 ป ให 1/2 เม็ด วันละครั้ง ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่ไดรับเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) ไมมีความจําเปนที่ จะตองเสริมกรดโฟลิค ผูที่เปนธาลัสซีเมียแฝง และชนิดไมมีอาการก็ไมจําเปนตองไดรับการเสริมกรดโฟลิค
  • 7.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 7 3. การใหเลือด (Packed red cell transfusion) ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียควรไดรับเม็ดเลือดแดงเขมขน (PRC) ที่ผานการลดจํานวนเม็ดเลือดขาวลง ไดแก leukocyte-poor PRC) หรือกรองเม็ดเลือดขาวออก (leukocyte depleted/ filtered PRC) ผานการตรวจสอบโรคติดเชื้อตางๆ ตามเกณฑมาตรฐานของงานบริการโลหิต (HIV antibody, HIV antigen, Hepatitis C, Hepatitis B, และ Syphilis) และผาน การ cross-match ตามมาตรฐาน การให PRC แตละครั้ง ควรใหปริมาณ 12-15 mL/kg ของน้ําหนักตัว ไมควรใหเกิน 2 ยูนิตในคราวเดียวกันเพื่อ ภาวะแทรกซอนที่อาจเกิดขึ้นที่เรียกวา ‘HCC syndrome’ (หัวขอ 7.3) ผูปวยที่ไดรับเลือดเปนประจําอาจมีปญหาการหาเลือดได ยากเนื่องจากมีแอนติบอดีตอ ‘minor blood groups’ ดังนั้นหากเปนไปไดจึงควรตรวจหมูเลือด minor group red cell antigens (C, c, E, e, Lea, Leb, Mia) ตั้งแตกอนใหเลือดครั้งแรก และเลือก PRC ที่มีหมูเลือดเขากันไดตั้งแตแรก นอกจากนี้ เลือดที่ให ควรเปนเลือดใหมอายุไมเกิน 5 วัน เปาหมายของการใหเลือดในผูปวยมี 2 ประการดังนี้ 3.1 การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด (high transfusion) ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง คือ homozygous beta-thalassemia หรือ Beta-thalassemia/Hb E ชนิดรุนแรง ที่เพิ่งไดรับการวินิจฉัยใหม ควรพิจารณาใหไดรับ การรักษาวิธีนี้ การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือดที่ผิดปกติ (suppression of erythropoiesis) ทําใหผูปวยหายจาก ภาวะโลหิตจาง ผูปวยจะแข็งแรงไมเหนื่อย การเจริญเติบโตดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี การดูดซึมธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารจะลดลง มามจะไมโตหรือจะยุบลง จึงไมจําเปนตองตัดมาม นอกจากนี้ยังปองกันมิใหลักษณะของกระดูกใบหนาเปลี่ยนแปลง การใหเลือดมากพอที่จะระงับการสรางเลือด สามารถเริ่มไดโดย ให L-PRC 12-15 mL/kg ทุกสัปดาหจนระดับ ฮีโมโกลบินสูงถึง 10 g/dL. เมื่อถึงระดับนี้แลวให L-PRC ตอไปอีกทุก 2 – 4 สัปดาหในขนาด 12-15 mL/kg เพื่อคุมใหระดับ ฮีโมโกลบินกอนใหเลือดทุกครั้ง (pre-transfusion Hb) ไมต่ํากวา 10 g/dL ตลอดไป หากเมื่อใดระดับฮีโมโกลบินกอนใหเลือด ต่ํากวา 10 g/dl ใหนัดมาใหเลือดถี่ขึ้น ดังนั้นผูปวยจึงจําเปนตองมาตรวจรักษาสม่ําเสมอปละประมาณ 12-15 ครั้ง รวมใชเลือดป ละประมาณ 180-225 mL/kg ตอป และจะมีธาตุเหล็กสะสม จําเปนตองไดรับยาขับธาตุเหล็กรวมดวย (ดูหัวขอที่ 4) ผูปวยจึงจะ มีอายุยืนยาวขึ้นใกลเคียงกับคนปกติ ในกรณีที่ผูปวยโรคธาลัสซีเมียรุนแรง แตมิไดรับเลือดมากพอมาตั้งแตตน มีมามโตมากแลว กระดูกขยายตัวแลว การ เปลี่ยนมาใหเลือดแบบ high-transfusion อาจจําเปนตองใชเลือดมากกวาปกติ หรืออาจตองตัดมามเสียกอน จึงจะสําเร็จตาม เปาหมายของการรักษา 3.2 การใหเลือดแบบประคับประคอง (Low transfusion) ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่ไมสามารถ รวมมือในการใหเลือดแบบ high-transfusion ไดเต็มที่ ระดับฮีโมโกลบินจะไมสูงพอที่จะระงับการสรางเลือดที่ผิดปกติ อาจ จําเปนตองลดเปาหมายของการรักษาเปนแบบประคับประคอง ผูปวยเด็กโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลาง คือ สามารถสรางเลือดไดเองมากพอที่จะมากกวา 7 g/dL อาจเลือกที่จะใหเลือดมากพอแบบ high-transfusion หรือแบบ ประคับประคองก็ได คือจะใหเลือดตอเมื่อผูปวยที่มีอาการออนเพลียเนื่องจากระดับเลือดลดต่ําลงกวาที่เคย (acute hemolysis) ซึ่งมักเกิดภายหลังภาวะไข ติดเชื้อ หรือเมื่อ Hb < 7 g/dL (Hct < 20%) โดยให L-PRC 10 mL/kg และติดตามผลเลือดทุก 4- 12 สัปดาห
  • 8.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 8 การใหเลือดแบบประคับประคองนี้ ผูปวยอาจไดเลือดสม่ําเสมอ หรือไมสม่ําเสมอ มีธาตุเหล็กสะสมจากเลือดที่ไดรับ และ จากการเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากลําไสมากกวาปกติ มามอาจโตขึ้นตามเวลาเนื่องจากชวยสรางเลือด 3.3 การใหเลือดในสถานการณพิเศษ • ผูปวยที่มีปญหาการทํางานของหัวใจ และระดับ pretransfusion Hb < 5 g/dL ควรปฏิบัติดังนี้ 1. ใหปริมาตร PRC ที่ใหเทากับขนาด 2 เทาของระดับ Hb แตไมเกิน 5 mL/kg 2. อัตราการให < 2 mL/kg /ชั่วโมง โดยใหปริมาณนอย แตบอยครั้ง (ทุก 24–48 ชม.) 3. พิจารณาใหยาขับปสสาวะกอนให PRC 4. วัด BP, PR 30 นาที กอนและหลังให PRC และเมื่อมีอาการผิดปกติทุกครั้ง • ผูที่มีประวัติ febrile non-hemolytic transfusion reaction (FNHTR) ให Chlorpheniramine และ Paracetamol รับประทานกอนใหเลือด 1/2-1 ชม. ถามีอาการ FNHTR ขณะใหเลือดใหหยุดการใหเลือดทันที วัด vital signs เปลี่ยน I.V. fluid เปน NSS หรือ 5% D/NSS แทนเลือด และใหยาดังกลาวขางตน • ผูปวยที่วางแผนจะรักษาดวยการปลูกถายไขกระดูก ควรไดรับเลือดชนิดที่กรองเม็ดเลือดขาวออกหมด (leukocyte depleted PRC หรือเรียกวา leukocyte filtered PRC) ในระหวางที่รอการปลูกถายไขกระดูก 4. การใหยาขับธาตุเหล็ก (Iron chelation) ในผูปวยที่มีธาตุเหล็กเกิน ควรไดรับยาขับธาตุเหล็ก ผูปวยที่ไดรับ regular (high) transfusion รวมกับยาขับธาตุเหล็ก อยางสม่ําเสมอ ในขนาดที่พอเพียงจะมีธาตุเหล็กเกินไมมาก มีคุณภาพชีวิตดีมีชีวิตยืนยาว ผูปวยธาลัสซีเมียมีธาตุเหล็กเกินจากเลือดที่ให (1 mL ของเม็ดเลือดแดงมีธาตุเหล็ก 1.16 mg) และธาตุเหล็กที่ไดจาก การดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารทางลําไส สามารถตรวจระดับธาตุเหล็กในรางกายไดโดยการตรวจเลือดดูระดับซีรัมเฟอรไรติน (serum ferritin) ถา serum ferritin สูงกวา 2,500 ng/mL หรือปริมาณธาตุเหล็กในตับมากกวา 15 mL/g จะกอใหเกิดผลรายตอ อวัยวะตางๆได เชน ทําใหตับแข็ง เปนเบาหวาน เปนตน ขอบงชี้ในการใหยาขับธาตุเหล็ก • ระดับซีรัมเฟอรริติน (serum ferritin) สูงกวา 1,000 ng/mL หรือระดับธาตุเหล็กในตับสูงกวา 3 เทาของคาปกติ • ในผูปวยที่ไดรับเลือดเปนประจํามามากกวา 1 ป • ได PRC มาแลวประมาณ 15 ครั้ง ยาขับธาตุเหล็กที่มีประสิทธิภาพดีและคอนขางปลอดภัยใชกันมานาน คือ ยา Desferrioxamine (Desferal®) ใหใน ขนาด 20-40 mg/kg/วัน จํานวน 5 – 7 วัน/สัปดาห บริหารยาโดยการฉีดเทานั้น นิยมฉีดเขาใตผิวหนังโดยใชเครื่องชวยฉีดยา (infusion pump) ชาๆ วันละ 8-12 ชั่วโมง ติดตามดูผลการขับธาตุเหล็กโดยติดตามดูระดับ serum ferritin ทุก 6 เดือน ปรับ ขนาดยาตามความเหมาะสม การใหยา continuous intravenous infusion พิจารณาเมื่อผูปวย มี cardiac problems จาก iron overload ขนาด 50 – 70 มก/กก/วัน เปนเวลา 5-6 วัน/สัปดาห โดยใหยาเปน continuous intravenous infusion 12-24 ชม ทาง infusion pump ยาขับธาตุเหล็กชนิดรับประทานในปจจุบัน คือ Deferiprone (L1) ไดรับอนุญาตใหใชในทวีปยุโรปเปน second line monotherapy สําหรับผูที่ไมสามารถใช Desferrioxamine ได ขนาดยาที่ใชคือ 75 mg/kg/วัน
  • 9.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 9 5. การตัดมาม มามจะโตในผูปวยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง และซีดเรื้อรัง ถามามโตมากขึ้นๆ จะเกิดภาวะ hypersplenism มาม จะทําลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ขอบงชี้ในการตัดมาม • มามโตมากจนเกิดอาการกดเบียด มักโตกวา 6 ซม.หรืออยูระดับสะดือ • อัตราการใหเลือดบอยขึ้นๆ หรือตองการเลือดมากกวา 250 mL/kg/ป • พบภาวะ hypersplenism การเตรียมผูปวยกอนการตัดมาม • ใหขอมูลแกผูปวยและผูปกครองเกี่ยวกับการตัดมามและอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อหลังการตัดมาม • ควรเลี่ยงการตัดมามในเด็กอายุต่ํากวา 5 ป เพราะในเด็กจะเกิดภาวะแทรกซอน โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้องายกวา เด็กโต • ควรไดรับการฉีดวัคซีนปองกันการติดเชื้อ คือ Pneumococcal vaccine อยางนอย 1 เดือนกอนตัดมาม • พิจารณาให aspirin ขนาด 2 – 4 มก/กก ถาระดับเกร็ดเลือด > 800x109/L การดูแลหลังตัดมาม • ควรแนะนําใหทาน penicillin (250 มิลลิกรัม) 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง ตลอดไป หรืออยางนอย .5 ปหลังตัดมาม 6. การปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด (stem cell transplantation: SCT) การปลูกถายไขกระดูก หรือ การปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด เปนวิธีเดียวในปจจุบันที่จะสามารถรักษาโรคโลหิต จางธาลัสซีเมียใหหายขาดได แตไมสามารถใชรักษาผูปวยทุกราย เนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายจากการรักษา และคาใชจายสูง มาก ผูที่สามารถรักษาไดดวยวิธีนี้ มีคุณสมบัติดังนี้ 1. ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง 2. มีพี่นองหรือผูบริจาคไขกระดูกหรือ เซลลตนกําเนิดเม็ดเลือดที่มี HLA ตรงกับผูปวย โอกาสที่พี่นองทองเดียวกันแต ละคนจะมี HLA ตรงกับผูปวยมีเพียง 1 ใน 4 ดังนั้น หากไมพี่นอง หรือไมมีพี่นองที่เขากันไดโอกาสที่ผูบริจาคคนอื่นที่มิใชญาติ จะตรงกับผูปวยมีเพียง 1 ใน 10,000 ถึง 1 ใน 100,000 3. ผูปวยพรอมที่จะรับภาระคาใชจายในการปลูกถายไขกระดูก ซึ่งอยูระหวาง 500,000 ถึง 1,5000,000 บาท เซลลตนกําเนิดเม็ดเลือดไดจากไขกระดูก เลือดสายสะดือ หรือเลือดที่เจาะจากเสนเลือดดําของผูบริจาคที่มี HLA ตรง กับผูปวย หากผูปวยมีโอกาสรักษาดวยการปลูกถายไขกระดูกจะทําใหหายขาดจากโรคธาลัสซีเมียรอยละ 75-92 (ซึ่ง ผลการรักษาจะดีมากในผูปวยที่เพิ่งไดรับการวินิจฉัยไมนาน เคยไดเลือดมาไมมากนัก หรือไดเลือดชนิดกรองเม็ดเลือดขาวมา ตลอด และไดรับการขับธาตุเหล็กสม่ําเสมอ) แตก็มีโอกาสเสียชีวิตระหวางการรักษานี้ ครอบครัวที่เขาเกณฑ และมีความมุงมั่นที่ จะไดรับการรักษาแบบนี้ ควรไดรับการสงตอมายังผูเชี่ยวชาญดานการปลูกถายไขกระดูกในเด็ก เพื่อประเมินความเปนไปได และใหคําปรึกษากอนตัดสินใจรับการรักษาโดยวิธีปลูกถายเซลลตนกําเนิดเม็ดเลือด
  • 10.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 10 7. การดูแลรักษาภาวะแทรกซอน 7.1 ภาวะติดเชื้อ ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่ไดรับการตัดมามไปแลว หากมีไข ควรไดรับการตรวจรักษาทันที พิจารณาใหยา ปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อ pneumococci ผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอาจติดเชื้องายกวาปกติ และเปนสาเหตุสําคัญที่ทําใหผูปวยเสียชีวิต ภาวะติดเชื้อใน ผูปวยมีไดตั้งแต upper respiratory tract infection, diarrhea, pneumonia, gram negative septicemia การรักษาคือใหยา ปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เปนสาเหตุ มีรายงานการติดเชื้อรา Pythium insidiosum ที่รุนแรงจนทําใหผูปวยเกิด arterial occlusion, gangrene และเสียชีวิต ได จําเปนตองตัดอวัยวะสวนที่ติดเชื้อรานี้ออกเพื่อรักษาชีวิต 7.2 Liver and gall bladder ในรายที่อาการรุนแรงจะมีตับโตอยางชัดเจนเปนผลมาจากการที่มี extramedullary erythropoisis เกิดขึ้นในตับเมื่อ ผูปวยมีอายุมากขึ้นจะพบ liver cirrhosis ไดอันเปนผลเนื่องมาจากภาวะเหล็กเกินและภาวะติดเชื้อไวรัสชนิด B และ C ภาวะนิ่วในถุงน้ําดีมีอุบัติการณที่สูงกวาคนปกติ และเกิดขึ้นตั้งแตอายุนอย เนื่องจากมีการทําลายเม็ดเลือดแดงอยาง มากมาย ถาตรวจพบมีนิ่วแลวอาจพิจารณาเปน elective surgery เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด cholecystitis หรือ ascending cholangitis ตอมาภายหลังไดสูง 7.3 Hypertension ผูปวยที่ไมไดรับเลือดเปนประจํานั้น มีรายงานวาเมื่อไดรับเลือด 2 unit หรือมากกวาเปนระยะเวลาติดตอกัน ผูปวยจะ เกิดอาการ hypertension, convulsion และ cerebral hemorrhage (HCC syndrome) และอาจรุนแรงทําใหเสียชีวิตได การ จํากัดมิใหเลือดครั้งเกิน 2 ยูนิต และหรือการวัดความดันโลหิตบอยๆรวมกับการให diuretic และ antihypertensive drugs จะ ชวยลดภาวะแทรกซอนนี้ไดเปนอยางมาก 7.4 Hypoxemia and Pulmonary hypertension ผูปวย -thal/Hb E ที่ไดรับการตัดมามไปแลวนั้นจะพบวาเกิดภาวะ hypoxemia ซึ่งตรวจไดจากการที่มี arterial partial oxygen ต่ํา ในรายที่เสียชีวิตไปนั้นจาการตรวจ autopsy พบวามีลักษณะทางพยาธิวิทยาที่เปน pulmonary hypertension ในที่สุดก็สันนิษฐานวามีความสัมพันธกันระหวาง pulmonary hypertension กับ thrombocytosis และ chronic hypercoagulability ที่เกิดขึ้นหลังตัดมาม การรักษาดวย aspirin ในขนาดต่ํามีประโยชนในรายที่ยังไมมีอาการ 7.5 Extramedullary erythropoiesis เนื่องจากภาวะซีดที่เกิดขึ้นจะกระตุนใหมี erythropoiesis เพิ่มขึ้นกวาเดิม 10-15 เทา จึงทําใหเกิด bone resorption มากขึ้นและมี extramedullary erythropoisis เกิดขึ้นซึ่งจะพบไดบอยที่กระดูกซี่โครงและ paravertebra ทําใหเห็นเปนกอน เวลาฉายรังสีภาพทรวงอกและ สวนกอนที่ paravertebra อาจทําใหผูปวยเกิด paraplegia ไดเมื่อกอนนั้นโตเขาไปเบียด spinal cord หรือเกิดการชักไดในกรณีที่ erythopoietic mass เกิดขึ้นที่สมอง การขยายตัวอยางมากมายของไขกระดูกทําใหกระดูกบาง ลง bone density ลดลง เกิดการหักของกระดูกงายขึ้นและกระดูกผิดรูป การรักษาควรใชหลายวิธีรวมกันคือ การใหเลือดเพื่อแกไขภาวะซีด การฉายรังสีรักษาตรงตําแหนงที่ทําใหเกิดอาการ และการรักษาดวย Hydroxyurea
  • 11.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 11 7.6 Chronic leg ulcer พบวาในผูปวยบางรายมีแผลเรื้อรังเกิดขึ้นโดยเฉพาะที่บริเวณขอเทาทั้งที่ medial และ lateral malleolus แผลนี้จะ เรื้อรังเปนเวลานานหลายเดือนจนเปนปๆไดไมตอบสนองตอการรักษาดวยวิธีการตางๆจนแมกระทั่งทํา skin graft ทําใหผูปวย ไดรับทุกเวทนาเปนอันมาก ซึ่งสาเหตุและกลไกการเกิดแผลเรื้อรังนี้ยังไมเปนที่เขาใจนักการรักษาจึงตองใชหลายวิธีรวมกัน ไดแก การใหเลือดเพื่อแกไขภาวะซีด การทําแผลอยางถูกวิธี การทํา skin graft เมื่อมีขอบงชี้ การใช growth factor เชน G-CSF 8. การใหคําปรึกษาทางพันธุศาสตร (genetic counseling) บิดามารดาของผูปวยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียทุกรายยอมเปนพาหะของธาลัสซีเมียแบบใดแบบหนึ่ง การวินิจฉัยโรคที่ ถูกตองเปนหัวใจสําคัญในการใหคําปรึกษา เพราะการใหการวินิจฉัยผิดพลาดจะทําใหคําแนะนําผิดพลาด ซึ่งมีผลกระทบอยาง มากตอการตัดสินใจเกี่ยวกับการมีครอบครัวและการมีบุตรของผูปวย บิดามารดาของผูปวยธาลัสซีเมีย ควรไดรับการประเมิน และคําแนะนําใหคุมกําเนิด จนกวาจะไดรับคําปรึกษาดานการวางแผนครอบครัว ดังนี้ 1. การวินิจฉัยทารกในครรภกอนคลอด บิดามารดาของเด็กที่เปนธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ควรรับทราบวามีทางเลือกที่ จะสามารถมีบุตรที่แข็งแรงไมเปนโรคธาลัสซีเมียเหมือนพี่ไดหากไดทําการตรวจกอนคลอด (pre-natal diagnosis) ซึ่งควรวางแผนแตเนิ่น ๆ ใหสงไปพบสูติแพทยผูเชี่ยวชาญเรื่องโรคธาลัสซีเมีย (ตารางที่ ?) เพื่อให คําปรึกษาเรื่องการตรวจกอนคลอดเสียกอนที่จะหยุดการคุมกําเนิดเพื่อใหมารดาเริ่มตั้งครรภใหมหากครอบครัว พรอมที่จะมีบุตรอีกเมื่อใด 2. หากครอบครัวไมยอมรับเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภกอนคลอด ดวยเหตุผลใดก็ดี พึงใหทราบ ทางเลือกเกี่ยวกับการมีบุตรดังตอไปนี้ 1. เสี่ยงมีลูกอีกคนหนึ่ง บิดามารดาพึงรับทราบความเสี่ยงที่จะมีบุตรเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่รุนแรงและ การใหขอมูลเกี่ยวกับอัตราการเสี่ยงโดยใชหลักการถายทอดแบบ autosomal recessive 2. ใหคุมกําเนิดไวกอน เพื่อรอเทคโนโลยีทางการเจริญพันธุในอนาคตไดแก การตรวจไขเพื่อหาธาลัสซีเมียแฝง ตามดวยการปฏิสนธิในหลอดทดลอง (in-vitro fertilization, IVF) 3. มีบุตรเลือกใชวิธีผสมเทียมโดยใชอสุจิจากผูอื่น (artificial insemination) หรือ เลือกวิธีปฏิสนธิในหลอด ทดลอง (IVF) และการฝากตัวออน (embryo transfer) โดยใช ovum จากผูอื่น 4. รับเลี้ยงบุตรบุญธรรม การจัดระบบใหบริการผูปวยธาลัสซีเมีย ผูปวยธาลัสซีเมียเปนโรคเรื้อรัง จําเปนตองไดรับการดูแลตอเนื่อง โดยแพทยที่มีประสบการณดานโลหิตวิทยาและการบริการ โลหิต การใหเลือดจําเปนตองทําใหที่ที่มีคลังเลือดที่มีศักยภาพในการเตรียมเลือดที่ปลอดภัย มีเลือดเพียงพอ แนวทางในการบันทึกเวชระเบียนมีความสําคัญมากเพื่อเปนฐานขอมูลเพื่อการควบคุมและปองกันโรคประกอบดวย 1. ขอมูลผูปวย (demographic data) ไดแก การวินิจฉัย วันเดือนปเกิด เลขบัตรประจําตัวประชาชน (13 หลัก) น้ําหนัก สวนสูง พงศาวลี (pedigree) ของผูปวยและญาติ 2. การตรวจทางหองปฏิบัติการเมื่อแรกวินิจฉัย
  • 12.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 12 1. serial CBC เพื่อใหทราบ baseline Hb level 2. Hemoglobin analysis ของผูปวยและครอบครัว 3. Blood group (ABO, Rh(D)) และควรตรวจ minor blood groups (C, c, E, e, Lea, Leb, Mia) 3. การติดตามผูปวยและการตรวจทางหองปฏิบัติการ 1. บันทึก น้ําหนัก และ ความเขมขนของเลือด (Hb หรือ Hct) ปริมาณและชนิดของเลือดที่ไดรับทุกครั้ง ที่มาตรวจ 2. บันทึกสวนสูง ตรวจ liver function test (SGOT, SGPT), serum ferritin ทุก 3-6 เดือน 3. ตรวจ HIV antibody, hepatitis profile (HBsAg, HCVAb) ทุก 6 เดือน - 1 ป 4. ทบทวนเวชระเบียน แผนการรักษา และใหคําปรึกษาดานพันธุศาสตร ทุกป รูปที่ 2 ขอบเขตการใหบริการผูปวยธาลัสซีเมีย และการสงตอ สถานีอนามัย คนหาผูปวย ชักชวนญาติผูปวยใหตรวจหา ธาลัสซีเมียในชุมชน ธาลัสซีเมียแฝง โรงพยาบาลชุมชนโรงพยาบาลทั่วไป ใหการวินิจฉัย ใหการรักษาธาลัสซีเมีย และ รพ.ที่มี Hb typing ชนิดไมรุนแรง เชน HbH โรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลศูนย รักษาธาลัสซีเมียชนิด ใหการรักษาธาลัสซีเมีย ที่มี Thalassemia clinic รุนแรง ดวยการใหเลือด และยาขับเหล็ก ปลูกถายไขกระดูก BMT/SCT & Prenatal diagnosis (PND) โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ ใหคําปรึกษาเกียวกับ ่ Comprehensive BMT/SCT&PN Thalassemia center ขอบเขตในการบริการ และการสงตอ สถานีอนามัย ควรมีบทบาทในการคนหาผูปวยธาลัสซีเมียในชุมชน และสงตอไปยัง โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลทั่วไป ที่มีการตรวจชนิดของฮีโมโกลบินเพื่อการวินิจฉัยที่แนนอน เมื่อทราบการวินิจฉัยแลว พึงชักชวนญาติผูปวยใหตรวจหา ภาวะธาลัสซีเมียแฝง (พาหะธาลัสซีเมีย) เพื่อหาหนทางปองกันมิใหลูกหลานของครอบครัว เกิดเปนโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
  • 13.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 13 โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลทั่วไป และสถานพยาบาลที่มีการตรวจชนิดของฮีโมโกลบิน พึงรับการสงตอผูปวยที่สงสัยวา จะเปนธาลัสซีเมีย และทําการวินิจฉัยดวยการเวิคราะหฮีโมโกลบิน เครื่องมือที่ใชตรวจวิเคราะหพึงไดรับการรับรองมาตรฐาน (Quality Control) ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงนอย ไดแก Hb H disease สวนใหญ ควรไดรับการดูแลเปนประจําในสถานพยาบาล ระดับนี้ ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปานกลางถึงมาก ควรไดรับการสงตอเพื่อตรวจรักษาในโรงพยาบาลทั่วไป หรือ โรงพยาบาลศูนย ที่มีคลินิกธาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถจัดหาเลือดไดเปนประจํา โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย ที่มีคลินิกธาลัสซีเมีย พึงมีคลังเลือดที่พรอม ผูปวยที่เปนโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ปานกลางถึงมากควรไดรับการดูแลเปนประจําในสถานพยาบาลระดับนี้ ซึ่งมีระบบจัดหาเลือดใหเพียงพอ มีคลังเลือดที่มี ศักยภาพในการเตรียมเลือดที่ปลอดภัย อาจมีหรือไมมีแพทยผูเชี่ยวชาญดานโลหิตวิทยา แตควรมีกุมารแพทย อายุรแพทย หรือ แพทยที่มีความรูความเขาใจในแนวทางเวชปฏิบัติฉบับนี้ เพื่อดูแลผูปวยกลุมนี้เปนประจํา เพื่อใหเกิดความตอเนื่องในการดูแล ผูปวย ทีมผูดูแลผูปวยธาลัสซีเมียพึงใหคําปรึกษาการวางแผนครอบครัว หรือคําแนะนําใหคุมกําเนิด จนกวาจะไดรับคําปรึกษาดานการ วางแผนครอบครัวที่เหมาะสมดังกลาวขางตน หากครอบครัวเขาเกณฑที่จะไดรับการตรวจกอนคลอด (PND) ควรสงตอไป ปรึกษาสูติแพทยผูเชี่ยวชาญ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ comprehensive thalassemia center โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือ comprehensive thalassemia center พึงมีกุมารแพทยและอายุรแพทยผูเชี่ยวชาญดานธาลัสซี เมีย มีคลินิกธาลัสซีเมีย มีสูติแพทยผูเชี่ยวชาญดานธาลัสซีเมียเพื่อรับปรึกษาผูปวยและใหบริการเพื่อการตรวจกอนคลอด และ อาจมีหรือไมมีการปลูกถายไขกระดูกเพื่อรักษาธาลัสซีเมีย ทําการฝกอบรมบุคคลากรเพื่อใหการบริการผูปวยธาลัสซีเมียมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทําการวิจัยเพื่อพัฒนาองคความรูดานธาลัสซีเมีย และพัฒนาระบบการบริการ แนวทางการวินิจฉัยพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติ การตรวจกรอง (screening) มีจุดประสงคเพื่อคนหาผูที่เปนพาหะของ β-thalassemia, α-thalassemia 1 และ Hb E เพื่อการควบคุมและปองกันโรคเปาหมาย 3 โรคไดแก homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb Bart’s hydrops fetalis ถาไดผลบวกจากการตรวจกรอง ตองทําการตรวจยืนยัน โดยวิธีมาตรฐานตอไป การตรวจพาหะประกอบดวย การตรวจกรอง (screening test) ที่ใชในปจจุบันมี 3 วิธีไดแก 1. ดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indicies) ประกอบดวย MCV (mean corpuscular volume), MCH (mean corpuscular hemoglobin) เปนคาที่ตรวจวัดโดยใชเครื่องวิเคราะหเม็ดเลือดอัตโนมัติ คา MCV มีความแตกตางกัน ขึ้นกับอายุดังแสดงในตารางที่ 2 พาหะของธาลัสซีเมียจะมีคา MCV ต่ํากวาคาเฉลี่ยอยู 2 เทาของคาเบี่ยงเบน มาตรฐาน (mean – 2 S.D) เชน ผูใหญเพศชายที่เปนพาหะจะมีคา MCV < 80 fl สําหรับคา MCH ในผูที่เปนพาหะ ใชคาที่ต่ํากวา 27 pg 2. การทดสอบความเปราะของเม็ดเลือดแดงชนิดหลอดเดียว (one tube osmotic fragility test หรือ OF) เปนการวัด ปริมาณการแตกของเม็ดเลือดแดงในน้ําเกลือเขมขนรอยละ 0.36 ซึ่งเม็ดเลือดแดงของคนปกติจะแตกหมด แตใน พาหะธาลัสซีเมียจะแตกไมหมด การทดสอบนี้ใหผลบวกรอยละ 90 ของพาหะ β-thalassemia รอยละ 93 ของ
  • 14.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 14 พาหะ α-thalassemia 1 และใหผลบวกลวงในรอยละ 5 ของคนปกติ อยางไรก็ตามภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ เหล็กก็ใหผลบวกเชนกัน 3. การทดสอบฮีโมโกลบินไมเสถียรโดยการตกตะกอนสีดวยดีซีไอพี (dichlorophenol-indolphemol (DCIP) precipitation test) สี DCIP ทําใหโมเลกุลของฮีโมโกลบินไมเสถียร (unstable hemoglobin) เกิดการสลายตัวและ ตกตะกอน จึงใชตรวจกรองหาฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดตางๆ ไดแก ฮีโมโกลบินอี และ เอช สามารถตรวจกรอง พาหะของฮีโมโกลบินอีไดมากกวารอยละ 95 ปจจุบันไดมีการพัฒนาน้ํายาชุดใหมโดยคณะเทคนิคการแพทย มหาวิทยาลัยขอนแกน ชื่อ KKU-DCIP-Clear พบวามีความไวรอยละ 100 การทดสอบยืนยันโดยวิธีมาตรฐาน ประกอบดวย 1. การตรวจวิเคราะหชนิดของฮีโมโกลบิน (hemoglobin analysis) สามารถตรวจวัดปริมาณ HbA2 มีประโยชนในการ วินิจฉัยพาหะของ β-thalassemia ซึ่งมีคา HbA2 มากกวารอยละ 3.5 นอกจากนั้นยังสามารถตรวจฮีโมโกลบินผิดปกติ ได เชน Hb E และ Hb CS 2. การตรวจ serum ferritin เพื่อแยกภาวะการขาดเหล็กออกจากพาหะของธาลัสซีเมีย 3. การตรวจวิเคราะหยีน ดวยวิธี PCR (polymerase chain reaction) สําหรับวินิจฉัยผูที่เปนพาหะของ α-thalassemia 1 การตรวจกรองและตรวจยืนยันสําหรับวินิจฉัยพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติสามารถกระทําเปน ขั้นตอนถาการตรวจกรองใช MCV และ DCIP ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1 หรือถาการตรวจกรองใช OF และ DCIP ดังแสดงใน แผนภูมิที่ 2 ขึ้นกับความพรอมของหองปฏิบัติการในแตละโรงพยาบาล ตารางที่ 3 แสดงคาเฉลี่ย Hb, MCV ตามอายุตาง ๆ* Age Hb (g/dl) MCV (fl) Mean (-2 S.D.) Mean (-2 S.D.) Birth (cord blood) 16.5 (13.5) 108 (98) 1 to 30 days 18.5 (14.5) 108 (95) 1 week 17.5 (13.5) 107 (88) 2 weeks 16.5 (12.5) 105 (86) 1 month 14.0 (10.0) 104 (85) 2 months 11.5 (9.0) 96 (77) 3 to 6 months 11.5 (9.5) 91 (74) 0.5 to 2 years 12.0 (10.5) 78 (70) 2 to 6 years 12.5 (11.5) 81 (75) 6 to 12 years 13.5 (11.5) 86 (77) 12 to 18 years Female 14.0 (12.0) 90 (78) Male 14.5 (13.0) 88 (78) Adults Female 14.0 (12.0) 90 (80) Male 15.5 (13.5) 90 (80) * From Nathan and Oski, 1993
  • 15.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 15 เอกสารอางอิง 1. Dumars K W, Boehem C, Eckman JR, et al. Practical guide to the diagnosis of thalassemia. Am J Med Genet. 1996;62:29-37 2. Expect Committee. Current Situation and Strategic Plan for Prevention and Control of Blood Disease in Thailand. Academia Reports, Ministry of Public Health. 1989-1990; 5-43. 3. Anonymous. The laboratory diagnosis of haemoglobinopathies. Br J Haematol 1998;101:783-92 4. Cao A, Pintus L, leeca U, et al. Control of homozygous β-thalassemia by carrier screening and antenatal diagnosis in Sardinians. Clin Genet. 1984;26:12-22 5. Ghosh A, Woo JSK, Wan CW, Machenry C, Wong V, and Ma HK. Evaluation of a prenatal screening for beta thalassemia carriers in a Chinese population based on the mean corpuscular in a Chinese population based on the mean corpuscular volume(MCV). Prenatal Diagnosis 1985;5:59-65 6. รัตนา สินธุภัค, อวยพร แกวสุข, ปยลัมพร หะวานนท และคณะ รูปแบบที่เหมาะสมในการคัดกรองพาหะของ โรคธารัสซีเมียสําหรับประเทศที่กําลังพัฒนา วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต 2539;6(2):165-177 7. Rogers M, Plelan L, Bain B. Screening criteria for beta thalassemia trait in pregnant women. J Clin Pathol 1995; 48; 1054-6. 8. Sanguansermsri T, Phumyu N, Chomchuen S, and Steger HF. Screening for Alpha-Thalassemia 1 Heterozygotes in Expecting Couples by Combination of a Simple Erythrocyte Osmotic Fragility Test and PCR-Based Method. Community Genet 1999;2:26-29 9. กุลนภา ฟูเจริญ, กัญญารัตน แดนตะ, รุงฤดี ปทุมชาติ และคณะ ธารัสซีเมียและภาวะขาดเหล็กในกลุมประชากรที่ ใหผลบวกตอการตรวจกรอง OF Test และ KKU-DCIP-Clear วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต 2542;(2):111-118 10. ธิพาจันทร อริยะ, ตอพงษ สงวนเสริมศรี, อานนท บุญยะรัตนเวช และคณะ การเปรียบเทียบระหวาง thalassemia screening test และ Hb typing. วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตรบริการโลหิต 2542;9(1):49-51 11. Fucharoen S, Winichagoon P, Wisedpanuchkit R, et al. Prenatal and postnatal diagnosis of thalassemia and hemoglobinopathies by HPLC. Clin Chem 1998;44(4):740-8 12. Kattamis C, Efremor G, and Pootrakul S. Effectiveness of one tube osmotic fragility screening in detecting β- thalassemia trait. J Med Genet. 1981;18:266-70 13. Kulapongs P, Sangunasermsri T, Mertz G, Tawarat S. Dichlorophenol indophenol(DCIP) precipitation test: a new screening test of Hb E and H. Paediatr Soc Thailand.1976;15;1-7 14. ยุพิน โจแฟง, กุลนภา ฟูเจริญ, เกรียงไกร กิจเจริญ, ณัฐยา แซอึ้ง, กนกวรรณ แสนไชย สริยา การทดสอบทาง หองปฏิบัติการแบบงาย เพื่อตรวจกรองธารัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติ วารสารเทคนิคการแพทยและ กายภาพบําบัด 2536; 5:131-7.
  • 16.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 16 15. Guidelines for the control of haemoglobin disorders. The sixth annual meeting of the WHO Working Group on Haemoglobinopathies held in Sardinia. Modell B ed. April 1989. 16. Management protocol for the treatment of thalassemia patients 1997 Editors. Antonio Cao, Vilma Gabutti, Renzo Galanello, et al. WHO: Thalassemia International Federation. Nicosia, Cyprus. 17. จินตนา ศิรินาวิน การใหคําปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตรสําหรับธารัสซีเมีย สารศิริราช 2532:256-64 18. จินตนา ศิรินาวิน แนวทางปฏิบัติในการใหคําปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตรสําหรับธาลัสซีเมีย เอกสารประกอบการ อบรมฟนฟูวิชาการโลหิตวิทยาครั้งที่ 6 จัดโดยสมาคมโลหิตวิทยาแหงประเทศไทย ณ วิทยาลัยแพทยศาสตรพระมงกุฎ เกลา 18-20 มกราคม 2536.
  • 17.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 17 แผนภูมิที่ 1 แสดงการตรวจกรองพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติโดยใช MCV และ DCIP test Step I Screening test MCV + DCIP MCV > 80 fl DCIP positive MCV < 80 fl DCIP negative Serum ferritin <15 ng/ml 1 month treatment of iron Recheck MCV No history, signs of iron def. Hb > 10 g/dl Improve Iron def. Normal range Not improve Iron def. Step II. Confirmatory test Hemoglobin Analysis (HPLC, LPLC) or Hemoglobin electrophoresis Hb A A2 (A2< 3.5%) Hb A A2 (A2> 3.5%) Abnormal Hb (E; CS; H; etc.) Step III. DNA test Thalassemia diseases PCR for alpha-thal 1 Negative Positive No significant Alpha-thal 1 trait Beta-thal trait Hb E trait; homozygous Hb E Normal thalassemia Hb CS trait; homozygous Hb CS Hb H disease Beta-thal/Hb E, ect.
  • 18.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 18 แผนภูมิที่ 2 แสดงการตรวจกรองพาหะของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติโดยใช OF และ DCIP test Step I Screening test OF + DCIP DCIP positive OF positive OF negative DCIP negative Serum ferritin 1 month treatment of iron <15 ng/ml No history, signs of iron def. Recheck MCV Hb > 10 g/dl Improve Iron def. Normal range Not improve Iron def. Step II. Confirmatory test Hemoglobin Analysis (HPLC, LPLC) or Hemoglobin electrophoresis Hb A A2 (A2< 3.5%) Hb A A2 (A2> 3.5%) Abnormal Hb (E; CS; H; etc.) Step III. DNA test Thalassemia diseases PCR for alpha-thal 1 Negative Positive No significant Alpha-thal 1 trait Beta-thal trait Hb E trait; homozygous Hb E Normal thalassemia Hb CS trait; homozygous Hb CS Hb H disease Beta-thal/Hb E, ect.
  • 19.
    มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแหงประเทศไทย 19 *หมายเหตุ คณะทํางานฯ มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสเมีย 1. ศาสตราจารยเกียรติคุณ แพทยหญิง วรวรรณ ตันไพจิตร 2. ศาสตราจารย นายแพทย สุทัศน ฟูเจริญ 3. รองศาสตราจารย นายแพทย ธันยชัย สุระ 4. รองศาสตราจารย นายแพทย กิตติ ตอจรัส 5. ผูชวยศาสตราจารย นายแพทย นพดล ศิริธนารัตนกุล 6. รองศาสตราจารย นายแพทย อิศรางค นุชประยูร